411-415

บทที่ 411

ไม่มีจรรยาบรรณเอาเสียเลย!


เซี่ยเหยียนขัดใจนัก นางรู้ว่าพี่หญิงหลิงอินกำลังหยอกนางเล่น


ทว่าคิดดูแล้ว นางในครานั้น ‘บ้องแบ๊ว’ ใช้ได้ ริอ่านคิดข่มพี่หญิงหลิงอิน…


นั่นเป็นถึงจ้าวสูงสุดแห่งโบราณกาลมาเกิดใหม่เชียวนะ เด็กน้อยอย่างนางไฉนเลยจะเป็นคู่มือของพี่หญิงหลิงอิน


หลี่จิ่วเต้านึกถึงเรื่องในคราวนั้นขึ้นมาได้เช่นกัน ครานั้น เซี่ยเหยียนกับหลิงอินดูเป็น ‘ปรปักษ์’ ต่อกันอยู่นิดหน่อย


เขาเอ่ยหยอกขำขัน “ใช่แล้ว ว่าไปแล้ว เซี่ยเหยียนรู้จักกับข้ามานานที่สุด ข้าสอนสั่งไว้มากที่สุด”


แม้นเป็นวาจาหยอกเย้า ทว่าก็เป็นความจริงเช่นกัน


เขาสอนหลิงอินกับเสี่ยวหยาไปไม่น้อยเช่นกัน แต่ไม่มากเท่าที่สอนเซี่ยเหยียนจริง ๆ ช่วยไม่ได้ ผู้ใดใช้ให้หลิงอินกับเสี่ยวหยามีพรสวรรค์ด้านฉินสูงส่ง เขาบอกนิดหน่อยก็ถึงคราวแตกฉาน


ส่วนเซี่ยเหยียน…


อืม พรสวรรค์สำคัญกว่า เขาแทบจะถอดใจในการสอนนางบรรเลงฉินแล้ว


ชายหนุ่มคิดว่าตนสอนได้ละเอียดมากแล้ว สอนตั้งแต่ศูนย์ อนิจจา เซี่ยเหยียนไร้ซึ่งพรสวรรค์ในด้านฉินจริง ๆ ไม่อาจทำความเข้าใจได้สักครั้ง เสียงฉินที่บรรเลงออกมานั้น เฮ้อ อย่าให้พูดเลยว่าเลวร้ายเพียงใด...


ท่านเซียนก็หักหน้าข้าด้วยหรือ?


เซี่ยเหยียนยิ่งเซ็งเข้าไปใหญ่


ทว่าช่วยไม่ได้ ด้านฉินเป็นด้านที่นางเถียงไม่ได้จริง ๆ…


ไม่ต้องเทียบกับผู้ที่บำเพ็ญวิถีแห่งฉินอย่างหลิงอิน ลำพังปุถุชนที่พอเล่นฉินเป็นบ้างนางยังเทียบไม่ได้


นางยังไม่แตะเท้าเข้าวงการสักนิด คนนอกยิ่งกว่าคนนอกเสียอีก


“คุณชายยังพูดขนาดนี้ พี่หญิงเซี่ยเหยียนคงบรรเลงได้เยี่ยมยอดมากแน่ ๆ หลังจากนี้หากมีเวลา ข้าหวังจากใจจริงว่าพี่หญิงเซี่ยเหยียนจะช่วยชี้แนะข้าบ้าง!”


เสี่ยวหยาไม่รู้ว่าหลิงอินและท่านเซียนแกล้งหยอกเซี่ยเหยียน นางเข้าใจว่าอีกฝ่ายบรรเลงฉินได้ไพเราะจริง ๆ จึงเอ่ยท่าทางจริงจัง


ข้าจะชี้แนะได้อย่างไรเล่า!


เซี่ยเหยียนหงอยจนมิกล้าพูดจา กล้าที่ไหนกัน นางไร้ฝีมือจริง ๆ


หลี่จิ่วเต้ารู้ว่าเซี่ยเหยียนไม่มีฝีมือด้านฉินจริง ๆ จึงหัวเราะแล้วเบนหัวข้อสนทนาออกไป


“เห็นเจ้ามาหน้าระรื่น มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นหรือ”


เขาถามเซี่ยเหยียน


“มีสิ ๆ”


เซี่ยเหยียนรีบต่อความ นางกำลังตอบเสี่ยวหยาไม่ถูก ท่านเซียนช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้นาง


“สองวันนี้ที่ข้าออกไป ได้เจอต้นผลไม้ไม่เลวอยู่หลายต้น ข้าคิดว่าลานเล็กของคุณชายมีทุกอย่าง เพียงแต่ขาดต้นผลไม้ไป จึงนำมาให้”


หญิงสาวกล่าวต่อ “ต้นผลไม้สามต้น ต้นองุ่นต้นหนึ่ง ต้นผิงกั่วต้นหนึ่ง ต้นสาลี่ต้นหนึ่ง เจริญงอกงามกันทั้งนั้น ผลที่งอกเงยก็เยี่ยมยอด จากนี้หากคุณชายอยากกินผลไม้ เอื้อมมือก็เด็ดผลไม้สดใหม่มากินได้แล้ว”


พูดจบ นางก็หยิบต้นผลไม้สามต้นออกมา


ต้นผลไม้สามต้น กิ่งก้านใบไม้ดกกันทั้งนั้น เติบโตได้ดีเยี่ยม ผลที่งอกออกมาล้วนมนกลมสุกสกาว ยวนตายวนใจเป็นอย่างยิ่ง


อสูรฟ้าชิงหนิวสี่ตัวที่อีกด้านหนึ่งเห็นต้นผลไม้สามต้นนี้แล้ว


พวกมันตกใจเหลือแสน


คนข้างกายท่านเซียนล้วนไม่ธรรมดา ออกโรงครั้งหนึ่งก็ให้ต้นผลไม้ระดับโอสถมหาจักรพรรดิ น่ากลัวเกินไปแล้ว


แต่ลองคิดดูแล้ว วัชพืชที่อยู่ในไร่ท่านเซียนเมื่อเทียบกับโอสถมหาจักรพรรดิยังมีแต่จะเหนือกว่า พวกมันก็ปลงตก


ต้นองุ่น ต้นผิงกั่ว ต้นสาลี่?


หลิงอินค่อนข้างละเอียดอ่อน นางนึกถึงนมเปรี้ยวหลากรสที่ท่านเซียนกล่าวว่าจะทำให้พวกนางดื่ม ก็เป็นรสชาติองุ่น ผิงกั่ว และรสสาลี่…


คิดไม่ผิดเลย จิตของท่านเซียนหยั่งรู้ทุกสิ่ง รู้อยู่แล้วว่าเซี่ยเหยียนจะนำต้นผลไม้มาให้สามต้น


“ดีเลย ดีเลย!”


หลี่จิ่วเต้าหัวเราะ ท่าทางดีอกดีใจ


เซี่ยเหยียนพูดไม่ผิด ลานของเขาขาดต้นผลไม้ไปจริง ๆ และเขาเคยมีความคิดว่าจะปลูกต้นผลไม้ที่นี่


บัดนี้พอดี


ต้นผลไม้ที่เซี่ยเหยียนนำมาดูท่าไม่เลว องุ่นเอย ผิงกั่วเอย สาลี่เอย ดีกว่าที่ขายตามข้างนอกมากนัก


“ไปเถิด เราลงมือปลูกพวกมันกันเดี๋ยวนี้”


หลี่จิ่วเต้าพูดจบก็นำต้นผลไม้สามต้นนี้ไปปลูกในอีกลานหนึ่ง อีกทั้งรดน้ำให้ต้นไม้ผลไม้ทั้งสามต้นนี้ด้วย


สุดยอด สุดยอด!


อสูรฟ้าชิงหนิวทั้งสี่ตัวเห็นแล้วตาโตอ้าปากค้าง มิน่าแม้แต่หญ้าในไร่ท่านเซียนยังสูงส่งปานนี้ น้ำที่ท่านเซียนรดไม่ธรรมดา!


ที่นี่มีบ่อน้ำแห่งหนึ่ง น้ำภายในบ่อนั้นธรรมดา เป็นน้ำทั่ว ๆ ไป


แต่หลังจากถูกตักขึ้นมาผ่านถังไม้ที่ใช้ตักแล้ว น้ำข้างในก็ยกระดับขึ้นฉับพลัน ขุมปราณชีวิตที่เจืออยู่ท่วมท้นเกินจินตนาการ เรียกได้ว่าเป็นของเหลววิเศษชั้นยอด!


น้ำเช่นนี้ ต่อให้รดลงบนพืชธรรมดาที่สุด ก็ช่วยให้พืชเหล่านั้นวิวัฒนายกระดับได้อย่างแน่นอน!


พวกมันเห็นอย่างชัดเจนว่าหลังจากรดน้ำให้ต้นผลไม้ทั้งสามต้นแล้ว พลังชีวิตในนั้นทวีคูณขึ้นมาทันที


จากนี้ไป ต้นผลไม้สามต้นนี้ย่อมต้องมีระดับเหนือกว่าโอสถมหาจักรพรรดิแน่!


