771-775

 ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่นิยายระบบ ก่อนที่จะรับฟังช่วยกดไลค์และกด subscribe เป็นกำลังใจด้วยนะครับ


นิยายเสียง อยู่ดีดีข้าก็เป็นเซียน


บทที่ 771ถึง 775

หลังจากออกมาแล้ว ซีก็ยังคงเดินตามเส้นทางของตนต่อไป



“หวังว่าทุกอย่างจะจบลงเพียงนี้...”



นางรำพึงกับตนเอง ลางสังหรณ์บอกว่าเรื่องจะไม่จบลงเพียงแค่นี้



ทว่านางก็ไม่ได้เกรงกลัวสิ่งใด



หากเทียนหมิงไม่รู้จักแยกแยะจริง ๆ ก็มีเพียงเทียนหมิงเท่านั้นที่จะต้องประสบเคราะห์



อาภรณ์สีขาวสะบัดไหว นางเดินเยื้องย่างท่ามกลางหมู่ดาว ในไม่ช้าก็ถึงปลายขอบนอกจักรวาลโกลาหลแห่งหนึ่ง



“นี่...น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!”



นางยืนอยู่ปลายขอบ มองดูดวงดาราภายในจักรวาลโกลาหลแห่งนั้น ในแววตาฉายความประหลาดใจ



ดวงดาราในจักรวาลโกลาหลแห่งนี้ต่างเปล่งประกายเจิดจ้าสว่างไสว สสารอันเหนือชั้นวิ่งพล่าน ห่างชั้นเป็นอย่างยิ่งกับจักรวาลโกลาหลที่นางอาศัยอยุ่



“ไป”



นางตรงเข้าไปยังจักรวาลโกลาหลแห่งนี้โดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย



สำหรับนางแล้ว การเข้าไปยังสถานที่แห่งนี้คือสิ่งจำเป็น



สิ่งที่นางต้องการมากที่สุดในตอนนี้คือสถานที่อันเหนือชั้น สามารถทำให้นางฝึกฝนได้อย่างรวดเร็ว!



ทันทีที่นางเข้าสู้จักรวาลโกลาหล ก็สามารถสัมผัสได้ว่าร่างกายของนางกระฉับกระเฉงขึ้นมาเป็นพิเศษ สสารฝึกฝนอันเหนือชั้นทั้งหมดถูกดูดเข้าไปในร่างของนางอย่างรวดเร็ว ก่อนแปรเปลี่ยนกลายเป็นพลังของนาง



“ไปที่นั่นก่อนก็แล้วกัน!”



นางพบเข้ากับดาวดวงหนึ่งอย่างรวดเร็ว



ดาวดวงนั้นเป็นดาวที่ใหญ่สุดในจักรวาลโกลาหลแห่งนี้ อีกทั้งยังเป็นแกนกลางของจักรวาลโกลาหลแห่งนี้อีกด้วย ดาราดวงอื่นล้วนแต่โคจรรอบดาวดวงนั้น



อีกทั้งดาวดวงนั้นยังมีสสารมากและยอดเยี่ยมที่สุด นางต้องการจะเข้าไปที่นั้นเพื่อฝึกฝน



นางตรงไปทางดาวดวงนั้นทันที



เพียงแค่อึดใจเดียว นางก็เข้าสู่พื้นที่ด้านในของดาวดวงนั้นทันที



ดาวแห่งนี้รุ่งโรจน์ยิ่ง มีสิ่งมีชีวิตจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน แต่ละคนล้วนทรงพลังนัก ซีมองเห็นสิ่งมีชีวิตในขอบเขตโกลาหลจำนวนไม่น้อย ถือว่ามากกว่าในแดนบรรพโกลาหลอยู่มาก



“ที่แห่งนั้นมีสสารยอดเยี่ยมที่สุด!”



ดวงตาของนางเปล่งประกาย มุ่งเป้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่งทันที ที่ตรงนั้นยอดเยี่ยมยิ่งกว่าสถานที่อื่น ๆ หากนางสามารถฝึกฝนที่นั่นได้ ความเร็วของการฝึกฝนจนเพิ่มมากสุดอย่างไม่ต้องสงสัย



ทว่านางก็ไม่ได้เร่งร้อนไปที่นั่นทันที



สถานที่เหนือชั้นแห่งนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ไม่สามารถเข้าไปตามอำเภอใจได้



หลังจากได้สอบถามเพียงเล็กน้อย นางก็ได้รู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของสถานที่ตรงนั้น



มีเต่าชราตัวหนึ่งอาศัยอยู่ที่นั่น ทั่วทั้งบริเวณล้วนเป็นอาณาเขตของมัน ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดกล้าอย่างกรายเข้าไปโดยง่าย เต่าชราตนนั้นแข็งแกร่งไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง



“ลองไปดูเสียหน่อย”



นางตัดสินใจลองไปดูว่าจะสามารถฝึกฝนในสถานที่แห่งนั้นหรือไม่ ถ้าไม่ได้ นางก็จะตามหาสถานที่แห่งอื่นเพื่อฝึกฝน



ใช้เวลาเพียงไม่นาน นางก็ไปถึงยังสถานที่แห่งนั้น



มีโรงฝึกขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางฟ้า ครอบครองแก่นกลางของสสารอันเหนือชั้น นั่นคือลานเต๋าของเต่าชรา



เต่าชราอาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้เพียงลำพังมาเป็นเวลานานแล้ว อีกทั้งยังไม่เคยรับลูกศิษย์มาก่อน



“ผู้อาวุโส ท่านอยู่หรือไม่?”



นางไปยังลานเต๋าแล้วเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความเคารพ



ประตูใหญ่ลานเต่าถูกปิดแน่น นางไม่ได้รับคำตอบกลับมาแต่อย่างใด



“ผู้น้อยมาเยี่ยมเยียนด้วยความจริงใจ หวังว่าจะได้พบท่านผู้อาวุโส”



ซีกล่าวขึ้นมา “ข้าสามารถช่วยผู้อาวุโสแก้ไขปัญหาด้านการฝึกฝนได้”



นางไม่ได้คุยโวโอ้อวด สามารถช่วยเหลือเต่าชราได้อย่างแน่นอน



ไม่ว่าเต่าชราจะอยู่ในขอบเขตหรือไม่ก็ตาม



เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อย เมื่อตอนยังอยู่ในแดนบรรพโกลาหลนางก็ประสบความสำเร็จมากมาย



ไม่ว่าจะเป็นวิชาระดับสูงล้ำเพียงใด นางก็สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้โดยการมองเพียงแค่ครั้งเดียว อีกทั้งยังสามารถค้นพบจุดบกพร่องได้



กระทั่งตัวนางยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ ทว่านี่ก็เป็นความจริง คนผู้นั้นทรงพลังมากเกินไป ร่างกายของนางที่ถูกปรับเปลี่ยนนั้นสะท้านฟ้าอย่างถึงที่สุด



“สามารถช่วยข้าแก้ไขปัญหาด้านการฝึกฝนได้อย่างนั้นหรือ?”



คราวนี้มีเสียงตอบรับกลับมา ประตูใหญ่ของลานเต๋าถูกเปิดออกพร้อมกับร่างของเต่าชราที่ทะยานออกมา



“เจ้าพูดจริงอย่างนั้นหรือ?”



มันมองซีด้วยแววตาเปี่ยมด้วยความสงสัย มันสามารถสัมผัสได้ถึงขอบเขตของซีซึ่งอยู่ในขั้นที่สามของขอบเขตโกลาหล เมื่อเทียบกับมันแล้ว ยังนับว่าต่ำมากนัก



“ข้าบ้าไปแล้วจริง ๆ! เหตุใดจึงเชื่อแต่โดยง่าย!”



เต่าชราส่ายหัวหลายครั้ง จากนั้นก็ทะยานกลับเข้าไปในลานเต๋าแล้วปิดประตูใหญ่ลง



มันอยู่ในขั้นที่เก้าขอบเขตโกลาหล ทั้งยังฝึกฝนจนถึงระดับสมบูรณ์สูงสุด เช่นนั้นแล้วผู้ที่อยู่ในขั้นที่สามขอบเขตโกลาหลอย่างซีจะช่วยเหลือมันได้อย่างไร?



เป็นมันที่ต้องช่วยซีเสียมากกว่า!



“ผู้อาวุโสอย่าได้ทำเช่นนี้!”



ซีเอ่ยออกมาอย่างหัวเราะก็ไม่ออกร้องไห้ก็ไม่ได้ “ผู้อาวุโส ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ควรให้โอกาสข้าได้แสดงความสามารถสักครั้ง!”



เฒ่าชราผู้นี้เร็วเกินไปแล้ว ไม่ใช้โอกาสนางแม้แต่น้อย



“จิตใจของข้าวุ่นวายเป็นอย่างมาก อย่าได้มายุ่งกับข้าอีก ออกไปเสียเดี๋ยวนี้!”



เสียงของเต่าชราดังมาจากด้านในลานเต๋า



มันกำลังวุ่นวายใจอย่างมากจริง ๆ สาเหตุหลักเป็นเพราะมันติดอยู่ในขั้นที่เก้าขอบเขตโกลาหลมาเป็นเวลานานเกินไป อย่างน้อยก็หลายร้อยล้านปี อีกทั้งเมื่อไม่นานมานี้ มันได้เห็นคนรุ่นหลังทลายขอบเขตโกลาหล หลุดพ้นออกจากโกลาหล ทำให้มันยิ่งวุ่นวายใจมากกว่าเดิม



นั่นคือชนรุ่นหลังที่มีอายุน้อยกว่ามันไม่รู้เท่าไหร่ แต่กลับสามารถทลายขอบเขตโกลาหลได้ ทำให้มันได้รับผลกระทบอย่างหนัก



ไม่เช่นนั้นมันคงไม่ทะยานออกมาจากลานเต๋าทันทีที่ได้ยินว่าซีสามารถช่วยเหลือมันได้ มันต้องการจะทลายขอบเขตโกลาหลจริง ๆ



“ผู้อาวุโสให้โอกาสข้าสักครั้งเถิด เพียงแค่ครั้งเดียว! หากข้าทำไม่ได้ ถึงเวลานั้นผู้อาวุโสสามารถฆ่าแกงข้าได้ตามใจชอบ!” ซีเอ่ยขึ้นมา



“ข้าจะให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่ง เข้ามาเสีย”



เฒ่าชราตอบกลับพร้อมเปิดประตูลานเต๋าให้ซี



“ขอบคุณผู้อาวุโส”



ซีรีบเอ่ยขอบคุณ จากนั้นก็เข้าไปด้านในลานเต๋า



สถานที่แห่งนี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ ทันทีที่ซีเข้ามาก็สามารถสัมผัสได้ถึงสสารฝึกฝนที่เหนือชั้นเป็นอย่างยิ่ง หากสามารถฝึกฝนอยู่ที่นี่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง นางจะต้องสามารถพัฒนาอย่างก้าวกระโดดได้อย่างแน่นอน!



“เจ้ากล่าวว่าเจ้าสามารถช่วยข้าฝึกฝนใช่หรือไม่?”



เต่าชราปรากฏตัวเบื้องหน้าซี



“ใช่” ซีพยักหน้าอย่างมั่นใจ



“อย่าโกหกข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะจัดการเจ้าอย่างแน่นอน!”



เต่าชราเอ่ยออกมาอย่างดุร้าย ตอนนี้การกระทำของมันคือ การรักษาม้าตายประดุจม้าเป็นอย่างสมบูรณ์ ไม่เช่นนั้นแล้วมันคงจะไม่ยอมให้ซีเข้ามา



“ท่านผู้อาวุโสวางใจได้” ซีตอบกลับ



“เช่นนั้นก็ดี ข้าจะถามเจ้า เจ้ารู้หนทางในการทำให้ข้าสามารถทะลายขอบเขตโกลาหล หลุดพ้นจากโกลาหลอย่างนั้นหรือ?” เต่าชราถาม



“ไม่รู้” ซีส่ายศีรษะ



“เช่นนั้นเจ้ารู้ว่าการฝึกฝนของข้ามีปัญหาที่จุดใดอย่างนั้นหรือ?”



เต่าชราระงับความกรุ่นโกรธในใจลงแล้วเอ่ยถามซี



“ไม่รู้”



ซียังคงส่ายศีรษะ



“ไม่รู้!?”



เต่าชราระเบิดความโกรธออกมาทันที “เจ้าไม่รู้อันใดสักนิด กล้าดีอย่างไรมาบอกว่าสามารถช่วยข้าได้! เจ้ามาที่นี่เพื่อแกล้งหยอกล้อข้าอย่างนั้นหรือ!?”



หนี่งคำถามสามไม่รู้!*[1]



มันโกรธจนมีจิตสังหารแผ่ออกมาจากร่าง



“ผู้อาวุโสอย่าได้โมโหไปเลย ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าท่านมีปัญหาอันใดในการฝึกฝน และก็ไม่รู้ว่าท่านจะสามารถทลายขอบเขตโกลาหลได้อย่างไร”



ซีรีบเอ่ยออกมา “แต่ข้าสามารถช่วยท่านได้จริง ๆ! ข้าสามารถช่วยชี้ข้อบกพร่อง ทำให้วิชาของผู้อาวุโสสมบูรณ์ได้!”



