นิยายเสียง อยู่ดีดีข้าก็เป็นเซียน
บทที่ 806ถึง 810
สสารระดับสูงที่ไหลหลากออกมาทำให้ทุกหนแห่งเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ รวมทั้งแดนบรรพโกลาหลเองก็ได้รับผลประโยชน์ ฟ้าดินแปรเปลี่ยนเหมาะสมกับการฝึกฝน สิ่งมีชีวิตต่างพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดด้วยความเร็วอย่างมาก
ทว่าทั้งหมดเป็นเพราะคุณชายต้องการจะเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมเพียงเท่านั้นหรือ?
ลั่วสุ่ยรู้สึกว่าสิ่งต่าง ๆ ไม่ได้เรียบง่ายปานนั้น
ภายใต้สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงอย่างมากของสภาพแวดล้อม คุณชายอาจเตรียมการบางอย่างที่พวกนางไม่สามารถรับรู้ได้
หรือคุณชายต้องการจะป้องกันบางสิ่งเอาไว้ก่อนกัน
“โลงกระดูกเบื้องหลังอาณาจักรมืดมิดคือสิ่งใดกัน?”
ภายในใจของลั่วสุ่ยหนักอึ้งขึ้นมา กระทั่งทำให้คุณชายต้องลงมือจัดเตรียมเช่นนี้ อนาคตก็น่าจะหนักหนาจริง ๆ!
จะเกิดขึ้นที่จักรวาลโกลาหลแห่งนี้หรือ?
นางคิดขึ้นมาอีกครั้ง คุณชายต้องการเปลี่ยนแปลงจักรวาลโกลาหลอื่น ๆ ครั้งใหญ่ด้วยหรือไม่?
ระหว่างที่ขอบเขตของนางพัฒนาอย่างต่อเนื่อง นางก็ได้รู้เรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
จักรวาลโกลาหลอื่น ๆ ยังคงมีอยู่นับไม่ถ้วน หากต้องการจะเปลี่ยนแปลงทั้งหมด คุณชายจะสามารถทำได้หรือ? และจะเป็นภาระหนักหรือไม่?
นางเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของคุณชาย แต่หากต้องการจะเปลี่ยนแปลงจักรวาลโกลาหลทั้งหมด จะต้องเป็นเรื่องน่าตื่นตะลึงมากอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำอย่างแน่นอน
กระทั่งนางเองยังไม่มั่นใจว่าคุณชายจะสามารถทำได้จริงหรือไม่
“ไม่ว่าในอนาคตจะเกิดอันใดขึ้น ข้าจะติดตามอยู่ข้างกายและต่อสู้ร่วมกับคุณชายเอง!”
นางเอ่ยออกมาอย่างแน่วแน่
ไม่ว่าอนาคตจะยากลำบากเพียงใด นางก็จะอยู่เคียงข้างคุณชายเสมอไม่เปลี่ยนแปลง!
...
เวลาค่อย ๆ คล้อยผ่าน หลี่จิ่วเต้าเดินท่องชมจักรวาลหมื่นดาราทั้งหมด
อีกทั้งเขาเองก็ได้วาดจักรวาลหมื่นดาราที่ตนได้เห็นอีกด้วย
หลังจากวาดภาพเสร็จ การเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นทุกหนแห่งในจักรวาลโกลาหลแห่งนี้ สสารเหนือชั้นไม่ธรรมดาหลั่งไหลพรั่งพรู หล่อเลี้ยงทุกสรรพสิ่ง ทำให้เกิดการวิวัฒน์อย่างบ้าคลั่ง!
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดต่างได้รับอานิสงส์นี้ กฎเกณฑ์ทั้งหมดสมบูรณ์มากขึ้น การฝึกฝนราบรื่นกว่าเดิม ไม่ติดปัญหายากเย็นอีกต่อไป
“เกิดอันใดขึ้น!?”
“นี่มันยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว!”
“ยังต้องเข้าไปแดนบรรพโกลาหลนั่นอีกหรือ ที่นี่ทรงพลังมากเสียยิ่งกว่าแดนบรรพโกลาหลเสียอีก!”
สิ่งมีชีวิตจากทุกอาณาจักรต่างบ้าคลั่งขึ้นมา ตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด การกลายเป็นเซียนคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์ ไม่ได้เป็นเพียงความฝันสำหรับพวกตนอีกต่อไป ทั้งหมดล้วนอยู่ใกล้เพียงเอื้อม!
พวกเขาต่างทอดถอนใจออกมา เมื่อได้รับโอกาสดังนี้แล้ว ในอนาคตพวกเขาจะต้องบรรลุความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในการฝึกฝนแน่!
ทว่าก็ยังมีสิ่งมีชีวิตบางส่วนเกิดความกังวลใจขึ้นมา
“สภาพแวดล้อมพลิกกลับอย่างกะทันหันเปลี่ยนเป็นเหนือชั้นไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง หลังจากนี้จะมีสิ่งเลวร้ายใดเกิดขึ้นหรือไม่?!”
“คิดอีกแง่หนึ่งแล้ว นี่นับว่าเป็นแสงสายัณห์ยามตะวันรอน*[1]ใช่หรือไม่?!"
ภายในใจของพวกเขาไม่สงบเป็นอย่างยิ่ง เกิดการคาดเดาขึ้นมากมาย
บนท้องฟ้าไม่มีขนมเปี๊ยะตกลงมา*[2] นี่อาจเป็นสัญญาณก่อนที่พายุซัดโหม!
“คิดมากไปก็เปล่าประโยชน์! พวกเราจะสามารถทำสิ่งใดได้? ล้วนทำสิ่งใดไม่ได้ทั้งนั้น! สิ่งเดียวที่พวกเราทำได้ก็คือใช้เวลาเพื่อฝึกฝน!”
“ไม่ผิด มีเพียงแค่ความแข็งแกร่งเท่านั้นที่จะทำให้พวกเราสามารถรับมือกับพายุที่ถาโถมเข้ามาได้!”
ภายในใจของพวกเขารับรู้ได้ถึงวิกฤตกาลที่จะเกิดขึ้น ทว่าก็ไม่ได้ตื่นตระหนกอันใดมากนัก ในทางตรงกันข้าม พวกเขายิ่งจริงจังกับอนาคตมากขึ้น
หลังจากนั้น พวกเขาก็พากันปิดด่านฝึกตนไปทีละคน กอบกุมช่วงเวลาที่จะแข็งแกร่งเอาไว้ให้มั่น
...
อาณาจักรทั้งหมดเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ สสารระดับสูงไหลพรั่งพรู จ้กรวาลโกลาหลพัฒนาขึ้นอย่างน่าตื่นตะลึงและเหนือชั้น พร่างพราวเป็นพิเศษดึงดูดความสนใจของสิ่งมีชีวิตต่างจักรวาลโกลาหลจำนวนมาก!
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นที่จักรวาลโกลาหลแห่งนั้น?!”
“สสารนั่นช่างน่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง!”
ยอดฝีมือจำนวนมากต่างตื่นตะลึง พวกเขานับได้ว่าแข็งแกร่งยิ่ง สามารถกระโดดออกจากจักรวาลโกลาหลเดิมของตน สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับจักรวาลโกลาหลแห่งนั้นได้!
พวกเขาหวั่นไหว เกิดความต้องการจะลองไปเยือนจักรวาลโกลาหลแห่งนั้น นี่อาจนับเป็นโอกาสครั้งใหญ่!
“เตรียมตัวให้พร้อม จากนั้นพวกเราไปกันเถิด!”
“ต้องไปดูเสียหน่อยแล้ว!”
พวกเขาต่างออกคำสั่งลงไป ที่แห่งนั้นน่าอัศจรรย์ยิ่ง ทำให้พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างเร่งรีบ
...
ปรโลก
“พวกเราจะไปที่นั่นหรือ? กฎเกณฑ์ของสถานที่แห่งนั้นยุ่งเหยิงอย่างถึงที่สุดแล้ว!”
ฉินก่วงอ๋องขมวดคิ้วเอ่ยออกมา
มีหยินย่อมมีหยาง มีหยางย่อมมีหยิน พวกเขานั้นเป็นกฎหยิน ไม่ว่าจะหนแห่งใด ทุกจักรวาลโกลาหลล้วนมีปรโลกของตัวเอง
ทว่าจักรวาลโกลาหลแห่งนั้นเป็นข้อยกเว้นเดียว
แน่นอนว่าข้อยกเว้นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่แรก ทว่าเพิ่งเกิดขึ้นภายในไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ จนจักรวาลโกลาหลแห่งนั้นกลายเป็นข้อยกเว้น สิ่งมีชีวิตที่ตายไปแล้วไม่ถูกพวกมันควบคุม
“เพื่อฟื้นฟูกฎหยินให้กลับมาอย่างที่ควรจะเป็น”
พระกษิติครรภโพธิสัตว์ปรากฏขึ้น มือสองข้างประกบแล้วเอ่ยออกมา “อามิตาพุทธ ครั้งล่าสุดพวกเราวางแผนจะร่วมมือกับปริภูมิเวลาเพื่อจัดการกับคนผู้นั้น ทว่าจากการสืบสวนของพวกเราแล้ว บุคคลผู้นั้นน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่ธรรมดาทั่วไป สุดท้ายพวกเราจึงเลือกที่จะยอมวางมือ”
คนที่เขาเอ่ยถึงก็คือหลี่จิ่วเต้า
หลี่จิ่วเต้าเคยลงมือคืนชีพให้คนกลุ่มหนึ่ง แต่ทว่าไม่หลงเหลือร่องรอยใดไว้ หลังจากนั้นเมื่อจักรพรรดินีคืนชีพอาจารย์ของนางขึ้นมา นางก็เผชิญหน้ากับพวกเขา
พวกเขาจึงเข้าใจเรื่องราวขึ้นมาบ้าง รับรู้ถึงการดำรงอยู่ของหลี่จิ่วเต้า
การย้อนเวลา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาไม่ได้รับคำอนุญาตจากกองกำลังปริภูมิเวลา ในเมื่อจักรพรรดินีตกเป็นเป้าหมายของกองกำลังปริภูมิเวลา
แต่ทว่าน่าเสียดายที่กองกำลังของปริภูมิเวลาไม่อาจทำให้จักรพรรดินีสิ้นชีพได้
พวกเขาทั้งสองฝ่ายได้มาหารือกันภายหลัง ตัดสินใจจะร่วมมือกันจัดการกับหลี่จิ่วเต้า เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของกองกำลังทั้งสองเอาไว้
แต่ความร่วมมือดังกล่าวเกิดขึ้นไม่เท่าไรก็สิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว
พวกเขาไม่ใช่กองกำลังธรรมดา เรื่องราวจำนวนมากถูกสอบสวนออกมาอย่างรวดเร็ว พวกเขาพลันตระหนักได้ว่าหลี่จิ่วเต้านั้นอาจจะน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก ไม่ง่ายต่อการจัดการ
หากต้องการจะสู้กับหลี่จิ่วเต้าอย่างถึงที่สุด พวกเขาก็จำเป็นต้องใช้กำลังมากกว่านี้
ทั้งรู้สึกว่าไม่คุ้มค่าและมีความเสี่ยงสูงเกินไป สุดท้ายจึงต้องยุติความร่วมมือลง
“ก่อนหน้านี้ก็แล้วไปเถิด กฎหยินยังคงอยู่ ทว่าตอนนี้กฎหยินไม่มีอยู่แล้ว!”
