การเลือกครั้งนี้ไม่ยากต่อการตัดสินใจ
น่าขัน เซียนท่านหนึ่งประสงค์รับเจ้ามาอยู่ใต้บัญชา ยังเป็นการตัดสินใจที่ยากอีกหรือ
ไม่ต้องกล่าวถึงว่าการติดตามท่านเซียนได้ประโยชน์มากมายเพียงใด ลำพังผลจากการปฏิเสธท่านเซียน ผู้ใดจะต้านไหว?
ปฏิเสธเท่ากับตาย ตงฟางเวิ่นมิได้โง่ เขาไม่มีทางรนหาที่ด้วยความเบาปัญญาเยี่ยงนั้นหรอก
“เรื่องนั้น…ดีสิ!”
หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้ม ดีใจเป็นอย่างมาก
เขาเข้าใจความคิดที่ตงฟางเวิ่นอยากย้ายไปอยู่ในเมืองชิงซาน การเล่นหมากต้องมีคู่ต่อสู้ ตงฟางเวิ่นเหมือนกับเขาที่ปรารถนาจะเจอคู่ต่อสู้
ถึงอย่างไรฝีมือเดินหมากของพวกเขาก็สูงส่งเกินไป ระดับของคนทั่วไปห่างไกลจากพวกเขามาก
“เช่นนี้ข้าขอรอผู้เฒ่าเวิ่นในเมืองชิงซานแล้วกัน”
หลี่จิ่วเต้าหัวเราะ ก่อนบอกลาตงฟางเวิ่น ไปจากที่แห่งนี้พร้อมกับบัณฑิตอื่น ๆ
ฟ้าเริ่มมืด พวกเขาควรต้องกลับได้แล้ว ถึงอย่างไรระยะทางกลับเมืองก็มิใช่ใกล้ ๆ ขืนสายกว่านี้เส้นทางจะยิ่งเดินลำบาก
ตงฟางเวิ่นตื่นเต้นดีใจยิ่ง คิดไม่ถึงว่าอายุปูนนี้แล้ว ยังมีโอกาสได้รับวาสนาการเปลี่ยนแปลงระดับนี้อีก!
ส่วนกองกำลังฮวงเฉวียนอะไรนั่น…ไปตายซะ!
เขาหยิบศาสตราสื่อสารออกมาทีละชิ้น แล้วทำลายทิ้งให้หมด ของเหล่านี้ล้วนใช้ในการติดต่อกองกำลังฮวงเฉวียน
บัดนี้เขาได้อยู่ใต้บัญชาท่านเซียนแล้ว เช่นนั้นเขาควรตัดขาดกับกองกำลังฮวงเฉวียน ตัดขาดการเชื่อมต่อทุกอย่าง
ถ้าหากอยู่ใต้บัญชาท่านเซียนแล้วยังติดต่อกับกองกำลังฮวงเฉวียน ถือเป็นการรนหาที่ตายอย่างไม่ต้องสงสัย!
เขาหาได้กล้าหาญชาญชัยปานนั้น และไม่มีความสามารถพอจะหลอกลวงท่านเซียน!
“แก่นปราณหนึ่งเสี้ยว ตัด!”
ในกองกำลังฮวงเฉวียนมีตะเกียงฉางหมิงของเขา ภายในนั้นมีแก่นปราณของเขาเสี้ยวหนึ่ง หากเขาตายไป ตะเกียงฉางหมิงดวงนั้นเป็นต้องดับ
บัดนี้ เขาจะตัดขาดทุกการเชื่อมโยงที่มีกับกองกำลังฮวงเฉวียน แก่นปราณเสี้ยวนี้เขาไม่ต้องการแล้ว!
“ผนึกในตัวออกจะยุ่งยากนิดหน่อย ทว่าก็มิใช่…ปัญหาใหญ่!”
เขาพึมพำเสียงเบากับตัวเอง
สมาชิกทุกคนของกองกำลังฮวงเฉวียนเป็นต้องมีผนึกในตัว
ผนึกนี้สามารถรีดเร้นเพื่อฆ่าตัวตายหากภารกิจล้มเหลว ป้องกันมิให้ข้อมูลของกองกำลังฮวงเฉวียนรั่วไหล สองคือเป็นลูกไม้ควบคุมสมาชิกภายในของกองกำลังฮวงเฉวียน
ขอบเขตพลังของเขาสูงส่ง ผนึกที่ฝังไว้ในตัวเขาก็ทรงพลังมากเช่นกัน
หากลำพังตัวเขาเองคงยากจะทลายผนึกนี้
ทว่า ท่านเซียนเดินหมากกับเขาหลายกระดาน ทิ้งวิถีหมากล้อมลึกล้ำสูงส่งไว้ให้เขา เขาพอจะใช้วิถีหมากล้อมลึกล้ำนี้ทลายผนึกในตัวได้!
ที่สำคัญที่สุดคือ ระหว่างเดินหมากกับท่านเซียน วิญญาณและหทัยเต๋าของเขาล้วนยกระดับมหาศาล เทียบกับเทียนตี้ทั่วไปแล้วยังแข็งแกร่งกว่ามาก!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสร้างหลักประกันยิ่งใหญ่ให้กับเขา เขาจะได้ทลายผนึกโดยไร้ความกังวล
หากไม่มีการบรรลุยกระดับเยี่ยงนี้ เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดทลายผนึกในตัวด้วยซ้ำ
เพราะทันทีที่ทำการทลายผนึก ย่อมต้องถูกพลังผนึกในตัวสะท้อนกลับ หากเขามิได้บรรลุยกระดับ เขาไม่มีทางต้านทานการสะท้อนของพลังผนึก และจะถูกพลังผนึกสังหารในพริบตา
ทว่าบัดนี้ พลังวิญญาณของเขาได้รับการยกระดับใหญ่หลวง แข็งแกร่งกว่าเทียนตี้ทั่วไป เขาต้านทานการสะท้อนกลับของพลังผนึกระดับนี้ได้แน่นอน
ต่อให้เนื้อกายของเขาถูกพลังผนึกที่สะท้อนกลับทำลาย วิญญาณของเขาก็ไม่เป็นไร
ตราบใดที่วิญญาณของเขาไม่เป็นไร เขาก็จะไม่เป็นไร
การไม่มีเนื้อกายมิใช่ปัญหาใหญ่สำหรับยอดฝีมือระดับอย่างเขา เขาสามารถหลอมเนื้อกายออกมาใหม่ได้สบาย
“รู้แจ้งวิถีหมากล้อมที่ท่านเซียนทิ้งไว้ให้ ยกระดับพลังขึ้นไปจนถึงขอบเขตตี้จวิน เช่นนี้ก็จะทลายผนึกในตัวได้!”
แววตาของเขาวาวโรจน์ มั่นใจว่าสามารถทลายผนึกในตัว
“เดี๋ยวก่อน…หรือนี่คือเหตุผลที่ท่านเซียนเล่นหมากกับข้าหลายกระดานหรือ”
เขาชะงัก ก่อนหน้านี้ท่านเซียนเดินหมากกับเขาหลายต่อหลายครั้ง เขายังไม่ค่อยเข้าใจว่าท่านเซียนหมายความว่าอย่างไร
แต่บัดนี้ ดูเหมือนเขาจะเข้าใจแล้ว
ท่านเซียนเดินหมากกับเขาหลายกระดานก็เพื่อทิ้งวิถีหมากล้อมสูงส่งเหนือชั้นเช่นนี้ไว้ให้ และเพื่อเพิ่มพูนพลังวิญญาณและพลังหทัยเต๋าของเขาในขณะเดียวกัน ให้เขามีความสามารถพอจะทลายผนึกในตัว และมีความสามารถพอจะต้านทานพลังสะท้อนกลับที่ปะทุจากผนึก!
“ทุกสิ่งล้วนอยู่ในการควบคุมของท่านเซียน!”
เขาสะท้อนใจจากใจจริง ท่านเซียนฉกาจยิ่ง ควบคุมทุกอย่างได้สมบูรณ์แบบ คำนวณทุกเรื่องราวจนถี่ถ้วนแล้ว!
นี่มัน…สุดยอดเกินไปแล้ว!
เมื่อคิดแล้วก็ลงมือทันที เขามิได้ลังเล รีบเข้าสู่การฝึกฝนทันที
แม้นเขามิได้บำเพ็ญวิถีหมากล้อมเป็นหลัก กระนั้นปรมัตถ์ของวิถีหมากล้อมที่ท่านเซียนทิ้งไว้ให้สูงส่งเหนือชั้นเกินไป เขาหวังพึ่งวิถีหมากล้อมนี้ในการบรรลุขั้นตี้จวินได้เลย
ความหมายแต่ละวิถีเชื่อมถึงกัน เมื่ออยู่ในระดับอย่างเขา บำเพ็ญวิถีใดเป็นหลัก วิถีใดเป็นรองหาได้สำคัญไม่ ความเข้าใจต่อมหาเต๋าของผู้ที่อยู่เหนือขอบเขตมหาจักรพรรดิลึกซึ้งจนหลักรองมิได้สลักสำคัญอันใด
...
