256-260

บทที่ 256

นายพรานทั้งหมดนำตัวหมูป่ากลับมายังเมืองชิงซาน


พวกเขานำเหยื่อล่าอย่างอื่นมาด้วย ขึ้นเนินเขาเขียวหนนี้ พวกเขาได้อะไรมามาก


หลัก ๆ เพราะช่วงก่อนนี้ผู้ฝึกตนและสัตว์อสูรจากทั้งสี่ภาคเดินทางเข้ามาสังหารหมู่ปุถุชนในแดนบูรพาทิศ สัตว์ป่ามากมายหนีมาถึงเนินเขาเขียว เนินเขาเขียวจึงมีจำนวนสัตว์ป่าทวีคูณ ทุกครั้งที่พวกเขาขึ้นเขาล้วนได้เหยื่อกลับมาเป็นจำนวนมาก


พวกเขากลับมาถึงตลาด ขังเหยื่อล่าอย่างพวกหมูป่าไว้ในกรง


พวกเขาดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์ ทั้งหมดร่วมแรงร่วมใจเปิดร้านแห่งหนึ่งในตลาด ไว้ขายสัตว์ป่าที่พวกเขาล่ามาได้


ทำเช่นนี้จักได้กำไรสูงกว่าการขายเหยื่อล่าให้กับร้านขายเนื้อโดยตรง


“ใกล้แล้ว ขอเวลาอีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น!”


ภายในกรง หลิงเซิ่งคิดอยู่ในใจ


เขาไม่จำเป็นต้องฟื้นพลังให้มากนัก ขอเพียงฟื้นพลังได้นิดหน่อยจนเพียงพอให้เขาออกจากร่างหมู ย้ายไปสิงสู่ร่างมนุษย์ได้ก็พอ


หากสิงสู่ในร่างผู้ฝึกตน เขาต้องใช้พลังมากกว่านี้อีกหน่อย


แต่ถ้าสิงสู่ในร่างปุถุชน เขาไม่ต้องใช้พลังมากนัก


เวลาเร่งรีบ เขาโดนเชือดได้ทุกเมื่อ มิกล้าเสียเวลาไปมากกว่านี้ ต้องรีบทำเวลาฟื้นพลัง


ทว่าเขาเพิ่งฝึกฝนได้ไม่นาน ก็รู้สึกว่ามีใครบางคนใช้ไม้ทิ่มเขา


“หมูป่าตัวนี้มิใช่ว่าป่วยหรอกหรือ เหตุใดถึงดูซึมกระทือเช่นนี้”


ป้าคนหนึ่งกำลังใช้ไม้ทิ่มหมูป่าไปทั่วตัว นางหมายตาหมูป่าตัวนี้ อยากจะซื้อไว้


ทว่านางดูแล้วหมูป่าตัวนี้ไม่กระปรี้กระเปร่าเท่าใด จึงสงสัยว่าหมูป่าตัวนี้อาจป่วย


ไปไกล ๆ ที!


ทิ่มหมูสนุกตรงไหน!?


ว่างหรือไรทิ่มกันอยู่ได้!


ทำข้าเสียเวลาฝึกฝน!


หลิงเซิ่งโมโหนัก เขากำลังฝึกฝนอยู่ กลับโดนป้าผู้นี้ขัดขวาง


เขากำลังตึงเครียดไปทั้งกายใจ ปิดผนึกจิตสำนึก เช่นนี้เมื่อมองภายนอกจึงดูไม่มีชีวิตชีวาจริง ๆ


“จะเป็นหมูป่วยได้อย่างไร ป้าไม่เห็นยามเราจับหมูป่าตัวนี้ หมูป่าตัวนี้วิ่งเก่งมาก!”


นายพรานคนหนึ่งกล่าว


“ช่างเถิด ข้าซื้อตัวอื่นแล้วกัน”


ป้าผู้นั้นเห็นว่าหมูป่าตัวนี้ไม่กระปรี้กระเปร่า เลยไม่มั่นใจ กลัวจะซื้อหมูป่วยกลับบ้าน จึงหันไปดูตัวอื่น


หลิงเซิ่งเห็นป้าผู้นั้นไปแล้ว ถอนหายใจอย่างโล่งอก


หากโดนซื้อตัวไป เขาต้องเจอมีดเฉือนแน่!


เขารีบฝึกฝนต่อทันที


เวลาในช่วงนี้มีค่าที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย จะเสียไปอย่างสูญเปล่าไม่ได้เด็ดขาด


ทว่าเขาฝึกฝนไปได้ไม่เท่าไร ก็รู้สึกว่ามีคนใช้ไม้ทิ่มเขาอีกแล้ว จนเขาต้องหยุดฝึกฝนอีกครั้ง


เวร!


ไม่จบไม่สิ้น!


หลิงเซิ่งโมโหจนปอดแทบระเบิด เขาอยากร้องไห้ด้วยซ้ำ ให้เวลาเขาได้ฝึกฝนอย่างสงบหน่อยมิได้หรือ!


แค่แป๊บเดียวก็ยังดี!


คนผู้นั้นทิ่มหมูป่าอีกครั้ง มิได้กล่าวว่าจะซื้อ เพียงแต่ดูไปเรื่อยเท่านั้น


หลังจากคนผู้นั้นไป หลิงเซิ่งเริ่มฝึกฝนอีกครั้ง


ทว่าไม่รอให้เขาได้เริ่ม ก็มีคนใช้ไม้ทิ่มเขาอีกแล้ว


ร้านของนายพรานขายดีไม่หยอก มีคนมาซื้อสัตว์ป่าที่นี่ไม่น้อย


เนื้อหมูป่าไม่เลวทีเดียว คนชอบกินเป็นจำนวนมาก


เวร!


หลิงเซิ่งทั้งทุกข์ใจทั้งโมโห


เขาเป็นถึงนักบุญจากยุคโบราณ ถูกบีบให้เข้ามาอยู่ในร่างหมูไม่พอ ยังต้องโดนปุถุชนใช้ไม้ทิ่มอยู่บ่อยครั้ง!


นี่ก็เพราะเขาในตอนนี้ไม่มีพลัง หากเขามีพลังละก็ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเชือดปุถุชนเหล่านี้ให้ได้!


ชีวิตนี้เขายังไม่เคยอดสูเท่านี้มาก่อน!


“รอให้ข้าฟื้นพลังได้เมื่อใด ข้าจักจับพวกเจ้าขังให้หมด แล้วใช้ไม้ทิ่มพวกเจ้าทั้งวันทั้งคืน! ข้าจะทิ่มพวกเจ้าสักหนึ่งร้อยปี!”


หลิงเซิ่งคำรามในใจอย่างกราดเกรี้ยว


นักบุญแห่งยุคโบราณต้องมีสภาพอนาถเยี่ยงนี้ เขาอัปยศเหลือเกิน!


แต่ยังดี ยังขายไม่สำเร็จสักครา


เขาเองก็พยายามฝึกฝนอยู่ตลอดระหว่างที่ถูกทิ่มซ้ำไปซ้ำมา


“ฮ่า ๆ! ในที่สุดข้าก็ใกล้ฟื้นตัวได้แล้ว!”


หลิงเซิ่งดีใจสุด ๆ เขารู้สึกได้ว่าอีกเพียงนิดเดียวเขาจักฟื้นพลังได้นิดหน่อย แล้วออกจากร่างหมูนี้ได้!


รอให้ออกจากร่างหมูเมื่อใด เขาก็ปลอดภัยแล้ว!


ทว่าไม่รอให้เขาได้ดีใจให้เสร็จสิ้น พริบตาต่อมา เขาก็รู้สึกเหมือนโดนน้ำเย็นเยียบเสียดแทงกระดูกถังหนึ่งสาดเข้าไปถึงจิตใจ ความดีใจทั้งหมดมลายจนสิ้น หัวใจสั่นสะท้าน


“คุณชายหลี่มาแล้วหรือ”


“เชิญเลย เชิญเลย!”


นายพรานทั้งหลายทักทายหลี่จิ่วเต้ายิ้ม ๆ หลี่จิ่วเต้ามาเยือนร้านของพวกเขา


หลิงเซิ่งเคยเจอหลี่จิ่วเต้า เมื่อเห็นหลี่จิ่วเต้าเข้ามาในร้านก็นิ่งค้างไปในบัดดล


สวรรค์ อย่าปั่นหัวกันเช่นนี้ได้หรือไม่!?