พระกษิติครรภโพธิสัตว์เอ่ย “เป็นเช่นนี้ไม่อาจยอมได้ จำเป็นต้องจัดการ จักรวาลโกลาหลแห่งนั้นไม่ธรรมดา พวกเราจำเป็นต้องจัดการให้ได้!”
สสารระดับสูงหลั่งออกมาในจักรวาลโกลาหลแห่งนั้น ทำให้ทุกสิ่งอย่างวิวัฒน์ขึ้น สิ่งนี้ทำให้พวกเขาตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจัดการจักรวาลโกลาหลแห่งนั้นให้ได้ จากนั้นก็สร้างกฎหยินขึ้นมาใหม่!
“คนที่แข็งแกร่งเช่นนั้นปรากฏขึ้นมาในจักรวาลโกลาหลเล็ก ๆ แห่งนั้นได้อย่างไร สิ่งนี้ได้รับคำอธิบายแล้ว!”
ดวงตาของพระกษิติครรภโพธิสัตว์เปล่งประกาย “เขาอาจจะเข้าใจได้ถึงความพิเศษของจักรวาลโกลาหลแห่งนั้นล่วงหน้า ดังนั้นจึงยังคงรั้งอยู่ในจักรวาลโกลาหลแห่งนั้น! และเมื่อถึงตอนนี้ความพิเศษของจักรวาลโกลาหลแห่งนั้นก็เริ่มเผยออกมาให้เห็นแล้ว...”
“ข้าเองก็คิดเช่นเดียวกัน! จักรวาลโกลาหลแห่งนั้นยังคงวิวัฒน์ขึ้นไปอย่างบ้าคลั่ง หลังจากนี้จะต้องพิเศษเหนือชั้นเป็นอย่างมากแน่นอน!”
เหยียนหลัวอ๋องกล่าว “พวกเราจำเป็นต้องวางหมากล่วงหน้าในจักรวาลโกลาหลแห่งนั้น ต้องสร้างกฎหยินขึ้นมาให้ได้!”
“อามิตาพุทธ!”
พระกษิติครรภโพธิสัตว์เอ่ย “นี่จะต้องเป็นการต่อสู้อันดุเดือด ทุกคนเตรียมตัวให้ดีเถิด! หลังจากนี้ข้าเองก็จะเตรียมตัว พลังและเส้นสนกลในของปรโลกจะต้องสำแดงออกมาให้เป็นที่ประจักษ์!”
หลังจากพระกษิติครรภโพธิสัตว์กล่าวจบ ฉินก่วงอ๋องและคนอื่น ๆ ต่างตกตะลึง
แม้พวกเขาจะเป็นจ้าวจำหนักต่าง ๆ สถานะในปรโลกนับว่าไม่ต่ำ แต่ก็ไม่ได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับพลังทั้งหมดของปรโลกเท่าใดนัก มีหลายสิ่งที่พวกเขายังไม่รู้
อย่างเช่นเรื่องเกี่ยวกับพระกษิติครรภโพธิสัตว์
ผู้ยิ่งใหญ่ในพระพุทธศาสนา ทว่ากลับมาปรากฏตัวอยู่ในยมโลกได้อย่างไร?
พวกเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน
“เข้าใจแล้ว!”
“การต่อสู้ครั้งนี้พวกเราจะต้องชนะ!”
พวกเขาตอบรับ
หลังจากนั้นพวกเขาก็ไปเตรียมตัว
พวกเขาไม่สามารถไปยังสถานที่แห่งนั้นโดยปราศจากการเตรียมการใด ๆ ได้ หากทำเช่นนั้นจะต้องประสบเคราะห์ร้ายอย่างหนักแน่นอนแบบไม่ต้องสงสัย อย่างไรเสียหลี่จิ่วเต้าก็ยังอยู่ในจักรวาลโกลาหลแห่งนั้น!
“อามิตาพุทธ สถานที่แห่งนั้นจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของพวกเราหรือไม่?”
พระกษิติครรภโพธิสัตว์เอ่ยขึ้นมาในใจ
พวกเขามีภารกิจที่สำคัญยิ่งกว่า จักรวาลโกลาหลแห่งนั้นพิเศษและอยู่เหนือชั้นเป็นอย่างยิ่ง บางทีอาจสามารถกลายมาเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของพวกเขาได้!
...
ในจักรวาลโกลาหลแห่งนี้
ตำหนักปริภูมิเวลาโบราณ
“พวกเราต้องเตรียมการ หลังจากนั้นก็เข้าไปยังจักรวาลโกลาหลแห่งนั้น! กฎปริภูมิถูกทำลายลงไปนานแล้ว ถึงเวลาฟื้นฟูกฎปริภูมิขึ้นมาใหม่!”
ยอดฝีมือปริภูมิเวลาผู้หนึ่งเอ่ย
ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยพยายามอดกลั้น ไม่ต้องการก่อการปะทะครั้งใหญ่ ทว่าตอนนี้จักรวาลโกลาหลแห่งนั้นเปลี่ยนเป็นพิเศษเหนือชั้นอย่างยิ่ง พวกเขาต้องเตรียมพร้อมอย่างถึงที่สุด
การสร้างกฎปริภูมิเวลาเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาทำมาโดยตลอด
กระทั่งเทวโลกเองก็ยังถูกสร้างกฎปริภูมิเวลาเอาไว้ พวกเขาลึกลับเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งเทวโลกยังไม่อาจรู้ถึงที่มาของพวกเขาได้อย่างชัดเจน
ขณะเดียวกัน สิ่งมีชีวิตในเทวโลกก็กริ่งเกรงพวกตนเป็นอย่างยิ่ง ไม่กล้ายั่วยุท้าทายกฎปริภูมิเวลาที่พวกเขาสร้างขึ้นมา
...
จักรวาลโกลาหลจำนวนมากต่างเคลื่อนไหว เตรียมพร้อมไปยังจักรวาลโกลาหลแห่งนั้น
ทว่ามีหนึ่งคนหนึ่งเต่าที่ตรงกันข้าม
พวกเขาก็คือซีและเต่าชรา
ซีและเต่าชราได้ออกเดินทางจากจักรวาลโกลาหลที่เต่าชราอาศัยอยู่ เดินหน้าต่อไปตามเส้นทาง
เต่าชราแบกซีไว้บนหลังระหว่างเคลื่อนที่ไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ความเร็วของเต่าชรานั้นนับว่ามากจริง ๆ
ยามที่ซีบอกว่าตนเองต้องการจากไป เต่าชราก็ได้ขอติดตามซีไปด้วยโดยยอมเป็นพาหนะให้ นางร่วมกล่าวว่าเรื่องทางไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ไม่จำเป็นต้องมาเป็นพาหนะให้นาง
แต่เต่าชรายังคงยืนกราน มันต้องการจะทำบางสิ่งเพื่อซี ดังนั้นซีจึงไม่อาจปฏิเสธได้ ทำได้เพียงยอมให้เต่าชราแบกนางมุ่งตรงไปข้างหน้า
ระหว่างทางพวกเขาหยุดแวะในจักรวาลโกลาหลจำนวนไม่น้อย ความแข็งแกร่งได้รับการปรับปรุงเป็นอย่างมาก และหลังจากที่ขอบเขตได้รับการพัฒนาแล้ว ความเร็วก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
“พวกเราเข้าไปยังเทวโลกแล้ว ยังไม่ถึงอีกหรือ?!”
เต่าชราถามออกมาด้วยความประหลาดใจ เบื้องหน้าก็จะเข้าไปยังเทวโลกแล้ว ซีจะไปที่ใดกันแน่!
“ไม่! ถัดไปจากนี้อีก!”
ซีส่ายหัว นางเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นเดียวกัน
ภาพสะท้อนเส้นทางโบราณยังคงไปต่อ ด้านหลังเทวโลกจะเป็นสถานที่แบบใดกันแน่?
ก่อนออกเดินทาง นางไม่รู้จักเทวโลกแม้แต่น้อย ทว่าหลังจากเดินทางมาจนถึงตอนนี้ นางก็ค่อย ๆ มีความเข้าใจเกี่ยวกับเทวโลกมากขึ้น
เทวโลกอยู่เหนือจักรวาลโกลาหลทั้งหมด เป็นแหล่งกำเนิดทุกสรรพสิ่ง หัวใจโกลาหลเองก็ร่วงหล่นลงมาจากเทวโลก ก่อนกลายมาเป็นจักรวาลโกลาหลต่าง ๆ
ทว่านางกำลังจะไปถึงเทวโลกแล้ว แต่มันกลับไม่ใช่จุดหมายปลายทาง!
กล่องสี่เหลี่ยมนำศพของบิดามารดาและคนในตระกูลของนางไปที่ใดกันแน่?
นางรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา กล่องสี่เหลี่ยมนั้นไม่ธรรมดาเกินไปแล้ว มีที่มาและจุดกำเนิดเช่นไรกันแน่?
ไม่น่าแปลกใจเลยที่แม้กระทั่งความมืดอันน่าพรึงกลัวยังถูกดึงดูดให้มาหา!
แล้วบนร่างของนางมีความลับอันใดอยู่กัน?
นางไม่อาจลืมสิ่งที่ตนเองเคยประสบในคราวนั้นได้ ผีให้ความมืดมิดต้องการให้นางก้าวไปต่อ ราวกับหวังให้นางจมลงไปในความมืด!
นางอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังความมืดนั่น!
“พวกเราจะเข้าไปยังเทวโลกหรือ?”
เต่าชราถามออกมาขัดจังหวะความคิดของซี
ซีพยักหน้า “อืม ไปเถิด! เทวโลกเหมาะกับการให้พวกเราฝึกฝนอย่างไม่ต้องสงสัย สามารถทำให้พวกเราพัฒนาได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น”
“พวกเรา?”
เต่าชราเอ่ยออกมาด้วยท่าทางแปลกประหลาด “อย่ากล่าวเช่นนั้น ต้องพูดว่าทำให้เจ้าพัฒนาอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้นต่างหาก”
มันเลื่อมใสในตัวซีจากใจจริง ความเร็วการฝึกฝนเรียกได้ว่าก้าวทะยานไปอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถบรรลุขั้นต่อไปได้ นับว่าวิปริตอย่างยิ่ง ตัวมันนั้นไม่คู่ควรจะเปรียบเทียบกับซีแม้แต่น้อย!
“ไปเถิด!”
ซีแย้มยิ้มเบาบาง ก่อนจะเข้าสู่ชั้นแรกของเทวโลกไปพร้อมกับเต่าชรา
การเข้าไปยังเทวโลกไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนนี้แม้ซีจะอยู่ในขั้นเก้าขอบเขตลอยชาย แต่เมื่อเข้าไปยังเทวโลกก็ต้องเผชิญหน้ากับการต่อต้านไม่น้อย
ซียังคงไม่หยุด นางพาเต่าชราขึ้นไปยังเทวโลกชั้นสอง ต้องการจะฝึกฝนในสภาพแวดล้อมที่ดียิ่งกว่า
นางช่างชวนให้ผู้คนตื่นตะลึงยิ่งนัก หนทางฝึกฝนราบเรียบไร้อุปสรรค ตราบใดที่มีสสารฝึกฝนเพียงพอ นางก็จะสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว
น่าเสียดายที่ภายนอกเทวโลก ในจักรวาลโกลาหลเหล่านั้น สสารฝึกฝนไม่ได้ทรงพลังมากถึงเพียงนั้น ไม่อย่างนั้นขอบเขตของซีจะต้องสูงยิ่งกว่านี้อย่างแน่นอน!