จากนั้นนางก็กล่าวต่อ “ผู้อาวุโส ท่านสามารถทำวิชาที่ท่านฝึกฝนออกมาได้หรือไม่ ข้าสามารถช่วยทำให้วิชาสมบูรณ์แบบได้ทันที!”



“วิชาสมบูรณ์แบบ? ข้าไม่เชื่อ! เจ้าคิดหลอกข้าเพราะอยากได้วิชาใช่หรือไม่?”



เต่าชราเปี่ยมจิตสังหาร



ผู้ที่อยู่เพียงแค่ขั้นที่สามขอบเขตโกลาหล จะสามารถทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร?



มันคลางแคลงเป็นอย่างยิ่ง!



“ข้าจะกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร หากผู้อาวุโสไม่เชื่อ ก็สามารถเริ่มลองจากวิชาที่ระดับไม่สูงก็ได้”



ซีกล่าว “ข้าไม่สามารถนำชีวิตของตนเองมาล้อเล่นได้”



เต่าชราขบคิด ก่อนจะเริ่มเห็นพ้อง



ซีนั้นอยู่แค่ขั้นสามขอบเขตโกลาหล เพียงแค่มันจามก็สามารถสังหารทิ้งได้แล้ว ต่อให้มอบความกล้ามากกว่านี้หมื่นเท่าให้ ซีก็จะยังไม่กล้าล้อเล่นกับมัน บางทีซีอาจสามารถทำเรื่องเช่นนั้นได้จริง ๆ



“เช่นนั้นเจ้าก็ลองดูวิชานี้เสีย”



มันหยิบวิชาออกมาหนึ่งม้วนมอบให้ซี



วิชานี้ไม่ได้ล้ำค่าจนเกินไป มันไม่กลัวว่าจะรั่วไหล ต่อให้หลุดออกไปก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด



“ตกลง”



ซีนับม้วนวิชามา ดูตั้งแต่ต้นจนจบ จากนั้นก็ปิดทันที



นางเริ่มสำแดงวิชาออกมาครั้งหนึ่ง เต่าชราเห็นแล้วก็ตกตะลึง นี่เป็นวิชาที่มันสร้างขึ้นมาเอง มันย่อมกระจ่างแจ้งเข้าใจมากที่สุด



ซีนั้นด้วยการดูเพียงแค่ครั้งเดียวก็สามารถค้นพบข้อบกพร่องของวิชาได้จริง ๆ อีกทั้งยังปรับปรุงทันที วิชาที่สำแดงออกมาตอนนี้เมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งดั้งเดิมของวิชา นับว่าแข็งแกร่งกว่าไม่รู้ตั้งกี่เท่า!



“เจ้าทำได้อย่างไรกัน!?”



สีหน้าของมันแปลกประหลาด นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว มันแน่ใจเป็นอย่างยิ่งว่าวิชานี้ของมันไม่เคยรั่วไหลออกไปภายนอก มีเพียงแค่ตัวมันเท่านั้นที่รู้ หมายความว่าซีสามารถเข้าใจวิชาได้อย่างถ่องแท้โดยการมองเพียงแค่ครั้งเดียว ทั้งยังปรับปรุงให้สมบูรณ์ ลบเลือนข้อบกพร่องทั้งหมด!



“พรสวรรค์...” ซีตอบ



“ยังมีพรสวรรค์เช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?”



ดวงตาของเต่าชราเป็นประกายซับซ้อน สิ่งนี้ยากจะเชื่อเกินไป พรสวรรค์เช่นนี้วิปริตสะท้านฟ้าเกินไปแล้ว หากเป็นเรื่องจริง การฝึกฝนจะไม่ใช่เรื่องยากยิ่งอีกต่อไป แต่จะแปรเปลี่ยนเป็นง่ายดายประหนึ่งการดื่มน้ำธรรมดา ๆ



“เจ้าลองดูวิชานี้อีกครั้ง!”



มันหยิบตำราออกมาหนึ่งเล่ม ก่อนจะยื่นให้ซี



นี่เป็นวิชาหลักที่มันฝึกฝน หากซีสามารถปรับปรุงและลบข้อบกพร่องได้จริง ๆ มันจะต้องตอบแทนครั้งใหญ่อย่างแน่นอน



ซีรับวิชามาดูหนึ่งรอบ จากนั้นก็ส่งคืนกลับให้เต่าชรา



เสร็จแล้วนางก็เริ่มสำแดงวิชาออกมาทันที ภาพเดิมเกิดขึ้นอีกครั้ง วิชาถูกนางปรับปรุงจนสมบูรณ์ ข้อบกพร่องทั้งหมดถูกลบทิ้ง!



“เป็น...เป็นเรื่องจริง!”



เต่าชราพูดติดอ่างขึ้นมาเสียแล้ว สวรรค์ เขามีมหาโชคลาภสะท้านฟ้าอยู่หรือ? จึงมีโอกาสได้มาพบกับซี!



ด้วยวิชาที่ซีปรับปรุงแล้ว มันสามารถมองเห็นโอกาสในการทลายขอบเขตโกลาหล มันตื่นเต้นเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้ ในที่สุดมันก็สามารถหลุดพ้นจากโกลาหล ก้าวขึ้นไปยังขอบเขตที่สูงขึ้น!



“ได้โปรดท่านช่วยสอนข้าด้วย!”



ทัศนคติที่เต่าชรามีต่อซีแปรเปลี่ยนไปในทันที เขาขอร้องให้ซีสอนวิชาที่ปรับปรุงแล้วให้กับเขา



“ไม่มีปัญหา”



ซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทว่าข้าอยากจะฝึกฝนอยู่ที่นี่สักระยะจะได้หรือไม่?”



“โปรดลบคำว่า ‘ได้หรือไม่’ ออกไปเถิด ท่านสามารถฝึกฝนอยู่ที่นี่ได้ จะให้ข้าบริการน้ำชาให้ด้วยก็ไม่มีปัญหา!” เต่าชราเอ่ย



“ตกลง”



ซีแย้มยิ้มเจิดจ้า มีความสุขเป็นอย่างยิ่ง



ทว่าเพียงแค่พริบตาเดียว สีหน้าของนางก็พลันแปรเปลี่ยน คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน



นางสัมผัสได้ถึงลมหายใจของสิ่งมีชีวิตที่มุ่งเป้ามาที่ตัวนาง!



“นี่ไล่ตามมาอย่างนั้นหรือ?”



นางถอนหายใจออกมา ลางสังหรณ์ก่อนหน้านี้ไม่ผิด เรื่องยังคงไม่จบลงจริง ๆ...



“ไล่ตามมา? อันใดกัน มีคนไล่ตามท่านอย่างนั้นหรือ?”



เต่าชราได้ยินคำพูดของซี ทั้งยังเห็นว่าซีถอนหายใจ จึงคิดว่านางกำลังถูกตามล่าสังหาร



“ท่านวางใจได้ มีข้าอยู่ที่นี่ ไม่มีผู้ใดสามารถแตะต้องท่านได้!”



มันกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อทันที “เต่าชราเช่นข้าไม่อาจพูดได้ว่าไร้ผู้ต้านทาน แต่โดยปกติแล้วก็ยากจะหาผู้ต่อกรได้ คนไม่มีตาที่ใดถึงกับไล่สังหารท่านได้ ข้าจะต้องสับคนผู้นั้นให้กลายเป็นชิ้น ๆ!”



หลังจากนั้นมันก็ส่งซีไปยังส่วนลึกของลานเต๋า



“ท่านคอยดูอยู่ตรงนั้นเถิด เช่นนั้นเลือดจะได้ไม่กระเด็นไปโดนท่านด้วย!” มันกล่าวกับซี





[1] หนี่งคำถามสามไม่รู้ (一问三不知) หมายถึง ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ไม่รู้อะไรเลย

เต่าชรามั่นใจเป็นอย่างมาก ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลอื่น ในจักรวาลโกลาหลแห่งนี้ นอกจากพวกที่หลุดพ้นออกไปแล้ว มันก็เป็นดั่งทรราชผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดสามารถเทียบเคียงได้



“ข้าไม่ได้ขยับมือเท้ามานานแล้ว วันนี้ข้าจะสำแดงบารมีเต่าชราให้ดู!”



เต่าชรายืดตัวตรงพร้อมเอ่ยออกมา พร้อมกับใช้ฝ่าเท้าเต่าตบลงบนหน้าอกของตนเอง



ส่วนลึกของลานเต๋า บริเวณที่ซีถูกพาเข้าไป



เมื่อนางได้ยินคำพูดของเต่าชรา ก็อดรู้สึกจะร้องไห้ก็ไม่ได้จะหัวเราะก็ไม่ออกทันที



คำพูดของเต่าชราใหญ่โตเกินไปแล้ว



นางรู้ดีว่าพวกเทียนหมิงนั้นแข็งแกร่งเพียงใด



ไม่ต้องพูดถึงเทียนหมิงที่นางไม่อาจมองทะลุความลึกล้ำ เพียงแค่สิ่งมีชีวิตที่หลุดพ้นโกลาหลเข้าสู่ขอบเขตลอยชายจำนวนมากบนเรือเดินสมุทรก็ย่ำแย่แล้ว



หากเต่าชราต้องการลงมือจริง เกรงว่ากระดองเต่าคงจะโดนทุบแต่ตั้งแต่เพิ่งเริ่มเสียด้วยซ้ำ!



นางอ้าปากต้องการจะพูดบางสิ่งออกมา ทว่าก่อนที่นางจะส่งเสียงออกไปก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน



คนเหล่านั้น...มาแล้ว!



เพียงแค่ชั่วพริบตาต่อมา ก็มีหลายร่างฉีกความว่างเปล่าปรากฏตัวออกมา



“คนพวกนี้เป็นใครกัน?”



ซีรู้สึกคาดไม่ถึงจนสีหน้าเกิดการเปลี่ยนแปลง นางไม่รู้จักคนเหล่านี้ และก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อน



นางคิดว่าเป็นคนจากตระกูลเทียนที่ไล่ตามมา แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เช่นนั้น?



ทว่าซีก็รู้ได้อย่างรวดเร็วว่าตนเองไม่ได้คิดผิด คนเหล่านี้เกี่ยวข้องกับเทียนหมิงจริง ๆ



“น้องห้าของข้าไม่เคยดูแคลนเจ้าเพราะขอบเขตที่ต่ำต้อย ทั้งยังเชื้อเชิญเจ้าด้วยความจริงใจ ทว่าเจ้ากลับไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ลงมือหนักหน่วงกับน้องห้าของข้า!”



ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ยืนอยู่บนฟ้าสูง มองซีด้วยแววตาคมกริบ



“เจ้าคิดว่าตระกูลเทียนของพวกเราสามารถรังแกได้อย่างนั้นหรือ?”



เขาเอ่ยออกมาด้วยเสียงเย็นชา “น้องห้าของข้าเปี่ยมด้วยคุณธรรม ไม่อยากใส่ใจคนตัวจ้อยเช่นเจ้า แต่เรื่องนี้สำหรับข้าแล้ว ไม่สามารถปล่อยไปเช่นนี้ได้...”



ซีเลิกคิ้ว น้องห้าที่เอ่ยถึงคือเทียนหมิงใช่หรือไม่?



“เจ้าเลยระดมพลมาที่นี่อย่างนั้นหรือ?”



ซีมองไปที่ชายวัยกลางคนแล้วเอ่ยออกมา “เชื้อเชิญข้า แล้วข้าจำต้องยอมรับอย่างนั้นหรือ? ข้าปฏิเสธก็ผิดหรือ? พวกเจ้าเอาแต่ดึงดัน ทั้ง ๆ ที่ข้าปฏิเสธออกไปแล้วหลายครั้ง แสดงให้เห็นอย่าชัดเจนว่าข้าไม่มีเจตนาอยากเข้าร่วม กระทั่งคัมภีร์ฟ้าที่พวกเจ้านำออกมา ข้าก็ยังไม่เคยเปิดดู! พวกเจ้าเอาแต่วางท่าทางสูงส่ง พูดซ้ำไปมาว่าคำเชื้อเชิญนั่นเป็นโอกาสครั้งใหญ่ของข้า...”



นางเอ่ยต่อ “ทว่าต้องขออภัย คำเชื้อเชิญของพวกเจ้า ไม่อยู่ในสายตาของข้าเลยแม้แต่น้อย!”



เต่าชราที่ฟังอยู่เข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นทันที



เห็นได้ชัดว่ากลุ่มคนเหล่านี้ใช้อิทธิพลมาระรานผู้อื่น คิดว่ากองกำลังเบื้องหลังตนเองนั้นทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง ต้องการใช้ซีเข้าร่วมด้วย ทว่าซีกลับเอ่ยปฏิเสธ ทำให้คนเหล่านี้รู้สึกอับอายจนเปลี่ยนเป็นความโกรธ คิดว่าซีไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ต้องการจะใช้กำลังกับซี ทว่าถูกซีสวนกลับ



ยามนี้คนเหล่านี้จึงมาตามหาซีอีกครั้ง



“พวกเจ้าช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก คิดว่าพวกเจ้าสามารถใช้มือปิดผืนฟ้า*[1]ได้อย่างนั้นหรือ?”



