ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่นิยายระบบ ก่อนที่จะรับฟังช่วยกดไลค์และกด subscribe เป็นกำลังใจด้วยนะครับ
นิยายเสียง อยู่ดีดีข้าก็เป็นเซียน
บทที่ 786ถึง 790
เป็นระยะเวลาหลายวันแล้ว นอกจากกินและนอน คุณชายล้วนใช้เวลากับการวาดภาพทิวทัศน์เหล่านั้น สิ่งนี้ทำให้ลั่วสุ่ยรู้สึกบางอย่าง
เพียงแต่นางยังไม่ทราบว่าภาพเหล่านี้สามารถทำสิ่งใดได้
...
ภายในแดนบรรพโกลาหล
ครุฑปีกทองกู่ร้องคำราม ทำลายขุนเขาไปไม่รู้กี่ลูกต่อกี่ลูก แม้การถูกตัดปีกทั้งสองข้างจะไม่ถึงกับชีวิต แต่ก็นับเป็นการสบประมาทหยามเหยียดอย่างใหญ่หลวง
มันพุ่งออกไปอย่างห้าวหาญ ทว่าสุดท้ายกลับถูกตัดปีกกลับมา กลายเป็นที่ตลกขบขันภายในแดนบรรพโกลาหลอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นจุดด่างพร้อยไปตลอดชีวิต!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันคิดว่าปีกของตนถูกย่างกิน มันก็ทนไม่ไหวขึ้นมาทันใด รู้สึกอึดอัดคับข้องเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่อาจปล่อยไปเช่นนี้ได้! อย่างน้อยก็ต้องเอาปีกกลับคืนมา!”
มันกัดฟันแน่น หยิบศาสตราโบราณชิ้นหนึ่งออกมา ติดต่อกับบรรพจารย์เผ่าของมัน
“อันใด! มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?!”
เสียงเกรี้ยวกราดของบรรพจารย์ระเบิดผ่านศาสตราโบราณ เพียงทายาทของมันสูญเสียขนไปเส้นหนึ่งก็ไม่อาจทนไหวแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงการถูกตัดปีกทั้งสองข้างเลย!
“บรรพจารย์เผิง เรื่องของชนรุ่นหลังก็ปล่อยให้เหล่าคนรุ่นหลังแก้กันเองเถิด!”
“แม้ว่าเร็ว ๆ นี้สนามรบจะสงบเป็นอย่างมาก ฝั่งพิศวงคล้ายจะไม่เคลื่อนไหว ทว่าข้ากลับรู้สึกอยู่เสมอว่านี่คือลมสงบก่อนพายุโหม เรื่องราวทุกอย่างล้วนไม่เรียบง่าย!”
เสียงอีกจำนวนมากดังออกมาจากศาสตราโบราณ เหมือนกับกำลังเกลี้ยกล่อมบรรพจารย์เผิง
“ไร้สาระ! อย่าห้ามข้า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ผู้ที่แตะต้องคนในเผ่าของข้าล้วนจะต้องชดใช้อย่างสาสม!”
บรรพจารย์เผิงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว “ยิ่งไปกว่านั้นนางยังตัดปีกทั้งสองข้าง แล้วกล่าวว่าจะนำไปย่างกิน จะให้ทนไหวได้อย่างไร!”
ทันใดนั้นพลังระเบิดก็ดังสนั่นมาจากศาสตราโบราณ น่าจะเป็นฝีมือของบรรพจารย์เผิงที่รีบตรงกลับมาจากเมืองบรรพกาล
เพียงไม่นานบรรพจารย์เผิงก็มาถึงด้านข้างของครุฑปีกทอง
“ท่านบรรพจารย์!”
ครุฑปีกทองหลั่งน้ำตา มันไม่เคยต้องเผชิญความอัปยศเช่นนี้มาก่อน ทั้งถูกทุบตี เสียหน้า และเสียปีกทั้งสองข้างไปด้วย
“ร้องไห้อันใด!”
บรรพจารย์เผิงมองครุฑปีกทองแล้วเอ่ยออกมา “อย่าได้ร้องไห้ ทั่วทั้งแดนบรรพโกลาหลกำลังจับตามองพวกเราอยู่ อย่าทำตัวน่าขายหน้าเช่นนี้!”
“ไป!”
มันพาครุฑปีกทองออกจากแดนบรรพโกลาหล ไปยังอาณาจักรแห่งนั้น
ระหว่างทางมันตั้งใจบินผ่านแดนบรรพโกลาหลอย่างไม่ปิดบัง ต้องการให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายได้รับรู้ว่าพวกตนกำลังจะไปยังอาณาจักรแห่งนั้น
“บรรพจารย์เผิงกลับมาแล้ว?!”
“ใช่แล้ว! นางกำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้ ครานี้ก็มาดูกันเถิดว่านางยังจะสามารถโอหังอีกได้หรือไม่!”
การเคลื่อนไหวของบรรพจารย์เผิงดึงดูดสิ่งมีชีวิตจำนวนมากให้ติดตามไป ด้วยต้องการเห็นฉากที่บรรพจารย์เผิงสังหารพวกเซี่ยเหยียน
ครั้งนี้การเคลื่อนไหวยิ่งใหญ่กว่าก่อนหน้านัก!
ราวกับว่าสิ่งมีชีวิตเกือบทั้งแดนบรรพโกลาหลได้เคลื่อนไหวโดยพร้อมเพรียงกัน
“บรรพจารย์เผิงไม่นิ่งเฉยดังคาด!”
บนเกาะ สิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหลตนนั้นหดหัวลงด้วยความหวาดกลัว
บรรพจารย์เผิงออกโรง เรื่องราวแปรเปลี่ยนเป็นใหญ่โต ไม่มีทางจบลงได้โดยง่ายอย่างแน่นอน มีความเป็นไปได้สูงที่เซี่ยเหยียนจะต้องเผชิญหน้ากับจุดจบอันเลวร้าย ตายลงภายใต้เงื้อมมือของบรรพจารย์เผิง
ฟ้าดินมืดมัว ร่างอันใหญ่โตมโหฬารของบรรพจารย์เผิงบดบังผืนนภาและดวงตะวัน ขนปีกทุกเส้นเปี่ยมด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัวหนาวเหน็บชวนให้หวาดหวั่น ราวกับมีพลังมากพอจะทำลายฟ้าทลายดิน
มันมีชีวิตอยู่มานานเกินจะนับ อาจกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มแรกที่ถือกำเนิดขึ้นมาในจักรวาลโกลาหลแห่งนี้ หากไม่ใช่เพราะจักรวาลโกลาหลเป็นที่จับจ้องของสิ่งมีชีวิตพิศวง จนต้องถูกคุกคามตลอดเวลา เกรงว่าอาณาจักรของมันจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้ จะต้องสามารถหลุดพ้นโกลาหลเข้าสู่ขอบเขตลอยชายได้อย่างแน่นอน
สิ่งนี้ก็นับเป็นความเศร้าสลดของจักรวาลโกลาหลเช่นกัน
ความจริง แม้จักรวาลโกลาหลแห่งนี้จะอ่อนแอกว่าจักรวาลโกลาหลบางกลุ่มอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้นับว่าอ่อนแอจนเกินไปแต่อย่างใด
หากไม่ใช่เพราะถูกสิ่งมีชีวิตพิศวงจับจ้อง ทำให้ต้องต่อสู้อยู่ตลอดเวลา พวกเขาคงไม่มีทางไร้ผู้ก้าวข้ามโกลาหลสู่ขอบเขตลอยชายจนกระทั่งถึงตอนนี้
แม้จะไม่กล้ากล่าวว่ามีผู้ที่สามารถทำได้จำนวนมาก แต่อย่างน้อยก็มีไม่ต่ำกว่าคนสองคน อย่างไรเสียจักรวาลโกลาหลแห่งนี้ก็ถือกำเนิดมานานพอควร
มันส่งเสียงกู่ร้องคำรามอย่างต่อเนื่อง ฟ้าถล่มดินทลาย สิ่งก่อสร้างจำนวนนับไม่ถ้วนพังลง กระทั่งแม่น้ำยังหยุดไหล!
“กล้าตัดปีกหลานชายข้า ข้าจะทำให้พวกเจ้าทั้งอาณาจักรต้องชดใช้!”
มันตะโกนลั่น จิตสังหารพลุ่งพล่าน คราวนี้มันไม่ได้ต้องการสังหารเซี่ยเหยียนเพียงอย่างเดียว ทว่ามันต้องการกวาดล้างทั้งอาณาจักร!
เพียงแค่อาณาจักรแห่งหนึ่ง ไม่ได้อยู่ในสายตามันแม้แต่น้อย แม้จะทำลายอาณาจักรแห่งนี้ไปก็ยังไม่อาจสยบความโกรธของมันได้
ไม่ช้ามีเส้นแสงพุ่งออกมา พวกเซี่ยนเหยียนมาถึงโดยพลัน
“อย่าทำเช่นนี้เลย ‘ปีกไก่’ ก่อนหน้านี้ยังไม่ทันได้กิน เหตุใดจึงมาส่งมอบ ‘ปีกไก่’ เพิ่มอีกเล่า?”
ต้าเต๋อจับจ้องไปทางบรรพจารย์เผิง ภายในดวงตามีความหน่ายและรังเกียจอยู่
เขาเอ่ยต่อ “เจ้าแก่เกินไป ‘ปีกไก่’ แก่ ๆ เช่นนี้จะอร่อยได้อย่างไร?”
“โอหัง!”
“เจ้าโล้นน้อยช่างไม่กลัวตายเสียจริง คิดสิ่งใดล้วนพูดออกมาหมด!”
เสียงฮือฮาระเบิดขึ้นในแดนบรรพโกลาหล สีหน้าของพวกเขาต่างแปลกประหลาดยิ่ง
นั่นคือบรรพจารย์เผิง เป็นตัวตนที่ไร้เทียมทานในแดนบรรพโกลาหล ทว่าต้าเต๋อก็ยังคงไม่เห็นอยู่ในสายตาเช่นเคย อีกทั้งยังเอ่ยคำว่า ‘ปีกไก่’ ออกมา รวมถึงดูหมิ่นว่าบรรพจารย์เผิง… แก่เกินไป!
นี่มันอันใดกัน
โง่เขลาไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเกินไปแล้ว!
“เจ้าสามารถดึงดูดความสนใจของข้าสำเร็จแล้ว ข้ารับรองว่าเจ้าจะไม่ตายโดยง่าย!”
บรรพจารย์เผิงจับจ้องไปทางต้าเต๋อด้วยแววตาเปล่งประกายเย็นเยียบ “ข้าจะทำให้เจ้าอยู่ไม่สู้ตาย มีชีวิตอยู่ตลอดกาลด้วยความเจ็บปวด!”
“ข่มขู่ข้าเช่นนั้น นี่ไม่ต่างจากข่มขู่เด็กอายุเพียงไม่กี่ปีหรอกหรือ?”
ต้าเต๋อเม้มริมฝีปาก แสดงท่าทางไม่ได้รับความเป็นธรรม
สิ่งมีชีวิตในแดนบรรพโกลาหลเห็นท่าทางของต้าเต๋อแล้วนึกอยากจะทุบตีคนผู้นี้แรง ๆ
ยังมียางอายอยู่บ้างหรือไม่ ถึงได้กล้าพูดเช่นนี้ออกมา!
“เจ้าไม่ใส่ใจคำพูดที่ข้าเอ่ยไปก่อนหน้านี้เลยหรือ? ข้าบอกเจ้าไปแล้วไม่ใช่หรือ หากเจ้ากลับมาอีก ก็อย่าหวังได้กลับไป!”
เซี่ยเหยียนเมินเฉยต่อบรรพจารย์เผิง หันไปมองครุฑปีกทองที่อยู่ด้านข้าง
นี่วิปลาสไปแล้วหรือ!
ถึงกับกล้าพูดข่มขู่ต่อหน้าบรรพจารย์เผิง!
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในแดนบรรพโกลาหลตื่นตะลึง หรือว่าเซี่ยเหยียนจะยังมีไพ่ตายบางอย่างอยู่ในมือ? ไม่เช่นนั้นเซี่ยเหยียนคงจะไม่กล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้เป็นแน่?
ครุฑปีกทองตกใจกลัวเมื่อถูกเซี่ยเหยียนจับจ้องมา ทว่ามันก็ยืดตัวตรงอย่างรวดเร็ว ท่านบรรพจารย์ก็อยู่ข้าง ๆ แล้ว เช่นนั้นมันยังต้องกลัวสิ่งใดอีก?
“เจ้าเป็นบ้าอันใด! ท่านบรรพจารย์จะต้องสังหารเจ้าแน่!”
ครุฑปีกทองกล่าวออกมาอย่างดุร้าย
ตู้ม!
บรรพจารย์เผิงที่อยู่ด้านข้างลงมือทันใด ปีกขนาดใหญ่เสมือนดาบสวรรค์อันไม่อาจทำลาย พุ่งเข้าใส่เซี่ยเหยียนอย่างรวดเร็ว
ทั้งชีวิตของมันยังจะไม่เคยผ่านสิ่งใดอีก เด็กอย่างเซี่ยเหยียนจะทำให้มันตื่นกลัวได้อย่างไร ไม่มีทาง!
แสงสว่างเจิดจ้า การโจมตีของบรรพจารย์เผิงน่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด ราวกับสามารถผ่าสวรรค์ พลังอันไร้ขอบเขตพุ่งทำลายทุกสิ่ง กระทั่งผืนฟ้ายังพังทลาย!
เซี่ยเหยียนยกมือขึ้นยิงศรออกไป ต้องการหยุดยั้งการโจมตีของบรรพจารย์เผิง
ทว่าก็ต้องประหลาดใจ ลูกศรของนางไม่อาจหยุดยั้งการโจมตีนี้ได้!
เสียงปังดังขึ้น ศรแสงปะทะเข้ากับปีกของบรรพจารย์เผิง พริบตาเดียวก็ถูกปีกของบรรพจารย์เผิงชนกระเด็น แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ โปรยปรายลงจากฟากฟ้า
เซี่ยเหยียนยกมือขึ้นต้านรับ ทว่ากลับถูกกระแทกจนถอยร่น ภายในร่างกายกระเทือนจนต้องอดกลั้นไม่ให้กระอักเลือดออกมา
แข็งแกร่งยิ่ง!
สีหน้าของเซี่ยเหยียนแปรเปลี่ยนด้วยความคาดไม่ถึง
นางอยู่ในขั้นเก้าขอบเขตโกลาหลแล้ว อีกทั้งในมือยังถือคันศรราชันที่คุณชายมอบให้ ทว่ากลับไม่อาจหยุดยั้งเอาไว้ได้ แสดงให้เห็นว่าบรรพจารย์เผิงแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง!
