781-785

   ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่นิยายระบบ ก่อนที่จะรับฟังช่วยกดไลค์และกด subscribe เป็นกำลังใจด้วยนะครับ

นิยายเสียง อยู่ดีดีข้าก็เป็นเซียน

บทที่ 776ถึง 780

สีหน้าของซีเย็นชา มิได้สนใจเทียนหมิง นางไม่มีทางยอมร่วมมือกับเทียนหมิง และยิ่งไม่มีทางปล่อยเทียนหมิงไปง่าย ๆ



นางก้าวไปหาเทียนลู่ มือหนึ่งยื่นไปจับทวนยาวที่ตรึงเทียนลู่ ทวนยาวเล่มนั้นเปล่งแสงเจิดจ้า คลื่นพลังน่ากลัวไหลเวียนคล้ายว่าต้องการจู่โจมซี



ตู้ม!



เสียงอสนีบาตดั่งสนั่นหวั่นไหวอยู่บนนภาอีกครั้ง พลังที่หลั่งไหลออกจากทวนยาวพลันหดกลับไปทั้งหมด ราวกับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว



มือข้างหนึ่งของซีวางลงบนทวนยาว ก่อนจะดึงออกมาโดยไม่เปลืองแรง



เมื่อเต่าชราได้เห็นภาพนี้ก็นึกขัน มันเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ทวนยาวเล่มนี้รู้จักกลัวด้วยหรือ จริงของมัน ไม่กลัวอย่างไรไหว หากบังอาจโจมตีออกมาจริง ๆ มันจะต้องตกที่นั่งเดียวกับระฆังใหญ่ แตกเป็นเสี่ยง ๆ ในบัดดล”



ซีโยนทวนยาวไปไว้ด้านหนึ่ง หันมองเทียนลู่พลางกล่าว “ข้าไม่ฆ่าเจ้า และไม่คิดเป็นศัตรูกับตระกูลเทียนของเจ้า เจ้าเข้าใจหรือไม่”



นี่คือเหตุผลที่นางช่วยเทียนลู่ไว้



ด้านหนึ่ง เพราะนางไม่ชอบเทียนหมิง ไม่อยากให้เทียนหมิงผู้โหดเหี้ยมอำมหิตสังหารพี่ชายสำเร็จ



อีกด้าน นางอยากลำบากเพียงครั้งเดียว ไม่ต้องการให้คนตระกูลเทียนมาก่อกวนนางอยู่เป็นนิตย์



“ข้าเข้าใจ!”



เทียนลู่พยักหน้าหงึกหงัก “ข้าขออภัยกับการกระทำของข้าก่อนหน้านี้ด้วย และข้าขอรับรอง จากนี้ไป มิมีตระกูลเทียนคนใดมาหาเรื่องเจ้าอีก!”



“ดี”



ซีและเต่าชรากลับเข้าไปในลานเต๋า ไม่สนใจเรื่องราวหลังจากนี้



เทียนหมิงและผู้อาวุโสเซินต่างบาดเจ็บสาหัส สูญเสียกำลังต่อสู้ ต่อจากนี้ ให้เป็นหน้าที่ของเทียนลู่ก็พอ เทียนลู่ย่อมไม่ปล่อยพวกเทียนหมิงไปง่าย ๆ แน่



ตามคาด เทียนลู่ระเบิดกายเนื้อเทียนหมิง เก็บวิญญาณเทียนหมิงและผู้อาวุโสเซินไป หมายจะพากลับไปรับโทษที่ตระกูล



เทียนหมิงและผู้อาวุโสเซินกระทำการอุกฉกรรจ์เช่นนี้ จุดจบที่รอคอยพวกเขาอยู่ย่อมมิสู้ดี ต่อให้พวกเขาไม่ตาย อนาคตก็คงต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความเจ็บปวด



...



กาลเวลาเวียนผ่าน ผลัดเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็ล่วงเลยไปแล้วปีกว่า



พวกหลี่จิ่วเต้าไปจนทั่วดินแดนฝอแล้ว บัดนี้กำลังเตรียมตัวกลับ



เขาผิดหวังในใจมาก แม้จะเตรียมใจไว้แต่แรกแล้ว แต่สุดท้ายแล้วก็ยังอดสลดมิได้ เขาไม่พบซี



เขาไปมาแล้วทุกระเบียดนิ้วของอาณาจักรนี้ ไม่ตกหล่นแม้แต่ที่เดียว กระนั้นยังไม่พบตัวซี เป็นเช่นที่เขาคิดไว้ก่อนหน้า ซีอาจไปจากอาณาจักรนี้ รุดหน้าไปยังอาณาจักรอื่น ๆ ข้างนอกนั่นแล้ว



“ซีต้องกลับมาหาข้า”



ดวงตาของเขาเปล่งประกาย มีความเชื่อมั่นเด็ดเดี่ยว เขาลืมซีไม่ได้ ซีย่อมลืมเขาไม่ได้เช่นกัน



และในหนึ่งปีมานี้ พวกลั่วสุ่ยต่างพัฒนาขึ้นอีกหลายขุม ขอบเขตพลังเกินกว่าตัวตนในอดีตจะเทียบได้



ลั่วสุ่ยกลายเป็นบรรพจารย์เต๋าโกลาหล หลิงอินก็มาถึงขอบเขตโกลาหลขั้นเก้าตอนปลาย และก้าวเข้าไปถึงขอบเขตบรรพจารย์เต๋าโกลาหลได้ครึ่งก้าว กลายเป็นว่าที่บรรพจารย์เต๋าโกลาหลแล้ว



เซี่ยเหยียนเองก็บรรลุสู่ขอบเขตโกลาหลขั้นเก้าแล้ว



ส่วนสุนัขดำอยู่ที่ขอบเขตลอยชายขั้นสอง



ส่วนพวกต้าเต๋ออยู่ที่ราว ๆ ขอบเขตโกลาหลขั้นสาม เสี่ยวหยาและพี่ชายของนางก็ก้าวสู่ขอบเขตโกลาหลแล้วเช่นกัน



อันหลานเสวี่ยในเวลานี้เป็นจักรพรรดิเซียนตนหนึ่ง ฉินหวานเฟิงก็ได้เป็นจ้าวแห่งเซียนแล้ว



สัตว์อสูรทั้งเก้าผู้ลากรถก็พลิกผันจากอดีตไปอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นอสูรจักรพรรดิเซียน



กิเลนไฟที่หลี่จิ่วเต้าขี่อยู่บ่อย ๆ ก็บรรลุขอบเขตโกลาหลขั้นเก้าแล้ว



จิ้งจอกน้อยสีแดงเพลิงและจิ้งจอกขาวเย็นชาบรรลุขั้นยอดเซียนกันแล้วทั้งคู่



“คุณชายกินข้ามานานขนาดนี้ ช่วยยกระดับขอบเขตของข้าบ้างได้หรือไม่!”



ปลาหมึกอิจฉาเป็นที่สุด นึกไปว่าเมื่อใดมันจะได้เป็นเฉกเช่นพวกลั่วสุ่ย ได้บรรลุขอบเขตบ้าง



ระหว่างทางกลับ ก้อนหินตื่นเต้นเป็นพิเศษ มันติดต่อหินห้าสีและยอดศาสตราอื่น ๆ ไว้แล้ว อีกทั้งสุนัขดำ กิเลนไฟที่พร้อมช่วยเขาต่อกรกับต้นหลิว ให้มันได้เป็นพี่ใหญ่!



มันไม่เคยลืมเลือนเรื่องนี้ คิดอยากกำราบต้นหลิวอยู่ตลอด แม้ว่าต้นหลิวนั้นแข็งแกร่งกว่ามันมาก ทว่านั่นก็เป็นอดีตไปแล้ว



ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มันแข็งแกร่งขึ้นมหาศาล หากมันในตอนนี้ได้ไปยังป่าหมอกทึบ มันสามารถเอาชนะสิ่งมีชีวิตทุกตนที่นั่น



มันมั่นใจว่าเป็นพี่ใหญ่ได้!



อีกอย่าง ระยะนี้ มันกระชับมิตรกับหินห้าสี และยอดศาสตราชิ้นอื่นเรื่อยมา หินห้าสีและยอดศาสตราชิ้นอื่นต่างแสดงเจตจำนงว่าพร้อมช่วยเหลือมันอย่างถึงที่สุด ยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้มันเข้าไปใหญ่



ลั่วสุ่ยเห็นการกระทำของก้อนหินที่ดึงหินห้าสีและยอดศาสตราอื่น ๆ สุนัขดำ กิเลนไฟเข้าเป็นพวก นางอยากจะหัวเราะยิ่งนัก



หินห้าสีและยอดศาสตราอื่น ๆ สุนัขดำ กิเลนไฟถูกผลักเข้ากองไฟชัด ๆ!



แม้ว่าช่วงที่ผ่านมา นางเห็นว่าก้อนหินแข็งแกร่งขึ้นแล้วหลายเท่า แต่ในใจของนาง ต้นหลิวคือผู้ใต้บัญชาคุณชายที่แข็งแกร่งที่สุด!



ตามหลักแล้ว ต้นหลิวมิได้อยู่ข้างกายคุณชาย คงไม่แข็งแกร่งไปกว่าก้อนหิน แต่นางกลับรู้สึกว่าก้อนหินมิอาจสู้ต้นหลิว



นี่คงเพราะท่าทางไร้เทียมทานที่ต้นหลิวแสดงให้เห็นอยู่ตลอดกระมัง!



“วางใจเถิด ถึงครานั้นข้าจะออกลุยคนแรก เปิดฉากการต่อสู้ให้!”



สุนัขดำเอ่ย



“ได้!”



ก้อนหินคลี่ยิ้มกว้าง “ขอบคุณสหายที่ช่วย!”



“ระหว่างเราไม่ต้องเกรงใจกันปานนั้น!”



สุนัขดำหมอบอยู่ข้างกายก้อนหิน ช่วงที่ผ่านมามันสนิทกับก้อนหินจนไม่อาจสนิทไปกว่านี้ได้แล้ว



...



ภายในจักรวาลโกลาหลอึมครึมเยียบเย็นแห่งหนึ่ง



ผืนดินสีเทาผืนหนึ่งลอยอยู่เงียบเชียบ โลหิตผุดออกมาไม่หยุดหย่อน สสารพิศวงลางร้ายมีให้เห็นอยู่ทั่วไป เข้มข้นจนเห็นได้ด้วยตาเปล่า



ที่นี่คือแดนกำเนิดความพิศวงลางร้ายที่แท้จริง มิใช่กองกำลังย่อย



ตอนนี้ ต้นบรรพจารย์ทุกตนที่นี่ทยอยตื่นขึ้นกันหมด พวกมันต่างมีร่างกายมหึมา ขนยาวพิศวงปกคลุมเต็มกาย ชุมนุมกันในสถานที่หนึ่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด



วันนี้เป็นช่วงเวลาที่พวกมันต้องเข้า ‘พิธีบรรพชา’!



พวกมันต้องเข้า ‘พิธีบรรพชา’ เป็นระยะ ความแข็งแกร่งของพวกมันล้วนเกี่ยวข้องกับ ‘พิธีบรรพชา’ นี้



เริ่มแรก พวกมันนั้นไร้น้ำยา มิได้แข็งแกร่งเลยสักนิด จนกระทั่งได้เข้า ‘พิธีบรรพชา’ พวกมันถึงสยดสยองน่าครั่นคร้าม กลายเป็นฝันร้ายของสิ่งมีชีวิตในจักรวาลโกลาหลทั้งปวง



พวกมันไม่รู้ว่า ‘พิธีบรรพชา’ นี้คือสิ่งใดกันแน่ รู้เพียง ‘พิธีบรรพชา’ นี้เป็นพลังที่รั่วไหลออกจากเทวโลก



ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!



เวลานั้นเอง เสียงระเบิดน่ากลัวดังขึ้น ห้วงมิติบิดเบี้ยว สสารไร้รูปร่างลุกโชนอยู่ในที่แห่งนี้ นภาฉีกออกเป็นรอยใหญ่ คล้ายว่ามีบางอย่างกำลังจะตกลงมา



ต้นบรรพจารย์พิศวงทั้งหลายต่างมีสีหน้าคร่ำเครียดระคนเต็มตื้น ทุกครั้งหลังผ่าน ‘พิธีบรรพชา’ พวกเขาจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างกลับตาลปัตร ขอบเขตพลังทวีคูณเป็นเท่าตัว!



ฟึ่บ!



ลำแสงพิศวงสาดส่องลงมา พลังขวัญผวาบางอย่างไหลเวียน บรรดาต้นบรรพจารย์พิศวงเตรียมก้าวเข้าไปรับการบรรพชา กลับพบว่าลำแสงนี้ดูมิใช่ลำแสงที่ใช้ในพิธีบรรพชา แต่เหมือนว่ากำลังก่อสร้างบางอย่าง



พวกมันถอยหลังอย่างเด็ดขาด มิกล้าเข้าใกล้



ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!