“คืนนี้อยู่กินข้าวด้วยกันที่นี่ทั้งหมดเลยนะ”


วันนี้หลี่จิ่วเต้ามีความสุขมาก หลิงอินกับเสี่ยวหยานำวัวมาให้เขา ส่วนเซี่ยเหยียนนำต้นผลไม้มาให้เขา แต่ละคนล้วนเอาใจใส่เป็นอย่างดี


“ได้!”


พวกหลิงอินตอบยิ้ม ๆ วันนี้พวกนางมีลาภปากอีกแล้ว


...


อีกด้าน ผู้นำตระกูลไป๋มาถึงสำนักไท่หัว


“ขอถามว่าเซี่ยเหยียนอยู่หรือไม่”


เขามีมารยาทมาก วางตัวนอบน้อม คนที่ไม่รู้จักเขาไม่มีทางนึกถึงว่าเขาคือผู้นำตระกูลอันมาจากยอดนิกาย!


ยอดนิกายเชียวนะ ทั้งลึกลับทั้งทรงพลัง เคยชนะสงครามในยุคโบราณจนสิ่งมีชีวิตอาณาจักรเทียนหยวนต้องล่าถอย รากฐานตระกูลลึกล้ำเกินหยั่ง


และผู้นำตระกูลระดับยอดนิกายผู้นี้ กลับวางทีท่านอบน้อม เล่าให้ใครฟังก็คงไม่มีใครเชื่อ


สำนักไท่หัวสร้างใหม่เสร็จสมบูรณ์แล้ว สิ่งปลูกสร้างใหม่ตั้งตระหง่าน ไม่เหลือร่องรอยหลังศึก


“ท่านมีธุระใดหรือ”


ลูกศิษย์ซึ่งรับหน้าที่เฝ้าประตูเขาของสำนักไท่หัวมีมารยาทมากเช่นกันขณะเอ่ยถามผู้นำตระกูล


“ข้ามากล่าวขอโทษ”


ผู้นำตระกูลมิได้ปิดบังจุดประสงค์ของตน เอ่ยอย่างจริงใจ


หลังมาถึงเหยียนโจว เขาก็ไปที่สถานศึกษาเทียนตี้ทันทีเพื่อตามตัวไป๋อวี่เฟย


หลังไป๋อวี่เฟยได้พบเขา ยังกล้าปิดบังความจริงที่ไหน ไม่เหลือท่าทางขวัญหนีดีฝ่อดั่งเก่า รีบเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดโดยละเอียด


เขาโมโหมาก คิดไม่ถึงว่าไป๋อวี่เฟยจะยโสโอหัง ยกตนข่มท่านถึงเพียงนี้ หลังมาถึงสำนักไท่หัว ไม่เพียงแต่วางมาดใหญ่โต ทว่ายังเหยียดหยามดูหมิ่นเซี่ยเหยียน


มิหนำซ้ำ สุดท้ายยังขอให้นางยอมมอบคันศรวิเศษให้แต่โดยดี


ความอัปยศเยี่ยงนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ทนไม่ไหว เซี่ยเหยียนยังดีมีเมตตา หากเป็นคนฉุนเฉียวง่ายไป๋อวี่เฟยน่ะหรือจะยังมีชีวิตอยู่?


ทั้งตระกูลไป๋มีหรือจะไม่เห็นเลือด?


เขาอยากตบไป๋อวี่เฟยให้ตายในฝ่ามือเดียวนัก ทว่าสงครามใหญ่ใกล้ปะทุ กำลังรบระดับต่าง ๆ กำลังขาดแคลน ท้ายที่สุดเขาก็ไว้ชีวิตไป๋อวี่เฟย


ทว่าไป๋อวี่เฟยจะอยู่ข้างนอกอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ เขาสั่งให้คนมาพาตัวไป๋อวี่เฟยกลับไป ลงโทษสถานหนัก ทำให้ไป๋อวี่เฟยเข็ดกับบทเรียนครั้งนี้ให้ได้


หลังล่วงรู้ความจริงทุกอย่าง เขายิ่งแน่วแน่ว่าต้องขอโทษเซี่ยเหยียน ขอโทษสำนักไท่หัว


ตระกูลไป๋ทำผิด คำขอโทษนี้จำต้องกล่าวออกไป


“ขอโทษหรือ”


ลูกศิษย์เฝ้าสำนักชะงัก


“ก่อนหน้านี้คนในตระกูลของข้ามาก่อเรื่องที่สำนัก จนสำนักของพวกเจ้าได้รับความอัปยศ เซี่ยเหยียนได้รับความอัปยศ แม้ว่าพวกเขาได้รับบทเรียนแล้ว ทว่าข้าในฐานะผู้นำตระกูล จำต้องมาขอโทษด้วยตัวเอง”


ผู้นำตระกูลไป๋กล่าวด้วยท่าทางจริงใจ


ลูกศิษย์เฝ้าสำนักพลันนึกถึงไป๋อวี่เฟยและผู้อาวุโสสิบเจ็ด เขาอึ้งมาก คิดไม่ถึงเลยว่าผู้นำของตระกูลจะมีมารยาทเพียงนี้


“ขอท่านโปรดรอสักครู่ ข้าจะเข้าไปรายงาน”


ลูกศิษย์เฝ้าสำนักกล่าว กลับเข้าไปรายงานในสำนัก
บทที่ 412

เมื่อศิษย์ผู้เฝ้าประตูเข้ามารายงาน เวิงอู๋โยวก็ออกมารับหน้าด้วยตนเองทันที


แม้เขาจะไม่รู้รายละเอียดเรื่องราวเกี่ยวกับตระกูลไป๋


แต่แม้กระทั่งผู้อาวุโสสิบเจ็ดยังทรงพลังน่ากลัวถึงเพียงนั้น ผู้นำตระกูลไป๋จะธรรมดาสามัญได้อย่างไร?


“ท่านผู้นำตระกูล เชิญเข้ามาเถิด!”


หลังจากมาถึง เขาก็เชิญผู้นำตระกูลเข้าไปด้านในสำนัก


ผู้นำตระกูลเอ่ยขออภัยอย่างจริงจัง ทั้งยังไม่ได้มามือเปล่า มอบสมบัติหายากมากมายแทนคำขอโทษ


“ได้โปรดยกโทษให้กับความหยาบคายไร้มารยาทของคนตระกูลข้าด้วย ต้องขออภัยจริง ๆ!”


เขากล่าวขอโทษเวิงอู๋โยว ก่อนจะหยิบสมบัติล้ำค่าออกมา


แม้ว่าเซี่ยเหยียนจะนำของดีในตระกูลไป๋ไปจนเกือบหมด เขาก็ไม่ได้รู้สึกโกรธแต่อย่างใด


ตระกูลไป๋เป็นฝ่ายผิด แต่เซี่ยเหยียนไม่ได้ลงมือทำการสังหารหมู่ในตระกูลไป๋ นับเป็นโชคดีอย่างยิ่งจนถึงขั้นที่เขาต้องเอ่ยขอบคุณนาง


หากเซี่ยเหยียนต้องการลงมือฆ่าล้างตระกูลไป๋ เกรงว่าตระกูลไป๋จะต้องหลั่งโลหิตดั่งสายน้ำ มีผู้สิ้นชีพลงไปนับไม่ถ้วน!


เวิงอู๋โยวรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากกับท่าทีของผู้นำตระกูล


แต่หลังจากครุ่นคิดดูแล้ว เขาก็คาดเดาว่าตระกูลนี้อาจเกิดความเกรงกลัวต่อเซี่ยเหยียน!


เขารู้ว่าเซี่ยเหยียนได้พาตัวผู้อาวุโสสิบเจ็ดกลับไปยังดินแดนของตระกูล


เซี่ยเหยียนเป็นผู้ที่ได้รับความโปรดปรานจากท่านเซียน ในมือเต็มไปด้วยสิ่งต่าง ๆ มากมาย ตระกูลไป๋ไม่มีทางจะทำอะไรนางได้


การขอโทษของผู้นำตระกูลดูจริงใจเป็นอย่างมาก เวิงอู๋โยวไม่ต้องการซ้ำเติมคนยอมรับความผิด จึงเอ่ยออกมา “ข้ายอมรับคำขอโทษจากท่าน แต่ข้ายอมรับมันได้เพียงแต่ในนามของสำนักไท่หัวเท่านั้น”


เขากล่าวต่อ “ในส่วนของเซี่ยเหยียน ข้าไม่สามารถรับแทนนางได้”


“ข้าเข้าใจ”


ผู้นำตระกูลพยักหน้าแล้วถามออกมา “เซี่ยเหยียนอยู่หรือไม่? ให้โอกาสข้าได้เอ่ยขอโทษนางด้วยตนเองได้หรือไม่?”