เต่าชราเอ่ยออกมาด้วยเสียงเย้ยหยัน ดูแคลนกลุ่มคนเหล่านี้ “ตระกูลเทียนอันใดกัน ไม่เคยได้ยินมาก่อน เป็นตระกูลเล็ก ๆ ที่โผล่ออกมาจากซอกมุมใดกัน? เรียกบรรพจารย์ของตระกูลพวกเจ้าออกมาเสียเถิด มาดูกันว่าจะกล้ามาทำตัวกำเริบเสิบสานต่อหน้าเต่าชราอย่างข้าหรือไม่?”



มันเดินตัวตรง แขนทั้งสองข้างไพล่ไปด้านหลัง ท่าทางราวกับปรมาจารย์เต๋าผู้หนึ่ง



“ข้าไม่ได้ปรากฏตัวออกมานานแล้ว ตอนนี้บารมีสักนิดก็ไม่มีเชียวหรือ? กระทั่งชนรุ่นหลังอย่างพวกเจ้าก็กล้ามากำแหงต่อหน้าเต่าชราเช่นข้า!”



มันเหยียดตามองคนเหล่านั้น “เป็นเพียงกระต่ายตัวน้อย แต่กลับหลงคิดว่าสามารถพลิกฟ้าได้จริง ๆ ช่างน่าขันยิ่งนัก ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”



เต่าชรานี่มันอันใดกัน?



ท่าทางช่าง...อาจหาญ?



ดวงตาของชายวัยกลางคนเปล่งประกายอย่างดุดัน สิ่งมีชีวิตที่ยังไม่แม้แต่จะกระโดดออกจากขอบเขตโกลาหล กล้าดีอย่างไรมากำเริบเสิบสานเช่นนี้ต่อหน้าเขา?!



“วันนี้ข้าจะแสดงให้พวกเจ้าได้เห็นถึงความแข็งแกร่งของข้า!”



เต่าชราลงมือ พลังอันดุดันพลุ่งพล่านพร้อมเสียงตะโกน “ดูหมัดหวางปาไร้เทียมทานของข้าเสีย!”



มันยกมือทั้งสองข้างขึ้นมา แต่ละหมัดทรงพลังระเบิดพลังอันแข็งแกร่งออกมา บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยเงาหมัดของมัน นี่ก็เป็นวิชาที่มันสร้างขึ้นมาเอง อานุภาพรุนแรงจนแม้กระทั่งความว่างเปล่ายังถึงกับระเบิดออก



“อย่า!”



เมื่อเห็นเต่าชราลงมือ ซีก็รีบตะโกนออกมาทันที



เต่าชราทำได้แต่เพียงพ่ายแพ้เท่านั้น!



และก็ทำให้นางต้องตบหน้าผากตนเองทันที



เต่าชรา...น่าสังเวชนัก!



ทันทีที่พุ่งเข้าไปด้วยความดุดัน เต่าชราก็ถูกชายวัยกลางคนเตะจนกระเด็นออกไปในทันที กระดองเต่าทั้งหมดแตกกระจายออก



“เอ๊ะ!?”



เต่าชายตกตะลึงจนโง่งม ได้แต่มองชายวัยกลางคนด้วยความสงสัยในชีวิตของตนเอง



นี่มันอันใดกัน!



เหตุใดจึงทรงพลังเพียงนี้!



กระทั่งส่วนที่แข็งสุดของมันอย่างกระดองเต่าก็ยังแตกกระจาย!



สิ่งนี้ทำให้มั่นหวาดผวาจนหัวหด



“หดหัวไปก็ไร้ประโยชน์!”



มันร้องไห้ออกมา กระดองเต่าก็ไม่อยู่แล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะหดหัวกลับไปแม้แต่น้อย



“เจ้าอยากกปกป้องนางอย่างนั้นหรือ?”



ชายวัยกลางคนนำดาบใหญ่ออกมาแล้วชี้ไปทางเต่าชรา



“ไม่ นี่เป็นเพียงแค่เรื่องเข้าใจผิด! พวกเจ้าสามารถทำเหมือนข้าไม่มีตัวตนอยู่ก็ได้!”



ดวงตาเล็ก ๆ ของเต่าชราเบิกกว้าง มันรีบเอ่ยออกมาทันที ก่อนจะวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วด้วยความหดหู่



อีกทั้งก่อนมันจะจากไปยังเก็บกระดองเต่าที่แตกแล้วติดตัวไปด้วย



“เต่าชราผู้นี้...”



ซีพูดไม่ออก เต่าชราวิ่งได้รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง



ทว่านางเองก็ไม่ได้ติดใจอันใดมากนัก อย่างไรเสียนางกับเต่าชราก็ไม่ได้รู้จักคุ้ยเคยกัน เพียงพบหน้าครั้งแรก เต่าชราย่อมต้องไม่ยอมต่อสู้จนตัวตายเพื่อนางอยู่แล้ว



ตู้ม!



ขณะนั้นเอง ก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นมาอย่างกะทันหันจากด้านในลานเต๋า พลังอันน่าสะพรึงกลัวพุ่งตรงใส่ชายวัยกลางคนทันที



“ไปเร็ว!”



เต่าชราตะโกน มันมุ่งตรงมาทางนี้ด้วยต้องการจะพาซีหนีไปด้วย



สิ่งนี้ทำให้ซีคาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง ไม่คิดสักนิดว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เต่าชราก็ยังคงจะช่วยเหลือนาง!



“จะไปงั้นหรือ?”



สีหน้าของชายวัยกลางคนสงบนิ่ง ไม่มีความตื่นตระหนกแต่อย่างใด



เขากระทืบเท้าเบา ๆ พลังทั้งหมดที่โจมตีเข้ามาก็ถูกทำลายลงทันที นอกจากนี้ยังมีลำแสงเส้นหนึ่งพุ่งไปทางเต่าชราเจาะร่างของมัน ทั้งยังเกิดแรงส่งให้เต่าชรากระเด็นลอยออกไปกระแทกลงกับพื้นอย่างแรง เลือดหลั่งรินออกมาไม่หยุด



“เจ็บจนจะตายแล้ว!”



เต่าชราสบถออกมา “ข้าช่างลำบากนัก เพื่อจะทะลวงผ่านขอบเขตโกลาหล ถึงกับต้องทอดทิ้งชีวิตเสียแล้ว!”



มันอยากทะลวงผ่านขอบเขตโกลาหลมากเกินไป ด้วยเหตุนี้ มันจึงไม่ลังเลที่จะเสี่ยงชีวิต ลองดูว่าจะสามารถพาซีหนีไปด้วยกันได้หรือไม่ น่าเสียดายที่ชายวัยกลางคนแข็งแกร่งเกินไป แม้มันจะเปิดใช้งานทุกสิ่งอย่างในลานเต๋าก็ไม่สามารถจัดการกับชายวัยหลางคนได้ ทั้งยังถูกชายวัยกลางคนทำลายอย่างง่ายดาย



“วางใจเถิด เจ้าจะต้องสามารถทะลวงขอบเขคโกลาหล และเขาก็จะต้องจ่ายราคาอย่างสาสม!”



ซีเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ก่อนจะเรียกทวนสีทองขึ้นมาในมือ



หลังจากนั้นนางก็พุ่งไปด้านหน้าพร้อมกับทวนในมือ ท่าทางองอาจ เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้!



“กล้าหาญ...ถึงเพียงนี้เชียวหรือ!?”



เต่าชรามองอย่างตกตะลึงจนโง่งม เหตุใดซีจึงมีความกล้าหาญมากถึงเพียงนี้!



“เจ้าคู่ควรที่จะต่อสู้กับข้าอย่างนั้นหรือ!?”



ชายวัยกลางคนนามเทียนลู่ยิ้มเยาะ “เจ้ากล้าดีอย่างไรจึงเอาทวนนั่นชี้ใส่ข้ากัน?”



เขาชี้นิ้วออกไป พลันเกิดลำแสงอันน่าหวาดกลัวพุ่งออกมา แสงประหนึ่งสามารถกวาดล้างโลกหล้าได้ เต่าชราที่ได้เห็นถึงกับหวาดหวั่นอย่างถึงที่สุด อดหดศีรษะลงไม่ได้



ตู้ม!



ในตอนนั้นเอง บนท้องฟ้าสูงขึ้นไปพลันปรากฏสายฟ้าสีท้องผ่าลงมา แม้กระทั่งลำแสงอันน่าสะพรึงกลัวที่เทียนลู่ยิงออกมายังถูกทำลาย



“ผู้ใดกัน!?”



เทียนลู่แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ดวงตาของเขาเป็นประกายเย็นเยียบเปี่ยมจิตสังหาร ผู้ใดกันกำลังปกป้องซี?



“สิ่งที่ตระกูลเทียนต้องการกระทำ ไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้งได้!”



เขาลงมืออีกครั้ง ดาบใหญ่ถูกวาดไปทางซี แสงดาบเปล่งประกายเจิดจ้า เต่าชรารู้สึกเย็นยะเยือกบริเวณลำคอ ประหนึ่งเหมือนตนเองกำลังจะถูกตัดหัว



ทว่าซีนั้นไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย ใช้ทวนสีทองโจมตีเข้าใส่เทียนลู่โดยตรง ไม่สนใจดาบใหญ่ที่พุ่งมา



เสียงตู้มดังขึ้น มีสายฟ้าสีท้องฟาดลงมาอีกครั้งเข้าเป้าอย่างแม่นยำ อีกทั้งไม่ยอมให้เป้าหมายหลุดพ้นไปได้ สายฟ้าโจมตีลงบนดาบใหญ่ทำให้มันแตกออกเป็นชิ้น ๆ โดยพลัน!



ทวนสีทองของซีเองก็ยังแทงเข้าไปยังอกของเทียนลู่อีกด้วย



“เจ้าสามารถทำร้ายข้าได้หรือ?”



เทียนลู่เค้นเสียงเย็นชา ร่างเนื้อของเขาแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด ทวนสีทองของซีไม่สามารถเจาะทะลุเข้าไปได้ กระทั่งเสื้อผ้าของเทียนลู่ก็ยังไม่อาจทะลุผ่านได้เสียด้วยซ้ำ



ประกายแสงไหลเวียนบนร่างของเขา ก่อนพลังที่มองไม่เห็นจะปะทุออกมา ผลักซีให้ถอยกลับไป



“ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจ้าหยิ่งผยองถึงเพียงนี้ ที่แท้ก็มีคนปกป้องเจ้าอยู่หรือ? ตระกูลเทียนมาจากเทวโลก ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถปกป้องเจ้าได้!”



ร่างกายของเทียนลู่สั่นไหว เขารวดเร็วเป็นอย่างมาก ทิ้งภาพติดตาเอาไว้อย่างต่อเนื่อง ซียังไม่ทันได้ตอบสนองอันใดก็ถูกเทียนลู่เข้าประชิดเสียแล้ว



เขาตบฝ่ามือออก พลังอันน่าสะพรึงกลัวหมุนเวียนราวกระแสน้ำ ต้องการจะสังหารซีทิ้ง



ไม่จำเป็นต้องพูดสิ่งใดอีก เขานั้นมาจากตระกูลเทียน ไม่ว่าผู้ใดจะอยู่เบื้องหลังของซี เขาก็ไม่เกรงกลัว อาจหาญมายั่วยุตระกูลเทียนเช่นนี้ ไม่มีทางที่จะจบลงด้วยดี



เทียนลู่ต้องการจะสังหารซีทิ้งก่อนที่สายฟ้าสีทองจะฟาดลงมา ทว่าน่าเสียดายที่แผนของเขาไร้ผล



สายฟ้าสีท้องนั้นรวดเร็วเสียยิ่งกว่า ทันทีที่เขายกมือขึ้น สายฟ้าสีทองก็ฟาดใส่ร่างของเขาเสียแล้ว ร่างเนื้อของเขาถูกผ่าจนไหม้เกรียม มีควันสีดำลอยออกมา ทั้งร่างกระตุกเกร็งขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้



ซีใช้ทวนสีทองพุ่งเข้าใส่เทียนลู่อีกครั้ง เหล่าสิ่งมีชีวิตที่ติดตามเทียนลู่รีบพุ่งเข้ามาทันที หมายจะหยุดยั้งซี



ตู้ม!



แต่เมื่อสิ่งมีชีวิตเหล่านี้เคลื่อนไหว เพียงแค่พริบตาเดียวสายฟ้าสีท้องก็ผ่าลงมาจากบนท้องฟ้าสูง ทำให้สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ทั้งหมดล้มลงบนพื้นทันที เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว



คราวนี้ทวนของซีสามารถแทงทะลุร่างเนื้อของเทียนลู่ได้ ก่อนที่นางจะผลักเทียนลู่จนลอยกระเด็นออกไป



“อ๊ากกก!”



เทียนลู่กู่ร้อง เลือดสาดกระเซ็น เขาเคยต้องตกอยู่ในสภาพน่าสังเวชเช่นนี้ที่ไหนกัน? ถึงกับถูกขอบเขตโกลาหลผู้หนึ่งเล่นงาน ช่างน่าอับอายขายหน้าเกินไปแล้ว!