ลำแสงพิศวงสาดส่องลงมาไวขึ้นเรื่อย ๆ มันกำลังก่อสร้างบางอย่างอยู่จริง ๆ ไม่นานนักก็เป็นโครงให้เห็น



นั่นคือโลงศพโลงหนึ่ง แดงฉานไร้ใดเปรียบ ดูหนักเป็นอย่างมาก มีพลังสยดสยองไหลเวียนอยู่ทั่ว จนต้นบรรพจารย์ทั้งหลายอกสั่นขวัญแขวน หวาดกลัวเป็นที่สุด!



สุดท้าย โลงศพนี้เป็นรูปเป็นร่างสมบูรณ์ ลอยอยู่กลางอากาศท่ามกลางความเงียบงัน เหล่าต้นบรรพจารย์ได้เห็นรูปลักษณ์ของโลงศพนี้เต็ม ๆ



นี่คือโลงกระดูก เป็นโลงศพที่ก่อร่างด้วยกระดูกมากมาย ที่มันมีสีแดงฉานไร้ใดเปรียบปานนั้นก็เพราะกระดูกเหล่านั้นมีโลหิตหลั่งไหลไม่ขาดสาย



“นี่มันอะไรกัน!?”



เหล่าต้นบรรพจารย์โกลาหลขวัญผวา แม้แต่กระดูกมือท่อนเล็กบนโลงนั้นยังสร้างภัยคุกคามต่อพวกมันได้อย่างมหาศาล



พวกมันไม่นึกกังขาเลยว่า ลำพังกระดูกมือท่อนนั้นก็เพียงพอจะสังหารพวกมันจนเกลี้ยงได้แล้ว!



ระหว่างพิธีบรรพชากลับมีโลงศพปรากฏ นี่เป็นเรื่องที่มิเคยเกิดขึ้นมาก่อน ในอดีต จะต้องมีลำแสงสีดำสาดส่องลงมา แล้วพวกเขาจะเข้าอาบลำแสงสีดำนั้นเป็นอันว่าผ่านพิธีบรรพชา



ในโลงนั้นมีสิ่งใดอยู่!?



คงมิใช่จ้าวแห่งพลังมืดมิดกระมัง!



พวกมันคิดในใจอย่างอดมิได้



เวลานั้น ภาพพิศวงปรากฏ โลหิตที่ไหลรินลงจากโลงกระดูกลอยมาหาพวกมัน



เร็วเกินไป แม้นแข็งแกร่งเช่นพวกมันก็มิอาจตอบสนองได้ทัน โลหิตเหล่านั้นหยดลงบนตัวพวกมันทันที



โฮก! โฮก! โฮก!



พวกมันส่งเสียงคำรามอย่างเจ็บปวด รู้สึกเหมือนตกลงไปในทะเลเพลิง โลหิตที่หยดลงบนตัวพวกมันกำลังแผดเผาร่างกายของพวกมันอยู่



และร่างกายของพวกมันก็เปลี่ยนแปลงไปภายใต้การแผดเผานี้ บ้างมีหัวกะโหลกงอกเงย บ้างมีหนามกระดูกงอกเต็มกาย บ้างมีกระดูกหางออกมาถึงสิบแปดหาง!



พวกมันกลายเป็นสัตว์ประหลาดไร้คำนิยาม!



ทว่าความเจ็บปวดนี้มิได้ดำเนินต่อไปได้นาน ในไม่ช้าพวกมันก็รู้สึกเปรมปรีดิ์อย่างที่สุด ถูกความสบายชื่นมื่นห่อหุ้มเอาไว้



ขณะเดียวกัน พลังแต่ละด้านของพวกมันก็ยกระดับอย่างบ้าคลั่ง ทรงพลังยิ่งขึ้น!



พวกมันเข้าใจแล้ว นี่คือพิธีบรรพชาเช่นกัน เพียงแต่ต่างจากพิธีบรรพชารูปแบบเดิมที่พวกมันเคยผ่านมา แต่พลังที่ยกระดับขึ้นจากพิธีบรรพชาเช่นนี้กลับเหนือชั้นกว่าที่พวกมันเคยได้รับจากพิธีบรรพชาในอดีตมาก!



ผ่านไประยะหนึ่ง โลหิตหยุดไหลออกจากโลงกระดูก พิธีบรรพชาของพวกมันเสร็จสิ้น พลังปราณของแต่ละตนต่างเหนือกว่าเก่ามาก เรียกได้ว่าห่างกันราวฟ้ากับเหว!



“เตรียมเคลื่อนไหวกันเถิด ยึดครองจักรวาลโกลาหลผืนนั้นให้ได้ก่อน!”



“บัดนี้ พวกเรามิต้องเกรงกลัวสิ่งใดอีก! คนผู้นั้นฆ่าเสวี่ยเทียน พวกเราจะจับตัวคนผู้นั้นไว้ ให้เขาต้องยอมโอบกอดความพิศวงลางร้าย เขาจะกลายเป็นขุนศึกใต้บัญชาเรา!”



“ใช่แล้ว!”



พวกมันหัวเราะเสียงเย็น ไม่เคยลืมภาระหน้าที่ของตนเอง นับแต่ครั้งแรกที่พวกมันผ่านพิธีบรรพชาก็ได้รับคำสั่งอย่างชัดแจ้ง ว่าต้องทำให้ความพิศวงลางร้ายยึดครองจักรวาลโกลาหลทั้งปวง!



ทว่าพวกมันมิได้ลงมือทันที หากแต่เรียกสิ่งมีชีวิตพิศวงลางร้ายตนอื่นเข้ามาอีกมาก



พวกมันจะทำพิธีบรรพชาให้กับสิ่งมีชีวิตพิศวงลางร้ายเหล่านี้ ช่วยให้สิ่งมีชีวิตพิศวงลางร้ายเหล่านี้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น แล้วไปทำศึกพิชิตจักรวาลโกลาหลผืนนั้นให้จงได้



...



อีกด้าน พวกหลี่จิ่วเต้าเดินทางกลับอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงไม่นานก็กลับถึงแดนบูรพาทิศ เหยียนโจว



“ต้นหลิวเอ๋ย ทีใครทีมัน เจ้าเป็นพี่ใหญ่มานานมากแล้ว ถึงเวลาของข้าเสียที!”



ก้อนหินเอ่ยด้วยรอยยิ้มแป้น



อีกเดี๋ยวมันก็ได้พบต้นหลิวแล้ว!

แสงราตรีเรียบนิ่งดุจผืนน้ำ พระจันทร์สีเงินยวงลอยเด่น ถนนหนทางเงียบสงัด คนในเมืองหลับใหลไปนานแล้ว



พวกหลี่จิ่วเต้ากลับถึงเมืองชิงซานท่ามกลางแสงจันทร์ หลิงอิน เสี่ยวหยา และพี่ชายเสี่ยวหยากลับไปยังบ้านของหลิงอิน หลี่จิ่วเต้าและลั่วสุ่ยกลับไปยังลานเล็ก



สุนัขดำและกิเลนไฟก็อยู่ด้วย ส่วนต้าเต๋อ อ้ายฉานกลับไปยังที่พำนักของตน



“ต่อให้ข้างนอกนั่นยอดเยี่ยมเพียงใด ก็ดีมิสู้บ้านของตน!”



หลี่จิ่วเต้ากลับถึงลานเล็กด้วยความสะท้อนใจเหลือคณา



ออกไปคราวนี้นานเหลือเกิน หลังกลับมาถึงบ้าน เขารู้สึกคุ้นเคยคิดถึงเป็นหนักหนา ทุกอย่างในบ้านยังคงเดิม มิเปื้อนฝุ่นแม้แต่น้อย ดูท่านางกำนัลของเซี่ยเหยียนจะปฏิบัติหน้าที่ได้ดีเยี่ยม เข้ามาปัดกวาดทำความสะอาดอยู่บ่อย ๆ



ชายหนุ่มเดินมาอยู่ข้างบ่อน้ำ ปลาต่าง ๆ ในบ่อต่างอยู่ในสภาพดี หลังได้เห็นเขา ก็พากันสะบัดหางกระโจนตัวใส่เขาอย่างพร้อมเพรียง ราวกับต้อนรับการกลับมาของเขา



‘สรรพสิ่งล้วนมีจิตวิญญาณ ไม่เสียแรงที่ก่อนหน้านี้ข้าเลี้ยงพวกเจ้ามาตั้งนาน’



เขาหัวเราะพลางเอ่ยในใจ



มัจฉาสัตมายาก็กลับมานานแล้ว ต้นหลิวเป็นผู้ส่งข่าวให้เขาว่าคุณชายกำลังจะกลับมาถึง ให้เขารีบเดินทางกลับ อย่ามัวเที่ยวเล่นอยู่ข้างนอก



ชางเหยาอาลัยอาวรณ์อยู่นิดหน่อย ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงคุณชาย นางได้แต่ปล่อยมัจฉาสัตมายากลับมา



เรื่องนี้สร้างความดีใจให้มัจฉาสัตมายาอย่างยิ่งยวด เขาอยากหนีจาก ‘เงื้อมมือปีศาจ’ ของชางเหยามานานแล้ว ผู้ใดใช้ให้ชางเหยา ‘โหดเหี้ยมอำมหิต’ ขึ้นเรื่อย ๆ เล่า เขาทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ



หลี่จิ่วเต้านำขวดหยกพิสุทธิ์ออกมา แล้วปล่อยปลาหมึกในนั้นลงในบ่อน้ำ เขาบอกกับปลาหมึก “ว่านอนสอนง่ายหน่อยล่ะ อย่าก่อเรื่อง เข้าใจหรือไม่”



“เข้าใจ เข้าใจ!”



ปลาหมึกรีบตอบ ต่อให้มันอยากก่อเรื่องก็มิกล้าอยู่ดี!



สิ่งที่อยู่ในลานเล็กแห่งนี้น่าประหวั่นพรั่นพรึงเกินไปแล้ว แดนบรรพโกลาหลเทียบกับลานเล็กแห่งนี้ไม่ได้เลยแม้เพียงเสี้ยวมุม ห่างชั้นตั้งไม่รู้เท่าใด!



“เสี่ยวเฮย ถ้ามันคิดหนีหรือก่อความวุ่นวายในลาน เจ้ากินมันได้เลย”



หลี่จิ่วเต้าลูบหัวสุนัขดำพร้อมบอกกับมันให้จับตาดูปลาหมึก



“เข้าใจแล้ว!”



สุนัขดำคลี่ยิ้มกว้างขณะตอบ ตกลงโดยไม่อิดออด



มันชำเลืองมองปลาหมึกแวบหนึ่ง สายตาราวกับต้องการบอกว่าเจ้ารีบหนีเถิด หรือไม่เจ้าก็รีบก่อความวุ่นวายเข้าเถิด ปลาหมึกตัวนั้นกลัวจนรีบเผ่นไปยังส่วนลึกของบ่อน้ำ



ปลาหมึกไฉนเลยจะไม่รู้ว่าสุนัขดำคิดสิ่งใดอยู่ สุนัขดำคิดอยากกินมันเข้าไป!



ใช่แล้ว สุนัขดำมีความตั้งใจเช่นนั้นจริง ๆ



มันเคยกินเนื้อปลาหมึกแล้ว รสชาตินั้นวิเศษเป็นที่สุด มันอยากให้ปลาหมึกตัวนั้นหนีไปหรือก่อเรื่องแทบแย่ เช่นนี้มันจะได้กินปลาหมึกเข้าไปทั้งตัว



หลี่จิ่วเต้าเข้าไปดูพวกลูกวัวที่ลานด้านข้าง บัดนี้ พวกลูกวัวก็เติบโตขึ้นเป็นอย่างดี แข็งแรงกำยำ ลูกวัวน้อยสูงขึ้น ตัวใหญ่ขึ้น



เขาพึงพอใจมาก อุ้มจิ้งจอกน้อยสีแดงเพลิงกลับไปที่ห้องตัวเอง ส่วนจิ้งจอกขาวเย็นชา เขาขอให้ลั่วสุ่ยช่วยจัดที่พำนักให้



อันที่จริง เขาช่วยให้จิ้งจอกน้อยสีแดงเพลิงก้าวสู่เส้นทางฝึกตนก็ได้ เขาแลกดินโกลาหลจากบรรพจารย์ฝูมา จึงปลูกหญ้าวิเศษและสมุนไพรวิเศษขึ้นมาได้คณานับ



จิ้งจอกน้อยสีแดงเพลิงฉลาดเช่นนี้ หากได้กินหญ้าวิเศษและสมุนไพรวิเศษเหล่านี้ ย่อมเพิ่มโอกาสก้าวสู่เส้นทางฝึกตนได้อีกมาก



ทว่าเขามิได้ทำเช่นนั้น อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่ต้องการทำเช่นนั้น



เหตุผลหลักคือเขากอดจิ้งจอกน้อยสีแดงเพลิงและหลับไปจนชินแล้ว หากจิ้งจอกน้อยสีแดงเพลิงก้าวสู่เส้นทางฝึกตน จำแลงเป็นร่างมนุษย์ เขาก็ไม่สามารถกอดจิ้งจอกน้อยสีแดงเพลิงยามนอนหลับได้อีก



เพราะอย่างนั้น เขาจึงอยากรอต่อไปอีกหน่อย



หลังกลับไปที่ห้อง เขาถอดแหวนบรรจุที่มือออก แล้วล้มตัวลงบนเตียง อย่าให้เอ่ยเลยว่าสบายเพียงใด เตียงที่เขานอนมาหลายปีได้อภิรมย์ในการนอนกว่าจริง ๆ



ในไม่ช้า เขาก็กอดจิ้งจอกน้อยสีแดงเพลิงจนหลับไป



รัตติกาลเงียบเชียบ ดวงดาวดารดาษ ภายในลานเล็กคึกคักขึ้นมา



คุณชายพาก้อนหินกลับมาที่นี่ด้วย มิได้พาไปไว้ที่ริมลำธาร มันจึงเรียกเหล่ายอดศาสตราออกมา ชักชวนให้ไปกำราบต้นหลิวด้วยกัน



หินห้าสี ต้นวิเศษสัตตะ และยอดศาสตราชิ้นอื่นพากันเหินออกจากแหวนบรรจุ ขานรับเสียงเรียกจากก้อนหิน เมื่อครั้งอยู่ข้างนอก พวกมันต่างสานไมตรีกับก้อนหินอย่างแน่นแฟ้น พวกมันต้องช่วยเรื่องนี้แน่ และรับปากไว้นานแล้วด้วย



“วางใจเถิด ข้าจะเปิดฉากการต่อสู้เอง!”