“เซี่ยเหยียนออกไปข้างนอก ยังคงไม่กลับมา”


เวิงอู๋โยวไม่ได้ปิดบังเรื่องที่นางไม่ได้อยู่ในสำนัก


“เช่นนั้นเอง”


ผู้นำตระกูลเอ่ยขอโทษเวิงอู๋โยวอีกครั้ง ก่อนบอกลาแล้วจากออกมาจากสำนักไท่หัว


หลังออกมาข้างนอกแล้ว เขาก็พึมพำกับตนเอง “เซี่ยเหยียนไม่อยู่ หรือว่านางไม่ต้องการจะยอมรับคำขอโทษจากข้า”


เขาไม่แน่ใจว่าเซี่ยเหยียนไม่อยู่ในสำนักจริงหรือไม่


หากกล่าวตามปกติ เซี่ยเหยียนก็สมควรกลับมาถึงนานแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็ช้ากว่านางอยู่ครึ่งทางระหว่างไปสถานศึกษาเทียนตี้


หากเซี่ยเหยียนไม่ได้อยู่ในสำนักจริง ๆ เกรงว่านางอาจไปที่อื่น


“เป็นไปได้หรือไม่ที่จะอยู่ในเมืองชิงซาน?”


เขานึกถึงหลี่จิ่วเต้าขึ้นมา


หลังจากไปถึงสถานศึกษาเทียนตี้แล้ว เขาก็ได้รับรู้เรื่องราวมากมายจากลุงหมิง เขารู้ว่าเซี่ยเหยียนสนิทสนมกับหลี่จิ่วเต้ามาก มักแวะเวียนไปหาอีกฝ่ายในวันปกติ แม้กระทั่งตอนเข้าร่วมงานชุมนุมที่ภาคกลาง นางก็ยังคงพาหลี่จิ่วเต้าซึ่งเป็นเพียงปุถุชนไปด้วย


“แวะไปดูที่นั่นเสียหน่อย หากเซี่ยเหยียนไม่อยู่ในเมืองชิงซาน ย่อมหมายถึงนางอยู่ภายในสำนักไท่หัว...”


เขาตัดสินใจไปเมืองชิงซานดูสักเที่ยว


หากเซี่ยเหยียนไม่ได้อยู่กับหลี่จิ่วเต้า นั่นหมายถึงนางอาจอยู่ในสำนักไท่หัว แต่ไม่ต้องการพบหน้าและยอมรับคำขอโทษของเขา


“ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องเอ่ยขอโทษ แม้ว่านางจะไม่ยอมรับมันก็ตาม...”


ผู้นำตระกูลรำพึง หากไม่ได้เอ่ยขอโทษเซี่ยเหยียนออกมา ภายในใจของเขาก็ยังคงรู้สึกติดค้าง


บรรพชนตระกูลไป๋ จักรพรรดิไป๋เทียนเติบโตขึ้นมาทีละขั้นโดยไร้ภูมิหลัง จักรพรรดิไป๋เทียนเกลียดชังผู้ที่ใช้อิทธิพลเบื้องหลังตนเองกลั่นแกล้งรังแกผู้อื่นจนเข้ากระดูกดำ เขาไม่สามารถปล่อยให้ตระกูลไป๋กลายเป็นดั่งเหล่าคนที่บรรพชนเกลียดชังเช่นนี้ จำเป็นต้องเอ่ยขอโทษเซี่ยเหยียนให้ได้


...


ด้านนอกเมืองชิงซาน บนเนินเขาที่อยู่ห่างไกลออกไปเล็กน้อย


ชายชราผมขาวที่ถูกกองกำลังฮวงเฉวียนส่งมากำลังเริ่มดำเนินการจัดแจงสถานที่และสร้างกระท่อม


“ข้าเป็นชายชราสันโดษผู้ชื่นชอบการเล่นหมากล้อม”


เขายิ้มและนึกจินตนาการตัวตนและภูมิหลังของตนเองขึ้นมา เตรียมตัวจะเริ่มดำเนินตามแผนการ


หลังจากนี้เขาจะล่อคนให้มาหาที่นี่ เพื่อเผยแพร่ชื่อเสียงไร้เทียมทานในด้านหมากล้อม ล่อให้หลี่จิ่วเต้ามายังสถานที่แห่งนี้


เมื่อเขาได้พบกับหลี่จิ่วเต้าที่นี่ ก็จะได้สืบสาวข่าวคราวต่าง ๆ ที่ต้องการจะรับรู้


...


ขอบเขตของผู้นำตระกูลลึกล้ำเป็นอย่างยิ่ง เพียงแค่ก้าวเดียวเขาก็เดินทางจากสำนักไท่หัวมาถึงเมืองชิงซาน


เขาไม่ได้ทะยานตรงไปเข้า แต่ร่อนลงด้านนอกเดินเท้าไปยังเมืองชิงซานทีละก้าว


ปุถุชนแล้วจะทำไม?


ผู้ฝึกตนก็ล้วนเริ่มต้นมาจากปุถุชน


จักรพรรดิไป๋เทียนของตระกูลพวกเขาก็เริ่มต้นจากการเป็นเด็กน้อยปุถุชนทั่วไปผู้หนึ่งที่หลงก้าวเข้าไปในเส้นทางการฝึกตนโดยบังเอิญ ด้วยความพยายามอุตสาหะและพรสวรรค์ทำให้ก้าวหน้าไปทีละขั้นจนกลายเป็นเทียนตี้


เขาไม่ควรดูถูกเหยียดหยามปุถุชน ควรปฏิบัติเคารพด้วยความเท่าเทียม


“หืม!?”


ทันใดนั้นเอง สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยน ม่านตาหดเล็กลง พบว่าตนเองล่วงเข้ามาในมิติพิเศษโดยไม่ทันรู้ตัว!


เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้!?


เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน ว่าผู้ทรงพลังอย่างเขาจะถึงกับไม่รู้สึกตัวสักนิด


“เจ้าเป็นใคร?”


ด้านในมิติพิเศษ ต้นหลิวที่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเจ้าก้อนหินเอ่ยถามผู้นำตระกูล


ช่วงนี้พวกมันกำลังอ่อนไหวเป็นอย่างมาก มีผู้ประสงค์ร้ายพยายามเข้าไปในเมืองอยู่เป็นระยะ ไม่ใช่เรื่องดีต่อท่านเซียนแม้แต่น้อย


ถึงคนเหล่านี้จะไม่สามารถทำอะไรท่านเซียนได้ แต่พวกมันก็จะไม่ปล่อยให้คนเหล่านี้ไปรบกวนท่านเซียนอย่างแน่นอน


คนที่ต้องการจะเข้าเมือง หากเป็นปุถุชนธรรมดาก็แล้วไป แต่ถ้าเป็นผู้ฝึกตนก็จะถูกพวกมันหยุดและซักถามอย่างละเอียด


“สวัสดีท่านทั้งสอง ข้าต้องการจะเข้าเมืองไปหาคนผู้หนึ่งนามว่าหลี่จิ่วเต้า”


ผู้นำตระกูลแสดงท่าทางสุภาพยิ่ง แต่ภายในใจตกตะลึงอย่างถึงที่สุด


เขาไม่สามารถรับรู้ขอบเขตของต้นหลิวและเจ้าก้อนหินได้เลย ไม่ต้องสงสัยว่าพวกมันจะต้องอยู่ในขอบเขตลึกล้ำเกินกว่าที่เขาจะหยั่งถึง เหนือกว่าเขาไปไกลลิบ!


เป็นไปได้อย่างไรกัน!?


เขาแทบไม่อยากจะเชื่อ!


เขาอยู่เหนือกว่าขั้นมหาจักรพรรดิ เป็นถึงตี้หวงผู้หนึ่ง ต้นหลิวกับเจ้าก้อนหินยังอยู่เหนือกว่าเขาไปไกลลิบอีกหรือ?


สองท่านนี้อยู่ขั้นตี้จวินหรือไม่?


เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนโลกนี้ ด้านนอกเมืองปุถุชนกลับปรากฏตี้จวินถึงสองท่าน!


ทำได้อย่างไรกัน!?


ไม่ต้องกล่าวถึงยุคสมัยปัจจุบันที่สภาพแวดล้อมเลวร้ายเป็นอย่างมาก กระทั่งสมัยโบราณที่ฟ้าดินเปี่ยมด้วยพลังหนาแน่น ตี้จวินก็ราวกับเป็นตำนาน มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถบรรลุถึงขั้นนี้ได้!


ตามหาท่านเซียน!?


ต้นหลิวและเจ้าก้อนหินตื่นตัวขึ้นมาทันใด


“เจ้าต้องการตามหาคุณชายไปทำไม?”


ต้นหลิวถามผู้นำตระกูลด้วยความจริงจังมากขึ้น


เดิมทีมันคิดว่าผู้นำตระกูลเป็นเพียงผู้ฝึกตนธรรมดา แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่เช่นนั้นแล้ว!


คุณชาย!!!