อีกด้านหนึ่ง บรรพจารย์เผิงนั้นรู้สึกประหลาดใจเสียยิ่งกว่า ไม่คาดคิดแม้แต่น้อย
การโจมตีครั้งนี้ คิดว่าเซี่ยเหยียนจะต้องตายทันทีโดยไม่ต้องสงสัย อย่างไรเสียมันก็แข็งแกร่ง บรรลุขั้นเก้าขอบเขตโกลาหลมานับร้อยล้านปี สะสมพลังมานานถึงเพียงนี้ พลังของมันย่อมอยู่ในระดับที่ไม่อาจหยั่งถึง
ทว่ามันกลับทำได้เพียงให้เซี่ยเหยียนถอยไม่กี่ก้าว กระทั่งเลือดสักหยดยังไม่มี เช่นนี้จะให้มันคาดคิดและไม่แปลกใจได้อย่างไร!
สิ่งมีชีวิตในแดนบรรพโกลาหลต่างตกตะลึงเสียยิ่งกว่า
รับการโจมตีของบรรพจารย์เผิงแล้วเพียงแค่ถอยร่น เซี่ยเหยียนนับว่าไม่ธรรมดาจริง ๆ!
ฝึกฝนจนไปถึงขั้นนั้นได้อย่างไร?!
พวกเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ เซี่ยเหยียนยังเยาว์วัยถึงเพียงนี้ ต่อให้เริ่มฝึกฝนตั้งแต่ในครรภ์มารดาก็นับว่าวิปลาสสะท้านฟ้าอย่างถึงที่สุด!
สิ่งเหล่านี้ทำลายมุมมองของพวกเขาโดยสิ้นเชิง ทำให้พวกเขาตื่นตะลึงจนนิ่งค้าง
“มีฝีมืออยู่บ้างจริง ๆ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจ้ากล้าทำตัวยโสถึงเพียงนี้ แต่ท่าทางเช่นนี้ก็ทำให้เจ้าไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้!”
บรรพจารย์เผิงกล่าวออกมาด้วยสีหน้าไม่แยแส
เมื่อครู่ยังห่างไกลจากพลังทั้งหมดของมัน การจะจบชีวิตเซี่ยเหยียนลงไม่นับเป็นปัญหา
“เจ้าบอกว่าข้ามีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้ ก็หมายความว่าข้ามีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้หรือ?”
เซี่ยเหยียนเอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ขออภัย แต่เจ้าไม่สามารถตัดสินความเป็นตายของข้าได้”
อันที่จริง ด้วยฝีมือและพลังของนางแล้ว เป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะสามารถต่อกรกับบรรพจารย์เผิงได้
เห็นได้ชัดจากศรแสงก่อนหน้านี้
ทว่าหากบรรพจารย์เผิงต้องการจะสังหารนาง เช่นนั้นยังนับว่าเป็นเรื่องตลก
ไม่ต้องกล่าวถึงคุณชายเลย ไม่ว่าจะลั่วสุ่ย สุนัขสีดำ หรือหลิงอิน มีผู้ใดบ้างที่ไม่สามารถสังหารบรรพจารย์เผิงได้อย่างง่ายดาย?
ลั่วสุ่ยนั้นได้กลายเป็นบรรพจารย์เต๋าโกลาหลเป็นที่เรียบร้อย หลิงอินเองก็เป็นครึ่งก้าวบรรพจารย์เต๋าโกลาหล อีกทั้งยังมีสุนัขสีดำที่บรรลุขอบเขตลอยชายแล้ว
นอกจากนี้ยังมีต้นหลิวกับก้อนหินอันเป็นตัวตนอยู่รองเพียงคุณชายที่ยังไม่ได้กล่าวถึง
บรรพจารย์เผิงกล่าวว่าต้องการสังหารนาง นับเป็นเรื่องตลกอย่างแท้จริง
บรรพจารย์เผิงคิดว่านางแข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรแห่งนี้ หารู้ไม่ว่านางไม่ใช่ ทั้งยังห่างไกลจากคำนั้นเป็นอย่างยิ่ง มีคนจำนวนมากที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า
“ใช่แล้ว นกตัวน้อยเช่นเจ้า เพียงแค่ลงมือเบา ๆ ก็ตายได้ ยังกล้าดีมาตัดสินใจความเป็นตายของเซี่ยเหยียน?”
ในตอนนั้นเอง หลิงอินก็ปรากฏตัวออกมายืนด้านข้างเซี่ยเหยียน
นกน้อย?
เพียงแค่ลงมือเบา ๆ ก็ตายได้?!
หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้นของหลิงอิน สิ่งมีชีวิตในแดนบรรพโกลาหลพลันตกอยู่ในความปั่นป่วน เหตุใดสิ่งมีชีวิตของอาณาจักรแห่งนี้ถึงได้ยโสและดุร้ายถึงเพียงนี้!
พวกเขายังเกิดความรู้สึกว่าสถานที่ที่ตนอยู่เป็นเพียงแค่อาณาจักรเล็ก ๆ ส่วนเซี่ยเหยียนและหลิงอินต่างหากที่อยู่ดินแดนแกนกลาง เป็นดินแดนบรรพโกลาหลที่แท้จริง
ไม่เช่นนั้นหลิงอินและเซี่ยเหยียนจะดุร้ายถึงเพียงนี้ได้อย่างไร!
“มีคนส่งตัวเองมาตายอีกแล้วหรือ?!”
ดวงตาของบรรพจารย์เผิงเย็นเยียบ “ดีมาก วันนี้ผู้ที่ไม่กลัวตายจะโผล่มาอีกสักกี่คน ก็ล้วนจะต้องตายทั้งหมด!”
หลิงอินส่ายหัว “เจ้ายังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ ห่างชั้นเกินไป ผู้แข็งแกร่งในอาณาจักรแห่งนี้อยู่เกินกว่าที่เจ้าจะสามารถจินตนาการได้!”
จักรวาลโกลาหลทั้งปวง กระทั่งนับเทวโลกเข้ามาด้วย ก็ล้วนไม่อาจเทียบได้กับอาณาจักรแห่งนี้
นางมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง
และมีหนึ่งเหตุผลที่ทำให้นางมั่นใจถึงเพียงนี้
นั่นก็เพราะมีคุณชายอยู่ในอาณาจักรแห่งนี้!
คุณชายแข็งแกร่งที่สุดในทั่วหล้า!
ยังไม่ได้อีกหรือ? ยังห่างชั้นอีกไกลหรือ!?
ปากจองหองยิ่งนัก!
“ขอข้าดูหน่อยเถิดว่าความมั่นใจของเจ้ามาจากไหน!”
บรรพจารย์เผิงกระพือปีกโจมตีอีกครั้ง หนนี้ มันปะทุพลังจนทวีความรุนแรงขึ้น ปีกทั้งปีกแทบกลายเป็นยอดศาสตรา ขนทุกเส้นบนปีกต่างแฝงไว้ด้วยพลังทำลายล้าง!
หลังมันลงมือแล้ว หากหลิงอินยังกล้าโผล่หัวเข้ามา ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลิงอินไม่ธรรมดาเป็นแน่ อาจมีไพ่ตายน่าสะพรึงกลัวบางอย่างในมือ หากมิใช่เช่นนั้น หลิงอินไฉนเลยจะกล้าออกมาหลังได้ประจักษ์ถึงความเก่งกาจของมัน
เป็นไปไม่ได้เลย!
เพราะอย่างนั้น มันจึงมิได้ชะล่าใจ เพิ่มพูนพลังยามตวัดปีกเข้าห้ำหั่น!
หลิงอินมีสีหน้าสงบ มิได้มีความแปรเปลี่ยนทางอารมณ์ ขณะที่ปีกของบรรพจารย์เผิงใกล้กระแทกตัวนาง นางก็เคลื่อนไหว
มือขาวผุดผ่องข้างหนึ่งยื่นออกไปอย่างแช่มช้า
เทียบกับปีกของบรรพจารย์เผิงที่ตวัดเข้ามาแล้ว มือของนางกระจิดริดจนมิควรค่าแก่การกล่าวถึง
ทว่ามือเช่นนี้ที่ใหญ่มิสู้ขนปีกครึ่งเส้นของบรรพจารย์เผิง กลับหยุดยั้งการฟาดฟันของปีกบรรพจารย์เผิงได้!
“อะไรกัน!”
“เป็นไปได้อย่างไร!?”
สิ่งมีชีวิตในแดนบรรพโกลาหลต่างตกใจแทบบ้า ตัวสั่นระริก สะท้านไปทั้งดวงวิญญาณ!
มือขาวผุดผ่องของหลิงอินปะทะกับปีกของบรรพจารย์เผิง แสงสว่างพวยพุ่งออกมามหาศาล อักขระกฎระเบียบโลดแล่น สกัดกั้นปีกของบรรพจารย์เผิงได้ทั้งหมด จนปีกของบรรพจารย์เผิงไม่สามารถเดินหน้าได้แม้แต่น้อย!
ต้องมีขอบเขตระดับใดกัน!
ก่อนนี้มีเซี่ยเหยียน ต่อมามีหลิงอิน แต่ละคนแล้วอ่อนเยาว์ แต่กลับมีพลังขอบเขตแกร่งกล้าน่าครั่นคร้าม หรือว่าอาณาจักรนี้จะเป็นอาณาจักรสูงสุด แม้แต่แดนบรรพโกลาหลยังเทียบไม่ติดหรือ!?
อีกด้าน บรรพจารย์เผิงหรี่ตาลง คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้!
มันเพิ่มพูนพลังแล้ว กระนั้นหลิงอินก็ยังสกัดไว้ได้ ไม่แปลกเลยที่หลิงอินกล้าออกหน้า
นอกจากนี้ เรื่องที่มันคิดไม่ถึงเลยคือ เดิมมันคิดว่าหลิงอินมีไพ่ตายบางอย่างในมือ และมีพลังจากด้านนอกเจือจุน ทว่าผลกลับมิได้เป็นเช่นนั้น พลังที่ว่านั้นมาจากตัวหลิงอินเอง!
เป็นไปได้อย่างไร!
มันฝึกฝนมาล้านล้านปีถึงมีความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ หลิงอินทำได้ด้วยวัยเท่านี้เองหรือ!?
ต้องเป็นผู้ที่ผิดแปลกเพียงใดกัน!
ฟึ่บ!
ฝ่ามือของหลิงอินที่ยับยั้งปีกบรรพจารย์เผิงได้นั้นแปล่งแสงเจิดจ้าออกมาอีกครั้ง นางจับปีกของบรรพจารย์เผิง และยกตัวบรรพจารย์เผิงขึ้นจนเท้าไม่ติดพื้น!
ปีกอีกข้างของบรรพจารย์เผิงรีบตวัดฟาดฟันไปหาหลิงอิน เปล่งประกายเจิดจรัส
หลิงอินยื่นมืออีกข้างออกไปหยุดยั้งปีกข้างนั้นของบรรพจารย์เผิงได้ทันที ซ้ำยังจับค้างไว้ในมือต่อ
บรรพจารย์เผิงร้อนรนทนมิไหว สองมือของหลิงอินราวกับมีพลังมหาศาล จับปีกสองข้างของมันไว้อย่างแน่นหนา ไม่ว่ามันสลัดอย่างไรก็ไม่หลุด!
เสียงดังตู้ม มันอ้าปากพ่นอสนีบาตออกมาถล่มใส่หลิงอิน
หลิงอินเงยหน้า ลำแสงพวยพุ่ยออกจากตาทั้งสองข้างโดยมีอักขระรายล้อม บดขยี้อสนีบาตสายนั้นจนแหลกลาญได้ในพริบตา
โฮก!
บรรพจารย์เผิงส่งเสียงคำราม พลังในตัวปะทุออกมาเต็มที่ มันเอาชีวิตเป็นเดิมพัน กระบี่คมกล้าเล่มหนึ่งตวัดออกจากส่วนหน้าผากอย่างรวดเร็ว
นี่คือยอดศาสตรากลุ่มแรกในจักรวาลโกลาหล มีนามว่ากระบี่บั่นเทพ ใช้ตัดวิญญาณโดยเฉพาะ และเพราะมียอดศาสตราชิ้นนี้ในครอบครอง จ้าวแห่งดินแดนต่าง ๆ ถึงยำเกรงต่อมันอย่างยิ่งยวด
กระบี่คมส่องแสง ว่องไวจนวัดมิได้ เพียงแวบเดียวเท่านั้น ก็พุ่งเข้าไปในสมองของหลิงอิน!
หลิงอินเป็นถึงว่าที่บรรพจารย์เต๋าโกลาหล กายเนื้อแข็งแกร่งตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ทว่ากระบี่คมเล่มนี้กลับทลายกายเนื้อหลิงอินได้สบาย ทะลวงเข้าไปถึงสมองของหลิงอิน ทรงพลังจริง ๆ มิใช่อาวุธธรรมดาเลย!
หลังเห็นกระบี่คมทะลวงเข้าไปในสมองของหลิงอิน ดวงตาบรรพจารย์เผิงก็เบิกตาทั้งยังวาวโรจน์ ใบหน้าเต็มไปด้วยความปีติอย่างกลั้นไม่อยู่!
“โอหังนักหรือ สุดท้ายก็ต้องตายด้วยมือข้าอยู่ดี!”
มันหัวเราะลั่นอย่างบ้าคลั่ง ลำพองเป็นหนักหนา กระบี่บั่นเทพใช้ตัดวิญญาณโดยเฉพาะ หลังเข้ามาในสมองของหลิงอิน วิญญาณของหลิงอินจักถูกกำจัดอย่างสิ้นเชิง ไม่มีทางเป็นอื่นไปแน่นอน!
ทว่าเวลานั้นเอง กระบี่บั่นเทพถูกไล่ต้อนออกมา!
เสียงดังปึง ตามด้วยเสียงแหลกลาญ กระบี่บั่นเทพไม่เพียงแต่ถูกไล่ต้อนออกมา แต่ยังแตกสลาย ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิงอีกด้วย!
“อะไรกัน!”
บรรพจารย์เผิงตกใจแทบบ้า นี่นางต้องผิดมนุษย์มนาขนาดไหนกัน แม้แต่กระบี่บั่นเทพยังสู้มิไหว ซ้ำร้ายยังถูกทำลายอีก มันนึกเสียใจเป็นที่สุด หลิงอินแข็งแกร่งเกินไป แข็งแกร่งเหนือความคาดหมาย!
