ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่นิยายระบบ ก่อนที่จะรับฟังช่วยกดไลค์และกด subscribe เป็นกำลังใจด้วยนะครับ
นิยายเสียง อยู่ดีดีข้าก็เป็นเซียน
บทที่ 766ถึง 770
หลีเยว่จ้องมองหลี่จิ่วเต้าซึ่งกำลังวาดภาพอยู่ด้วยความหลากหลายความรู้สึก
นางนับถือหลี่จิ่วเต้ามาก ภาพที่หลี่จิ่วเต้าวาดขึ้นภายหลัง ไม่เพียงแต่เหมือนกับภาพวาดฝีมือนาง ทว่ายังแก้ไขจุดด่างพร้อยในภาพวาดของนางก่อนหน้านี้ได้ด้วย เปลี่ยนภาพวาดของนางให้สมบูรณ์ไร้ที่ติ เขาทำได้อย่างไร!?
นางไม่อาจเข้าใจได้เลย!
‘ข้าพลาดขั้นตอนไหนไปหรือไม่!’
นางเอ่ยในใจอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ทั้งที่ยามหลี่จิ่วเต้าวาดภาพดูง่ายดายปานนั้น กระนั้นนางก็ไม่รู้ว่าเกิดปัญหาตรงจุดไหน หลังจากนั้น นางตามอะไรไม่ทันเลย จู่ ๆ ภาพวาดก็ยกระดับขึ้นไปจนเกินขอบเขตความเข้าใจของนาง!
และขณะที่นางกำลังใคร่ครวญเรื่องนี้อยู่ ศิษย์พี่หลวนก็กลับมาถึง
“ระฆังสะเทือนฟ้า!”
นางตกตะลึง คิดไม่ถึงเลยว่ายอดศาสตราอันดับแปดแห่งดินแดน สมบัติอันดับสองแห่งลัทธิของนาง จะถูกศิษย์พี่หลวนนำมาด้วยง่าย ๆ เช่นนี้
เรื่องนี้ทำให้นางตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ได้อย่างแท้จริง มิน่า ก่อนนี้ศิษย์พี่หลวนถึงเอ่ยว่านี่มิใช่เรื่องส่วนตัว กระทั่งนำระฆังสะเทือนฟ้าออกมา ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน!
“ตกลงกันไม่ได้เลยหรือศิษย์พี่”
นางเอ่ยต่อศิษย์พี่หลวน “พวกเรากลับกันดีหรือไม่! จบเรื่องนี้ไว้เท่านี้เถิด!”
บัดนี้ ท่าทีที่นางมีต่อหลี่จิ่วเต้าเปลี่ยนไปนานแล้ว ไม่ต้องการให้เหตุการณ์ดำเนินไปถึงจุดที่ยากจะแก้ไข นางอยากให้ศิษย์พี่หลวนกลับไป
อันที่จริง หากมิใช่ว่าศิษย์พี่หลวนมาในเวลานี้ นางคงอดมิได้ ออกไปพบหน้าหลี่จิ่วเต้าแล้ว นางปลาบปลื้มในตัวเขามากและอยากทำความรู้จักด้วย
หลังศิษย์พี่หลวนได้ยินคำกล่าวของหลีเยว่ก็หัวใจเย็นวาบ
ธงหมื่นพินิตถูกหลี่จิ่วเต้าทำลายไปแล้ว เหตุใดศิษย์น้องถึงยังเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาได้!
เห็นได้ชัดว่าศิษย์น้องเริ่มเกิดความรู้สึกใส่ใจต่อหลี่จิ่วเต้าแล้ว หากไม่ใส่ใจ ไยศิษย์น้องต้องห้ามเขาด้วย!
“เป็นเช่นนี้ต่อไปใช้ได้ที่ไหน!!!”
เขายอมรับมิได้ ศิษย์น้องเพิ่งเคยได้พบหลี่จิ่วเต้าก็มีความรู้สึกใส่ใจเขาแล้ว ขืนปล่อยให้ศิษย์น้องได้ข้องแวะกับหลี่จิ่วเต้าต่อไป ศิษย์น้องมิหนีตามอีกฝ่ายไปเลยหรือ
“ศิษย์น้อง! นั่นคือธงหมื่นพินิตเชียวนะ ถูกเขาทำลายไปง่าย ๆ เช่นนี้! เราไม่เอาชีวิตเขาก็ดีมากแล้ว!”
ศิษย์พี่หลวนกล่าว “จะยอมจบเรื่องแบบนี้ไม่ได้ ท่านอาจารย์ออกคำสั่งมาแล้วว่าเขาต้องชดใช้ อย่างน้อย ๆ ชุดจานฝน หมึก พู่กันของเขาก็เก็บไว้ต่อไปมิได้ ต้องถูกทำลายทิ้งเท่านั้น!”
หลีเยว่ถอนหายใจ มิได้เอ่ยคำใดมากกว่านี้
นับแต่ศิษย์พี่หลวนนำระฆังสะเทือนฟ้ามา นางก็รู้แล้วว่าเรื่องนี้คงไม่อาจจบลงด้วยดีแล้ว แม้ว่านางจะนับถือหลี่จิ่วเต้ามาก แต่ก็ไม่อยากให้เขาต้องบาดเจ็บ
กระนั้นนางรู้ดีว่า หากหนนี้หลี่จิ่วเต้าไม่ชดใช้เสียบ้าง เรื่องนี้ไม่มีทางจบ ท่านพ่อของนางออกคำสั่งมาแล้ว แทบไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้อีก
‘ชุดจานฝน หมึก พู่กันหรือ…วางใจได้ วันหน้าข้าจะมอบชุดที่ดีกว่านี้ให้เจ้า!’
นางเอ่ยในใจ ตัดสินใจว่ากลับไปแล้วจะรวบรวมวัตถุดิบชั้นดี ตีเป็นชุดจานฝน หมึก พู่กันที่ดีที่สุดให้เขา
หลี่จิ่วเต้าคู่ควรกับชุดจานฝน หมึก พู่กันที่ดีที่สุด!
“มาเถิด! ข้าจะทำให้เจ้าร้องไห้จนไม่เหลือน้ำตา!”
ศิษย์พี่หลวนหัวเราะเย็น ๆ ในใจ ตีระฆังสะเทือนฟ้าเป็นเสียงดังกึกก้อง ถ่ายทอดพลังทั้งหมดเข้าไปในระฆังสะเทือนฟ้า หมายจะทำลายชุดจานฝน หมึก พู่กันของหลี่จิ่วเต้าในการโจมตีครั้งเดียว!
พลังโจมตีระดับนี้สยดสยองกว่าธงหมื่นพินิตตั้งไม่รู้กี่เท่า มิได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย หลี่จิ่วเต้านั้นไม่ได้ยินเสียงอันใด แต่พวกลั่วสุ่ยได้ยินเสียงทุ้มของระฆัง ราวกับก้าวข้ามกาลเวลาอันยาวนานมาอยู่ที่นี่ สะท้อนอยู่ในหัวใจของพวกเขา!
“เป็นเสียงระฆังที่น่ากลัวยิ่งนัก!”
“มาจากไหนกัน!?”
พวกลั่วสุ่ยต่างหนักอึ้งในใจ ฉงนสนเท่ห์ พวกเขาจับมิได้เลยว่าเสียงระฆังนี้มาจากที่ใด ราวกับเสียงระฆังนี้โผล่ออกมากลางอากาศฉับพลัน พริบตาที่มันส่งเสียงดังส่งผลให้พวกเขาหัวใจสั่นไหว รับรู้ถึงภัยคุกคามอย่างแรงกล้า!
ซ้ำพวกเขายังเหมือนได้เห็นภาพเหตุการณ์มากมาย ทั้งฟ้าถล่มดินทลาย ทั้งจักรวาลพินาศ ระฆังใหญ่ลูกหนึ่งถล่มใส่กาลเวลาอันยาวนาน ราวกับเป็นเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า ไม่มีสิ่งใดต้านทานได้!
“พุ่งเป้าไปที่คุณชาย!”
ไม่นานนัก ลั่วสุ่ย สุนัขดำ และผู้ที่ก้าวสู่ขอบเขตโกลาหลต่างรับรู้ได้ว่าเป้าหมายของระฆังใหญ่ลูกนี้คือคุณชาย มีพลังที่แกร่งกล้ายิ่งกว่าบุกโจมตีใส่คุณชายอย่างรวดเร็ว!
‘มีสิ่งมีชีวิตมุ่งร้ายต่อคุณชายในที่ลับ!’
ลั่วสุ่ยยิ้มเย็นในใจ ไม่นานนักก็เข้าใจว่า มีสิ่งมีชีวิตที่พวกเขาสัมผัสมิได้อยู่ในที่ลับ เสียงอสูรคำรามที่พวกเขาได้ยินก่อนหน้านี้มิใช่ว่าหูฝาด แต่เป็นสิ่งมีชีวิตในที่ลับเหล่านั้นที่โจมตีใส่คุณชาย!
‘อยากตายหรือ!’
นัยน์ตาของนางเย็นยะเยือก นึกเจ็บใจที่ขอบเขตพลังตัวเองไม่สูงพอ ไม่อาจกำจัดพวกตัวตลกในที่ลับแทนคุณชาย เป็นผลให้ตัวตลกเหล่านี้ไปรบกวนคุณชาย
‘ต้องเร่งฝึกฝนให้มากกว่านี้!’
นางเอ่ยบอกตัวเองในใจ ต้องก้าวหน้าให้ว่องไวกว่านี้ให้ได้ ไม่ปล่อยให้ตัวตลกเหล่านั้นมารบกวนคุณชายได้อีก!
“จงระเบิดออกให้หมด!”
ศิษย์พี่หลวนหัวเราะเสียงเย็น มั่นใจในระฆังสะเทือนฟ้ามาก นี่คือยอดศาสตราอันดับแปด มียอดศาสตราเพียงเจ็ดชิ้นเท่านั้นที่กำราบระฆังสะเทือนฟ้าได้ ลัทธิของเขายังมียอดศาสตราซึ่งติดสามอันดับแรกอยู่อีกชิ้นหนึ่ง นั่นหมายความว่า มียอดศาสตราเพียงหกชิ้นเท่านั้นที่กำราบระฆังสะเทือนฟ้าได้ และหลี่จิ่วเต้าไม่มีทางพกศาสตราทรงพลังปานนั้นติดตัว!
แต่ในลมหายใจต่อมา เขาแทบไม่เชื่อสิ่งที่เห็น!?