หลังจากได้ยินคำเรียกหลี่จิ่วเต้าของต้นหลิว ผู้นำตระกูลก็ตัวสั่นสะท้านจนแทบจะล้มลงกับพื้น


นี่...นี่มันอะไรกัน!?


ตี้จวินกลับเรียกปุถุคนผู้หนึ่งว่าคุณชาย!


เขาถูกทำให้ขวัญสะท้าน


ตัวตนของหลี่จิ่วเต้าจะต้องยิ่งใหญ่แค่ไหนกัน!


เดิมทีเขาบอกว่าต้องการจะเข้าเมืองไปตามหาหลี่จิ่วเต้า แต่คาดไม่ถึงว่าต้นหลิวและเจ้าก้อนหินจะรู้จักชายหนุ่ม


ต้นหลิวและเจ้าก้อนหินที่แข็งแกร่งจนน่าหวาดกลัวเพียงนี้ จะรู้จักปุถุชนทั่วไปผู้หนึ่งในเมืองแห่งนี้ได้อย่างไร


ตอนนี้เขาตระหนักได้อย่างชัดแจ้ง ว่าความคิดก่อนหน้าของตัวเองนั้นผิดพลาด ผิดพลาดอย่างร้ายแรง!


หลี่จิ่วเต้าไม่ได้เป็นเพียงปุถุชนทั่วไป แต่อาจเป็นถึงผู้ยิ่งใหญ่เกินจะจินตนาการถึงผู้หนึ่ง!


ย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องที่ต้นหลิวและเจ้าก้อนหินที่หยุดและซักถามเขาด้านนอกเมือง เป็นไปได้หรือไม่ที่พวกมันจะถูกหลี่จิ่วเต้าสั่งมา!


สวรรค์! หลี่จิ่วเต้าจะต้องน่ากลัวมากแค่ไหนจึงจะสามารถสั่งให้ตี้จวินสองท่านออกมาอยู่ปกป้องด้านนอกเมืองได้!?


หรือจะอยู่ในขั้นเทียนตี้!?


เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าโลกภายนอกจะมีผู้ยิ่งใหญ่เช่นหลี่จิ่วเต้าอยู่!



—------------------------------------------------------------------------------------------------------------


บทที่ 413

“คุณชายหลี่จิ่วเต้าผู้นี้เป็นผู้ฝึกตนอาวุโสใช่หรือไม่?”


ผู้นำตระกูลถามออกมาด้วยความระมัดระวัง


หืม!?


ไม่รู้จักตัวตนของท่านเซียนงั้นหรือ?


หลังจากฟังคำพูดของผู้นำตระกูล ต้นหลิวและเจ้าก้อนหินต่างก็คิดขึ้นมาในใจ เห็นได้ชัดว่าผู้นำตระกูลไม่ล่วงรู้ถึงตัวตนของท่านเซียน อาจเข้าใจผิดว่าท่านเซียนเป็นเพียงแค่ปุถุชนทั่วไป


แต่เมื่อได้ยินพวกมันเรียกท่านเซียนว่าคุณชาย จึงเกิดความคิดเชื่อมโยงแล้วเอ่ยถามออกมาเช่นนี้


อย่างไรเสียคำเรียกว่าคุณชายก็แสดงให้เห็นถึงความเคารพ


“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว คุณชายหลี่ท่านนี้เป็นเพียงปุถุชนทั่วไป ทว่าเปี่ยมด้วยพรสวรรค์ เชี่ยวชาญทั้งฉิน หมากล้อม เขียนพู่กัน และวาดภาพ มีเชื่องเสียงไปทั่วทั้งเมืองชิงซาน ชาวบ้านต่างพากันเรียกขานว่าเป็นคุณชาย พวกเราก็เพียงแต่เรียกตาม”


ต้นหลิวกล่าว


มันไม่กล้าเปิดเผยตัวตนของท่านเซียนให้คนแปลกหน้าตามอำเภอใจ


“เป็นเช่นนั้นเอง?”


ผู้นำตระกูลนึกทบทวน จากข้อมูลที่รับรู้ว่าก่อนหน้า หลี่จิ่วเต้าก็เป็นเช่นนี้จริง ๆ นับว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์หน้าทึ่ง ชื่อเสียงเลื่องลือในเมืองชิงซาน ผู้ใดพบเห็นก็ล้วนเอ่ยเรียกว่าคุณชาย


หรือว่าเขาจะคิดมากเกินไปจริง ๆ?


“เป็นเช่นนั้นแหละ”


ต้นหลิวกล่าว


มันกลัวว่าผู้นำตระกูลจะขบคิดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก จึงรีบพูดต่อ “ช่วงนี้มักจะมีผู้ไม่ประสงค์ดีเข้าไปสร้างเรื่องก่อภัยพิบัติในเมือง ทำให้ข้าหยุดเจ้าเอาไว้ แล้วถามถึงจุดประสงค์ที่เจ้ามาเยือนยังเมืองแห่งนี้”


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!”


ผู้นำตระกูลพลันตระหนักขึ้นมาว่าอาจเป็นตัวเขาที่คิดมากเกินไปจริง ๆ


ลองคิดดูอีกที ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นเทียนตี้อยู่ดี ๆ ก็จะปรากฏตัวขึ้นมาได้อย่างไร!


แต่ว่าเหตุใดต้นหลิวกับเจ้าก้อนหินถึงต้องการจะปกป้องเมืองปุถุชนแห่งนี้กัน?


ต้นหลิวพูดขึ้นมาราวกับสามารถล่วงรู้ได้ว่าผู้นำตระกูลคิดสิ่งใดอยู่ “จิตวิญญาณของพวกเราเกิดและเติบโตขึ้นมาที่นี่ ดังนั้นจึงมีความผูกพันกับดินแดนแห่งนี้เป็นอย่างมาก พวกเราจะไม่ยอมให้ผู้ฝึกตนเข้ามาก่อเรื่องในเมืองแห่งนี้เด็ดขาด!”


“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว!”


ผู้นำตระกูลพยักหน้ารับหลายครั้ง ความสงสัยภายในใจของเขาถูกคลายออกอย่างสมบูรณ์


เขากล่าวออกมา “ทั้งสองท่านวางใจได้ ข้าจะไม่ก่อเรื่องในเมืองแห่งนี้ ทั้งยังไม่มีเจตนาร้าย เพียงแค่ต้องการจะพบกับคุณชายหลี่”


“เจ้าพูดว่าไม่มีเจตนาร้ายก็หมายความว่าไม่มีเจตนาร้ายจริงอย่างนั้นหรือ?”


ต้นหลิวพูดขึ้นมา มันไม่ยอมปล่อยให้ผู้นำตระกูลเข้าไปในเมืองได้ง่าย ๆ เพียงเพราะคำพูดอีกฝ่าย


“พวกท่านทั้งสองสามารถวางใจได้ ข้าไป๋มู่กระทำทุกอย่างด้วยความซื่อตรง ไม่เอ่ยโป้ปดหรือหลอกลวงผู้ใด ยิ่งต่อหน้าท่านทั้งสองยิ่งไม่กล้า!”


ผู้นำตระกูลกล่าว “ถ้าท่านทั้งสองยังคงไม่วางใจก็สามารถผนึกพลังทั้งหมดของข้าเอาไว้ได้ เช่นนั้นข้าก็จะไม่ต่างอะไรไปจากปุถุชนผู้หนึ่ง”


เขาไม่มีเจตนาร้าย จึงไม่กังวลว่าจะต้องถูกผนึกพลัง


นอกจากนั้นแล้ว ไม่ว่าตัวของเขาจะถูกผนึกพลังเอาไว้หรือไม่ หากตี้จวินทั้งสองท่านต้องการจะเอาชีวิตของเขา ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย


อีกทั้งที่เขากล่าวออกมาเช่นนี้ก็เพื่อทำให้ต้นหลิวและก้อนหินไว้วางใจ


ทางด้านต้นหลิวกับเจ้าก้อนหินไม่ได้พูดอะไรออกมา


พวกมันกำลังขบคิดไปมาว่าควรจะปล่อยให้ผู้นำตระกูลเข้าเมืองไปดีหรือไม่


ถ้าหากปล่อยไป พวกมันก็เกรงว่าผู้นำตระกูลจะไปรบกวนท่านเซียน ทั้งยังเกรงว่าผู้นำตระกูลจะเป็นพวกเดียวกับเหล่าคนพวกนั้น แม้ว่าผู้นำตระกูลจะดูแตกต่างและเต็มไปด้วยความชอบธรรมก็ตาม


แต่ก็ไม่ใช่ข้อยืนยันว่าพวกเขาไม่ใช่คนกลุ่มเดียวกัน?


ถ้าหากพวกเขาไม่ปล่อยอีกฝ่ายไป ก็กลัวจะคิดผิดไปว่าผู้นำตระกูลไม่ใช่พวกเดียวกับเหล่าคนที่มาก่อนหน้านี้จริง แต่เป็นคนที่ท่านเซียนต้องการจะพบล่ะ?