สุนัขดำตบหน้าอกพลางกล่าว รักสหายเป็นอย่างยิ่ง แสดงตนว่าจะบุกอยู่แนวหน้าสุด



“พวกเจ้าจะไปทำอะไรหรือ”



บรรดาของวิเศษในลานพากันเหินเข้ามาด้วยความแปลกใจว่าพวกก้อนหินคิดจะไปทำการใด



“กำราบต้นหลิว!”



ก้อนหินมิได้ปิดบัง บัดนี้มันมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่เหลือข้อกังวลแม้แต่น้อย ไม่ต้องกลัวว่าข่าวจะรั่วไหล



“กำราบต้นหลิวหรือ! ได้ ๆ พาเราไปด้วย!”



“เฮ้อ อย่าให้ข้าต้องกล่าวถึงเลย ต้นหลิวเหมือนเป็นพวกโจรป่าเถื่อน ชอบมารังแกเราที่ลานเล็กอยู่บ่อย ๆ ชีวิตของพวกเราขมขื่นจนมิอาจบรรยาย!”



“พวกเราอยากจัดการต้นหลิวมานานแล้ว อนิจจา พลังของพวกเราไม่ถึง มิใช่คู่มือของมัน บัดนี้มีพี่ก้อนหินนำทัพต่อกรกับมัน พวกเรามั่นใจขึ้นมาก ยินดีตามพี่ก้อนหินไปจัดการต้นหลิว!”



เหล่าของวิเศษในลานกล่าว วาจานั้นอย่าให้เอ่ยเลยว่าเคียดแค้นต้นหลิวเพียงใด



“ต้นหลิวกำเริบสืบสานถึงเพียงนั้นเชียวหรือ!? บังอาจเข้ามาทำตามอำเภอใจในลานเล็กของคุณชายเลยหรือ!”



ก้อนหินตวาด ฟังคำกล่าวของเหล่าของวิเศษแล้วเดือดดาลเป็นที่สุด



มันเอ่ยต่อ “ดี เช่นนั้นทุกคนร่วมเดินทางไปด้วยกันเถิด ถึงเวลานั้น ทุกคนจะได้สะสางความแค้นของตน!”



“ได้เลย!”



“ไปกันเถิด!”



เหล่าของวิเศษขานรับด้วยความตื่นเต้น จากนั้น ก้อนหินนำทัพทั้งหมดออกจากลานเล็ก มุ่งหน้าไปหาต้นหลิว



ไม่นานนัก พวกมันก็มาถึงที่ตั้งของต้นหลิว



ต้นหลิวดูจากท่าที ไยจะไม่รู้ว่าก้อนหินต้องการสิ่งใด



มันเอ่ยยิ้ม ๆ “เจ้าก้อนหินเส็งเคร็ง คราวก่อนเจ้ายังโดนหวดไม่พอใช่หรือไม่ ยังกล้ามาอีกรึ? ลืมเรื่องคราวก่อนแล้วหรือไร”



“พูดอะไรของเจ้าน้องหลิว!”



ก้อนหินเอ่ยด้วยท่าทีลำพอง “น้องหลิวของข้า วันนี้ไม่เหมือนเมื่อวาน เรื่องนี้เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ ที่ข้ามาที่นี่ก็เพราะเรื่องคราวก่อน! ข้าต้องการแก้แค้น!”



มันกล่าวต่อ “ผู้ตั้งตนอยู่ในธรรมย่อมมีผู้ให้การช่วยเหลือ ผู้ขาดธรรมย่อมมีแต่คนตีจาก ต้นหลิว เจ้าดูเอาเถิดว่าด้านหลังข้ามีผู้สนับสนุนตั้งเท่าไหร่ เจ้าจะรู้ว่าตัวเจ้าน่าชิงชังปานใด!”



“อย่างนั้นหรือ”



ต้นหลิวส่งเสียงอีกครั้งด้วยรอยยิ้มอย่างไม่คิดถือสา พวกนั้นสนับสนุนก้อนหินกันหมดเลยจริง ๆ หรือ



“เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไรเล่า! วันนี้ ข้าจะผดุงคุณธรรมแทนสวรรค์ กำราบต้นหลิวเช่นเจ้า เปลี่ยนเจ้าเป็นลูกน้องของทุกคน ให้เจ้าได้ลิ้มรสความเจ็บปวดที่เจ้าเคยมอบให้พวกเรา!”



ก้อนหินตวาดลั่น



“ข้าเอง โฮ่ง!”



สุนัขดำตะโกน ลุยเข้าไปเป็นลำดับแรก ทว่าท้ายสุดกลับฟาดฝ่ามือใส่ตัวก้อนหิน!



“สหาย เจ้าทำอะไร ราตรีมืดมนเช่นนี้ สหายมองเห็นไม่ชัดหรืออย่างไร”



ก้อนหินเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระแนะกระแหน



ก่อนนี้ตกลงกันแล้วมิใช่หรือว่าจะร่วมต่อกรกับต้นหลิว โดยมีสุนัขดำเป็นผู้เปิดฉาก เหตุใดสุนัขดำกลับลงมือกับเขาแทนเล่า!?



“พี่หลิวดีขนาดนั้น ข้าจะจัดการพี่หลิวได้อย่างไร! ที่ข้าเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้เพราะข้าต้องอดกลั้นเพื่อการใหญ่ หัวใจของข้าอยู่ข้างเดียวกับพี่หลิว!”



สุนัขดำตะโกนบอก



ก้อนหินโมโหจนแทบกระอักเลือด หมายความว่าอย่างไรที่ว่าพี่หลิวดีขนาดนั้น



มันนึกในใจไปว่า สุนัขดำ ก่อนนี้เจ้าเคยข้องแวะกับต้นหลิวมาแล้วหรือถึงกล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้!



ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้สุนัขดำมิเคยข้องแวะกับต้นหลิวมาก่อนจริง ๆ ทว่ามันนั้นอยู่ระดับไหน ด้วยกำลังของสุนัขเพียงหนึ่งตัว ซ้ำยังเป็นสุนัขพันธุ์ทางธรรมดา มันสามารถรุ่งโรจน์ขึ้นในแดนบรรพโกลาหลทีละก้าว จนท้ายที่สุดกลายเป็นตัวตนระดับเคียงบ่าเคียงไหล่กับจ้าวแห่งดินแดนต่าง ๆ



ความสามารถในการจับสีหน้าท่าทาง วิเคราะห์สถานการณ์ของมันโดดเด่นอย่างยิ่งยวด



มิฉะนั้น มันไม่มีทางสร้างชื่อในแดนบรรพโกลาหลได้เลย



ก้อนหินทรงพลังมากก็จริง มันเองก็ไม่รู้ว่าต้นหลิวนั้นมีพลังเพียงใด ทว่ามันไม่รู้ แต่พวกลั่วสุ่ยรู้



เมื่อคราวก้อนหินผนวกกำลังพวกมัน บางทีตัวก้อนหินเองอาจไม่ทันสังเกต แต่มันนั้นสังเกตเห็นว่า พวกลั่วสุ่ยต่างกลั้นขำกันถ้วนหน้า



เรื่องนั้นสะท้อนถึงสิ่งใด? สะท้อนให้เห็นว่าต้นหลิวนั้นไม่ธรรมดา หากก้อนหินมุ่งหน้าไปจัดการต้นหลิวคงต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่!



มันจับสังเกตเหตุการณ์เหล่านี้ได้ เพราะเหตุนี้ มันจึงไม่คิดอยู่ฝ่ายเดียวกับก้อนหินเลยสักนิด



ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!



เสียงระเบิดดังขึ้นไม่หยุด สุนัขดำมิใช่ตนเดียวที่ลงมือกับก้อนหิน หากแต่เป็นตนแรกเท่านั้น ตามหลังมันยังมีเหล่าของวิเศษในลานที่เคลื่อนไหวกันถ้วนหน้า จู่โจมก้อนหินอย่างพร้อมเพรียง!



เหล่าของวิเศษเคารพนับถือต้นหลิวเป็นที่สุด ไฉนเลยจะร่วมมือกับก้อนหินต่อกรกับต้นหลิว เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้เลย!



“พวกเจ้าก็หลอกข้าเหมือนกันหรือ!”



ก้อนหินตะโกนด้วยความเดือดดาล เจ้าพวกนี้ไยถึงหลอกมันกันหมด



“พวกเรามิได้หลอกเจ้า พวกเราอยู่ฝ่ายเดียวกับเจ้าเสมอ!”



“ใช่แล้ว!”



ยอดศาสตราอย่างพวกหินห้าสีลงมือโจมตี เข้าต่อสู้กับเหล่าของวิเศษในลาน พวกมันมิเคยข้องแวะกับต้นหลิวมาก่อน อยู่ร่วมกับก้อนหินมาตลอด จึงไม่มีทางเป็นฝ่ายเดียวกับต้นหลิว



“ข้าขอติดตามราชันสุนัข!”



กิเลนไฟเคลื่อนไหวเช่นกัน มันเลือกอยู่ฝ่ายเดียวกับสุนัขดำ สำหรับมัน สุนัขดำคือต้นแบบที่มันนับถือตลอดไป!



“พวกเจ้าต้องเสียใจ!”



ก้อนหินร้องลั่น อารมณ์หม่นหมองอย่างยิ่งยวด นี่ยังไม่ทันเริ่ม มันก็ต้องพบเจอกับการทรยศตั้งมากมาย เหตุใดชีวิตของมันถึงรันทดเช่นนี้!



“หยุดสร้างปัญหาเสียทีก้อนหิน เจ้าสู้ไม่ไหวหรอก”



ต้นหลิวเคลื่อนไหว ก้านหลิวก้านหนึ่งพุ่งออกไปหวดก้อนหินทันควัน



ก้อนหินเปล่งแสงเจิดจ้าทั่วตัว พลังปราณสยดสยองโถมทับออกไปสู่ฟ้าดิน มันบุกทะลวงไปข้างหน้า ดุดันเหลือคณา ด้วยพลังของมัน ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตขอบเขตผู้บงการตอนปลายก็สู้มิได้ ต้องถูกมันสังหารลงในบัดดล



ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าต้นหลิว มันยังห่างชั้นอีกไกล ก้านหลิวก้านหนึ่งของต้นหลิวพุ่งออกไป ลบล้างพลังทั้งหมดของก้อนหินได้ทันที ทั้งยังจับก้อนหินห้อยหัว



“อะไรกัน!?”



ก้อนหินไม่อาจทำใจเชื่อได้เลย ต้นหลิวฝืนวิถีสวรรค์ได้จริงหรือ เหตุใดถึงกล้าแกร่งได้ถึงปานนี้!



“ข้ายกระดับพลังได้ไม่ช้าไปกว่าเจ้า…”


ต้นหลิวกล่าว “หลายวันมานี้ ข้าต่อสู้ห้ำหั่นโดยมีชีวิตเป็นเดิมพันทุกคืนวัน มิเคยผ่อนคลายลงแม้เสี้ยวลมหายใจ!”