หลี่จิ่วเต้าจรดพู่กัน คล้ายว่ามีอสูรร้ายคำรามตัวหนึ่งพุ่งออกมา คลื่นระฆังที่แผ่ขยายออกจากระฆังสะเทือนฟ้าสลายไปในบัดดล!
จากนั้น เกิดเสียงดังกึก มีเสียงแตกร้าวดังออกจากระฆังสะเทือนฟ้า และระฆังใหญ่ลูกนั้นก็แหลกสลายไปในทันใด กลายเป็นผุยผงเกลื่อนกลาดบนพื้น!
“อะ…ไรกัน!”
ศิษย์พี่หลวนตกใจแทบแย่ ขาสั่นไปหมด หน้าตาเต็มไปด้วยความหวาดผวา!
นี่มัน…เป็นไปได้อย่างไร!?
ยอดศาสตราอันดับแปดถูกทำลายง่าย ๆ เช่นนี้ได้อย่างไรกัน!?
สวรรค์! ต่อให้พู่กันในมือหลี่จิ่วเต้าคือยอดศาสตราอันดับหนึ่งก็ไม่มีทางทำได้ถึงขั้นนี้!
กำราบนั้นได้ แต่ครั้นจะทำลายระฆังสะเทือนฟ้าลงย่อยยับนั้นเป็นไปไม่ได้เลย!
อีกอย่าง ยอดศาสตราอันดับหนึ่งคือเคียวมรณะ มิใช่พู่กันนี่เสียหน่อย!
“หา!?”
หลีเยว่ตกตะลึง ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง หัวใจของนางเต้น ‘ตึกตัก’ โครมคราม ให้ตายอย่างไรนางก็คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้!
หญิงสาวอึ้งงันจนคุมตัวเองไม่อยู่ สติเริ่มหลุดลอย หลี่จิ่วเต้าเป็นใครกัน จะดุดันเกินไปแล้ว!
เป็นผลจากพู่กันแท่งนั้นเพียงอย่างเดียวจริงหรือ!?
นางรู้สึกว่ามิใช่ บางทีพวกเขาอาจมองหลี่จิ่วเต้าผิดไป ชายผู้นี้อาจเป็นตัวตนสูงส่งอัศจรรย์ท่านหนึ่ง มิใช่สมาชิกวัยเยาว์จากตระกูลใด!
มิน่า ก่อนนี้ลั่วสุ่ยถึงเอ่ยว่าพัดพับเล่มนี้ได้คุณชายสานต่อศิลปะบนนั้นถือเป็นเกียรติสูงสุด ความจริงเป็นดังที่ว่า เป็นเกียรติสูงสุดอย่างแท้จริง
“ไปกันเถิดศิษย์พี่หลวน”
หลีเยว่กล่าวต่อศิษย์พี่หลวนผู้หมดอาลัยตายอยาก
“อ้อ จริงสิ!”
ศิษย์พี่หลวนได้สติ ไฉนเลยจะกล้าอยู่ที่นี่ต่อ หลี่จิ่วเต้าถึงกับทำลายระฆังสะเทือนฟ้าได้ง่าย ๆ นับประสาอะไรกับเขา หากคิดจะฆ่าเขาจริง น่ากลัวว่าคงทำได้ในการตั้งจิตเพียงครั้งเดียว
ก่อนไป หลีเยว่หันมองร่างของหลี่จิ่วเต้า
นางถอนหายใจหนักหน่วง ท่านผู้นี้ทรงพลังถึงเพียงนี้ ไฉนเลยจะไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่นี่ แต่ท่านผู้นี้กลับทำเหมือนพวกเขามิได้อยู่ที่นี่ มิเคยเรียกให้พวกเขาปรากฏกายออกไป
น่ากลัวว่าท่านผู้นี้ไม่ต้องการพบพวกเขา
หรือกล่าวให้ถูกคือ ก่อนนี้ท่านผู้นี้ยังมีความคิดอยากพบพวกเขาอยู่บ้าง ทว่าต่อมา ความคิดนั้นได้หายไป พวกเขาได้ทำการจาบจ้วงท่านผู้นั้น
‘น่าเสียดาย!’
ยิ่งคิดนางยิ่งเจ็บใจ นึกถึงเมื่อครั้งพวกเขาเพิ่งมาถึง หลี่จิ่วเต้าเคยเอ่ยวาจาคล้ายต้องการชี้แนะนาง เขาคงตั้งใจพูดให้นางฟัง
แต่นางกลับไม่ยี่หระ คิดว่าหลี่จิ่วเต้านั้นคุยโวเกินตัว จองหองผยอง…
บัดนี้มาคิดดูแล้ว นางพลาดวาสนายิ่งใหญ่ขนาดไหนไปกัน!
ทว่าบัดนี้ไม่ว่าจะเอ่ยคำใดก็สายไปแล้ว ศิษย์พี่หลวนโจมตีท่านผู้นี้หลายครั้งหลายครา ท่านผู้นี้ไม่ฆ่าพวกเขาก็นับว่าพวกเขาโชคดีมากแล้ว หากนางยังคิดอยากได้การชี้แนะจากท่านผู้นี้คงเป็นการไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง รนหายที่ตายเกินไป!
สุดท้าย พวกเขาไปจากที่นี่
หลีเยว่กลับไปด้วยการตั้งจิต ไปพบท่านพ่อของนางพร้อมกับศิษย์พี่หลวน
“กลับมาแล้วหรือ”
เจ้าลัทธิคลี่ยิ้ม อารมณ์เบิกบาน
หลีเยว่กลับมาพร้อมกับหลวนเหยา บ่งบอกว่าหลวนเหยาทำสำเร็จ
‘จะล้มเหลวได้อย่างไรเล่า! เจ้าพวกนั้นประคบประหงมยอดศาสตราหกอันดับแรกเป็นอย่างดี ไม่มีทางเผยให้ผู้อื่นเห็นกันง่าย ๆ แล้วจะมอบให้เด็กรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งได้อย่างไร!’
เขาคิดในใจ ‘แต่…เหตุใดหลวนเหยาถึงยังหม่นหมองเช่นนี้ ไม่มีท่าทียินดีปรีดาเลยเล่า!?’
เรื่องนี้สร้างความแปลกใจให้เขาอย่างมาก
‘หรือว่าเยว่เอ๋อร์จะชอบหมอนั่นขึ้นมาจริง ๆ หลวนเหยาถึงได้เศร้าสลดปานนี้!?’
เขาคิดในใจขึ้นมาอีกครั้ง ไม่เชื่อว่าหลวนเหยานำระฆังสะเทือนฟ้าไปแล้วยังสามารถล้มเหลวได้อีก จึงมองว่าเยว่เอ๋อร์อาจชอบเจ้าหมอนั่นเข้าแล้ว ซ้ำยังออกหน้าแทนหมอนั่น จนหลวนเหยาต้องเจ็บปวด
‘เฮ้อ ถึงอย่างไรก็ยังอ่อนวัยกันนัก ข้าเคยบอกแล้วมิใช่หรือ มีข้าคอยสนับสนุนเจ้า ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจแย่งเยว่เอ๋อร์ไปจากเจ้าได้! ช้าเร็วเยว่เอ๋อร์ก็ต้องครองคู่กับเจ้า เหตุใดต้องโศกเศร้าด้วยเล่า…’
เขาเอ่ยในใจ
หลวนเหยานั้นดีทุกอย่าง เพียงแต่กังวลกับเยว่เอ๋อร์เกินไป อารมณ์เพียงเล็กน้อยของเยว่เอ๋อร์สามารถส่งกระทบอย่างร้ายแรงต่อหลวนเหยา เขาเห็นเรื่องเช่นนี้มาเยอะแล้ว
กระนั้นก็มิใช่เรื่องแย่อันใด
อย่างน้อยเยว์เอ๋อร์ครองรักกับหลวนเหยาไปก็มิใช่ฝ่ายเสียเปรียบ หลวนเหยาจักดีกับเยว่เอ๋อร์มาก ๆ
และเพราะหลวนเหยาดีกับเยว่เอ๋อร์มากเพียงนี้ เขาถึงยอมรับหลวนเหยาขนาดนี้ ปฏิบัติต่อหลวนเหยาเสมือนบุตรเขย
“ท่านพ่อ เรายุติเรื่องนี้เพียงเท่านี้เถิด…”
หลีเยว่กล่าว รู้สึกว่าหลี่จิ่วเต้านั้นลึกล้ำเกินหยั่ง หากลัทธิของพวกเขาดึงดันต่อกรกับอีกฝ่ายต่อ อาจต้องเสียหายไปมากกว่านี้!
นางต้องการให้ทุกอย่างยุติ ไม่อยากให้ท่านพ่อของนางเอาความต่อ เรื่องของธงหมื่นพิชิตกับระฆังสะเทือนฟ้าปล่อยให้ผ่านแล้วผ่านเลยเถิด…
ตามคาด!
เจ้าลัทธิขมวดคิ้ว เยว่เอ๋อร์ชอบเจ้าหมอนั่นเข้าแล้วจริง ๆ จนป่านนี้แล้วยังพูดจาเข้าข้างหมอนั่นอยู่อีก กลัวว่าพวกเขาจะตามจองล้างจองผลาญกับหมอนั่นต่อ ลงทัณฑ์เขาให้หนักกว่านี้
“เยว่เอ๋อร์ เจ้าประเมินพ่อเจ้าต่ำเกินไป พ่อเจ้าเป็นคนใจคอคับแคบเช่นนั้นที่ไหน เรื่องนี้ย่อมต้องจบลงเท่านี้แน่นอน” เขาเอ่ย
เด็กรุ่นหลังคนหนึ่งเท่านั้น พวกเขายังไม่ถึงขั้นต้องตามระรานไม่ปล่อย ทำเช่นนั้นรังแต่จะเป็นผลให้พวกเขาดูไร้ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ นอกจากนี้ หมอนั่นได้ชดใช้อย่างสาสมแล้ว ชุดจานฝน หมึก พู่กันถูกทำลายทิ้งทั้งหมด นับว่าหักล้างกับที่ธงหมื่นพิชิตถูกทำลายได้แน่นอน
“จริงหรือ”
หลีเยว่ถามเสียงคลางแคลง ท่านพ่อไม่ยี่หระเรื่องที่ระฆังสะเทือนฟ้าถูกทำลายได้จริงหรือ
“พ่อเคยหลอกเจ้าที่ไหน! วางใจเถิด พ่อจะไม่ถือสาหาความอีก หากพ่อหลอกเจ้า พ่อจะให้…พ่อจะให้เจ้าถอนผมของพ่อออกให้หมด!”