เขาเสียสติไปทันที พลังภายในร่างทั้งหมดระเบิดออกมา ทว่าเพียงแค่พลังภายในร่างเพิ่งจะเริ่มพุ่งออกมา บนท้องฟ้าสูงขึ้นไปพลันมีสายฟ้าสีทองฟาดใส่เขาอีกครั้ง พลังทั้งหมดที่เขารวบรวมเตรียมระเบิดออกมาก็ถูกทำลายสิ้น!



“แน่จริงเจ้าก็มาต่อสู้กับข้าเพียงผู้เดียวเสีย!”



เขาจับจ้องไปทางซีด้วยดวงตาสีแดงก่ำ รู้สึกอัดอั้นตันใจจนไม่อาจทนไหว เพิ่งจะเตรียมลงมือก็ถูกฟ้าผ่าเสียแล้ว ไม่มีทางต่อสู้ได้เลย!



“เจ้ากำลังพูดจาอันใดไร้สาระ! เจ้าอยู่ขอบเขตใด แล้วข้าอยู่ขอบเขตใด เจ้ามีหน้าเช่นไรจึงเอ่ยออกมาอย่างนั้น!?”



ซีโยนทวนออกไป ตอกร่างของเทียนลู่ไว้บนยอดเขา



“อย่ามายุ่งกับข้าอีก เข้าใจหรือไม่?”



นางมองไปที่เทียนลู่ด้วยแววตาเย็นชา “หากมีครั้งหน้าอีก ข้าจะไม่ปล่อยไปอย่างแน่นอน!”



หลังจากนั้นนางก็เก็บทวนกลับมา



แม้ว่าเทียนลู่จะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ตระหนักได้ว่าตนเองไม่อาจทำสิ่งใดกับซีได้ สายฟ้าสีทองนั่นรุนแรงเกินไป พลังเหนือชั้นกว่าเขาเป็นอย่างมาก



เขาทำได้เพียงแต่พาเหล่าสิ่งมีชีวิตที่ติดตามมาด้วยออกจากที่นี่ไปเท่านั้น



“ประเดี๋ยวก่อน”



ซีพลันนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ จึงเรียกให้พวกเทียนลู่หยุด



“ผู้อาวุโสเต่าได้รับบาดเจ็บก็เพราะพวกเจ้า กระดองทั้งหมดก็แตกไปแล้ว จะจากไปโดยปล่อยเรื่องนี้เอาไว้อย่างนั้นหรือ?”



นางมองไปทางเทียนลู่แล้วเอ่ยออกมา “ขอโทษผู้อาวุโสเต่า และทิ้งของชดเชยเอาไว้ หลังจากนั้นพวกเจ้าจึงจะสามารถออกไปได้”



ได้ยินเช่นนี้แล้ว เต่าชราก็พลันฟื้นคืนสติกลับมา รีบวิ่งตรงมาทางนี้ทันที



หลังจากนั้นมันก็ล้มลงพื้นเสียงดังสนั่น แล้วร้องไห้ออกมาเสียงจ้า “ข้าทนไม่ไหวแล้ว ข้ากำลังจะตาย เหลือเพียงแค่ลมหายใจสุดท้าย หากไม่ได้ยาก็คงไม่อาจอยู่รอดได้!”



ใกล้ตายบ้านเจ้าสิ!



มุมปากของเทียนลู่กระตุก เต่าชรานี่มันอันใดกัน ช่างไร้ยางอายเสียจริง เมื่อครู่ท่าทางตอนวิ่งก่อนล้มเรียกได้ว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต



แต่เมื่อมาล้มตรงนี้แล้วกลับบอกว่าทนไม่ไหว ใกล้จะตายแล้วอย่างนั้นหรือ?



เห็นได้ชัดว่ากำลังรีดไถ่เขา!





[1] ใช้มือปิดผืนฟ้า (一手遮天) หมายถึง อาศัยอิทธิพลปกปิดอำพราง

เต่าชรานอนอยู่บนพื้น โวยวายไปว่าใกล้จะตายแล้ว ซีกลับหัวเราะด้วยความขบขัน เต่าชราแสดงเก่งยิ่งนัก



“เอาไป!”



เทียนลู่หยิบโอสถต้นหนึ่งออกมาด้วยหน้าตาไม่สบอารมณ์ ขุมปราณชีวิตที่ไหลเวียนบนนั้นแทบมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า นี่คือโอสถจากเทวโลก เป็นโอสถระดับลอยชาย



หลังเต่าชราเห็นโอสถต้นนี้ก็ตาลุกวาว รับโอสถไว้ทันที



กระนั้นมันยังโวยวายว่าไม่พอ กล่าวว่าโอสถต้นนี้รักษาได้เพียงบาดแผลภายนอกของมันเท่านั้น บาดแผลภายในรักษามิได้



เทียนลู่อยากจะหวดเต่าชราตัวนี้ให้ตาย หมายความว่าอย่างไรที่ว่ารักษาได้เพียงบาดแผลภายนอก บาดแผลภายนอกเช่นใดกันที่สาหัสปานนี้! โอสถระดับลอยชายต้นนี้รักษาอาการบาดเจ็บทั้งหมดของเต่าชราได้ไม่เป็นปัญหา



“เอาไป ๆ!”



เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน รู้ดีว่าเต่าชราต้องการสิ่งใด จึงหยิบโอสถระดับลอยชายออกมาอีกสามต้นให้เต่าชรา “คราวนี้พอแล้วใช่หรือไม่”



เต่าชรารับโอสถระดับลอยชายสามต้นนั้นไว้พลางกล่าว “พอจะรักษาบาดแผลภายนอกข้าได้บ้าง”



“เจ้าไม่ยอมจบหรือ!?”



เทียนลู่เดือดดาล รวมโอสถระดับลอยชายต้นก่อน นี่ก็ปาเข้าไปสี่ต้นแล้ว ไม่ว่าบาดแผลอันใดของเต่าชราล้วนหายได้แน่นอน เต่าชรายังริอ่านข่มเหงเขาอีก!



เขานึกแค้นใจที่ก่อนหน้านี้มิได้เอาชีวิตเต่าชราตัวนี้ มันช่างน่าชิงชังยิ่งนัก!



เสียงดังตึง เต่าชราตบกะโหลกเทียนลู่ด้วยกรงเล็บพลางเอ่ย “เจ้าโหวกเหวกอะไร ทำเอาข้าตกใจหมด! แต่เดิมวิญญาณของข้าก็ได้รับความกระทบกระเทือน ถูกเจ้าโวยวายใส่เช่นนี้ วิญญาณข้าเกือบสลายรู้หรือไม่!”



“เจ้า!”



เทียนลู่ถลึงตาใส่เต่าชราอย่างโกรธเคือง ขบฟันจนแทบแตก เจ้าเต่าชราเดนตายตัวนี้ บังอาจตบหัวเขาเชียวหรือ!



เขาอยากฉีกเต่าชราเป็นชิ้น ๆ นัก!



ทว่าเขาได้แค่คิด มิกล้าทำจริง เขาไม่อยากตาย ยังอยากมีชีวิตอยู่



มีพลังเช่นนั้นอยู่ ซีฆ่าเขาได้ง่าย ๆ



“เอาไป!”



สุดท้าย เขานำทุกอย่างในตัวออกมาหมด ไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว



เขารู้ดีว่าหากเต่าชรายังรีดไถเขาไม่หมดตัว ไม่ยอมปล่อยเขาไป



“พวกเจ้าเล่า ไม่ชดเชยสิ่งใดให้หน่อยหรือ แต่ละคนหน้าตาดุดันน่ากลัว แค่ได้เห็นพวกเจ้า ข้าก็ผวาจนแทบทนมิไหว หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ!”



เต่าชราบอกกับกลุ่มคนด้านหลังเทียนลู่



“ให้มันไปทั้งหมด!”



เทียนลู่สั่งให้คนอื่นนำของติดตัวออกมาให้หมดด้วย



“พอแล้ว!”



เต่าชราเอ่ยอย่างมีความสุข เหลือท่าทีบาดเจ็บสาหัสที่ไหน



มันบาดเจ็บไม่หนักจริง ๆ ไม่ถึงแก่ชีวิต



พวกเทียนลู่ถึงได้รับอนุญาตให้ไป



“ให้ท่าน!”



เต่าชรามอบสิ่งของที่พวกเทียนลู่นำออกมาให้ซีทั้งหมด ไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว



“ข้าบอกแล้ว นี่คือค่าชดเชยของเจ้า”



ซีคลี่ยิ้ม มิได้รับของเหล่านั้น หากแต่ให้เต่าชราเก็บไว้



จากนั้น นางก็บำเพ็ญตนอยู่ที่นี่



...



พวกเทียนลู่รีบไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว รวมตัวกับพวกเทียนหมิง



“พี่ใหญ่ ท่านเป็นอันใดไป!?”



เทียนหมิงรีบเข้าไปประคองเทียนลู่ ท่าทางเป็นห่วงเป็นใย เนื้อตัวเทียนลู่เต็มไปด้วยบาดแผล สภาพอนาถาเป็นที่สุด



ทว่าความเป็นห่วงของเขาเป็นเพียงฉากหน้า ในใจนั้นสบถก่นด่า ไยจึงไม่สังหารพี่ใหญ่ของเขาเสีย!?



พี่ใหญ่ของเขาไม่ตาย เขาก็ไร้วาสนากับตำแหน่งผู้นำตระกูลเทียน



“ไอ้สารเลว ผู้ใดใช้ให้เจ้านำความเหล่านี้ไปบอกพี่ใหญ่!?”



เทียนหมิงต่อว่าอูถง “หากมิใช่เพราะเจ้าที่นำความเหล่านี้ไปบอกพี่ใหญ่ พี่ใหญ่ไฉนเลยจะอนาถถึงเพียงนี้!”



“เป็นความผิดของข้าน้อย!” อูถงรีบคุกเข่ากับพื้น



แน่นอนว่า ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการแสดง เป็นเทียนหมิงที่สั่งให้อูถงนำความไปบอกพี่ใหญ่ของเขา



“น้องห้าอย่าได้ตำหนิเขา เขาไม่เกี่ยว”



เทียนลู่เอ่ย “ผู้ที่ท้าทายอำนาจบารมีตระกูลเทียนของเราเช่นนี้ปล่อยไว้มิได้เด็ดขาด! ครั้งนี้อูถงทำถูกแล้วที่นำความมาบอกข้า!”



เขาเอ่ยต่อด้วยสายตาเย็นชา “ทว่าที่ข้าคิดไม่ถึงคือ นางไม่ธรรมดาถึงเพียงนั้น มีสิ่งมีชีวิตบางอย่างคอยหนุนหลัง จนหนนี้ข้าต้องเสียเปรียบมหันต์!”



“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง! มิน่า นางถึงไม่มีความเกรงกลัว มั่นใจเต็มร้อย”



เทียนหมิงแสร้งทำเป็นตะลึง



ที่จริงเขาเดาได้นานแล้ว ซ้ำยังอยากยืมมือซีกำจัดเทียนลู่ด้วย สุดท้ายซีกลับมิได้เอาชีวิต



“พี่ใหญ่ จบเพียงเท่านี้เถิด ปล่อยมันไป” เขาบอกกับเทียนลู่



“น้องห้า มิใช่ว่าข้าอยากว่าเจ้า เจ้านี่ใจอ่อนเกินไป มิชอบถือสาหาความผู้อื่น ทว่าเรื่องนี้จะปล่อยไปง่าย ๆ เช่นนี้มิได้!”



เทียนลู่กล่าวด้วยดวงตาทอประกายดุดัน “ข้าไม่มีทางปล่อยนางไป นางจะต้องชดใช้ด้วยเลือด!”



ใช่แล้ว!



แบบนั้นแหละ!



เทียนหมิงหัวเราะในใจ อยากให้เทียนลู่ต่อสู้กับซีนักหนา ยิ่งสู้กันดุเดือดเท่าไหร่ยิ่งดี!



เช่นนี้จักสร้างโอกาสให้เขาอีกมาก!



“นางไม่เอาชีวิต ข้าเอาเอง!”



เขาคิดในใจ เดิมอยากยืมมือซีกำจัดพี่ใหญ่ของเขา หารู้ไม่ ซีมิได้ฆ่าพี่ใหญ่ของเขา



ทว่าไม่เป็นไร เขาก็ยังฆ่าพี่ใหญ่ของเขาได้อยู่ดี!



“เดิมข้าอยากเลิกราเพียงเท่านี้ ดูแล้วนางเป็นเพียงสตรีนางหนึ่ง คงลำบากอยู่ไม่น้อย คิดไม่ถึงเลยว่า นางจะกำแหงเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ดูแคลนตระกูลเทียน ไม่เห็นตระกูลเทียนของเราในสายตา ซ้ำยังทำร้ายพี่ใหญ่จนบาดเจ็บหนัก เรื่องนี้ไม่ควรปล่อยผ่านไปจริง ๆ!”