สิ่งที่มันกล่าวมาล้วนเป็นความจริง



ช่วงที่ผ่านมา มันต่อสู้อยู่ทุกลมหายใจ ซ้ำยังเป็นการห้ำหั่นแบบเอาชีวิต นอกจากแดนแกนกลางแห่งเทวโลก เบื้องบนเทวโลก และเทวโลกชั้นเก้า ชั้นที่เหลือถูกมันทะลวงได้หมด ยามสิ่งมีชีวิตในนั้นได้ยินเสียงของมันต่างอกสั่นขวัญแขวน หวาดกลัวถึงขีดสุด



การห้ำหั่นแบบเอาชีวิตเช่นนี้มีส่วนช่วยให้พลังยกระดับขึ้นมากนัก ประกอบกับตัวมันนั้นไม่ธรรมดาอยู่แล้ว มีความเข้าใจในวิชาและหลักเต๋าของคุณชายอย่างลึกซึ้ง



ในสถานการณ์เช่นนี้ มันนั้นไม่เหมือนกับในอดีต ก้าวสู่ขอบเขตที่สูงกว่านั้นมาก



หากมันได้พบดาบใหญ่สีเลือดซึ่งถือกำเนิดขึ้นจากความมืดมิดอีกครั้ง มันย่อมมีกำลังพอให้ต่อกร ไม่มีทางหมดเรี่ยวแรงต่อสู้อย่างก่อน



อันที่จริง มันในเวลานี้สามารถบุกขึ้นไปถึงเทวโลกชั้นเก้าได้แน่นอน เพียงแต่มันบุกไม่ทันเท่านั้น มันเพิ่งขึ้นไปถึงเทวโลกชั้นเก้า พอได้รับรู้ข้อมูลของเทวโลกชั้นเก้ามาบ้าง คุณชายก็กลับมาแล้ว



มันจึงถอนตัวจากเทวโลกชั้นเก้า



ส่วนแดนแกนกลางเทวโลก และเบื้องบนเทวโลกนั้น มันก็มีความมั่นใจเช่นกัน



ก้อนหินคิดจะล้างแค้นกับมัน นับว่าหาเรื่องลำบากใส่ตนเองแท้ ๆ



หลังหินห้าสีและยอดศาสตราชิ้นอื่นเห็นก้อนหินถูกต้นหลิวจับห้อยหัวและหวด ก็แปรทัพทันที



“ก้อนหิน เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร!? พี่ต้นหลิวต้องลำบากปกปักษ์รักษาที่นี่ เพื่อรับรองความปลอดภัยของที่ประทับคุณชาย เหตุใดเจ้าถึงยังคิดต่อกรกับพี่ต้นหลิวอีก!?”



“ข้ารังเกียจพฤติกรรมเช่นนี้ของเจ้ามาก! เจ้ายังไม่รีบกล่าวขอโทษพี่ต้นหลิวอีก!”



หินห้าสีและยอดศาสตราชิ้นอื่นพากันตำหนิก้อนหิน



“เจ้าพวกไร้ศักดิ์ศรี!”



ก้อนหินร่ำไห้ มิมีผู้ใดพึ่งพาได้เลยสักตน



ทว่าหลังผ่านเหตุการณ์คราวนี้ มันไม่มีความคิดอยากเป็นพี่ใหญ่อีก ต้นหลิวพิสดารเกินผู้ใดจริง ๆ!



...



ขณะเดียวกัน ภายในแดนบรรพโกลาหลเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่



“พวกเราจะกลับกันแล้วหรือ!?”



“พลังผนึกหย่อนลง พวกเราได้หวนคืนสู่อาณาจักรดั้งเดิมของเราจริง ๆ แล้ว!”



สิ่งมีชีวิตในดินแดนชายขอบมากมายพากันตื่นเต้นดีใจ แม้ว่าแดนบรรพโกลาหลนั้นยอดเยี่ยม กระนั้นก็มิใช่มาตุภูมิของพวกเขา



พวกเขาต่างคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนของตน อยากกลับไปที่นั่น



ในสถานการณ์อย่างเวลานี้ พวกเขาจะได้กลับไปจริง ๆ แล้ว!

ที่นี่คือดินแดนชายขอบในแดนบรรพโกลาหล มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก



พวกเขาไม่รู้แล้วว่ามาอยู่ในแดนบรรพโกลาหลตั้งนานเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างไร พวกเขาก็มิใช่สิ่งมีชีวิตท้องถิ่นของแดนบรรพโกลาหล ถูกผลักไสมาโดยตลอด ผ่านไปแล้วเนิ่นนาน พวกเขาก็ยังใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนชายขอบของแดนบรรพโกลาหล ไม่สามารถเข้าไปในแดนบรรพโกลาหลได้จริง ๆ



สิ่งมีชีวิตในแดนบรรพโกลาหลก็มิได้ยอมรับพวกเขา เรียกพวกเขาว่าคนเถื่อน พวกเขาต้องใช้ชีวิตในสิ่งแวดล้อมอันย่ำแย่



ทว่าแม้จะเป็นสิ่งแวดล้อมย่ำแย่เช่นนี้ ก็ยังทรงพลังกว่าด้านนอกนั่นตั้งไม่รู้กี่เท่า สำหรับพวกเขาในอดีต เซียนเป็นเพียงจินตนาการฝันเฟื่องที่ไม่มีวันเป็นจริง ทว่าบัดนี้ ในหมู่พวกเขาแทบเต็มไปด้วยกำลังรบระดับเซียน มากมายจนนับไม่ถ้วน



กระทั่งสิ่งมีชีวิตเหนือขอบเขตโกลาหลก็ยังมีอยู่นับคณา!



ก่อนกาลเวลาอันยาวนาน เคยมียุคสมัยหนึ่งหายไป จู่ ๆ สิ่งมีชีวิตผู้ฝึกตนในยุคสมัยนั้นก็อันตรธานไปหมด ไม่เหลือร่องรอยแม้แต่น้อย ส่งผลให้อารยธรรมฝึกตนที่ถดถอยอยู่แล้วยิ่งขาดช่วงเข้าไปใหญ่



จนกระทั่งผ่านไปเนิ่นนาน ถึงมีอารยธรรมการฝึกตนปรากฏขึ้นใหม่



และพวกเขาคือเหล่าสิ่งมีชีวิตผู้ฝึกตนที่หายไป!



พวกเขาก็ไม่แน่ใจว่าเกิดเรื่องใดขึ้น กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ก็มาถึงแดนบรรพโกลาหลเสียแล้ว



“ข้าคิดคะนึงถึงบ้านเกิดเมืองนอนยิ่งนัก ไม่รู้ว่าป่านนี้ภูมิลำเนาของเราเป็นอย่างไรบ้าง!”



“ข้าตื้นตันเหลือเกิน ข้าอยากไปจากที่นี่ หวนคืนสู่บ้านเกิดมานานแล้ว และบัดนี้ ในที่สุดความต้องการนั้นก็จะเป็นจริง!”



พวกเขาเต็มตื้นเป็นอย่างยิ่ง เตรียมตัวให้พร้อม



ผนึกในแดนบรรพโกลาหลหลวมลงมาก หากเป็นเช่นนี้ต่อ อีกไม่นานพวกเขาก็สามารถไปจากแดนบรรพโกลาหล กลับไปยังมาตุภูมิของพวกเขา



พวกเขาเตรียมถอนกำลังออกจากแดนบรรพโกลาหลเต็มรูปแบบ นำทุกสิ่งที่ติดตัวไปได้ไปด้วย พวกเขาไม่ได้รับการยอมรับ ชีวิตในแดนบรรพโกลาหลของพวกเขายากแค้นอย่างยิ่ง พวกเขาไม่นึกอาลัยอาวรณ์แดนบรรพโกลาหลเลยสักนิด



นอกจากนี้ พวกเขาเองก็ระแวงซึ่งกันและกันอยู่ด้วย



ทันทีที่กลับไปถึงบ้านเกิด พวกเขาจะต้องมีศึกแย่งชิงกันอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ถึงอย่างไรพวกเขาก็ต้องเลือกดินแดนเพื่อตั้งรกรากกันใหม่



ส่วนสิ่งมีชีวิตที่บ้านเกิดนั้น พวกเขาไม่นึกกังวลแม้แต่น้อย



มีสิ่งใดให้กังวลกันเล่า



ต่อให้สิ่งมีชีวิตที่บ้านเกิดจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็คงไม่แข็งแกร่งไปกว่าพวกเขา



จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า!



ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็เคยใช้ชีวิตในแดนบรรพโกลาหลมา สิ่งมีชีวิตที่บ้านเกิดมิอาจเทียบชั้นพวกเขาได้ไม่ว่าด้านใด พวกนั้นไม่อาจเป็นภัยคุกคามสำหรับพวกเขา



ศึกแย่งชิงที่จะอุบัติในยามนั้น เป็นศึกระหว่างสิ่งมีชีวิตผู้ฝึกตนอย่างพวกเขาเท่านั้น



...



ณ เมืองชิงซาน



หลี่จิ่วเต้าหลับจนถึงเที่ยง อย่างไรเสีย เตียงที่บ้านเขาเองก็หลับสบายกว่า นับแต่อยู่ข้างนอกมา เขามิเคยนอนนานขนาดนี้เลย



หลังจากนั้นก็ออกไปทักทายเพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียง บอกพวกเขาว่าตนกลับมาแล้ว เพื่อนบ้านเหล่านั้นดีใจมากเช่นกัน เอ่ยว่าช่วงที่เขาไม่อยู่ต่างก็คิดถึงเขากันมาก



“ไปเที่ยวครานี้ จะให้เสียเปล่าไม่ได้…”



เขาหัวเราะ บอกให้ลั่วสุ่ยช่วยฝนหมึก เขาจะวาดทัศนียภาพระหว่างทางที่สลักอยู่ในใจเขาออกมาให้หมด



นี่คืองานใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย ใช้เวลานานแน่นอน ทว่าสิ่งที่เขามีมากที่สุดก็คือเวลา ถึงอย่างไรก็มิมีเรื่องอื่นให้ทำแล้ว



ชายหนุ่มตวัดพู่กันวาดภาพ เริ่มจากดินแดนหยินที่เขาอาศัยอยู่ เขาไปจนครบสิบแปดโจวในดินแดนหยินแล้ว ที่นี่มีทิวทัศน์งดงามมากมายที่ฝังลงไปในใจเขา



และเขามิได้ผุดความคิดกะทันหัน หากแต่วางแผนไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งยังออกท่องเที่ยวไปทั่ว อย่างไรเสีย ภาพเหล่านี้ล้วนต้องกลายเป็นความทรงจำอันแสนหวาน



ขณะเดียวกัน เขาวาดแบบร่างไว้มากมาย ยามพบเจอทัศนียภาพที่เขาชื่นชอบ เขาจะร่างโครงออกมาพอสังเขปเพื่อเก็บไว้



หากมิใช่เช่นนั้น ลำพังจินตนาการของเขา ต่อให้เขาความจำเป็นเลิศเพียงใด ก็ยากจะวาดทัศนียภาพเหล่านั้นออกมาให้หมด



อาณาจักรนี้กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก ซ้ำยังมีทิวทัศน์ตระการตาอยู่ตั้งหลายที่ หวังพึ่งเพียงความทรงจำยากจะวาดทัศนียภาพเหล่านั้นออกมาได้จริง ๆ



เวลาล่วงเลยผ่านไปเรื่อย ๆ เขาวาดภาพสถานที่ออกมาได้หลายแห่งจากแบบร่างเหล่านี้ แต่ละที่ล้วนสมจริงเป็นที่สุด ราวกับได้อยู่ที่นั่นจริง ๆ



ระหว่างนั้น ชางเหยามาเยี่ยมหลี่จิ่วเต้า เอ่ยว่านางสนอกสนใจในการวาดภาพมาก อยากอยู่เรียนวิชาวาดภาพข้างกายคุณชาย



หลี่จิ่วเต้าตกลงด้วยความเต็มใจ เขามีภาพจำดี ๆ กับชางเหยา นางเป็นเด็กสาวน่ารักและตลก ลานของเขายังเหลือห้องว่างอยู่มาก จึงบอกให้ลั่วสุ่ยทำความสะอาดไว้สักห้องให้ชางเหยาพำนัก



หากเป็นเมื่อก่อน เขามิกล้าให้ชางเหยาพักที่นี่จริง ๆ



แต่บัดนี้มิมีปัญหา มีลั่วสุ่ยอยู่ หาได้กระอักกระอ่วนไม่



ทว่าด้านมัจฉาสัตมายานั้นน่าสงสารยิ่ง



“ข้าแด่สวรรค์ ข้าแด่ธรณี ไยจึงทำกับข้าเช่นนี้! ข้าเพิ่งเอ่ยว่าได้มีเวลาสงบเสียบ้าง เหตุใดชางเหยาถึงมาอีกแล้วเล่า!”



เขาร้องไห้ด้วยความชอกช้ำ ปวดใจที่สุด ร้าวรานเหลือแสน



หลังชางเหยาเข้ามาพำนักที่นี่ ชีวิตเขาหลังจากนี้คงแย่แน่



อย่างที่คิด เขาคาดการณ์ไว้ไม่ผิด หลังชางเหยาเข้ามาอยู่ด้วย เขานั้นอนาถาเหลือคณา



ทุกครั้งหลังคุณชายปรุงอาหารเลิศรสไว้มากมาย ชางเหยาจะนำอาหารเลิศรสเหล่านั้นมาเดินวนเวียนอยู่แถว ๆ ขอบสระเพื่อยั่วน้ำลายเขา เขาทรมานเหลือเกิน!