เทวโลกยิ่งสูงก็ยิ่งเข้าไปได้ยากยิ่งขึ้น เมื่อยามเข้าสู่ชั้นสอง ซีก็ต้องเผชิญกับแรงต่อต้านที่มากขึ้นจนเกือบจะไม่สามารถเข้าไปได้!
“ชั้นสามไม่มีหวังแล้ว ทำได้แค่อยู่ฝึกฝนที่ชั้นนี้เท่านั้น...”
ซีเอ่ยออกมา นางรู้ว่าเทวโลกมีอยู่เก้าชั้น ยิ่งสูงขึ้นไปเท่าไร สภาพแวดล้อมก็จะยิ่งดีขึ้น สสารฝึกฝนก็เหนือชั้นยิ่งกว่า เทวโลกชั้นที่เก้าจะต้องพิเศษเหนือชั้นอย่างถึงที่สุด
ทว่าตัวขอบเขตพลังในปัจจุบัน นางไม่อาจขึ้นไปในทันที ทำได้แต่รั้งอยู่ชั้นที่สองก่อน จากนั้นค่อยเข้าไปยังชั้นที่สูงกว่าเมื่อขอบเขตของนางพัฒนาขึ้นแล้ว
ยังดีที่ร่างกายของนางพิเศษ มีพรสวรรค์ในการฝึกฝนสูงล้ำ ทำให้นางไม่ต้องอยู่ในชั้นนี้นานเกินไป
“พวกเราไปกันเถิด หาสถานที่ดี ๆ เพื่อฝึกฝน!”
ซีเอ่ยกับเต่าชรา
“ตกลง!”
เต่าชราตอบกลับ รีบทำตามคำพูดของซีทันที
ในตอนแรกขอบเขตของมันสูงกว่าซี ทว่าซีนั้นสะท้านฟ้าเกินไป สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วจนน่าตื่นตะลึง ขอบเขตก้าวขึ้นไปเหนือกว่ามันมาก
ตอนนี้มันอยู่เพียงแค่ขั้นห้าขอบเขตลอยชายเท่านั้น
ระหว่างทาง ซีได้พบกับสถานที่ดี ๆ หลายแห่ง ทว่านางก็ยังคงไม่พอใจมากนัก สภาพแวดล้อมยังไม่ดีเท่าที่ควร นี่จะทำให้การฝึกฝนใช้เวลานาน
“ชั้นสองเทวโลก...ใช่แล้ว ตระกูลเทียนเองก็อยู่ที่นี่!”
ในตอนนั้นเอง ดวงตาของซีก็เปล่งประกายขึ้นเมื่อนึกเรื่องตระกูลเทียนขึ้นมาได้
เมื่อนางกระโดดออกจากจักรวาลโกลาหลแห่งนั้น นางได้พบกับคนจากตระกูลเทียนที่ต้องการดึงนางให้เข้าร่วม ทว่านางปฏิเสธไป
หลังจากนั้นเทียนหมิงผู้เป็นบุตรชายคนสุดท้องของประมุขตระกูลเทียน ก็คิดจะใช้นางเพื่อกำจัดบุตรชายคนโตของประมุขตระกูลเทียนอย่างเทียนลู่ ทว่านางช่วยเหลือเทียนลู่เอาไว้ พร้อมจัดการกับเทียนหมิงและผู้อาวุโสเซิน จากนั้นก็มอบคนทั้งสองให้เทียนลู่นำกลับไปยังตระกูลเทียนเพื่อจัดการ
เหตุผลหลักที่นางทำเช่นนั้นก็เพราะไม่ต้องการจะทำตามความต้องการของเทียนหมิง ตัวของเทียนหมิงนั้นเจ้าเล่ห์หน้าเนื้อใจเสือ ทำให้นางรังเกียจเป็นอย่างยิ่ง
ขณะเดียวกันนางก็ต้องการจะสะสางเรื่องราวทั้งหมด ไม่ต้องการให้ตระกูลเทียนมาเกี่ยวพันกับนางอีก จึงได้สร้างบุญคุณไว้กับเทียนลู่
“ตามคำบอกเล่าของเทียนลู่แล้ว ตระกูลเทียนแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ดังนั้นสถานที่ตั้งจะต้องดียิ่งกว่าที่อื่น! หากพวกเราไปที่ตระกูลเทียนจะเป็นการดีสุดสำหรับการฝึกฝน...”
ซีกล่าวออกมาพร้อมด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ
นางช่วยเทียนลู่จัดการเทียนหมิง นับเป็นบุญคุณชีวิต หากนางไปที่ตระกูลเทียนเพื่อฝึกฝนสักระยะหนึ่ง ไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด
“ใช่แล้ว! ไม่มีอันใดเหมาะสมไปมากกว่านี้อีกแล้ว! ดียิ่ง พวกเราจะได้ไปดูว่าเทียนหมิงจอมเจ้าเล่ห์หน้าเนื้อใจเสือผู้นั้นจะถูกลงโทษเช่นไร!”
เต่าชราพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า
“เช่นนั้นพวกเราไปกันเถิด”
ซีและเต่าชราออกเดินทางตรงไปยังตระกูลเทียนทันที
[1] แสงสายัณห์ยามตะวันรอน (回光返照) - เป็นการอุปมาถึงอาการที่สดใสและดีขึ้นก่อนจะตาย
[2] บนท้องฟ้าไม่มีขนมเปี๊ยะตกลงมา (天上不会掉馅饼) - ไม่มีของที่ได้มาเปล่า ๆ
ตระกูลเทียนแข็งแกร่งมากจริง ๆ เป็นถึงกลุ่มตระกูลแนวหน้าของชั้นที่สอง มีกองกำลังเพียงน้อยนิดที่สามารถต่อกรด้วยได้
ซีและเต่าชราแวะสอบถามเล็กน้อยว่าตระกูลเทียนตั้งอยู่ที่ใด
ใช้เวลาเพียงไม่นานพวกเขาก็มาถึงสถานที่ตั้งตระกูลเทียน
เขาเขียวขจีธารน้ำใส นกขับขาน บุปผากรุ่นกลิ่นหอม สถานที่แห่งนี้เงียบสงบเป็นอย่างยิ่ง มีหมอกสีขาวพิสุทธิ์แผ่กระจาย ดินแดนที่ตระกูลเทียนครอบครองนั้นไม่ธรรมดา เต็มไปด้วยสสารทรงพลังและอุดมสมบูรณ์
สิ่งก่อสร้างสูงตระหง่านเสียดฟ้า เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายความโบราณ ประหนึ่งยักษ์ขนาดมโหฬารมองลงมายังโลกหล้า สง่างามชวนให้คนมองหวั่นไหว รุ้งมงคลทอประกายงดงาม
“ไม่เลว...”
ซีมองสภาพแวดล้อมรอบด้าน ก่อนพยักหน้าออกมาด้วยความพึงพอใจ หากนางฝึกฝนที่นี่ ใช้เวลาเพียงไม่นานนางก็จะสามารถขึ้นไปยังชั้นสามได้
“แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าลานเต๋าของข้าสิบล้านเท่า!”
เต่าชราเต็มไปด้วยอารมณ์มากมาย โชคดีที่มันติดตามมากับซี ไม่เช่นนั้นมันจะได้รับโอกาสอย่างการเข้ามายังเทวโลกชั้นที่สองเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
หากพึ่งพาเพียงตัวมันเอง เกรงว่ากระทั่งเข้าชั้นหนึ่งของเทวโลกยังเป็นเรื่องยากลำบาก
มีคนจากตระกูลเทียนทะยานออกมา เป็นสมาชิกวัยเยาว์สองคนที่มีหน้าที่เฝ้าประตู
“ท่านทั้งสองมีเรื่องอันใด?”
สมาชิกคนหนึ่งของตระกูลเทียนถามออกมาด้วยความสุภาพ สัมผัมได้ว่าซีนั้นไม่ธรรมดา และอาจไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงไม่กล้าแสดงท่าทางโอหังออกมา
ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนี้ ตนจะสุภาพนอบน้อมเช่นนี้ได้อย่างไร สิ่งมีชีวิตทั่วไปล้วนถูกขับไล่ทันทีที่มาถึง
“พวกข้ามาหาเทียนลู่ พวกเราเคยพบพานกันมา”
ซียิ้มน้อย ๆ ดูงดงามสะท้านใจคน “ฝากบอกเถิดว่าซีกับเต่ากุยซวีเสวียนมาขอพบ”
เต่ากุยซวีเสวียนก็คือเต่าชรา มันไม่ใช่เต่าธรรมดาทั่วไป ในจักรวาลโกลาหลของมัน สายเลือดนั้นถือได้ว่าทรงพลังน่าตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง มีสายเลือดจำนวนน้อยมากที่สามารถนำมาเปรียบเทียบได้
“มาหานายน้อยเทียนลู่อย่างนั้นหรือ?”
ประกายแสงแปลกประหลาดปรากฏขึ้นในดวงตาของสมาชิกตระกูลเทียนผู้นี้ ทว่ามันก็หายไปอย่างรวดเร็ว
เขาเอ่ยออกมาทันที “ท่านทั้งสองรอสักครู่เถิด ข้าจะไปแจ้งข่าว”
หลังจากนั้นเขาก็จากไปเพื่อบอกข่าว โดยทิ้งสมาชิกอีกคนไว้ที่นี่
หลังจากนั้นไม่นาน สมาชิกผู้นั้นก็กลับมาพร้อมกับผู้อาวุโสอีกหลายคน
“แขกคนสำคัญได้มาเยือนแล้ว โปรดอย่าถือสาที่พวกเราไม่อาจต้อนรับได้ทันเวลา!”
ชายชราผมขาวผู้หนึ่งเดินออกมาด้านหน้าสุด ก่อนกล่าวออกมาด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
เขาแนะนำตัว บอกว่าตนเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลเทียน ได้รับคำยืนยันจากนายน้อยเทียนลู่ว่าซีและเต่าชราเป็นแขกคนสำคัญ!
“นายน้อยเทียนลู่และท่านประมุขมีธุระจำต้องออกไปด้านนอก ทว่านายน้อยเทียนลู่กำชับกับพวกเราอย่างจริงจัง ให้ปฏิบัติต่อทั้งสองท่านเป็นอย่างดี! หากต้องการสิ่งใดโปรดอย่าได้ลังเลที่จะเอ่ยออกมา!”
เขากล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม ท่าทางดูมีความเมตตาโอบอ้อมอารีเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่อยู่หรือ...”
ซีเอ่ย “ไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด ข้าเพียงแค่ต้องการฝึกฝนในดินแดนตระกูลเทียนสักระยะหนึ่ง”
“ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว! นายน้อยเทียนลู่กล่าวว่าท่านทั้งสองคือผู้มีพระคุณอย่างยิ่งของนายน้อยเทียนลู่ ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องการฝึกฝนระยะหนึ่งเลย แม้ท่านทั้งสองต้องการจะฝึกฝนที่นี่ตลอดไปก็ย่อมได้”
ผู้อาวุโสใหญ่พูดเชื้อเชิญซีและเต่าชราด้วยรอยยิ้ม “เชิญท่านทั้งสองเข้ามาก่อนเถิด!”