ขั้นบรรพจารย์เต๋าโกลาหลเป็นระดับที่เพิกเฉยต่อกฎระเบียบทั้งปวงได้ เรียกได้ว่า กระทำการตามอำเภอใจในจักรวาลโกลาหลได้เลย
แม้ว่าหลิงอินจะยังไม่บรรลุขั้นบรรพจารย์เต๋าโกลาหลอย่างสมบูรณ์ กระนั้นก็ย่างเท้าเข้าไปได้ข้างหนึ่งแล้ว ถือเป็นว่าที่บรรพจารย์เต๋าโกลาหล สัมผัสระดับบรรพจารย์เต๋าโกลาหลมาแล้ว นี่มิใช่ระดับที่บรรพจารย์เผิงจะทัดเทียมได้
บรรพจารย์เผิงคิดจะฆ่าล้างวิญญาณของหลิงอินด้วยกระบี่บั่นเทพนั้นเป็นไปได้ที่ไหน ไม่มีทางสำเร็จอยู่แล้ว
พรวด!
โลหิตสาดกระจายราวกับฝนเลือด หลิงอินออกแรงที่มือทั้งสองข้าง ฉีกปีกสองข้างของบรรพจารย์เผิงออกมา!
“หา!?”
พญาครุฑทองหมดแรงทรุดลงกับพื้น ท่าทางหมดอาลัยตายอยาก สายตาเลื่อนลอย คิดไม่ถึงเลยว่าท่านบรรพจารย์จะกลายมามีสภาพเดียวกับมัน ถูกเด็ดปีกทั้งสองข้างออกไป
จบสิ้นแล้ว มันทำให้ท่านบรรพจารย์ต้องติดร่างแหไปด้วย!
“!!!”
สิ่งมีชีวิตในแดนบรรพโกลาหลชาไปทั้งหนังศีรษะ และยังมีอีกไม่น้อยที่ผวาจนปัสสาวะราด สีหน้าซีดเผือด ไม่เหลือความฝาดเลือด
สะเทือนเลือนลั่น!
นั่นคือบรรพจารย์เผิงเชียวนะ ตัวตนไร้เทียมทานระดับอาวุโสในแดนบรรพโกลาหล กลับถูกหลิงอินกระชากปีกทั้งสองข้างออก!
สวรรค์! พวกเขาขาสั่นกันหมด หากมีสายลมพัดผ่าน พวกเขาคงถูกพัดจนล้มตึงกับพื้น!
“พวกเราบังอาจคิดจะยึดครองอาณาจักรระดับนี้ ฆ่าล้างสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรระดับนี้!”
“พวกเราเสียสติไปแล้วหรือไร!”
สิ่งมีชีวิตจากดินแดนชายขอบที่ยังมีชีวิตอยู่ผวาขึ้นมาอย่างยิ่งยวด พวกเขาช่างด้อยปัญญาเหลือเกิน ไม่เจียมตัวเอาเสียเลย!
อีกด้าน บรรพจารย์เผิงหมอบลงกับพื้นด้วยความหมดแรง ไม่เหลือท่าทีแข็งกร้าวอย่างตอนมา บัดนี้ มันไม่เหลือพลังชีวิตใดอีก ท่าทางเซื่องซึมสลด
“ข้าบอกแล้วว่าเจ้ายังไม่ไหว”
หน้าตาหลิงอินเรียบนิ่ง เก็บปีกคู่นั้นของบรรพจารย์เผิงไป
“พี่หลิงอิน เหตุใดถึงต้องเก็บปีกของตาเฒ่าเช่นนี้ด้วย เนื้อคงเหนียวน่าดู น่ากลัวว่ากินแล้วจะติดฟัน!”
ต้าเต๋อวิ่งไปอยู่ข้างกายหลิงอินพลางกล่าว
เดิมบรรพจารย์เผิงไม่เหลือความกระปรี้กระเปร่าแล้ว ห่อเหี่ยวเป็นที่สุด แต่เมื่อได้ยินคำกล่าวของต้าเต๋อ มันก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาในบัดดล โมโหจนใบหน้าบิดเบี้ยว
คนบ้าอะไร!
คิดจะกินปีกของมันไม่พอ ยังรังเกียจเดียดฉันท์กันปานนี้อีกด้วย!?
มันเดือดดาลยิ่งนัก อยากจะฉีกต้าเต๋อเป็นชิ้น ๆ เจ้าหัวโล้นตัวน้อยนี่น่าชิงชังจริงเชียว!
อนิจจา มันได้แต่คิดเท่านั้น
หากมันทำเช่นนั้นจริง น่ากลัวว่าหลิงอินจะฉีกมันเป็นชิ้น ๆ ก่อน!
“ไม่ใช่อาหารของเรา เป็นอาหารของบรรดาสัตว์อสูรลากรถ”
หลิงอินเอ่ยพลางแย้มยิ้ม
เมื่อคราวนางมายังที่นี่ สัตว์อสูรทั้งเก้าก็มาหานาง เอ่ยว่าหากพวกเขามิสู้จะพอใจในปีกของบรรพจารย์เผิงเท่าใด ก็ยกให้พวกมันกินได้ พวกมันอยากกินมาก
ว่าอะไรนะ!?
บรรพจารย์เผิงโมโหจนอกแทบระเบิด มันถูกรังเกียจเดียดฉันท์จริง ๆ หรือ!
นี่มันได้ยินอะไร?
ให้สัตว์อสูรลากรถกิน!
ต้องสบประมาทปีกของมันถึงเพียงใดกัน!
อ๊ากกก! มันอยากระเบิดเสียให้ได้!
“ให้สัตว์อสูรลากรถกินหรือ! ฟุ่มเฟือย…ถึงเพียงนี้เชียว!”
สิ่งมีชีวิตในแดนบรรพโกลาหลตาโต นั่นคือปีกของบรรพจารย์เผิงเชียวนะ หลังกินลงไป ต้องได้รับประโยชน์มหาศาลแน่นอน แต่หลิงอินกลับไม่แยแส คิดจะยกให้สัตว์อสูรลากรถกิน!
พวกเขาไม่รู้จริง ๆ ว่าควรกล่าวถ้อยคำใด!
แต่ลองไตร่ตรองดูแล้ว ตัวตนสยดสยองไร้เทียมทานอย่างหลิงอินจะไม่เห็นปีกของบรรพจารย์เผิงอยู่ในสายตาก็นับว่าปกติ ถึงอย่างไร บรรพจารย์เผิงก็แก่จริง ๆ อยู่มากว่าล้านล้านปีแล้ว
อีกด้าน เซี่ยเหยียนยกมือยิงศรหนึ่งดอก ปลิดชีพครุฑปีกทองลงทันที
นางรักษาคำพูดที่เคยให้ไว้ก่อนหน้า
ก่อนนี้นางกล่าวไว้ว่า หากครุฑปีกทองกล้ามาอีกจักต้องตาย นางไม่มีทางปล่อยครุฑปีกทองไป
นอกจากนี้ นางมิได้สังหารครุฑปีกทองด้วยจุดประสงค์ธรรมดา แต่นางต้องการสังหารให้สิ่งมีชีวิตในแดนบรรพโกลาหลเหล่านั้นดู ลำพังการข่มขวัญด้วยพลังยังไม่พอ ต้องมีการลงโทษที่เฉียบขาด
มิฉะนั้น จะต้องมีสิ่งมีชีวิตจำนวนหนึ่งมักง่าย หวังว่าตนเองจะเอาตัวรอดได้!
ได้เห็นครุฑปีกทองถูกสังหารกับตา บรรพจารย์เผิงตาแดงก่ำ มันโมโหเหลือแสน กระนั้นท้ายที่สุดก็ต้องยอมจากไปทั้งอย่างนี้
“ใช่ว่าไม่ให้พวกเจ้ามา อยู่ร่วมกันด้วยความปรองดองไม่ดีหรือ อย่าคิดว่าพวกเจ้าแข็งแกร่งทรงพลังแล้วจะกระทำการตามอำเภอใจได้ สิ่งมีชีวิตที่แกร่งกล้ากว่าพวกเจ้าในใต้หล้านี้มีอยู่ถมเถ ก่อนกระทำการใดจะต้องมีใจยำเกรง!”
หลิงอินทอดสายตาไปทางแดนบรรพโกลาหล เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ เสียงของนางส่งไปถึงหูของบรรดาสิ่งมีชีวิตในแดนบรรพโกลาหลอย่างชัดเจน
หลังจากนั้น นางกับเซี่ยเหยียนไปจากที่นี่ หายไปจากสายตาทุกคน
“จบลงเช่นนี้หรือนี่…”
“เฮ้อ!”
เสียงถอนหายใจหนักหน่วงดังอยู่ทั่วทุกสารทิศในแดนบรรพโกลาหล ก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่เห็นอาณาจักรนอกแดนบรรพโกลาหลอยู่ในสายตาสักนิด
บัดนี้ พวกเขาได้รับบทเรียนอย่างหนักหน่วง ต่อให้พวกเขาอยู่ในแดนบรรพโกลาหล ก็ไม่ควรดูหมิ่นอาณาจักรด้านนอก เหนือฟ้ายังมีฟ้า แดนบรรพโกลาหลใช่ว่าจะอยู่เหนือทุกสิ่ง!
จนบัดนี้ พวกเขาไม่เหลือความดูแคลนเช่นนั้นอีก
และล้มเลิกความคิดก่อนหน้าของพวกเขาด้วย
ก่อนนี้ พวกเขาคิดไว้ว่า ยามแดนบรรพโกลาหลปรากฏออกไปสู่ใต้หล้าอย่างสมบูรณ์แล้ว หากมีสิ่งมีชีวิตภายนอกบังอาจก้าวเท้าเข้ามาในแดนบรรพโกลาหล พวกเขาจักต้องกำจัด สังหารสิ่งมีชีวิตภายนอกทุกตนที่กล้าก้าวเท้าเข้ามาในแดนบรรพโกลาหล ไม่ยอมให้สิ่งมีชีวิตภายนอกทำให้แดนบรรพโกลาหลต้องแปดเปื้อน
บัดนี้ พวกเขาล้มเลิกความคิดเช่นนั้นกันหมด มิกล้าคิดอีกต่อไป!
ถึงครานั้น หากสิ่งมีชีวิตภายนอกอยากเข้ามาก็ปล่อยให้เข้ามาเถิด เป็นเช่นที่หลิงอินว่า ถึงเวลานั้น พวกเขาจะอยู่ร่วมกับสิ่งมีชีวิตภายนอกด้วยความ ‘ปรองดอง’
...
ภายในจักรวาลอันกว้างใหญ่
บรรพจารย์เหยียนพาเจ้าหลวงบุกทำลายมหานครพิศวงไปมาก ซ้ำบรรพจารย์เหยียนยังดูดกลืนพลังพิศวงลางร้ายในมหานครพิศวงเหล่านั้นจนเกลี้ยง
พลังของมันฟื้นกลับมาอีกครั้ง แม้จะยังคืนสภาพได้ไม่สมบูรณ์ กระนั้นก็ใกล้เต็มทีแล้ว
เดิมมันคิดจะพาเจ้าหลวงกวาดล้างนครพิศวงแห่งอื่นต่อ ทว่าในตอนนั้นเอง มันเปลี่ยนใจ
มันมองไปยังทิศทางหนึ่งพร้อมเอ่ยเสียงเบา “แดนบรรพโกลาหลปรากฏออกมาแล้วหรือ”
ทิศทางนั้นมีปราณโกลาหลลอยออกมา มันคิดว่าบางทีผนึกของแดนบรรพโกลาหลคงไม่มีอยู่แล้ว และเกิดการเชื่อมต่อกับอาณาจักรภายนอก
มันทำสงครามกับแดนบรรพโกลาหลมายาวนาน ย่อมรู้สถานการณ์ในแดนบรรพโกลาหลเป็นอย่างดี
มันรู้ว่า แดนบรรพโกลาหลอยู่ในสภาวะถูกผนึกเรื่อยมา มิได้เชื่อมต่อกับภายนอก
บัดนี้ มีปราณโกลาหลล่องลอยออกมา บ่งบอกว่าแดนบรรพโกลาหลมิได้อยู่ในสภาวะปิดผนึกอีก หากแต่เชื่อมต่อกับอาณาจักรภายนอกแล้ว
“ไปเถิด เราไปดูที่นั่นกันหน่อย”
มันเคลื่อนไหว เตรียมพาเจ้าหลวงไปยังที่นั่น
หากเป็นเช่นที่มันคิดจริง ย่อมเป็นเรื่องประเสริฐอย่างไม่ต้องสงสัย มันสามารถเข้าใกล้แดนบรรพโกลาหล เป็นไส้ศึกจากภายใน สร้างความเสียหายให้กับสิ่งมีชีวิตในแดนบรรพโกลาหลอย่างร้ายแรง
“ท่านพ่อบุญธรรม เราจะไปที่ใดกันหรือ!?”
เจ้าหลวงสะดุ้งโหยง เอ่ยเสียงค่อย “พวกเราคงมิได้จะไปยังอาณาจักรอวี้ซวีใช่หรือไม่!”
เขากลัวแล้วจริง ๆ อาณาจักรอวี้ซวีเต็มไปด้วยฝันร้ายของเขา สหายของเขา พี่ใหญ่ของเขา ไหนจะท่านพ่อบุญธรรมผู้แสนดีของเขา ต่างตายเพราะไปอาณาจักรอวี้ซวี!
เขาไม่ต้องการให้บรรพจารย์เหยียน ท่านพ่อบุญธรรมคนนี้มีอันเป็นไป
หากบรรพจารย์เหยียน ท่านพ่อบุญธรรมของเขายืนกรานจะไปอาณาจักรอวี้ซวีให้ได้ เขาจะห้ามบรรพจารย์เหยียน ท่านพ่อบุญธรรมของเขาสุดชีวิต
“อาณาจักรอวี้ซวีหรือ ไม่ เรากำลังเดินทางไปยังอีกอาณาจักร”
บรรพจารย์เหยียนกล่าว ตอนนี้ มันรู้เรื่องในอาณาจักรทั้งปวงมามากแล้ว รู้ว่าอาณาจักรอวี้ซวีอยู่ที่ใด
ปราณโกลาหลมวลนั้นมิได้ส่งออกมาจากอาณาจักรอวี้ซวี มันไม่ไปอาณาจักรอวี้ซวีนั่นหรอก
“เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี! ไม่ใช่อาณาจักรอวี้ซวีก็ไม่เป็นไร!”
เจ้าหลวงคลี่ยิ้มสดใส ไม่เหลือความกังวลใดอีก
ตราบใดที่มิใช่อาณาจักรอวี้ซวี จะไปที่ไหนก็ได้!
‘ท่านพ่อบุญธรรมผู้นี้จะอยู่เคียงข้างข้าไปตลอดชีวิต!’