นอกจากนี้ ยามชางเหยาว่าง ๆ จะจับตัวเขาออกมาปู้ยี่ปู้ยำ เขาเองก็มิกล้าขัดขืนอันใด โดนชางเหยากลั่นแกล้งจนช้ำ



...



เวลาผันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ครึ่งเดือนผ่านไป ผนึกในแดนบรรพโกลาหลบางเบาขึ้นเรื่อย ๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อ อีกไม่นาน แดนบรรพโกลาหลก็จะเผยออกไปสู่ใต้หล้า



สิ่งมีชีวิตผู้ฝึกตนตามชายขอบเตรียมตัวไว้แล้วแต่เนิ่น ๆ หลังผนึกในแดนบรรพโกลาหลคลาย พวกเขาไม่มีลังเล ไปจากแดนบรรพโกลาหล คืนกลับไปยังบ้านเกิดอย่างรวดเร็ว



พวกเขากลัวเป็นอย่างยิ่งว่าขืนชักช้า จะมิได้ภูมิทัศน์ดี ๆ ช่วงชิงกันออกมาด้วยกลัวจะเสียเปรียบ



ส่วนสิ่งมีชีวิตในแดนบรรพโกลาหลนั้น ไม่มีทีท่าอยากไปจากที่นี่เลยสักนิด ที่ใดเล่าจะสู้แดนบรรพโกลาหล



อีกอย่าง แดนบรรพโกลาหลคือบ้านของพวกเขา ไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตผู้ฝึกตนที่อาศัยตามพื้นที่ชายขอบ



“ไปเสียได้ก็ดี คนเถื่อนเฉกเช่นพวกเขาควรไปนานแล้ว!”



“จำเป็นต้องปีติยินดีถึงปานนั้นด้วยหรือ แม้ว่าพวกเขาอาศัยอยู่ในพื้นที่ชายขอบ สภาพแวดล้อมเลวร้ายนักหนา กระนั้นก็ยังดีกว่าข้างนอกกว่าหมื่นเท่า!”



สิ่งมีชีวิตมากมายในแดนบรรพโกลาหลต่างดูถูกดูแคลนสิ่งมีชีวิตผู้ฝึกตนตามชายขอบ เห็นว่าสิ่งมีชีวิตผู้ฝึกตนเหล่านี้จะไปกันแล้ว พวกเขาต่างยินดีเป็นอย่างยิ่ง



ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขาต่างดูหมิ่นสิ่งมีชีวิตผู้ฝึกตนที่อาศัยอยู่ตามชายขอบ หากมิใช่จ้าวแห่งดินแดนต่าง ๆ สั่งห้ามมิให้พวกเขาก่อกรรมทำเข็ญสังหารพวกนั้น พวกเขาฆ่าล้างสิ่งมีชีวิตผู้ฝึกตนที่อาศัยตามพื้นที่ชายขอบไปนานแล้ว



พวกเขามองว่า สิ่งมีชีวิตผู้ฝึกตนตามชายขอบทำให้แดนบรรพโกลาหลแปดเปื้อน



“ผนึกในแดนบรรพโกลาหลนั้นหย่อนมากแล้ว อีกไม่นานก็จะเผยตัวตนออกไป ถึงครานั้น คงมีสิ่งมีชีวิตข้างนอกอยากเข้ามากันนับคณา พวกเราจะปล่อยให้พวกเขามาทำให้แดนบรรพโกลาหลต้องเปื้อนมลทินมิได้เด็ดขาด!”



“ใช่แล้ว! ขืนพวกเขากล้าเข้ามา เราจะเชือดพวกเขาให้หมด ให้พวกเขาไม่อาจกลับไปได้อีก!”



สายตาพวกเขาเปล่งประกายดุดัน แดนบรรพโกลาหลต้องเผยตัวสู่ใต้หล้าแน่แล้ว เรื่องนี้จะไม่เปลี่ยนแปลง



พวกเขาต้องรักษาแดนบรรพโกลาหลไว้ มิให้สิ่งมีชีวิตข้างนอกเข้ามาในนี้ได้



ขณะเดียวกัน สิ่งมีชีวิตตามชายขอบจำนวนหนึ่งได้ก้าวออกจากแดนบรรพโกลาหลแล้ว



“สิ่งแวดล้อมเลวร้ายเพียงนี้เชียวหรือ”



“ใช้ชีวิตท่ามกลางสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ได้ด้วยหรือ”



สิ่งมีชีวิตผู้ฝึกตนไม่น้อยขมวดคิ้ว หน้าตาเต็มไปด้วยความรังเกียจที่มีต่ออาณาจักรแห่งนี้



แย่จริง ๆ ไม่มีสสารฝึกฝนระดับสูงอยู่เลย พวกเขาถึงขั้นต้องกลั้นหายใจ ไม่ต้องการหายใจด้วยอากาศในอาณาจักรนี้ ด้วยมองว่า ‘สกปรก’ เกินไป



ก่อนออกมา พวกเขาคาดคะเนในใจไว้แล้วว่า สิ่งแวดล้อมในบ้านเกิดคงไม่ดีเท่าใด ถึงอย่างไร บ้านเกิดพวกเขาก็ผ่านอะไรมามาก สิ่งแวดล้อมดีสิแปลก



แต่พวกเขาคิดไม่ถึงว่าจะเลวร้ายเพียงนี้!



ชั่วขณะนั้น พวกเขาหมดความสนใจ ไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไป อยากกลับไปที่เดิมอีกครั้ง



ทว่าไม่นานนัก พวกเขาก็ล้มเลิกความคิดนั้นไป



แม้ว่าสิ่งแวดล้อมในภูมิลำเนาย่ำแย่เสียจนพวกเขาแทบอยู่ต่อมิไหว กระนั้นก็แค่ชั่วคราว



พวกเขารู้ดีว่า ผนึกในแดนบรรพโกลาหลจะต้องแหลกเหลวเมื่อถึงเวลา และเผยออกมาทั้งหมด ถึงครานั้น สิ่งแวดล้อมในบ้านเกิดย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไปเพราะการมีแดนบรรพโกลาหลปรากฏ



ถึงอย่างไร หากผนึกไม่อยู่แล้ว สสารโกลาหลในแดนบรรพโกลาหลย่อมต้องรั่วไหลออกมา



การช่วงชิงในดินแดนมาตุภูมินี้ยังคงสำคัญอยู่มาก หากเวลานี้ได้ยึดครองพื้นที่ดี ๆ ภายหน้าย่อมเป็นประโยชน์มหาศาล!



“ที่นั่นเป็นของข้า!”



สิ่งมีชีวิตตนหนึ่งพุ่งออกมา มันคืองูเหิน ลำตัวมโหฬาร ขณะอ้าปากมีอัสนีพวยพุ่งออกมา มันหมายตาเทือกเขาแห่งหนึ่งไว้



และไปถึงที่นั่นในชั่วพริบตา อ้าปากพ่นอสนีบาตสายหนึ่งด้วยความเย็นชาไร้เยื่อใย สังหารสิ่งมีชีวิตในเทือกเขานั้นจนหมดสิ้น!



แต่เดิมที่นี่มีเผ่าใหญ่อาศัยอยู่เผ่าหนึ่ง เผ่าสุวรรณสิงห์ มีสมาชิกในเผ่าอยู่มากมาย หลังถูกงูเหินฆ่าล้าง โลหิตไหลนองไปทั่วทั้งเทือกเขา



“ที่นี่เป็นของพวกเราเผ่าแมงป่องหยก!”



ร่างสะโอดสะองงามล้ำมากมายคลี่ยิ้มเบาบาง ท่วงท่าพราวเสน่ห์ พวกนางมาอยู่ในลานเต๋าแห่งหนึ่ง พริบตาที่ยกมือก็สังหารสิ่งมีชีวิตผู้ฝึกตนในลานเต๋านี้จนเกลี้ยง



ซ้ำพวกนางยังหลอกล้อกันท่ามกลางโลหิตไหลนอง เหยียบย่ำศพของสิ่งมีชีวิตที่ตายไป ฉลองให้พวกตนที่ยึดครองลานเต๋าแห่งนี้มาได้



สิ่งมีชีวิตผู้ฝึกตนในสถานที่นี้มิได้อ่อนแอ พวกเขามาจากอาณาจักรอื่น ๆ ทั้งปวง เพิ่งสร้างลานเต๋าแห่งนี้ขึ้นได้ไม่นาน เรียกได้ว่านั่งก้นยังไม่ทันอุ่น ก็ถูกล้างบางไปอย่างน่าเวทนา



ฟ้าดินเปลี่ยนสี ภาพเช่นเดียวกันนี้ปรากฏออกไปในหลาย ๆ พื้นที่ แสงสีชาดทะยานขึ้นนภา บรรดาสิ่งมีชีวิตที่ออกมาจากแดนบรรพโกลาหลดุดันเกินไป อย่าว่าแต่สิ่งมีชีวิตท้องถิ่นในอาณาจักรนี้เลย แม้แต่สิ่งมีชีวิตในแดนมรณา หรือแดนเซียนก็มิอาจต้านทาน ถูกสังหารในพริบตา!



นี่หรือคือท่าทีที่มีต่อภูมิลำเนา



พวกเขาเลือดเย็นไร้ความรู้สึก ไม่เห็นสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรนี้อยู่ในสายตาสักนิด ฆ่าแกงกันได้ง่าย ๆ ราวกับกำลังฆ่ามดอยู่ก็มิปาน ไม่นึกยี่หระแม้แต่น้อย



สำหรับพวกเขา สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรนี้มิได้แตกต่างจากมดปลวก พวกเขาไม่เห็นอยู่ในสายตาเลย



“ที่นี่ไม่เลว…”



สิ่งมีชีวิตตนหนึ่งมาถึงแดนบูรพาทิศในเหยียนโจว เขาประกาศเสียงดังฟังชัด “พื้นที่นี้เป็นของพวกเราแล้ว!”



เขามีรูปร่างสูงใหญ่ เป็นเผ่ามนุษย์ กระนั้นก็มิได้มีเมตตากว่าสัตว์อสูรเผ่าต่าง ๆ เหล่านั้นนัก ทันทีที่เขามาถึงที่นี่ ก็ตัดสินใจล้างบางพื้นที่นี้



ข้างกายเขามีผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์ติดตามมาด้วยไม่น้อย



พวกเขามาจากราชวงศ์หนึ่ง เตรียมกำจัดสิ่งมีชีวิตในพื้นที่นี้แล้วค่อยเริ่มดำเนินแผนการอื่น



มดปลวกไม่มีความจำเป็นต้องดำรงอยู่…

ผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนทะยานขึ้นบนท้องฟ้า บนร่างต่างสวมเสื้อคลุมมังกร พวกเขาล้วนเป็นสมาชิกคนสำคัญของราชวงศ์ และเป็นทัพหน้าในครั้งนี้ หลังจากนั้นก็มีสมาชิกราชวงศ์อีกจำนวนหนึ่งตามมาสมทบ



สมาชิกในราชวงศ์มีจำนวนมากเกินไป แม้สภาพแวดล้อมของชายขอบแดนบรรพโกลาหลจะค่อนข้างแร้นแค้น แต่ก็ไม่มีอันตรายแต่อย่างใด พวกเขาจึงค่อย ๆ ทวีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีสมาชิกอยู่มากกว่าสิบล้านคน!



และตอนอยู่ที่ชายขอบก็นับได้ว่าเป็นหนึ่งในกองกำลังที่แข็งแกร่งอย่างมาก



ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่มีความกล้าพอจะเอ่ยว่าต้องการครอบครองดินแดนแห่งหนึ่ง!



ผู้ที่สูญหายไปในคราวนั้น ต่างขยายวงศ์ตระกูลในชายขอบแดนบรรพโกลาหล ทุกกองกำลังต่างมีสมาชิกเพิ่มขึ้นจำนวนมาก อีกทั้งเก้าโจวได้แยกตัวออกจากอาณาจักรแห่งนี้ไปแล้ว กลายเป็นอาณาจักรเก้าตอนบน ทำให้อาณาจักรแห่งนี้มีขนาดเล็กลง



อนาคตทุกตารางนิ้วในอาณาจักรแห่งนี้ จะต้องเต็มไปด้วยผู้ฝึกตนจำนวนมากเป็นแน่แท้



ดังนั้นเป็นไปได้อย่างมากที่จะเกิดเหตุการณ์พื้นที่ไม่เพียงพอ ผู้ฝึกตนจำนวนมากจะต้องถูกบังคับให้ออกจากอาณาจักรแห่งนี้ไปอาศัยอยู่อาณาจักรแห่งอื่น



พวกเขาล้วนตระหนักได้ถึงจุดนี้ ดังนั้นหลังจากออกมาแล้ว พวกเขาจึงลงมือกวาดล้างผู้ฝึกตนของอาณาจักรบ้านเกิดอย่างไม่ลังเล เพื่อสร้างพื้นที่ให้กับตน จะได้ไม่ต้องแออัดจนเกินไป



วิ้ง วิ้ง วิ้ง!