ซีและเต่าชราเข้าไปยังด้านในดินแดนตระกูลเทียน
สภาพแวดล้อมภายในตระกูลนั้นดียิ่งกว่าภายนอกมาก สสารฝีกฝนปกคลุมอย่างหนาแน่น ซีประเมินในใจ หากนางฝึกฝนที่นี่ เวลาที่ใช้ในการก้าวขึ้นไปยังชั้นสามจะสั้นลงเป็นอย่างมาก
“แล้วเทียนหมิงผู้นั้นเป็นเช่นไรบ้าง?”
ระหว่างทาง เต่าชราเอ่ยถามผู้อาวุโสใหญ่
“เทียนหมิงผู้นั้นชั่วร้ายนัก จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต กระทั่งพี่ชายร่วมสายเลือดยังสามารถฆ่าได้ เช่นนั้นคงไม่ปล่อยเขาไปโดยง่ายกระมัง”
เต่าชราพูดต่อ
“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น”
ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่าพูดถึงเรื่องที่เขาลงมือกับนายน้อยเทียนลู่เลย ต่อให้เขาลงมือกับคนธรรมดาในตระกูล ก็จะไม่มีทางได้รับการให้อภัย จะต้องได้รับโทษอย่างสาสม!”
เขาเล่าว่าเทียนหมิงนั้นถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินนวปรภพ นับเป็นการลงโทษสถานหนักอย่างถึงที่สุด เทียนหมิงจะต้องทนทุกข์ทรมานทั้งวันคืนเพื่อชดเชยความคิดที่ก่อไว้
“เช่นนั้นก็ยอดเยี่ยม คนผู้นั้นมีจิตใจน่ารังเกียจยิ่งนัก ไม่มีความเป็นมนุษย์อยู่แม้แต่น้อย สมควรต้องได้รับโทษอย่างรุนแรงที่สุด!”
เต่าชรายิ้มออกมาอย่างเบิกบาน
พวกเขาเดินมาถึงตำหนักแห่งหนึ่งอันเป็นห้องโถงต้อนรับแขกของตระกูลเทียน ก่อนผู้อาวุโสใหญ่จะสั่งให้คนมารินชาให้ซีและเต่าชรา
“ข้าขอไปเตรียมพร้อมสักครู่ จากนั้นจะพาท่านทั้งสองเข้าไปยังเจดีย์เวหาของตระกูลเทียนเพื่อฝึกฝน!”
ผู้อาวุโสใหญ่กล่าว จากนั้นก็อธิบายเรื่องเจดีย์เวหาให้ซีและเต่าชราฟัง
“เจดีย์เวหาเป็นสถานที่ฝึกฝนที่ดีที่สุดในตระกูลเทียนของพวกเรา! เป็นสมบัติล้ำค่าที่บรรพจารย์ตระกูลเรานำมาจากตระกูลหลัก สามารถรวบรวมแก่นปราณและสสารฝึกฝนอันบริสุทธิ์ที่สุดในโลกมาได้ นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ตระกูลเทียนของพวกเรายืนหยัดมาได้จนถึงทุกวันนี้ กลายเป็นรากฐานของตระกูลอันทรงพลังที่สุด!”
เขาบอกเล่าว่าเจดีย์เวหาล้ำค่าเป็นอย่างยิ่งในตระกูลเทียน มีเพียงคนจำนวนน้อยนิดที่มีคุณสมบัติเพียงพอจะเข้าไปในเจดีย์เวหาเพื่อฝึกฝน อีกทั้งยังมีกำหนดเวลาอีกด้วย
ซีและเต่าชราถือว่ามีบุญคุณกับนายน้อยเทียนลู่อย่างใหญ่หลวง จึงสามารถเข้าไปฝึกฝนด้านในเจดีย์เวหาได้โดยไม่จำกัดเวลา
“รบกวนแล้ว!”
ซียิ้มพร้อมกล่าวขอบคุณ
เจดีย์เวหา นางได้เห็นทันทีตั้งแต่เข้ามาในดินแดนตระกูลเทียนแล้ว มันพิเศษจริง ๆ มีกฎเกณฑ์อันไม่อาจอธิบายได้หมุนเวียนอยู่ ผลักดันให้แก่นปราณและสสารชั้นสูงหลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
หากฝึกฝนในเจดีย์เวหา จะต้องได้รับผลเพิ่มขึ้นครึ่งหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย บางทีอาจจะมากกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ
“อย่าได้เกรงใจไป ข้าจะไปเตรียมพร้อมก่อน!”
ผู้อาวุโสใหญ่ยิ้มแล้วไปจากที่นี่
ซีและเต่าชรานั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่รอผู้อาวุโสใหญ่กลับมา ระหว่างนั้นทั้งสองคนก็ดื่มชารอไปพลาง
“รสชาติไม่เลวเลย!”
เต่าชราจิบชา ดวงตาพลันเปล่งประกายขึ้นมา มันดื่มชาลงไปจนหมดถ้วย
“อร่อยยิ่งนัก สามารถเติมอีกได้หรือไม่?”
เต่าชราหัวเราะออกมา ไม่ได้มีความเขินอายแม้แต่น้อย หันไปหาสาวใช้ขอให้เติมชาด้วยใบหน้าหนาเป็นอย่างยิ่ง
“เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยสำหรับแขกคนสำคัญ!”
สาวใช้ยิ้มแผ่วบาง ก่อนจะรินชาอีกถ้วยให้เต่าชรา
เต่าชราดื่มหมดในอึกเดียว จากนั้นก็ให้สาวใช้เติมชาอีกถ้วยอย่างหน้าไม่อาย
เมื่อสาวใช้รินเติมให้ เต่าชราก็ดื่มหมดในอึกเดียวอีกครั้ง จากนั้นสาวใช้ก็รินเติมให้อีก เช่นนั้นกลับไปมายี่สิบกว่ารอบได้!
ทว่ายังไม่จบสิ้นแต่เพียงเท่านี้ เต่าชรายังต้องการจะดื่มชาอีก
สาวใช้แทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว เต่าชราผู้นี้กำลังทำสิ่งใดกัน? ต้องการจะดื่มน้ำชาจนอิ่มเลยอย่างนั้นหรือ?
ทว่านางก็ยังคงรินน้ำชาให้เต่าชราต่อไป
ซีไร้วาจาจะเอ่ย เต่าชราผู้นี้ไม่สนสายตาที่ผู้อื่นมองมาแม้แต่น้อย มีแขกที่ไหนกันจะขอเติมชาเรื่อย ๆ เช่นนี้? นางไม่สามารถทนมองต่อไปได้
สาวใช้เทชาให้เต่าชราอีกหลายถ้วย จนสุดท้ายผู้อาวุโสใหญ่ก็กลับมา นางพลันโล่งใจขึ้นมา ในใจเบิกบานเป็นอย่างมาก
“พวกเราไปกันเถิด!”
ผู้อาวุโสใหญ่กล่าว “เจดีย์เวหามีสิบแปดชั้น ยิ่งขึ้นไปสูงเท่าใดผลลัพธ์ที่ได้ก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น ข้าได้เตรียมการให้พวกท่านทั้งสองขึ้นไปฝึกฝนยังชั้นที่สิบแปดแล้ว”
“รบกวนผู้อาวุโสแล้ว”
ซีเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะตามผู้อาวุโสใหญ่พร้อมเต่าชราไปยังเจดีย์เวหา
หลังจากนั้นผู้อาวุโสใหญ่ก็พาซีและเต่าชราเข้าไปยังเจดีย์เวหา ขึ้นไปจนกระทั่งถึงชั้นที่สิบแปด
“ทั้งสองท่าน… ฝึกฝนกันให้ดีเล่า!”
จู่ ๆ ผู้อาวุโสใหญ่ก็พลันแย้มยิ้มแปลกประหลาดน่าขนลุกออกมา แตกต่างจากท่าทางเป็นมิตรที่แสดงออกมาก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง!
ร่างของเขาค่อย ๆ เลือนรางไปอย่างรวดเร็ว ราวกับต้องการจะออกไปจากที่นี่ทันที
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่ปรากฏให้เห็น!
“ลาก่อนทั้งสองท่าน!”
ใบหน้าผู้อาวุโสใหญ่ประดับด้วยรอยยิ้มสดใส ร่างกายกำลังเลือนหายไป เขากำลังจะไปจากที่นี่
เขาบรรลุภารกิจของตนแล้ว จึงมีความปีติเป็นล้นพ้น โบกมือลาซีกับเต่าชรา!
“ไม่ต้องกล่าวว่าลาก่อน พวกเรายังไม่ค่อยรู้จักที่นี่เท่าใด โปรดอยู่อธิบายสถานการณ์ที่นี่ให้พวกเราฟังก่อนเถอะ!”
ซีตาตาเป็นประกาย จับพิรุธได้ทันทีอย่างมีไหวพริบ นางชี้นิ้วออกไป พลันนั้น พลังกล้าแกร่งมวลหนึ่งพุ่งไปหาผู้อาวุโสใหญ่เพื่อรั้งเขาไว้ที่นี่ ไม่ปล่อยให้ผู้อาวุโสใหญ่ได้จากไปง่าย ๆ
ปฏิกิริยาของผู้อาวุโสใหญ่ในเวลานี้ประหลาดเกินไป ต้องมีเงื่อนงำแน่นอน นางรู้สึกว่าไม่ควรปล่อยผู้อาวุโสใหญ่ไปทั้งอย่างนี้
“หืม?!”
สีหน้าผู้อาวุโสใหญ่เปลี่ยนไป คิดไม่ถึงว่าซีจะมีไหวพริบดีเช่นนี้!
เขาชักเสียใจขึ้นมา รู้อย่างนี้ไม่น่าเอ่ยอันใด ควรแสดงละครให้เสร็จสิ้นก่อนแล้วค่อยไป
ทว่า ความเสียใจนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะ พริบตาต่อมา เขาก็ไม่ได้สำนึกเสียใจอันใด
ไม่มีเรื่องใดต้องเสียใจ ซีเข้าไปในเจดีย์เวหาแล้ว ซ้ำที่นี่ยังเป็นชั้นสิบแปด ซีอยู่ในกำมือพวกตนแล้ว!
นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ ซี… ดื่มชาเข้าไปแล้ว!
ชานั้นก็หาใช่น้ำชาธรรมดา มีการผสม ‘บางอย่าง’ ลงไป สิ่งนั้นจักสลายพลังของซีโดยไม่ให้รู้ตัว ซียิ่งไม่มีทางก่อเรื่องได้อีก!
คำนวณเวลาดูแล้ว น้ำชาคงใกล้ออกฤทธิ์เต็มที!
เสียงดังตู้มกึกก้อง ประกายสยดสยองฉายออกจากตัวเขา ทลายพลังที่พันธนาการตนไว้ ตั้งท่าจะออกจากเจดีย์เวหา
เขาไม่ต้องการอยู่ที่นี่ แม้จะไม่มีทางพลาดพลั้ง ทว่าซีก็ไม่ธรรมดา จากที่ผู้นำตระกูลเทียนหมิงกล่าวไว้ ซีมีความลึกล้ำในตัวอยู่มาก เขากลัวจะเกิดเหตุการณ์อื่นใด!