เจ้าลัทธิกล่าว “คราวนี้เจ้าสบายใจได้แล้วใช่หรือไม่ เจ้ารู้ว่าผมนั้นสำคัญกับพ่อที่สุด พ่อไม่มีทางยอมให้ผมของพ่อสึกหรอ!”
“สบายใจแล้ว!”
หลีเยว่ยิ้มสดใส วางใจลงได้อย่างสิ้นเชิง ท่านพ่อเทิดทูนผมตัวเองมากจริง ๆ
“หลวนเหยา เรื่องราวจบลงแล้ว จากนี้ไป ทุกอย่างจักกลับมาเป็นปกติ เจ้าไม่ต้องมีท่าทีเช่นนี้” เจ้าลัทธิปลอบหลวนเหยา
“มาเถิด ส่งระฆังสะเทือนฟ้าให้ผู้อาวุโสไช่ ให้ผู้อาวุโสไช่ได้นำกลับไปเก็บในคลังสมบัติ” เขากล่าวต่อหลวนเหยา
ส่ง?
ส่งอะไร!
หลวนเหยาแทบร่ำไห้ ระฆังสะเทือนฟ้าหายไปแล้ว กลายเป็นผุยผงอย่างสิ้นเชิง…
แต่กระนั้น เขายังนำผุยผงทั้งหมดที่เหลืออยู่ของระฆังสะเทือนฟ้าออกมา
ก่อนจากมา เขาเก็บกวาดผุยผงของระฆังสะเทือนฟ้ามาหมดแล้ว
“หลวนเหยา เจ้าทำอะไร”
เจ้าลัทธิมองผุยผงที่หลวนเหยาโอบไว้ในมือด้วยความฉงน
“ท่านอาจารย์ นี่…นี่คือระฆังสะเทือนฟ้าอย่างไร!”
หลวนเหยาทนไม่ไหวอีกต่อไป ร่ำไห้ออกมาด้วยความปวดใจ
ระฆังสะเทือนฟ้าเชียวนะ ยอดศาสตราอันดับแปดถูกทำลายง่าย ๆ เช่นนี้ พวกเขาสูญเสียมากเกินไปแล้ว!
“เจ้าว่าอะไรนะ!?”
ดวงตาของเจ้าลัทธิจ้องหลวนเหยาเขม็งอย่างไม่เป็นมิตร ผุยผงกองนี้คือระฆังสะเทือนฟ้าหรือ!?
ล้อเล่นอะไรอยู่!
“เรื่องจริงขอรับ หมอนั่นเล่นงานระฆังสะเทือนฟ้าจนกลายเป็นผุยผงไปแล้ว!”
หลวนเหยาเอ่ยเสียงสะอื้น
“นี่คือ…ระฆังสะเทือนฟ้าจริง ๆ!”
เจ้าลัทธิสัมผัสปราณของระฆังสะเทือนฟ้าจากผุยผงกองนี้ได้ ทันใดนั้น ตัวเขาก็โอนเอนแทบล้มลงไปกองกับพื้น!
ผู้อาวุโสอยู่ที่นี่กันไม่น้อย สัมผัสปราณระฆังสะเทือนฟ้าจากผุยผงกองนี้ได้เช่นกัน พวกเขาพลันสูดปาก หนาวสะท้านไปทั้งหลัง
ระฆังสะเทือนฟ้าถูกทำลายจนอยู่ในสภาพนี้ คนผู้นั้นเป็นใครกัน!?
“อ๊ากกก! ฆ่าเขาเสีย! จะปล่อยให้เขามีชีวิตต่อไปมิได้!”
เจ้าลัทธิคลุ้มคลั่ง จิตสังหารพุ่งทะยาน ยอดศาสตราอันดับแปด สมบัติอันดับสองแห่งลัทธิถูกทำลายจนอยู่ในสภาพนี้ ในหัวเขาตอนนี้มีแต่ความต้องการฆ่า
“ท่านพ่อ ไหนท่านเอ่ยว่าจะยอมจบเรื่องนี้เพียงเท่านี้มิใช่หรือ หากท่านหลอกเยว่เอ๋อร์ ท่านพ่อจะให้เยว่เอ๋อร์ถอน…ผมท่านให้หมด?”
หลีเยว่รีบกล่าว หมายจะให้ท่านพ่อของนางสงบใจลง
ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาไม่มีทางจบสวยแน่!
ต้องรู้ว่า แม้แต่สมบัติอันดับสามแห่งลัทธิในมือท่านพ่อยังไม่สามารถทำลายระฆังสะเทือนฟ้าจนอยู่ในสภาพนี้ได้เลย พลังฝีมือของหลี่จิ่วเต้าผู้นั้นน่าครั่นคร้ามถึงที่สุดอย่างเห็นได้ชัด!
ระฆังสะเทือนฟ้าถูกทำลาย เจ้าลัทธิกำลังอยู่ในอารมณ์โกรธจัด ไฉนเลยจะยอมฟังคำกล่าวของหลีเยว่ เขาโกนผมทิ้งทั้งศีรษะ กลายเป็นคนหัวโล้นคนหนึ่งพร้อมเอ่ยเสียงเคียดแค้น “เขาต้องชดใช้ด้วยเลือด!”
บัดนี้ เขาไม่สนแม้แต่เส้นผมอันล้ำค่าของเขาแล้ว เขาจักฆ่าหลี่จิ่วเต้า ให้หลี่จิ่วเต้าตายตกตามระฆังสะเทือนฟ้า
หลีเยว่เอ่ยเสียงร่ำไห้ “ทำเช่นนั้นมิได้นะท่านพ่อ!”
“ท่านเจ้าลัทธิโปรดใจเย็นก่อน!”
“วู่วามเช่นนี้รังแต่จะทำให้เราเสียเปรียบมากกว่าเดิม!”
ผู้อาวุโสทั้งหลายรีบเข้าไปห้ามปราม มิกล้าปล่อยเจ้าลัทธิออกไป ตอนนี้ยังไม่ทราบตื้นลึกหนาบางของหลี่จิ่วเต้า หากทะเล่อทะล่าเข้าไป คงเป็นอันตรายอย่างยิ่ง!
“ถอยไป!”
เจ้าลัทธิตวาด หัวใจหลั่งเลือด ยอดศาสตราอันดับแปดเชียวนะ เรื่องนี้สร้างความเสียหายให้พวกเขามหันต์อย่างไม่ต้องสงสัย พลังอำนาจลดฮวบลง
ยอดศาสตราระดับนี้ทรงพลังแกร่งกล้ายิ่งนัก เพิ่มพูนกำลังรบได้อเนกอนันต์ ถือเป็นหนึ่งในไพ่ตายอันเต็มไปด้วยประสิทธิภาพ หากขาดมันไป บารมีจะลดทอนลงไปมาก
“ไม่ได้นะ!”
“พวกเราต้องหารือกันให้ถี่ถ้วน!”
บรรดาผู้อาวุโสพยายามหยุดยั้งเจ้าลัทธิอย่างสุดความสามารถ ก่อนได้รู้ภูมิหลังของหลี่จิ่วเต้า พวกเขาไม่ต้องการเคลื่อนไหวอันใดที่เป็นการปะทะกับหลี่จิ่วเต้า
“ปล่อยเขาไป!”
เวลานั้นเอง เสียงชราเสียงหนึ่งดังขึ้น เจ้าลัทธิรุ่นก่อนเดินออกมา
เขาดูอายุมากแล้ว ขาวโพลนทั้งผมทั้งเครา ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับเปล่งประกายเจิดจ้า ทั้งเนื้อทั้งตัวเปี่ยมไปด้วยบารมี
หลังเขามาถึง เจ้าลัทธิเงียบไปในบัดดล มิกล้ามีท่าทีอันใดอีก เห็นได้ชัดว่าหวาดกลัวในตัวเจ้าลัทธิรุ่นเก่ามาก
“ไปเถิด มิมีผู้ใดห้ามเจ้า จงสำแดงพลานุภาพของลัทธิเรา สังหารเจ้าคนเดนตายผู้นั้นเสีย”
เจ้าลัทธิรุ่นก่อนเอ่ยเสียงราบเรียบ
“ได้!”
เจ้าลัทธิเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน อยากทำเช่นนี้มานานแล้ว
“ดี เจ้าต้องไปแบบนี้ ห้ามนำสิ่งใดไปด้วยทั้งสิ้น” เจ้าลัทธิรุ่นเก่าเอ่ย
“หา” เจ้าลัทธิเซื่องซึมลงทันที
เขานำสมบัติอันดับสามแห่งลัทธิไปด้วยยังใช่ว่าจะจัดการหลี่จิ่วเต้าได้ ขืนไปมือเปล่าเช่นนี้ มิเท่ากับนำชีวิตไปมอบให้เขาหรือ!
“เจ้ารู้ด้วยหรือว่าไม่ไหว!”
เจ้าลัทธิรุ่นเก่าแค่นเสียงเย็น “หากยอมให้เจ้านำกงล้อยอดปราชญ์หยินสวรรค์ไปด้วย เจ้าแน่ใจหรือว่าสามารถต่อกรกับเขาได้”
กงล้อยอดปราชญ์หยินสวรรค์คือ สมบัติอันดับสามชิ้นนั้น
“ไม่…แน่ใจ!”
เจ้าลัทธิก้มหน้า ก่อนนี้เขากำลังโมโห มิได้ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน บัดนี้ใจเย็นลงแล้ว ต่อให้เขานำกงล้อยอดปราชญ์หยินสวรรค์ไปด้วยก็มิไหว
จะไหวได้อย่างไรเล่า!
ต่อให้เขาเค้นพลังกงล้อยอดปราชญ์หยินสวรรค์สุดชีวิต ก็ไม่อาจทำลายระฆังสะเทือนฟ้าให้อยู่ในสภาพนี้ได้ ทว่าหลี่จิ่วเต้าทำได้ ความห่างชั้นนั้นปรากฏชัด
“รู้แล้วยังอาละวาดอะไรอยู่ที่นี่!” เจ้าลัทธิรุ่นก่อนต่อว่า
“แต่…แต่จะให้ปล่อยไปง่าย ๆ เช่นนี้หรือ” เจ้าลัทธิเจ็บใจยิ่งนัก
“แน่นอนว่าปล่อยไปง่าย ๆ เช่นนี้มิได้!”
เจ้าลัทธิรุ่นก่อนหัวเราะเสียงเย็น “ข้าจะออกโรงเองด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว หากเขาทานไว้ได้ เรื่องนี้จะจบลงเพียงเท่านี้! หากเขาทานมิได้ เขาจักต้องตายด้วยการโจมตีนี้!”