พวกเขายืนอยู่บนท้องนภา แสงสว่างจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งประกายออกมจากร่าง เจิดจ้าเสียจนไม่อาจมองได้โดยตรง ขณะเดียวกันพวกเขาก็แผ่ขยายลมหายใจของตนออกไปอย่างเต็มที่ ปกคลุมทั่วทั้งแดนบูรพาทิศ



การกระทำเช่นนี้ไม่ใช่ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนในแดนบูรพาทิศดู แต่เพื่อให้สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ จากชายขอบเข้าใจว่าสถานที่แห่งนี้ถูกพวกตนครอบครองแล้ว



เมื่อเหล่าสิ่งมีชีวิตชายขอบที่มายังสถานที่แห่งนี้ สัมผัสได้ถึงลมหายใจของพวกเขา ก็ออกไปจากที่นี่ทันที ไม่ต้องการแย่งชิงกับผู้แข็งแกร่ง



ยังเหลือสถานที่ดี ๆ ไร้ผู้จับจองอีกมาก ไม่จำเป็นต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงกันในตอนนี้



“นี่มันอันใดกัน?!”



“เกิดเรื่องอันใดขึ้น!”



ผู้ฝึกตนในแดนบูรพาทิศต่างตัวสั่นสะท้าน เอ่ยสนทนากันด้วยน้ำเสียงสั่นเทา



เมื่อคนจากราชวงศ์เหล่านั้นแผ่ลมหายใจสะท้านฟ้าสะเทือนดินออกมา พวกเขาพลันรู้สึกถูกแรงกดดันมหาศาลทับใส่ทันที กระทั่งหายใจยังยากลำบาก ประหนึ่งมีมีดจ่อลำคอ พร้อมปลิดชีพตนทุกเมื่อ!



“ลงมือเถิด”



คนผู้หนึ่งที่สวมกวานสีทองเปิดปากเอ่ย “กวาดล้างมดแมลงที่นี่ทิ้งเสีย แม้แต่ผู้เดียวก็อย่าปล่อยให้รอดไปได้ พวกเรายังจำเป็นต้องจัดวางฐานที่มั่น การช่วงชิงเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น!”



การยึดครองตอนนี้ไม่ได้หมายความว่าจะได้เป็นเจ้าของ การต่อสู้แย่งชิงหลังจากนี้จะต้องดุเดือดอย่างถึงที่สุด พวกเขาจำเป็นต้องมีฐานที่มั่น เปลี่ยนแปลงสถานที่แห่งนี้ให้กลายเป็นปราการเหล็ก ป้องกันการโจมตีจากกองกำลังอื่น



“เข้าใจแล้ว!”



“ไป!”



ยอดฝีมือคนอื่น ๆ จากราชวงศ์ต่างพากันเหยียดยิ้ม พร้อมออกไปกวาดล้างเต็มที่



ฟิ้ว!



ขณะนั้นเอง ลูกศรขนาดใหญ่พลันพุ่งแหวกอากาศ ความผันผวนที่แผ่ออกมาน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง ประหนึ่งดาวตกพุ่งลงมาจากฟากฟ้า พริบตาเดียวก็ถึงตัวยอดฝีมือราชวงศ์ผู้หนึ่งแล้ว



ยอดฝีมือของราชวงศ์ถูกโจมตีจนร่างกระเด็น และระเบิดออกกลายเป็นม่านหมอกโลหิต ถูกสังหารในทันที!


เฮือก!



มีเสียงสูดหายใจอย่างเย็นยะเยือก ยอดฝีมือของราชวงศ์คนอื่น ๆ ต่างตื่นตกใจ นั่นคือผู้ที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตโกลาหลแล้ว แม้จะยืนนิ่งให้ศัตรูโจมตี ก็ไม่อาจถูกสังหารตายได้อย่างง่ายดายเช่นนี้อย่างแน่นอน



แต่ตอนนี้เพียงแค่หนึ่งลูกศร กลับสามารถสังหารยอดฝีมือของราชวงศ์ได้ทันที เหล่ายอดฝีมือราชวงศ์คนอื่น ๆ ต่างไม่ทันได้ตอบสนอง เช่นนั้นแล้วจะไม่ให้พวกเขาหวาดกลัวได้อย่างไร!



เซี่ยเหยียนเดินออกมา ในมือถือคันศรราชัน ชายเสื้อสะบัดไหว สีหน้าเย็นชา



นางสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของยอดฝีมือราชวงศ์เหล่านี้ พวกเขาต้องการกวาดล้างสังหารผู้ฝึกตนทั้งหมดในแดนบูรพาทิศ!



ขณะเดียวกันนั้นเอง นางก็ยังสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในดินแดนอื่น ๆ บนอาณาจักร มีสิ่งมีชีวิตจำนวนมากกำลังทำการฆ่าล้างสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรแห่งนี้



“พวกเจ้ามาจากแดนบรรพโกลาหลแล้วคิดว่าจะสามารถกระทำการตามอำเภอใจได้อย่างนั้นหรือ? พวกเจ้าวิปลาสกันหรืออย่างไร?!”



นางกล่าวออกมาอย่างเย็นชา



ผนึกแดนบรรพโกลาหลถูกเปิดออก นางสัมผัสได้ว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มาจากด้านในแดนบรรพโกลาหล สิ่งนี้ทำให้นางโกรธอย่างถึงที่สุด สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ออกมาทำสิ่งใด? ต้องการฆ่าล้างสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในอาณาจักรแห่งนี้หรือ?



“มาจากแดนบรรพโกลาหล? เจ้าไม่ได้มาจากด้านในแดนบรรพโกลาหลอย่างนั้นหรือ?!”



“เป็นไปได้อย่างไร!”



สีหน้าของยอดฝีมือราชวงศ์ต่างพากันแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก เดิมทีพวกเขาคิดว่าเซี่ยเหยียนเองก็มาจากแดนบรรพโกลาหลเช่นเดียวกัน ทว่าหลังได้ยินสิ่งที่หญิงสาวผู้นี้เอ่ย ก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเซี่ยเหยียนไม่ได้มาจากแดนบรรพโกลาหล



พวกเขาไม่อยากจะเชื่อ สื่งมีชีวิตที่อยู่ภายนอกจะสามารถฝึกฝนมาจนถึงขั้นนี้ได้อย่างไร?!



“สหาย การที่ฝึกตนอยู่ภายนอกจนได้ถึงขั้นนี้ นับว่าไม่ง่ายเลย สิ่งที่ข้าอยากจะกล่าวกับสหายก็คือ สหายอย่าได้ยื่นมือเข้ามาเลย สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่สหายเพียงคนเดียวสามารถต่อต้านได้!”



ยอดฝีมือจากราชวงศ์ผู้สวมกวานทองเอ่ยออกมา



แม้จะตื่นตกใจกับความแข็งแกร่งทรงพลังของเซี่ยเหยียน แต่เขาก็ไม่ได้เกรงกลัวแต่อย่างใด ยอดฝีมือภายในราชวงศ์ส่วนใหญ่ไล่ตามมาติด ๆ เซี่ยเหยียนเพียงแค่คนเดียวจะสามารถจัดการพวกเขาทั้งหมดได้อย่างไร?



ไม่มีทางเป็นไปได้!



ไม่ว่าเซี่ยเหยียนจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ย่อมมีข้อจำกัด อย่างไรเสียเซี่ยเหยียนก็อาศัยอยู่ภายนอกแดนบรรพโกลาหล



เพียงพริบตาต่อมา กลางอากาศก็พลันบิดเบี้ยว ความผันผวนอันน่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายออกไป ยอดฝีมือราชวงศ์คนอื่น ๆ มาถึงแล้ว!



ครั้งนี้มียอดฝีมือจำนวนมาก พวกเขาตัดสินใจปักหลักในแดนบูรพาทิศ นี่จะเป็นการเริ่มต้นใหม่ของราชวงศ์!



“สหายยังเยาว์วัย อนาคตไร้ขีดจำกัด อย่าได้ทำเรื่องสิ้นคิดนำพาตนเองเข้าสู่ปัญหาเลย”



จักรพรรดิของราชวงศ์เองก็มาด้วย เขามองลงไปยังเซี่ยเหยียนด้วยท่าทางสง่างามน่าเกรงขาม “ตอนนี้ทุกสิ่งได้เปลี่ยนไปแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถต่อกรด้วยได้ สหายหากต้องการรักษาชีวิตตนไว้ ก็รีบจากไปเสีย!”



เขากล่าวต่อ “แต่หากสหายอยากยกระดับขึ้น เช่นนั้นก็ย่อมได้ ข้าสามารถให้สหายมาเข้าร่วมกับราชวงศ์ของพวกเรา สามารถทำให้สหายประหนึ่งทะยานขึ้นฟ้า ส่งขึ้นไปยังจุดที่สูงยิ่งขึ้น!”



เซี่ยเหยียนไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงแค่ยกคันศรในมือ ชี้ไปทางจักรพรรดิของราชวงศ์



“บังอาจ!”



จักรพรรดิของราชวงศ์ตวาด “ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว หากยิงศรออกมาอีก เจ้าจะไม่มีโอกาสที่สองอีกแล้ว จะต้องตายเท่านั้น!”



“ดี เช่นนั้นเจ้าก็ตายก่อนเถิด...”



สีหน้าของเซี่ยเหยียนไม่แยแส นางรั้งคันศรก่อนจะยิ่งลูกศรพุ่งตรงไปยังจักรพรรดิแห่งราชวงศ์



ตู้ม!



ยอดฝีมือคนอื่น ๆ จากราชวงศ์ต่างเคลื่อนไหว พลังทั้งหมดปะทุออกมาโดยไม่คิดเก็บงำเอาไว้ พวกเขาต้องการจะหยุดยั้งศรแสงดอกนี้ ไม่มีทางปล่อยให้มันพุ่งเข้าไปทำอันตรายกับจักรพรรดิของตนได้



ความแข็งแกร่งของคนเหล่านี้ไม่ธรรมดา สูงสุดอยู่ถึงขั้นห้าขอบเขตโกลาหล หลังจากพวกเขาลงมือ กระทั่งผืนอากาศขนาดใหญ่ก็จะพังทลาย กฎเกณฑ์อันน่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายออกไปทั่วบริเวณ



“เป็นเจ้าที่ส่งตัวเองเข้าสู่หนทางตาย!”



จักรพรรดิเหยียดยิ้ม ไม่ว่าเซี่ยเหยียนจะแข็งแกร่งมากเพียงใด ก็ไม่อาจต่อกรกับพวกเขาทั้งหมดได้อย่างแน่นอน



ทว่าเพียงแค่พริบตาต่อมา รอยยิ้มบนใบหน้าพลันแข็งค้าง แววตาที่แสดงออกมาเต็มไปด้วยความสยดสยองอย่างถึงที่สุด ราวกับได้พบพานสิ่งที่น่าสยดสยองที่สุดบนโลก!



ศรแสงพุ่งตรงเข้ามา แม้จะยังไม่เข้าใกล้ เหล่ายอดฝีมือที่ก้าวออกไปด้านหน้าเพื่อยับยั้งก็ล้วนถูกระลอกพลังที่แผ่ออกมาบั่นคอ สิ้นชีพลงในบัดดล!



“เป็นไปได้อย่างไร!”



จักรพรรดิตะโกนออกมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ เหตุใดเซี่ยเหยียนถึงได้แข็งแกร่งน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้? น่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว ช่องว่างความแตกต่างนั้นมากเกินไป!



ศรแสงดอกนั้นพุ่งใส่ทะลุร่าง เดิมทีเขานึกว่าตนเองจะตายเสียแล้ว ทว่ากลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น



ร่างของเขาระเบิดกลายเป็นกลุ่มหมอกเลือด เศษเนื้อและกระดูกปลิวว่อน ทว่าวิญญาณไม่ถูกทำลาย ยังคงมีชีวิตอยู่!



เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเซี่ยเหยียนไม่ได้ตั้งใจสังหารตน จงใจไว้ชีวิต ไม่เช่นนั้นเขาจะต้องไม่รอดอย่างแน่นอน!


“ดูแลคนของเจ้าให้ดี หากคนของเจ้ากล้าทำร้ายผู้ฝึกตนในอาณาจักรแห่งนี้ หรือแม้กระทั่งใบไม้ต้นหญ้า พวกเจ้าจะต้องได้เผชิญความตายอย่างแน่นอน!”