หลิงเซิ่งอยากจะร่ำไห้ เขาจะอนาถเกินไปหรือไม่


เขาพยายามด้วยความแน่วแน่ ระหว่างที่โดนปุถุชนใช้ไม้ทิ่มเขาไม่หยุด ในที่สุดเขาก็กำลังจะฟื้นพลังได้สักนิด จนไปจากร่างหมูนี้ได้แล้ว ผลกลับกลายเป็นว่า…หลี่จิ่วเต้ามา?!


เขาสติแตกในชั่วพริบตา!


อีกนิดเดียวแท้ ๆ เขาก็จะสำเร็จแล้ว จะมิให้เขาสติแตกได้เยี่ยงไร


ข้า…!


เขาสบถก่นด่าในใจไม่หยุด ทั้งหมดนี้ต้องโทษปุถุชนเดนตายพวกนั้น


หากมิใช่ว่าพวกปุถุชนเดนตายพวกนั้นเข้ามาสอด เขาคงฟื้นพลังเรียบร้อยและไปจากที่แห่งนี้ได้นานแล้ว!


เขาไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าวันหนึ่งเขาจะเสียท่าเพราะพวกปุถุชน…


“ที่บ้านมีแขกมา ข้าจึงมาดูที่ร้าน วันนี้ได้เหยื่อดี ๆ มาบ้างหรือไม่”


หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้ม สนิทกับนายพรานเหล่านี้เป็นอย่างดี


จะมิให้สนิทได้อย่างไร


เขาไปล่าสัตว์บนเนินเขาเขียวอยู่บ่อยๆ


“คุณชายหลี่เชิญมาดูด้านในเถิด ทั้งหมดในนี้คือสัตว์ป่าที่ล่ามาได้ในวันนี้”


มีนายพรานพาหลี่จิ่วเต้าเข้ามา


อย่ารู้ว่าเป็นข้า!


อย่ารู้ว่าเป็นข้าเด็ดขาด!


เจ้าไม่รู้หรอกว่าเป็นข้า!


หลิงเซิ่งประหม่าจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง พึมพำในใจอยู่ตลอดว่าอย่ารู้ว่าเป็นเขา อย่ารู้ว่าเป็นเขา


กระนั้นเขาเข้าใจดีใจว่าเป็นเพียงการภาวนาอันเปล่าประโยชน์


เมื่ออยู่ต่อหน้าคนใหญ่คนโตแสนน่ากลัวอย่างหลี่จิ่วเต้า เขาไฉนเลยจะไม่ถูกจับได้?


อย่าว่าแต่คนใหญ่คนโตแสนน่ากลัวอย่างหลี่จิ่วเต้าเลย ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนระดับต่ำก็จับพิรุธได้เช่นกัน


เขาในตอนนี้อ่อนพลังเกินไป ไม่มีพลังพอจะอำพรางตน


ทว่าผู้ใดเต็มใจตายกันเล่า?


ต่อให้รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ เขาก็ยังหวังว่าตัวเองจะโชคดี


หืม!?


ไม่รู้หรือว่าเป็นเขา?


หลี่จิ่วเต้ามองเขาปราดเดียวก็เดินออกไป


ก่อนหน้านี้เขาคิดผิดหรือ


หลี่จิ่วเต้ามิได้เก่งกาจอย่างที่เขาคิด เป็นเพียงปุถุชนคนหนึ่งจริง ๆ หรือ


ทว่าเขายังไม่ทันดีใจ ก็ได้ยินหลี่จิ่วเต้าบอกว่า “หมูป่าตัวนี้ไม่เลว เอาตัวนี้แหละ”


ตายแล้ว กำลังจะตายแล้ว!


หลิงเซิ่งสิ้นหวังในบัดดล


เมื่อครู่เขาคิดสิ่งใดอยู่ ช่างกล้าคิดไปว่าหลี่จิ่วเต้าเป็นเพียงปุถุชนธรรมดา


เป็นไปได้อย่างไรที่หลี่จิ่วเต้าเป็นเพียงปุถุชน!


เมื่อครู่หลี่จิ่วเต้ามองเขาปราดเดียวแล้วไปก็เพราะอำเขาเล่น!


ทว่าความจริงมิได้เป็นอย่างที่หลิงเซิ่งคิด


หลี่จิ่วเต้าแค่กำลังเปรียบเทียบ


เขามองสัตว์ป่าตัวอื่น มีทั้งจิ้งจอก กวาง และตัวอื่น ๆ ที่เนื้ออร่อยมิสู้หมูป่า ด้วยเหตุนี้ สุดท้ายเขาจึงเลือกหมูป่า


“ได้เลย!”


นายพรานทั้งหลายจับหมูป่าออกจากกรง


มัดหมูป่าไว้บนท่อนไม้ แบกกันสองคนแล้วตามหลี่จิ่วเต้าไปจากที่นี่

บทที่ 257

หลี่จิ่วเต้าออกไปซื้อเนื้อสัตว์ ส่วนประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกับสือเฟิงเป็นคนขนบรรดาผักนานาพันธุ์เข้ามา ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องซื้อผักอีก


นายพรานสองคนแบกหมูป่าตามหลังหลี่จิ่วเต้า


ในตอนนี้หลิงเซิ่งหมดหวังอย่างสมบูรณ์แล้ว


หลี่จิ่วเต้าอยู่ที่นี่แล้ว เขาจะไม่สิ้นหวังได้หรือ?


“นายท่าน!”


เสียงของเซี่ยเหยียนดังมาจากด้านหลัง หลี่จิ่วเต้าหันกลับมามองไปรอบ ๆ เห็นว่าที่แท้เป็นเซี่ยเหยียนตะโกนเรียกเขานี่เอง


“เจ้าตามกลิ่นมาถึงที่นี่เลยหรือ!”


หลี่จิ่วเต้าแย้มยิ้มกล่าวอย่างติดตลก


“ฮิฮิ ข้าเป็นคนจมูกดีเจ้าค่ะ!”


เซี่ยเหยียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม เห็นท่านเซียนไม่เปลี่ยนไป นางก็ค่อยรู้สึกวางใจ


“จมูกดีจริง ๆ นั่นแหละ!”


หลี่จิ่วเต้าหัวเราะพลางกล่าวว่า “ไปกันเถอะ วันนี้กลับไปกินเนื้อหมูป่าตุ๋นกัน”


พวกเขากลับมาถึงลานบ้าน ก็ให้นายพรานสองคนนำหมูป่าเข้ามาด้วย


จากนั้นนายพรานทั้งสองก็จากไป


พวกเขาไม่ได้พูดถึงเรื่องเงินอะไรเลย


ในอดีตหลี่จิ่วเต้ามักจะดูแลพวกเขา เหยื่อมากมายที่ล่ามาจากเนินเขาเขียวก็นำมาให้พวกเขา ดังนั้นพวกเขาจะกล้าเก็บเงินจากหลี่จิ่วเต้าได้อย่างไร


พวกเขาไม่รับหรอก!


หลี่จิ่วเต้ายัดเงินใส่มือพวกเขา แต่พวกเขาไม่เอาก่อนจะรีบจากไป


นี่... นี่... นี่!


หลังจากมาถึงลานเล็กแห่งนี้ หลิงเซิ่งก็ตกตะลึง


เซียน...ท่านเซียนหรือ! ?


จิตวิญญาณของเขาสั่นสะท้านตั้งแต่เข้ามาในร้าน จวบจนถึงลานบ้านอันเล็กนี้ ทุกอย่างที่ประจักษ์ล้วนแต่เป็นหนึ่งไม่มีสอง ล้ำค่าท้าทายสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง นี่มันช่างวิเศษเกินกว่าเขาจะคาดเดาได้!


ภาพวาดภายในร้าน แม้แต่เขาที่เป็นนักบุญก็ยังสัมผัสได้ว่า บนภาพวาดแฝงคลื่นจังหวะแห่งเต๋าเอาไว้มหาศาลดุจดั่งจักรวาลเหนือเกินกว่าเขาจะจินตนาการได้!


ภายในร้านยังมีงานหยกแกะสลัก หยกแฝงพลังอันแข็งแกร่งเทียมสวรรค์ไร้ขอบเขต


เขาไม่สงสัยเลยว่า งานหยกแกะสลักแต่ละชิ้นสามารถทำลายอาณาจักรนี้ได้อย่างง่ายดายแน่นอน!


ส่วนลานเล็ก ๆ แห่งนั้น...น่าสะพรึงยิ่งกว่า!


เขาสัมผัสได้ถึงจังหวะแห่งเซียน มีของวิเศษระดับเซียนอยู่ที่ในที่แห่งนี้!


สวรรค์!