ออกจากเจดีย์เวหาจึงจะปลอดภัยที่สุด!
“เจ้าหนีไม่พ้นหรอก!”
ซีลงมือทันที สำแดงเคล็ดวิชากระบี่ กระบี่สวรรค์นับพันฟาดฟันออกไป เล็งเป้าไปที่ผู้อาวุโสใหญ่ไม่ให้เขาได้ไปไหน
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
กระบี่สวรรค์นับพันเล่มส่งเสียงเคร้ง ภาพการณ์น่าครั่นคร้ามเป็นที่สุด ผู้อาวุโสใหญ่รีบสำแดงวิชาลับ หมายจะฝ่าออกจากกองกระบี่สวรรค์นับพันเล่มนั้นและไปจากที่นี่!
ทว่า เรื่องที่เหนือความคาดหมายของเขาคือ เขากลับรับมือไม่ไหว!
“เป็นไปได้อย่างไรกัน!?”
เขามีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก คิดไม่ถึงเลย เสี้ยวลมหายใจที่ซีลงมือ เขาก็แน่ใจได้ว่าซีนั้นอยู่ในขอบเขตลอยชายขั้นเก้า ในสถานการณ์ปกติ ซีไม่ควรสู้ตนได้!
เพราะเขาก้าวสู่ขอบเขตผู้บงการแล้ว มีความต่างชั้นในระดับพลังอย่างใหญ่หลวง ความต่างชั้นนั้นไม่อาจก้าวข้ามไปได้ เขาสามารถกำราบซีได้ง่ายดายไร้กังวล!
ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายกลับไม่ได้ใกล้เคียงเลยสักนิด อย่าว่าแต่กำราบซีเลย เขาแทบรับมือการโจมตีของซีไม่ได้ด้วยซ้ำ!
“นี่มันเคล็ดกระบี่อันใดกัน?!”
เขาตกตะลึง ไม่นานนักก็ตระหนักถึงปัญหา ซีนั้นไม่ธรรมดาจริง ๆ เคล็ดวิชากระบี่นี้มหัศจรรย์อย่างยิ่ง อยู่ในระดับสูงส่งอย่างไม่ต้องสงสัย พลังที่ปะทุออกมาเหนือชั้นกว่าขอบเขตลอยชายขั้นเก้าไปไกล!
“อ๊าก ๆๆ!”
เวลานั้นเอง จู่ ๆ เต่าชราก็ครวญครางด้วยความเจ็บปวด กลิ้งไปทั่วพื้นที่ มันรู้สึกไม่สบายกายมาก พลังที่มีกำลังถูกสลายไปทีละน้อย!
“ฮ่า ๆ!”
ผู้อาวุโสใหญ่เห็นดังนั้นก็หัวเราะออกมาดังลั่น ชาออกฤทธิ์แล้ว!
“น้ำชาของพวกเราตระกูลเทียนหาได้ดื่มกันได้ง่าย ๆ! ซ้ำเจ้ายังดื่มไปตั้งมาก!”
เขามองซีพลางกล่าว “เจ้าเองก็ดื่มไปหนึ่งถ้วย รอจนพลังในกายถูกสลายไปเถิด!”
“ชาอย่างนั้นหรือ?!”
นัยน์ตาซีไหวระริก คิดไม่ถึงเลยสักนิด นางเองก็ดื่มชาไปถ้วยหนึ่งเช่นกัน หรือว่าพลังในกายของนางจะถูกสลายไปด้วย?!
“นำยาแก้พิษออกมา!”
นางลงมือดุดันยิ่งขึ้น หมายจะกำราบผู้อาวุโสใหญ่ก่อนพลังในกายถูกสลาย แล้วยึดยาแก้พิษมาล้างพิษในตัว!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มีพิษในชาแน่นอน!
“เจ้าเพ้อพกอันใดอยู่!”
ผู้อาวุโสใหญ่ขำพรืด “เจดีย์เวหาตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง พลังที่คุ้มกันเจ้าอยู่ไม่มีทางจุติลงมาได้ เจ้ามีแต่ต้องตายเท่านั้น!”
“เทียนลู่สั่งให้พวกเจ้าทำเช่นนี้หรือ”
แววตาซีเย็นยะเยือก นางช่วยชีวิตเทียนลู่ไว้ ช่วยเทียนลู่จัดการเทียนหมิง บัดนี้เทียนลู่คิดจะเนรคุณอย่างนั้นหรือ?!
นางมิได้คาดการณ์ถึงเรื่องนี้จริง ๆ!
“เทียนลู่อันใด บัดนี้เขากลายเป็นนักโทษ ถูกคุมขังในคุกใต้ดินนวปรภพไปนานแล้ว แม้กระทั่งผู้นำตระกูลเองก็เปลี่ยนสมัยไปนานแล้ว!”
ผู้อาวุโสใหญ่กล่าว “ยามนี้ คุณชายเทียนหมิงคือผู้นำตระกูล!”
“ว่าอันใดนะ!”
ซียิ่งนึกไม่ถึงเข้าไปใหญ่ เทียนลู่ทำอันใด ขนาดนี้แล้วเทียนหมิงยังพลิกสถานการณ์กลับมาได้อีกหรือ?!
“เพราะอย่างนั้น เจ้าเลิกเพ้อฝันได้แล้ว!”
ผู้อาวุโสใหญ่ยิ้มเย็นพลางเอ่ย “วันนี้คือวันตายของเจ้า!”
“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว!”
ซีสำแดงฤทธิ์เดชอีกครั้ง ใช้มหาวิชาซึ่งมีอานุภาพแข็งกล้าเช่นกัน และอาจกล้าแกร่งยิ่งกว่าเมื่อเทียบกับเคล็ดวิชากระบี่!
วิชาอภินิหารเหล่านี้ล้วนสมบูรณ์แบบขึ้นเพราะนาง ระดับชั้นสูงส่งวิเศษกันถ้วนหน้า ไม่อาจเทียบได้กับเมื่อครั้งอดีต!
นอกจากนี้ เจดีย์เวหาตัดขาดมวลพลังที่คอยคุ้มกันนางได้จริงหรือ?
เป็นไปได้อย่างไรกัน!
พลังที่คอยคุ้มกันนางขับไล่ได้กระทั่งพลังมืดมิด และส่องสะท้อนเส้นทางที่ถัดไปจากเทวโลก มีหรือจะถูกเจดีย์เวหาเล็ก ๆ นี้ตัดขาด
ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าเป็นไปไม่ได้!
นางรู้สึกว่าต่อให้นางดื่มชาและถูกพิษเข้าไป ก็ไม่มีทางเป็นอันใด เมื่อสารพิษที่ว่ากำลังจะทำอันตรายนาง พลังที่คอยคุ้มกันนางจักปรากฏ ช่วยสลายสารพิษในตัว!
“เหตุใดถึงยังไม่ออกฤทธิ์?!”
ผู้อาวุโสใหญ่ตื่นตระหนก หลังซีสำแดงอีกมหาวิชาออกมา เขาก็ยิ่งต้านไหว เห็นอยู่ว่าจะถูกซีกำราบแล้ว!
ไม่ควรเป็นเช่นนี้!
สารพิษนี้มีความพิเศษสูง ยิ่งใช้พลังมากเท่าใด พิษก็ยิ่งออกฤทธิ์ไวเท่านั้น
ต่อสู้ด้วยพลังเยี่ยงนี้ พิษควรออกฤทธิ์ไปนานแล้ว!
พิษของเต่าชราออกฤทธิ์ทั้งที่ไม่ได้สู้ก็เพราะเต่าชราดื่มเยอะเกินไป!
ชั่วขณะหนึ่ง เขาสำนึกจากใจจริง เสียใจเป็นที่สุด เขาอวดดีเกินไป ทึกทักเอาเองว่าไม่เป็นไรแล้ว ถึงเปิดเผยตัวตนออกมา เป็นผลให้ถูกรั้งไว้ที่นี่!
พรวด! พรวด! พรวด!
โลหิตสาดกระเซ็น เขาต้านไม่อยู่แล้วอย่างสิ้นเชิง ถูกซีกำราบลง
“นำยาแก้พิษออกมา!”
ในมือซีมีกระบี่สวรรค์หนึ่งเล่มกำลังชี้ไปที่ผู้อาวุโสใหญ่ บีบคั้นให้ผู้อาวุโสใหญ่นำยาแก้พิษออกมา นางรู้สึกว่าน่าจะมียาแก้พิษอยู่
การลืมตัวทำให้เสียเปรียบมหันต์!
ผู้อาวุโสใหญ่ใกล้ร้องไห้เต็มที อย่าให้เอ่ยเลยว่าทุกข์ใจเพียงใด เขาอยากตบตัวเองให้ตายนัก ก่อนนี้ไยต้องวางมาด ต้องคุยเบ่งสักประโยคสองประโยคก่อนไป
บัดนี้ เขาทำให้ตนเองติดกับไปด้วย!
“เจ้าเลิกคิดเรื่องยาแก้พิษได้เลย…”
เวลานั้นเอง เสียงหนึ่งดังเข้ามาจากข้างนอก ซีมองเห็นเทียนหมิงผ่านกระจกในเจดีย์เวหา!
“เขาไม่มียาแก้พิษ ยาแก้พิษอยู่กับข้า”
เทียนหมิงหัวเราะ ก้มมองซีจากนอกหน้าต่างพลางกล่าว “คิดไม่ถึงใช่หรือไม่! เดิมข้าคิดอยู่ว่าอีกสักพักค่อยไปหาเจ้า ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมาหาด้วยตนเอง รนหาที่ตายจริงเชียว!”
สีหน้าของซีเย็นชา เป็นลูกไม้ของเทียนหมิงจริง ๆ!
“ส่งยาแก้พิษมา มิฉะนั้นข้าจะฆ่าเขา!”
นางใช้ผู้อาวุโสใหญ่ไล่ต้อนเทียนหมิง ให้เทียนหมิงส่งยาแก้พิษมาให้ตน
“เจ้าไร้เดียงสาเกินไปหรือไม่ แม้แต่พี่ชายแท้ ๆ ของข้า ข้ายังไม่ยอมปล่อย เจ้าคิดหรือว่าข้าจะแยแสชะตากรรมของเขา”
เทียนหมิงหัวเราะ “เลิกเพ้อเจ้อเสียที ยอมรับความตายของเจ้าด้วยความสบายใจเถิด”
สำหรับเขา ผู้อาวุโสใหญ่เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้น
เขาไม่สนใจความเป็นความตายของผู้อาวุโสใหญ่สักนิด!
ผู้อาวุโสใหญ่สติแทบขาด เขาโอหังเกินไป เปิดเผยตัวล่วงหน้า ผลสุดท้ายถูกรั้งไว้ที่นี่ เขาตั้งความหวังว่าเทียนหมิงจะช่วยตน แต่ท่าทีของเทียนหมิงกลับเป็นเช่นนี้ ไม่แยแสความเป็นความตายของตนสักนิด!
ที่จริงมาคิดดูแล้ว จะแยแสได้อย่างไรเล่า เป็นดั่งที่เทียนหมิงว่า เทียนหมิงไม่แยแสแม้แต่พี่แท้ ๆ ของตนเอง ไม่แยแสแม้แต่บิดาบังเกิดเกล้าของตนเอง ไหนเลยจะได้มอบความเมตตาให้ผู้อื่น ความคิดของเขาก่อนหน้านี้ช่างไร้เดียงสายิ่งนัก!