ในท้ายที่สุด พวกมันก็ตัดสินใจจะปล่อยให้ผู้นำตระกูลเข้าเมืองไป


หลังจากผนึกพลังของผู้นำตระกูลแล้ว ก็เป็นเรื่องยากที่คิดจะลงมือทำอะไร หากผู้นำตระกูลเป็นพวกเดียวกันกับคนเหล่านั้นจริงก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ นอกจากสืบสาวข้อมูลของท่านเซียน ไม่มีสิ่งใดจำเป็นต้องกังวลใจ


หากท่านเซียนไม่ต้องการ ผู้ใดจะสามารถสืบข้อมูลของท่านเซียนได้กัน?


ว่ากันตามจริงแล้ว พวกมันจะปิดผนึกหรือไม่ปิดผนึกพลังของผู้นำตระกูลย่อมไม่ต่าง ผู้ใดจะสามารถต่อกรหรือหลุดรอดพ้นไปจากสายตาของท่านเซียนได้กัน?


ทว่าพวกมันยังคงตัดสินใจจะผนึกพลังของผู้นำตระกูลเอาไว้ อย่างไรเสีย พวกมันก็ยังเป็นกังวลว่าอีกฝ่ายจะสร้างความเสียหายให้กับตัวเมืองตามที่ได้พูดไปก่อนหน้า จึงไม่มีเหตุผลใดไม่ให้ผนึกพลังของผู้นำตระกูลเอาไว้


อีกอย่างหนึ่งคือ พวกมันพึ่งเริ่มรู้สึกว่าการกระทำก่อนหน้านี้ของตนไม่ถูกต้อง


พวกมันไม่ควรสกัดผู้ฝึกตนทุกคนที่พบ จากนั้นก็ไม่ยอมให้พวกเขาได้เข้าไปในเมือง


หากทำเช่นนี้ต่อไปย่อมเป็นที่สงสัยเป็นแน่ว่า เหตุใดถึงไม่ยอมให้เข้าเมือง ทั้งยังต้องซักถามเรื่องราวต่าง ๆ


หนึ่งคนหรือสองคนย่อมไม่เป็นอะไร แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไปจำนวนผู้ฝึกตนที่พวกมันหยุดเอาไว้แล้วซักถามเรื่องราวจะเพิ่มมากยิ่งขึ้น เมื่อถึงตอนนั้นเมืองชิงซานจะต้องกลายเป็นเป้าจับตามองของคนทั่วไปอย่างแน่นอน เหล่าผู้ฝึกตนต่างก็จะคิดว่ามีบางอย่างซุกซ่อนในเมืองชิงซาน ทำให้ดึงดูดผู้ฝึกตนเข้ามามากยิ่งขึ้น


ท่านเซียนชื่นชอบความเงียบสงบ พวกมันไม่อาจทำให้เมืองชิงซานกลายเป็นจุดสนใจดึงดูดผู้ฝึกตนจำนวนมากให้เข้ามาได้


พวกมันเหมือนจะทำไม่ถูกจริง ๆ พวกมันไม่ควรหยุดผู้ฝึกตนทุกคนไม่ให้เข้าเมือง


นอกจากนั้นแล้ว ในหมู่ผู้ฝึกตนอาจมีคนที่ท่านเซียนต้องการจะพบหน้าก็เป็นได้?


การกระทำของพวกมันไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง


เดิมทีต้นหลิวยังต้องการให้ผู้นำตระกูลแสดงความทรงจำวิญญาณของสาเหตุที่จะเข้าเมือง เพื่อตัดสินว่าอีกฝ่ายมีเจตนาร้ายหรือไม่


ทว่าหลังจากครุ่นคิดแล้ว ต้นหลิวก็เปลี่ยนใจ


วิธีการดังกล่าวดูแข็งกร้าวและน่าสงสัยเกินไป


“เจ้าเข้าไปได้ แต่จงอย่าก่อเรื่อง ไม่เช่นนั้นพวกเราจะไม่ไว้ชีวิตเจ้า!”


ต้นหลิวผนึกพลังของผู้นำตระกูลก่อนพูดต่อ “หลังจากที่เจ้าออกมา เมื่อพวกเราแน่ใจแล้วว่าเจ้าไม่ได้ลงมือก่อเรื่องอะไร พวกเราจะปลดผนึกพลังให้เจ้า”


“ทราบแล้ว”


ผู้นำตระกูลยิ้มแล้วเอ่ยตอบตกลง


สุดท้ายแล้ว ต้นหลิวและเจ้าก้อนหินก็ปล่อยผู้นำตระกูลให้ออกจากมิติพิเศษและเข้าเมืองไป


ผู้นำตระกูลไม่ติดใจสงสัยสิ่งใด เขาเดินเข้าเมืองชิงซานด้วยสองขาทีละก้าว


หลังจากที่ผู้นำตระกูลจากไปแล้ว ต้นหลิวก็สนทนากับเจ้าก้อนหิน


“หลังจากนี้พวกเราจะไม่สามารถหยุดผู้ฝึกตนทุกคนที่พบเห็นได้อีก ถ้าเจอพวกที่แปลก ๆ หรือมีอะไรผิดปกติค่อยหยุด!”


เจ้าก้อนหินเองก็คิดเช่นเดียวกันจึงตอบกลับ “ใช่แล้ว! ถ้ายังทำเช่นนี้ต่อไป พวกเราอาจเลินเล่อไปขัดขวางคนที่ท่านเซียนต้องการจะพบ นับว่าเป็นเรื่องผิดพลาดอย่างร้ายแรง”


หลังจากนั้นทั้งสองก็ปรึกษาหารือกันว่าในอนาคตต้องทำเช่นไรจึงจะดีที่สุด


อีกด้านหนึ่ง ผู้นำตระกูลกำลังเดินเข้าไปในเมืองชิงซาน


พลังทั้งหมดของเขาถูกผนึกเอาไว้ ทำให้เขาไม่ต่างอะไรไปจากปุถุชนทั่วไป จึงไม่อาจใช้ประสาทสัมผัสจักรพรรดิได้


หลี่จิ่วเต้าเป็นที่รู้จักกันดีในเมือง ดังนั้นหลังจากสอบถามก็ได้ตำแหน่งที่ตั้งของร้านหลี่จิ่วเต้าได้อย่างไม่ยากเย็นนัก


หลังจากนั้นเขาก็เดินไปยังร้านของอีกฝ่าย


‘หวังว่าเซี่ยเหยียนจะอยู่ที่นั่น!’


เขาคิดขึ้นมาในใจ


เขาหวังว่าเซี่ยเหยียนจะอยู่กับหลี่จิ่วเต้า ซึ่งนั่นจะหมายความว่าเซี่ยเหยียนไม่ได้จงใจไม่พบหน้าเขา


หากนางไม่อยู่ ก็มีโอกาสเป็นไปได้มากที่เซี่ยเหยียนจะจงใจไม่พบหน้าเขา และไม่เต็มใจจะยอมรับคำขอโทษ


ในขณะที่ครุ่นคิดเรื่องนี้ เขาก็เดินจนมาถึงด้านหน้าร้านของหลี่จิ่วเต้าเสียแล้ว
บทที่ 414
ผู้นำตระกูลไป๋เดินมาถึงด้านหน้าร้านของหลี่จิ่วเต้า จากนั้นทั้งร่างก็นิ่งค้างอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง


นี่...นี่เป็นเพียงร้านเล็ก ๆ ของปุถุชนทั่วไปผู้หนึ่งอย่างนั้นหรือ?


เขาแทบไม่อยากจะเชื่อ เมื่อมองไปบนแผ่นป้ายหน้าร้าน เขาตกใจจนพูดไม่ออก หัวใจเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรง


แม้พลังจะถูกผนึก ไร้ซึ่งประสาทสัมผัสจักรพรรดิ


แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงผู้นำตระกูลไป๋ เป็นตี้หวงผู้หนึ่ง ย่อมยังคงมีความตระหนักรู้ที่ควรจะมี


คำว่า ‘เต๋า’ บนแผ่นป้ายถูกเขียนขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบและเป็นธรรมชาติ แม้เขาจะไม่สามารถสัมผัสเต๋าได้ แต่ก็รับรู้ได้ถึงหลักเต๋าสูงสุดได้!


เพียง ‘เต๋า’ หนึ่งคำ เปี่ยมด้วยหลักเต๋าอันไร้ที่สิ้นสุด เต๋าสามพันวิถีเมื่อมาอยู่เบื้องหน้าล้วนเล็กจ้อยเหมือนเส้นผม


เขาไม่สงสัยเลยว่าหากเขาสามารถนำคำว่า ‘เต๋า’ ไปฝึกฝนได้ ไม่ต้องพูดถึงการก้าวหน้าขึ้นไปหนึ่งขั้นจนเป็นตี้จวินเลย กระทั่งขั้นเทียนตี้เขายังมีความมั่นใจว่าจะต้องสามารถบรรลุได้!