เซี่ยเหยียนเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา จากนั้นอันตรธานหายไป



เพียงพริบตาเดียวนางก็ไปถึงสถานที่อีกแห่ง สถานที่แห่งนี้มีอสูรร้ายกำลังอ้าปากกว้าง ต้องการจะกลืนกินสิ่งมีชีวิตทั้งหมดภายในเมืองเข้าไป



นางตบฝ่ามือออกไป กำจัดอสูรร้ายตนนั้นทิ้งทันที



นางเคลื่อนไหวต่อ ไล่สังหารสิ่งมีชีวิตที่ก่อความวุ่นวายทั่วทุกหนแห่ง



อันหลานเสวี่ย และพวกอ้ายฉานเองก็สำแดงฝีมืออย่างดุเดือดเช่นเดียวกัน



นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาได้เข้าร่วมการต่อสู้เช่นนี้ ก่อนหน้าพวกเขาก็เคยช่วยสกัดกั้นยอดฝีมือจากอาณาจักรต้องห้ามไม่ให้เข้ามายังอาณาจักรแห่งนี้



แดนฝอที่ต้าเต๋ออยู่ก็ถูกโจมตีเช่นเดียวกัน ต้าเต๋อพุ่งเข้าโรมรันตั้งแต่เหนือจรดใต้ ไล่สังหารตั้งแต่ทิศตะวันออกไปจนถึงทิศตะวันตก



“นี่มันอันใดกัน!”



เหตุใดจึงใดน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้?!



เหล่าสิ่งมีชีวิตจากชายขอบตื่นตกใจกลัว เหตุใดจึงรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้ช่างน่ากลัวยิ่งกว่าภายในแดนบรรพโกลาหลเสียอีก?!



พวกเขารีบหนีจากไปทันที เร่งร้อนกลับเข้าไปยังแดนบรรพโกลาหล สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นตื่นตกใจกลัวเสียจนล้มเลิกความคิดที่จะตั้งรกรากทันที



“กลับมาทำไม?”



“น่าสนใจจริง ๆ...”



สิ่งมีชีวิตภายในแดนบรรพโกลาหลสังเกตเห็นว่าเหล่าผู้ฝึกตนชายขอบพากันวิ่งหนีกลับมา สิ่งนี้ทำให้พวกเขาคิดไม่ถึง เกินความคาดหมายไปไกล



ดูจากสภาพสิ่งมีชีวิตชายขอบเหล่านั้นแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าถูกคนทุบตีส่งกลับมา!



แม้พวกเขาจะดูแคลนสิ่งมีชีวิตชายขอบเหล่านี้ ทว่าสิ่งมีชีวิตชายขอบก็ยังคงอาศัยอยู่ในแดนบรรพโกลาหล ย่อมต้องเหนือกว่าจนสิ่งมีชีวิตภายนอกไม่อาจเทียบได้ ทว่ากลับถูกทุบตีจนต้องหนีหัวซุกหัวซุนกลับมา พวกเขาไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้แม้แต่น้อย



ดูเหมือนภายนอกจะไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิด...



“ข้าจะออกไปดู ว่ามีสิ่งใดอยู่กันแน่!”



ครุฑปีกทองเอ่ยออกมาอย่างเหยียดหยาม มันกระพือปีกหนึ่งครา พุ่งบินออกไปนับแสนจั้ง ลมหายใจน่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมา ครู่เดียวมันก็ออกจากแดนบรรพโกลาหลไปยังดินแดนภายนอก



สิ่งมีชีวิตในแดนบรรพโกลาหลอื่น ๆ รีบตามไปทันที ทว่าพวกเขาไม่กล้าออกจากแดนบรรพโกลาหล จึงทำเพียงเฝ้ามองจากด้านใน



ครุฑปีกทองตนนี้คือหนึ่งในผู้เทียมทาน สามารถเทียบเคียงได้กับจ้าวดินแดนต่าง ๆ ในแดนบรรพโกลาหล หากกล่าวเพียงในแง่การต่อสู้แบบตัวต่อตัวแล้วยังสามารถนับได้ว่าแข็งแกร่งกว่าจ้าวดินแดนด้วยซ้ำ!



หลังจากครุฑปีกทองออกมา มันก็อาละวาดสำแดงเดช เพียงแค่ขยับปีกอย่างแผ่วเบา ทั้งฟ้าดินก็สั่นสะเทือน กฎเกณฑ์ทั้งหลายถูกทำลาย พลังเต๋าสวรรค์เองก็ยังถูกเหยียบไว้ใต้เท้ามัน



ขนปีกสีสวยสดงดงามยามเปล่งประกายเรืองรอง อีกทั้งพลังพิเศษที่ไหลเวียนยังส่งผลกระทบต่อความว่างเปล่า ก่อกวนเส้นเวลา ช่างน่าหวาดกลัวจนไม่อยากเชื่อ!



“ฝีมือผู้ใด? ออกมาสู้กับข้าเสีย แสดงให้ข้าเห็นว่าเจ้าแข็งแกร่งมากเพียงใด!”



มันตะโกนออกไปด้วยความผยองถือดี ไร้ซึ่งความกลัวเกรง

ครุฑปีกทองตะโกนลั่น เสียงอสนีบาตดังกัมปนาททั่วทั้งผืนฟ้าและผืนดิน สะท้านขวัญผู้ฝึกตนในอาณาจักรแห่งนี้จนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง พากันคว่ำหน้าลงพื้น



นี่คือสิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหลอย่างนั้นหรือ?



จนกระทั่งถึงตอนนี้แล้ว พวกเขาจะยังไม่เข้าใจได้อย่างไร การสังหารหมู่ในแดนต่าง ๆ รวมทั้งครุฑปีกทองตนนี้ ล้วนแต่มาจากแดนบรรพโกลาหล ไม่เช่นนั้นจะทรงพลังน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?



ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้!



ภายในใจของพวกเขาเศร้ารันทดอย่างถึงที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นยังรู้สึกว่าตนเองน่าขันยิ่งนัก



เมื่อนึกย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ที่พวกเขาเฝ้ารอให้แดนบรรพโกลาหลปรากฏบนโลกอย่างใจจดใจจ่อ อีกทั้งยังต้องการเข้าสู่แดนบรรพโกลาหลเพื่อแย่งชิงวาสนาการเปลี่ยนแปลง พวกเขาช่างโง่เขลาและน่าขบขันยิ่งนัก!



แย่งชิงอันใดกัน? ไขว่คว้าอันใดกัน?



พวกเขาล้วนตัวเล็กจ้อยและอ่อนแอ สิ่งมีชีวิตด้านในแดนบรรพโกลาหลสามารถกวาดล้างพวกตนได้อย่างง่ายดาย!



ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!



เส้นแสงเคลื่อนไหวพุ่งเข้ามา พวกต้าเต๋อปรากฏขึ้น โดยมีเซี่ยเหยียนนำหน้าพร้อมคันศรราชันในมือ



ยังมีคนอยากส่งตัวเองไปสู่หนทางตายอีกหรือ?!



เซี่ยเหยียนหรี่ตาลง ทว่าเมื่อเห็นครุฑปีกทอง ภายในใจของนางพลันรู้สึกยินดี



อ่า ปีกใหญ่สองข้างนั้นดูไม่เลว สามารถนำกลับไปให้คุณชายทำ ‘ปีกไก่ย่าง’ ได้



“เป็นพวกเจ้าหรือ? อย่าได้ก่อความวุ่นวาย...”



ครุฑปีกทองมองไปยังกลุ่มของเซี่ยเหยียน สีหน้าเต็มไปด้วยความดูแคลน “ขนยังไม่ทันขึ้นดีด้วยซ้ำ แต่กลับกล้าออกมาสร้างปัญหาเช่นนี้!”



พวกต้าเต๋ออายุเท่าไหร่กันเชียว ยังเป็นเพียงเด็กอายุไม่กี่ปี ส่วนเซี่ยเหยียนแม้โตกว่า แต่ก็ไม่ได้มีอายุมากแต่อย่างใด เพียงแค่ยี่สิบกว่าปีเท่านั้น



มันสามารถสัมผัสได้ถึงความเยาว์วัยและพลังชีวิตภายในลมหายใจ สิ่งนี้ไม่อาจปลอมแปลงได้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอายุจริงของเซี่ยเหยียนและพวกต้าเต๋อไม่แตกต่างอันใดไปจากรูปลักษณ์ภายนอก



“กล้าลงมือแต่ไม่กล้าโผล่หัวอย่างนั้นหรือ? ปล่อยให้เหล่ากลุ่มเด็กขนยังไม่ขึ้นดีออกมาหาที่ตายเช่นนี้ ช่างน่าขันยิ่งนัก!”



มันหัวเราะเยาะเย้ย ไม่เชื่อว่าพวกเซี่ยเหยียนจะทรงพลังถึงเพียงนั้นได้



ไม่มีทางเป็นไปได้!



แม้กระทั่งในแดนบรรพโกลาหล ก็ไม่มีผู้ใดในวัยยี่สิบกว่าสามารถครอบครองความแข็งแกร่งทรงพลังถึงขั้นนั้นได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเด็กอายุไม่กี่ปีเลย



“ปีกไก่ย่าง ของโปรดของข้า...”



ต้าเต๋อจับจ้องไปยังปีกของครุฑปีกทอง น้ำลายพลันไหลออกมาจากปาก อดพึมพำไม่ได้



“คิดเหมือนกัน”



เซี่ยเหยียนยิ้ม ต้าเต๋อกับนางคิดเหมือนกันไม่ผิด ต่างก็มุ่งความสนใจไปที่ปีกของครุฑปีกทอง



“บ้าไปแล้วหรือ?!”



น้ำเสียงของครุฑปีกทองเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบขึ้นมาทันที แสงเย็นยะเยือกเปล่งออกมาจากดวงตาทั้งสอง จิตสังหารพุ่งสูงอย่างไม่อาจหยุดยั้ง



คิดจะกินมันอย่างนั้นหรือ?



อีกทั้งยังเอ่ยว่าปีกของมันเป็น ‘ปีกไก่?!’



ตัวตนของมันเป็นเช่นไร จะไปเทียบกับ ‘ไก่’ ได้อย่างไร อีกทั้งยังจะมีสิ่งมีชีวิตหน้าไหนกล้าเอ่ยออกมาว่าอยากกินมัน!



“หากอยากตายก็ไม่ควรรนหาที่ตายด้วยวิธีเช่นนี้!”



“เกลียดชังที่ตนเองมีอายุยืนยาวไปหรือ!”



ในแดนบรรพโกลาหล สิ่งมีชีวิตจำนวนมากกำลังหัวเราะออกมา มีผู้หาญกล้าหยิ่งผยองต่อหน้าครุฑปีกทองเช่นนี้ นับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็น!



ครุฑปีกทองทรงพลังเป็นอย่างมากในแดนบรรพโกลาหล ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดกล้าแสดงท่าทางโอหังต่อหน้าครุฑปีกทองมาก่อน พวกเขาราวกับสามารถเห็นภาพในอนาคตที่พวกเซี่ยเหยียนจะถูกครุฑปีกทองฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ครุฑปีกทองไม่มีทางปล่อยพวกเซี่ยเหยียนไปโดยง่าย



“...นางสามารถสับปีกคู่นั้นมาได้จริง ๆ!”



จักรพรรดิที่พาสมาชิกราชวงศ์กลับไปยังแดนบรรพโกลาหลเอ่ยขึ้นมา



พวกเขาได้เผชิญกับความน่าสะพรึงกลัวของเซี่ยเหยียนด้วยตาตนเอง ศรแสงราวกับมีพลังไร้ที่สิ้นสุด น่าสะพรึงกลัว เขารู้สึกว่าศรแสงของเซี่ยเหยียนนั้นสามารถสังหารตัวตนเช่นจ้าวดินแดนได้!



ทว่าเขามีความกล้าเพียงพูดอยู่ในใจ ไม่กล้าเอ่ยออกมาต่อหน้า



หากพูดออกมา เหล่าสิ่งมีชีวิตในแดนบรรพโกลาหลจะไม่มีทางปล่อยตนไป ตอนนี้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในแดนบรรพโกลาหลเห็นได้ชัดว่าอยู่ในสภาพ ‘จับมือเพราะมีศัตรูร่วมกัน’ สิ่งที่เขาเอ่ยจะเท่ากับการหมิ่นศักดิ์ศรีของฝั่งแดนบรรพโกลาหล เช่นนั้นแล้วสิ่งมีชีวิตในแดนบรรพโกลาหลจะปล่อยเขาไปได้อย่างไร



“พวกเจ้าทุกคนต้องตาย!”