เขาคิดในใจ
บรรพจารย์เหยียน ท่านพ่อบุญธรรมของเขาแข็งแกร่งน่าพรั่นพรึงถึงเพียงนั้น เป็นถึงบรรพจารย์พิศวงลางร้าย เขาเชื่อว่า บรรพจารย์เหยียน ท่านพ่อบุญธรรมของเขาย่อมไม่ถูกเขาข่มดวง และสามารถอยู่เคียงข้างเขาไปตลอดชีวิต!
“ไปกันเถิด”
บรรพจารย์เหยียนมิได้สนใจว่าเจ้าหลวงคิดอันใดอยู่ มันยกมือคลี่แผ่พลังปกคลุมเจ้าหลวง พาเจ้าหลวงไปจากที่นี่ เดินทางไปยังอาณาจักรแห่งนั้น
...
ฟ้าดินกลับสู่ความสงบ แต่สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรนี้กลับไม่สงบเลยสักนิด เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังอยู่ทั่วทุกพื้นที่ และประเด็นที่ถกกันอยู่ก็วนอยู่กับหลิงอินและเซี่ยเหยียนอย่างไม่ต้องสงสัย
ฐานะและภูมิหลังของเซี่ยเหยียนถูกเปิดเผยออกมาในไม่ช้า เป็นที่รู้กันทั่ว พวกเขาต่างสะท้อนใจนักหนา ไม่เคยคิดเลยว่า สำนักไท่หัวเล็ก ๆ จะมีผู้ยิ่งใหญ่ระดับนั้นอยู่!
แข็งแกร่งเหลือเกิน บดขยี้สิ่งมีชีวิตในแดนบรรพโกลาหลได้สบาย แม้ว่าศึกสุดท้ายระหว่างเซี่ยเหยียนและบรรพจารย์เผิงจะไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างตอนแรก กระนั้นก็มิได้ส่งผลกระทบต่อความดุดันองอาจของเซี่ยเหยียน!
พวกเขาอยากฝากตัวเป็นศิษย์ของสำนักไท่หัว แต่พวกเขามิกล้า กลัวจะรบกวนเซี่ยเหยียน ทำให้นางต้องขุ่นเคืองใจ
เรื่องราวของหลิงอินมีไม่มากเท่าใด ไม่มีสิ่งมีชีวิตตนใดรู้ฐานะและภูมิหลังที่แน่ชัดของหลิงอิน
“มิได้อาศัยอยู่ในแดนบรรพโกลาหลแล้วอย่างไร ก็สามารถบดขยี้สิ่งมีชีวิตในแดนบรรพโกลาหลได้อยู่ดี! ฝึกฝนเข้าเถิด!”
“ใช่แล้ว ยิ่งสิ่งแวดล้อมเลวร้ายเท่าใด ยอดฝีมือที่อุบัติขึ้นยิ่งทรงพลังอย่างแท้จริงเท่านั้น พวกเราควรต้องพากเพียรฝึกฝนขึ้นเป็นเท่าตัว!”
แดนบรรพโกลาหลเกิดกระแสฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง ความกล้าแกร่งที่หลิงอินและเซี่ยเหยียนแสดงออกมากระตุ้นพวกเขาได้อย่างไม่ต้องสงสัย จนพวกเขากระเหี้ยนกระหือรือต้องการฝึกฝนกันหมด
...
นอกเมืองชิงซาน ริมลำธาร
“ได้เวลาไปสะสางปัญหาพวกนั้นแล้ว…”
ต้นหลิวแหงนหน้ามองนภา เตรียมออกเดินทางสะสางปัญหาในอดีตของมัน
มันในยามนี้อยู่ในระดับสูงสุด ความทรงจำต่าง ๆ หวนคืนกลับมาแล้ว มันคือจ้าวแห่งเผ่าหลิวสวรรค์ หยั่งรากอยู่บนเทวโลกชั้นเก้า เคยฝึกฝนจนอยู่ในขอบเขตผู้บงการขั้นเจ็ด ทั้งยังมีโอกาสบรรลุขอบเขตที่สูงยิ่งขึ้นกว่านั้น ทลายขอบเขตผู้บงการ ก้าวสู่ขอบเขตนิรันดร์
ทว่ามันถูกปองร้าย ไม่รู้ว่าตระกูลเทียนได้พิษร้ายแรงมาจากที่ใด แม้แต่มันยังต้านไม่อยู่ มันต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกว่าจะฝ่าออกมา แต่กระนั้นก็เกือบตายอย่างอนาถเพราะพิษร้ายนี่!
ทว่าถึงอย่างไรมันก็มิธรรมดา ท้ายที่สุดยังรักษาขุมปราณชีวิตไว้ได้เสี้ยวหนึ่ง จุติลงในละแวกเมืองชิงซาน งอกต้นอ่อนขึ้นใหม่ กลายเป็นต้นหลิว
แต่มันลืมทุกอย่างไปเสียสิ้น ไม่เคยรู้ปูมหลังตนเอง ทึกทักเอาว่าตนคือต้นหลิวธรรมดา ๆ ต้นหนึ่ง
บัดนี้ มันจำทุกอย่างได้แล้ว มันจะบุกกลับไปยังเทวโลกชั้นเก้า เพื่อล้างแค้นในอดีต
ซีเคยพบสมาชิกตระกูลเทียน
ตระกูลเทียนนั้นมีรกรากเดียวกับตระกูลเทียนที่ต้นหลิวต้องการกำจัด แต่ก็มิได้เกี่ยวข้องกันลึกซึ้งเท่าใด
ตระกูลเทียนที่ซีได้พบดำรงตนอยู่ที่เทวโลกชั้นสอง ห่างจากตระกูลเทียนชั้นเก้าตั้งไม่รู้เท่าใด เรียกได้ว่าเทียบกันมิได้เลย
แท้จริงแล้ว ตระกูลเทียนชั้นสองคือสมาชิกตระกูลเทียนที่กระทำความผิดจนถูกขับไล่ พวกเขาได้ไปอยู่ที่เทวโลกชั้นสอง หลังจากผ่านไปแล้วอย่างยาวนาน พวกเขาก็ค่อย ๆ รุ่งโรจน์ขึ้น
ทว่าแม้ว่าพวกเขารุ่งโรจน์ขึ้นแล้ว พลังอำนาจที่มีก็ยังมิอาจเทียบกับชั้นเก้า พวกเขาอยากกลับไปอยู่ภายใต้ร่มโพธิ์ร่มไทรเดิมมาตลอด กลับไปอยู่ในอ้อมกอดของตระกูลเดิมที่ชั้นเก้าอีกครั้ง เพราะเหตุนี้ พวกเขาถึงกว้านรับสิ่งมีชีวิตนอกเทวโลกผู้อยู่ในขอบเขตลอยชายขึ้นไป เพื่อให้ตนแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นที่ยอมรับของตระกูลเดิมชั้นเก้า
ริมลำธารนั้น ก้อนหินก็อยู่ด้วย มันถูกคุณชายส่งกลับมาที่นี่อีกครั้ง
หลังมันได้ยินคำกล่าวของต้นหลิวก็ลอบยินดีปรีดา ต้นหลิวจะไปจากที่นี่แล้วหรือ ยอดเยี่ยม! แม้จะเป็นเพียงชั่วครั้งชั่วคราว มันก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง!
เฮ้อ อย่าให้มันต้องเอ่ยเลย นับแต่คราวก่อนที่มันกำราบต้นหลิวล้มเหลว ชีวิตหลังจากนั้นของมันน่าเวทนาเป็นที่สุด ต้นหลิวไม่เหลือความเป็นมนุษย์ หวดมันอย่างโหดเหี้ยม
เอ๊ะ เหมือนว่าต้นหลิวมิใช่มนุษย์อยู่แล้ว
เอาเถิด เอาเป็นว่ามันนั้นอเนจอนาถมาก อยากให้ต้นหลิวจากมันไปแทบแย่ ยิ่งจากไปนานเท่าไหร่ มันยิ่งปีติ!
ทว่าในตอนนั้นเอง ก้านหลิวก้านหนึ่งกระแทกใส่มัน ฉับพลันนั้น มันรู้สึกเหมือนถูกอสนีบาตฟาด เจ็บจนร้องลั่นออกมา
เกิดอะไรขึ้น?
หรือต้นหลิวรับรู้ความในใจของมันแล้ว?
มิฉะนั้น เหตุใดต้นหลิวต้องหวดมันด้วย!
“เจ้าคิดอะไรอยู่! ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรืออย่างไร” ต้นหลิวตวาด
“หา”
ก้อนหินมึนงง ต้นหลิวหมายความว่าอย่างไร ไยมันถึงไม่เข้าใจเลย
“ไม่ได้ยินหรือว่าข้าต้องไปสะสางปัญหา เจ้ามัวนิ่งงันอันใด ในฐานะลูกสมุน ไม่ควรออกเดินทางกับข้า เบิกทางอยู่ข้างหน้าข้าหรือ” ต้นหลิวกล่าว
เหตุใดถึงต้องพามันไปด้วยเล่า!
ก้อนหินขมขื่นในใจ ไม่อยากร่วมเดินทางกับต้นหลิวเลยสักนิด
กระนั้นมันกล้าเพียงตะโกนในใจเท่านั้น ปากรีบบอกออกไป “ควรแล้ว ควรแล้ว!”
“เช่นนั้นก็ดี เราออกเดินทางกันเถิด”
ต้นหลิวบอก ก่อนจะพาก้อนหินไปจากที่นี่ด้วยกัน
ผ่านไปไม่นาน แทบมิได้ใช้เวลาเลย พวกมันก็มาถึงเทวโลกชั้นเก้าในไม่กี่อึดใจ
หากสิ่งมีชีวิตเทวโลกได้รู้คงต้องตกใจกันยกใหญ่แน่
ต้องรู้ว่าแต่ละชั้นของเทวโลกต่างมีพลังบางอย่าง การลงนั้นง่าย ทว่าการขึ้นมิได้ง่ายนัก แต่ละชั้นมีแต่จะยิ่งทวีความลำบาก
แต่ต้นหลิวและก้อนหินกลับผ่านไปได้ฉลุยไร้อุปสรรค มิเคยพบสิ่งใดเข้ามาหยุดยั้ง น่าครั่นคร้ามเป็นอย่างยิ่ง
เบื้องหน้าต้นหลิวและก้อนหินมีม่านหมอกหนาทึบ ลมปราณสยดสยองแผ่ขยาย ที่นี่คือทุ่งร้างหมอกทึบ ครั้งแรกที่ต้นหลิวมายังที่นี่ ได้รับภยันตรายครั้งใหญ่ เป็นภัยคุกคามที่ถึงแก่ชีวิต
แต่บัดนี้ มันได้มาอยู่ที่นี่อีกครั้ง ที่นี่ไม่อาจสร้างอันตรายต่อมันได้อีก
มันมั่นใจว่าจะทะลวงขึ้นไปถึงชั้นเก้าได้!
หากมิใช่ว่ามีความมั่นใจในระดับนี้ มันคงไม่มายังชั้นเก้า
อันที่จริง มันอยากมานานแล้ว เพียงแต่คราวก่อนที่มันหมายมั่นจะเข้ามา คุณชายกลับมาเสียก่อน มันจึงมิได้เข้าไป
“ไปกันเถิด”
มันกับก้อนหินเหินไปตามท้องฟ้าเหนือทุ่งร้างหมอกทึบ เพื่อเข้าไปยังส่วนลึกสุดของทุ่งร้างหมอกทึบ หรือก็คือแดนแกนกลางของชั้นเก้า
ตระกูลเทียนตั้งอยู่ในแดนแกนกลาง และเผ่าหลิวสวรรค์ก็ตั้งอยู่ในแดนแกนกลาง
ทุ่งร้างหมอกทึบถือเป็นอาณาเขตรอบนอก
ทว่าสิ่งที่แตกต่างจากสถานที่อื่นคือ แม้ว่าทุ่งร้างหมอกทึบถือเป็นอาณาเขตรอบนอก แต่ระดับความน่ากลัวก็มิได้ด้อยไปกว่าแดนแกนกลางซึ่งอยู่ด้านหลังเลย มิหนำซ้ำยังน่าพรั่นพรึงกว่าด้วย
ในทุ่งร้างหมอกทึบแห่งนี้มีความลับอยู่นับคณา สิ่งมีชีวิตเกินหยั่งพำนักอยู่หลากหลาย น่ากลัวถึงขีดสุด น้อยนักจะมีสิ่งมีชีวิตกล้าย่ำกรายเข้าไป
ต้นหลิวและก้อนหินเหินอยู่บนท้องฟ้าเหนือทุ่งร้างหมอกทึบถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งยวด ต้องเกิดปัญหาใหญ่แน่ สิ่งมีชีวิตสยดสยองในทุ่งร้างหมอกทึบไม่มีทางยอม
และนี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่มีการเหินบนท้องฟ้าเหนือทุ่งร้างหมอกทึบอย่างต้นหลิวและก้อนหิน ก่อนหน้านี้มิเคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เลย
ทว่าต้นหลิวและก้อนหินหาได้แยแส
พวกมันในตอนนี้ไม่อาจนำไปเทียบกับในอดีต ไม่ต้องเอ่ยถึงต้นหลิว ลำพังตัวก้อนหินเองก็มั่นใจว่าสามารถอาละวาดในทุ่งร้างหมอกทึบจนวินาศสันตะโรได้!
นอกจากนี้ คราวก่อน คุณชายเคยสำแดงแสนยานุภาพที่นี่ ขจัดกระโปรงสีขาวแห่งความตายตัวนั้นไป ต้นหลิวคิดว่าที่นี่คงมิมีสิ่งมีชีวิตตนใดกล้าขวางทางมัน
ตึก! ตึก! ตึก!
เวลานั้นเอง เสียงบางอย่างกระโดดออกมาเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น สยดสยองเป็นที่สุด พลังน่าสะพรึงบางอย่างพุ่งออกจากทุ่งร้างหมอกทึบ
สิ่งนั้นดูคล้ายหัวใจมนุษย์ ส่องแสงสีทองเรืองรองอยู่ทั่วตัว เสียงเต้นที่ดังอยู่ในปฐพีนี้มาจากหัวใจดวงนี้นี่เอง
มันบุกเข้ามาอย่างรวดเร็ว อักขระลึกล้ำซับซ้อนมากมายปรากฏออกจากเปลือกนอกหัวใจ ส่องแสงสีทองเจิดจ้าแยงตา ขจัดม่านหมอกออกไปผืนใหญ่
ตู้ม!