เขากล่าวต่อพี่ใหญ่ของเขา แสดงตนว่าโมโหที่ซีทำร้ายพี่ใหญ่ของเขามาก



“ผู้อาวุโสเซินออกมาแล้ว ก่อนนี้เพิ่งติดต่อข้ามา ในเมื่อนางรนหาที่ตาย ไม่ต้องการมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นข้าจะช่วยให้นางได้สมปรารถนา!” เทียนหมิงกล่าวต่อ



“ผู้อาวุโสเซินออกมาหรือ” เทียนลู่คิดไม่ถึงนิดหน่อย



“อืม” เทียนหมิงพยักหน้า “ผู้อาวุโสมีธุระจึงออกมา พอดีเลย พวกเราขอให้ผู้อาวุโสเซินช่วยออกหน้าแทนเราได้!”



“ดี! แต่เดิมข้านั้นคิดจะติดต่อทางตระกูล ให้ผู้อาวุโสในตระกูลมาช่วยข้า ในเมื่อผู้อาวุโสเซินออกมาแล้วก็พอดีเลย!”



เทียนลู่เอ่ย “มีผู้อาวุโสเซินออกโรงด้วย สำเร็จได้แน่!”



“พี่ใหญ่ไปพักผ่อนก่อนเถิด เรื่องอื่นให้ข้าจัดการเอง!” เทียนหมิงบอกเทียนลู่



“ได้”



เทียนลู่มิได้คิดมากอันใด เชื่อใจในตัวเทียนหมิงมาก จึงกลับไปพักผ่อน



หลังเทียนลู่ไปแล้ว เทียนหมิงเข้าไปในห้องลับแห่งหนึ่งเพื่อติดต่อผู้อาวุโสเซิน



“ผู้อาวุโสเซิน ออกมาข้างนอกเถิด ข้ามีเรื่องให้ท่านทำ…” เขาบอกต่อผู้อาวุโสเซิน



ผู้อาวุโสเซินเป็นคนของเขา ภักดีต่อเขามาก เขาจงใจหลอกเทียนลู่ว่าผู้อาวุโสเซินออกมาแล้ว แท้จริงแล้วผู้อาวุโสเซินยังมิได้ออกมา นั่นเพราะเขากลัวว่าเทียนลู่จะติดต่อผู้อาวุโสท่านอื่น



เขาต้องการให้ผู้อาวุโสเซินฉวยโอกาสนี้ฆ่าเทียนลู่!



“ไม่มีปัญหา ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!” ผู้อาวุโสเซินตอบ



เทียนหมิงจบการติดต่อ ไปหาเทียนลู่แล้วเอ่ยว่าเขาติดต่อผู้อาวุโสเซินไว้แล้ว ผู้อาวุโสพร้อมมาช่วยพวกเขา แต่ยังต้องใช้เวลานิดหน่อย



“ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรผู้อาวุโสเซินก็มีธุระของตนเอง”



เทียนลู่พยักหน้า “ข้ามิได้รีบร้อน”



“ทำร้ายพี่ใหญ่ที่ข้ารักที่สุด นางไม่มีทางมีชีวิตต่อไปได้ ไม่ว่าผู้ใดก็ปกป้องนางมิได้!” เทียนหมิงเอ่ยเสียงเย็น



...



ณ ดินแดนฝอ



หลี่จิ่วเต้าขี่กิเลนไฟจากดินแดนฮวงมายังดินแดนฝอพร้อมกับพวกลั่วสุ่ย



เขาถอนหายใจแผ่วเบา อารมณ์มิสู้จะดีเท่าใด อาณาจักรนี้มีอยู่สามดินแดนใหญ่ เขาไปมาจนทั่วสองดินแดนแล้ว แต่ยังไม่พบเบาะแสของซี



หากในดินแดนสุดท้ายนี้ยังมิอาจพบตัวนาง โอกาสที่เขาจะได้เจอซีอีกคงน้อยลงมาก ซีอาจไปจากอาณาจักรนี้แล้ว



ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาได้รู้เรื่องราวมาไม่น้อย อาณาจักรนี้มิใช่โลกเพียงหนึ่งเดียว นอกอาณาจักรนี้ ยังมีอาณาจักรอีกมากมาย



อาณาจักรมากมายเช่นนี้ เขาต้องหาจากที่ไหน ต่อให้เขาไปยังอาณาจักรอื่น ๆ ได้ก็หาตัวซีได้ยากมาก ทำเช่นนั้นลำบากกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก!



สุดท้าย เขาส่ายหน้าไปมา ไม่ไปคิดเรื่องนี้อีก



คิดเรื่องนี้ไปก็เปล่าประโยชน์ รังแต่จะเพิ่มความอัดอั้นตันใจให้ตนเอง



“มีวาสนาไม่ว่าไกลแค่ไหนย่อมพานพบ ไร้วาสนาห่างกันเพียงคืบมิพบหน้า ข้าเชื่อว่าวาสนาระหว่างข้าและซียังไม่สิ้นสุด ต่อให้ไม่พบตัวซีในดินแดนนี้ ภายหน้า ข้าก็ได้พบกับซีอยู่ดี!”



สายตาของเขาเป็นประกายขณะเอ่ยในใจ “ข้าไม่เจอซี ก็รอซีมาพบข้าเอง นางไม่มีทางลืมข้าแน่นอน หลังเสร็จเรื่องที่นางต้องทำ นางจะมาหาข้า! ข้าทำได้เพียงรอต่อไปเรื่อย ๆ!”



เวลามิใช่ปัญหา



แม้ว่าทั้งยาวิเศษ สมุนไพรวิเศษเหล่านั้นมิอาจช่วยให้เขาฝึกตนได้ แต่คิดแล้ว ช่วยยืดอายุขัยเขาได้ไม่เป็นปัญหาแน่ เขาจะรอตลอดไป ไม่มีทางลืมเลือนนางแน่นอน!



พวกเขาทั้งหมดเข้ามาถึงดินแดนฝอ



“ต้าเต๋อ ถึงถิ่นของเจ้าแล้ว เจ้าไม่เลี้ยงคุณชายด้วยอาหารโต๊ะใหญ่หน่อยหรือ”



หลี่จิ่วเต้าหยอกต้าเต๋อ



“ไม่มีปัญหาคุณชาย! ได้เลี้ยงแน่!”



ต้าเต๋อตบหน้าอกรับประกัน



หลี่จิ่วเต้าลูบหัวโล้นน้อย ๆ ของต้าเต๋อพลางเอ่ย “ไม่เป็นไร คุณชายล้อเจ้าเล่น อย่าถือเป็นจริงเป็นจัง ใช่ว่าที่นี่เป็นเหมือนเจ้าหมด หากต้องจัดอาหารโต๊ะใหญ่จริง น่ากลัวว่าถูกล้มโต๊ะแน่”



สาวกพุทธศาสนาเคร่งครัดในข้อปฏิบัติ มีเพียงต้าเต๋อที่แปลกแยก เขามิกล้าจัดเลี้ยงในพุทธศาสนาหรอก เช่นนั้นได้เป็นเรื่องใหญ่แน่



“ไม่เป็นไรจริง ๆ คุณชาย ข้ากินดื่มที่นี่อยู่บ่อย ๆ!”



ต้าเต๋อคลี่ยิ้มพลางเอ่ย “ข้าคือพุทธบุตรแต่กำเนิด ฐานะสูงส่ง อีกอย่าง คุณชายมิใช่สาวกพุทธศาสนา ไม่จำเป็นต้องรักษากฎเกณฑ์อันใด จะกินหรือดื่มก็มิใช่ปัญหา”



“เจ้าเก่งกาจปานนั้นเชียวหรือ”



หลี่จิ่วเต้าหัวเราะ คิดแล้วคงใช่ หากต้าเต๋อไม่มีภูมิหลังใหญ่โต คนในพุทธศาสนาไฉนเลยจะใจดีกับต้าเต๋อถึงเพียงนี้ เป็นไปไม่ได้เลย!



“แน่นอน!”



ต้าเต๋อกล่าว “ถึงถิ่นของข้าแล้ว ขอข้าเป็นเจ้ามือสักครา รับรองทุกท่านเป็นอย่างดี! ไปเดิน พวกเราตรงไปที่เขาญาณ แล้วค่อยเดินชมในแดนฝอกันต่อ”



“ได้”



หลี่จิ่วเต้าพยักหน้า มุ่งไปยังเขาญาณพร้อมพวกลั่วสุ่ย



ผ่านไประยะหนึ่ง พวกเขามาถึงเขาญาณ



หลี่จิ่วเต้าจ้องมองสิ่งปลูกสร้างโอ่อ่าตระหง่านบนเขาญาณซึ่งมีแสงพุทธะว่ายวนด้วยความสะท้อนใจ



ที่ดาวเคราะห์สีฟ้าก็มีเขาญาณ มีพระอมิตาภะพุทธเจ้า มีพุทธศาสนา จะมีความเกี่ยวข้องกับที่นี่บ้างหรือไม่



‘หรือว่าพระอมิตาภะพุทธเจ้าเคยแสดงอภินิหารที่ดาวเคราะห์สีฟ้า และทิ้งพระธรรมไว้ให้’



เขาคิดเช่นนี้ในใจ รู้สึกว่ามีโอกาสสูง ถึงอย่างไร พระอมิตาภะพุทธเจ้าก็ถือเป็นตัวตนในตำนานของดาวเคราะห์สีฟ้า มีอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่ สอดคล้องกับพระอมิตาภะพุทธเจ้าที่นี่มาก



“อามิตาพุทธ ทุกท่านโปรดหยุดก่อน เขาญาณแห่งนี้มิอาจเข้ามาได้ตามอำเภอใจ ต้องได้รับอนุญาตก่อนเท่านั้น”



เวลานั้นเอง พระภิกษุรูปหนึ่งปรากฏตัว ขวางพวกหลี่จิ่วเต้าไว้ มิให้พวกเขาขึ้นไปบนเขาญาณ



“ว่าอะไรนะ”



ใบหน้าเล็ก ๆ ของต้าเต๋อเคร่งเครียดลงในบัดดล รู้สึกเสียหน้า



ก่อนนี้เขาเพิ่งบอกคุณชายว่าเป็นพุทธบุตรแต่กำเนิด มีฐานะสูงส่งในพุทธศาสนา บัดนี้กลับถูกหักหน้าเช่นนี้



“นี่หรือพุทธบุตรแต่กำเนิด ฐานะสูงส่ง?”



อ้ายฉานเอ่ยกลั้วหัวเราะ “สูงส่งจนมิมีผู้ใดรู้จักเชียวหรือ”



หลังได้ยินวาจาของอ้ายฉาน ต้าเต๋อยิ่งหน้าเครียดเข้าไปใหญ่



เขารู้ดีว่าเกิดเรื่องกับพุทธศาสนาแล้ว มิฉะนั้น เหตุใดเขาถึงถูกขวางทางอยู่เช่นนี้



เป็นไปไม่ได้เลย!

“อามิ…ข้าต้าเต๋อฝอ ข้าพระต้าเต๋อไร้เกศา เจ้าแน่ใจหรือว่าอย่างข้าต้องได้รับอนุญาตก่อนกลับเขาญาณ”



ต้าเต๋อถลึงตาเล็ก ๆ คาดคั้นพระภิกษุรูปนั้น



เขาหรือต้องได้รับอนุญาต อย่ามาพูดให้ขำหน่อยเลย!



ก่อนนี้มีสิ่งมีชีวิตไม่น้อยมาก่อกวนพุทธศาสนา อย่างเช่นเซียวฮุ่ย แต่ไม่ว่าครั้งไหน ล้วนเป็นเขาที่กำราบลงได้



มีผู้ใดในพุทธศาสนาไม่ตระหนักถึงความสามารถของเขาบ้าง



เขาถูกขวางทางคราวนี้ น่าแปลกยิ่งนัก!



“สามหาวนัก! เจ้ากล้าดีอย่างไรเรียกขานตนว่าพระ พระพุทธองค์อันแท้จริงเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้านี้คือพระอมิตาภะพุทธเจ้า พระที่เหลือล้วนต้องได้รับแต่งตั้งจากพระอมิตาภะพุทธเจ้าเท่านั้น!”



พระภิกษุรูปนั้นตวาด ทำทีราวกับไม่รู้จักต้าเต๋อจริง ๆ ไม่พอใจที่ต้าเต๋อแทนตนเสมือนเป็นพระอมิตาภะพุทธเจ้าอย่างมาก



“เดี๋ยวก่อน เหตุใดข้าถึงไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน”



ต้าเต๋อหรี่ตาลง รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล พระภิกษุผู้มีหน้าที่อารักขาเขาญาณคล้ายจะถูกเปลี่ยน ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยเห็นพระรูปนี้มาก่อน



และสิ่งที่ทำให้เขาตงิดใจที่สุดคือ ขอบเขตของพระภิกษุรูปนี้…สูงมาก!



ใช่ สูงมาก เป็นพระภิกษุขอบเขตมหาจักรพรรดิรูปหนึ่ง!



เรื่องนั้นเป็นไปได้อย่างไร!?