ร่างหมูป่าของเขาสั่นเทาอย่างรุนแรงด้วยความหวาดกลัว


เหตุใดก่อนหน้านี้เขาถึงโง่เขลากล้าหาเรื่องผู้เป็นเซียน!


ไม่น่าแปลกใจเลยว่า เหตุใดเซี่ยเหยียนถึงดูไม่สนใจขอบเขตพลัง ซ้ำยังใช้คันศรอย่างอาวุธมหาจักรพรรดิตามใจชอบ ก็เพราะมีเซียนอยู่ที่นี่ อะไรยังจะเป็นไปไม่ได้อีก!?


“พวกเจ้าเข้าบ้านไปพักก่อนเถอะ” หลี่จิ่วเต้ากล่าวกับพวกเซี่ยเหยียน


เขาเข้าไปในครัว หยิบมีดกับกะละมังออกมาเตรียมเอามารองเลือดหมูที่กำลังจะฆ่า


อย่า!


ท่านเซียนปล่อยข้าไปเถิด!


ข้าไม่กล้าอีกแล้วขอรับ!


หลิงเซิ่งร้องตะโกนขอความเมตตาอย่างสั่นกลัว ทว่าเสียงที่ออกมากลายเป็นเสียง ‘อี๊ด อี๊ด อี๊ด!’

ของหมูแทนเสียนี่ หลี่จิ่วเต้าย่อมฟังไม่เข้าใจ


ส่วนพวกเซี่ยเหยียนนั้นก็มารอในห้องโถง


“เนื้อหมูคราวนี้ต้องอร่อยแน่ ๆ! ”


เซี่ยเหยียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“เอ๋? หมูป่าตัวนี้วิธีร้องแปลกจัง”


สือเฟิงถามอย่างแปลกใจ


เซี่ยเหยียนแย้มยิ้มพลางกล่าวว่า “พวกเจ้าสังเกตหมูป่าตัวนั้นให้ดีแล้วกัน”


ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกับสือเฟิงเปิดประสาทสัมผัสญาณ ทันใดนั้นสีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปทันที


พวกเขา...เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเซี่ยเหยียนถึงกล่าวเช่นนั้น!


หมูป่าตัวนี้ไม่มีอะไรพิเศษ... แต่วิญญาณของหมูป่าพิเศษเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาสัมผัสได้ถึงลมปราณวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จากวิญญาณของหมูป่า!


ถึงแม้ลมปราณวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นี้จะอ่อนแอมาก แต่พวกเขาก็ยังสัมผัสได้!


“เข้าใจแล้ว!”


เซี่ยเหยียนแย้มยิ้ม ตอนนางเห็นหมูป่าตัวนี้ครั้งแรก นางรู้สึกผิดปกติเช่นกัน


ผลสุดท้ายพอนางใช้ประสาทสัมผัสญาณตรวจสอบ นางก็เข้าใจทุกอย่าง


มีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หลบซ่อนอยู่ในหมูป่า!


หมูป่าเป็นเพียงหมูธรรมดาจะมีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวได้อย่างไร?


นางนึกถึงวิญญาณหลบหนีของหลิงเซิ่งทันที


มานึก ๆ ดูแล้วหลิงเซิ่งถูกศรของนางย่อมได้รับบาดเจ็บสาหัส ตกอยู่ในสถานการณ์จำต้องอยู่ในร่างของหมูป่าชั่วคราว


และทั้งหมดนี้ ย่อมต้องเป็นเพราะท่านเซียนรู้เข้าเป็นแน่


ไม่เช่นนั้นท่านเซียนจะนำหมูป่าตัวนี้กลับมาได้อย่างไร?


ฆ่าหมูเอาเลือดนำมาซึ่งประโยชน์สูงสุด หลี่จิ่วเต้าเชี่ยวชาญอย่างยิ่ง ไม่นานเขาก็จัดการหมูป่าอย่างรวดเร็ว


ส่วนวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในร่างของหมูป่านั้น สุดท้ายย่อมทนไม่ไหวดับสูญไปในที่สุด


วิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นยากทำลาย


แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วย


อีกอย่าง มีดฆ่าหมูในมือของหลี่จิ่วเต้าหาใช่มีดธรรมดาไม่...


หมูป่าตัวไม่เล็ก ดังนั้นหลี่จิ่วเต้าจึงใส่หมูในตู้เย็นเพื่อแช่แข็ง จากนั้นจึงเริ่มตุ๋นหมูป่าที่ได้จัดเตรียมเอาไว้


ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มก็จัดการหยิบผักแต่ละชนิดออกมาล้างน้ำให้สะอาด เตรียมผัด


ผักมีคุณภาพดีมาก อีกทั้งยังสดใหม่อีกด้วย ดีกว่าผักที่เขาซื้อในอดีตมากนัก


หลังจากตุ๋นหมูเสร็จแล้วจากนั้นก็ยกหมูมาออก พร้อมกับหยิบจากผัดผักออกไป


อาหารมื้อนี้ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง


หลี่จิ่วเต้านำสุราฤทธิ์ไม่แรงมากนักกับเบียร์เย็น ๆ ออกมา เซี่ยเหยียน ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนและสือเฟิงพากันดื่มไปไม่น้อย


เนื้อหมูกับผักอร่อยมาก


โดยเฉพาะผัก กัดเพียงไม่กี่คำก็ทำให้อายุขัยของเซี่ยเหยียนเพิ่มขึ้นหลายปี และด้วยรสชาติสดใหม่ก็ทำให้พวกเขาแทบจะหยุดทานไม่ได้


หลังจากนั้นพวกเซี่ยเหยียนก็กล่าวลาท่านเซียน และออกจากบ้านไป


หลี่จิ่วเต้าเมาเล็กน้อย เขานอนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้โยก เวลานี้ดึกแล้ว ชายหนุ่มเหม่อมองท้องนภายามราตรีซึ่งรายล้อมไปด้วยหมู่ดวงดารา สติคล้ายตกอยู่ในห้วงแห่งภวังค์


“ยัง...สบายดีอยู่หรือไม่?”


เขากล่าวเสียงเบาหวนนึกถึงซีอีกครั้ง


ดวงดาราประดับท้องนภายามราตรี ราวกับใบหน้าของนาง...


หยวนอีจากชิงโจว ทำให้เขารู้สึกคิดถึงซี


“ข้าจะไปชิงโจว...”


เขากล่าวเสียงเบาอีกครั้ง ปรารถนาจะไปชิงโจว ตามหาร่องรอยของซี และอยากจะเจอหน้าของนางอีกสักครั้ง


“ค่อยว่ากันใหม่แล้วกัน!”


เขาถอนหายใจ หลับตาก่อนจะโยกตัวเล็กน้อยบนเก้าอี้โยก


ซีเคยกล่าวไว้ว่าจะอยู่ชิงโจวไม่นาน ตอนนี้ผ่านไปหลายปีแล้ว เขาไปชิงโจวตอนนี้ก็เกรงว่าจะหาซีไม่เจออยู่ดี


จะไปชิงโจวหรือไม่นั้น...เขายังไม่ได้ตัดสินใจ


‘เกิดอะไรขึ้นกับท่านเซียนกันนะ?’


ลั่วสุ่ยนอนอยู่บนพื้นถัดจากเก้าอี้โยก ใช้ดวงตาของแมวมองท่านเซียนพลางกล่าวในใจ


มีอะไรในชิงโจวที่ทำให้ท่านเซียนเป็นกังวลหรือ?


นางไม่เคยเห็นท่านเซียนเป็นเช่นนี้มาก่อน


ยังมีอะไรที่ทำให้ท่านเซียนไม่มั่นใจอีกหรือ?


...


เวลาผันผ่าน สิบวันผ่านไป


ชิงโจว


ณ ตระกูลหยวน


ลำแสงน่าหวาดหวั่นสามสายทะยานพุ่งสู่ท้องนภา หยวนอี บิดาของหยวนอี รวมถึงบรรพจารย์ตระกูลหยวน พวกเขาทั้งสามทะลวงด่านครั้งใหญ่


หยวนอีจุดเพลิงเทวาทะลวงสู่ขอบเขตเทวา


บิดาของหยวนอีแย่กว่าเล็กน้อย ยังจุดเพลิงเทวาไม่สำเร็จ แต่เขาก็ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตราชัน และอยู่ไม่ไกลจากขอบเขตเทวามากแล้ว


บรรพจารย์ตระกูลหยวนก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น จากขอบเขตเทวาไปยังขอบเขตเทวาขั้นจ้าวเทวาแล้ว


“ไปโพรงมังกรกันเถอะ!”