ก้านหลิวก้านหนึ่งของต้นหลิวม้วนก้อนหินขึ้นและเหวี่ยงออกไปกระแทกกับหัวใจสีทอง
โลหิตหลั่งรินออกจากหัวใจสีทอง มันถูกกระแทกจนมีรอยร้าวจึงรีบล่าถอยกลับไปอยู่บนแท่นบูชายัญอีกครั้ง
จากนั้น ภาพร่างพิศวงร่างหนึ่งปรากฏบนแท่นบูชายัญ จ้องมองต้นหลิวและก้อนหินอยู่อย่างนั้น สุดท้าย มันใช้พลังดึงม่านหมอกเข้ามาปกคลุมพื้นที่ด้านมันจนมิด มิกล้าแม้แต่จะโผล่หัวออกมา
ต้นหลิวรู้จักภาพร่างพิศวงนี้ เมื่อครั้งร่างภาพฉายของคุณชายปรากฏตัวที่นี่เพื่อพาพวกมันไป ร่างพิศวงนี้เคยโผล่ออกมา กลืนกินหัวใจสีทองและของเซ่นชิ้นอื่นบนแท่นบูชายัญ ทว่าท้ายที่สุด ก็กลัวจนมิกล้าลงมือ
บัดนี้ น่ากลัวว่าสถานการณ์ก็คงไม่ต่าง ภาพร่างพิศวงนั้นมิกล้าลงมืออีก
“ในฐานะลูกสมุน เจ้าไม่มีจิตสำนึกความเป็นลูกสมุนเลยหรือไร คราวหน้าจำไว้ด้วยว่าต้องเป็นฝ่ายลงมือเอง!”
ต้นหลิวบอกก้อนหิน
น่าแค้นใจนัก!
ก้อนหินร่ำไห้ในใจ นี่แหละคือความเศร้าของผู้เป็นลูกสมุน ไม่ว่าเรื่องใดต่างต้องเชื่อฟังผู้อื่น!
พวกมันเหินต่อไปได้ไม่ไกล ก็ถูกจู่โจมอีกครั้ง
เบื้องหลังพวกมันมีลำธารสีดำขนาดใหญ่สายหนึ่ง น้ำในลำธารข้นเหนียวดั่งหมึก เหม็นคาวเกินทน หลั่งไหลเป็นสายยาวเหยียด ไม่รู้ว่าเริ่มจากที่ใด และไหลไปที่ใด
และบนลำธารสีดำสายนั้น มีศพเน่าเปื่อยลอยอยู่มากมายทั้งเผ่ามนุษย์ เผ่าอสูร และเผ่าต่างอื่น ๆ
เวลานั้น ศพเปื่อยมากมายบุกเข้ามาจากผืนน้ำลำธารสีดำ กลิ่นอายเน่าเฟะชวนให้พะอืดพะอม น่าคลื่นเหียนยิ่งนัก ซ้ำบนตัวพวกมันยังมีหนอนชอนไชอยู่มากมาย
ก้อนหินไม่อยากต่อสู้กับศพเปื่อยจริง ๆ แต่ช่วยไม่ได้ มันต้องเชื่อฟังพี่ต้นหลิวของมัน!
“จงดับสูญ!”
มันบุกออกไปข้างหน้า ตัวหินมีคลื่นแสงพิเศษไหลเวียน ก่อนจะแผ่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วดั่งคลื่นซัดสาด ทำลายศพเปื่อยทั้งหมดจนราบคาบ
หลังจัดการเรียบร้อยแล้ว มันรีบย้อนกลับมา กลัวเป็นอย่างยิ่งว่าจะเปื้อนพลังปราณเน่าเฟะเหล่านั้น มันคงต้องสะอิดสะเอียนน่าดู
ต้องยอมรับว่า ตัวมันในตอนนี้ไม่เหมือนในอดีต มันแข็งแกร่งกว่าเก่ามาก หากเป็นเมื่อก่อน ต่อให้มันสู้ด้วยกำลังทั้งหมดที่มีก็ใช่ว่าจะกำจัดศพเปื่อยเหล่านี้ได้หมด ทว่ามันในบัดนี้สามารถกำจัดศพเปื่อยได้ราบคาบ
ซ่า!
เวลานั้นเอง จู่ ๆ ลำธารสีดำก็โหมกระหน่ำ คล้ายว่าสิ่งมีชีวิตบางอย่างกำลังจะบุกอออกมา
อย่างที่คิด สิ่งมีชีวิตบางอย่างบุกออกมาจริง ๆ เนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นอายเน่าเฟะ อ้าปากกว้างเผยให้เห็นฟันคม ก่อนจะโผเข้ากัดต้นหลิวและก้อนหิน
“ไสหัวไปซะ!”
ก้อนหินตอบโต้ทันที หลอมหอกหินขึ้นมาเล่มหนึ่งอย่างรวดเร็วก่อนจะขว้างไปที่นั่น ทะลุเข้าปากของสิ่งมีชีวิตตนนั้น
เสียงระเบิดตู้มดังออกจากที่นั่น หอกหินระเบิดในปากสิ่งมีชีวิตตนนั้น จนปากของมันเละไม่เหลือทรง ฟันคมในปากร่วงออกมาหมด
มันถลึงตาใส่ก้อนหินด้วยความโกรธเคือง สุดท้ายจมหายไปในลำธารสีดำจนไม่เหลือร่องรอย
“ดูเหมือนจะมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล…”
ต้นหลิวพึมพำเสียงเบา ร่างพิศวงก่อนหน้านั้นไม่เท่าไร ครานั้นมิได้ลงมือกับภาพฉายของคุณชาย จึงไม่ได้รับบาดเจ็บ
ทว่ามันจำสิ่งมีชีวิตเน่าเปื่อยตนนี้ได้ดี ครานั้น มันลงมือกับภาพฉายของคุณชาย ก่อนจะถูกคุณชายกำจัด กลายเป็นน้ำหนองกองหนึ่ง
เหตุใดสิ่งมีชีวิตเน่าเปื่อยตนนี้ถึงฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อีก
ตามหลักแล้วไม่ควรเป็นเช่นนั้นเลย ครานั้น ภาพฉายคุณชายกำจัดพลังทั้งหมดของสิ่งมีชีวิตเน่าเปื่อยตนนี้ไปแล้ว มันไม่ควรคืนชีพขึ้นมาได้อีกถึงจะถูก
นอกจากนี้ เวลานั้นมันอยู่ร่วมกับภาพฉายคุณชาย เหตุใดภาพร่างพิศวงและสิ่งมีชีวิตเน่าเปื่อยตนก่อนหน้านี้ถึงยังกล้าลงมือกับมันอีก
ที่นี่เต็มไปด้วยเรื่องประหลาด!
“ไปกันเถิด”
ต้นหลิวและก้อนหินรุดหน้าต่อ ไม่ว่าที่นี่ประหลาดเพียงใด มันก็ไม่กลัว
ไม่ว่าจะเป็นภูตผีปีศาจจากแห่งหนใด ขืนบังอาจโผล่ออกมาขวางทางมัน กำจัดเสียก็พอ
ที่นี่เต็มไปด้วยความแปลกประหลาดจริง ๆ ราวกับสิ่งมีชีวิตในนี้ลืมเลือนความสยดสยองของร่างภาพฉายคุณชายไปหมดแล้ว ต้นหลิวและก้อนหินเหินต่อไปได้ไม่ไกล ก็ถูกจู่โจมอีกครั้ง!
ที่นั่นเป็นสุสานแห่งหนึ่งซึ่งมีโลงศพมหึมาเรียงรายโลงแล้วโลงเล่า มีทั้งโลงโลหะ โลงหิน โลงไม้ อีกทั้งโลงศพจากวัสดุอื่น ๆ
เมื่อครั้งภาพฉายคุณชายผ่านมาทางนี้ โลงศพเหล่านี้มิกล้าแม้แต่จะขวาง แต่บัดนี้กลับเข้าจู่โจมต้นหล้วและก้อนหินกันหมด!
“เหตุใดถึงมีตัวน่าขยะแขยงอยู่มากมายปานนี้!”
ก้อนหินด่ากราด ไม่อยากลงมือ กระนั้นยังบุกออกไปเป็นแนวหน้า เข้าต่อสู้ดุเดือดกับโลงศพมหึมาทั้งหลาย
ท้ายที่สุด โลงศพเหล่านี้สู้ไม่ได้ เหินกลับไปยังสุสานตามเดิม ก่อนจะเรียกม่านหมอกเข้ามาบดบังสถานที่นั้น
ต่อจากนั้น พวกมันก็ยังไม่ราบรื่นนัก พบเจอกับการโจมตีนานัปการ
อย่างเช่นในจุดกลับตาลปัตรแห่งหนึ่ง กฎระเบียบสยดสยองมากมายถักทอประสาน ทุกหนแห่งกลับหัวกลับหาง อยู่ในทิศทางตรงข้ามกับความเป็นจริงกันหมด ฟ้าอยู่ล่าง ดินอยู่บน น้ำฝนหยดขึ้นเหนือหัว
ยังมีประตูหินที่ก่อขึ้นด้วยหินต่าง ๆ อีกบานซึ่งมีสิ่งมีชีวิตสยดสยองมากมายพุ่งออกมา มีทั้งผีเสื้อมาร มดจอมพลัง และอื่น ๆ อีกมากมาย
ทว่าการโจมตีและพลังเหล่านั้นมิอาจแผ้วพานต้นหลิวและก้อนหินได้เลย ต้นหลิวไม่ต้องลงมือด้วยซ้ำ ก้อนหินก็กำราบได้หมด
พวกมันมาอยู่ในตำหนักโบราณสีเลือดซึ่งกองขึ้นด้วยกระดูกต่าง ๆ อีกครั้ง ครานั้น ต้นหลิวถูกพลังจากที่นี่ชักจูงเข้ามา
ครานั้น ปีศาจที่นี่ยังจำแลงเป็นนางสวรรค์งามเพริศพริ้งสุดเร่าร้อนเพื่อรั้งต้นหลิวให้อยู่ที่นี่
ครานี้ พวกมันโดนจู่โจมด้วยลูกไม้เดิม นางสวรรค์มากมายเหินออกมาหมายจะล่อลวงพวกมัน
“โง่หรือเปล่า ข้าเป็นก้อนหิน ไฉนเลยจะติดกับพวกเจ้า! พวกเจ้าแปลงกายเป็นก้อนหินก้อนงามข้าถึงมีโอกาสติดกับอยู่บ้าง!”
ก้อนหินมิได้รู้สึกรู้สา ลงมือโดยปราศจากความปรานี สังหารเหล่าปีศาจผู้จำแลงเป็นนางสวรรค์จนสิ้นซาก
สิ่งมีชีวิตสยดสยองพุ่งออกจากตำหนักโบราณสีเลือดอีกครั้ง ทว่าผ่านไปไม่นาน ก็ถูกก้อนหินกำราบไปหมด!
พวกมันใกล้จะออกจากทุ่งร้างหมอกทึบ เข้าไปถึงชั้นเก้าแล้วจริง ๆ!
ทว่าในตอนนั้นเอง ร่างน่าพรั่นพรึงมากมายพุ่งออกมาเพื่อสังหารต้นหลิวและก้อนหิน
ต้นหลิวจำภาพร่างน่ากลัวเหล่านั้นได้ พวกมันคือตัวตนน่าประหวั่นพรั่นพรึงที่สุดในทุ่งร้างหมอกทึบนี้ เคยลงมือกับภาพฉายของคุณชายมาแล้ว ต่อมา ถูกภาพฉายคุณชายเล่นงานจนแหลกลาญ แต่บัดนี้กลับปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง
ก้อนหินดุดันอย่างแท้จริง ตลอดทั้งทางนี้มันนั้นไร้เทียมทาน ต่อให้ภาพร่างสยดสยองเหล่านี้เป็นตัวตนน่าประหวั่นพรั่นพรึงที่สุดในทุ่งร้างหมอกทึบก็เท่านั้น ต้องถูกเล่นงานจนล่าถอยกันหมด มิมีตนใดเป็นข้อยกเว้น!
“ตกลงว่าท่านมาเพื่อสะสางปัญหา หรือข้ามาเพื่อสะสางปัญหากันแน่!”
ก้อนหินร่ำไห้ขณะเอ่ยบอกต้นหลิว
พับผ่าสิ ตลอดทั้งทางนี้มันลงมืออยู่ผู้เดียว เหนื่อยเลือดตาแทบกระเด็น ส่วนต้นหลิวนั้นเสมือนว่ามาชมทิวทัศน์ มิเคยลงมือสักครั้ง
“เป็นลูกสมุน ก็ต้องมีจิตสำนึกของความเป็นลูกสมุน น้องหิน เจ้ายังไม่เข้าใจเรื่องนี้อีกหรือ”
ต้นหลิวเอ่ยยิ้ม ๆ “ไปกันเถิด”
มันกับก้อนหินก้าวผ่านทุ่งร้างหมอกทึบ เข้าไปถึงชั้นเก้าอย่างแท้จริง
หลังต้นหลิวมาถึงที่นี่ก็รู้สึกคุ้นเคยขึ้นมา ในอดีต ที่นี่เคยเป็นสถานที่ที่มันพำนักอาศัยมาตั้งไม่รู้นานเท่าใด…
มันย่างกรายอยู่ในสถานที่นั้น ดื่มด่ำกับความรู้สึกนี้มาก ความรู้สึกที่ได้หวนคืนสู่บ้านเกิดเมืองนอนอีกครั้งประเสริฐเป็นที่สุด
“นี่ พี่หลิวว่าข้าก็มีโอกาสเป็นก้อนหินที่ไม่ธรรมดาบ้างหรือไม่ มีภูมิหลังยิ่งใหญ่เฉกเช่นท่าน เพียงแต่ตอนนี้ความทรงจำยังไม่คืนกลับมาเท่านั้น!”
ก้อนหินเอ่ยเสียงอิจฉา “ข้าเองก็อยากมีความรู้สึกได้หวนคืนสู่ภูมิลำเนาบ้าง!”
“เจ้ามีกับผีน่ะสิ! เจ้าเป็นเพียงก้อนหินธรรมดา ครานั้น เจ้าได้อยู่ข้างกายข้าถึงมีวาสนาได้รับการหล่อเลี้ยงจากขุมปราณชีวิตของข้า ถึงได้เปิดพลังญาณ ก้าวสู่เส้นทางฝึกตน”
ต้นหลิวบอกกับก้อนหิน
“จริงหรือ ข้าไม่เชื่อ! อย่างไรข้าก็รู้สึกว่าตัวข้ามีภูมิหลังยิ่งใหญ่ มาจากดินแดนมหัศจรรย์บางแห่ง หลังความทรงจำข้าตื่นขึ้นเมื่อใด ข้าจะผงาดขึ้นฟ้า!”
ก้อนหินเอ่ยเสียงแน่วแน่
“...”