บนยอดเขาตั้งตระหง่านอยู่โดดเดี่ยว ภายในตำหนักย่อยฮวงเฉวียน
“ครั้งนี้คงสำเร็จเสียที ผ่านไปนานขนาดนี้แล้วยังไม่เป็นไร…”
ใบหน้านายตำหนักย่อยเปื้อนยิ้ม
เทียบกับหนานเจี๋ยและอู๋ฉี ตงฟางเวิ่นเดินทางไปนานมากแล้ว ทว่าบัดนี้กลับไม่มีข่าวร้ายส่งกลับมาแต่อย่างใด บ่งบอกว่าเขามีโอกาสทำภารกิจสำเร็จสูงมาก
“คิดอะไรอยู่ นี่คือสมาชิกเครือข่ายข่าวสารขั้นห้าเชียวนะ จะเกิดเรื่องง่าย ๆ ได้อย่างไร!”
นายตำหนักย่อยสั่นศีรษะ รู้สึกตัวเองนี้ว้าวุ่นเสียจริง
แม้ว่าหลี่จิ่วเต้าผู้นั้นลึกลับผิดธรรมชาติไปหน่อย กระนั้นตงฟางเวิ่นก็เป็นถึงสมาชิกเครือข่ายข่าวสารขั้นห้า ฝีมือเก่งกาจในทุกด้าน คนผู้นี้ไม่มีทางล้มเหลวเด็ดขาด
หารู้ไม่ ทันทีที่สิ้นเสียงเขา ก็มีสิ่งมีชีวิตคนหนึ่งวิ่งล้มลุกคลุกคลานเข้ามาในตำหนัก
“ท่านจ้าวตำหนัก…ตะเกียงฉางหมิง ตะเกียงฉางหมิงดับแล้ว!”
สิ่งมีชีวิตตนนั้นละล่ำละลักบอก เขาคือสมาชิกที่มีหน้าที่เฝ้าตะเกียงฉางหมิง
“ตายรึ!?”
ใบหน้านายตำหนักย่อยเขียวในบัดดล
เวร!
เขาเพิ่งพูดว่าตงฟางเวิ่งไม่มีทางเกิดเรื่อง ซ้ำยังมีโอกาสสำเร็จสูง
ปรากฏว่าทันทีที่จบประโยค ทางนี้ก็มีข่าวการเสียชีวิตของตงฟางเวิ่นส่งมาหรือ
“ไม่…ทราบชะตากรรม!”
สิ่งมีชีวิตตนนั้นรีบตอบ “แม้ว่าตะเกียงฉางหมิงดับไปแล้ว ทว่ามิได้ระเบิด เช่นนี้หมายความว่าเกิดจากการตัดแก่นปราณเสี้ยวนั้น!”
ตะเกียงระเบิดถึงจะหมายความว่าตายลงแล้วจริง ๆ
หากตะเกียงเพียงแต่ดับมอดลงไป ทว่ามิได้ระเบิด ก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าเป็นหรือตาย
“นี่เขาถูกหลี่จิ่วเต้าจับตัวไว้หรือ!?”
ดวงหน้าชราของนายตำหนักย่อยมืดครึ้มเหลือคณา ราวกับว่าจะมีฝนตก
ตงฟางเวิ่นมิได้ถูกฆ่า แต่ถูกจับตัวไว้ มิฉะนั้นแก่นปราณที่เชื่อมต่อกับตะเกียงฉางหมิงจะถูกตัดขาดได้อย่างไร
“บัดซบนัก!”
เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน คิดไม่ถึงเลยว่างานแรกที่กองกำลังฮวงเฉวียนของพวกเขารับในยุคสมัยนี้ก็ยากเย็นปานนี้
ไม่เพียงแต่เสียหายหนัก สูญเสียสมาชิกสำคัญคนแล้วคนเล่า ซ้ำร้ายยังไม่ได้ข่าวคราวที่เกี่ยวข้องกับภูมิหลังของหลี่จิ่วเต้าสักนิด!
บ้า…เอ๊ย!
หวนนึกถึงภารกิจต่าง ๆ ที่กองกำลังฮวงเฉวียนเคยรับในอดีต ไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน!
หนนี้พวกเขาขาดทุนหนัก ขาดทุนยับเยิน!
“ยุคสมัยนี้เป็นบ้ากระไร เปิดทำการปุ๊บก็ขาดทุนย่อยยับ!
เขาเคียดแค้นเหลือแสน อย่าให้พูดเลยว่าทรมานใจเพียงใด
หนานเจี๋ยกับอู๋ฉียังดี แต่ตงฟางเวิ่นนั้นสำคัญมาก
เครือข่ายข่าวสารขั้นห้าสำคัญอย่างยิ่งยวด การบ่มเพาะสมาชิกแต่ละคนล้วนลำบากลำบนสุด ๆ และบัดนี้ต้องสูญเสียสมาชิกเครือข่ายข่าวสารขั้นห้าไปหนึ่งคน ความผิดของเขา…ใหญ่หลวงนัก!
ด้านกองกำลังฮวงเฉวียนฐานหลักไม่มีทางปล่อยเขาไว้แน่!
บทที่ 427
นายตำหนักย่อยสีหน้าอึมครึม อย่าให้พูดเลยว่าสภาพจิตใจย่ำแย่เพียงใด
การบ่มเพาะสมาชิกเครือข่ายข่าวสารขั้นห้าลำบากอย่างยิ่ง หากเสียไปอย่างนี้ไม่ต้องกล่าวถึงว่ากองกำลังจะปล่อยเขาไปหรือไม่ ลำพังตัวเขาเองก็รู้สึกเจ็บปวดใจ!
เขาหยิบศาสตราสื่อสารออกมา เตรียมติดต่อตงฟางเวิ่น
ตงฟางเวิ่นถูกหลี่จิ่วเต้าจับตัว ต่อให้เขาใช้ศาสตราสื่อสารติดต่ออีกฝ่ายได้ ก็ไม่มีทางรอดสายตาหลี่จิ่วเต้า คนผู้นั้นต้องรู้แน่นอน
ทว่า เขาไม่คิดปิดบังหลี่จิ่วเต้าอยู่แล้ว
ที่เขาใช้ศาสตราสื่อสารติดต่อไป ก็เพราะต้องการคุยกับหลี่จิ่วเต้า ดูว่าอีกฝ่ายยอมปล่อยตงฟางเวิ่นกลับมาหรือไม่
หากราคารับได้ เขายินดีจ่ายเพื่อแลกตัวตงฟางเวิ่นกลับมา
ทว่าในไม่ช้า สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป
ศาสตราสื่อสารติดต่อไม่สำเร็จ ถูกตัดกลางคัน บ่งบอกว่าศาสตราสื่อสารฟากตงฟางเวิ่นถูกทำลายไปแล้ว
“บัดซบ!”
เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน หลี่จิ่วเต้าทำลายศาสตราสื่อสารบนตัวตงฟางเวิ่น แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายไม่อยากให้เขาติดต่อได้อย่างไม่ต้องสงสัย
“ยอมเป็นหยกแหลกลาญ ไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์!”
นัยน์ตาของเขาเปล่งประกายดุดัน เตรียมปลดผนึกตงฟางเวิ่นจากระยะไกล สังหารตงฟางเวิ่นเสีย
หลี่จิ่วเต้าไม่อยากคุยกับพวกเขา เช่นนั้นก็หมดหนทาง เขาจำต้องหักใจฆ่าตงฟางเวิ่น ไม่ยอมให้หลี่จิ่วเต้าควบคุมตงฟางเวิ่น
แม้ว่าในตัวตงฟางเวิ่นมีผนึก ย่อมไม่มีทาง และไม่ยอมเผยข้อมูลภายในกองกำลังฮวงเฉวียนอยู่แล้ว ทว่าเก็บเขาไว้อย่างไรก็ไม่เป็นการดี หลี่จิ่วเต้าผิดธรรมชาติเกินไป ขืนเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้นมาแล้วจะแย่ มิสู้สังหารตงฟางเวิ่นไปเสีย
“รายงานต่อเบื้องบน!”