เขาโบกมือ ประตูคลังสมบัติระเบิดฉับพลัน กงล้อยอดปราชญ์หยินสวรรค์พุ่งพรวดมาอยู่ในมือเขาเพียงพริบตาเดียว
จากนั้น เขาเริ่มลงมือสำแดงมหาเต๋าสูงส่งบางอย่าง พลังปราณสยดสยองล้นหลามออกมา สำแดงพลังฤทธิ์ออกมาเต็มที่เพื่อเพิ่มพูนพลังให้กับกงล้อยอดปราชญ์หยินสวรรค์
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
เสี้ยวลมหายใจนั้น ห้วงมิติสั่นคลอน กงล้อยอดปราชญ์หยินสวรรค์โผบินขึ้นฟ้า กลิ่นอายเยียบเย็นคลี่ปกคลุมธรณีทั้งผืนในบัดดล สิ่งมีชีวิตนับคณาเสมือนตกลงไปในโพรงน้ำแข็ง หนาวสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ ไม่เหลือความอบอุ่นในตัวสักนิด!
“กงล้อยอดปราชญ์หยินสวรรค์!”
“สวรรค์! ลัทธิไท่เหยี่ยนคิดจะทำอันใด!?”
“นั่นผู้ใดกัน เจ้าลัทธิรุ่นก่อนของลัทธิไท่เหยี่ยนหรือ เขามิได้เผยโฉมออกมานานแล้ว บัดนี้เร่งเร้าพลังแห่งกงล้อยอดปราชญ์หยินสวรรค์ปานนี้ คิดจะจัดการผู้ใดหรือ!?”
สิ่งมีชีวิตมากมายตกตะลึง ตัวสั่นระริก เจ้าลัทธิรุ่นก่อนของลัทธิไท่เหยียนคิดจะพังดินแดนนี้หรืออย่างไร!?
เจ้าลัทธิรุ่นก่อนแห่งลัทธิไท่เหยียนอยู่ในขอบเขตที่สูงเกินหยั่งแล้ว ซ้ำกงล้อยอดปราชญ์หยินสวรรค์ยังเป็นถึงยอดศาสตราอันดับสาม พลังสยดสยองปานนั้น ผู้ใดทำให้ลัทธิไท่เหยียนต้องขุ่นข้องหมองใจหรือ เจ้าลัทธิรุ่นก่อนแห่งลัทธิไท่เหยียนถึงต้องกระทำการบ้าคลั่งเช่นนี้ลงไป!
“คงมิใช่ว่าพุ่งเป้ามาที่ข้ากระมัง!”
ร่างแก่ชราร่างหนึ่งตื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว พลันนั้นเรียกยอดศาสตราในตระกูลออกมา เตรียมรับการต่อสู้ทุกเมื่อ
“ตาเฒ่านี่คงมิได้เจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นนั้นกระมัง ครานั้น ข้ามิได้ตั้งใจเผลอแย่งคู่บำเพ็ญเพียรของเขามา คงมิใช่เรื่องใหญ่อันใดกระมัง”
เขาพึมพำกับตัวเองเสียงเบา
ตู้ม!
กงล้อยอดปราชญ์หยินสวรรค์หมุนคว้างบนท้องฟ้าไม่หยุด เปล่งประกายเยือกเย็นเจิดจ้านับล้าน ปฐพีผืนนี้กลายเป็นขุมนรก ไอเย็นอึมครึมชวนสะท้านแผ่กระจายไปทั่วทุกที่
“พูดยาก!”
ร่างแก่ชราที่ตื่นขึ้นมองไปยังสถานที่หนึ่ง ซึ่งมีแม่เฒ่าสองนางยืนอยู่ด้วยกัน
“คู่บำเพ็ญเพียรคนที่สองของเขาก็ถูกข้าแย่งมาด้วย…”
เขาระแวดระวัง เรียกยอดศาสตราออกมาชิ้นแล้วชิ้นเล่า มิกล้าประมาทแม้แต่น้อย เจ้าลัทธิรุ่นก่อนแห่งลัทธิไท่เหยียนอาจคลุ้มคลั่งและมาแก้แค้นได้จริง ๆ
ทว่าเพียงไม่นานเขาก็โล่งใจ
เขาเห็นทวนยาวด้ามหนึ่งหลอมร่างขึ้นตรงด้านกงล้อยอดปราชญ์หยินสวรรค์อย่างรวดเร็ว ก่อนจะแทงทะลุห้วงมิติ บุกสังหารไปยังสถานที่หนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของเจ้าลัทธิรุ่นเก่าแห่งลัทธิไท่เหยียนมิใช่เขา
“คงมิใช่ว่าถูกแย่งคู่บำเพ็ญเพียรไปอีกกระมัง!”
เขาพึมพำ “หากเป็นเช่นนี้ คงไม่แปลกที่ตาเฒ่านั่นจะเสียสติ!”
พลังของทวนยาวน่าประหวั่นพรั่นพรึงเป็นที่สุด บุกมาถึงจักรวาลโกลาหลผืนที่หลี่จิ่วเต้าอยู่ในพริบตา สิ่งมีชีวิตทั้งหมดพลันรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ รับรู้ถึงภยันตรายถึงชีวิต สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนล้มหมอบกับพื้น สั่นสะท้านไปทั้งดวงวิญญาณ ใกล้สติแตกเต็มที!
ภายในตำหนักจักรพรรดิไป๋
พวกลั่วสุ่ยเคร่งเครียดขึ้นในบัดดล พวกเขาเองก็รับรู้ถึงภยันตรายร้ายแรง ต่างมองไปยังทิศหนึ่งอย่างอดมิไหว
พวกเขารู้สึกว่าอาจมีพลังสยดสยองบางอย่างพุ่งออกจากที่นั่น
ตามคาด ลมหายใจต่อมา พวกเขาเห็นทวนยาวด้านหนึ่งพร้อมด้วยประกายเจิดจรัสแกว่งไกว บุกสังหารเข้ามายังตำหนักจักรพรรดิไป๋อย่างรวดเร็ว!
เป้าหมายคือคุณชาย!
ไม่นานนักพวกเขาก็สามารถมั่นใจได้
“สามหาวนัก!”
“บังอาจจู่โจมคุณชายครั้งแล้วครั้งเล่า!”
พวกเขาบันดาลโทสะ เจ้าพวกนี้บ้ากันไปแล้วหรือ เห็นว่าคุณชายยอมให้ทำอะไรก็ได้จริง ๆ หรือ!?
อีกด้าน หลี่จิ่วเต้าสัมผัสอะไรมิได้ทั้งสิ้น เขายังคงวาดภาพต่อไป
ขณะที่ทวนยาวกำลังจะบุกเข้ามาถึงตำหนัก พลังสูงส่งอย่างหามิได้บางอย่างปรากฏ ก่อนจะกำจัดทวนยาวจนไม่เหลือซาก ฟ้าดินกลับสู่ความสงบอีกครั้ง
‘พวกเขาต้องชดใช้!’
ลั่วสุ่ยยิ้มเย็นในใจ บารมีคุณชาย ยอมให้จาบจ้วงเช่นนี้ได้ที่ไหน
คิดอะไรอยู่!
ผู้ที่ลงมืออยู่เบื้องหลังจะต้องชดใช้!
...
ภายในลัทธิไท่เหยียน
“รามือเถิด”
เจ้าลัทธิรุ่นก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่ สัมผัสได้ว่าทวนยาวถูกกำจัดแล้ว
เขาแทบเชื่อไม่ลงเลย ในโลกนี้มีตัวตนน่าพรั่นพรึงระดับนี้อยู่ได้อย่างไร
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
หลี่จิ่วเต้าผู้นี้เป็นใครกันแน่!?
เขางุนงงไปหมด คิดไม่ออกเลยว่าหลี่จิ่วเต้าเป็นผู้ใด หลังการโจมตีนี้ผ่านพ้น เขาไม่มีความคิดต้องการเป็นปฏิปักษ์กับหลี่จิ่วเต้าอีก
การโจมตีสุดชีวิตโดยยืมพลังจากกงล้อยอดปราชญ์หยินสวรรค์ของเขาถูกอีกฝ่ายลบล้างไปได้ง่าย ๆ นี่มิใช่คนที่พวกเขาต่อกรด้วยได้เลย
“ล้ม…ล้มเหลวหรือ”
เจ้าลัทธิหน้าซีดเผือด หัวใจหวาดผวา
เจ้าลัทธิรุ่นก่อนทรงพลังถึงเพียงใด การโจมตีรุนแรงที่สุดโดยยืมพลังจากกงล้อยอดปราชญ์หยินสวรรค์นี้ แม้แต่ผู้ที่ฝีมือแข็งแกร่งที่สุดในดินแดนนี้ก็มิอาจต้านทานได้ง่าย ๆ หลี่จิ่วเต้ากลับต้านได้…
ถึงแม้เขาสัมผัสมิได้ว่าทวนยาวถูกทำลาย แต่จากคำกล่าวของเจ้าลัทธิรุ่นก่อน เขาก็รู้แล้วว่าการโจมตีนี้ล้มเหลวแน่นอน
มิฉะนั้น เจ้าลัทธิรุ่นก่อนคงไม่อยู่ในท่าทีเช่นนี้
“บ้าเอ๊ย!”
หลวนเหยาหงุดหงิดใจนัก เขาคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่เพียงใด ก่อนนี้ถึงได้อาจหาญดูหมิ่นหลี่จิ่วเต้าถึงเพียงนั้น รนหาที่ตายยังไม่ต้องทำถึงขั้นนั้นเลย
“ดุดันปานนี้เชียว!?”
หลีเยว่อุทานเสียงหลง คิดไม่ถึงเลยสักนิด
นอกจากนี้ นางยิ่งสำนึกเสียใจเข้าไปใหญ่
วาสนาการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงปานใดกัน นางกลับพลาดไปเสียอย่างนั้น…
ครานั้น หากนางปรากฏตัวออกไป ยอมวางท่าทีให้ต่ำ น่ากลัวว่าทั้งหมดนี้คงไม่เหมือนอย่างยามนี้กระมัง
อนิจจา ไม่ว่าจะเอื้อนเอ่ยคำใดในเวลานี้ก็สายเกินไปแล้ว
“เกิด…อะไรขึ้น!?”
เวลานั้นเอง เจ้าลัทธิรุ่นก่อนแห่งลัทธิไท่เหยียนเงยหน้าฉับพลัน ก่อนจะมองไปด้านหนึ่ง
เขาระแวงขึ้นในใจ ราวกับที่นั่นกำลังจะมีพลังน่ากลัวบางอย่างบุกออกมา!