ซีไม่ได้ลงมือต่อ ด้วยรู้ดีว่าไม่อาจข่มขู่เทียนหมิงได้
นางเข้าไปหาเต่าชรา สำแดงมหาวิชารักษาเพื่อแก้พิษ
พิษนี้น่ากลัวอย่างแท้จริง มหาวิชารักษาที่นางใช้ผ่านการปรับปรุงจากนางมาแล้ว พลานุภาพกล้าแกร่งอย่างยิ่งยวด กระนั้นยังไม่อาจแก้พิษในตัวเต่าชราได้
ทว่าก็พอส่งผลบ้าง พลังในตัวเต่าชราที่ถูกสลายลดความเร็วลง
“ไม่ต้องแตกตื่น รีดเร้นพลังตามคัมภีร์ เฝ้ารักษาแก่นกำเนิดไว้!”
ซีกล่าว
นางช่วยให้วิชาของเต่าชราสมบูรณ์ขึ้น และยกระดับชั้นของอานุภาพขึ้นเช่นกัน เมื่อรีดเร้นแล้ว จักช่วยให้พลังที่ถูกสลายไปในตัวลดความเร็วลงอีก
หลังเต่าชราได้ยินคำพูดของซี ก็รีบรีดเร้นวิชาในตัว ตามคาด พลังในตัวที่ถูกสลายเชื่องช้าลงไปอีก
“เปล่าประโยชน์! วันนี้เจ้าหนีไม่พ้นแน่!”
เทียนหมิงมีสีหน้าเย็นชา ไม่ได้รีบร้อนลงมือ เจดีย์เวหานี้นอกจากสามารถตัดขาดจากโลกภายนอกแล้ว ยังโจมตีอย่างน่ากลัวได้อีกด้วย
ทว่า เขาไม่ได้จู่โจมซีทันที
เขาต้องการรอไปก่อน รอให้พิษในตัวซีกำเริบ เพื่อลดโอกาสการพลาดพลั้ง!
ถึงอย่างไร พลังที่คอยคุ้มครองซีอยู่ก็พิลึกพิลั่น แม้แต่เจดีย์เวหาก็ไม่อาจขวางกั้น หลังโจมตีออกไปจึงยังมีพลังเช่นนั้นปรากฏออกมา
ทันทีที่พิษในตัวซีกำเริบ พลังในกายถูกสลาย เวลานั้นเขาจะจู่โจมอย่างรุนแรงรวดเร็ว สังหารซีในเสี้ยวลมหายใจ ไม่เหลือโอกาสให้พลังคุ้มครองนั้นได้จุติ!
เดิมซีต้องการใช้วิชารักษาขับไล่สารพิษในตัว แต่นางกลับพบว่า นางไม่เป็นอันใด ราวกับไม่มีสารพิษใดในตัว
“เข้าใจแล้ว!”
ไม่นานนางก็เข้าใจ ค่อย ๆ คิดตก
ร่างกายของนางผ่านการปรับปรุงจากท่านผู้นั้น ไหนเลยจะเกิดปัญหาได้ง่าย ๆ
ต่อให้สารพิษนั้นน่ากลัวเพียงใด ก็ไม่มีทางเป็นอันตรายต่อร่างกายของนาง มิฉะนั้น ป่านนี้นางคงออกอาการไปนานแล้ว ไม่มีทางอยู่อย่างปกติสุขเช่นนี้
นางใจเย็นลง และแน่ใจได้ว่าสารพิษนั้นจะไม่เป็นภัยคุกคามต่อตน จึงเริ่มประเมินสถานการณ์อีกครั้ง
ที่นี่มีคลื่นริ้วค่ายกลโลดแล่น และยังเป็นคลื่นริ้วค่ายกลที่ลึกล้ำไม่ธรรมดา คิดแล้วคงเป็นค่ายกลที่ทรงพลัง มิฉะนั้นเทียนหมิงคงไม่มั่นใจว่าสามารถขวางกั้นพลังที่คอยคุ้มครองนางได้
นางไม่เคยร่ำเรียนวิชาค่ายกล จึงไม่รู้เรื่องค่ายกลเลยสักนิด ทว่า หลังจากพินิจพิเคราะห์จนถี่ถ้วน นางก็หัวเราะอยู่ในใจ
แข็งแกร่งเหลือเกิน!
พรสวรรค์ด้านอภินิหารของนางเผยออกมาในด้านค่ายกลเช่นกัน!
ไม่ว่าจะเป็นอภินิหารประเภทใด ขอเพียงนางได้อ่านตำราหนึ่งรอบก็จะเห็นจุดด่างพร้อย ซ้ำยังช่วยปรับปรุงให้สมบูรณ์ขึ้นได้ด้วย
สถานการณ์ในยามนี้ก็เช่นกัน!
หลังนางได้พิจารณาดูแล้วหนึ่งรอบ ก็รู้แจ้งในค่ายกลของสถานที่แห่งนี้อย่างสมบูรณ์ ค้นพบจุดด่างพร้อยทั้งหมด ซ้ำยังช่วยแก้ให้สมบูรณ์ เสริมค่ายกลแห่งนี้ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้ด้วย!
“ทลายค่ายกลหรือ? ไม่ ๆๆ…”
ซีหัวเราะในใจ นางทลายค่ายกลและออกจากเจดีย์เวหาได้แน่นอน สำหรับนาง ค่ายกลนี้เปรียบเสมือนของประดับ ไร้ผลใด ๆ
ทว่า นางไม่คิดจะทำเช่นนั้น
ที่นี่ช่างยอดเยี่ยม ไยต้องไปจากที่นี่ด้วย
เจดีย์เวหามีสรรพคุณรวบรวมขุมปราณพลังในฟ้าดินดั่งที่กล่าวอ้าง หากได้ฝึกฝนที่นี่ ย่อมได้ผลดีกว่าที่อื่น นางสำเร็จด้วยความพยายามเพียงครึ่งหนึ่งจากที่เคย และอาจได้ผลทวีคูณอีกหลายเท่าตัว!
หากไม่ใช่เช่นนั้น นางคงไม่ตามผู้อาวุโสใหญ่เข้ามาในเจดีย์เวหา
เดิมเจดีย์เวหานี้คือค่ายกลใหญ่ นางควบคุมค่ายกลใหญ่นี้ได้แน่นอน และทำให้ค่ายกลใหญ่นี้รับใช้นาง ทำให้เทียนหมิงสูญเสียอำนาจที่มีต่อค่ายกลใหญ่นี้
จากนั้น นางเริ่มปฏิบัติการ ปรับแก้ค่ายกล
“เจ้าคิดจะทลายค่ายกลหรือ เลิกฝันกลางวันเสียเถอะ!”
นอกเจดีย์เวหา หลังเทียนหมิงเห็นสิ่งที่ซีทำก็คิดไปว่าซีกำลังพยายามทลายค่ายกล เขาถึงกับหัวเราะออกมา
นี่คือของวิเศษที่บรรพจารย์นำกลับมาจากตระกูลหลัก ถือเป็นของวิเศษชิ้นสำคัญของตระกูลหลักด้วย ค่ายกลส่วนสำคัญในนั้นไหนเลยจะทลายได้ง่าย ๆ
ไม่มีทาง!
อย่าว่าแต่ซีเลย แม้แต่ผู้บงการอาวุโสที่เชี่ยวชาญด้านค่ายกลยังทำไม่ได้!
ซีวุ่นวายอยู่ข้างในพักใหญ่ก่อนจะรามือ นั่งขัดสมาธิในนั้นแล้วเริ่มการฝึกฝน!
“รู้ว่าไม่ไหวจึงยอมแพ้หรือ?”
เทียนหมิงหัวเราะเยาะ
“ไม่สิ! เหตุใดค่ายกลถึงอยู่ใต้บัญชาของนาง ขุมปราณชีวิตในฟ้าดินกำลังถูกนางดูดกลืนอย่างบ้าคลั่ง!”
สีหน้าของเขาเคร่งเครียดถึงขีดสุดจนฝนแทบตกลงมา สถานการณ์ผิดปกติเกินไป ซีใช้พลังค่ายกลได้ แล้วยังสำแดงอานุภาพของค่ายกล ดูดกลืนขุมปราณชีวิตในฟ้าดินอย่างบ้าคลั่งได้ด้วย!
“บัด… ซบ!”
เขาด่ากราดไม่หยุด รีบนำธงค่ายกลออกมา สุดท้ายกลับค้นพบด้วยความตกตะลึงว่าเขาไม่อาจควบคุมค่ายกลในเจดีย์เวหาได้อีกต่อไป!
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?!”
เขาไม่อาจเชื่อได้ลง หน้าตาประหวั่นพรั่นพรึงยิ่ง ที่ซีทำไปเมื่อครู่เปลี่ยนเจ้านายของค่ายกลได้จริงหรือ
สวรรค์ ทำได้อย่างไรกัน
ให้ตายเขาก็เชื่อไม่ลงว่าทั้งหมดนี้คือเรื่องจริง!
ทว่า ความเป็นจริงได้พิสูจน์แล้วว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่ภาพฝัน!
ไม่ว่าจะทำอย่างไร ก็ไม่อาจควบคุมค่ายกลในเจดีย์เวหา ปราศจากปฏิกิริยาตอบโต้!
“รีบฆ่านางเสีย!”
เทียนหมิงคำราม หมายจะให้ผู้อาวุโสใหญ่ข้างในฆ่าซี หรือเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่ค่ายกลถูกปรับให้อยู่ในการควบคุมของนาง!
โง่หรือไร!
เทียนหมิงไม่ใยดีชีวิตตน แล้วยังจะให้เอาชีวิตเข้าแลกอีกหรือ
คิดอันใดอยู่!
ผู้อาวุโสใหญ่เมินเทียนหมิง
“สวะเอ๋ย! เจ้าบังอาจไม่ฟังคำสั่งข้า ข้าจะฆ่าลูกหลานเหลนของเจ้าให้หมด!”
เทียนหมิงคำราม หากผู้อาวุโสใหญ่ฝ่าฝืนคำสั่งจริง เขาจะฆ่าลูกหลานเหลนของผู้อาวุโสใหญ่ให้หมด!
“เจ้าอำมหิตเกินไปแล้ว!”
ผู้อาวุโสใหญ่โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง เทียนหมิงไม่เหลือความเป็นมนุษย์เลยสักนิด!
“เร็วเข้า เจ้ารู้ว่าข้าทำเช่นนั้นแน่!”
เทียนหมิงกล่าว “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะใช้วิธีใด ฆ่านาง หรือทำลายการควบคุมของนางที่มีต่อค่ายกลใหญ่เสีย!”
นี่คิดจะส่งเขาไปตายจริง ๆ หรือ!
เขาไม่ใช่คู่มือของซี จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร เทียนหมิงไม่คิดจะไว้ชีวิตเขาด้วยซ้ำ!
ผู้อาวุโสใหญ่ขบกรามแทบหัก ทว่า เขาจะมีหนทางอื่นใดอีก
เทียนหมิงใช้ลูกหลานเหลนของตนในการขู่ เขาจำต้องสู้สุดชีวิต!