ก่อนนี้ที่เขายังอยู่ในพุทธศาสนา เคยช่วยสาวกพุทธศาสนาฝึกฝน กำลังอำนาจโดยรวมของพุทธศาสนาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเก่าหลายเท่าก็จริง



แต่หลายเท่าที่ว่า ก็มิได้แข็งแกร่งขึ้นถึงปานนี้ แม้กระทั่งพระภิกษุผู้อารักเขาญาณยังบรรลุขอบเขตมหาจักรพรรดิแล้ว!



อย่างน้อยก่อนเขาไปก็มิใช่เช่นนี้



ก่อนเขาไป พระสังฆราชคือผู้ที่ก้าวหน้าไวที่สุดภายใต้ความช่วยเหลือของเขา กระนั้นก็ยังเพิ่งบรรลุขอบเขตจักรพรรดิเท่านั้น เป็นเพียงจักรพรรดิตนหนึ่ง



แต่บัดนี้ แม้กระทั่งพระภิกษุผู้อารักขาเขาญาณยังอยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิ จะให้นิยามด้วยคำว่าประหลาดเพียงอย่างเดียวได้ที่ไหน!



มิหนำซ้ำ หลังเขาคลี่แผ่ญาณสัมผัสออกไปตรวจจับจนทั่วเขาญาณ ก็ยิ่งต้องตะลึง



เขาญาณกลับตาลปัตรไปหมด เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง!



ไม่ต้องเอ่ยถึงขอบเขตมหาจักรพรรดิเช่นนี้ ในเขาญาณมีสิ่งมีชีวิตขอบเขตเซียนอยู่จำนวนมาก มิหนำซ้ำ เขายังตรวจจับสิ่งมีชีวิตขอบเขตโกลาหลซึ่งเหนือขอบเขตเซียนขึ้นไปได้อีกด้วย!



‘มีผู้อื่นยึดครองเขาญาณโดยที่ข้าไม่รู้หรือ’



สีหน้าต้าเต๋ออึมครึมขณะคิดในใจ



ยังดีที่เขากลับมา มิฉะนั้น เขาคงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ในเขาญาณ!



มีสิ่งมีชีวิตเหนือขอบเขตโกลาหลอยู่ด้วยเชียวหรือ หรือว่าเป็นยอดฝีมือที่ร่วงหล่นจากแดนบรรพโกลาหลที่เข้ามายึดครองเขาญาณ?



“อามิตาพุทธ ผู้มาเยือนย่อมเป็นแขก ในเมื่อประสกและสีกาทุกท่านต้องการเข้ามาในเขาญาณย่อมมิใช่ปัญหา เขิญเข้ามาเถิด”



เวลานั้นเอง สิ่งมีชีวิตตนหนึ่งก้าวออกจากเขาญาณ



นี่คือหมีดำตัวหนึ่ง เดินสองขาตัวตรง มือประนมกันไว้ สวมจีวรสีแดง



สีหน้าต้าเต๋อเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนนี้เขาไม่เคยเห็นหมีดำตัวนี้เช่นกัน



“ผู้มาเยือนย่อมเป็นแขก?”



จู้จื่อคลี่ยิ้มกว้าง “พี่ต้าเต๋อนี่เหลือเกิน!”



“หาใช่ความจริงไม่!”



ต้าเต๋อตะโกน “ไปเถิด เราเข้าไปดูข้างในกันหน่อย”



จากนั้น พวกเขาเข้าไปในเขาญาณ



สิ่งแวดล้อมในเขาญาณยังคงเดิม ทว่าผู้ที่อยู่ในนั้นมิคงเดิม ต้าเต๋อได้เจอสิ่งมีชีวิตระหว่างทางไม่น้อย ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นผู้ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก่อนหน้านี้ไม่เคยพานพบกัน



เขาใคร่รู้อย่างมาก ยอดฝีมือแดนบรรพโกลาหลที่ยึดครองเขาญาณก็บำเพ็ญธรรมด้วยหรือ?



เหตุใดสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ต่างแต่งกายเฉกเช่นพุทธสาวก



หากมิได้บำเพ็ญธรรม ก็ไม่มีความจำเป็นสักนิด ไม่เห็นต้องให้สิ่งมีชีวิตเหล่านี้โกนหัวสวมจีวร



นอกจากนี้ เขายังเห็นสิ่งมีชีวิตแปลกหน้ามากมายสวดมนตร์ ถกกันถึงธรรมะ ราวกับเข้าร่วมพุทธศาสนาด้วยใจจริง เรื่องนี้ยิ่งน่าแปลกเข้าไปใหญ่



ยอดฝีมือแดนบรรพโกลาหลที่ยึดครองเขาญาณคิดจะเผยแผ่ธรรมะอย่างสุดความสามารถหรืออย่างไร



‘หรือว่า...ในแดนบรรพโกลาหลก็มีธรรมะเช่นกัน ความจริงแล้ว ธรรมะในอาณาจักรเรามีต้นกำเนิดจากแดนบรรพโกลาหล’



ต้าเต๋อคิดอย่างอดมิได้



หมีดำพาพวกต้าเต๋อมาอยู่เบื้องหน้าวิหารแห่งหนึ่ง เอ่ยว่าพวกต้าเต๋อพำนักที่นี่ก่อน



“พาข้าไปหาพระสังฆราช” ต้าเต๋อกล่าว



เขาสัมผัสได้ว่าพระสังฆราช พระเวทโพธิสัตว์และพระโพธิสัตว์องค์อื่นต่างอยู่ในเขาญาณ ซ้ำยังอยู่ในสภาวะดีเยี่ยม ทั้งยังยกระดับขอบเขตขึ้นไปมากเช่นกัน



“ได้”



หมีดำมิได้ปฏิเสธ อันที่จริง เขาได้รับคำสั่งจากพระสังฆราชถึงได้ยอมให้พวกต้าเต๋อเข้ามาในเขาญาณ



มิฉะนั้น พวกต้าเต๋อไม่มีทางเข้ามาได้



เขาญาณถือเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในพุทธศาสนา ใช่ว่าใคร ๆ ต่างเข้าไปได้



“คุณชายพักกันที่นี่ก่อน ข้าขอไปดูหน่อยว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรกันแน่!”



ต้าเต๋อบอกกับคุณชาย



“มีอะไรก็เรียกพวกเราได้”



หลี่จิ่วเต้าบอก ตระหนักได้เช่นกันว่าอาจเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นที่นี่ มิฉะนั้น เหตุใดต้าเต๋อถึงกลับบ้านมิได้



“ได้เลยคุณชาย!”



ได้ยินคุณชายเอ่ยเช่นนี้ ต้าเต๋อไม่เหลือความกังวลใจอีก



มีคุณชายหนุนหลังเขา แล้วเขาต้องกลัวอะไร



หลังจากนั้น เขาตามหมีดำไปจากที่นี่ มาอยู่ในวิหารต้าสยง



“ไม่เจอกันนาน…”



ภายในวิหารต้าสยงมีพระภิกษุเฒ่ารูปหนึ่ง หลังเห็นต้าเต๋อก็เอ่ยกับเขายิ้ม ๆ



“เก้าประทีปหรือ?”



ต้าเต๋อมองปราดเดียวก็ดูออกว่าคนผู้นี้คือใคร แม้ว่ารูปลักษณ์ของเขามิใช่สามเณรอย่างก่อน ทว่าพลังปราณนั้นไม่เปลี่ยน



เขาหันมองหมีดำข้าง ๆ “ข้าบอกให้เจ้าพาข้าไปพบพระสังฆราช เหตุใดเจ้าถึงพาข้ามาพบเจ้าตัวนี้”



“บังอาจนัก! ท่านผู้นี้คือพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน!”



หมีดำตวาดลั่น “นี่คือพระสังฆราชผู้ได้รับแต่งตั้งจากพระพุทธองค์โดยตรง เจ้ากล้าเสียมารยาทเช่นนี้ได้อย่างไร!”



“พระพุทธองค์? พระอมิตาภะพุทธเจ้ากลับมาแล้วหรือ”



ต้าเต๋อผงะ คิดไม่ถึงนิดหน่อย



พระอมิตาภะพุทธเจ้าอยู่ต่อในภพเซียน และภพเซียนอยู่ในสภาวะปิดผนึกสนิท ตามปกติแล้ว พระอมิตาภะพุทธเจ้าไม่สามารถออกจากภพเซียนได้



อีกอย่าง ก่อนหน้านี้เขาเคยคลี่แผ่ญาณสัมผัสตรวจจับสถานการณ์ในเขาญาณ ไม่พบว่าพระอมิตาภะพุทธเจ้าอยู่ในเขาญาณแห่งนี้



“แน่นอน!”



พระเก้าประทีปพุทธเจ้ากล่าว “เจ้าคิดไม่ถึงใช่หรือไม่ว่าพระพุทธองค์จะหวนกลับมา ซ้ำยังจัดระเบียบพุทธศาสนาอีกด้วย! ยุคสมัยที่เจ้าเป็นใหญ่ในพุทธศาสนาได้จบลงแล้ว!”



เขากล่าวต่อ “เจ้าไม่ยอมปฏิบัติตามศีลข้อห้าม ทรยศหลักธรรม กลายเป็นสาวกนอกรีต เมื่อพระพุทธองค์หวนคืนก็รับรู้ทุกอย่าง ขจัดความขบถ คืนสู่คุณธรรม ช่วยให้อาตมาได้กลับมาอยู่ในพุทธศาสนาอีกครั้ง ทั้งยังแต่งตั้งอาตมาเป็นพระสังฆราช ปกครองพุทธศาสนาอีกครั้ง!”



“เจ้าพูดเหลวไหลอะไร!”



หลังต้าเต๋อได้ยินดังนั้นก็เกิดความร้อนใจ ด่ากราดออกไป “จิตชั่วร้ายเช่นเจ้าน่ะหรือกล้าเรียกตนว่ามีคุณธรรม ก่อนนี้ข้ายึดถือความเมตตาปรานี มิได้กำจัดเจ้าให้สิ้นซาก ไว้ชีวิตเจ้า บัดนี้เจ้ากลับเอ่ยวาจาเช่นนี้ต่อหน้าข้า หน้าด้านเกินไปหรือไม่!”



“อามิตาพุทธ! พระพุทธองค์เคยตรัสว่า วางดาบลง จักบรรลุพุทธะ แม้ว่าอาตมาเคยเป็นจิตชั่วร้ายของเจ้าจริง ทว่าในใจของอาตมาฝักใฝ่ธรรมะมาตลอด! เจ้ามิได้เป็นเช่นนั้น เจ้ายึดถือแต่ตัวเจ้าเอง นี่ต่างหาก ความชั่วร้ายอย่างแท้จริง!”



พระเก้าประทีปพุทธเจ้าเอ่ย “ด้วยความวุ่นวายที่เจ้าก่อ ทำเอาพุทธศาสนาอลหม่าน ไม่เหลือเค้าความเป็นพุทธศาสนาสักนิด และเพราะเหตุนี้ พระพุทธองค์ถึงแต่งตั้งอาตมาเป็นพระสังฆราชองค์ใหม่ สั่งให้อาตมาปฏิรูปพุทธศาสนา ทำให้พุทธศาสนากลับสู่เส้นทางที่ถูกต้องอีกครั้ง”



“พระพุทธองค์อยู่ที่ใด”



ต้าเต๋อคร้านจะสนใจพระเก้าประทีปพุทธเจ้า เขาต้องการพบพระพุทธองค์ ดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับพระพุทธองค์



ความจริงหาได้เป็นดั่งที่พระเก้าประทีปพุทธเจ้าว่า



เขาเคยพบพระพุทธองค์ในภพเซียน และได้รับการยอมรับจากพระพุทธองค์อย่างสูง พระพุทธองค์ไฉนเลยจะมองว่าเขาคือความชั่วร้ายอย่างแท้จริงตามที่พระเก้าประทีปพุทธเจ้าอ้าง!



เรื่องนี้เต็มไปด้วยพิรุธ มีปัญหามากทีเดียว



นอกจากนี้ ยังมีประเด็นสำคัญที่สุด เขาสัมผัสพลังปราณของยอดฝีมือขอบเขตโกลาหลจากในเขาญาณได้ไม่น้อย พระพุทธองค์ไฉนเลยจะกำราบคนเหล่านี้ลงได้



เป็นไปได้ที่ไหน!



พระพุทธองค์ที่เขาได้พบ อย่าว่าแต่ยอดฝีมือขอบเขตโกลาหลเลย แม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตขอบเขตเซียนยังจัดการมิไหว มิฉะนั้น คงไม่ถูกบังคับให้อยู่ในตระกูลกู่ของภพเซียน



“พระพุทธองค์ไม่อยู่”



พระเก้าประทีปพุทธเจ้าตอบ “พระพุทธองค์มีเรื่องสำคัญต้องออกไป มิได้ประทับอยู่ในเขาญาณ ทว่าอีกไม่กี่วันพระพุทธองค์จะกลับมาเทศนาธรรมในเขาญาณ”



พูดมาถึงนี่ เขาหัวเราะออกมา



“เพียงแต่เจ้าคงไม่ได้เห็นแล้ว วันนี้อาตมาจะหลอมเจ้าให้สิ้นซาก ให้เจ้าผสานเป็นหนึ่งกับอาตมาอย่างสมบูรณ์!”