มิใช่แค่เขาที่เกิดความระแวง การดำรงอยู่เก่าแก่ในดินแดนนี้ต่างระแวงขึ้นหมด พากันมองไปยังด้านนั้นอย่างพร้อมเพรียง
สีหน้าพวกเขาฉายแวววิตกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในใจตึงเครียดถึงขีดสุด
“คงมิใช่ว่าแม้แต่กงล้อยอดปราชญ์หยินสวรรค์ก็ต้องเสียไปด้วยกระมัง!”
เจ้าลัทธิรุ่นก่อนใจเต้นไม่เป็นส่ำ เกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นมาอย่างอดมิได้
เขามิกล้าลังเล ถ่ายทอดพลังทั้งหมดของตัวเองไปยังกงล้อยอดปราชญ์หยินสวรรค์อย่างบ้าคลั่ง และสั่งให้ยอดฝีมือทั้งหลายอย่างเจ้าลัทธิถ่ายทอดพลังไปยังกงล้อยอดปราชญ์หยินสวรรค์ให้หมด
จะเกิดเรื่องกับกงใจเต้นไม่เป็นส่ำล้อยอดปราชญ์หยินสวรรค์ด้วยไม่ได้!
บนนภา กงล้อยอดปราชญ์หยินสวรรค์สาดประกายแสงนับล้าน คลื่นพลังไร้ขอบเขตซัดสาด นี่คือกลุ่มก้อนที่หลอมรวมพลังทั้งหมดในลัทธิไท่เหยี่ยนแล้ว หวังเพียงสามารถปกป้องกงล้อยอดปราชญ์หยินสวรรค์ไว้ได้!
สิ่งมีชีวิตนับคณาต้องประหวั่นพรั่นพรึง หวาดผวาอยู่ในใจ พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น นี่เป็นเพราะเจ้าลัทธิรุ่นก่อนต่อสู้กับผู้อื่นข้ามมิติ การโจมตีก่อนไม่สำเร็จ จึงต้องการโจมตีอีกครั้งหรือ
ผู้ใดกำลังต่อสู้กับเจ้าลัทธิรุ่นก่อนกัน
นอกดินแดนพวกเขายังมีการดำรงอยู่น่ากลัวปานนั้นอยู่อีกหรือ
พวกเขาไม่รู้สึกเลยว่ามีพลังสูงส่งอย่างหามิได้บุกเข้ามา
ทว่าตัวตนเก่าแก่ในดินแดนนี้ต่างรับรู้ได้ว่า พลังสูงส่งอย่างหามิได้ที่บุกเข้ามา
พวกเขาต่างมีสีหน้าคร่ำเครียด นึกแปลกใจอยู่เช่นกันว่าเหตุใดข้างนอกนั่นถึงมีตัวตนสยดสยองเช่นนี้อยู่ด้วย ซ้ำยังเกินกว่าขอบเขตความเข้าใจของพวกเขาอีกด้วย!
“คงมิใช่ว่าตาเฒ่านั่นแย่งคู่บำเพ็ญเพียรของผู้อื่นมาแล้วยังคิดสังหารผู้อื่น ถึงได้ปะทุศึกนี้กระมัง!”
ร่างแก่ชราร่างนั้นเอ่ยเสียงเบา “เป็นไปได้มาก การโดนแย่งคู่บำเพ็ญเพียรครั้งแล้วครั้งเล่า อาจทำให้หมอนั่นจิตใจมีปัญหา จนไปแย่งคู่บำเพ็ญเพียรของผู้อื่น ทว่าแย่งคู่บำเพ็ญเพียรผู้อื่นมาแล้วยังคิดจะฆ่าผู้อื่นด้วย เลวทรามเกินไป!”
เขาเอ่ยต่อ “หรือไม่ก็เป็นหมอนี่ที่หมายตาคู่บำเพ็ญเพียรของผู้อื่นและอยากชิงตัวมา จนปะทุเป็นศึกนี้”
เขามีสีหน้าดูแคลน
“ไม่ว่าอย่างไร พฤติกรรมเช่นนี้ก็มิควรเอาเป็นแบบอย่าง! แย่งคู่บำเพ็ญเพียรผู้อื่นเช่นนี้ได้อย่างไร ไม่ควรแม้แต่จะคิด ทำเช่นนี้เท่ากับก่ออาชญากรรม! บกพร่องทางจริยธรรม!”
เขาออกความเห็นด้วยท่าทีขึงขัง ลืมไปเสียสนิทว่าตนเองก็เคยมีพฤติกรรมเช่นเดียวกันนี้ ซ้ำยังสำเร็จอีกด้วย…
“อย่างข้านั้นมิใช่การแย่ง หากแต่เป็นการชอบพอกัน ต่างฝ่ายต่างมีใจปฏิพัทธ์ นั่นคือพลังความรัก!”
เขานึกขึ้นได้จึงเอ่ยเสริมอีกประโยค
ฟึ่บ!
ในที่สุด พลังมวลนั้นก็บุกมาถึง เป็นเพียงแสงลำหนึ่งที่มิสู้จะว่องไวเท่าใด ค่อย ๆ พุ่งผ่านสายตาของสิ่งมีชีวิตมากมายไปทีละน้อย
แต่หลังเจ้าลัทธิรุ่นก่อนได้เห็นลำแสงที่แช่มช้าดุจเต่าก็รู้สึกคล้ายหัวจะระเบิด!
ต้องเป็นพลังระดับใดกัน เขาไม่เคยเห็นพลังเช่นนี้มาก่อน น่ากลัวเกินไปแล้ว วิญญาณของเขาสั่นสะท้าน ไม่อาจเกิดความคิดพร้อมต่อสู้ขึ้นมาได้เลย!
ห่างชั้นเกินไป มิใช่ระดับเดียวกันเลย นั่นเป็นพลังที่เขามิอาจทำความเข้าใจได้!
“มีขอบเขตเหนือพวกเราขึ้นไปอีกหรือ!?”
“เป็นไป…ได้อย่างไรกัน!”
ตัวตนเก่าแก่ในดินแดนนี้ต่างขวัญผวา พลังที่แฝงอยู่ในลำแสงนั้นสร้างภัยคุกคามมาถึงชีวิตพวกเขา พวกเขาไม่นึกกังขาเลยว่า หากแสงลำนั้นเล็งเป้ามาที่พวกเขา พวกเขาจะถูกฆ่าในพริบตา ไม่มีทางเกิดเรื่องไม่คาดคิดได้เลย!
ตู้ม!
ลำแสงบุกเข้ามากระแทกบนกงล้อยอดปราชญ์หยินสวรรค์ ชั่วพริบตานั้น เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ไปทั่วดินแดน ภูเขาถล่ม พสุธาแยกออก ลำธารหยุดไหล สิ่งปลูกสร้างในลัทธิไท่เหยียนพังครื้นในเสี้ยวลมหายใจ!
เสียงบางอย่างแตกสลายดังขึ้น กงล้อยอดปราชญ์หยินสวรรค์ หนึ่งในสมบัติสามอันดับแรกแห่งดินแดนนี้ถูกทำลายลง ณ ตรงนั้น กลายเป็นชิ้นส่วนกระจายเต็มพื้น
เจ้าลัทธิรุ่นก่อนกระอักเลือดพรวด ล้มลงกับพื้น คนทั้งคนหมดอาลัยตายอยาก หมดแล้วซึ่งความมีชีวิตชีวา พริบตาเดียวก็กลายเป็นผู้เฒ่าชราภาพใกล้สิ้นอายุขัย
ยอดฝีมือในลัทธิไท่เหยียนต่างได้รับผลกระทบ ถูกกระเทือนออกไป ค่ายกลใหญ่ต่าง ๆ ในดินแดนต่างระเบิดออกทั้งหมด ไม่สามารถคงไว้ได้
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้!?”
เจ้าลัทธิรุ่นก่อนพึมพำกับตนเอง ยามเอ่ยวาจายังมีโลหิตไหลออกจากมุมปาก เขาสำนึกเสียใจแทบบ้า รู้อย่างนี้ ก่อนนี้เขาควรเลือกจบเรื่องราวทุกอย่าง มิใช่การยืมพลังจากกงล้อยอดปราชญ์หยินสวรรค์แล้วโจมตีอีกครั้ง!
คราวนี้สิดี กงล้อยอดปราชญ์หยินสวรรค์ถูกทำลาย ดินแดนลัทธิกลายเป็นซากปรักหักพัง ค่ายกลใหญ่และกลไกต่าง ๆ หายไปทั้งหมด
แม้ว่ามิมีสมาชิกคนใดบาดเจ็บล้มตาย กระนั้นเหตุการณ์คราวนี้ก็สร้างผลกระทบต่อพวกเขาอย่างมาก สมบัติสำคัญในลัทธิถูกทำลายติดต่อกัน แม้กระทั่งกงล้อยอดปราชญ์หยินสวรรค์ยังหายไปด้วย พวกเขาหมดสิ้นพลังที่สร้างบารมีได้ เสียตำแหน่งหนึ่งในกองกำลังสูงสุดไป
เขาตระหนักดีว่าการโจมตีสุดท้ายของเขาทำให้ท่านผู้นั้นไม่พอใจ จนก่อให้เกิดการลงทัณฑ์พวกเขา
ยังดีที่ท่านผู้นั้นมิได้คิดเอาชีวิต มิฉะนั้น ลัทธิของพวกเขาคงได้ตายกันทั้งหมด ไม่เหลือทางรอด
“ตาเฒ่านี่ มิใช่ว่าข้าตำหนิเจ้า เลิกมีความคิดไร้ศีลธรรมจำพวกนั้นเสียเถิด หมายตาคู่บำเพ็ญเพียรของผู้อื่นเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหน!”
ร่างแก่ชราร่างนั้นเหินเข้ามา ส่งเสียงอยู่ข้าง ๆ เจ้าลัทธิรุ่นก่อน
“เจ้า!”
เจ้าลัทธิรุ่นก่อนโมโหจนกลั้นไม่อยู่ กระอักเลือดพรวดออกมา
หมอนี่มีหน้ามาว่าเขาได้อย่างไร
ซ้ำยังเอ่ยว่า…ไร้จริยธรรม!
หากมิใช่ว่าเขาในตอนนี้มีสภาพไม่สู้ดี เป็นต้องเข้าห้ำหั่นกับหมอนี่ด้วยเลือดเนื้อให้ถึงที่สุดแน่!