แผ่นป้ายจารึกคำว่า ‘เต๋า’ อันมีค่าเกินประมาณกลับถูกแขวนเอาไว้หน้าร้านเล็ก ๆ ของปุถุชนผู้หนึ่ง...


จะเป็นไปได้อย่างไร!?


ไม่ต้องใช้หัวคิดก็รู้ได้เลยว่าที่แห่งนี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!


เจ้าของร้านอย่างหลี่จิ่วเต้า มีโอกาสน้อยมากที่จะเป็นเพียงปุถุชน!


เดี๋ยวก่อน...


แล้วเหตุใดต้นหลิวกับก้อนหินจึงบอกว่าหลี่จิ่วเต้าเป็นเพียงปุถุชนธรรมดาทั่วไปผู้หนึ่ง?


เขาจำได้ว่าเขาเคยถามเรื่องนี้กับต้นหลิวและเจ้าก้อนหินมาแล้ว


ในตอนนั้นต้นหลิวและเจ้าก้อนหินเรียกหลี่จิ่วเต้าด้วยความเคารพว่าคุณชาย ทำให้เขาเกิดความรู้สึกแปลกใจ คิดว่าหลี่จิ่วเต้าอาจเป็นผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่ง


แต่ต้นหลิวและเจ้าก้อนหินกลับปฏิเสธคำพูดของเขา


‘ปุถุชนที่อาศัยอยู่ในเมืองปุถุชน…’


เขาขมวดคิ้วแล้วทบทวนข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับหลี่จิ่วเต้า


“ข้า...ข้าเข้าใจแล้ว!”


ดวงตาของเขาเปล่งประกายราวกับรับรู้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด


นี่คือผู้อาวุโสที่เดินทางไปท่องไปในโลกด้วยฐานะปุถุชน!


คำว่า ‘เต๋า’ บนป้ายที่แขวนอยู่หน้าร้าน ผู้คนรอบกายหลี่จิ่วเต้าที่โดดเด่นผิดปกติ ทั้งยังครอบครองสมบัติล้ำค่าอันไม่อาจประเมินได้


อย่างเช่นเซี่ยเหยียน ในมือของนางไม่ได้มีเพียงคันศร แต่ยังมีพลังลึกลับที่คอยปกป้องนางจนสามาถเดินไปทั่วแดนตระกูลไป๋ได้โดยไม่มีสิ่งใดสามารถขัดขวาง


นอกจากนี้ยังมีต้นหลิวและเจ้าก้อนหินที่อยู่ระดับขั้นอย่างน้อยก็ตี้จวินขึ้นไปคอยปกป้องอยู่ด้านนอกเมืองชิงซาน


หลี่จิ่วเต้าจะเป็นปุถุชนธรรมดาได้อย่างไรกัน?


คิดดูแล้ว การที่ต้นหลิวและก้อนหินกล่าวปฏิเสธคำพูดของเขา น่าจะเป็นเพราะทั้งสองไม่กล้าจะเปิดเผยตัวตนของหลี่จิ่วเต้า


“ปรากฏว่าข้าคิดถูก แต่ก็ยังคงคิดผิด!”


ผู้นำตระกูลไป๋พึมพำออกมาหลังจากเห็นภาพเขียนที่แขวน มองเข้าไปเห็นหยกแกะสลักและภาพเขียนที่ถูกแขวนเอาไว้ในร้าน ภายในใจเขาตกตะลึงอย่างสุดขีด!


เทียนตี้!?


ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าหลี่จิ่วเต้าอาจจะอยู่ในขั้นเทียนตี้


แต่ตอนนี้เขาตระหนักได้ว่าตนเองคิดผิด การคาดการณ์ว่าเป็นขั้นเทียนตี้นับเป็นการดูหมิ่นหลี่จิ่วเต้า!


สวรรค์ ภาพวาดและตัวอักษรต่าง ๆ ภายในร้านล้วนแต่เปี่ยมด้วยเต๋าสูงสุดอย่างไม่อาจจินตนาการถึง เป็นเต๋าสูงสุดที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน ห่างไกลเกินความรู้ความเข้าใจของเขา!


ตระกูลของพวกเขาเคยมีเทียนตี้ ย่อมมีหลักเต๋าของเทียนตี้สืบทอดต่อมา


แต่ต่อหน้าภาพวาดเหล่านี้ หลักเต๋าของเทียนตี้กลับดูอ่อนแอจนไม่อาจเปรียบเทียบได้แม้แต่น้อย!


เทียนตี้ที่ไหนกัน นี่มันท่านเซียนชัด ๆ!


“เซียน!”


ทั้งร่างของเขาสะท้าน ริมฝีปากสั่นเทา เขาไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนว่าบนโลกแห่งนี้จะมีเซียนอยู่!


เขาตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด


มีท่านเซียนดำรงอยู่ หายนะที่จะเกิดขึ้นยังจะนับว่าเป็นหายนะอีกได้หรือ?


สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนจะนับเป็นภัยคุกคามได้อีกหรือ?


เขาไม่สามารถยับยั้งความตื่นเต้นได้ เดิมทีเขายังเศร้าโศกที่ไร้หนทางหยุดยั้งต้านทานการรุกรานของสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวน


แต่ตอนนี้เมื่อล่วงรู้ว่ามีท่านเซียนดำรงอยู่บนโลกใบนี้ เขาก็ไร้ซึ่งความเศร้าโศกกังวลใจอีกต่อไป


ไม่มีสิ่งใดยอดเยี่ยมไปกว่าเซียน!


ไม่ต้องพูดถึงอาณาจักรตอนกลางอย่างอาณาจักรเทียนหยวน กระทั่งอาณาจักรเก้าตอนบนก็เป็นได้เพียงเศษธุลีเบื้องหน้าเซียนที่สามารถดลบรรดาลทุกสิ่งได้ในหนึ่งความคิด


ทว่าเพียงไม่นานก็เหมือนมีแอ่งน้ำเย็นราดใส่หัวใจของเขาทำให้ความตื่นเต้นมอดดับลงไปหมดสิ้น


ถึงท่านเซียนจะอยู่ในดินแดนแห่งนี้ แต่อะไรจะมายืนยันว่าท่านเซียนจะยืนมือช่วยเหลือพวกเขา?


สำหรับตัวตนเช่นเซียนแล้ว การล่มสลายของดินแดนแห่งหนึ่งไม่ใช่เรื่องที่ควรค่าแก่การกล่าวถึง


“ไม่ได้ ข้าจะต้องขอร้องให้ท่านเซียนลงมือช่วยเหลือโลกใบนี้เอาไว้!”


เขาหมายมาดวางแผนของร้องให้ท่านเซียนออกโรงช่วยเหลือเอาไว้ในใจ ก่อนจะยกเท้าขวาเตรียมก้าวเข้าไปในร้าน


ทว่าพริบตาต่อมา เขาก็คล้ายจะพึ่งรู้สึกตัว วางเท้าที่ยกขึ้นกลับที่เดิม


ต่อหน้าท่านเซียนแล้ว เขานับเป็นสิ่งใดได้?


เขาไปขอร้องท่านเซียนแล้วท่านเซียนจะตอบรับหรือ?


ตัวตนสูงส่งเช่นท่านเซียน จะถูกคนอย่างเขาเปลี่ยนความคิดได้อย่างไร?


ถ้าหากเขาไปขอร้องท่านเซียนทั้งเช่นนี้ มีโอกาสอย่างมากที่จะทำให้ท่านเซียนเกิดความรู้สึกไม่พอใจ ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องท่านเซียนจะช่วยปกป้องอาณาจักรแห่งนี้ เกรงว่าท่านเซียนจะลงมือทำลายอาณาจักรแห่งนี้ทิ้งทันที!


“ใจเย็น สงบนิ่งเข้าไว้ หากท่านเซียนต้องการจะลงมือ ข้าไม่จำเป็นต้องร้องขอ ท่านเซียนก็จะลงมือ แต่ถ้าท่านเซียนไม่เต็มใจ ต่อให้ข้าตายไปต่อหน้า ท่านเซียนก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจ”


เขากล่าวให้ตนเองสงบลง ไม่กระทำการผลีผลาม


ในตอนนั้นเองที่เขาหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ ภายในใจเกิดความรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก


ยังดีที่เขาตื่นตัวทัน แล้วไม่ทำเรื่องผลีผลาม ไม่เช่นนั้นเขาก็ไม่อยากจะคาดคิดถึงผลที่ตามมา!


เขาเกือบจะทำอะไรลงไป เขาถึงกับต้องการจะชี้แนะว่าท่านเซียนควรลงมือทำสิ่งใด!


สิ่งที่เขาเกือบจะลงมือทำนับว่าอันตรายเกินไปแล้ว!


“ตอนนี้ท่านเซียนเป็นเพียงปุถุชน จำเอาไว้ให้ดี ต้องไม่ทำให้ท่านเซียนขุ่นเคือง!”


ในใจเขาพร่ำบอกให้ตนเองใจเย็นลง


หลังจากนั้นพักหนึ่งเขาจึงสงบลงอย่างสมบูรณ์


เขาเคาะประตูหน้าร้าน ก่อนเอ่ยถาม “คุณชายหลี่อยู่หรือไม่?”