ดวงตาของหยวนอีเปล่งประกาย ก่อนที่นางจะออกจากอาณาเขตตระกูลหยวนพร้อมกับบิดาและบรรพจารย์ตระกูลหยวน ทั้งสามต่างเร่งเดินทางไปยังโพรงมังกร


ปัจจุบันพลังของนางทวีคูณเป็นอย่างยิ่ง พลังในขอบเขตปัจจุบันสามารถกระตุ้นพลังกระบี่หยกได้มากขึ้น และเพียงพอที่จะควบคุมมังกรดำเพื่อให้พาออกสำรวจความลับในโพรงมังกรได้


ท่านเซียนเคยกล่าวถึงชิงโจว ตอนนั้นเขาถึงกับถอนหายใจ นางจึงคาดเดาว่าภายในโพรงมังกรน่าจะมีความลับอะไรบางอย่าง จนทำให้ท่านเซียนทอดถอนหายใจ


ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของพวกเขาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงเกาะมังกร


“ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นใช่หรือไม่?”


หยวนอีถาม นางให้เหล่าผู้ฝึกตนเฒ่ากับเหล่าปีศาจอสูรทั้งหลายปกป้องคุ้มครองโพรงมังกร

บทที่ 258

“นายหญิงขอรับ ทุกอย่างที่นี่เรียบร้อยดีไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น”


บริวารขอบเขตนักบุญผู้หนึ่งตอบหยวนอีอย่างสุภาพ


สภาพแวดล้อมรอบโพรงมังกรเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มีทรัพยากรบ่มเพาะระดับสูงมากมายปรากฏขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ในหมู่พวกเขามีขอบเขตนักบุญเกิดขึ้นไม่น้อย


เพียงแต่ในตอนสุดท้าย พวกเขาทั้งหมดกลับถูกหยวนอีกำราบ พวกเขาได้สัตย์สาบานกับหยวนอีว่า จะรับใช้นางในฐานะนายหญิงของพวกเขา


ครั้งล่าสุดก่อนหยวนอีจะจากไปได้ออกคำสั่งเอาไว้ ไม่อนุญาตให้สิ่งมีชีวิตใด ๆ เข้าไปในโพรงมังกร พวกเขาปฏิบัติตามคำสั่งของหยวนอีอย่างเคร่งครัด บริวารขอบเขตนักบุญทั้งหมดหกคนจึงอยู่ ณ ที่แห่งนี้


พวกเขาเฝ้าปกป้องคุ้มครองทุกสรรพสิ่งในโพรงมังกร ทุกอย่างเงียบสงบไร้การเคลื่อนไหวใด


หยวนอีพยักหน้าเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ดี”


เหล่าบริวารขอบเขตนักบุญได้สัตย์ปฏิญาณต่อสวรรค์แล้วว่า ผู้ใดก็ตามที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อนางจะถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ ดังนั้นนางจึงไม่กังวลว่าเหล่าบริวารขอบเขตนักบุญจะกล้าหลอกลวงนาง


“พวกเจ้าคอยดูแลอยู่ที่นี่”


หยวนอีกล่าวกับเหล่าบริวารขอบเขตนักบุญ


จากนั้นนางก็เดินเข้าไปในโพรงมังกรพร้อมกับบิดาและบรรพจารย์


พวกเขาเดินผ่านเส้นทางที่มืดมิดสายยาวไปยังโพรงมังกร


“มังกรดำยังอยู่ที่นี่”


ดวงตาของหยวนอีเป็นประกาย ทันทีที่เข้าไปในโพรงมังกร นางก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของมังกรดำ


เป็นไปอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด มีเหตุผลบางประการทำให้มังกรดำไม่สามารถออกไปจากโพรงมังกรได้


หากมังกรดำสามารถออกไปได้ มันคงจะออกจากที่แห่งนี้ไปนานแล้ว และไม่มาอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้เป็นแน่


“เจ้าอยากต่อสู้จนตัวตายจริง ๆ หรือ!??”


มังกรดำบินออกมาจากหมอกหนาทึบสีทมิฬ และสายตาก็จ้องมองหยวนอีด้วยความเย็นชา


มันย่อมอยากออกไป


แต่น่าเสียดาย มันทำไม่ได้!


ท่านผู้ยิ่งใหญ่ด้านในไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลย...


“ข้างในมีสิ่งใดอยู่?”


หยวนอีหันมองมังกรดำ ก่อนจะหยิบกระบี่หยกออกมา


ฉับพลันนั้นเอง คลื่นพลังกระบี่หยกหลั่งทะลักออกมามหาศาล แสงกระบี่สาดส่องแข็งแกร่งกว่าคราก่อนยิ่งนัก


หลังจากก้าวสู่ขอบเขตเทวา นางก็สามารถดึงพลังออกมาจากกระบี่หยกได้มากขึ้น


ทว่านี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบกับคราก่อน หากให้เทียบกับพลังที่มหาศาลในกระบี่หยก นางยังตามหลังอยู่อีกมาก ไม่สามารถดึงพลังหนึ่งในพันออกมาได้ด้วยซ้ำ


“ข้าขอเตือนพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย พวกเจ้ากำลังสร้างหายนะครั้งใหญ่ สิ่งที่อยู่ภายในนั้นสูงส่งเกินกว่าพวกเจ้าจะจินตนาการได้ถึง!”


มังกรดำกล่าวเสียงต่ำ “ไม่ว่าเบื้องหลังของเจ้าจะยิ่งใหญ่เพียงใด ก็เทียบกับท่านที่อยู่ข้างในไม่ได้!”


“จริงหรือ?”


หยวนอียังคงก้าวเดินไปข้างหน้าโดยปราศจากความกลัว


เบื้องหลังนางคือท่านเซียนผู้ยิ่งใหญ่ คนที่อยู่เบื้องหลังมังกรดำเทียบกับท่านเซียนได้หรือ?


มังกรดำไม่พูดอะไรอีก ครานี้มันไม่ได้หยุดหรือห้ามอะไร แต่ถอยร่นกลับไปหยุดอยู่ข้างโลงศพ


พลังกระบี่ที่แผ่ซ่านออกมาจากกระบี่หยกนับว่าน่าสะพรึงกลัวยิ่ง มันเข้าใจเป็นอย่างดีจึงไม่ได้หยุดอีกฝ่ายไว้


พวกหยวนอีเข้ามาข้างในและได้เห็นโลงศพ


โลงศพสีชาดขนาดใหญ่ลอยอยู่กลางอากาศ รอบโลงศพถูกสลักด้วยอักขระโบราณซับซ้อนสีดำเข้ม ดูแล้วน่าแปลกประหลาดปนน่าพรั่นพรึงอย่างยิ่ง!


รูม่านตาของหยวนอีหดแคบลง คาดไม่ถึงเลยว่าจะมีโลงศพอยู่ในส่วนลึกของโพรงมังกร


“มีอะไรอยู่ข้างในนั้น!?” หยวนอีถาม


มังกรดำกล่าวอย่างสงบนิ่ง “ท่านเซียน”


“อะไรนะ!”


ได้ยินคำกล่าวของมังกรดำ พวกหยวนอีต่างก็พากันตกใจ ภายในโลงศพมีเซียนอยู่จริงหรือ!?


พอไตร่ตรองดูดี ๆ มังกรดำทรงพลังเพียงใด ถึงกับสามารถทำให้มังกรคอยปกป้องคุ้มครองที่แห่งนี้สุดชีวิต

คนในโลงศพ...แม้ว่าจะไม่ใช่เซียนแต่ก็ไม่ด้อยไปกว่ากันอย่างแน่นอน!


หนังศีรษะของทั้งสามคนชาหนึบ รู้สึกว่าพวกเขาบุ่มบ่ามเกินไป ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของพวกเขาสามารถจัดการปัญหานี้ได้หรือ?


“เป็นไปไม่ได้! เซียนเป็นอมตะ แล้วจะตายได้อย่างไร!” หยวนอีว่า


โลงศพเตรียมไว้ให้คนตาย แล้วคนเป็นจะลงไปนอนในโลงได้อย่างไร?


เซียนคือผู้เป็นนิรันดร์ที่ไม่มีวันตาย ขอบเขตสูงส่ง แม้นร่วงหล่นจากสวรรค์มาอยู่สถานที่เช่นนี้แล้วจะตายได้อย่างไร?