เขามองต้าเต๋อพลางกล่าว



“หลอมข้าหรือ น่าขัน เจ้ามีปัญญาหรือ”



ต้าเต๋อมองพระเก้าประทีปพุทธเจ้า “เลิกเพ้อฝันเสียที!”



“วันนี้มิเหมือนในอดีต อาตมาได้รับคำชี้แนะจากพระพุทธองค์ กลายเป็นเซียนโพธิสัตว์ตนหนึ่งแล้ว เจ้ายังคิดว่าอาตมาเป็นคนเก่าอยู่อีกหรือ”



พระเก้าประทีปพุทธเจ้าเอ่ย “มิฉะนั้น อาตมาไฉนเลยจะเป็นพระสังฆราชองค์ใหม่ได้”



“เซียนโพธิสัตว์?”



ต้าเต๋อมีสีหน้าประหลาดไป พระเก้าประทีปพุทธเจ้ามัวเสแสร้งอะไรต่อหน้าเขาอยู่!



เซียนโพธิสัตว์ตนหนึ่งเท่านั้น มิใช่เซียนสมบูรณ์ด้วยซ้ำ เพียงแค่บรรลุขอบเขตเซียนแล้วเท่านั้น



พลังขอบเขตระดับนี้เหลวเป๋วยิ่งกว่าอุจจาระเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา



เขาในยามนี้ เป็นถึงว่าที่จักรพรรดิเซียนตนหนึ่ง จามเพียงครั้งเดียวก็ปลิดชีพพระเก้าประทีปพุทธเจ้าได้แล้ว



เพียงแต่เขามิได้เผยพลังปราณออกไปเท่านั้น พระเก้าประทีปพุทธเจ้าถึงยังมองว่าเขามีพลังเหมือนเก่า



“เป็นอันใดไป ไม่เห็นเซียนโพธิสัตว์อยู่ในสายตาหรือ อาตมารู้ว่าเจ้ามีวิถีสวรรค์คอยคุ้มครอง มียอดศาสตราบางอย่างหนุนหลัง บางทีเซียนโพธิสัตว์อาจแผ้วพานเจ้ามิได้ ทว่าวันนี้เจ้ามิอาจกำเริบสืบสาน จะต้องถูกกำจัด!”



พระเก้าประทีปพุทธเจ้าตวาด มั่นใจเต็มร้อย



พระพุทธองค์หวนคืน สำแดงอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่ เผยแผ่พุทธศาสนา รับยอดฝีมือไว้คณานับ และตัวเขาได้รับความเชื่อใจจากพระพุทธองค์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระสังฆราชองค์ใหม่ ปกครองพุทธศาสนา ยอดฝีมือเหล่านี้ต่างอยู่ใต้บัญชาของเขา ไพ่ตายของต้าเต๋อหาได้มีน้ำยาในสายตาเขา



เขาพบเห็นความแข็งแกร่งของยอดฝีมือมาก เกินกว่าขอบเขตความเข้าใจของเขาไปอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าเขาบรรลุเซียนแล้ว ก็มิอาจเข้าใจได้อยู่ดี เหนือระดับความรู้เขาไปมาก!



“วันนี้วิถีสวรรค์ที่คอยคุ้มครองเจ้าย่อมมิกล้าโผล่หัว ยอดศาสตราที่หนุนหลังเจ้าจะสูญเสียประกายทั้งหมดในวันนี้ด้วย!”



พระเก้าประทีปพุทธเจ้ามองต้าเต๋อด้วยสีหน้าแช่มชื่น บรรยายไม่ถูกว่าสะใจเปรมปรีดิ์ปานใด



เขารอวันนี้มานานเหลือเกิน!



“หยุดล้อข้าเล่นเสียที ข้าไม่มีเวลาสนใจเจ้า”



ต้าเต๋อโบกมือด้วยความรำคาญ เขารู้ว่าพระเก้าประทีปพุทธเจ้าพึ่งพิงสิ่งใด จะเป็นอะไรได้นอกจากยอดฝีมือขอบเขตโกลาหลเหล่านั้น



ทว่ายอดฝีมือโกลาหลเหล่านั้นสู้ได้จริงหรือ



คิดอะไรอยู่!



หากมีเพียงเขา ยอดฝีมือขอบเขตโกลาหลเหล่านั้นอาจเป็นอันตรายต่อเขาอย่างมาก



แต่เขามิได้อยู่ตามลำพัง…



พวกคุณชายอยู่ที่นี่กันถ้วนหน้า!



“ไปนำเนื้อวัวมา แล้วจัดอาหารที่มีเนื้อจานอื่นไว้ด้วย ข้าจะตั้งโต๊ะจัดเลี้ยง”



ต้าเต๋อบอกกับพระเก้าประทีปพุทธเจ้า



วัว!



หลังพระเก้าประทีปพุทธเจ้าได้ยิน ‘คำนี้’ ก็เดือดดาลขึ้นมาในบัดดล เด้งตัวขึ้นมาด้วยโทสะแรงกล้า



“เป็นอันใดไป ชิงชังวัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ วัวนี่ดีออก กำยำแข็งแรง เนื้อเด้งน่าเคี้ยว!”



ต้าเต๋อเอ่ยอย่างฉงน ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเหตุใดพระเก้าประทีปพุทธเจ้าถึงมีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้



กำยำแข็งแรง!



หลังพระเก้าประทีปพุทธเจ้าได้ยินคำนี้ ก็แทบมีไฟปทะุออกจากตา



วัว แข็งแรง คำเหล่านี้ล้วนกระตุ้นอดีตอันเจ็บปวดของเขาขึ้นมา!

ความเจ็บปวดในอดีตคืบคลานเข้ามาในใจ พระเก้าประทีปพุทธเจ้าอกแทบระเบิด



หนึ่งร้อยรอบเชียวนะหนึ่งร้อยรอบ!



สิบล้านรอบเชียวนะสิบล้านรอบ!



ชีวิตของเขาช่างรันทดยิ่งนัก ชีวิตผู้ใดลำบากยากเข็ญเท่าเขาบ้าง



หลังเขาได้รับความไว้วางใจจากพระพุทธองค์ ได้เป็นพระสังฆราชองค์ใหม่แห่งพุทธศาสนา เรื่องแรกที่เขาทำคือฆ่าวัวทุกตัวในเขาญาณให้หมด



แม้แต่วัวตัวเมียก็ไม่ละเว้น!



หมูก็ด้วย เขาฆ่าไปจนหมด!



ทั้งยังสั่งห้ามมิให้สมาชิกในพุทธศาสนาเอ่ยถึงวัวและหมู!



แต่สุดท้ายเขาก็มาได้ยิน วัวนี่ดี ทั้งแข็งแรงทั้ง…



“เจ้าจงไปตายเสีย!”



เขาบันดาลโทสะ ฟาดฝ่ามือใส่ต้าเต๋อ แสงเซียนเจิดจ้าแยงตา



“อย่าได้โรคลมบ้าหมูกำเริบใส่ข้าเชียว!”



ต้าเต๋อแค่นเสียงเย็น กระทืบเท้าเบา ๆ พระเก้าประทีปพุทธเจ้ากระเด็นออกไปทันควัน กระแทกกับกำแพงอย่างแรงจนกระอักเลือดไม่หยุด



ที่นี่คือวิหารต้าสยง มีความหมายไม่ธรรมดา ต้าเต๋อใช้พลังปกปักษ์รักษาทุกอย่างในที่นี้ไว้แต่แรก ป้องกันมิให้สิ่งใดต้องสึกหรอ



มิฉะนั้น ด้วยพลังจากการกระทืบเท้าเมื่อครู่ของเขา วิหารต้าสยงแห่งนี้คงได้ระเบิดแน่!



“บังอาจนัก!”



“ริอ่านลงมือกับพระสังฆราช เจ้าบ้าไปแล้วหรือ!?”



เสียงตวาดเย็นเยียบดังจากทั่วสารทิศ ต้าเต๋อสัมผัสถึงแรงกดดันผิดปกติ แทบบีบอัดร่างเขาจนแหลกลาญ



ทว่าหลังจากนั้น ลูกประคำบนคอเขาส่องประกายแวววาว สกัดกั้นแรงกดดันเหล่านี้ให้เขา



ต้าเต๋อเหินออกจากวิหารต้าสยง เมื่อได้มาอยู่ข้างนอก เขาจึงรู้ว่าเสียงตวาดเย็นเยียบเหล่านั้นเป็นเสียงของบรรดายอดฝีมือขอบเขตโกลาหลในเขาญาณ



เขาไม่อยากสู้กันในวิหารต้าสยง กลัววิหารต้าสยงจะได้รับความเสียหาย



และทันทีที่เขาออกมาอยู่ด้านนอก ร่างหลายร่างก็มาถึงที่นี่ ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขา



ในกลุ่มนี้มีทั้งมนุษย์ทั้งสัตว์อสูร พวกเขาต่างแผ่ขยายพลังปราณออกมาโดยไม่ปิดบัง น่าประหวั่นพรั่นพรึงกันถ้วนหน้า ต่างอยู่เหนือขอบเขตโกลาหลขึ้นไป


พวกเขามาจากแดนบรรพโกลาหลจริง ต่อมา ถูกพระอมิตาภะพุทธเจ้ากำราบจนยอมสวามิภักดิ์ต่อพุทธศาสนา กลายมาเป็นธรรมบาลของพุทธศาสนา คอยหนุนพระเก้าประทีปพุทธเจ้า



ครานั้น พวกเขาต่างคิดไม่ถึงว่าพระอมิตาภะพุทธเจ้าจะแข็งแกร่งปานนี้ พวกเขาไม่อาจตอบโต้ได้เลย ถูกกำราบลงในพริบตา



“อ๊ากกก! เจ้าคนเดนตาย!”



พระเก้าประทีปพุทธเจ้าเหินออกจากวิหารต้าสยงในสภาพใกล้คลั่งเต็มที ดวงตาสองข้างแดงก่ำ เหลือเค้าความเมตตาอย่างพระที่ไหน!



“อามิตาพุทธ!”



สิ่งมีชีวิตอีกนับคณาตามมาถึงพร้อมท่องพระนามไปด้วย ต้าเต๋อได้เห็นใบหน้าคุ้นเคยไม่น้อย ทั้งพระสังฆราช พระเวทโพธิสัตว์ และพระโพธิสัตว์องค์อื่น ๆ อยู่ที่นี่หมด



ทว่าสายตาที่พระสังฆราช พระเวทโพธิสัตว์ และพระโพธิสัตว์องค์อื่น ๆ มองมาที่เขาเต็มไปด้วยความห่างเหิน ความเย็นชา



ต้าเต๋อรู้ดีว่าคงเกิดเรื่องกับพระสังฆราช พระเวทโพธิสัตว์ และพระโพธิสัตว์องค์อื่น ๆ แล้วแน่ มิฉะนั้น สายตาที่มองมาทางเขาไม่มีทางห่างเหินเย็นชาเพียงนี้



ฝีมือพระอมิตาภะพุทธเจ้าหรือ?



เขาคิดขึ้นมาอย่างอดมิได้ แล้วเกิดเรื่องอันใดกับพระอมิตาภะพุทธเจ้ากัน!?



สิ่งมีชีวิตขอบเขตโกลาหลมากมายยืนตระหง่านอยู่กลางอากาศ สาวกพุทธศาสนามากมายล้อมตัวเขาไว้ ต้าเต๋อถอนหายใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ในเขาญาณ



แม้กระทั่งครั้งแรกที่พระเก้าประทีปพุทธเจ้าคิดจะจัดการเขา เขายังไม่เคยเป็นศัตรูกับทั้งพุทธศาสนาเช่นนี้ อย่างน้อย พระสังฆราช พระเวทโพธิสัตว์ และพระโพธิสัตว์องค์อื่น ๆ ต่างก็อยู่ฝ่ายเดียวกับเขา



ทว่าบัดนี้ มิมีผู้ใดอยู่ฝ่ายเดียวกับเขา…



“เจ้าบูชาแต่เพียงตัวเจ้าเองอย่างที่คิด! แม้แต่พระพุทธองค์เจ้ายังไม่คิดบูชา! อาตมาเป็นถึงพระสังฆราชที่พระพุทธองค์ทรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง เจ้ายังกล้าลงมือกับอาตมาอีก!”



ดวงตาพระเก้าประทีปพุทธเจ้าแดงก่ำ ต่อว่าเสียงเย็น “มองดูรอบ ๆ ตัวเจ้าเอาเถิด มีผู้ใดอยู่ฝ่ายเดียวกับเจ้าบ้าง! เจ้ากลายเป็นมารร้ายไปแล้ว ห่างไกลจากวิถีธรรมะแห่งพุทธศาสนา ถือเป็นสาวกนอกรีต! จะต้องถูกประหาร!”



“ไม่เคารพต่อพระพุทธองค์ ไม่นับถือในพระพุทธองค์! เจ้าไม่มีค่าพอจะเป็นสาวกพุทธศาสนาของเรา!”



“ยังไม่ยอมให้สังหารเสียโดยดีอีก!”