“ข้าอยากมาเยี่ยมชมลัทธิไท่เหยียนนานแล้ว น่าเสียดายที่ไม่สมหวังเสียที บัดนี้นับว่าเป็นดั่งปรารถนา เพียงแต่น่าเวทนาไปหน่อย!”
ร่างแก่ชราร่างนั้นมือไพล่หลัง เดินวนเวียนไปมาอยู่เบื้องหน้าเจ้าลัทธิรุ่นก่อน ทั้งยังส่ายหัวไปมาขณะเอ่ย
เชือดคนเฉือนใจ!
นี่เป็นการเฉือนใจเขาโดยไม่ปิดบัง!
เจ้าลัทธิรุ่นก่อนขบฟันกรอด หนี้แค้นระหว่างเขากับหมอนี่ยิ่งทวีคูณความบาดหมาง สู้รบปรบมือกันมาตั้งแต่ช่วงวัยเยาว์จวบจนบัดนี้
ทว่าเขาในเวลานี้ได้แต่อดทน ปล่อยให้หมอนี่อวดเบ่งอยู่ตรงหน้าเขา
สภาพของเขามิสู้ดี กอปรกับปราศจากกงล้อยอดปราชญ์หยินสวรรค์ เขาทำร้ายหมอนี่มิได้
...
ภายในตำหนักจักรพรรดิไป๋
หลี่จิ่วเต้าเก็บพู่กัน วาดภาพพัดเสร็จเรียบร้อย
ชายหนุ่มคลี่ยิ้มด้วยความพึงใจ ภาพบนพัดนี้ดูไม่ออกเลยสักนิดว่ามีผู้วาดสองคน เขาสานต่อได้แนบเนียนไร้ที่ติ
“ไม่เลวเลยจริง ๆ!”
มือลองพัดเบา ๆ พลันรู้สึกสบายอุรายิ่ง วัสดุของพัดเล่มนี้ไม่เลวเลย เบาบางใช้สะดวก
สุดท้าย เขาเก็บพัดพับกลับเข้าไป
“พวกเราไปกันเถิด”
หลี่จิ่วเต้าเชยชมพื้นที่ที่เหลือในตำหนักจักรพรรดิไป๋เสร็จแล้วจึงขึ้นขี่กิเลนไฟ ไปจากเมืองนี้
ส่วนพวกลั่วสุ่ยนั่งอยู่บนรถลาก ตามคุณชายไปด้วย
พวกเขาเดินทางต่อ ทัศนาจรไปทั่วแดนดิน
...
ภายในจักรวาลอันกว้างใหญ่
ในนครพิศวงแห่งหนึ่ง
“ท่านพ่อบุญธรรมเก่งกล้ายิ่งนัก!”
เจ้าหลวงเอ่ยต่อบิดาบุญธรรมของเขาด้วยความเลื่อมใส
เขาคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ บิดาบุญธรรมที่ตามหาส่งเดชเพราะแต่เดิมต้องการที่พึ่งทางใจจะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่ปานนี้!
ที่นี่เป็นเพียงนครพิศวงเล็ก ๆ สิ่งมีชีวิตพิศวงในนี้ไม่ถือว่าแข็งแกร่งเท่าใด เขาปราบปรามนครพิศวงแห่งนี้ลงได้ง่าย ๆ ให้บิดาบุญธรรมของเขาได้ดูดกลืนพลัง
ก่อนนี้ บิดาบุญธรรมของเขาเอ่ยว่าเป็นบรรพจารย์พิศวงลางร้ายไม่ธรรมดา ความพิศวงลางร้ายด้านนอกนั่นล้วนถูกเผยแพร่ออกไปโดยเขา
ครานั้นเขายังไม่เชื่อ คิดว่าบิดาบุญธรรมของเขาพูดจาเหลวไหล อวดเบ่งไปอย่างนั้น
แม้ว่าบิดาบุญธรรมได้ถ่ายทอดวิชาลับแห่งความพิศวงให้เขาแล้วจำนวนหนึ่ง แต่เขายังนึกแคลงใจอยู่
ทว่าหลังมาถึงที่นี่ เขาก็หมดทุกข้อกังขา!
บิดาบุญธรรมของเขาดุดันอย่างแท้จริง เพียงครู่เดียวเท่านั้น บิดาบุญธรรมของเขาก็ดูดกลืนพลังพิศวงลางร้ายในดินแดนนี้จนหมด!
ต้องรู้ว่า ต่อให้เป็นเขา ก็ไม่มีทางดูดกลืนพลังพิศวงลางร้ายหมดเกลี้ยงได้ว่องไวเพียงนี้
หลังบิดาบุญธรรมของเขาดูดกลืนความพิศวงลางร้ายของที่นี่ไปแล้ว เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างกับบิดาบุญธรรมของเขา เกิดเป็นบารมียิ่งใหญ่ จนเขาอดมิได้อยากก้มลงคำนับกราบกราน!
บารมีอันยิ่งใหญ่นั้นส่งผลต่อพลังพิศวงลางร้ายโดยตรง เขาเชื่อแล้วจริง ๆ หากมิใช่บรรพจารย์ตัวจริง ไม่มีทางมีบารมียิ่งใหญ่เพียงนี้!
“ข้าโชคดีเหลือเกิน! ถึงได้เจอบิดาบุญธรรมแสนดีเช่นนี้! ท่านพ่อบุญธรรม ท่านวางใจเถิด จากนี้ไปลูกจะกตัญญูต่อท่าน!”
เขากอดขาบรรพจารย์เหยียน บิดาบุญธรรมของเขาพลางร่ำไห้
สายตาบรรพจารย์เหยียนทอประกายรังเกียจ อยากถีบเจ้าหลวงให้กระเด็นนัก
สะอิดสะเอียนเกินไปแล้ว!
แต่สุดท้ายมันก็มิได้ลงมือ ยามนี้มันยังต้องใช้ประโยชน์จากเจ้าหลวงอยู่
“ไปกันเถิดบุตรชายข้า ไปยังนครพิศวงอื่น พ่อฟื้นตัวได้ไวเท่าไหร่ ก็ยิ่งช่วยให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นได้ไวเท่านั้น”
มันกล่าวต่อเจ้าหลวง
“ขอรับท่านพ่อบุญธรรม!”
เจ้าหลวงตบหน้าอกรับประกัน “ข้าจะพาท่านพ่อบุญธรรมไปดูดกลืนของนครพิศวงทั้งหมด!”
“ดี”
บรรพจารย์เหยียนพยักหน้า หากได้ดูดกลืนพลังพิศวงลางร้ายจากนครพิศวงทั้งหมด มันคงฟื้นตัวได้ประมาณหนึ่ง
ถึงครานั้น มันสามารถติดต่อกับบรรพจารย์ท่านอื่น ดูว่ากลับไปได้หรือไม่
บางทีมันอาจขออยู่ที่นี่ต่อเป็นไส้ศึก พิชิตจักรวาลโกลาหลผืนนี้โดยร่วมมือกับบรรพจารย์ท่านอื่นจากภายใน
...
นอกจักรวาลโกลาหลผืนนี้ สตรีโฉมสะคราญนางหนึ่งเยื้องย่างอยู่ในอวกาศ
นางมีรูปร่างสะโอดสะอง งดงามไร้ที่ติ อาภรณ์สีขาวยิ่งขับให้นางดูไร้มลทิน
“การฝึกตนเป็นไปอย่างรวดเร็วเสียจริง…”
นางเอ่ยขึ้นอย่างอดมิได้ สะท้อนใจเป็นหนักหนา นางในเวลานี้ อยู่ในขอบเขตโกลาหลขั้นสามแล้ว!
เร็วเหลือเกิน เกินกว่าความคาดหมายของนางอย่างสิ้นเชิง นางเดินทางอยู่ตลอดแท้ ๆ แต่ยังยกระดับพลังได้รวดเร็วปานนี้ เรื่องนี้น่าตะลึงอย่างไม่ต้องสงสัย แทบเรียกได้ว่าเหลือเชื่อ!
ใช่แล้ว นางคือซี บัดนี้นางเดินทางเส้นทางนั้นจนออกจากจักรวาลโกลาหลผืนนั้นได้นานแล้ว
ร่างกายของนางอัศจรรย์ยิ่งนัก การบรรลุขอบเขตง่ายดายเสมือนกินข้าวดื่มน้ำ ไร้ซึ่งอุปสรรค
แน่นอนว่า นี่ก็เพราะสสารนอกจักรวาลโกลาหลผืนนั้นไม่ธรรมดา เหนือว่าสสารภายในจักรวาลโกลาหลผืนนั้นไปไกล เมื่อนางมีสสารเหล่านี้คอยเจือจุน จึงยกระดับได้ว่องไวเช่นนี้
หากว่านางยังอยู่ในจักรวาลโกลาหลผืนนั้น แม้จะยกระดับได้รวดเร็วเช่นกัน กระนั้นก็คงไม่เร็วปานนี้
“ดูท่า จักรวาลโกลาหลที่ข้าอยู่จะด้อยพลังยิ่ง…” นางว่า
หลังออกจากจักรวาลโกลาหลผืนนั้น นางก็ได้พบสสารฝึกฝนซึ่งค่อนข้างอัศจรรย์ และนางยังมิทันได้เข้าไปในจักรวาลโกลาหลผืนอื่นด้วยซ้ำ จักรวาลโกลาหลที่นางอยู่ด้อยพลังจริง ๆ ข้างนอกนั่นล้วนทรงพลังกว่าในนี้
ตู้ม!
เวลานั้นเอง เสียงดังโครมครามดังห่างออกไปไม่ไกล พลังประหลาดไหลเวียน ม่านตาซีหรี่ลง อยู่ในสภาวะเฝ้าระวัง
จากนั้น นาวาสมุทรลำมหึมาปรากฏ จอดอยู่เบื้องหน้าซี
“แม่นางเก่งกาจยิ่งนัก กระโดดออกจากจักรวาลของตนได้ด้วยขอบเขตโกลาหลขั้นสาม ไม่ธรรมดาจริง ๆ น่านับถือยิ่งนัก!”