จากนั้น เขาคิดจะจุดประกายแก่นกำเนิดในตัวแล้วเข้าต่อสู้โดยใช้พลังจากแก่นกำเนิด เลิกหวังที่จะมีชีวิตต่อ
ทว่า เวลานั้นเอง พลังมวลหนึ่งม้วนรอบตัวและส่งเขาออกจากเจดีย์เวหา
ขณะเดียวกัน เจดีย์เวหาปิดผนึกสมบูรณ์ เทียนหมิงไม่อาจมองเห็นสถานการณ์ด้านในได้อีก
“เดิมข้าคิดจะฆ่านางด้วยเจดีย์เวหา สุดท้ายข้ากลับช่วยสงเคราะห์ให้นางหรือนี่?!”
เทียนหมิงโมโหจนอวัยวะภายในแทบระเบิดออกมา แค่คำว่าชอกช้ำยังน้อยไปด้วยซ้ำ
ซีควบคุมเจดีย์เวหาไว้ได้ บัดนี้ เจดีย์เวหากลายเป็นสถานที่ฝึกฝนชั้นเลิศของซี เขาดันมอบวาสนาการเปลี่ยนแปลงให้หรือนี่!
“เจ้าไม่มีทางทำสำเร็จ!”
สายตาของเขาโหดเหี้ยม ไปจากที่นี่เพื่อรวมกำลังพล อย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยให้ซีได้ฝึกฝนในเจดีย์เวหาอย่างสบายอารมณ์
เช่นนี้รังแต่จะทำให้ซีแข็งแกร่งยิ่งขึ้น!
เทียนหมิงไปแล้ว ไปร้องความช่วยเหลือจากบรรพจารย์ในตระกูล เขาไม่มีทางปล่อยให้ซีได้อยู่ในเจดีย์เวหาอย่างปลอดภัย ทำเช่นนั้นหยามกันเกินไป!
ทว่า เขาไม่ทันได้ไปหาบรรพจารย์ กลับเป็นบรรพจารย์ที่มาหาเขาก่อน!
เหล่าบรรพจารย์ออกมากันทั้งหมด จุติอยู่ข้างกายเทียนหมิงด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
“เจ้าทำหน้าที่อย่างไรของเจ้า เกิดอันใดขึ้นในเจดีย์เวหา?!”
แม่เฒ่าผู้หนึ่งถามด้วยสีหน้ามืดครึ้ม สสารขุมปราณชีวิตที่รวมตัวกันในเจดีย์เวหาเปลี่ยนแปลงไปด้วยความเร็วที่ผิดเพี้ยนเกินไป แม้แต่การฝึกฝนของพวกเขายังถูกรบกวนไปด้วย จนต้องยุติการฝึกฝนและก้าวออกมา
“มีศัตรูจู่โจมเรา เดิมข้าคิดจะฆ่านางด้วยเจดีย์เวหา แต่นางกลับสะท้านโลกันตร์ เปลี่ยนแปลงค่ายกลในเจดีย์เวหา ควบคุมค่ายกลของเจดีย์เวหาไว้ได้!”
เทียนหมิงกล่าว เอ่ยว่าซีนั้นคงแตกฉานในค่ายกล และยอมรับผิดทั้งหมดที่ประเมินอีกฝ่ายต่ำไป ทำให้ซีกลับกลายเป็นภัยคุกคามของพวกตน
“ขอท่านบรรพจารย์ทั้งหลายโปรดลงโทษข้า! ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพราะข้าไม่ได้ความ!”
เทียนหมิงรู้จักวางตัวเป็นอย่างดี ท่าทียอมรับผิดเช่นนี้กลับบรรเทาความโกรธเกรี้ยวในใจบรรพจารย์ทั้งหลายได้
“เจ้าไม่ผิดหรอก ถึงอย่างไรเจ้ายังเยาว์วัยนัก ไตร่ตรองได้ไม่รอบคอบถือเป็นเรื่องปกติ”
แม่เฒ่ากล่าว ท่าทีผ่อนลงเห็นได้ชัด นางถามเทียนหมิง “เจ้ารู้ภูมิหลังของนางหรือไม่”
“ข้ารู้ไม่ละเอียดเท่าใด ทราบเพียงว่านางมีผู้คุ้มครองทรงพลังท่านหนึ่งคอยปกปักษ์รักษา มีพลังที่ปกป้องนางอยู่”
เทียนหมิงกล่าวต่อ “เรื่องนี้ต้องเริ่มเล่าตั้งแต่ต้น! ครานั้น ข้ากับพี่ใหญ่แยกย้ายกันออกไปรับสมัครยอดฝีมือเข้าตระกูลเทียนของเรา พี่ใหญ่พบนางเข้า และรู้ว่านางมีพลังคุ้มครองอยู่ จึงคิดใช้นางกำจัดข้า…”
เขาคิดหาคำแก้ต่างไว้อยู่แล้ว ยามเอ่ยวาจาเหล่านี้ เขาเล่าได้ลื่นไหลไม่มีสะดุด
“ครานั้น ข้าไม่รู้ว่านี่คือกับดักของพี่ใหญ่ พี่ใหญ่ขอให้ข้าช่วย ข้าจึงตอบตกลงด้วยความยินดี เพื่อความปลอดภัย ข้ายังขอให้ผู้อาวุโสเซินในตระกูลมาช่วยอีกแรง จากนั้น เราจึงไปด้วยกัน!”
เขากล่าว “หารู้ไม่ พลังที่คอยคุ้มครองสตรีผู้นั้นแกร่งกล้าเกินไป แม้แต่ผู้อาวุโสเซินยังไม่ใช่คู่มือของนาง ข้ากับผู้อาวุโสเซินล้วนถูกนางกำราบ ทว่าต่อมา ผู้อาวุโสหลู่มาถึง ช่วยข้ากับผู้อาวุโสเซินไว้”
เอ่ยมาถึงนี่ เขาแสดงสีหน้าปวดใจ
“พี่ใหญ่เห็นว่าท่านพ่อโปรดปรานข้ามากกว่า จึงมีใจอิจฉา หลังสตรีผู้นั้นกำราบข้ากับผู้อาวุโสเซินแล้ว ก็ปล่อยให้สตรีผู้นั้นไปและคิดเหยียบย่ำข้ากับผู้อาวุโสเซิน เวลานั้นเอง ผู้อาวุโสหลู่มาถึงได้ทันเวลา”
เทียนหมิงถอนหายใจหนักอึ้ง “ไยพี่ใหญ่ต้องทำเช่นนั้นด้วย เพื่อไม่ให้ทุกอย่างถูกเปิดโปง พี่ใหญ่เลือกแผดเผาแก่นกำเนิดพลังเข้าต่อสู้จนตัวเองต้องบาดเจ็บสาหัส แก่นกำเนิดพลังเสียหายจนไม่อาจแก้ไข…”
เขากล่าวต่อ “สิ่งที่พี่ใหญ่ไม่ทราบคือ แม้ท่านพ่อจะเอ็นดูข้า แต่รักพี่ใหญ่มากกว่า หลังพวกเราพาพี่ใหญ่กลับมาถึงตระกูล ท่านพ่อยอมฝ่าเข้าไปในแดนมฤตยูซากอัมพรเพื่อช่วยฟื้นพลังให้พี่ใหญ่ สุดท้ายท่านพ่อไม่กลับออกมาอีก สิ้นใจอยู่ในนั้น”
แท้จริงแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องเท็จ ไม่มีข้อไหนเป็นความจริง นี่คือเรื่องราวที่เขาแต่งขึ้นทั้งหมด
เขาต่างหากคือผู้ที่ต้องการยืมมือซีเพื่อฆ่าคน
อนิจจา เทียนลู่ผู้เป็นพี่ใหญ่ซื่อเกินไป ไม่เคยวางหมากภายในตระกูลเทียน แต่เขาไม่เหมือนกัน วางหมากไว้ในตระกูลเทียนอยู่หลายตัว สมาชิกมากมายเป็นคนของเขา
แน่นอนว่าผู้อาวุโสหลู่ก็เช่นกัน
ถึงแม้ซีจะกำราบตนและผู้อาวุโสเซินได้ ทว่านางไม่ได้แทรกแซงเรื่องราวหลังจากนั้น หลังอูถง ลูกสมุนของเขาเห็นว่าเกิดเรื่องก็รีบติดต่อขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสหลู่
เทียนลู่ย่อมไม่ใช่คู่มือของผู้อาวุโสหลู่ ผู้อาวุโสหลู่จึงปราบปรามเทียนลู่ลงได้
ครานั้น เดิมเขาอยากฆ่าเทียนลู่ให้สิ้น แต่ต่อมา เมื่อได้ใคร่ครวญดูแล้วจึงล้มเลิกความตั้งใจ
ท่านพ่อรักใคร่เอ็นดูเทียนลู่เกินไป บางทีอาจไม่ยอมเลิกราง่าย ๆ และทำการสืบสวน
เขามีจิตใจรอบคอบซ้ำยังอำมหิต จึงตัดสินใจกำจัดท่านพ่อเสีย!
แต่เล็กจนโต ท่านพ่อรักพี่ใหญ่มากกว่าตน พอใจในตัวพี่ใหญ่เสียยิ่งกว่าอะไร เขาไม่เต็มใจให้พี่ใหญ่ได้เป็นผู้นำตระกูลในวันหน้า แล้วต้องอยู่ใต้บัญชาของพี่ใหญ่ จึงคอยวางหมากมานานแล้ว เพื่อให้ได้เป็นผู้นำตระกูลเทียนรุ่นต่อไป
เขาคิดถึงขั้นกำจัดท่านพ่อไว้นานแล้วด้วย!
ในอดีต เขาคอยลอบวางยาพิษใส่บิดาเรื่อยมา มันเป็นพิษชนิดเรื้อรัง เขาได้มาโดยยอมแลกด้วยราคาสูง รวมถึงพิษในชาของซีและเต่าชราก็เช่นกัน!