“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้”


มังกรดำกล่าวต่ออีกว่า “คราแรกที่ข้าพบท่านเซียน เขารับข้าเป็นข้ารับใช้ มอบชีวิตนิรันดร์ให้แก่ข้า จากนั้นเขาก็ผนึกตัวเองในโลงศพ ขอให้ข้าเป็นคนคอยพิทักษ์โลงศพ”


มันเล่าออกมาเพียงเพราะหวังว่าพวกหยวนอีจะล่าถอยกลับไปจากที่แห่งนี้ เพราะมันไม่สามารถหยุดอีกฝ่ายได้ เรื่องนี้มันเองก็เข้าใจดี


และมันก็ไม่ได้หลอกลวงพวกหยวนอี


มีเซียนนอนอยู่ในโลงศพจริง ๆ


เผ่ามังกรล้วนเกิดมาอย่างภาคภูมิและทรงพลัง จะยอมรับผู้อื่นเป็นเจ้านายง่าย ๆ ได้อย่างไร?


หากไม่ใช่เซียน มันย่อมไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่นอน


“ข้าต้องการดูข้างใน!”


ดวงตาของหยวนอีฉายประกายแวววับ ทว่ามือกลับกระตุ้นพลังของกระบี่หยกทั้งหมด


นางยังถือคำสั่งของท่านเซียนอยู่ เช่นนี้แล้วจะให้ถอยกลับไปโดยไม่เข้าใจเรื่องราวได้อย่างไร?


แม้ว่าจะมีเซียนอยู่ในโลงศพ นางก็ยังต้องดูให้แน่ใจ


“ตัวตนเซียนไม่สามารถลบหลู่ได้ พวกเจ้ากำลังก่อหายนะครั้งใหญ่ที่ไม่อาจจินตนาการได้!”


มังกรดำตะโกน


“เจ้าจะขัดขวางเราหรือ?”


หยวนอีมองไปที่มังกรดำ พลันแสงกระบี่หยกก็แข็งแกร่งขึ้น


“ตามใจพวกเจ้าแล้วกัน!”


มังกรดำก้าวออกไป


“สะบั้น!”


หยวนอีรีดเร้นพลังของกระบี่หยก ประกายแสงกระบี่นับไม่ถ้วนพวยพุ่งออกมา เจตจำนงแห่งกระบี่สูงสุดกระเพื่อมออก แล้วกระบี่หยกก็สับฟันไปยังโลงศพสีชาดขนาดใหญ่ในทันที


ฉัวะ!


ตอนนี้เอง อักขระบนโลงศพสีชาดคล้ายกับมีชีวิตก็มิปาน มันเคลื่อนไหวไปมาบนโลงศพ


พลังมหาศาลของกระบี่หยกที่สับฟันลงมา กลับมิอาจทำอะไรโลงศพสีชาดได้ เป็นอักขระบนโลงศพสีชาดที่หยุดยั้งพลังของกระบี่หยกเอาไว้ได้


“ไปกันเถอะ”


หยวนอีสงบมากและไม่ได้กล่าวอะไรต่ออีก เพราะรู้ดีว่าโจมตีเพียงครั้งเดียวมิอาจผ่ามันออกได้


ตอนนี้นางไม่สามารถทำอะไรโลงศพสีชาดได้ จึงไม่คิดรั้งอยู่นาน ก่อนจะออกจากที่แห่งนี้ไปพร้อมกับบิดาและบรรพจารย์ของนาง


หลังจากออกจากโพรงมังกรแล้ว หยวนอีก็สั่งเหล่าบริวารขอบเขตนักบุญให้พิทักษ์ที่แห่งนี้ต่อไป และไม่อนุญาตให้สิ่งมีชีวิตใด ๆ เข้าไปในโพรงมังกร


หลังจากนั้น นางพร้อมกับบิดาและบรรพจารย์ของนางก็ออกจากเกาะมังกรไป


“ช่างน่ากลัวยิ่งนัก!”


บิดาของหยวนอีถอนหายใจ หลังจากรู้ว่ามีอะไรอยู่ในส่วนลึกของของโพรงมังกรแล้ว เขาก็รู้สึกหนักใจยิ่ง


มีเซียนอยู่ในโลงศพจริง ๆ!


เหตุใดชีวิตพวกเขาต้องลำบากขนาดนี้ด้วย!


“ไม่เป็นไร”


หยวนอีหลับตาลงพลางกล่าวว่า “อย่างน้อยเราก็รู้แล้วว่ามีอะไรอยู่ข้างใน!”


ก่อนนางจะมาโพรงมังกรก็คาดไว้แล้วว่า ภายในโพรงมังกรจะต้องมีความลับที่น่าหวั่นเกรงอยู่ และรู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายจะแก้ไข


ครานี้นางมาที่แห่งนี้เพื่อต้องการค้นหาให้แน่ใจว่ามีสิ่งใดอยู่ภายในส่วนลึกของโพรงมังกร


หากมันแก้ไขได้ง่ายจริง ตอนนั้นท่านเซียนคงไม่ถอนหายใจออกมา


“พวกเราค่อยกลับมาใหม่!”


นัยน์ตาของหยวนอีฉายประกายแวววับพลางกล่าว “ไม่ว่าภายในโลงศพจะมีอะไรอยู่ มันย่อมไม่อยู่ในสภาพที่ดีอย่างแน่นอน คราหน้าค่อยกลับมาใหม่ ถึงตอนนั้นพวกเราจะได้รู้กันแน่!”


...


หนึ่งใน 18 แคว้นของดินแดนหยิน


จวินโจว


“หายนะ...กำลังจะกลับมาแล้วหรือ!?"


ชายชราผู้มีร่างคล้ายซากศพ จู่ ๆ ก็ลืมตาขึ้น ร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นธุลีหนาเตอะ แล้วพลันฝุ่นธุลีก็ค่อย ๆ ร่วงหล่นมาจากร่างของเขา


...


ดินแดนฮวง


ณ สถานที่บางแห่ง


“เขตแดน...กำลังคลายแล้ว!?”


ท่ามกลางเทือกเขาไร้สิ้นสุด ยอดเขาสูงชันค่อย ๆ ถล่มลงมา ฉับพลันร่างคนมหึมาก็ลุกพรวดพราด ดวงตาจ้องมองผ่านความว่างเปล่า


...


ดินแดนฝู


“นั่น... ดินแดนหยิน?”


ส่วนลึกของอุโบสถ ร่างทองคำพระพุทธรูปองค์ใหญ่ลืมตาขึ้น บนร่างผิวทองคำมากมายร่วงหล่นลงมา ขณะที่เหล่าสาวกข้างใต้จำนวนนับไม่ถ้วนต่างพนมมือปากท่องบทสวด

บทที่ 259

กาลเวลาผ่านไปพริบตาเดียวก็ผ่านไปถึงสองเดือนแล้ว


ข้างนอกเป็นโลกเหมันต์ ทุกสรรพสิ่งเหี่ยวเฉา ทว่าลานบ้านเล็ก ๆ ของหลี่จิ่วเต้ากลับยังอบอุ่นราวกับวสันตฤดูไร้ร่องเหี่ยวเฉาแม้แต่น้อย


ดอกไม้นานาพรรณบานสะพรั่งเต็มลานบ้าน กลีบเบ่งบานสวยสดงดงาม ไร้แววโรยราราวกับเบ่งบานอยู่ในวสันตฤดู


ลานด้านข้างอุดมไปด้วยผักนานาพันธุ์กำลังงอกเงย สีเขียวขจีในเหมันตฤดูมองแล้วงดงามจับตาเป็นพิเศษ


“หน้าหนาวนี้ก็หนาวเหมือนเคย!"


หลี่จิ่วเต้าตื่นแต่เช้ามายืดเส้นยืดสาย ชีวิตของเขาในตอนนี้สุขสบายกว่าที่คาดเอาไว้มาก เทียบกับตอนอยู่ที่ดาวเคราะห์สีฟ้ายังผ่อนคลายกว่า


การได้ทานผักคุณภาพดีปลอดสารพิษ ดีต่อสุขภาพ มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ดื่มสุราธัญพืชบริสุทธิ์หมักเอง ได้วาดภาพ ดีดฉิน ชมดอกไม้ ทุก ๆ วันมีชีวิตสงบสุขราวกับเทพเซียน


“คุณชาย!”


“พวกเรากลับมาแล้ว!”


เสียงร้องตะโกนโวยวายของพวกเด็ก ๆ ดังขึ้น หลี่จิ่วเต้าเห็นเด็กกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามาในลานบ้าน เป็นพวกอ้ายฉานนั่นเอง


“สวัสดีเจ้าค่ะคุณชาย!”