เสียงตวาดเย็นเยียบดังขึ้นมากมาย สมาชิกพุทธศาสนาทั้งหลายต่างจ้องมองต้าเต๋อด้วยสีหน้าเย็นชา



กล่าวตามตรง ต้าเต๋อรู้ดีว่า นี่มิใช่ความตั้งใจเดิมของสมาชิกพุทธศาสนาหลาย ๆ คน แต่เพราะเกิดเรื่องบางอย่าง กระนั้น เมื่อได้เห็นคนคุ้นเคยมากมายปฏิบัติต่อเขาด้วยความห่างเหินเย็นชาเช่นนี้ ก็ยังไม่สบายใจเท่าใด



“คนทั้งศาสนาต้องการฆ่าเจ้า เจ้ายังโต้เถียงด้วยคำใดได้อีก!”



พระเก้าประทีปพุทธเจ้ายิ้มเย็นพลางเอ่ย “นี่คือสารรูปของเจ้าในตอนนี้ มิมีผู้ใดอยู่ฝ่ายเดียวกับเจ้า!”



“ใครว่า”



เวลานั้นเอง หลี่จิ่วเต้าและพวกลั่วสุ่ยก้าวเข้ามาข้างกายต้าเต๋อ



“พวกเราล้วนอยู่ฝ่ายเดียวกับต้าเต๋อ!”



เขาปริปากเบา ๆ นัยน์ตาใสกระจ่าง



ยามมาถึงเขาญาณ ชายหนุ่มก็รู้สึกตงิดใจ และหลังต้าเต๋อตามหมีดำไป เขาก็ยิ่งเป็นห่วงต้าเต๋อเข้าไปใหญ่ กลัวจะเกิดเรื่องกับต้าเต๋อ



หลังที่นี่อึกทึกครึมโครมถึงเพียงนั้น เขาก็รุดหน้ามาในทันทีด้วยกลัวจะเกิดเรื่องกับต้าเต๋อ!



“กลายเป็นมารร้ายอะไรกัน สาวกนอกรีตอะไรกัน เจ้าว่าใช่ก็ต้องใช่หรือ”



อ้ายฉานก้าวมาอยู่ข้างกายต้าเต๋อ ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา ขณะมองไปยังพระเก้าประทีปพุทธเจ้าพลางเอ่ย “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใด ข้าจะกล่าวหาเจ้าเช่นกันว่าเจ้ากลายเป็นมารร้าย เจ้าคือสาวกนอกรีต!”



แม้ว่านางมักทะเลาะกับต้าเต๋ออยู่เสมอ แต่นั่นเป็นการทุ่มเถียงหยอกล้อกันเท่านั้น ถึงเวลาคับขันจริง ๆ นางย่อมต้องสนับสนุนต้าเต๋อให้ถึงที่สุด!



“ใช่แล้ว!”



“สิ่งใดหรือคือธรรมะ สิ่งใดหรือคืออธรรม เลิกพูดจาไร้สาระเสียที! ข้ารู้เพียงต้าเต๋อเป็นสหายของข้า พวกเจ้าห้ามแตะต้องต้าเต๋อ!”



จู้จื้อและเหล่าเด็ก ๆ พากันก้าวออกไปพลางกล่าว



“คุณชาย พวกเจ้า…”


ต้าเต๋อซาบซึ้งอย่างยิ่งยวด นี่แหละคือสายสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา ไม่ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น พวกคุณชายจะอยู่ฝ่ายเดียวกับเขาตลอดไป



“ข้าก็นึกว่าเกิดเรื่องอันใด ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!”



เซี่ยเหยียนก้าวออกไปหนึ่งก้าว เอ่ยขึ้นเสียงเย็น “ทั้งพุทธศาสนาอะไร น่าขันจริง ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตตั้งเท่าไรถูกข่มจิตใต้สำนึกเดิมไว้ กล้าปลดปล่อยจิตใต้สำนึกเดิมของพวกเขาออกมาหรือไม่เล่า มาดูกันว่าพวกเขาอยู่ฝ่ายไหนกันแน่!”



นางบรรลุขอบเขตโกลาหลแล้ว รับรู้ได้ทันทีว่าพระสังฆราช พระเวทโพธิสัตว์ และพระโพธิสัตว์องค์อื่น ๆ รวมถึงสมาชิกส่วนใหญ่ในพุทธศาสนาถูกพลังบางอย่างข่มจิตใต้สำนึกเดิมไว้ ท่าทีที่เผยให้เห็นมิใช่ความตั้งใจจริง



“ด้อยความรู้นัก!”



พระเก้าประทีปพุทธเจ้าตะคอกตำหนิ “ถูกข่มจิตใต้สำนึกเดิมอะไรกัน! พวกเขาถูกข่มที่ไหน หลังได้ฟังพระพุทธองค์เทศนาธรรม พวกเขาต่างยอมเข้าร่วมพุทธศาสนาด้วยความศรัทธา สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ต่างหากคือความตั้งใจจริงของพวกเขา!”



พระพุทธองค์เทศนาธรรม…



หลี่จิ่วเต้าฟังจนเข้าใจแล้ว คล้ายการล้างสมองที่ดาวเคราะห์สีฟ้าใช่หรือไม่



พระพุทธองค์ผู้นี้เก่งกาจยิ่งนัก ล้างสมองได้ทั้งศาสนาเชียว



แต่ลองคิดดูแล้ว ไม่เก่งจะเป็นพระพุทธองค์ได้อย่างไรเล่า



“ถูกต้อง!”



“พวกเราต่างเข้าร่วมพุทธศาสนาด้วยความศรัทธา ขจัดความคิดฟุ้งซ่านในใจออกไป พระพุทธองค์คือผู้รู้ พวกเราได้ติดตามอยู่ข้างกายพระพุทธองค์ถือเป็นเกียรติอันสูงสุด และเป็นวาสนาสูงสุดของพวกเรา!”



สิ่งมีชีวิตขอบเขตโกลาหลทั้งหลายเอ่ย



และยามกล่าวถึงพระพุทธองค์ พวกเขาต่างมีสีหน้าเลื่อมใส นับถือพระพุทธองค์อยู่เต็มอก



‘พระพุทธองค์ผู้นี้มีความเป็นมาอย่างไรกัน’



ด้านหลี่จิ่วเต้า สุนัขดำหรี่ตาคิดในใจ



สิ่งมีชีวิตขอบเขตโกลาหลเหล่านี้ต่างมีระดังสูงส่ง เหนือขั้นห้าขึ้นไปก็ไม่น้อย ซ้ำยังมีที่อยู่ขั้นแปดด้วย



เซี่ยเหยียนดูไม่ออกว่าสิ่งมีชีวิตขอบเขตโกลาหลเหล่านี้ถูกข่มจิตใต้สำนึกเดิมไว้เหมือนกัน แต่มันดูออก



หากเป็นเมื่อก่อน มันอาจดูไม่ออก มันดูสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในขอบเขตโกลาหลขั้นแปดเป็นอย่างน้อยผู้นั้นไม่ออก



ทว่าบัดนี้แตกต่างออกไป



บัดนี้ มันคลี่แผ่จิตสัมผัสออกไปเพียงเล็กน้อยก็มองทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง รวมถึงสิ่งมีชีวิตขอบเขตโกลาหลขั้นแปดผู้นั้นก็ด้วย ไม่อาจซุกซ่อนสิ่งใดจากมันได้เลย



ในช่วงที่ได้ติดตามคุณชาย ขอบเขตของมันยกระดับขึ้นคูณทวี จากขอบเขตโกลาหลขั้นแปดมาถึงขั้นเก้า



และมันยังเหนือขอบเขตโกลาหลขั้นเก้าขึ้นไปอีก นั่นคือก้าวหน้ามาถึงตอนปลาย ใกล้บรรลุขั้นบรรพจารย์เต๋าโกลาหลแล้ว!



ใช่แล้วบรรพจารย์เต๋าโกลาหล ระดับพลังที่มิอาจบรรลุด้วยการฝึกตนเพียงอย่างเดียว!



บัดนี้มันถือได้ว่าเป็นกึ่งบรรพจารย์เต๋าโกลาหล หรือก็คือว่าที่บรรพจารย์เต๋าโกลาหล



เป็นเรื่องที่มันสะท้อนใจนักหนา สะท้อนใจในความแข็งแกร่งของคุณชาย สะท้อนใจในความด้อยประสบการณ์ของตนก่อนหน้านี้



ก่อนหน้านี้ มันคิดว่าคุณชายเป็นเพียงบรรพจารย์เต๋าโกลาหลท่านหนึ่งเท่านั้น!



มันช่างด้อยปัญญา!



คุณชายเป็นเพียงบรรพจารย์เต๋าโกลาหลที่ไหน คุณชายแกร่งกล้ากว่าบรรพจารย์เต๋าโกลาหลมาก ไม่อยู่ในระดับเดียวกันเลย!



มิฉะนั้น มันไฉนเลยจะได้เป็นว่าที่บรรพจารย์เต๋าโกลาหลในเวลาอันสั้นเช่นนี้



แต่ละระดับเหนือขอบเขตโกลาหลขึ้นไปรังแต่จะทวีความยากในการบรรลุ การบรรลุจากขั้นแปดถึงขั้นเก้ายิ่งหินเข้าไปใหญ่!



ต้องรู้ว่า แม้มันจะเป็นตำนานในแดนบรรพโกลาหล ผู้ทลายขีดจำกัดไปได้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะสามารถบรรลุขั้นเก้าได้ในเวลาอันสั้นเช่นนี้



ช่วงเวลาที่มันคาดการณ์ไว้ในใจคือล้านปี



ส่วนเรื่องจะเป็นบรรพจารย์เต๋าโกลาหลนั้น มันไม่เคยแม้แต่จะคิด ขอบเขตระดับนั้นแทบไม่มีทางบรรลุไปถึง นับแต่ยุคเริ่มต้น แดนบรรพโกลาหลก็มิเคยมีบรรพจารย์เต๋าโกลาหลอุบัติขึ้นสักตนเดียว!



แต่กับคุณชายเล่า ทุกสิ่งทุกอย่างช่างแสนง่ายดาย มันแตะต้องขั้นบรรพจารย์เต๋าโกลาหลได้ด้วยซ้ำ ซ้ำยังก้าวข้ามระดับนั้นขึ้นไปได้อีก



คุณชายช่างสุดยอดเหลือเกิน!



‘ได้ติดตามอยู่ข้างกายคุณชาย ช่วยให้ข้าได้รู้หลายเรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อน!’



สุนัขดำสะท้อนใจออกมาอีกครั้ง



อย่างเช่นจักรพรรดิไป๋เมื่อก่อนหน้านี้ และพระพุทธองค์ตอนนี้ ต่างเป็นตัวตนที่มันไม่เคยรู้จักเลย!



พระพุทธองค์เป็นคนเช่นไร อยู่ขอบเขตไหน นับว่าน่ากลัวอยู่บ้างจริง ๆ!



แม้แต่ขอบเขตของมันในยามนี้ ยังมิอาจแน่ใจได้ว่าจะสามารถกำจัดพลังที่ข่มจิตใต้สำนึกของบรรดาสิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหลได้



พลังนั้นเหนือระดับของมันขึ้นไปมิใช่น้อยเลย!



“ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเสวนากับพวกเขา! พวกสาวกนอกรีต ประหารได้เลย! พวกเขาไม่มีสิทธิ์ได้รับวิปัสสนาจากพระพุทธองค์ด้วยซ้ำ พวกเขาไม่ควรค่าพอจะบำเพ็ญธรรม เข้าร่วมพุทธศาสนา!”



พระเก้าประทีปพุทธเจ้าเอ่ยด้วยจิตสังหารพลุ่งพล่าน



“เข้าใจแล้ว!”



“เป็นเช่นนั้นจริง ๆ!”



สิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหลทั้งหลายหัวเราะเสียงเย็น เปล่งประกายเจิดจ้าทั่วร่าง บดบังแม้แต่พระอาทิตย์บนนภา พลังปราณโถมทับเข้ามาอย่างยิ่งใหญ่



พวกเขาสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของหลี่จิ่วเต้า มิมีผู้ใดประมาท ถึงอย่างไร ด้วยขอบเขตพลังของพวกเขา การที่พวกเขามองตื้นลึกหนาบางของพวกหลี่จิ่วเต้าไม่ออกก็สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาแล้ว



“คุณชาย ข้าขอลุยเอง!”



ในตอนนั้นเอง สุนัขดำเอ่ยอาสาขึ้น หมายจะออกไปสู้สักตั้ง



“ได้”



หลี่จิ่วเต้าพยักหน้า “เช่นนั้นเจ้าไปเถิด จริงสิ อย่าหนักมือมาก ในหมู่พวกนั้นมีวัตถุดิบอาหารชั้นดีไม่น้อย อย่างเช่นปีกนกคู่นั้น หากนำมาย่างรสชาติคงไม่เลวแน่”



“เข้าใจแล้ว!”



สุนัขดำตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง น้ำลายไหลลงมาตามมุมปาก

ฟังจบแล้วถ้าใครอยากสนับสนุนช่องโดเนท ให้ช่องของเราเดินหน้าต่อได้เร็วขึ้น หรืออยากขอนิยาย

ช่องทางสนับสนุนช่องอยู่ใต้ลิงค์คลิปชั่นนะครับ