บนนาวาสมุทร เด็กหนุ่มผู้หนึ่งเหินออกมา เอ่ยต่อซีด้วยรอยยิ้มเบาบาง
ประกายพร่างพราวล้อมอยู่รอบตัวเขา บุคลิกโดดเด่น ดวงตาคู่นั้นวาวโรจน์เป็นพิเศษ หล่อเหลาสดใส
นี่เป็นภาษาที่ซีไม่เคยได้ยินมาก่อน กระนั้นก็มิใช่เรื่องใหญ่ ซีเข้าใจความหมายในวาจาของเด็กหนุ่ม
“เกรงใจเกินไปแล้ว”
ซีตอบอย่างมีมารยาท มิได้ลดความระแวงลง แม้ว่าเด็กหนุ่มหล่อเหลาสดใสเป็นอย่างยิ่ง ทว่านางมิใช่พวกบ้าบุรุษรูปงาม ไม่มีทางถูกรูปลักษณ์เด็กหนุ่มทำให้หน้ามืดตามัว
นอกจากนี้ นางมีใจให้ผู้อื่นไปแล้ว หัวใจยังถวิลหาถึงบุรุษตัวน้อย ยิ่งไม่มีทางหลงใหลได้ปลื้มไปกับเด็กหนุ่ม
“แม่นางมิต้องกังวล ข้าหาได้มีเจตนาร้ายไม่”
เด็กหนุ่มหัวเราะ “พวกเรากำลังระดมพล สิ่งมีชีวิตที่กระโดดออกจากจักรวาลโกลาหลของตนได้ ล้วนอยู่ในข่ายพิจารณาของเรา แม่นางสนใจทำความรู้จักกันหน่อยหรือไม่”
เขากล่าวต่อ “แม่นางอย่าเพิ่งรีบปฏิเสธ นี่คือวาสนาการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เป็นบุญสูงสุดของแม่นาง”
ยามเอ่ยวาจา เขาหยิบตำราทองออกมาเล่มหนึ่งแล้วยื่นให้ซี
“เพื่อแสดงถึงความจริงใจของข้า และเพื่อแสดงถึงความแข็งแกร่งของฝ่ายข้า แม่นางอ่านตำราทองเล่มนี้ก่อนก็ได้ ในนั้นจารึกวิชาลับไว้วิชาหนึ่ง”
เขาคลี่ยิ้มสดใส เอ่ยด้วยท่าทีที่ทึกทักเอาเองว่าเจ้าเสน่ห์
ทุกครั้งที่ตำราทองออกโรง มิเคยพลาดสักครา หลังซีได้เห็นย่อมตกลงแน่นอน
เขาชักชวนสิ่งมีชีวิตเข้าร่วมได้สำเร็จมามากแล้วด้วยตำราทองนี้
ตำราทองส่องแสงเจิดจ้า บนตำรามีอักษรสลักไว้อย่างมีชีวิตชีวา ลำพังตัวอักษรนั้นก็ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง มีจังหวะแห่งเต๋าวิเศษวิโสไหลเวียนออกมา
‘คัมภีร์ฟ้า’
ซีไม่รู้จักตัวอักษรเหล่านี้ กระนั้นก็เข้าใจในความหมายของมัน
ความหมายของตัวอักษรนี้ปรากฏอยู่ในหัวของนางโดยตรง
เก่งกาจมากจริง ๆ!
ซีได้ฝึกวิชาลับและวิชาอภินิหารทั้งหมดในแดนบรรพโกลาหล กระนั้นยังมิอาจเทียบได้กับจังหวะแห่งเต๋าเช่นนี้ นี่คือคัมภีร์ที่เหนือชั้นกว่าขอบเขตโกลาหล
“แม่นางลองดูเถิด…”
เด็กหนุ่มเอ่ยยิ้ม ๆ ท่าทางมั่นใจ
‘คัมภีร์ฟ้า’ นั้นไม่ธรรมดา ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตขอบเขตโกลาหลขั้นเก้าตอนปลาย หรือแม้แต่ขอบเขตลอยชายซึ่งเหนือขอบเขตโกลาหลขึ้นไปยังต้องถูกดึงดูด จนอดมิได้ที่จะอยากเปิดออกดู
สิ่งมีชีวิตขอบเขตโกลาหลขั้นสามอย่างซีย่อมถูกดึงดูดได้ง่ายกว่า ไม่มีทางปฏิเสธ
อันที่จริง เขาค่อนข้างใคร่รู้ในตัวซี
ตามปกติ สิ่งมีชีวิตขอบเขตโกลาหลขั้นสามไม่มีทางได้เห็นโลกนอกจักรวาลโกลาหลของตน ซีทำได้อย่างไร
เขาใคร่รู้อย่างยิ่ง อยากรู้เป็นที่สุด
ครานั้น หลังเขาได้ทราบว่ามีสิ่งมีชีวิตกระโดดออกจากจักรวาลโกลาหลผืนของตน ก็รีบรุดหน้ามาที่นี่ หลังได้พบซี เขาก็ตะลึงเพราะคาดไม่ถึง
ในความคิดของเขา ซีควรต้องเป็นสิ่งมีชีวิตขอบเขตลอยชาย ถึงอย่างไร สิ่งมีชีวิตผู้กระโดดออกจากจักรวาลโกลาหลของตนที่เขาเคยพบต่างเป็นสิ่งมีชีวิตขอบเขตลอยชายกันถ้วนหน้า
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบสิ่งมีชีวิตขอบเขตโกลาหลอย่างซี มิหนำซ้ำ ขั้นของขอบเขตโกลาหลที่ซีอยู่ยังต่ำนัก ยิ่งทำให้เขาคิดไม่ถึงเข้าไปใหญ่
เขารู้สึกว่าซีไม่ธรรมดา มีความลับใหญ่หลวงกับตัว เขาอยากขุดลงไปให้เข้าใจ
หากมิใช่เช่นนั้น เขาไม่มีทางออกปากเชิญซี คนระดับซียังไม่มีสิทธิ์เข้าร่วม
“ขออภัย ข้ามีธุระ ไม่สะดวกเข้าร่วมกองกำลังใด ‘คัมภีร์ฟ้า’ เล่มนี้ข้าไม่ขอเปิดอ่าน”
ซีปฏิเสธยิ้ม ๆ
บอกตามตรง ‘คัมภีร์ฟ้า’ เล่มนี้ยวนใจนางมาก อยากเปิดออกดูสักครา
ทว่า นางควบคุมตัวเองไว้ได้
นางมีเรื่องสำคัญต้องไปทำ ไม่สะดวกเข้าร่วมกองกำลังจริง ๆ และไม่คิดเข้าร่วมด้วย เพราะอย่างนั้นไม่เปิดอ่านจะเป็นการดีกว่า
“หืม?”
ซีปฏิเสธหรือนี่ เด็กหนุ่มนามอูถงผิดคาด เหนือความคาดหมายของเขา
เป็นเพราะขอบเขตของซีต่ำเกินไปจนไม่รู้สึกถึงความเก่งกาจของ ‘คัมภีร์ฟ้า’ เล่มนี้หรืออย่างไร
อูถงคิดอย่างอดมิได้ มองว่าความจริงคงเป็นเช่นนั้น
ไม่อย่างนั้น เขาคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าเหตุใดซีต้องปฏิเสธ
ถึงอย่างไร ‘คัมภีร์ฟ้า’ เป็นที่ล่อตาล่อใจแม้แต่กับสิ่งมีชีวิตขอบเขตลอยชาย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงสิ่งมีชีวิตขอบเขตโกลาหลอย่างซี
“แม่นางเปิดดูหน่อยเถิด ‘คัมภีร์ฟ้า’ เล่มนี้มีประโยชน์แม้แต่กับสิ่งมีชีวิตขอบเขตลอยชาย ยิ่งเป็นประโยชน์กับแม่นางเข้าไปใหญ่”
อูถงกล่าว
คล้ายว่าเขานึกบางอย่างขึ้นได้ จึงกล่าวต่อ “แม่นางคงไม่เคยทราบเรื่องขอบเขตลอยชายมาก่อนใช่หรือไม่”
“อืม”
ซีพยักหน้า นางไม่รู้เรื่องขอบเขตลอยชายจริง ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่นางเคยได้ยินขอบเขตนี้
เป็นเช่นนี้จริงด้วย!
ขอบเขตโกลาหลขั้นสามเป็นขั้นริเริ่มของขอบเขตโกลาหล โดยปกติไม่มีทางรับรู้ถึงการมีอยู่ของขอบเขตลอยชาย ต้องรู้ว่า แม้แต่ขอบเขตโกลาหลขั้นเก้ายังแทบไม่อาจรับรู้ถึงขอบเขตลอยชายได้เลย
ขอบเขตลอยชายอยู่เหนือขอบเขตโกลาหล เป็นการทลายโซ่ตรวนของจักรวาลโกลาหลที่ตนอยู่ กระโดดออกจากจักรวาลโกลาหลผืนนั้น เป็นอิสระอย่างแท้จริง
เดิมที อูถงคิดว่าซีกระโดดออกจากจักรวาลโกลาหลของตนได้แล้ว อาจรู้เรื่องขอบเขตลอยชายอยู่บ้าง ทว่าดูจากท่าทีของซีที่ปฏิเสธ ‘คัมภีร์ฟ้า’ เขาก็มองว่าซีไม่รู้จักขอบเขตลอยชาย
เมื่อได้ถามก็เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ
“ขอบเขตลอยชาย คือขอบเขตที่อยู่เหนือขอบเขตโกลาหล คือขอบเขตที่แม่นางจะฝึกตนจนบรรลุขึ้นไปได้ในอนาคต แม่นางลองเปิดอ่านสักครา มันช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ได้มาก ให้แม่นางสามารถก้าวสู่ขอบเขตลอยชายได้ดียิ่งขึ้น”
อูถงเอ่ยพลางยิ้ม
“ขอบคุณ แต่ข้าไม่อ่านดีกว่า ข้ามิได้ทำสิ่งใดที่ควรคู่จะได้รับ และข้าก็มีธุระสำคัญจริง ๆ”
ซีมิได้เปลี่ยนใจ ยื่น ‘คัมภีร์ฟ้า’ กลับไปให้
นางต้องไปตามหากล่องสี่เหลี่ยมต่อ เพื่อค้นหาความลับของมัน หาเหตุผลที่กล่องสี่เหลี่ยมพาตัวบิดามารดา และผู้อื่นในตระกูลของนางไปด้วย จึงไม่สามารถเข้าร่วมกองกำลังใดได้
“ไม่เป็นไร”
อูถงคลี่ยิ้ม “ขอถามได้หรือไม่ว่าแม่นางมีธุระอันใดต้องไปทำ ลองบอกมาเถิด ข้าอาจช่วยแม่นางจัดการปัญหานั้นได้”
“ขออภัย เรื่องนั้นข้าไม่สะดวก” ซีปฏิเสธ
นางไม่สะดวกเล่าเรื่องของกล่องสี่เหลี่ยมจริง ๆ ในกล่องสี่เหลี่ยมมีความลับยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย นางกลัวจะเกิดเรื่องอีก
ตัวบ้าอะไร!