เขามิรอช้า รายงานต่อสมาชิกกองกำลังฮวงเฉวียนซึ่งมีระดับสูงกว่า
สมาชิกเครือข่ายข่าวสารขั้นห้าฐานะสูงส่ง เทียบกับนายตำหนักย่อยอย่างเขามิได้ด้อยกว่าเท่าไร เขาไม่มีความสามารถพอจะปลดผนึกในตัวตงฟางเวิ่น จำต้องขอให้สมาชิกกองกำลังฮวงเฉวียนซึ่งมีระดับสูงกว่าเป็นผู้ลงมือ
...
อีกด้าน ตงฟางเวิ่นบำเพ็ญต่อเนื่อง
ปรมัตถ์วิถีหมากล้อมที่ท่านเซียนทิ้งไว้ให้สูงส่งเกินหยั่งอย่างยิ่งยวด หากเป็นเขาในอดีต ไม่อาจตระหนักรู้แจ้งด้วยซ้ำ ต่อให้เขาเป็นถึงตี้หวงก็มิได้
ปรมัตถ์วิถีหมากล้อมระดับนี้เหนือกว่าขอบเขตที่ตี้หวงสามารถเข้าใจได้ เขาต้องใช้เวลาอย่างยาวนานในการตระหนักรู้แจ้ง แต่กระนั้นสิ่งที่รู้แจ้งก็คงไม่มาก เป็นเพียงผิวเผิน
ทว่าบัดนี้ต่างออกไป
ท่านเซียนเล่นหมากกับเขาหลายกระดาน เผยปรมัตถ์วิถีหมากล้อมให้เป็นอย่างสมบูรณ์แบบ เขาเข้าใจขึ้นมามากระหว่างที่เดินหมากด้วยกัน ยามนี้จึงบำเพ็ญรู้แจ้งได้โดยไม่เหนื่อย สบายยิ่ง
เวลาล่วงเลยผ่านไปเรื่อย ๆ พริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งคืน เสียงกระหึ่มดังออกจากตัวเขา รุ้งมงคลส่องสว่างนับล้าน พลังปราณในตัวเดือดพล่านจนน่าทึ่ง เขาลืมตาขึ้น ดวงตาทอประกายเจิดจ้า สุริยันจันทราและดวงดาราล้วนหมุนวนอยู่ภายใน นภาอันไพศาลปรากฏให้เห็นเป็นครั้งคราว!
นี่ก็ได้เขาเตรียมการในพื้นที่แห่งนี้ไว้ล่วงหน้า ป้องกันมิให้ผู้อื่นเข้ามารบกวนยามเขาบำเพ็ญ มิฉะนั้น ด้วยรุ้งมงคลที่ส่องสว่างจากตัวเขาในตอนนี้ บดบังได้แม้แต่พระอาทิตย์บนผืนฟ้า!
เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นช้า ๆ สายโซ่รักษาระเบียบแห่งกฎแห่งสวรรค์และโลกปรากฏ รายล้อมว่ายวนตามฝ่ามือของเขา
เขาทำสำเร็จ ก้าวสู่ขั้นตี้จวินสำเร็จ!
เขาในตอนนี้ เพียงยกมือก็ยืมพลังกฎแห่งสวรรค์และโลกมาได้ เปลี่ยนกฎแห่งสวรรค์และโลกเป็นสายโซ่รักษาระเบียบ อยู่ใต้บัญชาของเขา
ตี้จวิน จักรพรรดิในหมู่จักรพรรดิ!
เป็นมหาขอบเขตที่แม้กระทั่งเต๋าสวรรค์ยังให้การยอมรับ เชื่อมสายสัมพันธ์กับเต๋าสวรรค์ เพื่อหยิบยืมพลังจากกฎแห่งสวรรค์และโลก
“เทียบกับท่านเซียน ไม่รู้ห่างกันตั้งมากเท่าใด!”
เขาสะท้อนใจเหลือคณา เมื่อนึกถึงฝีมือของท่านเซียน
ท่านเซียนกุมอำนาจกฎแห่งสวรรค์และโลก สร้างกระดานหมากล้อมด้วยกฎแห่งสวรรค์และโลกนับพันนับหมื่นได้ง่าย ๆ ถึงแม้ว่าเขาก้าวสู่ขั้นตี้จวินแล้ว กระนั้นยังยืมพลังจากกฎแห่งสวรรค์และโลกมาได้เสี้ยวเดียวเท่านั้น…
ท่านเซียนคือผู้กุมอำนาจ ส่วนเขาคือการยืม ซ้ำยังยืมกฎแห่งสวรรค์และโลกมาได้เพียงเสี้ยวเดียว…
ความห่างชั้นนี้มากกว่าฟ้ากับดินเสียอีก!
“ทลายผนึก!”
เขามิได้ลังเล เริ่มลงมือทันทีปล่อยพลังตี้จวินเต็มกำลัง อีกทั้งสำแดงปรมัตถ์แห่งวิถีหมากล้อมที่ท่านเซียนทิ้งไว้ให้ออกมา เพื่อลบล้างผนึกในตัวเขา
ตู้ม!
เสียงระเบิดกึกก้องดังออกจากตัวเขา เนื้อกายพังทลายเลือดสาดในบัดดล หากมีพลังภายนอกแทรกแซง ผนึกจะสะท้อนพลังนั้น
พลังสะท้อนนี่น่าประหวั่นพรั่นพรึงเป็นที่สุด เนื้อกายตี้จวินของเขาไม่อาจทนได้แม้แต่เสี้ยวอึดใจ ถูกทำลายลงทันที
ทว่า พลังวิญญาณของเขาแข็งแกร่งมากพอ จึงต้านทานพลังสะท้อนนี้ไว้ได้!
และเขาเองก็รีบทำเวลาทลายผนึก
...
บนยอดเขาสูงใหญ่ ภายในตำหนักย่อยฮวงเฉวียน
“ยังไม่ได้อีกหรือ”
เบื้องหน้าม่านแสงมหึมาแห่งหนึ่ง นายตำหนักย่อยมีสีหน้าวิตกกังวล เดินวนไปเวียนมาไม่หยุด
เขารายงานสถานการณ์ขึ้นไปแล้ว และเสนอให้ปลดผนึกในตัวตงฟางเวิ่น เพื่อปลิดชีพอีกฝ่าย
ทว่าผ่านไปแล้วหนึ่งคืน เบื้องบนยังไม่ให้การตอบรับ
นายตำหนักย่อยพอเข้าใจได้
สมาชิกเครือข่ายข่าวสารขั้นห้าสำคัญเป็นพิเศษ กองกำลังย่อมไม่อยากถอดใจง่าย ๆ บัดนี้คงกำลังหารือกันว่าจะจัดการอย่างไรดี
ผ่านไปอีกระยะหนึ่ง มีภาพปรากฏบนม่านแสง ในนั้นแสดงให้เห็นสิ่งมีชีวิตในชุดคลุมยาวสีทองตนหนึ่ง
“เลี้ยงเสียข้าวสุก เศษสวะจริง ๆ!”
ทันทีที่สิ่งมีชีวิตในชุดคลุมยาวสีทองปรากฏออกมาก็ตำหนินายตำหนักย่อยอย่างโกรธเกรี้ยว
นายตำหนักย่อยถูกด่าจนมิกล้าส่งเสียงใด ๆ
ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของเขาเล่า
หากมิใช่ว่าเขารับภารกิจจากจักรพรรดิหาน ไม่ไปปลุกตงฟางเวิ่น ทุกเหตุกาณ์ในตอนนี้ย่อมไม่เกิดขึ้น
“ขยะจริง ๆ รีบรายงานหน่อยมิได้หรือ บัดนี้สิดี ผนึกในตัวตงฟางเวิ่นถูกคลายแล้ว การปลดผนึกจึงโดนตัดกลางคัน พวกเราอยากฆ่าเขาก็ฆ่าไม่ได้แล้ว!”
สิ่งมีชีวิตในชุดคลุมยาวสีทองต่อว่าอีกครั้ง
โอ้…โห!
หลังนายตำหนักย่อยได้ฟังคำกล่าวของสิ่งมีชีวิตในชุดคลุมยาวสีทองก็โมโหจนอวัยวะภายในแทบระเบิด
ไอ้เวรตะไล!
ด่าเขาเศษสวะด้วยเรื่องอื่นไม่เท่าไร ความผิดที่รายงานไม่ทันท่วงทีโทษเขาได้ด้วยหรือ
ไอ้…นรก หลังจากตะเกียงฉางหมิงของตงฟางเวิ่นดับ เขาก็รายงานขึ้นไปทันที นี่ยังไม่ทันการณ์อีกหรือ
เขานั้นทันการณ์ที่สุดแล้ว!