อันหลานเสวี่ยเองก็มาด้วย นางอยู่ในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์งดงามราวกับภาพวาด ผนวกกับรูปร่างสง่างาม ช่างคล้ายกับเทพธิดาจำแลงกายมาจริง ๆ


หลี่จิ่วเต้ากล่าวในใจ อย่าว่าแต่ในโลกแห่งการฝึกตน มีสตรีงดงามไม่น้อย สิ่งสำคัญที่สุดเห็นจะเป็นหน้าสดไร้การแต่งแต้ม


เขาพยักหน้าให้อันหลานเสวี่ย จากนั้นก็มองพวกอ้ายฉาน พลางกล่าวติดตลกด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ แข็งแกร่งกว่าคุณชายแล้ว ตอนนี้แต่ละคนเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกตน กลายเป็นผู้ฝึกตนตัวน้อย ต่อไปในอนาคตคุณชายคงต้องพึ่งพาพวกเจ้าแล้ว”


แข็งแกร่ง?


พึ่งพา?


ท่านเซียนช่างเล่นมุกตลกเก่งเสียจริง ๆ!


อันหลานเสวี่ยครุ่นคิดในใจว่า ท่านเซียนนั้นปฏิบัติต่อพวกอ้ายฉานดีมาก ไม่วางมาดแม้แต่น้อย เป็นกันเองสนิทสนมอย่างยิ่ง


“ที่ไหนกัน คุณชายร้ายกาจที่สุด!”


“ไม่จริง ๆ ในใจของพวกเรา ไม่มีผู้ใดเทียบคุณชายได้!”


พวกอ้ายฉานพากันกล่าวอย่างจริงจังทีละคน


ในระยะเวลาสั้น ๆ ที่พวกเขาได้รับการฝึกตนในพรรคจื่อเสีย ขอบเขตของพวกเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ขอบเขตของพวกเขาสูงกว่าปรมาจารย์หลายคนในสำนักฝั่งแดนบูรพาทิศแล้ว


เป็นเพราะท่านเซียนประทานพรให้ นิมิตลงมาจากสวรรค์อวยพรเส้นทางเต๋าวิถีบ่มเพาะจึงราบรื่นยิ่งกว่าผู้ใด


พวกเขายังรู้จักตัวตนของหลี่จิ่วเต้า และรู้ว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่เป็นถึงท่านเซียน!


อันหลานเสวี่ยเล่าทุกอย่างให้พวกเขาฟัง บอกสาเหตุที่พวกเขามีความสามารถท้าทายสวรรค์เป็นเพราะท่านเซียนประทานพรให้


หลังพวกเขารู้ก็ต่างพากันดีใจเป็นอย่างยิ่ง พวกเขากล่าวว่าคุณชายไม่ใช่คนธรรมดา ไม่เช่นนั้นเขาจะเล่านิทานยอดเยี่ยมอย่างสถาปนาเทวดากับไซอิ๋วได้อย่างไร


สถาปนาเทวดากับไซอิ๋ว มีเทพเซียนปรากฏตัวขึ้นมากมาย มนุษย์ธรรมดาจะรู้อย่างชัดเจนได้อย่างไรกัน


ตอนพวกเราฟังก็รู้สึกว่าคุณชายต้องทรงพลังมาก ไม่เหมือนคนธรรมดา


พวกเขาเฉลียวฉลาด ฟังอันหลานเสวี่ยเล่าถึงฐานะตัวตนของท่านเซียน พวกเขาก็เข้าใจด้วยว่า ท่านเซียนกำลังท่องโลกมนุษย์ในฐานะปุถุชนอยู่


ต่อมาอันหลานเสวี่ยก็ยืนยันเรื่องนี้อีกครั้ง บอกกับพวกเขาว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามห้ามเปิดเผยตัวตนของคุณชายเด็ดขาด


พวกเขาทั้งหมดพยักหน้าเห็นด้วย


คุณชายใจดีกับพวกเขามาก ช่วยให้พวกเขาเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกตน แล้วพวกเขาจะไปทำให้ท่านเซียนโกรธได้อย่างไร?


พวกเขาย่อมไม่ทำโดยเด็ดขาด


อย่ากล่าวว่าคุณชายเป็นเซียน ถึงคุณชายจะไม่ใช่เซียน พวกเขาก็จะไม่ทำให้คุณชายโกรธ


คุณชายดีต่อพวกเขามาก ซ้ำยังรู้สึกสนิทสนมยิ่ง ในใจของพวกเขา คุณชายเปรียบเสมือนบิดามารดาก็ไม่เกินจริง!


“ดี ๆๆ”


หลี่จิ่วเต้ายิ้มด้วยความพึงพอใจ ปลื้มอกปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง


พวกอ้ายฉานเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกตนก็หาได้เปลี่ยนไป ไม่เสียทีที่รักดูแลพวกอ้ายฉานมาเป็นอย่างดี


คนส่วนมากมักชอบหมิ่นที่ต่ำหวังที่สูง แบ่งผู้ฝึกตนกับปุถุชนราวกับเป็นสองโลก


ผู้ฝึกตนอยู่สูงเหนือปุถุชน


หลายคนหลังจากที่เข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกตน จิตใจของพวกเขาก็เปลี่ยนไป ดูหมิ่นเหยียดหยามปุถุชน มักคิดว่าตนเองอยู่เหนือกว่า


เห็นพวกอ้ายฉานไม่เป็นเช่นนั้น เขาก็ดีใจมาก


“มานี่มา ให้ข้าดูหน่อยว่าพวกเจ้าได้เรียนวิชาอะไรกันมาบ้าง”


หลี่จิ่วเต้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ได้เลยขอรับ!”


“ข้าก่อน!”


“ไม่ ให้ข้าทำก่อน!”


พวกอ้ายฉานรีบพากันแย่งอยากจะอวดคุณชาย


“โม่เจิ้ง ทีละคน”


หลี่จิ่วเต้ายิ้มเลือกเด็กคนหนึ่งออกมา


เป็นเด็กรูปร่างผอมบางนามเซวียเหวินลี่ บิดามารดาของเขาเสียชีวิตตั้งแต่เขายังเด็ก เขาอาศัยอยู่กับปู่ย่า


กับเซวียเหวินลี่ หลี่จิ่วเต้ามีความประทับใจในตัวเด็กคนนี้มาก


แม้จะอายุน้อย แต่มีความรับผิดชอบสูง


ตอนเด็กคนอื่นอายุได้หกหรือเจ็ดขวบ พวกเขาทำได้เพียงเล่นโคลน แต่เซวียเหวินลี่กลับเป็นบุรุษตัวน้อย สามารถทำอาหาร ทำงานและแบ่งเบาภาระของครอบครัวได้


ด้วยเหตุนี้ เขาจึงชอบเซวียเหวินลี่มาก เด็กคนนี้เมื่อเขาโตขึ้นจะต้องกลายเป็นใหญ่ที่ดีในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน


ตอนนี้เซวียเหวินลี่เข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกตนแล้ว เขายิ่งมองเซวียเหวินลี่ดีขึ้นไปอีก


“ขอรับคุณชาย!”


เซวียเหวินลี่ดีใจมาก เขารู้สึกประหม่าเล็กน้อย เผลอเอียงศีรษะครุ่นคิดว่าจะแสดงวิชาที่ร่ำเรียนมาให้คุณชายชมอย่างไรดี


“ใช่แล้ว!”


ดวงตาเล็ก ๆ ของเขาเปล่งประกาย พลันเด็กชายยื่นดัชนีออกมา จากนั้นเปลวไฟก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้น


ก่อนที่เปลวเพลิงจะลุกโชนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นลูกไฟ!


เขาสะบัดดัชนีกลางอากาศ ใช้ดัชนีติดไฟร่างแบบ


แท้จริงแล้วเขากำลังวาดภาพเปลวเพลิง ใช้ดัชนีที่ติดไฟควบแน่นรวมกันเป็นดอกกุหลาบเพลิง


ชั้นของเปลวไฟนั้นแตกต่างกัน กลีบดอกกุหลาบที่ซับซ้อนกันนั้นราวกับมีชีวิต เรียกได้ว่าเป็นภาพงดงามจับตา


หากคนนอกได้เห็นฉากนี้จะต้องตะลึงอ้าปากค้างอย่างแน่นอน


การใช้ไฟทำเช่นนี้ มีผู้ฝึกตนน้อยนิดที่สามารถทำได้


ทว่าเซวียเหวินลี่กลับทำออกมาได้ ใช้เปลวไฟทำเป็นดอกกุหลาบทับซ้อนกันหลายชั้น มีความลึกหนาต่างกันอย่างชัดเจน นี่หาใช่เรื่องง่ายจะทำได้!