ครุฑปีกทองลงมือทันที พลังอันน่าสะพรึงกลัวมุ่งเป้าไปทางพวกเซี่ยเหยียน



มันไม่ได้ประมาทแต่อย่างใด ลงมืออย่างดุร้าย การโจมตีนั้นเพียงพอที่จะสังหารสิ่งมีชีวิตในขั้นหกของขอบเขตโกลาหล



แน่นอน มันย่อมไม่คิดว่าพวกเซี่ยเหยียนจะมีความแข็งแกร่งถึงขั้นหกของขอบเขตโกลาหล



เป้าหมายของมัน เพื่อป้องกันสิ่งมีชีวิตที่ยังไม่ปรากฏออกมา



ไม่ต้องสงสัยเลย บนอาณาจักรแห่งนี้จะต้องมีสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง ไม่เช่นนั้นสิ่งมีชีวิตชายขอบแดนบรรพโกลาหลจะไม่หนีกลับไปด้วยสภาพเช่นนั้น



“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”



เซี่ยเหยียนยกมือขึ้นรั้งคันศร นางบรรลุขั้นเก้าของขอบเขตโกลาหลเรียบร้อยแล้ว สิ่งมีชีวิตในขั้นแปดอย่างครุฑปีกทองจะสามารถเทียบเคียงได้อย่างไร



พลังจากศรแสงที่แผ่ออกมาน่าสะพรึงกลัวยิ่ง สามารถทำลายการโจมตีของครุฑปีกทองได้ในทันที



รูม่านตาของครุฑปีกทองหดลง ไม่คาดคิดสักนิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น



เดิมทีมันคิดว่าเซี่ยเหยียนไม่อาจนับเป็นสิ่งใดได้ ทว่ากลับกลายเป็นเซี่ยเหยียนนั้นทรงพลังและแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก!



มันตอบสนองอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็เคลื่อนออกไปไกลลิบโดยไร้ความลังเล ต้องการจะหลบเลี่ยงศรแสงนี้



ครุฑปีกทองถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับความเร็วอย่างถึงที่สุด สิ่งมีชีวิตอื่นล้วนไม่อาจเทียบเคียง หากมันใช้ความเร็วเต็มกำลัง แม้จะเป็นจ้าวดินแดน หรือกระทั่งสิ่งมีชีวิตที่อยู่ขั้นเก้าขอบเขตโกลาหลก็ไม่มีทางไล่ตามมันทันอย่างแน่นอน!



มันรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง ความเร็วทลายขีดจำกัดจนผู้คนไม่อาจรับรู้ตำแหน่งของมันได้



ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเซี่ยเหยียน ความเร็วสูงสุดนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเรื่องตลก



ศรแสงปักเข้ากลางอกของครุฑปีกทอง กระแทกมันลงกับพื้น ขนนกปลิวว่อน เช่นเดียวกับโลหิตที่สาดกระเซ็น



“อันใดกัน!”



สิ่งมีชีวิตแดนบรรพโกลาหลที่เฝ้ามองอยู่อดตื่นตะลึงไม่ได้ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ



ความเร็วถึงขีดสุดของครุฑปีกทองนั้นเลื่องชื่อในแดนบรรพโกลาหลเป็นอย่างยิ่ง ทว่าตอนนี้กลับถูกทำลาย พวกเขาจะไม่ตื่นตะลึงได้อย่างไร!



น่าสะเทือนขวัญเกินไปแล้ว!



แม้พวกเขาจะเห็นด้วยตาตนเอง แต่ก็ยังคงรู้สึกราวกับไม่ใช่ความจริง ประหนึ่งภาพฝัน



โฮก!



ครุฑปีกทองส่งเสียงกู่ร้อนดั่งลั่น สั่นสะเทือนทั้งขุนเขาและธารน้ำ มันคลุ้มคลั่งราววิปลาส มันไม่เคยต้องประสบกับความเลวร้ายเช่นนี้มาก่อน ขนจำนวนมากของมันพุ่งออกมา กลายเป็นคมดาบพุ่งไปทางเซี่ยเหยียน!



“ไร้ประโยชน์”



เซี่ยเหยียนยิงศรแสงออกไปอีกครั้งด้วยใบหน้านิ่งสงบ



ลูกศรทะยานผ่านขนนกจำนวนมาก เพียงพริบตาเดียว ขนนกทั้งหมดก็ร่วงลงสู่พื้น สูญเสียความเปล่งประกาย ไร้แสงใดประหนึ่งขนไก่ธรรมดา



ภายในใจของครุฑปีกทองสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ตอนนี้เหตุใดมันจึงไม่ตระหนักได้ถึงช่องว่างของตนเองกับเซี่ยเหยียน นี่เป็นตัวตนที่มันไม่อาจต่อกรได้อย่างสมบูรณ์!



มันสะบัดปีกทั้งสองข้าง หวังหนีไปจากสถานที่แห่งนี้กลับไปยังแดนบรรพโกลาหล



ทว่าทันทีที่ทะยานบิน ลูกศรดอกหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่หน้าอกของมัน ครั้งนี้มันล้มลงกับพื้น เลือดสาดกระเซ็นจนเจิ่งนองเป็นแอ่ง!



ตอนนี้มันหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด ภายในใจเต็มไปด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง มันอยู่ในแดนบรรพโกลาหลก็ดีแล้ว เหตุใดจึงต้องออกมาหาเรื่องใส่ตัวด้วย?



ดูเสีย คราวนี้มันอาจส่งตัวเองไปสู่หนทางตายจริง ๆ!



ขณะเดียวกัน มันก็ไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่ง เหตุใดเซี่ยเหยียนจึงน่าสะพรึงกลัวได้ถึงเพียงนี้?



ด้วยความแข็งแกร่งเช่นนี้ กระทั่งในแดนบรรพโกลาหลยังเป็นเรื่องยากที่จะฝึกฝน การที่เซี่ยเหยียนสามารถครอบครองพลังอันแข็งแกร่งน่าสะพรึงกลัวเพียงนี้ได้ เป็นได้เพียงแต่เรื่องละเมอฝัน ไม่น่าเชื่อเลยแม้แต่น้อย!”



ฉับ ฉับ!



เซี่ยเหยียนเปลี่ยนพลังให้กลายเป็นใบมีด ตัดปีกทั้งคู่ของครุฑปีกทองทันที “กลับไปเสีย อย่าได้ออกมาอีก ไม่เช่นนั้นครั้งต่อไปจะเป็นหัวของเจ้าที่ถูกตัด!”



“เข้า… เข้าใจแล้ว!”



ครุฑปีกทองพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะรีบหนีกลับไปยังแดนบรรพโกลาหล



ใบหน้าของมันมืดครึ้ม รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่ง รีบหลบหนีออกจากสายตาของเหล่าสิ่งมีชีวิตให้แดนบรรพโกลาหล โดยไม่รั้งรอแม้แต่ครู่เดียว



“นะ… นี่?”



“ครุฑปีกทองถูกตัดปีก?!”



สิ่งมีชีวิตในแดนบรรพโกลาหลต่างตื่นตะลึง ขนลุก หนังศีรษะชาวาบ



พวกเขาไม่คิดเลยว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะออกมาเป็นเช่นนี้!



ครุฑปีกทองแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ แต่กลับถูกตัดปีก นี่คืออันใดกัน อาณาจักรภายนอกน่าสะพรึงกลัวถึงปานนี้เลยหรือ?!



...



แดนฮวง



บนเกาะแห่งหนึ่ง



เมื่อสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนเกาะเห็นการต่อสู้ ดวงตาก็แทบถลนออกมา ความหวาดกลัวอันไร้ที่สิ้นสุดปรากฏขึ้นในใจ



“ยังดีที่ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดร้ายแรง เพียงอยู่ที่นี่อย่างสงบสุข!”



ในใจของเขาเต็มไปด้วยความยินดี ไม่คาดคิดแม้แต่น้อยว่าจะมีตัวตนทรงพลังน่าหวาดหวั่นเช่นนี้อยู่ภายในอาณาจักรแห่งนี้



ใช่แล้ว เขาเองก็เป็นสิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหลเช่นเดียวกัน ทว่าไม่ได้ออกมาหลังจากผนึกคลายออก แต่ร่วงลงมาจากรอยแยกเมื่อนานมาแล้ว



หลังจากออกมาเขาก็อยู่แค่บนเกาะเท่านั้น ไม่ได้ออกไปไหนเลย



เขาคือยอดฝีมือจากแดนบรรพโกลาหลที่บรรพจารย์ฝูเคยมาหา



“แต่เกรงว่าเรื่องราวอาจไม่จบลงโดยง่ายถึงเพียงนั้น...”



เขารำพึง “เผ่าครุฑปีกทองมีชื่อเสียงด้านการเข้าข้างพรรคพวก บรรพจารย์ของตระกูลไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีแต่อย่างใด เมื่อครั้งครุฑปีกทองตนนี้ยังเด็ก เคยต่อสู้แต่กลับพ่ายแพ้จนต้องเสียขนไป บรรพจารย์ก็ไปเยือนบ้านคู่ต่อสู้ จากนั้นก็ทำลายกองกำลังทั้งหมดของคนผู้นั้นทิ้ง!”



ครั้งนี้ครุฑปีกทองถูกตัดปีกทั้งสองข้าง ทั้งยังอาจถูกนำไปย่างกิน บรรพจารย์ครุฑปีกทองย่อมไม่อาจปล่อยไป จะต้องแก้แค้นในภายหลังอย่างแน่นอน



เรื่องนี้ไม่อาจมองในแง่ดีได้เลย



อย่างไรเสียบรรพจารย์ครุฑปีกทองก็ดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง นับได้ว่าอยู่บนเพดานของแดนบรรพโกลาหล บรรลุขั้นเก้าขอบเขตบรรพโกลาหลมานานจนไม่อาจนับปี ตอนนี้เกรงว่าน่าจะยิ่งแข็งแกร่งกว่าเดิม!



“ช่างเถิด ช่างเถิด ทั้งหมดล้วนแล้วไม่เกี่ยวข้องกับข้า เพียงแค่อยู่เฉย ๆ ไม่ก่อเรื่องสร้างความวุ่นวายอันใด!”



เขาเอ่ยกับตนเอง ตอนนี้ไม่สามารถทำตามอำเภอใจได้ ไม่เช่นนั้นชีวิตคงสูญสิ้น



สิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหลที่ตกลงมาตั้งแต่ตอนก่อนหน้า ต่างก็เห็นพ้องต้องกัน อย่าเสนอหน้าออกไปจะเป็นการดีที่สุด



“ไม่นะ!”



ณ สถานที่แห่งหนึ่ง บรรพจารย์ฝูมองเซี่ยเหยียนที่มีท่าทางไร้พ่ายแล้ว ก็เข้าใจได้ทันทีว่าหญ้าที่เขาคิดว่าล้ำค่าล้วนเป็นของปลอมทั้งหมด!



เหตุผลที่ใบหญ้าสามารถปะทุพลังที่น่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนั้น ไม่ใช่เพราะตัวหญ้าทรงพลังเป็นอย่างมาก แต่เนื่องจากหลี่จิ่วเต้านั้นแข็งแกร่งเกินไป เพียงแค่หญ้าใบเดียวก็สามารถสังหารศัตรูทั้งหมดสิ้น!



“ไม่น่าแปลกใจเลยที่ยอดฝีมือจากแดนบรรพโกลาหลทุบตีข้าเช่นนั้น ทั้งยังเหยียบย่ำหญ้าที่ข้านำไปจนเละเทะ! โชคดีแค่ไหนที่ข้ายังมีชีวิตอยู่!”



เหงื่อเย็นเยียบหลั่งชโลมทั่วร่างของเขา นึกถึงตอนที่ตนเองนำหญ้าเหล่านั้นไปให้ยอดฝีมือจากแดนบรรพโกลาหล



นั่นเป็นเพียงแค่หญ้าธรรมดาจริง ๆ นับเป็นโชคอย่างใหญ่หลวงที่ยอดฝีมือแดนบรรพโกลาหลไม่สังหารตน!



...



เมืองชิงซาน



ที่แห่งนี้สงบสุขเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีเรื่องวุ่นวายใด ๆ แม้ด้านนอกเกิดเรื่องใหญ่ ด้านในก็ไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย



กระทั่งชาวบ้านปุถุชนทั่วไปก็ยังไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด



ในลานเล็ก ๆ ของหลี่จิ่วเต้า



หลี่จิ่วเต้ายังคงวาดภาพอยู่ในห้องหนังสือ ภาพที่เขาวาดเสร็จเรียบร้อยมีอยู่จำนวนมาก ตอนนี้ภาพทิวทัศน์ทั้งหมดในดินแดนหยินเสร็จเรียบร้อยแล้ว



ลั่วสุ่ยยืนอยู่เงียบ ๆ ข้างโต๊ะ คอยช่วยฝนหมึกให้คุณชายใช้วาดภาพ



“ภาพวาดเหล่านี้มีความหมายเช่นไรกัน?”



ภายในใจนางสงสัยเป็นอย่างยิ่ง ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ คุณชายหมกมุ่นอยู่กับการวาดภาพ ตัวนางเองก็รู้สึกมาตั้งแต่แรกว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน



เกรงว่าภาพเหล่านี้จะสามารถสร้างผลกระทบได้อย่างมหาศาล!


ฟังจบแล้วถ้าใครอยากสนับสนุนช่องโดเนท ให้ช่องของเราเดินหน้าต่อได้เร็วขึ้น หรืออยากขอนิยาย

ช่องทางสนับสนุนช่องอยู่ใต้ลิงค์คลิปชั่นนะครับ