เป็นเพราะพวกเจ้ามัวเสียเวลาละล้าละลังอยู่ได้ หารือกันข้ามคืน ถึงได้สายเกินแก้!
นายตำหนักย่อยก่นด่าในใจไม่หยุด โยนความผิดกันดื้อ ๆ อย่างนี้เลยหรือ โบ้ยทุกอย่างใส่เขาหมด!
นอกจากนี้ เขาสะท้านใจอย่างมาก
หลี่จิ่วเต้าต้องแข็งแกร่งปานใด ถึงลบล้างผนึกในตัวตงฟางเวิ่นได้!
จุดที่น่ากลัวที่สุดของผนึกก็คือสามารถสะท้อนพลังอันแกร่งกล้า เริ่มระเบิดจากเนื้อกายจนถึงวิญญาณ อีกฝ่ายปกป้องตงฟางเวิ่นไว้ได้อย่างไร!?
“ดูเรื่องโง่เขลาแต่ละเรื่องที่เจ้าทำ! หากมิใช่ว่าสงครามแย่งชิงในยุคนี้ใกล้เริ่มขึ้นแล้ว เจ้าไม่มีทางมีชีวิตต่อไปได้ ต้องถูกประหารอย่างแน่นอน!”
สิ่งมีชีวิตในชุดคลุมยาวสีทองตะคอกเสียงเย็น “จากนี้ไปหัดอยู่เฉย ๆ เสียบ้าง ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ศึกช่วงชิงในยุคนี้ใกล้ปะทุ กองกำลังฮวงเฉวียนของเราแบกรับความเสียหายปานนี้ไม่ไหว!”
จากนั้น ภาพของเขาหายไป ม่านแสงนั้นก็หายไปด้วย
“เวร…เอ๊ย น่ารำคาญชะมัด เด็ก ๆ พาจักรพรรดิหานมาที่นี่!”
นายตำหนักย่อยสบถก่นด่า ส่งคนไปเรียกจักรพรรดิหานมา
บทที่ 428
ตงฟางเวิ่นทลายผนึกสำเร็จ สุดท้ายแล้วระดับสูงของกองกำลังฮวงเฉวียนตัดสินใจสละเขา ปลดผนึกเพื่อสังหารอีกฝ่าย
อนิจจา พวกเขาช้าไปหนึ่งก้าว
ทว่าต่อให้ทันเวลา พวกเขาก็ไม่สามารถปลิดชีพตงฟางเวิ่นผ่านผนึกได้
การปลดผนึกคือการดึงพลังสะท้อนกลับในผนึกออกมา เพื่อคร่าชีวิตของตงฟางเวิ่น
ทว่าพลังวิญญาณของตงฟางเวิ่นกล้าแกร่งเกินไป ต้านรับพลังสะท้อนกลับที่เปล่งออกจากผนึกได้อย่างสิ้นเชิง เพราะอย่างนั้นไม่ว่าจะสายไปหรือไม่ เขาก็ไม่มีทางเป็นอะไร
ผ่านไปไม่นาน จักรพรรดิหานก็ถูกพาเข้ามาในตำหนัก
“ท่านจ้าวตำหนัก หนนี้คงสำเร็จแล้วกระมัง”
จักรพรรดิหานกล่าวพลางยิ้ม เขามั่นใจในกองกำลังฮวงเฉวียนมาก
แม้ว่าก่อนหน้านี้กองกำลังฮวงเฉวียนล้มเหลว แต่ไม่มีทางล้มเหลวไปตลอด
เขาไม่คิดว่าหลี่จิ่วเต้าเก่งกาจปานนั้น สามารถทำให้กองกำลังฮวงเฉวียนต้องล้มเหลวอยู่ร่ำไป
“หัวเราะอะไร!”
นายตำหนักย่อยสีหน้าอึมครึม สภาพจิตใจกำลังย่ำแย่ แล้วจักรพรรดิหานกลับหัวเราะร่าเริงเยี่ยงนี้ เขาทนไม่ไหว ตบจักรพรรดิหานหนึ่งฉาดจนกระเด็นไปอีกด้าน
จักรพรรดิหานกระแทกกับพื้นอย่างแรง ถูกตบจนเห็นดาวเต็มไปหมด
บัดซบ!
หัวเราะก็ผิดหรือ?
อย่าให้พูดเลยว่าในใจจักรพรรดิหานสะอิดสะเอียนเพียงใด เขารู้ว่ากองกำลังฮวงเฉวียนล้มเหลวอีกแล้ว
ไม่ล้มเหลว แล้วไฉนนายตำหนักย่อยถึงมีท่าทีเช่นนี้!?
เรื่องบ้าอะไรกัน!
เหตุใดกองกำลังฮวงเฉวียนถึงปวกเปียกเยี่ยงนี้!
ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า!
เลิก…ขึ้นราคาได้แล้ว!
นึกถึงการเพิ่มราคาถึงพันปีเมื่อคราวก่อน เขาก็รู้สึกระทม กองกำลังฮวงเฉวียนขี้โกงจนยากจะยอมรับ กินคนเข้าไปไม่แม้แต่จะบ้วนกระดูกออกมาด้วยซ้ำ
ครานั้นเหตุไฉนเขาถึงนึกไปไหว้วานกองกำลังฮวงเฉวียนเสียได้!?
แค่คิดเขาก็อยากตบตัวเองในคราวนั้นให้ตาย
ไม่สนแล้ว หนนี้อย่างไรก็ไม่ทำต่อแล้ว ยกเลิกภารกิจ!
ขืนยังทำต่อ ตระกูลหานของพวกเขามีหวังต้องเป็นทาสรับใช้กองกำลังฮวงเฉวียนไปชั่วกัปชั่วกัลป์!
ทว่าไม่รอให้เขาได้พูดจา นายตำหนักย่อยก็ปริปากออกมา
“ภารกิจนี้จบเพียงเท่านี้ กองกำลังฮวงเฉวียนของเราไม่ต้องการทำต่อแล้ว”
นายตำหนักย่อยกล่าว
ให้ทำต่ออย่างไรไหว
ขืนทำต่อมีหวังได้สูญเสียหนักกว่านี้!
“ได้สิ!”
จักรพรรดิหานยินดีปรีดา ในใจชื่นมื่นสุดขีด
คราวก่อนเขาเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอยกเลิกภารกิจ นายตำหนักย่อยกล่าวว่าหลังยกเลิกภารกิจเขายังต้องแบกรับค่าเสียหาย ต้องรับใช้กองกำลังฮวงเฉวียนไปอีกร้อยปี
บัดนี้นายตำหนักย่อยเป็นฝ่ายเสนอเอง ราคานี้คงมิต้องให้เขาจ่ายแล้วกระมัง ตระกูลหานของเขาคงปลีกตัวไปได้แล้ว!
“อาวุธมหาจักรพรรดิและอาวุธจักรพรรดิ รวมถึงสมบัติล้ำค่าอื่น ๆ ข้าไม่ต้องการแล้ว”
จักรพรรดิหานกล่าว “ถึงแม้ภารกิจไม่ลุล่วง ทว่าการซื้อขายไม่สำเร็จสัมพันธ์ยังอยู่ ของเหล่านี้ถือว่าข้ายกให้กองกำลังฮวงเฉวียนแล้วกัน”
ขณะที่เอ่ยประโยคนี้ เขารู้สึกเจ็บช้ำหัวใจจนราวกับมีเลือดไหล
คลังสมบัติตระกูลหานถูกกองกำลังอื่น ๆ ขนไปจนเกลี้ยง สิ่งที่เขามอบให้กองกำลังฮวงเฉวียนคือทั้งหมดที่ตระกูลหานเหลืออยู่
ทว่าเขามิกล้าขอคืน
กองกำลังฮวงเฉวียนอันธพาลจนน่าพรั่นพรึง ยามนี้เขาเพียงต้องการไปให้ไกลจากกองกำลังฮวงเฉวียน!
“เจ้ายังคิดอยากได้ของเหล่านั้นอยู่หรือ”
นายตำหนักย่อยมองจักรพรรดิหานด้วยสีหน้าประหลาด
โอ้…โห!
หมายความว่าอย่างไร
จักรพรรดิหานคิดในใจว่าเจ้าเป็นฝ่ายยกเลิกภารกิจเองยังต้องให้ข้ารับภาระค่าเสียหายอีกหรือ?
บัด…ซบ ยังมีเหตุผลอยู่หรือไม่!
“ครั้งนี้กองกำลังฮวงเฉวียนของเราเสียหายใหญ่หลวง กระทั่งสมาชิกเครือข่ายข่าวสารขั้นห้าคนหนึ่งยังเสียให้กับหลี่จิ่วเต้า เจ้ายังคิดขอของเส็งเคร็งของเจ้าคืนอีกหรือ!?”