กล่าวตามจริง เคล็ดวิชาดัชนีเพลิงของเซวียเหวินลี่ เกรงว่าบ่มเพาะเต๋าแห่งไฟเป็นเวลานานก็ยากจะทำได้ การควบคุมเปลวไฟเป็นเรื่องละเอียดอ่อนจำต้องรอบคอบ!


“ไม่เลว ๆ เก่งมาก แต่ดอกกุหลาบยังไม่สมบูรณ์ เดี๋ยวไว้ตอนเย็นคุณชายจะสอนเจ้าวาดภาพ ให้เจ้าวาดกุหลาบออกมาได้ดียิ่งขึ้น”


หลี่จิ่วเต้าพยักหน้าเล็กน้อย


“ขอบคุณขอรับคุณชาย!”


เซวียเหวินลี่ดับเปลวไฟที่กำลังลุกโชนและถอยกลับไปอย่างมีความสุข


“เซวียเหวินควบคุมไฟให้ดูแล้ว ข้าจะควบคุมน้ำให้คุณชายชม”


เด็กคนหนึ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ได้ ให้คุณชายดูหน่อย”


หลี่จิ่วเต้ามองเด็กน้อยผู้นั้น กับเด็กคนนี้เขาก็ประทับใจไม่แพ้กัน


เด็กคนนี้มีชื่อว่าชุยช่าน ชื่นชอบวาดภาพเป็นอย่างยิ่ง ครอบครัวของเขายากจน จนไม่สามารถซื้อกระดาษกับพู่กันได้ ดังนั้นชุยช่านจึงมักจะใช้กิ่งไม้เล็ก ๆ วาดบนพื้น


ครั้งก่อนเขาพาพวกเด็ก ๆ ไปชมทิวทัศน์ที่เขาลี่ ก็มีเด็กสามคนถือกระดานวาดภาพเตรียมไปวาดภาพด้วย

หนึ่งในนั้นคือชุยช่านนั่นเอง


ตอนนั้นชุยช่านไม่มีกระดานวาดภาพ


เขาจึงมอบกระดานวาดภาพให้กับชุยช่าน รวมถึงกระดาษและพู่กันก็มอบให้ด้วยเช่นกัน


“ขอรับคุณชาย!”


ชุยช่านวางแผนไว้แล้วว่าเขาจะแสดงอะไร

บทที่ 260

ชุยช่านมีรูปโฉมสะอาดสะอ้าน ดวงตาคู่โตสุกสกาวมีชีวิตชีวาสุด ๆ เป็นเด็กชายหน้าตาเปี่ยมด้วยความฉลาดเฉลียว


เขายกมือเบา ๆ สายน้ำพิสุทธิ์พลันปรากฏกลางอากาศตามมือ


ซ่า!


เสียงน้ำไหลดังขึ้น ชุยช่านวาดภาพด้วยน้ำ เขาหลอมรวมรูปกิเลนน้ำขึ้นมา กระโดดโลดเต้นอยู่เบื้องหน้าคุณชาย


วิชาคุมน้ำด้วยมือยิ่งน่าทึ่งเข้าไปใหญ่


กิเลนน้ำตัวนั้นราวกับเป็นกิเลนจริง ๆ มองเห็นเส้นขนตามตัวอย่างชัดเจน ส่ายศีรษะไปมาพร้อมคำนับคุณชายไม่หยุด น่ารักเหลือคณา


“ถึงอย่างไรก็เคยเรียนวาดภาพกับข้าอยู่หลายวัน ไม่เลว กิเลนน้ำตัวนี้เจ้าวาดได้ดีมาก!”


หลี่จิ่วเต้าพยักหน้า พึงใจในตัวชุยช่านยิ่ง


เขาเคยสอนสั่งชุยช่านด้านวาดภาพอยู่หลายวัน


เรื่องคุมไฟ คุมน้ำ เขามิสู้จะรู้นัก ลำพังภาพที่สำแดงออกมา ชุยช่านมีชัยเหนือเซวียเหวินลี่


“ขอบคุณคุณชายขอรับ!”


ชุยช่านดีใจมากที่ได้รับคำชมจากคุณชาย เขาเก็บภาพกิเลนน้ำด้วยรอยยิ้มกว้าง


“ถึงตาข้าแล้ว!”


เด็กอ้วนผิวขาวคนหนึ่งเดินเข้ามา เขามีชื่อเล่นว่าเจ้าอ้วนฉวี่ ชื่อจริงนามฉวี่เทา


“คุณชายเชิญดู ข้าจำแลงกายได้สามสิบหกปาง!”


เจ้าอ้วนฉวี่แปลงกายเป็นตอไม้ใหญ่


จากนั้น เขาแปลงกายอีกครั้งกลายเป็นหินก้อนใหญ่


เขาสามารถจำแลงกายได้ถึงสามสิบหกปางจริง ๆ…และแสดงให้คุณชายดูทีละปาง


ทว่าตอนเขาแปลงกายเป็นจำพวกตอไม้ก้อนหินยังไม่เท่าไร ยามเขาแปลงกายเป็นสัตว์หรือรูปร่างของคนอื่น ๆ จะเห็นได้ชัดว่ารูปร่างค่อนไปทางท้วม


บ่งบอกว่าวิชาจำแลงสามสิบหกปางของเขายังไม่แตกฉานดี วัตถุไร้ชีวิตใช้ได้ แต่สิ่งมีชีวิตยังใช้ไม่ได้ มีจุดด่างพร้อยอยู่บ้าง


จำแลงสามสิบหกปาง…ตือโป๊ยก่าย?


ทันทีที่หลี่จิ่วเต้าได้ยินคำว่าจำแลงสามสิบหกปางก็นึกถึงตือโป๊ยก่าย


เขาจำได้แล้ว เมื่อครั้งเขาเล่านิทานไซอิ๋วและสถาปนาเทวดาจบ เด็กเหล่านี้เคยขอภาพวาดเลียนแบบจากเขา


ครานั้น เจ้าเด็กอ้วนขอภาพของตือโป๊ยก่าย บอกว่าชื่นชอบตือโป๊ยก่ายที่สุด


“คุณชาย ข้าร่ำเรียนมาใช้ได้หรือไม่!”


เจ้าอ้วนฉวี่ท่าทางทะนงขณะเอ่ย “ผู้ที่ข้าชื่นชอบที่สุดก็คือตือโป๊ยก่าย ครานั้น ข้าเพิ่งก้าวสู่เส้นทางฝึกตน เข้าร่วมพรรคจื่อเสีย ข้าจึงคิดอยากร่ำเรียนวิชาจำแลงสามสิบหกปางนี้ อนิจจา อาจารย์และผู้อาวุโสในพรรคล้วนบอกว่าพวกเขาใช้วิชานี้ไม่ได้! หากมิได้คุณชาย ข้าคงไม่มีโอกาสได้ร่ำเรียนวิชาจำแลงสามสิบหกปางนี้จริง ๆ!”


ใช่แล้ว เขาคลั่งไคล้ในตัวตือโป๊ยก่ายมาก


วันแรกที่ได้เข้าร่วมพรรคจื่อเสีย เขาก็คาดคั้นถามท่านอาจารย์ปู่พรรคจื่อเสียว่าช่วยสอนการจำแลงสามสิบหกปางแก่เขาได้หรือไม่


ผู้ใดจะรู้ ครานั้นอาจารย์ปู่พรรคจื่อเสียถึงกับหัวเราะเฝื่อน ๆ กล่าวว่าวิชาจำแลงกายเป็นวิชาสูงส่ง อย่าว่าแต่จำแลงสามสิบหกปางเลย ลำพังจำแลงกายเพียงปางเดียว พรรคจื่อเสียของพวกเขาก็ไม่มีวิชาเช่นนี้สืบสานตกทอด


ทว่าเขามิได้ยอมแพ้


เขานึกถึงนิทานไซอิ๋วที่คุณชายเล่า มองภาพวาดตือโป๊ยก่ายที่คุณชายวาด รวมถึงตุ๊กตุ่นตือโป๊ยก่ายที่คุณชายปั้นให้แล้วพลันตื่นรู้ สำเร็จวิชาจำแลงสามสิบหกปางเอง!