“มาแล้ว มาแล้ว”


ด้านในลานเล็ก หลี่จิ่วเต้าที่กำลังสนทนากับเซี่ยเหยียน หลิงอิน และเสี่ยวหยาเดินไปด้านหน้าร้านค้าหลังจากได้ยินเสียง


นี่คือท่านเซียนหรือ?


ตอนที่ผู้นำตระกูลไป๋มู่เห็นหลี่จิ่วเต้า เขาก็ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความพิเศษอันใด ราวกับท่านเซียนเป็นเพียงปุถุชนผู้หนึ่งจริง ๆ


“สวัสดีคุณชายหลี่”


เขารีบเอ่ยทักทายท่านเซียน


“สวัสดี”


หลี่จิ่วเต้าพยักหน้ารับคำทักทาย “มาชมภาพวาดและอักษรใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็เชิญตามสะดวก ชอบสิ่งใดก็เลือกได้เลย ราคาสามารถต่อรองกันได้”


เขาไม่รู้จักผู้นำตระกูลไป๋จึงคิดว่าอีกฝ่ายมาที่ร้านเพื่อซื้อของ


ชอบสิ่งใดก็เลือกได้เลย...


ข้าชอบพวกมันทั้งหมด!


แต่สิ่งที่สำคัญคือเขาไม่สามารถซื้อมาได้จริง!


ราคาไม่ว่าจะต่อรองได้แค่ไหนเขาก็ไม่สามารถซื้อได้!


ผู้นำตระกูลไป๋ร่ำไห้ภายในใจ


มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่เขาต้องการจะบอกว่าตัวเองมายังที่แห่งนี้เพื่อซื้อภาพเขียน เชิญคุณชายเสนอราคามา


แต่สุดท้ายเขาก็สามารถรั่งตัวเองเอาไว้ไม่ให้พูดอะไรออกมาได้


เขาไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดคิดว่าท่านเซียนต้องการจะขายภาพเขียนให้กับเขา


จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร!


“คุณชาย ข้าไม่ได้มาเพื่อซื้อภาพเขียน แต่ข้ามาเพื่อตามหาเซี่ยเหยียน ได้ยินมาว่าคุณชายกับเซี่ยเหยียนมีไมตรีอันดีต่อกันจึงลองมาตามหา ไม่ทราบว่าแม่นางได้อยู่กับคุณชายหรือไม่?”


ผู้นำตระกูลไป๋กล่าว


ต่อหน้าท่านเซียนเขาไม่กล้าทำสิ่งใด ได้แต่บอกจุดประสงค์การมาของเขาโดนตรง


เดิมทีแล้วหลังจากล่วงรู้ถึงตัวตนของท่านเซียน เขาก็ไม่กล้าเข้ามา เนื่องจากเกรงว่าจะมารบกวนท่านเซียน


หากแต่เมื่อลองขบคิดอีกหนก็คิดขึ้นมาได้ว่า หรือนี่จะไม่ใช่การรบกวนท่านเซียน?


เป็นได้หรือเปล่าที่ท่านเซียนต้องการจะพบเขา?


ไม่อย่างนั้นต้นหลิวและเจ้าก้อนหินจะปล่อยให้เขาเข้าเมืองมาด้วยเหตุใด?


ด้วยความคิดเช่นนี้ ทำให้เขาเคาะประตูร้านท่านเซียนในท้ายที่สุด


“มาหาข้าอย่างนั้นหรือ?”


เซี่ยเหยียนที่อยู่ด้านในลานเล็กได้ยินสิ่งที่ผู้นำตระกูลไป๋มู่พูด


ไม่ใช่เพียงแค่นางเท่านั้นที่ได้ยิน หลิงอินและเสี่ยวหยาก็ได้ยินด้วย


ขอบเขตของพวกนางไม่ต่ำ แม้จะอยู่ห่างออกมาจากตัวร้าน พวกนางก็ยังคงได้ยินอย่างชัดเจน


คนผู้นี้คือใครกัน?


แล้วตามหาที่แห่งนี้พบได้อย่างไร?


เซี่ยเหยียนไม่กล้ารีรอ รีบเดินออกไปดูทันทีว่าเป็นผู้ใด
บทที่ 415
เซี่ยเหยียนเดินเข้ามาในร้านก็ได้พบกับผู้นำตระกูลไป๋มู่


ผู้นำตระกูลไป๋มู่มีอายุแล้ว ท่าทางเริ่มชรา ทว่ากระปรี้กระเปร่าดียิ่ง ดวงตาคู่นั้นลึกล้ำเปล่งประกาย ดูก็รู้ว่ามิใช่คนธรรมดา


“ท่านคือ?”


นางขมวดคิ้วน้อย ๆ สอบถามไปยังผู้นำตระกูลไป๋มู่


คนผู้นี้มาหานาง


แต่นางกลับจำเขาไม่ได้เลย ไม่เคยพบเห็นมาก่อน


เซี่ยเหยียนไม่รู้จักผู้นำตระกูลไป๋มู่ ทว่าผู้นำตระกูลไป๋มู่รู้จักเซี่ยเหยียน


เขารู้ว่าเซี่ยเหยียนมีรูปโฉมเช่นไร อาหมิงเคยหล่อหลอมรูปร่างของเซี่ยเหยียนขึ้นมาให้เขาดู


“สวัสดีแม่นางเซี่ยเหยียน ข้าคือผู้นำตระกูลไป๋ ไป๋มู่”


เขาแนะนำตัวเองให้เซี่ยเหยียนฟัง


ผู้นำตระกูลไป๋!


หลังได้ยินฐานะของเขา คิ้วของเซี่ยเหยียนยิ่งขมวดมุ่น คนผู้นี้มาได้อย่างไร?


ตระกูลไป๋…


นางย่อมต้องจำได้อยู่แล้ว


จะจำไม่ได้ได้อย่างไร ในเมื่อเมื่อครู่เพิ่งกลับจากตระกูลไป๋


นอกจากนี้ ต้นผลไม้สามต้นที่มอบให้ท่านเซียนยังได้มาจากตระกูลไป๋อีกด้วย


ไป๋มู่เห็นเซี่ยเหยียนคิ้วขมวดเป็นปม กลัวเหลือเกินว่าเซี่ยเหยียนจะเกิดการเข้าใจผิดว่าเขามาหาเรื่อง มาคิดบัญชี


เขาไม่เคยคิด


ไฉนเลยจะกล้า


ไม่ต้องพูดถึงว่าเซี่ยเหยียนเป็นคนข้างกายท่านเซียน


ลำพังฝีมือของตัวเซี่ยเหยียนเอง เขาก็มิกล้ามีปัญหากับนาง หรือคิดบัญชีกับนางแล้ว


ภายในดินแดนตระกูลไป๋ของเขา เซี่ยเหยียนสามารถเดินเหินได้อย่างไร้อุปสรรค ไม่ถูกจำกัดแต่อย่างใด ลำพังข้อนี้เขาก็มิกล้าแล้ว เซี่ยเหยียนไม่ใช่ผู้ที่เขาต่อกรด้วยได้อย่างแน่นอน


นอกจากนี้ ต่อให้เซี่ยเหยียนเป็นปุถุชนธรรมดา ไม่มีพลังกับตัว เขาก็ไม่คิดหาเรื่องเซี่ยเหยียน หรือคิดบัญชีกับเซี่ยเหยียน


ครั้งนี้เป็นความผิดของตระกูลไป๋ เขาไม่เคยคิดหาเรื่องคิดบัญชีกับนาง หรือสั่งให้นางนำของที่หยิบไปจากตระกูลไป๋คืนกลับมา


ความคิดทั้งหมดของเขามีเพียงขอโทษเซี่ยเหยียน


“คนในตระกูลข้าไม่รู้ความ กระทำความผิดใหญ่หลวง ล่วงเกินแม่นางเซี่ยเหยียน แม้ว่าพวกเขาได้รับบทเรียนแล้ว กระนั้นในฐานะผู้นำตระกูลของพวกเขา ข้าไม่อาจปัดความรับผิดชอบ ข้าสั่งสอนพวกเขาได้ไม่ดี พวกเขาถึงทำผิดมหันต์ปานนี้!”


เขารีบบอก “ที่มาคราวนี้ ข้าตั้งใจมาเพื่อขอโทษแม่นางเซี่ยเหยียน! ตระกูลไป๋หาใช่ตระกูลไร้เหตุผล เมื่อทำผิดย่อมต้องรับผิดชอบ!”