สีหน้านายตำหนักย่อยอึมครึม เอ่ยเสียงเย็น “ของเส็งเคร็งพวกนั้นของเจ้าชดใช้ความเสียหายของพวกเราได้รึ? คิดอันใดอยู่! นับแต่นี้ไป ตระกูลหานของพวกเจ้าต้องรับคำสั่งจากกองกำลังฮวงเฉวียนของเราชั่วกัปชั่วกัลป์!”
ไอ้…เวรเอ๊ย!
รอบนี้ไม่แม้แต่จะเพิ่มราคา ชั่วกัปชั่วกัลป์ทันทีเลยหรือ!?
นี่ทำตัวเป็นโจรปล้นสะดม ไม่มีเหตุผลสักนิดแล้วใช่หรือไม่!
“เราคุยกันด้วยเหตุผลมิได้หรือ!”
จักรพรรดิหานร่ำไห้ สำนึกเสียใจเหลือคณา รู้อย่างนี้เหตุใดเขาถึงต้องไปยุ่งกับกองกำลังฮวงเฉวียนด้วย!
กองกำลังฮวงเฉวียนทั้งขี้โกงทั้งอันธพาล!
“ไสหัวไปเสีย!”
นายตำหนักย่อยพูดอย่างไม่สบอารมณ์ ตบจักรพรรดิหานออกจากตำหนักในฉาดเดียว
เขากำลังหงุดหงิด เพิ่งถูกสิ่งมีชีวิตในชุดคลุมสีทองตำหนิมา ขี้เกียจจะเสวนากับจักรพรรดิหานให้มากความ
...
ณ แดนบูรพาทิศ เหยียนโจว ดินแดนหยิน นอกเมืองชิงซาน ภายในภูเขาซึ่งมีทัศนียภาพงดงามรื่นรมย์แห่งหนึ่ง
“เก็บข้าวเก็บของ จากนี้ไปข้าจะไปอาศัยอยู่ในเมืองชิงซานแล้ว”
ตงฟางเวิ่นเอ่ยด้วยรอยยิ้มชื่นมื่น อย่าให้พูดเลยว่าดีใจปานใด
เขาตัดการเชื่อมต่อทั้งหมดที่มีกับกองกำลังฮวงเฉวียน แม้กระทั่งผนึกยังทลายไปแล้ว จากนี้ไป เขากับกองกำลังฮวงเฉวียนไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก เขาจักติดตามอยู่ข้างกายท่านเซียน เริ่มต้นชีวิตใหม่อันสวยงาม!
...
และในวันนั้นเอง เมืองต่าง ๆ ในดินแดนหยินและดินแดนฮวงชุลมุนกันหมด มีผู้ฝึกตนมนุษย์มากมายเดินทางเข้ามาตามหาสัตว์อสูรวัวตัวเมียให้ควั่ก
“นี่มีจุดประสงค์อันใดกัน!?”
“ไยต้องตามหาวัวตัวเมีย”
สิ่งมีชีวิตมากมายไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลัง เห็นแล้วงุนงงไปหมด
วัวตัวเมียเนื้อหอมเยี่ยงนี้ตั้งแต่เมื่อใด เป็นที่แย่งชิงของทุกคนเชียว!
มอมอมอ!
“ข้าไม่ไป พวกเจ้าจะทำอะไร!”
ตระกูลใหญ่เผ่ามนุษย์รังแกวัว! พวกเจ้าคิดจะกำจัดอสูรวัวอย่างเราให้เกลี้ยงหรือไร พาวัวตัวเมียของเราไปหมด เพื่อให้อสูรวัวอย่างเราไม่มีลูกวัวน้อยถือกำเนิด!”
ในดินแดนหยินและดินแดนฮวง อสูรวัวในสองมหาดินแดนล้วนโหวกเหวกโวยวาย
พวกมันไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องใดขึ้น ถึงมีผู้ฝึกตนมนุษย์ยกทัพเข้ามาหาพวกมัน หมายจะพาตัวพวกมันไป!
“มิใช่!”
“พวกเรามิได้มีความคิดเช่นั้น พวกเราเพียงต้องการให้พวกเจ้าไปกับเรา พวกเราไม่มีทางทำไม่ดีกับพวกเจ้า และจะมอบสมบัติล้ำค่า วาสนาการเปลี่ยนแปลง โอสถวิเศษมหาศาลแก่พวกเจ้า!”
ผู้ฝึกตนมนุษย์พากันเอ่ยบอก มีมารยาทกับอสูรวัวเหล่านี้เป็นอย่างมาก ทั้งยังนำสมบัติล้ำค่า วาสนาการเปลี่ยนแปลง โอสถวิเศษออกมาให้อสูรวัวเหล่านี้มากมาย
เริ่มแรกอสูรวัวเหล่านี้ล้วนพากันต่อต้าน ทว่าท้ายที่สุดพวกเขาก็ต้านสิ่งยั่วยุไม่ไหว สุดท้ายก็เลือกไปกับผู้ฝึกตนมนุษย์
“ให้ตายสิ เนื้อหอมขึ้นมาจริงหรือนี่”
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่!”
สิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุสับสนยิ่งกว่าเดิม ผู้ฝึกตนมนุษย์เหล่านี้เกรงอกเกรงใจวัวตัวเมียมาก เห็นวัวตัวเมียเป็นสมบัติล้ำค่า พยายามโน้มน้าวเข้าเป็นพวกสุด ๆ!
และเหตุผลของเรื่องราวทั้งหมดเพราะประโยคเดียวของหลี่จิ่วเต้า
‘นมวัวนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์อย่างมาก ที่บ้านเกิดของข้า ทุกคนดื่มกันถ้วนหน้า!’
นี่คือวาจาที่หลี่จิ่วเต้าเคยกล่าวกับไป๋มู่
ไป๋มู่จดจำประโยคนี้ไว้ หลังจากกลับมา เขาออกคำสั่งให้กองกำลังเผ่ามนุษย์ต่าง ๆ ลงมือปฏิบัติ ตามหาวัวตัวเมียทั้งหมดให้เจอ แล้วนำวัวตัวเมียมาเลี้ยงดูเทิดทูนเอาไว้ เพื่อให้สะดวกต่อการดื่มนมของผู้ฝึกตนทุกคน!
เขาเป็นถึงผู้นำตระกูลไป๋ ซ้ำตระกูลไป๋ยังเป็นถึงยอดนิกาย เมื่อเป็นคำสั่งของเขา ในเวลาเพียงไม่นาน วัวตัวเมียจากสองมหาดินแดนก็ถูกเลี้ยงดูเทิดทูนไว้ทั้งหมด
ส่วนดินแดนฝอนั้น เขามิได้ติดต่อ พุทธศาสนาค่อนข้างพิเศษ มีกฎศาสนามากมาย ซ้ำยังให้ความสำคัญกับการดื่มกิน ไม่อาจกินดื่มได้ตามใจชอบ
ทว่า ต้าเต๋อซึ่งประทับบนเขาญาณไม่สนเรื่องนั้น
“เร็วเข้า พวกเราก็เลี้ยงดูเทิดทูนวัวตัวเมียทั้งหมดในดินแดนฝอเสีย แม้นไม่รู้เพราะเหตุใด กระนั้นเลี้ยงดูเทิดทูนไว้ก่อนย่อมเป็นการเตรียมการที่ไม่เสียหาย!”
ต้าเต๋อกล่าว
ตอนนี้ สถานะของเขาในพุทธศาสนาสูงส่งอย่างมาก วาจาของเขามีผลพอสมควร
บัดนี้ดินแดนหยินและดินแดนฮวงตามหาวัวตัวเมียจนแทบพลิกแผ่นดิน ดินแดนฝอย่อมทราบข่าวนี้ ต้าเต๋อเสนอให้พวกเขารีบลงมือเข้า
“คำสั่งออกโดยตระกูลไป๋ เรื่องนี้ไม่ธรรมดาแน่! อืม เตรียมการไว้ก่อนย่อมดีกว่า!”
พระสังฆราชพยักหน้า เห็นว่าต้าเต๋อพูดมีเหตุผล จึงออกคำสั่งลงไปทันที ให้พุทธสาวกตามหาวัวตัวเมียในดินแดนฝอ แล้วเลี้ยงดูเทิดทูนให้หมด
‘เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับท่านเซียนกันนะ’
ต้าเต๋อพึมพำในใจ
บทที่ 429
เอิกเกริกปานนี้ ชุลมุนกันถึงสองมหาดินแดน ต้าเต๋อรู้สึกว่าไม่ธรรมดา บางทีอาจเกี่ยวข้องกับท่านเซียน
‘อีกวันสองวันไปเยี่ยมเยียนท่านเซียนดีกว่า!’