เริ่มแรกเขาเข้าใจว่าตนเองเก่งกาจพอ ถึงคิดหาวิธีฝึกฝนวิชาจำแลงสามสิบหกปางขึ้นมาเองได้


ต่อมา ขอบเขตพลังของเขาสูงขึ้นเรื่อย ๆ บวกกับอาจารย์ปู่พรรคจื่อเสียกับผู้อาวุโสรู้ว่าเขามีภาพวาดตือโป๊ยก่ายและตุ๊กตุ่นตือโป๊ยก่ายฝีมือคุณชายในมือ และเตือนเขาถึงเรื่องนั้น เขาถึงกระจ่างขึ้นมาว่ามิใช่ความเก่งกาจของเขา หากแต่เป็นความเก่งกาจของคุณชาย!


ในภาพวาดและตุ๊กตุ่นที่คุณชายมอบให้เขา ล้วนมีความลับของอภินิหารการจำแลงสามสิบหกปางซ่อนอยู่


“หืม สำเร็จวิชาเพราะข้าหรือ?”


หลี่จิ่วเต้าประหลาดใจมาก วิชาจำแลงสามสิบหกปางเกี่ยวข้องอย่างไรกับเขาหรือ


ตายจริง!


ข้าพูดผิดไป!


ก่อนมาพี่สาวอันหลานเสวี่ยเพิ่งกำชับนักหนาอีกครั้งแท้ ๆ ไยเขาถึงดีใจเกินเหตุแล้วปากไวโพล่งออกมาเสียได้!


ทว่าแม้เจ้าอ้วนฉวี่จะยังเด็ก กระนั้นเขาก็มีปฏิภาณไหวพริบดีเยี่ยม


เขากล่าวว่า “แน่นอนว่าข้าสำเร็จวิชาเพราะคุณชาย! หากไม่มีคุณชายเล่านิทานไซอิ๋วให้ข้าฟัง ข้าคงไม่มีทางรู้จักตือโป๊ยก่าย และไม่มีทางรู้จักวิชาจำแลงสามสิบหกปาง!”


เขากล่าวต่อ “หลังฟังเรื่องเล่าไซอิ๋วจากคุณชาย ข้าชื่นชอบในตัวตือโป๊ยก่ายมาก! อาจารย์และผู้อาวุโสในพรรคล้วนไม่รู้วิชาจำแลงสามสิบหกปาง กระนั้นข้ามิได้ถอดใจ เฝ้าหมั่นเพียรค้นคว้า จนท้ายที่สุดข้าก็สำเร็จอภินิหารจำแลงสามสิบหกปาง!”


ท่านเซียนประทานพร สวรรค์จุติประหลาด สรรพวิถีร่วมฉลอง เด็ก ๆ อย่างพวกเขาล้วนได้รับประโยชน์จากเหตุการณ์นี้เป็นกอบเป็นกำ เปิดจุดปัญญา ฉลาดล้ำเกินเด็กในวัยเดียวกันไปมาก


หากเป็นเจ้าอ้วนฉวี่ในอดีต คงงุนงงไปในบัดดล ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร


ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง…


หลี่จิ่วเต้ากระจ่าง สำเร็จวิชาเพราะเขาจริงด้วย หากไม่มีเขาเล่านิทานไซอิ๋วให้ฟัง เจ้าอ้วนผู้นี้ไฉนเลยจะรู้จักวิชาจำแลงสามสิบหกปาง


เก่งกาจยิ่ง มิน่าเล่าถึงก้าวสู่เส้นทางฝึกตนได้ เขาตื่นรู้ได้ด้วยตนเอง มิต้องมีครูบาอาจารย์!


เจ้าอ้วนผู้นี้ใช้ได้!


หลี่จิ่วเต้าคิดในใจ


“ข้าดูแล้วเจ้าลำพองไปหน่อย จงจำไว้ ความผยองเยี่ยงนี้ไม่ควรเอาอย่าง”


หลี่จิ่วเต้าเตือนเจ้าอ้วน ก่อนจะเอ่ย “เจ้าใช้วิชาจำแลงสามสิบหกปางได้ดีเยี่ยม แต่สามสิบหกปางที่ว่าเป็นการกำหนดที่ไม่เฉพาะเจาะจง หาใช่การกำหนดตายตัว เจ้ายังต้องเดินบนเส้นทางนี้อีกยาว ที่สำเร็จได้เป็นเพียงผิวเผินเท่านั้น เข้าใจหรือไม่”


ไม่ว่าจำแลงเจ็ดสิบสองปางของผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดิน หรือจำแลงสามสิบหกปางของตือโป๊ยก่ายล้วนเป็นการกำหนดที่ไม่เฉพาะเจาะจง เป็นวิชาที่ต่อยอดพัฒนาได้ เป็นตัวเลขไร้จำนวน หาใช่จำนวนตายตัวไม่


จำแลงเจ็ดสิบสองปาง หรือจำแลงสามสิบหกปางที่แท้จริง มิใช่ง่าย ๆ แค่แปลงกายได้เจ็ดสิบสองแบบ หรือสามสิบหกแบบได้ก็พอ แก่นแท้ของอภินิหารนี้ลึกล้ำหนักหนา หากสำเร็จวิชาได้ มีชีวิตเพิ่มมาอีกเจ็ดสิบสองชาติ หรือสามสิบหกภพเป็นประเด็นรอง ประเด็นหลักคือเขาจักแกร่งกล้าขึ้นมหาศาล


แน่นอนว่า หลี่จิ่วเต้าไม่เคยฝึกฝนวิชาจำแลงเจ็ดสิบสองปางหรือสามสิบหกปาง เขากล่าวตามสิ่งที่เกริ่นไว้ในไซอิ๋ว


นอกจากนี้ เขาเองก็รู้สึกว่ามีเหตุผลยิ่ง จึงสาธยายให้เจ้าอ้วนฟัง


“เข้าใจแล้ว…คุณชาย!”


เจ้าอ้วนฉวี่วิ่งกลับไปด้วยท่าทางสลด เขาไม่ควรลำพองเลยจริง ๆ


ทว่าวาจาของคุณชายกลับทำให้เขาเหมือนได้พบแสงสว่าง ได้ประโยชน์นับคณา เขาเข้าใจวิชาจำแลงสามสิบหกปางได้ลึกเข้าไปอีกขั้น


“พวกเจ้าจงจำไว้ ห้ามลำพองเด็ดขาด!”


หลี่จิ่วเต้ามองเด็ก ๆ ด้วยสีหน้าขึงขังขณะกล่าว


ไม่ว่าปุถุชนหรือผู้ฝึกตน การไม่ลำพองล้วนเป็นเรื่องสำคัญที่สุด


หากผยองลำพองเอาง่าย ๆ ไม่ว่าอยู่ในฐานะปุถุชนหรือผู้ฝึกตนล้วนไม่อาจทำหน้าที่ได้ดี


“เข้าใจแล้วคุณชาย!”


“จากนี้ไปพวกเราจะจดจำเรื่องนี้ไว้!”


อ้ายฉานและเด็กคนอื่น ๆ ตอบ


หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้ม หันมองเด็ก ๆ ที่ยังไม่แสดงฝีมือพร้อมเอ่ย “เอาล่ะ ๆ ขอดูความสามารถของพวกเจ้าหน่อย”


เด็กทั้งสามแสดงฝีมือของพวกเขาให้หลี่จิ่วเต้าได้ดู


คนหนึ่งในพวกเขาคุมอัสนีได้ เมื่อแบมือจักมีอัสนีขนาดย่อมปรากฏ จึงแสดงพลุอัสนีให้คุณชายได้ชม


คนหนึ่งสามารถควบคุมขนาดร่างกาย เพียงสะบัดตัวไปมาก็ขยายร่างจนสูงใหญ่ยิ่งกว่าตัวบ้าน สะบัดตัวอีกครั้งจักหดเล็กลงยิ่งกว่ามด


คนหนึ่งแสดงวิชาเหินกระบี่ นึกคิดเพียงครั้งเดียว ปราณกระบี่นับพันซึ่งหล่อหลอมขึ้นด้วยพลังปราณทะยานออกมา หมุนคว้างกลางอากาศ เปล่งประกายเจิดจ้างดงาม


“ไม่เลว ไม่เลว พวกเจ้าเยี่ยมยอดกันทั้งหมด เก่งกาจยิ่งนัก!”


หลี่จิ่งเต้าปรบมือกล่าวชื่นชม


ผู้ฝึกตนก็คือผู้ฝึกตน ต่อให้เป็นเด็กอายุไม่กี่ขวบเมื่อได้ก้าวสู่เส้นทางฝึกตนแล้ว ฝีมือความสามารถที่มีนั้นย่อมเหนือกว่าปุถุชนไปมาก


สุดท้าย เหลือเพียงอ้ายฉานและจู้จื่อสองคนที่ยังไม่แสดงความสามารถต่อคุณชาย