ต้นหลิวหมดคำบรรยาย มีผู้ที่นิสัยเฉกเช่นก้อนหินด้วยหรือ
ทั้งที่ผุดความคิดขึ้นกะทันหัน แต่กลับโน้มน้าวตัวเองให้เชื่อสนิทใจได้!
เรื่องบ้าอะไรกัน!
“ไปกันเถิด”
มันกับก้อนหินไปจากที่นี่ มาถึงสถานที่ตั้งของเผ่าหลิวสวรรค์
หลังมาถึงที่นี่ กลิ่นอายเย็นยะเยือกพลันแผ่ซ่านออกจากตัวต้นหลิว
“ฝีมือผู้ใด!?”
เสียงของต้นหลิวชวนสะท้าน สถานการณ์ที่นี่เกินความคาดหมายของมัน!
ทุกระเบียดนิ้วในสถานที่นี้กลายเป็นซากปรักหักพัง สิ่งปลูกสร้างเก่าแก่อันมีเอกลักษณ์ที่กระจัดกระจายอยู่พังครืน ต้นหลิวเห็นว่ามีร่องรอยของเหลวสีเขียวสาดกระเซ็นไปรอบ ๆ ไม่น้อย เป็นเหตุผลให้มันกราดเกรี้ยวเช่นนี้
ของเหลวสีเขียวคือ ‘เลือด’ ของเผ่าหลิวสวรรค์ ซ้ำยังแห้งไม่สนิท เห็นได้ชัดว่าเพิ่งเกิดการต่อสู้ขึ้นที่นี่ได้ไม่นาน สมาชิกเผ่าหลิวสวรรค์อาจถูกลักพาตัวไป หรือถูกสังหารไปแล้ว
“หวังว่าแค่ถูกลักพาตัวไปเท่านั้น!”
เสียงของต้นหลิวเย็นเยียบเสียดกระดูก มันกลับมาหมายใจว่าจะทำให้สมาชิกที่เหลืออยู่ของเผ่าหลิวสวรรค์มีชีวิตดีขึ้น แต่ผลที่เห็นกลับเหนือความคาดหมาย
เกิดเรื่องกับสมาชิกเผ่าหลิวสวรรค์
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
ก้านหลิวฉวัดเฉวียน ต้นหลิวเค้นพลังมหาศาลเพื่อสะท้อนภาพในอดีต สืบหาความจริง อยากรู้ว่าเกิดเรื่องใดกับที่นี่กันแน่
ภาพการณ์บางอย่างปรากฏ ก่อนจะย้อนทวนกลับไปอย่างรวดเร็ว ยามนี้ ต้นหลิวทรงพลังมาก การสะท้อนภาพในอดีตมิใช่เรื่องยากสำหรับมัน
มันไล่ย้อนกลับไปเพื่อดูตั้งแต่ต้น ดูว่าหลังเกิดเรื่องกับมัน ในเผ่าหลิวสวรรค์เกิดเหตุการณ์ใดขึ้นบ้าง
ท้ายที่สุด ภาพเหตุการณ์หยุดชะงักในยามที่มันเพิ่งเกิดเรื่อง
เวลานั้น มันได้รับคำเชิญให้ไปร่วมงานชุมนุมบางอย่าง และถูกตระกูลเทียนปองร้ายในงาน ถูกพิษร้ายแรง ก่อนจะฝ่าออกจากงานชุมนุมโดยต่อสู้สุดชีวิต
มันคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าตระกูลเทียนจะลงมือกับมัน ซ้ำยังเป็นช่วงที่มันกำลังรุ่งโรจน์ มันชะล่าใจและลำพองเกินไป จนขาดความรอบคอบในหลาย ๆ อย่าง ตระกูลเทียนถึงได้ฉวยโอกาส
และช่วงที่เกิดเรื่องกับมัน สมาชิกภายในเผ่าหลิวสวรรค์ไม่รู้เรื่อง ยังคงพำนักกันในเผ่า ในภาพจะเห็นได้ว่าสมาชิกเผ่าหลิวสวรรค์ยังคงหยอกล้อกันสนุกสนาน ไม่รู้ตัวเลยว่าภยันตรายกำลังคืบคลานเข้ามา
ตู้ม!
คล้อยตามเสียงสนั่น อันตรายปกคลุมลงมาอย่างเป็นทางการ บรรพจารย์อาวุโสหลายตนจากตระกูลเทียนออกโรง นำทัพยอดฝีมือตระกูลเทียนบุกเข้ามา!
รวมถึงยอดฝีมือตระกูลอื่น ๆ ที่อยู่ฝ่ายเดียวกับตระกูลเทียนต่างก็ปรากฏตัวในงานชุมนุมนั้นกันหมด
ยอดฝีมือจากหลายตระกูลผนึกกำลังบุกเข้ามา แม้ว่ารากฐานเผ่าหลิวสวรรค์จะไม่ธรรมดา แต่ก็ต้านทานไม่ไหว ที่สำคัญคือต้นหลิวไม่อยู่ เวลานั้น ต้นหลิวคือกำลังรบทรงพลังที่สุดแห่งเผ่าหลิวสวรรค์ เป็นที่พรั่นพรึงอย่างมาก
ไม่นานนัก ค่ายกลใหญ่พิทักษ์ตระกูลก็พังทลาย ตระกูลต่าง ๆ บุกเข้ามา สมาชิกเผ่าหลิวสวรรค์ล้มลงไปทีละตน ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม โลหิตหลั่งไหลเป็นสาย
หลังต้นหลิวได้เห็นภาพนี้ก็มีจิตสังหารพลุ่งพล่านออกมาไม่หยุด ก้อนหินเองก็เจ็บปวดใจอย่างยิ่งยวด ภาพเหตุการณ์ที่เห็นน่าเวทนาเหลือเกิน
“ข้าไม่อยากมีประสบการณ์เช่นนั้นแล้ว…”
ก้อนหินลอบถอนหายใจ เดิมมันอยากมีประสบการณ์ชาติก่อนเฉกเช่นต้นหลิว ทว่าหลังมันได้เห็นเรื่องราวนี้ ก็ไม่นึกอยากอีกต่อไป มันไม่ต้องการแบกรับความปวดร้าวอันหนักอึ้งเช่นนั้น
สมาชิกมากมายในเผ่าหลิวสวรรค์ถูกสังหาร มีเพียงส่วนน้อยที่หนีออกไปได้ ยังมีสมาชิกส่วนหนึ่งถูกจับ
บรรดาสมาชิกที่ถูกจับไปเป็นสมาชิกวัยเยาว์เสียส่วนใหญ่ ตระกูลเทียนจัดสรรปันส่วนสมาชิกวัยเยาว์เหล่านี้กับตระกูลอื่น ๆ และแยกย้ายกันพาตัวกลับไป
ตระกูลเทียนเป็นฝ่ายได้คัดเลือกสมาชิกวัยเยาว์เหล่านี้ก่อน จากนั้น ตระกูลอื่นถึงได้เลือกสมาชิกวัยเยาว์ต่อตระกูลเทียนพาตัวสมาชิกวัยเยาว์ไปมากที่สุด
แต่เดิมต้นหลิวไม่รู้ว่าเหตุใดตระกูลเทียนถึงต้องลงมือกับมัน ได้เห็นภาพนี้ มันก็เข้าใจขึ้นมา
ในอดีต เผ่าหลิวสวรรค์มิได้แข็งแกร่ง ไม่อาจเทียบชั้นกับกองกำลังของตระกูลเทียนและตระกูลอื่น ๆ ได้เลย ต่อมา หลังมันปรากฏตัว เผ่าหลิวสวรรค์ถึงแข็งแกร่งขึ้นนิดหน่อย ไม่เพียงแต่สั่งสมรากฐานไว้มหาศาล ทั้งยังยกฐานะขึ้นมาเทียบชั้นตระกูลเทียน
สมาชิกเผ่าหลิวสวรรค์ที่ถูกฆ่าโตเกินวัยผู้ใหญ่ไปแล้วเสียส่วนใหญ่ แทบไม่มีสมาชิกวัยเยาว์เลย ตระกูลเทียนหมายตาสมาชิกวัยเยาว์ของพวกมันเผ่าหลิวสวรรค์ ต้องการสั่งสอนจนได้มาซึ่งผลวิถี!
ต้องรู้ว่าในยุคสมัยนั้น มันโดดเด่นน่าทึ่งยิ่งนัก ไม่เพียงแต่เป็นที่หนึ่งในขอบเขตรุ่นเดียวกัน แล้วยังไล่ตามรุ่นอาวุโสกว่ามันได้ในไม่ช้า บรรลุผู้บงการ
มิหนำซ้ำ นี่มันไกลจากจุดสูงสุดที่มันไต่เต้าไปถึงได้มาก และมันยังก้าวหน้าได้มากกว่านี้อีก มีโอกาสทลายขีดจำกัดขอบเขตผู้บงการ บรรลุผู้เป็นนิรันดร์
ผู้เป็นนิรันดร์ ช่างเป็นขอบเขตที่แกร่งกล้ายิ่งนัก กาลเวลาไม่อาจทิ้งร่องรอย ไม่แตกไม่ดับ ทั้งชั้นเก้านี้ก็มีอยู่ไม่กี่ตนนับแต่ยุคประวัติศาสตร์
พลังอำนาจโดยรวมของตระกูลเทียนนั้นมิได้ดาษดื่น ติดอันดับต้น ๆ ในชั้นเก้าได้แน่นอน ทว่าแม้แต่ตระกูลเทียนซึ่งอยู่ในระดับนี้ยังมิเคยมีผู้เป็นนิรันดร์ถือกำเนิดขึ้นสักครา
มันโดดเด่นออกปานนั้น บางทีอาจเพราะเรื่องนี้ถึงถูกตระกูลเทียนเพ่งเล็ง หมายตาสมาชิกวัยเยาว์ในเผ่าเข้า
ภาพเหตุการณ์ดำเนินต่อเนื่อง ทุกอย่างราวกับถูกหยุดนิ่งไว้ หลังแต่ละตระกูลพาตัวสมาชิกวัยเยาว์ของเผ่าหลิวสวรรค์และปล้นสะดมสมบัติไปจนเกลี้ยงแล้ว ก็ไม่มีสุ้มเสียงใดที่นี่อีก
ต้นหลิวเร่งความเร็ว ปัดภาพเหตุการณ์ไปอย่างว่องไว ทว่าในกาลเวลายาวนานที่ผ่านไป สถานการณ์ของที่นี่ยังคงเป็นเช่นเดิม สิ่งเดียวที่เพิ่มมาคือฝุ่นอันหนาชั้น ปกคลุมที่นี่จนมิด
ด้วยการเร่งความเร็วไม่หยุดหย่อนของต้นหลิว ในที่สุดก็เริ่มมีภาพเหตุการณ์ที่แตกต่าง
สมาชิกเผ่าหลิวสวรรค์ที่หนีไปได้กลับมา!
ต้นหลิวรู้ดีว่า ช่วงเวลานี้คงเป็นช่วงที่มันมายังชั้นเก้าคราวก่อน
ร่างภาพฉายคุณชายปรากฏ บดขยี้ทุกสิ่ง สิ่งมีชีวิตในชั้นเก้าคงได้เห็นกันทั้งหมด สมาชิกเผ่าหลิวสวรรค์ที่หลบหนีอยู่ข้างนอกก็คงได้เห็นเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ สมาชิกเผ่าหลิวสวรรค์ถึงกลับมา หลังได้ประจักษ์ถึงความเก่งกาจของคุณชาย ผู้ใดเล่าจะกล้าจาบจ้วงเผ่าหลิวสวรรค์อีก
ครานั้น มันได้ยืนอยู่ข้างร่างภาพฉายของคุณชาย ที่ร่างภาพฉายคุณชายปรากฏก็เพื่อช่วยมัน
และความจริงก็เป็นเช่นนั้น
สมาชิกเผ่าหลิวสวรรค์หวนคืน กองกำลังนานัปการเข้ามาพะเน้าพะนอเอาใจ ช่วยเผ่าหลิวสวรรค์สร้างดินแดนขึ้นใหม่
คนตระกูลเทียนก็มาด้วย พวกเขานำตัวสมาชิกวัยเยาว์ของเผ่าหลิวสวรรค์ที่เคยพาไปกลับมา ทั้งยังนำสมบัติล้ำค่ามาให้อีกคณานับเพื่อเป็นการขอโทษสมาชิกเผ่าหลิวสวรรค์
บรรดากองกำลังที่อยู่ฝ่ายเดียวกับตระกูลเทียนก็เช่นกัน พาตัวสมาชิกวัยเยาว์เผ่าหลิวสวรรค์กลับมาส่งทั้งหมด ทั้งยังขอโทษเป็นการใหญ่ ยกสมบัติหายากให้อีกหลายชิ้น
หลังต้นหลิวได้เห็นสมาชิกวัยเยาว์เผ่าหลิวสวรรค์ที่ถูกส่งตัวกลับมาก็ยิ่งเดือดดาล
แน่นอนว่า ยามสมาชิกวัยเยาว์เผ่าหลิวสวรรค์ถูกส่งตัวกลับมามิได้อยู่ในวัยเยาว์อีกแล้ว ถึงอย่างไรก็ผ่านไปแล้วอย่างเนิ่นนาน
ทว่าเหล่าสมาชิกที่ถูกส่งตัวกลับมาอยู่ในสภาพย่ำแย่กันทั้งหมด สายตาหม่นหมองไร้ชีวิตชีวาราวกับซากศพเดินได้ มันประเมินความต่ำช้าเหี้ยมเกรียมของตระกูลเทียนและตระกูลอื่น ๆ ต่ำไป
สมาชิกเหล่านี้มิได้ผ่านการฝึกฝนปกติ ตระกูลเทียนและตระกูลอื่น ๆ ใช้วิธีการชั่วช้าอำมหิตกับสมาชิกเหล่านี้ ทำการทดลองกับสมาชิกเหล่านี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์อันดีที่สุด
สมาชิกมากมายตายตกไปแล้ว หลังฝึกฝนจนถึงระดับหนึ่งก็จะถูกชิงผลวิถีไป ถึงอย่างไรพวกตระกูลเทียนก็ยังนึกกลัวอยู่ดีว่า ภายหลังสมาชิกเหล่านี้จะไม่อยู่ในการควบคุม
ตระกูลเทียนและตระกูลอื่น ๆ คิดไว้แต่แรกว่าต้องการใช้สมาชิกเหล่านี้เป็น ‘เตาหลอม’ เพื่อเพิ่มพูนพลังของตน
จากคำกล่าวของสมาชิกเหล่านี้ ตระกูลเทียนและตระกูลอื่น ๆ ได้ผลยอดเยี่ยมจากการนี้ สมาชิกจำนวนหนึ่งโดดเด่นอย่างมาก บำเพ็ญได้แล้วซึ่งผลวิถีอันไม่ธรรมดา แต่ถูกตระกูลเทียน ‘เด็ด’ ไป ตาเฒ่าจำนวนหนึ่งในตระกูลเทียนคล้ายว่าก้าวสู่ขอบเขตที่สูงขึ้นได้แล้ว
“ช่าง…ไร้ความเป็นมนุษย์เสียจริง! ตัวเองทำมิได้ก็คิดหาทางเลว ๆ!”