เขาได้สิ่งเหล่านั้นมาจากแดนมฤตยูซากอัมพร ได้แลกเปลี่ยนบางอย่างกับสิ่งมีชีวิตในนั้นถึงได้มาซึ่งพิษเหล่านี้
ที่เขาไม่ได้ฆ่าเทียนลู่ เพียงแต่ทำลายแก่นกำเนิดพลังจนสาหัสก็เป็นหมากตาหนึ่งในกระดานของเขา
หลังกลับมาถึงตระกูลเทียน ยามเขาเอ่ยว่าเทียนลู่ตั้งใจฆ่าตน ท่านพ่อไม่เชื่อตามคาด ซ้ำยังต้องการค้นวิญญาณของเขาเพื่อตรวจสอบความจริงเท็จของเรื่องนี้
เขาเตรียมการไว้แล้ว เริ่มจากกระตุ้นพิษในกายท่านพ่อเพื่อสังหาร แล้วจัดแจงทุกอย่างให้ดูเป็นท่านพ่อบุกเข้าไปในแดนมฤตยูซากอัมพรเพื่อช่วยเทียนลู่ และสุดท้ายต้องสิ้นใจในนั้น
นี่คือเหตุผลที่เขาไม่ฆ่าเทียนลู่ เพื่อเป็นข้ออ้างให้กับการตายของบิดา
มิฉะนั้น การที่ท่านพ่อสิ้นใจในตระกูลกะทันหันย่อมเป็นที่เคลือบแคลงของผู้คนมากมาย และอาจเป็นผลให้ตัวตนของเขาถูกเปิดเผย
บรรพจารย์ทั้งหลายไม่เคยถามไถ่เรื่องในตระกูล จิตใจมุ่งอยู่แต่เพียงการฝึกฝน หากไม่ใช่เรื่องร้ายแรงขนาดที่ตระกูลต้องถูกล้างบาง บรรพจารย์ทั้งหลายไม่มีทางเก็บไปใส่ใจ
หลังบิดาตาย พวกเขาเพียงแต่ถามไถ่ลวก ๆ ไม่ได้ตรวจสอบโดยละเอียด หลังแต่งตั้งเขาเป็นผู้นำตระกูลรุ่นต่อไปก็หมกมุ่นกับการฝึกฝนต่อ
หากไม่ใช่ว่าเหตุการณ์คราวนี้ส่งผลกระทบต่อการฝึกฝนของบรรพจารย์ทั้งหลาย น่ากลัวว่าเหล่าบรรพจารย์คงไม่ยอมออกมาง่าย ๆ
“สตรีผู้นั้นมีข้อตกลงกับพี่ใหญ่ คล้ายว่าพี่ใหญ่ได้รับปากสตรีผู้นั้นว่ามาฝึกฝนในตระกูลเราได้ตามต้องการ นางจึงมาที่นี่ ข้าเลยตามน้ำล่อนางเข้าไปในเจดีย์เวหา หมายจะใช้เจดีย์เวหากำราบนาง สุดท้ายกลับไม่สำเร็จ…”
เทียนหมิงเอ่ยออกมาอีกครั้ง
“เขาคิดว่าตนเองเป็นผู้ใด บังอาจให้คำสัญญาเยี่ยงนั้น?!”
แม่เฒ่าเอ่ยด้วยสายตาเย็นเยียบ “ไป! สังหารนางเสีย ให้นางได้รู้ว่าตระกูลเทียนของเราใช่ว่าจะเข้ามาได้ง่าย ๆ!”
“รบกวนการฝึกฝนของพวกเรา ถือเป็นความผิดร้ายแรงที่สุด!”
“นางไม่มีทางอยู่รอดต่อไป!”
แววตาบรรพจารย์ท่านอื่นทอประกายดุดัน ชัดเจนแล้วว่าว่าพวกเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องในตระกูลจริง ๆ สนใจแต่เพียงการฝึกฝนของพวกตนเท่านั้น
พริบตาเดียวพวกเขาก็มาอยู่ที่เจดีย์เวหา
“มีฝีมืออยู่บ้างจริง ๆ คลื่นริ้วค่ายกลที่ไหลเวียนอยู่ในเจดีย์เวหาทรงพลังขึ้นกว่าเก่า!”
แม่เฒ่าหรี่ตา ริ้วรอยประดับอยู่เต็มใบหน้า สีหน้าค่อนข้างเคร่งเครียด
หลังมาถึงที่นี่ นางพบว่าเจดีย์เวหาต่างจากเดิมจริง ๆ คลื่นริ้วค่ายกลกล้าแกร่ง ซ้ำยังรวบรวมขุมปราณชีวิตในฟ้าดินได้ว่องไวยิ่งขึ้น!
มิหนำซ้ำ สสารที่รวบรวมมาได้ยังบริสุทธิ์กว่าเดิมด้วย!
พวกเขาต่างเป็นผู้บงการอาวุโส อยู่ราว ๆ ขอบเขตผู้บงการขั้นห้า แต่เดิมเจดีย์เวหาไม่ได้เกื้อหนุนการฝึกฝนของพวกเขาเท่าใด การรีดเร้นพลังบำเพ็ญของพวกตนสามารถรวบรวมพลังได้ไวกว่าเจดีย์เวหานัก
ทว่าบัดนี้ เจดีย์เวหารวบรวมพลังได้ไวกว่าอย่างชัดเจน จนนึกหวั่นไหว หากได้ฝึกฝนในเจดีย์เวหาแห่งนี้ ย่อมต้องพัฒนาขึ้นเร็วกว่าก่อนมาก!
“เจ้าออกมาด้วยตนเอง แล้วเราจะไม่ถือสาความชั่วที่เจ้าได้ก่อไว้ แล้วยังยอมให้เจ้าได้ฝึกฝนในตระกูลเทียนต่ออีกด้วย!”
แม่เฒ่าเอ่ยเสียงดัง ไม่ต้องการทำลายเจดีย์เวหา จึงหวังให้ซียอมออกมาเอง
แต่ต่อมา นางพบว่าเสียงของนางส่งเข้าไปไม่ถึง ค่ายกลในเจดีย์เวหาตัดขาดเสียงของตน!
“ฝืนบุกเข้าไปกำราบนาง แล้วค่อยสั่งให้นางตั้งค่ายกลนี้ขึ้นอีกครั้งก็ได้!”
บรรพจารย์ท่านหนึ่งกล่าว
“ได้!”
แม่เฒ่าพยักหน้า เสียงส่งเข้าไปไม่ได้ จึงไม่อาจสื่อสารกันได้ ทำได้เพียงบุกเข้าไป
นอกจากนี้ ที่บรรพจารย์ท่านนี้กล่าวมาก็ถูก พวกเขาไม่จำเป็นต้องเจรจากับซี บุกเข้าไปตรง ๆ กำราบสตรีผู้นั้นแล้วสั่งให้รับใช้พวกตนก็พอ!
จากนั้น พวกเขาลงมือพร้อมกัน ปล่อยมหาวิชาออกไปมากมาย กฎระเบียบไหลเวียน ก่อนจะถล่มเข้าไปในเจดีย์เวหา
ทว่า เรื่องที่เหนือความคาดหมายของพวกเขาคือ ไม่เพียงไม่ทำสำเร็จ แต่ยังไม่อาจแผ้วพานค่ายกลในเจดีย์เวหาได้เลย!
“ความแข็งแกร่งนี้ผิดเพี้ยนยิ่งนัก!”
บรรพจารย์ตนหนึ่งเอ่ยด้วยสีหน้าประหลาด
“ผิดเพี้ยนแค่นิดหน่อยที่ไหน ผิดเพี้ยนมหันต์เลยต่างหาก!”
บรรพจารย์อีกตนเอ่ยอย่างอดไม่ได้
เจดีย์เวหาส่องแสง คลื่นริ้วค่ายกลโลดแล่น หยุดยั้งการโจมตีของพวกเขาได้ทั้งหมด ไม่ได้รับความเสียหายแม้เศษเสี้ยว!
แทบไม่อาจเชื่อได้ลง
พวกเขาต่างคุ้นเคยกับค่ายกลเดิมในเจดีย์ รู้ว่าพลานุภาพของค่ายกลเดิมเป็นอย่างไร ด้วยพลังของพวกเขา ซ้ำยังลงมือพร้อมหน้า ย่อมสามารถทลายค่ายกลนี้ได้อย่างง่ายดาย
ทว่าบัดนี้ พวกเขาไม่อาจแผ้วพานมันได้เลยสักนิด ห่างชั้นกันเกินไป จะให้ทำใจเชื่อได้อย่างไร
คนผู้นี้ทำได้อย่างไรกัน ถึงสามารถยกระดับอานุภาพค่ายกลขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าได้ในเวลาอันสั้น!
“ฝ่าเข้าไปไม่ได้ พวกเราควรทำอย่างไรดี”
บรรพจารย์ตนหนึ่งถาม
“ทำอย่างไรได้เล่า รีบเร่งฝึกฝนเพื่อแย่งชิงสสารขุมปราณชีวิตในฟ้าดินกับนางอย่างไร!”
แม่เฒ่าเอ่ยอย่างเจ็บใจ
นี่มันเรื่องอันใด อัปยศยิ่งนัก ดินแดนตระกูลของตนกลายเป็นลานฝึกฝนของผู้อื่น แล้วพวกเขายังทำอันใดไม่ได้ ช่างน่าขายหน้าและอับอายเหลือเกิน!
ที่สำคัญ เจดีย์เวหาตั้งอยู่ในดินแดนตระกูลเทียน เมื่อค่ายกลแผลงฤทธิ์ สสารขุมปราณชีวิตในตระกูลเทียนถูกชิงไปก่อน ขืนเป็นเช่นนี้ต่อ อีกเพียงไม่นานดินแดนตระกูลเทียนของพวกเขาก็จะกลายเป็นสถานที่ไร้ ‘ญาณ’ สูญเสียสสารฝึกฝนทั้งหมดไป!
“ใช่แล้ว รีบเร่งฝึกฝน ยิ่งพวกเราดูดกลืนได้มากเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น มิฉะนั้น คงถูกนางแย่งไปหมดแน่!”
“แจ้งข่าวให้กับสมาชิกในตระกูล เข้าสู่การบำเพ็ญเดี๋ยวนี้!”
บรรพจารย์เหล่านี้นั่งขัดสมาธิที่พื้นทันที และสั่งให้สมาชิกทุกคนเริ่มการฝึกฝน แย่งชิงสสารขุมปราณชีวิตในฟ้าดินจากเจดีย์เวหา
น่าเสียดาย พวกเขาสู้ไม่ได้อย่างชัดเจน ไม่อาจประชันกับเจดีย์เวหาได้เลย สสารขุมปราณชีวิตนฟ้าดินถูกเจดีย์เวหาดูดกลืนไปหมด เหลือมาไม่ถึงพวกเขาสักนิด!
“ว่องไวปานนี้ นางรับไหวหรือ ไม่กลัวอัดแน่นจนตัวแตกหรืออย่างไร?!”
“สมควรตายนัก!”
บรรพจารย์ทั้งหลายเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้น พวกเขาดำรงตนในตระกูลเทียนมานาน อุตส่าห์สร้างรากฐานได้ขนาดนี้ด้วยความยากเข็ญ หรือต้องปล่อยให้ทุกอย่างพังพินาศในคราเดียวหรือ?
เจ็บใจนัก แค้นซีเข้ากระดูกดำ หากเจดีย์เวหายังคงดูดกลืนพลังอย่างบ้าคลั่งต่อไปเช่นนี้ อีกเพียงไม่นานที่นี่ก็จะกลายเป็นซากปรักหักพัง พวกเขาต้องไปตั้งรกรากที่อื่น
“ฆ่านาง ต้องฆ่านางให้ได้!”
“ติดต่อกองกำลังอื่น ขอความช่วยเหลือจากพวกเขา พวกเรายินดีจ่ายไม่ว่าราคาใด!”
บรรพจารย์ทั้งหลายคลุ้มคลั่ง สั่งให้เทียนหมิงไปทำการติดต่อ อย่างไรพวกเขาก็ไม่ยอมละทิ้งดินแดนตระกูลแห่งนี้
นี่คือรากฐานที่พวกเขาต่อสู้จนได้มาด้วยความยากลำบาก ไหนเลยจะยอมแพ้ง่าย ๆ อีกอย่าง การตามหาดินแดนตระกูลชั้นยอดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
ที่ดี ๆ ถูกยึดครองไปหมดแล้ว ยากจะพบดินแดนเช่นนี้ในตระกูลได้อีก
ฟังจบแล้วถ้าใครอยากสนับสนุนช่องโดเนท ให้ช่องของเราเดินหน้าต่อได้เร็วขึ้น หรืออยากขอนิยาย
ช่องทางสนับสนุนช่องอยู่ใต้ลิงค์คลิปชั่นนะครับ