เขากล่าวในใจ นึกถึงที่ท่านเซียนเคยบอกกับเขาว่าชอบดื่มสุรากับเขา ให้เขาไปดื่มด้วยกันยามว่าง
...
ณ เมืองชิงซาน
ในบ้านหลิงอิน
“พี่ชาย!”
เสี่ยวหยาดีดฉิน บรรเลงบทเพลงคะนึงหา สร้างการเชื่อมต่อกับพี่ชายของนางอีกครั้ง มิหนำซ้ำการเชื่อมต่อครั้งนี้ดูจะชิดเชื้อมากขึ้น
นางถึงขั้นสัมผัสอารมณ์บางส่วนของพี่ชายได้
“พี่ชายในตอนนี้เจ็บปวดทรมานมาก…”
เสียงของเสี่ยวหยาเจือแววสะอื้น ดวงตากลมโตมีน้ำตารื้น นางรู้สึกได้ว่าตอนนี้พี่ชายของนางต้องทรมานอย่างแสนสาหัส หัวใจของนางเจ็บปวดตามอย่างอดไม่ได้
“ทรมานมากหรือ”
หลิงอินอยู่ข้างกายเสี่ยวหยา เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของเสี่ยวหยาก็รู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมานิดหน่อย
นางเอ่ย “อย่าคิดให้มากนัก สิ่งที่เจ้าทำได้ในยามนี้มีจำกัด สิ่งเดียวที่พอทำได้คือรีบบำเพ็ญวิถีแห่งฉินของเจ้า เช่นนี้เจ้าจะได้เปล่งแสนยานุภาพของฉินปี้เทียนชางไห่ได้รุนแรงกว่านี้ และสร้างการเชื่อมต่อกับพี่ชายของเจ้าได้ชิดเชื้อกว่านี้ รวมถึงรู้ว่าเกิดเรื่องใดในฟากพี่ชายของเจ้า”
“อืม!”
เสี่ยวหยาพยักหน้าหนักแน่น เช็ดน้ำตาบนใบหน้า
จากนั้น นางบรรเลงฉินต่อ ตั้งใจบำเพ็ญวิถีแห่งฉิน
หลิงอินพูดถูก นางมัวเสียใจอยู่ที่นี่หาได้มีประโยชน์ไม่ มิได้ช่วยให้ทราบสถานการณ์ของพี่ชายสักนิด และไม่อาจช่วยอะไรพี่ชายได้
นางจำต้องแข็งแกร่งมากขึ้น บรรลุวิถีแห่งฉินจนสูงขึ้น ถึงจะยืมพลังของฉินปี้เทียนชางไห่ในการรับรู้สถานการณ์ฟากพี่ชายของนาง หรืออาจถึงขั้นช่วยพี่ชายของนางได้
และครั้งนี้ นางสร้างการเชื่อมต่อกับพี่ชายได้ชิดเชื้อยิ่งขึ้น จนสัมผัสอารมณ์บางส่วนของพี่ชายได้ก็เป็นข้อบ่งชี้ที่ดีที่สุด
...
ท่ามกลางทะเลต้องห้ามอันไร้จุดสิ้นสุด น้ำทะเลสีดำแผ่ขยาย ที่นี่เต็มไปด้วยกลิ่นอายเน่าเปื่อย พิศวง ชวนขวัญผวา เทียบกับในอดีต ที่นี่รังแต่จะสยดสยองขึ้นกว่าเดิม น้ำทะเลสีดำซัดสาด อสูรกระดูกซึ่งทวีความน่าพรั่นพรึงโผล่ออกมา คลื่นพลังกล้าแกร่งโถมทับสู่ปฐพี ภาพการณ์น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
ก่อนหน้านี้ไม่นาน ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังกว่านี้มาเยือน โดยมาจากอาณาจักรซึ่งอยู่เบื้องหลังทะเลต้องห้าม
มันเพิ่มความแข็งแกร่งให้ที่นี่ ทำให้ทะเลต้องห้ามน่าประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งกว่าเดิม
กล่าวโดยไม่เกินจริง แม้แต่เทียนตี้ยังยากจะก้าวข้ามทะเลต้องห้ามสีดำผืนนี้ ต้องถูกอสูรกระดูกสุดสยองน้ำทะเลกลืนกิน
“ตอนนี้คงพอใช้ได้แล้ว…”
สิ่งมีชีวิตซึ่งมีศีรษะเป็นกิเลน ร่างกายเป็นมังกร และมีปีกวิหคเพลิงกล่าว มันก็คือสิ่งมีชีวิตทรงพลังที่มาจากอาณาจักรเบื้องหลังทะเลต้องห้าม
มันพึงพอใจมาก เมื่อผ่านการเสริมพลังจากมัน ทะเลต้องห้ามในยามนี้ปลอดภัยแน่นอน ไม่มีทางเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นอีก
“ท่านบูรพาจารย์จะลงมือกับหลิงอินแล้วหรือ”
จ้าวสมุทรทะเลต้องห้ามเอ่ยถามจากด้านข้างอย่างนอบน้อม
พูดถึงหลิงอิน เขาแค้นจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน หลิงอินเดินเหินในทะเลต้องห้ามของเขาได้อย่างง่ายดายไร้อุปสรรค ทำลายผนึกแห่งแล้วแห่งเล่า จนสุดท้ายบีบบังคับให้เขาต้องปรากฏกาย ซึ่งถือเป็นความอัปยศใหญ่หลวงสำหรับเขา เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!
เขาผูกใจเจ็บกับหลิงอินมาโดยตลอด ได้ยินจากท่านบูรพาจารย์ว่าเมื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ทะเลต้องห้ามจนพอแล้ว ก็เสนอให้ไปจัดการหลิงอินทันที
“ต้องไปอยู่แล้ว!”
สิ่งมีชีวิตหัวกิเลนหัวเราะเสียงเย็น “ลำพังมนุษย์ต่ำต้อยคนหนึ่ง ได้โอกาสวาสนาเพียงเล็กน้อยก็หาญกล้าทำตัวกำแหงในทะเลต้องห้ามของเรา นางไม่มีทางรอดไปได้!”
จ้าวสมุทรจับพิรุธบางอย่างได้ ขมวดคิ้วถาม “นางมิใช่คนจากแดนสังสารวัฏหรือ”
จากคำกล่าวของท่านบูรพาจารย์ ดูเหมือนหลิงอินมิได้มีภูมิหลังยิ่งใหญ่อันใด และไม่เกี่ยวข้องกับแดนสังสารวัฏ
“มิใช่!”
สิ่งมีชีวิตกิเลนส่ายหัว ปฏิเสธทันที “นางจะมาจากแดนสังสารวัฏได้อย่างไร ต่อให้นางมีพลังปราณของแดนสังสารวัฏในตัว ก็ไม่มีทางเกี่ยวข้องกับแดนสังสารวัฏ”
“หา ไม่เกี่ยวข้องแล้วเหตุใดพวกเราถึงต้องบุกโจมตีแดนสังสารวัฏด้วย”
จ้าวสมุทรคิดไม่ถึงว่าท่านบูรพาจารย์จะให้คำตอบเช่นนี้
“แดนสังสารวัฏมิได้โง่ ต่อให้พวกมันเก็บเกี่ยวบางอย่างได้จากดินแดนนั้นจริง พวกมันก็ต้องปกปิดให้ถึงที่สุด ไม่มีทางกล้าเผยออกมาแม้แต่น้อย”
สิ่งมีชีวิตหัวกิเลนกล่าว “ดินแดนนั้นสำคัญขนาดไหน สิ่งมีชีวิตที่เพ่งเล็งดินแดนนั้นไม่รู้มีมากเท่าใด แม้แต่พวกเราเองยังไม่รู้ว่ามีกองกำลังอีกเท่าไรในที่ลับ และเรื่องนี้เป็นเพียงข้ออ้างของเราเท่านั้น หลังจากกำจัดแดนสังสารวัฏได้ ยามพวกเราต่อสู้ช่วงชิงในดินแดนนั้นก็จะมีคู่แข่งน้อยลงไปหนึ่ง”
หลังได้ยินวาจาของท่านบูรพาจารย์ จ้าวสมุทรก็กระจ่างแจ้ง
เขาตั้งแง่ไปก่อนหลังเห็นว่าหลิงอินมีพลังปราณของแดนสังสารวัฏในตัว จึงทึกทักเอาว่าหลิงอินมาจากแดนสังสารวัฏ
ต่อมา หลิงอินมีหยกคุ้มภัยน่ากลัวเหลือคณาเช่นนั้นในตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้ยิน ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาจึงเชื่อมโยงหยกคุ้มภัยนั้นกับดินแดนนั้น
ทว่าบัดนี้ดูแล้ว เขาคิดผิดไป ความจริงของเรื่องนี้อาจมิใช่อย่างที่เขาคาดการณ์
“หากเป็นของจากดินแดนนั้นจริง แดนต้องห้ามทั้งแปดที่เหลือไยจะไม่มีปฏิกิริยา จวบจนป่านนี้ยังไม่มีสิ่งมีชีวิตใดจุติ…”
สิ่งมีชีวิตหัวกิเลนกล่าว “นั่นเพราะพวกเขารู้ว่าของในตัวหลิงอินมิได้มาจากดินแดนนั้น พวกเขาจึงยังไม่เคลื่อนไหวใด ๆ ไม่เคยส่งคนมา หากของในตัวหลิงอินเกี่ยวข้องกับดินแดนนั้นจริง ยามนี้จะสงบถึงเพียงนี้ได้อย่างไร แดนต้องห้ามทั้งแปดที่เหลือคงส่งยอดฝีมือมานานแล้ว!”