ก้อนหินเห็นแล้วบันดาลโทสะ ด่ากราดไม่หยุด
แต่นี่ก็เป็นการสะท้อนให้เห็นทางอ้อมแล้วว่า สายเลือดของเผ่าหลิวสวรรค์ไม่ธรรมดา ให้กำเนิด ‘ผู้วิเศษ’ ได้จริง ๆ ที่ต้นหลิวโดดเด่นสุดยอดถึงเพียงนั้น สายเลือดก็มีส่วนอย่างมาก
ต้นหลิวมิได้เอ่ยวาจา ทว่าโทสะในใจลุกโชนอย่างบ้าคลั่ง มันข่มความโกรธเพื่อดูต่อ
ในช่วงเวลาหลังจากนั้น เผ่าหลิวสวรรค์เริ่มเป็นไปในทางที่ดี แต่ละตระกูลต่างหยิบยื่นไมตรีให้เผ่าหลิวสวรรค์ ช่วยเหลือเต็มกำลัง
ทว่าเกิดเรื่องขึ้นหลังจากนั้น
ตระกูลเทียน!
ตระกูลเทียนอีกแล้ว!
ตระกูลเทียนรุกรานเข้ามาอีกครั้ง ลงมือในเผ่าหลิวสวรรค์อย่างโหดร้าย ปล้นสะดมไปทุกอย่าง ทั้งยังลักพาตัวสมาชิกเผ่าหลิวสวรรค์ทั้งหมดไปด้วย
ระหว่างนี้ กองกำลังและเผ่าพันธุ์ที่เอาอกเอาใจเผ่าหลิวสวรรค์ก่อนหน้านี้มิได้ออกหน้าสักตน
“ตระกูลเทียนไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน!?”
เสียงของต้นหลิวเยียบเย็น ช่วงก่อนหน้านั้นตระกูลเทียนยังมิกล้าผลีผลามอันใด เดินทางมาขอโทษขอโพย แต่ต่อมา ตระกูลเทียนกลับปราศจากความกลัวเกรง ต้องเกิดเรื่องราวบางอย่างขึ้นระหว่างนั้นแน่
มันนึกไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในทุ่งร้างหมอกทึบ ที่นั่นเต็มไปด้วยความพิลึกพิลั่น สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ราวกับไม่นึกยำเกรงต่อมัน ถึงขั้นกล้าลงไม้ลงมือกับมัน
เรื่องนี้ส่งสัญญาณบางอย่างได้แน่นอน สิ่งมีชีวิตในทุ่งร้างหมอกทึบรวมถึงตระกูลเทียน ไม่กลัวว่ามันจะมาล้างแค้นเลยสักนิด
“ผู้ใดหนุนหลังพวกเขาอยู่!?”
มันเอ่ยเสียงเย็น เหตุการณ์ผิดปกติเช่นนี้ย่อมมีตัวการ คงมีพลังบางอย่างปรากฏในชั้นเก้า มอบความมั่นใจให้สมาชิกในทุ่งร้างหมอกทึบและตระกูลเทียน มิฉะนั้น สิ่งมีชีวิตในทุ่งร้างหมอกทึบและตระกูลเทียนย่อมมิกล้าทำเช่นนี้
“ไยต้องสนว่าผู้ใดกำลังหนุนหลังด้วย!”
ก้อนหินเอ่ยเสียงเหี้ยมเกรียม “พี่หลิววางใจเถิด ข้าจะทุบไอ้พวกสารเลวนั่นให้ตาย!”
มันเองก็เดือดดาลเหลือแสน ก่อนนี้มันถูกบีบบังคับให้ลงมือ ทว่าหนนี้ไม่เหมือนกัน มันเป็นฝ่ายอยากลงมือด้วยตนเอง อยากฆ่าพวกสามานย์ตระกูลเทียนให้สิ้นซาก!
“ไปกันเถิด”
จิตสังหารต้นหลิวพลุ่งพล่าน คราวนี้ มันกลับมาแล้ว และตระกูลเทียนต้องได้รับผลกรรมทั้งหมด!
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
เวลานั้นเอง เสียงระเบิดดั่งสนั่นออกจากห้วงมิติ สิ่งมีชีวิตยอดฝีมือนับคณาบุกออกมาฉับพลัน
พลังปราณของพวกเขาสยองน่าครั่นคร้าม ส่วนใหญ่แล้วเป็นสิ่งมีชีวิตขอบเขตลอยชายขั้นเก้า ซ้ำยังมีสิ่งมีชีวิตขอบเขตผู้บงการอีกด้วย
“กล้าดีอย่างไรเจ้าพวกสุนัข!”
ก้อนหินบุกเขาไป ส่องแสงเจิดจ้าทะยานฟ้า มันจำแลงเป็นร่างมนุษย์ มือกำเป็นหมัด ดุดันแข็งแกร่งไร้ใดเปรียบ อาวุธและของวิเศษที่สิ่งมีชีวิตยอดฝีมือเหล่านี้เรียกออกมาถูกมันทำลายพินาศ แตกเป็นเสี่ยง ๆ ในพริบตาเดียว!
พรวด! พรวด! พรวด!
เลือดสาดกระเซ็น ก้อนหินนั้นไร้เทียมทาน มันอาบกายอยู่ท่ามกลางโลหิต ใช้ทั้งมือทั้งเท้า หมัดหนึ่งต่อยสิ่งมีชีวิตกระเด็นออกไปหลายตน เท้าหนึ่งเตะยอดฝีมือแหลกลาญไปอีกนับคณา!
“มีพิรุธจริง ๆ ด้วย!”
ต้นหลิวยิ้มเย็น เห็นได้ชัดว่ายอดฝีมือเหล่านี้พุ่งเป้ามาที่มัน เจ้าพวกนี้ได้รับคำสั่งบางอย่างหรือไร
ตามคาด จิตเดียวของมันสืบเข้าไปถึงส่วนลึกวิญญาณของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ได้รู้ว่ายอดฝีมือเหล่านี้มาเพื่อจัดการพวกมันโดยเฉพาะจริง ๆ
สิ่งมีชีวิตในทุ่งร้างหมอกทึบส่งข่าวเรื่องพวกมันออกไป แต่ละตระกูลรีบระดมพลแล้วบุกมาที่นี่
และในชั้นเก้าแห่งนี้มีพลังสยดสยองบางอย่างโผล่ออกมาจริง ๆ แต่ละตระกูลล้วนถูกพลังสยดสยองนี้ควบคุมไว้ รวมถึงสิ่งมีชีวิตในทุ่งร้างหมอกทึบก็เช่นกัน
เพียงแต่ยอดฝีมือเหล่านี้มีฐานะต้อยต่ำ ไม่รู้ว่าพลังสยดสยองนั้นคือสิ่งใด
“ไปตระกูลเทียน!”
ต้นหลิวและก้อนหินไปจากที่นี่ มุ่งหน้าไปยังตระกูลเทียน
ตระกูลเทียนเหมือนเป็น ‘ร่างจำแลง’ ของพลังสยดสยองนั่น เพราะตระกูลเทียนเป็นผู้ออกคำสั่งทั้งหมด
หลังไปถึงตระกูลเทียน พวกมันจะได้รู้ว่าพลังสยดสยองนั่นคือสิ่งใดกันแน่
พริบตาเดียว ต้นหลิวและก้อนหินก็มาถึงดินแดนตระกูลเทียน
ที่นี่มีต้นไม้ขึ้นอยู่เขียวขจี น้ำตาไหลหลาก หมอกขาวเลือนรางปกคลุมอยู่ท่ามกลางขุนเขาพงไพร ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยความสงบ สิ่งปลูกสร้างสูงใหญ่โอ่อ่าของตระกูลเทียนตั้งอยู่ในทัศนียภาพนี้ ดูน่าอภิรมย์ยิ่งนัก
ทว่าความเงียบสงบนี้ต้องถูกทำลายลงในอีกไม่ช้า เสียงระเบิดดังติดต่อกันในห้วงมิติ พลังปราณสยดสยองคืบคลาน สิ่งมีชีวิตผู้ฝึกตนจำนวนมากมายังที่นี่
สัตว์อสูรพุ่งทะยานออกมาตัวหนึ่ง มันคือพยัคฆ์ขาว ขนทั้งตัวขาวผ่องดุจหิมะ ดวงตาสองข้างมีเปลวไฟลุกโชน ร่างเสือของมันมหึมายิ่งกว่าภูผา
มันคือบรรพจารย์ กำลังรบอันเป็นเพดานสูงสุดของชั้นเก้า ทลายม่านกั้นขอบเขตผู้บงการ เป็นหนึ่งในกำลังรบระดับนิรันดร์จำนวนน้อยนั่น
ข้างกายมันมีปักษามหึมา ขนสีแดงฉานจัดจ้านอยู่ตนหนึ่ง นี่คือนกฉงหมิง เป็นกำลังรบระดับนิรันดร์ตนหนึ่งเช่นกัน
ยังมีสัตว์อสูรอีกตัวที่บรรลุขอบเขตนิรันดร์ด้วย นั่นคือมังกรฟ้าห้ากรงเล็บ เกล็ดมังกรส่องแสงสีทองอร่าม เจิดจ้าแยงตา
ผู้เฒ่าผมขาวตัวงอผู้หนึ่งที่ผอมจนหนังติดกระดูกสวมอาภรณ์นักพรตขาดรุ่งริ่งคือ ผู้เป็นนิรันดร์เช่นเดียวกัน เขามาจากวังสวรรค์เร้นเมฆา มีนามว่าบรรพจารย์โม่
สตรีเฉิดฉันนางหนึ่งยิ้มบาง ดวงหน้าสะคราญเมือง ท่วงท่าสง่างาม นางมาจากตระกูลอวิ๋น อยู่ในขอบเขตนิรันดร์แล้วเช่นกัน เป็นสตรีนางเดียวในบรรดาผู้เป็นนิรันดร์
แล้วยังมีบุรุษกำยำผู้หนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราอันแสดงถึงความดิบเถื่อน กล้ามเนื้อปูดโปน ตัวเป็นสีน้ำผึ้ง เขาคือผู้เป็นนิรันดร์ตนหนึ่งเช่นกัน ผู้คนมอบฉายาให้เขาว่า…บรรพจารย์เถื่อน อารมณ์ร้อน นิสัยผลีผลาม
และข้างกายเขามีชายวัยกลางคนท่าทางสุภาพผู้หนึ่งยืนอยู่ด้วย สะท้อนถึงความตรงกันข้ามกับบุรุษกำยำอย่างชัดเจน เขามีขลุ่ยหยกเล่มหนึ่งในมือ ใบหน้าเปื้อนยิ้มอ่อนโยน
เขาเองก็คือผู้เป็นนิรันดร์เช่นกัน ชื่นชอบการเป่าขลุ่ย ตั้งสมญานามให้ตนว่าบรรพจารย์ขลุ่ย
เบื้องหลังบรรดาผู้เป็นนิรันดร์มีกำลังรบระดับผู้บงการอยู่จำนวนมาก พวกเขายืนอยู่ในดินแดนตระกูลเทียน ประจันหน้ากับต้นหลิวและก้อนหิน
“น่าสนใจ ๆ มากันหมดเลยหรือ…”
ต้นหลิวหัวเราะพลางกล่าว “นับแต่โบราณกาล ชั้นเก้ามีผู้เป็นนิรันดร์ถือกำเนิดขึ้นทั้งหมดเจ็ดตน บัดนี้อยู่ที่นี่กันหมด ทุกท่านให้เกียรติข้ายิ่งนัก”
มันกล่าวต่อ “ยังมีระดับผู้บงการอย่างพวกเจ้าที่มาอยู่กันพร้อมหน้าอีก ขบวนทัพครบครันเช่นนี้ กำลังรบระดับผู้เป็นนิรันดร์และผู้บงการรวมตัวกันอย่างนี้ คงเป็นครั้งแรกในประวัติการณ์กระมัง ข้าตกใจในน้ำใจนี้ยิ่ง!”
“เจ้าพูดผิดแล้ว!”
เวลานั้นเอง ร่างสยดสยองอีกมากมายเหินออกจากตระกูลเทียน ล้วนแล้วคือผู้เป็นนิรันดร์ พลังปราณนิรันดร์อันล้ำเลิศน่าพรั่นพรึงแผ่ซ่านออกมา ยืนอยู่แนวเดียวกับผู้เป็นนิรันดร์ตนอื่น
“เจ้ายังมิได้นับรวมผู้เป็นนิรันดร์ในตระกูลเทียนของเราเข้าไปด้วย!”
ผู้นำตระกูลเทียนกล่าว เขาเองก็คือผู้เป็นนิรันดร์ตนหนึ่งเช่นกัน
หกตน!
ตระกูลเทียนมีผู้เป็นนิรันดร์ถึงหกคน!
น่าตกใจยิ่งนัก!
กำลังรบระดับผู้บงการและผู้เป็นนิรันดร์ออกโรงพร้อมเพรียง ชุมนุม ณ ที่เดียวกัน ความยิ่งใหญ่นี้ดึงดูดสายตาของสิ่งมีชีวิตทุกตนในชั้นเก้า
หลังพวกเขาเห็นตระกูลเทียนมีผู้เป็นนิรันดร์ก้าวออกมาถึงหกคน ก็สะท้านใจเป็นหนักหนา มิน่า ช่วงนี้ตระกูลเทียนถึงรุ่งโรจน์ขึ้นปานนั้น มิมีกองกำลังยอดฝีมือตนใดไม่ก้มหัวให้ตระกูลเทียน
ตระกูลเดียวมีผู้เป็นนิรันดร์ถึงหกคน ผู้ใดเล่าจะกล้าไม่ก้มหัว
ผู้ใดเล่าจะกล้าไม่เชื่อฟังคำสั่งของตระกูลเทียน!