ที่แท้ก็มาขอโทษหรอกหรือ…


เซี่ยเหยียนเข้าใจแล้ว


ส่วนเหตุไฉนไป๋มู่ถึงมาหาถึงที่ประทับท่านเซียน นางพอเดาสาเหตุออก


ตั้งแต่กลับจากตระกูลไป๋ นางมิได้ไปที่ไหนเลย ตรงมาหาท่านเซียน


คิดแล้วไป๋มู่คงไม่เจอนางที่สำนักไท่หัว ถึงได้มาหาที่พำนักของท่านเซียน


นางไม่คิดว่าผู้อาวุโสเวิงอู๋โยวจะเป็นคนบอกเขาว่านางอาจอยู่กับท่านเซียน


ผู้อาวุโสเคยพบท่านเซียน ทราบถึงข้อห้ามของท่านเซียนดี ย่อมมิกล้าแพร่งพรายเรื่องของท่านเซียนแม้แต่น้อย


คิดแล้ว ไป๋มู่คงเดาเอาเองว่านางอาจอยู่กับท่านเซียน


อย่างที่รู้ว่า นางเคยขึ้นเขาหยงหมิงกับท่านเซียน ครานั้นเป็นงานชุมนุมใหญ่ สิ่งมีชีวิตผู้ฝึกตนมากมายต่างเห็นว่านางติดตามท่านเซียน และรู้ว่านางกับท่านเซียนสนิทสนมกันดี


ไป๋มู่อาจปะติดปะต่อได้ว่านางอาจอยู่กับท่านเซียนเพราะเหตุนี้


ทว่าก่อนมา ไป๋มู่น่าจะไม่ทราบถึงตัวตนของท่านเซียน


ท่านเซียนไม่เคยแสดงอิทธิฤทธิ์เมื่อครั้งอยู่บนเขาหยงหมิง ตัวตนฉากหน้ายังเป็นปุถุชน


นอกจากผู้อาวุโสเก้าตระกูลซางและคนอื่น ๆ อีกเพียงน้อยนิดแล้ว ต่อให้สิ่งมีชีวิตผู้ฝึกตนอื่น ๆ ได้พบท่านเซียน น่ากลัวว่าคงคิดเพียงท่านเซียนเป็นปุถุชนธรรมดา


ไป๋มู่ก็คงเป็นเช่นนั้น


แต่บัดนี้ ไป๋มู่คงล่วงรู้ตัวตนท่านเซียนเสียแล้ว


ทุกอย่างที่นี่ล้วนสูงส่งเหนือชั้นปานนั้น ไป๋มู่ไม่รู้สิแปลก!


เรื่องนี้ออกจะน่าสนใจ…


แท้จริงแล้ว ไป๋มู่ตั้งใจขอโทษตั้งแต่ก่อนมา หรือเพิ่งเกิดความรู้สึกอยากขอโทษหลังได้ทราบฐานะท่านเซียน?


ทว่านางไม่ถือสาเรื่องนี้


ตระกูลไป๋มีความดีความชอบใหญ่หลวง มีบุญคุณต่อใต้หล้า นางมิได้เคียดแค้นตระกูลไป๋ถึงขั้นนั้น


มิฉะนั้น ไม่มีทางที่ดินแดนตระกูลไป๋จะไม่ได้เห็นเลือด นางไม่ได้ฆ่าใครแม้แต่คนเดียว


กระทั่งผู้อาวุโสสิบเจ็ดกับผู้อาวุโสแปด นางก็มิได้ฆ่า


ตระกูลไป๋ทำศึกกับสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนโดยไม่สนความเป็นความตายของตนในสงครามยุคโบราณ นางเชื่อว่าตระกูลไป๋ที่เป็นเช่นนี้มิใช่ตระกูลชั่วช้า ถึงแม้จะมีคนไม่ดีอยู่ในนั้น กระนั้นนางกลับคิดว่านี่เป็นเพียงไม่กี่กรณีเท่านั้น


นางหันมองท่านเซียน คิดในใจว่าท่านเซียนจะตำหนินางหรือไม่


ถึงแม้นางจะมิได้ตั้งใจชักนำไป๋มู่มาที่นี่ แต่ท้ายที่สุดไป๋มู่ก็มาที่นี่เพราะนาง กลายเป็นการรบกวนความสงบของท่านเซียน…


หลี่จิ่วเต้าเห็นสายตาที่เซี่ยเหยียนมองมาหาเขา


‘ไยเจ้าจึงมองข้า…นี่เป็นเรื่องภายในโลกแห่งการฝึกตนของพวกเจ้า ข้าไม่อาจแสดงความคิดเห็น’


หลี่จิ่วเต้าคิดในใจอย่างนึกขัน


เขากับเซี่ยเหยียนสนิทกันก็จริง แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องในโลกแห่งการฝึกตน และเขาก็ไม่ทราบที่มาที่ไป เซี่ยเหยียนรับคำขอโทษหรือไม่ เขาไม่อาจตัดสินได้จริง ๆ


“พวกเจ้าสนทนากันไปเถิด ข้ากลับลานเล็กก่อน”


หลี่จิ่วเต้าบอก พลางกลับไปอยู่ในลานเล็ก เรื่องนี้ปล่อยให้เซี่ยเหยียนคุยกับผู้นำตระกูลไป๋มู่สองคนดีกว่า


ท่านเซียนหมายความว่าอย่างไร


เซี่ยเหยียนไม่มั่นใจนัก ไม่รู้ว่าท่านเซียนตำหนิตนหรือไม่


‘โอ๊ย ติดตามอยู่ข้างกายท่านเซียนมานาน เหตุใดข้าถึงยังโง่ปานนี้!’


เซี่ยเหยียนคิดในใจ รู้สึกตัวเองนี่เหลือเกิน


ท่านเซียนเป็นตัวตนระดับไหนเชียว


ตัวตนระดับที่ล่วงรู้ทุกสิ่ง!


ทราบเรื่องราวในอดีต หยั่งถึงเหตุการณ์ในอนาคต!


เรื่องที่ไป๋มู่มาที่นี่ ท่านเซียนย่อมต้องรู้อยู่แล้ว


หากท่านเซียนไม่ต้องการพบไป๋มู่ ไม่มีทางที่ไป๋มู่จะมาถึงที่นี่ได้!


มิหนำซ้ำนอกเมืองยังมีต้นหลิวกับก้อนหินอยู่


นางรู้ดีว่าต้นหลิวกับก้อนหินแข็งแกร่งน่าประหวั่นพรั่นพรึงปานใด และนางก็รู้ว่าต้นหลิวกับก้อนหินคอยอารักขาเมืองชิงซานอยู่


วันว่าง ๆ ไม่มีธุระใด นางจะเข้าไปสนทนากับต้นหลิวและก้อนหินอีกด้วย


วันนี้ขากลับมา นางยังคุยกับต้นหลิวและก้อนหินพักใหญ่


ต้นหลิวและก้อนหินบอกว่าช่วงนี้มักมีคนไม่หวังดีคิดเข้าเมืองบ่อยครั้ง ถูกพวกมันหยุดยั้งไว้ได้หมด พวกมันยังบอกอีกว่าไม่ยอมปล่อยผู้ฝึกตนที่ไม่รู้จักเข้าเมืองง่าย ๆ


และบัดนี้ ไป๋มู่กลับปรากฏตัวในร้านของท่านเซียน


นางขบคิดไปมาแล้วจึงกระจ่าง ไป๋มู่ผู้นี้คงเป็นผู้ที่ท่านเซียนต้องการพบ!


มิฉะนั้น ต้นหลิวและก้อนหินก็คงไม่ปล่อยไป๋มู่เข้ามา และไป๋มู่คงไม่มาอยู่ในร้าน


หากท่านเซียนไม่ต้องการพบไป๋มู่ ต่อให้ไป๋มู่มีความสามารถล้นฟ้า ก็ไม่มีทางหาที่นี่เจอ และไม่มีทางเข้ามาถึงในร้าน


ท่านเซียนมีพลังพอจะอำพรางร้านค้าไว้ และมีพลังพอจะไม่ให้ไป๋มู่หาเจอ


“สมองน้อย ๆ ของข้าไม่เฉลียวเอาเสียเลย!”


นางคิดในใจ รู้สึกว่าตัวเองนี่เหลือเกิน ยังคิดอยู่อีกหรือว่าท่านเซียนจะตำหนินางหรือไม่ หารู้ไม่ว่าทั้งหมดทั้งมวลล้วนอยู่ในแผนของท่านเซียน ไป๋มู่คือผู้ที่ท่านเซียนต้องการพบ!


“น่ากลัวว่าท่านเซียนต้องการชี้แนะไป๋มู่ ให้ไป๋มู่มีกำลังพอจะต่อกรกับสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวน!”


นางคิดในใจ


ท่านเซียนเมตตากรุณา แม้แต่ปุถุชนได้รับเคราะห์ยังทนดูไม่ได้ อาณาจักรแห่งนี้ต้องเผชิญกับการรุกรานจากสิ่งมีชีวิตอาณาจักรเทียนหยวน ท่านเซียนไฉนเลยจะไม่รู้สึกรู้สา ไม่สนสิ่งใดทั้งสิ้น


เมื่อลองตรึกตรองแล้ว นี่คงเป็นเหตุผลที่ท่านเซียนต้องการพบไป๋มู่!