เขากล่าวต่อ “เจ้ารู้เรื่องของดินแดนนั้นน้อยไป ไม่รู้ว่าดินแดนนั้นน่าประหวั่นพรั่นพรึงปานใด คิดจะนำของออกจากดินแดนนั้นหาใช่เรื่องง่าย ต่อให้ทะเลต้องห้ามของเรายกทัพไปทั้งหมด สุดท้ายก็ใช่ว่าจะหยิบสิ่งใดติดมือมาได้”
“น่ากลัวถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
สีหน้าจ้าวสมุทรเปลี่ยนไป ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าดินแดนนั้นจะสยดสยองเพียงนี้ สมาชิกทั้งหมดในทะเลต้องห้ามยกทัพไปยังไม่แน่ว่าจะหยิบอะไรมาได้สักอย่าง…
สวรรค์ ดินแดนนั้นเป็นพื้นที่ระดับใดกันแน่
“มีแต่จะน่ากลัวยิ่งกว่านั้น!”
สิ่งมีชีวิตหัวกิเลนเอ่ย “ลือกันว่าดินแดนนั้นเกี่ยวข้องกับเซียน ในกาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา สิ่งมีชีวิตฝึกตนไม่อาจบรรลุเป็นเซียน ไม่อาจเข้าไปในภพเซียน สงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับดินแดนนั้นทั้งสิ้น!”
นัยน์ตาของมันเปล่งประกายโหดเหี้ยม “วางแผนมาตั้งแต่ก่อนกาล สั่งสมกำลัง พวกเราล้วนรอคอยการปรากฏของดินแดนนั้น! กองกำลังอื่นก็คงเป็นเช่นเดียวกัน เจ้าดูเอาเถิด หลังจากดินแดนนั้นโผล่ออกมา ไม่รู้ว่าโลกนี้จะโกลาหลขึ้นปานใด!”
จ้าวสมุทรแค่คิดก็รู้สึกชาไปทั้งศีรษะ สั่นสะท้านไปทั้งดวงวิญญาณ หลังจากดินแดนนั้นปรากฏ อาณาจักรในโลกนี้ย่อมต้องเกิดความอลหม่านใหญ่หลวงที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์!
“อาณาจักรนี้ไม่ธรรมดา ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาล้วนน่าทึ่ง มิฉะนั้น ดินแดนนั้นคงไม่เลือกปรากฏในอาณาจักรนี้”
สิ่งมีชีวิตหัวกิเลนเอ่ย “ถึงแม้ของวิเศษในตัวหลิงอินผู้นั้นมิได้มาจากดินแดนนั้น ทว่าจากคำบอกเล่าของเจ้า ของวิเศษนั้นย่อมไม่ธรรมดา นางอาจได้รับวาสนาการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คู่ควรแก่การลงมือของข้า!”
บทที่ 430
น้ำทะเลสีดำซัดสาด สิ่งมีชีวิตหัวกิเลนออกเดินทาง เป้าหมายคือสังหารหลิงอิน
“ท่านบูรพาจารย์ออกโรงคงไม่มีปัญหากระมัง”
ภายในทะเลต้องห้าม จู่ ๆ จ้าวสมุทรก็เอ่ยขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
“คิดอะไรอยู่ ท่านบูรพาจารย์ไฉนเลยจะพลาด!”
เขาสั่นศีรษะรัว รีบขับไล่ความคิดนี้ออกจากหัว เขาคิดฟุ้งซ่านกระไรนี่!
...
แสงแดดแจ่มจ้า อากาศกำลังสดใส สายลมอ่อน ๆ พัดโชย ไม่หนาวไปไม่ร้อนไป สบายถึงขีดสุด
บนถนนใหญ่มุ่งตรงสู่เมืองชิงซาน ตงฟางเวิ่นแบกสัมภาระ มุ่งหน้าไปยังเมืองชิงซานด้วยท่าทางชื่นบาน
“เมื่อเจอเรื่องมงคลย่อมกระปรี้กระเปร่า วันนี้ข้าผู้นี้ปรีดาอย่างยิ่ง!”
ตงฟางเวิ่นฮัมเพลงออกมา อย่าให้พูดเลยว่าดีใจเพียงใด
แค่คิดว่าเขากำลังจะได้อยู่ใต้บัญชาของท่านเซียน อนาคตสวยงามสดใสรออยู่ข้างหน้า จะไม่ให้เขาสะใจได้เยี่ยงไร ไม่ให้ดีใจได้เยี่ยงไร
ความสะใจนี้ ความดีใจนี้ น่าตื้นตันยิ่งกว่ายามเขาบรรลุมหาจักรพรรดิเสียอีก
เขาเดินต่อเนื่องจนถึงริมน้ำ เมืองชิงซานอยู่ใกล้แค่เอื้อม อีกไม่ไกลก็จะเข้าเมืองแล้ว
ต้นหลิวหยั่งรากอยู่ริมน้ำ กิ่งก้านห้อยลง ใบไม้เขียวชอุ่ม เต็มไปด้วยชีวิตชีวา บ่งบอกว่าวสันตฤดูมาถึงแล้ว
ห่างออกไปไม่ไกล ก้อนหินรูปร่างไม่เป็นระเบียบเท่าใดก้อนหนึ่งกองอยู่ไม่ห่างจากน้ำ
“ไม่เลว ๆ สิ่งแวดล้อมที่นี่ไม่เลวจริง ๆ”
เมื่อตงฟางเวิ่นเดินมาถึงริมน้ำก็ชะงักฝีเท้า ทอดมองสายน้ำใสสกาว รวมถึงปลาน้อยที่ว่ายวนไปมาแล้วคลี่ยิ้ม เอ่ยในใจ “หลังจากนี้ยามข้าอยู่ว่าง ๆ มาตกปลาที่นี่ได้บ่อย ๆ”
เขาในตอนนี้เริ่มวางแผนชีวิตภายภาคหน้าในเมืองชิงซานแล้ว
ท่านเซียนท่องโลกมนุษย์ด้วยฐานะปุถุชน เขาย่อมมิกล้าฝ่าฝืนข้อห้ามท่านเซียน ต่อไปเมื่อเขาไปอยู่ข้างกายท่านเซียน ย่อมต้องก้าวไปพร้อมกับท่านเซียน วางตัวเป็นปุถุชนเช่นเดียวกัน
เขาคิดไว้หมดแล้ว ต่อจากนี้ไป เขาคือตาเฒ่าปุถุชนธรรมดา ยามว่างก็ออกมาตกปลาบ้างอะไรบ้าง
“ที่แห่งนี้ไม่เลว เป็นที่สุดวิเศษในการตกปลา! ฮ่า ๆ ต่อไปนี้ยามข้าต้องการตกปลามาตกที่นี่ได้”
เขาคิดในใจ เล็งจุดที่ก้อนหินอยู่
จุดที่ก้อนหินอยู่นั้นกำลังเหมาะ ซ้ำยังมีต้นหลิวกิ่งก้านเจริญงอกงามอีกต้นตั้งอยู่ ช่วยบดบังแสงแดด ยามตกปลาจะได้ไม่ตากแดดจนมากไป ใช้สถานที่นี้ในการตกปลานับว่าไม่เลวจริง ๆ!