“พวกเจ้าถือเป็นผู้เป็นนิรันดร์ด้วยหรือ พวกเจ้าแต่ละคน มีผู้ใดฝึกฝนจนบรรลุขึ้นไปด้วยตนเองบ้าง หวังพึ่งความเมตตาจากพลังมืดมิดเช่นนั้นเพื่อก้าวสู่ขอบเขตนิรันดร์ พวกเจ้าไม่คู่ควรจะเรียกขานตนว่าผู้เป็นนิรันดร์เลย”
ต้นหลิวยิ้มเย็น มองปราดเดียวก็เห็นเบื้องหลังของบรรดาผู้เป็นนิรันดร์แห่งตระกูลเทียน และได้รับรู้ว่าพลังนั้นเป็นสิ่งใดกันแน่
ในกายของผู้เป็นนิรันดร์ตระกูลเทียนเหล่านั้นมีพลังมืดมิดไหลเวียนอยู่ เห็นได้ชัดว่าตระกูลเทียนเข้าเป็นพรรคพวกของพลังมืดมิด ยืมพลังมืดมิดจนได้บรรลุผู้เป็นนิรันดร์
มีพลังมืดมิดจุติลงมายังที่นี้อีกแล้วหรือ
ต้นหลิวคิดในใจ ไม่ได้แปลกใจกับพลังมืดมิดนั้น บนกระโปรงสีขาวแห่งความตายที่จู่ ๆ ก็บุกออกมาคราวก่อนนั้นเต็มไปด้วยพลังมืดมิดเช่นนี้
คราวก่อน กระโปรงสีขาวแห่งความตายถูกภาพฉายของคุณชายทำลายจนราบคาบแล้ว แล้วตอนนี้มีพลังมืดมิดจุติลงมาอีกครั้ง หรือกระโปรงสีขาวแห่งความตายตัวจริงมาที่นี่?
มันรู้ว่ากระโปรงสีขาวแห่งความตายที่คุณชายทำลายคราวก่อนเป็นเพียงภาพฉาย มิใช่กระโปรงสีขาวแห่งความตายจริง ๆ
“เจ้าเยาะเย้ยพวกเราหรือ?”
ผู้นำตระกูลเทียนหัวเราะ เอ่ยเสียงดูแคลน “ข้ามองว่านี่คือความอิจฉาของเจ้า!”
ใช่แล้ว
พวกเขาโผเข้าสู่อ้อมกอดของพลังมืดมิดจริง ๆ
ครานั้น หลังภาพฉายของหลี่จิ่วเต้าสำแดงความไร้เทียมทานออกมา ผู้นำตระกูลเทียนก็ตกตะลึงอย่างมาก ต้นหลิวได้ติดตามข้างกายคนระดับนี้ หากย้อนกลับมาคิดบัญชีกับตระกูลเทียนของพวกเขาจริง ๆ ตระกูลเทียนของพวกเขาไฉนเลยจะต้านอยู่
นึกถึงสิ่งที่ตระกูลเทียนของพวกเขาเคยลงมือกับเผ่าหลิวสวรรค์ ต้นหลิวไม่มีทางปล่อยพวกเขาไปแน่
เพราะอย่างนั้น ต่อมา ผู้นำตระกูลเทียนเข้าไปยังสถานที่หนึ่งของส่วนลึก ขอเข้าพบกระโปรงสีขาวแห่งความตายตัวนั้น
ครานั้น เขาไม่แน่ใจเท่าใดว่ากระโปรงสีขาวแห่งความตายจะยังอยู่ที่ส่วนลึกหรือไม่ ถึงอย่างไร พวกเขาเห็นเพียงกระโปรงสีขาวแห่งความตายตัวนั้นเข้าไปยังส่วนลึก แต่ไม่รู้เรื่องอื่น ๆ เลย
ก่อนเข้าไป ได้กำชับคนในตระกูลให้ไปขอโทษเผ่าหลิวสวรรค์ เช่นนี้ หากพวกเขาไม่ได้รับความคุ้มครองจากกระโปรงสีขาวแห่งความตาย ก็อาจพอมีทางรอดอยู่บ้าง
ทว่าตระกูลเทียนของพวกเขายังไม่ถึงคราวชะตาขาด กระโปรงสีขาวแห่งความตายตัวนั้นยังคงอยู่ในส่วนลึก และเขาได้พบกระโปรงสีขาวแห่งความตายตัวนั้น ทั้งยังได้อยู่ใต้บัญชาอีกด้วย
ภายใต้การเกื้อกูลจากระโปรงสีขาวแห่งความตาย ตระกูลเขาบรรลุขอบเขตนิรันดร์ถึงหกคนด้วยกัน ทั้งยังมีสมาชิกอีกมากมายบรรลุขอบเขตผู้บงการ
ส่งผลให้ตระกูลเทียนของพวกเขาทรงพลังในระดับที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!
นอกจากนี้ กระโปรงสีขาวแห่งความตายยังเอ่ยอีกว่าไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวหลี่จิ่วเต้า ตัวแปรผิดแผกอย่างหลี่จิ่วเต้าต้องถูกกำจัดในที่สุด ความมืดมิดจะกลืนกินแสงสว่างทั้งหมดในตอนสุดท้าย
พวกเขาจึงบุกเข้าไปในเผ่าหลิวสวรรค์ พาตัวสมาชิกเผ่าหลิวสวรรค์มาทั้งหมด
ด้านทุ่งร้างหมอกทึบก็เป็นคำสั่งจากเขา เวลานี้ ชั้นเก้าทั้งชั้นอยู่ในการควบคุมของกระโปรงสีขาวแห่งความตาย บรรดาสิ่งมีชีวิตในทุ่งร้างหมอกทึบที่ถูกร่างภาพฉายของหลี่จิ่วเต้าสังหารก็ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ด้วยความช่วยเหลือจากกระโปรงสีขาวแห่งความตาย
“มีสิ่งใดต้องอิจฉา เจ้าพวกหนอนสกปรกที่อยู่ใต้ปีกความมืดมิด รังแต่จะน่าขยะแขยง!”
ก้อนหินถ่มน้ำลาย เปี่ยมไปด้วยท่าทีดูแคลน
“เจ้าหินเก่งแต่ปาก โอหังไปมีแต่จะยิ่งทำให้เจ้าต้องอนาถยิ่งขึ้น!”
ผู้นำตระกูลเทียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็น “วันนี้ ต่อให้พวกเจ้ามีท่านผู้นั้นคอยคุ้มครองก็เท่านั้น ต้องตายอยู่ที่นี่ทั้งหมด!”
จากนั้น เขาตวาดเสียงเย็น “จับตัวพวกเขาไว้!”
ยอดฝีมือตระกูลเทียนขานรับ ทำท่าจะบุกออกไปทันที แต่กลับถูกผู้นำตระกูลเทียนยั้งไว้เสียก่อน
“พวกเจ้าลงมือก็พอ”
ผู้นำตระกูลเทียนปรายตามองยอดฝีมือจากกองกำลังอื่นนิ่ง
เจ้าเล่ห์นัก!
คนอะไรนี่!
ไม่อยากให้คนตระกูลตัวเองเสี่ยงชีวิตจึงสั่งให้พวกเขาไปอย่างนั้นหรือ ยอดฝีมือจากตระกูลอื่น ๆ ต่างไม่พอใจอย่างยิ่ง ขุ่นเคืองในตัวผู้นำตระกูลเทียนตั้งไม่รู้เท่าไหร่
ทว่าพวกเขามิกล้าเอ่ยอันใดไปมากกว่านั้น
ช่วยไม่ได้ ผู้ใดใช้ให้ตระกูลเทียน ‘สนิท’ กับพลังนั้นที่สุดเล่า!
พวกเขาไม่อยากเชื่อฟังก็ต้องฟัง
จากนั้น พวกเขาออกโรงพร้อมเพรียง บุกสังหารต้นหลิวและก้อนหิน!
นอกจากตระกูลเทียน กำลังรบระดับผู้บงการของกองกำลังอื่น ๆ ก็บุกออกไปถ้วนหน้า บรรดาผู้เป็นนิรันดร์มิได้เคลื่อนไหว มองดูอยู่เงียบ ๆ
“ข้าจะกวาดล้างเอง!”
ก้อนหินชักดาบหินออกมาเล่มหนึ่ง ตวัดออกไป
มันจำแลงเป็นร่างมนุษย์แล้ว จึงทึกทักเอาเองว่าหล่อเหลาเอาการ ทว่าแท้จริงแล้วไม่เท่าไหร่เลย ดวงหน้ารูปลักษณ์ออกจะ…หยาบกร้านไปหน่อย ทรวดทรงก็บิด ๆ เบี้ยว ๆ
ทว่ามันนั้นดุดันอย่างแท้จริง หลังบุกไปถึง ประหนึ่งหมาป่าที่บุกเข้าไปในฝูงหมาป่า หนึ่งดาบสังหารได้หนึ่งตน ไม่มีผู้ใดขวางทางมันได้เลย
สายตาผู้เป็นนิรันดร์เหล่านั้นต่างทอประกายประหลาด คิดไม่ถึงนิดหน่อย กำลังรบระดับผู้บงการบุกเข้าไปนับร้อย สุดท้ายกลับไม่เป็นผลอันใด มิใช่คู่มือของก้อนหินเลย
โฮก!
บรรพจารย์พยัคฆ์คำราม ออกโรงด้วยตนเอง หวังให้กำลังรบระดับผู้บงการเหล่านั้นเอาชนะต้นหลิวและก้อนหินคงเป็นไปมิได้ ผู้นิรันดร์อย่างพวกเขาจำต้องเคลื่อนไหวแล้ว
มันแหงนหน้าคำรามเสียงยาว คลื่นสีทองซัดสาด เล็งเป้าไปที่ก้อนหินในพริบตา คลื่นเสียงนั้นแฝงไว้ด้วยพลังน่าครั่นคร้าม โถมทับเข้าไปถึงก้อนหิน
ทว่าลมหายใจต่อมามันก็ต้องอึ้ง ก้อนหินหายไป!
เวลานั้นเอง จู่ ๆ มันก็รู้สึกเย็นวาบที่คอ ก้อนหินมาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังของมัน!
“เจ้าแมวใหญ่โหวกเหวกอะไร!”
ก้อนหินฟันดาบลงไป ตัดศีรษะบรรพจารย์พยัคฆ์ลงมาดังพรวด
ผู้เป็นนิรันดร์ตนอื่นต่างตื่นตกใจกันหมด ก้อนหินผู้นี้แข็งแกร่งจนผิดปกติจริง ๆ อย่างวิชาหายตัวของก้อนหินเมื่อครู่เป็นที่น่าทึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
พวกเขาสูญเสียรอยสัมผัสทั้งหมดของก้อนหิน!
เป็นไปได้อย่างไรกัน?
แข็งแกร่งดุจพวกเขาไฉนเลยจะสูญเสียรอยสัมผัสไปเช่นนี้
ก้อนหินไม่ธรรมดา ต่อกรด้วยยากยิ่ง!
ฟิ้ว!
นกฉงหมิงบินเข้ามา อ้าปากพ่นไฟ ส่งผลให้สถานที่นี้อุณหภูมิสูงขึ้นในพริบตา พสุธาหลอมละลายอย่างรวดเร็ว!
ครืนคราน!
มังกรฟ้าห้าขาบุกเข้ามาด้วย ฟ้าแลบแปลบปลาบไม่หยุด มันบังคับอสนีบาตของตนให้ถล่มใส่ก้อนหิน
ม่านหมอกหลั่งไหลเข้ามา ปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดไว้ในอึดใจเดียว บรรพจารย์โม่แห่งวังสวรรค์เร้นเมฆาลงมือ ร่างโก่งโค้งของเขาหายลับเข้าไปในหมอกอย่างเงียบเชียบ ไม่เหลือร่องรอย
สตรีผู้เป็นนิรันดร์แห่งตระกูลอวิ๋นเรียกกระดิ่งทองแดงออกมาลูกหนึ่งพลางเขย่าเป็นเสียงกังวานใส สะกดจิตใจ โจมตีเข้าไปถึงวิญญาณ
บรรพจารย์เถื่อนผู้นั้นคำรามเสียงต่ำ ร่างทั้งร่างขยายใหญ่ในพริบตาจนแทบเทียบเท่าผืนนภา เข้าจู่โจมใส่ก้อนหินอย่างดุดัน
บรรพจารย์ขลุ่ยสุภาพสง่า ยกมือจ่อขลุ่ยขึ้นปาก ก่อนจะบรรเลงทำนอง
ชั่วขณะนั้น กำลังรบผู้เป็นนิรันดร์อื่น ๆ ต่างระเบิดพลังออกมา
“น่ารำคาญจริง!”
ประเดี๋ยวเสียงกระดิ่ง ประเดี๋ยวเสียงขลุ่ย ก้อนหินหงุดหงิดใจนักหนา ถูกรบกวนไม่น้อย
มันฝ่าออกจากเปลวเพลิง ตัดอสนีบาตที่ถล่มลงมาในดาบเดียว แล้วเข้ารับการโจมตีจากผู้เฒ่าที่บุกออกมาจากม่านหมอกกะทันหัน
“มาสู้กันจริงจังสักตั้งได้หรือไม่ ไยต้องใช้ลูกไม้เช่นนี้ด้วย ทั้งสั่นกระดิ่ง ทั้งเป่าขลุ่ย พวกเจ้าคิดว่านี่เป็นการประลองเครื่องดนตรีหรืออย่างไร!?”
ก้อนหินสบถก่นด่า “หากพวกเจ้ายังจะทำเช่นนี้อยู่ อย่าหาว่าข้าไม่เตือน!”
จากนั้น ดาบใหญ่ในมือมันเปล่งแสงจรัส กลายเป็นปี่สั่วน่า
“ผีผากู่เจิงล้วนหัดได้ยาก ทว่าเมื่อปี่สั่วน่าออกโรง ไม่มีผู้ใดกลบรัศมีได้!”
มันตะโกนลั่น “เครื่องดนตรีนับร้อย ต่างยกให้ปี่สั่วน่าเป็นราชัน! ข้าจะเป่าลำนำส่งวิญญาณให้พวกเจ้าฟัง ให้พวกเจ้าไม่รู้สึกเหงาระหว่างทางไปสู่โลกหลังความตาย! เด็ก ๆ นำโลงศพเข้ามา!”
คุณชายเคยเป่าปี่สั่วน่ามาก่อน เด็ก ๆ อย่างพวกอ้ายฉานต่างสนอกสนใจในสั่วน่ามาก คุณชายก็เคยอธิบายความรู้เกี่ยวกับสั่วน่าให้พวกอ้ายฉานฟัง
ครานั้น มันอยู่ข้าง ๆ จึงเป่าปี่สั่วน่าเป็นไปด้วย!
ฟังจบแล้วถ้าใครอยากสนับสนุนช่องโดเนท ให้ช่องของเราเดินหน้าต่อได้เร็วขึ้น หรืออยากขอนิยาย
ช่องทางสนับสนุนช่องอยู่ใต้ลิงค์คลิปชั่นนะครับ