เขาจดจำไว้ในใจ มิได้อยู่ต่อที่ริมน้ำนานนัก หลังจากนั้นก็เดินเข้าไปในเมืองชิงซาน
ต้นหลิวกับก้อนหินรู้สึกถึงตงฟางเวิ่นได้นานแล้ว
และพวกมันก็ล่วงรู้ฐานะผู้ฝึกตนของตงฟางเวิ่นได้นานแล้วเช่นกัน
จากที่พวกมันดูมา อีกฝ่ายมีปัญหามาก เขาอำพรางตนได้ลึกเกินไป ไม่เหมือนผู้ฝึกตนปกติ
ในสถานการณ์แบบนี้ พวกมันควรต้องเคลื่อนย้ายตงฟางเวิ่นเข้าไปในมิติพิเศษแล้วทำการไต่สวน ถึงอย่างไรจุดน่าสงสัยในตัวอีกฝ่ายก็มีอยู่นานัปการ พวกมันไม่อาจปล่อยให้ผู้ฝึกตนน่าแคลงใจเยี่ยงนี้เข้าเมืองง่าย ๆ
ทว่า พวกมันมิได้หยุดยั้งหรือไต่ถามสิ่งใดกับเขา
พวกมันพอจะเดาฐานะของตงฟางเวิ่นออก
ก่อนหน้านี้ ท่านเซียนเคยตามบรรดาบัณฑิตออกไปพบปรมาจารย์หมากล้อมคนหนึ่ง ต่อมา ยามท่านเซียนกลับมากับเหล่าบัณฑิตได้กล่าวว่าปรมาจารย์หมากล้อมผู้นี้จะย้ายมาพำนักในเมืองชิงซาน
ตงฟางเวิ่นแบกสัมภาระไว้ที่ตัว คิดแล้วคงเป็นปรมาจารย์หมากล้อมที่จะย้ายมาพำนักในเมืองชิงซานผู้นั้น
นี่คือผู้ที่ได้รับการอนุญาตจากท่านเซียน พวกมันไฉนเลยจะขวาง
ไม่มีทาง
“พี่หลิว พี่ว่าเมื่อครู่คนคนนี้มองพี่กับข้าสลับไปมานั้นหมายความว่าอย่างไร”
ก้อนหินถามต้นหลิว
ยามตงฟางเวิ่นชะลออยู่ริมน้ำ มันเห็นสายตาตงฟางเวิ่นสอดส่ายไปมาระหว่างมันกับต้นหลิว
“ไม่รู้สิ…”
ต้นหลิวก็เดาไม่ออกว่าเหตุใดตงฟางเวิ่นถึงต้องมองพวกมัน
อีกด้าน ตงฟางเวิ่นก้าวเข้าไปในเมืองชิงซาน
เมื่อมาถึงในเมือง เขาย่อมต้องไปเยี่ยมเยียนท่านเซียนก่อน เขาสอบถามนิดหน่อยก็รู้ที่อยู่ของท่านเซียน จึงรีบก้าวฉับไวไปยังหน้าร้านหลี่จิ่วเต้า
“ต้องใจกล้าปานใด!”
เมื่อมาอยู่หน้าร้าน ตงฟางเวิ่นสะท้านไปทั้งใจ ป้ายในร้านรวมถึงภาพวาดและภาพอักษรที่แขวนอยู่ตามกำแพง อีกทั้งรูปแกะสลักหยกที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ ไม่ธรรมดากันทั้งนั้น สูงส่งเหนือสิ่งใดเปรียบ!
หนานเจี๋ยและอู๋ฉียังบังอาจเข้ามาสืบเสาะเรื่องราวของท่านเซียน น่ากลัวว่าสองคนนั้นไม่ทันแม้แต่จะได้เห็นหน้าท่านเซียน ของทุกชิ้นในร้านนี้สามารถสังหารพวกเขาได้ทั้งนั้น!
เขานึกโชคดีอยู่เต็มหัวใจ โชคดีที่ครานั้นมิได้ตรงเข้ามาสืบเสาะเรื่องของท่านเซียนในเมือง
ขืนเขาตรงเข้ามาสืบเสาะเรื่องของท่านเซียนในเมือง น่ากลัวว่าจุดจบของเขาคงเฉกเช่นเดียวกับหนานเจี๋ยและอู๋ฉี ทันทีที่เข้าใกล้ร้านค้าก็ถูกสิ่งของในร้านค้าสังหาร!
‘ข้านี่…โชคดีชะมัด!’
เขาคิดในใจอย่างอดไม่ได้
ท่านเซียนไม่เพียงแต่ไม่ฆ่าเขา ซ้ำยังรับเขาไว้ใต้บัญชา เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าตัวเองถูกวาสนายิ่งใหญ่ปานใดหล่นทับหัว ถึงได้โชคดีขนาดนี้!
“คุณชายอยู่หรือไม่”
หลังจากสงบจิตใจลงแล้ว เขาเคาะประตูร้านค้า
“เอ๋ ผู้เฒ่าเวิ่นมาถึงแล้วหรือ”
หลี่จิ่วเต้าได้ยินเสียงจึงเดินเข้ามา และได้เห็นตงฟางเวิ่น
“มาถึงแล้ว เพิ่งถึงเมืองชิงซานก็เข้ามาทักทายคุณชาย”
ชายชรากล่าว
“ฮ่า ๆ ผู้เฒ่าเวิ่นเกรงใจกันเกินไปแล้ว”
หลี่จิ่วเต้าหัวเราะ “ไปเถิด ข้าหาที่พำนักให้ท่านได้แล้ว”
ตงฟางเวิ่นบอกว่าจะย้ายมาอาศัยในเมืองชิงซาน หลังเขากลับมาก็ช่วยตามหาที่อยู่ให้ตงฟางเวิ่นจนได้
ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เก็บตัวเร้นกายอยู่ในเขามาตลอด ไม่คุ้นเคยกับในเมืองนัก หากปล่อยให้ตงฟางเวิ่นตามหาที่อยู่ของตัวเอง คงยุ่งยากน่าดู
บ้านเขานั้นก็พออยู่ได้ มีห้องว่างไม่น้อย
เพียงแต่เขาชินกับการอยู่คนเดียวแล้วจริง ๆ มิใคร่อยู่ร่วมกับผู้ใดนัก
หากมิใช่เช่นนี้ เขาให้ตงฟางเวิ่นมาพักอยู่กับเขาคงเป็นการดีที่สุด ยามว่าง ๆ พวกเขาสองคนจะได้เล่นหมากด้วยกัน
พูดมาถึงนี่ หลี่จิ่วเต้านึกถึงเมิ่งจีขึ้นมา เมิ่งจีเคยพำนักในลานเล็กของเขาอยู่พักใหญ่
‘ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เมิ่งจีเป็นอย่างไรบ้าง’
เขาคิดในใจ นึกคิดถึงเมิ่งจีขึ้นมาเหมือนกัน ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ไยเมิ่งจีถึงไม่กลับมาเยี่ยมเขาบ้าง
“ขอบคุณคุณชายมาก!”
ตงฟางเวิ่นเอ่ยขอบคุณ
จากนั้น หลี่จิ่วเต้าพาตงฟางเวิ่นไปยังที่ที่เขาหาไว้
ที่แห่งนี้อยู่ไม่ไกลนัก ห่างกันเพียงถนนเส้นเดียวเท่านั้น ไม่นานนักพวกเขาก็ไปถึง ซึ่งเป็นลานเล็กเดี่ยว ๆ
“ต่อจากนี้ไปผู้เฒ่าเวิ่นพำนักที่นี่ได้เลย เรื่องค่าเช่านั้นผู้เฒ่าเวิ่นไม่ต้องสนใจ ข้าจ่ายเสร็จหมดแล้ว”
หลี่จิ่วเต้ากล่าว “ผู้เฒ่าเวิ่นเชิญพักผ่อนก่อน คืนนี้ไปกินข้าวที่บ้านข้า”
“ได้!”
ตงฟางเวิ่นตื้นตันสุด ๆ พยักหน้ารัว
เขาซาบซึ้งมาก รู้สึกถึงความสำคัญที่ตัวเองมีต่อท่านเซียน ท่านเซียนทั้งหาที่อยู่ให้เขา ทั้งชวนเขาไปกินมื้อเย็นที่บ้าน
เขามีความสามารถปานใดเชียว ถึงคู่ควรกับที่ท่านเซียนให้ความสำคัญเขาถึงเพียงนี้!
“ต่อแต่นี้ไป ข้าจะรับใช้ท่านเซียนด้วยชีวิต!”
เขาเอ่ยขึงขังในใจ
“ข้าไปก่อน อย่าลืมมาบ้านข้าคืนนี้”
หลี่จิ่วเต้าบอกลาตงฟางเวิ่น กลับไปยังลานเล็กของตน