อูถงขมวดคิ้ว สีหน้าเริ่มไม่สบอารมณ์ นี่ซีวางมาดใส่เขาหรือ
เขามีมารยาทต่อซีขนาดนี้ ทั้งนำ ‘คัมภีร์ฟ้า’ ออกมา แล้วยังเอ่ยปากว่าจะช่วย ซีกลับไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ปฏิเสธเขารัว
อะไรกัน นี่นางคิดว่าตนเองเก่งกาจเหลือแสนนักหรือ?
“แม่นาง อย่ามองว่าข้าสมควรรักษามารยาทต่อเจ้า!”
เขาเอ่ยเสียงเข้ม “สิ่งมีชีวิตขอบเขตโกลาหลขั้นสามเช่นเจ้า เดิมไม่ควรได้รับเชิญ กระนั้นข้าก็ยังเชิญเจ้า เจ้าควรถนอมโอกาสนี้ อย่าได้วางมาดอวดเบ่งใส่ข้า!”
ยามเอ่ยวาจา พลังปราณกล้าแกร่งซึ่งมีระดับสูงกว่าซีพลันแผ่ซ่านออกมาจากตัวเขา เขานั้นอยู่ขอบเขตโกลาหลขั้นห้า
เห็นได้ชัดว่าจงใจคลี่แผ่พลังปราณออกมาเพื่อข่มซี
ซีเลิกคิ้วเล็กน้อย
คนผู้นี้ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
เอ่ยเชิญนางแล้ว นางต้องรับไว้เท่านั้นหรือ ไม่รับเท่ากับไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีหรือ
ตรรกะบ้าบออะไรกัน!
“ขออภัย ข้ามีธุระ ขอตัวก่อน”
นางไม่ต้องการเอ่ยวาจาใดกับเด็กหนุ่มให้มากความ หันหลังหมายจะไปจากที่นี่
“บังอาจ! ข้าให้เกียรติแล้วแต่เจ้าไม่เอา ทว่าอยากได้ความรุนแรง เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
อูถงหัวเราะเสียงเย็น เดือดดาลกับการปฏิเสธของซี
ถึงเขาจะมิใช่สมาชิกคนสำคัญแต่อย่างใด เป็นเพียงสมุนวิ่งงานเท่านั้น ทว่าแม้แต่สิ่งมีชีวิตขอบเขตลอยชายยังมิกล้าเสียมารยาทต่อเขา คนเช่นซีสมควรตายนัก!
เสียงดังตู้ม เด็กหนุ่มบุกเข้าไปสังหารซี ฝ่ามือเปล่งแสง ประกายเจิดจ้าพวยพุ่ง
ซีเอี้ยวตัวหลบการโจมตีนี้
“เจ้าคิดจะทำอันใด!?”
นางตวาดเสียงดัง ยกมือเรียกแพรแดงออกมาผืนหนึ่ง นี่คือยอดศาสตราที่จ้าวแห่งตงชิวมอบให้นาง หากเด็กหนุ่มต้องการใช้กำลังกับนาง นางก็ไม่จำเป็นต้องกลัว
“ท่านอูถง เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
“ให้พวกเราช่วยหรือไม่”
เวลานั้นเอง ร่างหลายร่างปรากฏออกมาจากนาวา พวกเขาต่างเคารพอูถงอย่างยิ่ง เรียกอูถงว่าท่าน
และร่างเหล่านั้นต่างมีพลังปราณสยดสยองแกร่งกล้าแผ่ซ่านออกมา ทุกร่างล้วนอยู่เหนือขอบเขตลอยชายขึ้นไป มิมีข้อยกเว้น
“ไม่ต้อง”
อูถงโบกมือ หลายร่างเหินออกมาแล้ว แต่หลังจากอูถงโบกมือ พวกเขาก็เหินกลับไปทันที ทำตามคำสั่งอูถงอย่างเคร่งครัด
“มิได้ขยับแข้งขามานาน หนนี้ถือเสียว่าออกกำลังกาย”
อูถงเรียกมีดใหญ่เล่มหนึ่งออกมาพร้อมกล่าวต่อ “อีกอย่าง ตัวละครเล็ก ๆ ในขอบเขตโกลาหลขั้นสาม ไม่จำเป็นต้องให้ทุกท่านลงมือ”
จากนั้น เขาหวดมีดใหญ่ฟันใส่ซี
ซีสะบัดแพรแดง เข้าต่อสู้กับอูถงอย่างดุเดือด
นางขมวดคิ้ว อูถงไม่ธรรมดาจริง ๆ เห็นได้ชัดว่าดินแดนอันเป็นภูมิลำเนาของเขามิได้ดาษดื่น พลังที่มีนั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เหนือกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่นางเคยพบเจอในแดนบรรพโกลาหล
เอ่ยอย่างไม่เกินจริงเลยว่า อูถงผู้ทรงพลังถึงเพียงนี้ หากได้อยู่ในแดนบรรพโกลาหล ย่อมต้องกำราบสิ่งมีชีวิตในแดนบรรพโกลาหลซึ่งอยู่ในระดับเดียวกันได้อย่างสบาย ๆ
และอูถงอาจกำราบสิ่งมีชีวิตขั้นเจ็ดซึ่งเหนือระดับของเขาขึ้นไปสองขั้นได้ด้วย!
แต่ซีนั้นพิเศษยิ่งกว่า!
ร่างกายของนางน่าทึ่งยิ่ง ฝึกฝนวิชาอภินิหารทั้งหมดในแดนบรรพโกลาหลได้ถึงขั้นสมบูรณ์ ซ้ำยังปรับเปลี่ยนวิชาอภินิหารเหล่านั้นให้ดีขึ้น จนวิชาอภินิหารเหล่านั้นสมบูรณ์แบบและทรงพลังมากขึ้น
ในสถานการณ์เช่นนี้ นางมีความสามารถพอจะประมือกับอูถงได้แน่นอน!
แพรแดงเปล่งแสงเจิดจ้า แม้จะดูนุ่มนวล แท้จริงแล้วกลับแข็งกร้าวเหลือแสน เมื่อปะทะกับมีดใหญ่ของอูถง มิได้เป็นฝ่ายเสียเปรียบเลยสักนิด
พลังในตัวซีมหาศาลเกินขอบเขตโกลาหลขั้นสามไปแล้ว แน่นอนว่าเป็นการเทียบกับสิ่งมีชีวิตตนอื่น
เมื่อเทียบกับสิ่งมีชีวิตตนอื่น พลังที่นางรองรับในกายได้เยอะกว่ามาก กล้าแกร่งกว่าพลังที่ควรมีในขอบเขตโกลาหลขั้นสาม!
และเพราะมีพลังมหาศาลกล้าแกร่งปานนี้ หลังถ่ายทอดพลังเข้าไปในแพรแดง ถึงเปลี่ยนแพรแดงให้ทัดเทียมมีดใหญ่ได้
หากมิใช่เช่นนั้น แพรแดงไม่มีทางปะทะกับมีดใหญ่ได้เลย คงถูกมีดใหญ่บั่นเป็นชิ้น ๆ ไปนานแล้ว
“พอมีฝีมืออยู่บ้างจริง ๆ…”
ม่านตาอูถงหรี่ลง มิน่า ซีถึงกระโดดออกจากจักรวาลโกลาหลของตนได้ตั้งแต่ขอบเขตโกลาหลขั้นสาม นางมิใช่สิ่งมีชีวิตธรรมดาจริง ๆ!
แต่ไม่เป็นไร หากซีคิดจะต่อกรกับเขาด้วยสิ่งนี้ ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้!
“กำราบ!”
เขาฟันมีดออกไปหลายที ปะทุพลังที่ดุดันยิ่งขึ้น ซีมิใช่คู่มือของเขา ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าขอบเขตของเขายังสูงว่านางถึงสองขั้น
ต่อให้ไม่เป็นเช่นนั้น ต่อให้เขากับซีอยู่ในขอบเขตเดียวกัน เขาก็กำราบนางได้ง่ายดาย
“เจ้าคิดเยอะไปแล้ว!”
ซีมีสีหน้าเย็นชา นางดึงแพรแดงกลับ เริ่มสำแดงมหาวิชาบางอย่าง
แต่เดิมมหาวิชานี้คือสุดยอดวิชาแห่งขอบเขตโกลาหล หลังได้นางปรับให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น มหาวิชานี้ก็กล้าแกร่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ช่วยให้นางระเบิดพลังที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นออกมาได้!
เสียงดังตึง มีดใหญ่ในมืออูถงแหลกลาญ ไม่อาจหยุดยั้งพลังของมหาวิชานี้ได้
อูถงคิดไม่ถึงจริง ๆ มหาวิชาที่ซีสำแดงออกมาเกินความคาดหมายของเขาไปอย่างสิ้นเชิง เขามิเคยคิดเลยว่าซีจะมีมหาวิชาระดับนี้
แต่ไม่เป็นไร
มหาวิชาอย่างนั้นหรือ?
เขาก็มี ซ้ำยังมีอยู่มากมาย!
“เป็นเพียงกบก้นบ่อเท่านั้น ฟ้าดินจริง ๆ กว้างไกลกว่าที่เจ้าคิดไว้มาก!”
อูถงหัวเราะเสียงเย็น ก่อนจะกล่าวต่อ “ข้าขอบอกเจ้าตามตรง ข้าเป็นเพียงบ่าวรับใช้คนหนึ่งเท่านั้น แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น บ่าวรับใช้อย่างข้าก็เกินกว่าที่เจ้าจะยกตนขึ้นมาเทียบได้!”
หลังเขาเอื้อนเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ออกมา ก็มีสีหน้าภาคภูมิใจอย่างยิ่งยวด
แม้เขาจะเป็นเพียงบ่าวรับใช้ แต่บ่าวรับใช้อย่างเขาก็มีสถานะสูงส่ง จนเขารู้สึกเป็นเกียรติเป็นศรี
“บ่าวรับใช้มีอะไรให้ภูมิใจกัน ความเป็นทาสในตัวเจ้าเข้มข้นเกินไปแล้ว…” ซีเอ่ยเสียงเบา
คำว่าบ่าวรับใช้นั้นรุนแรงเกินไป เพลิงโทสะภายในใจของอูถงพลันลุกโหมอย่างบ้าคลั่ง
คำว่าบ่าวรับใช้นั้นไม่น่าฟัง แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใดเป็นนายด้วย ซึ่งตัวเขานั้นเป็นบ่าวรับใช้ของตระกูลเหอ
กองกำลังที่อยู่ข้างหลังเขาไม่ธรรมดาเหนือชั้นเป็นอย่างมาก สูงตระหง่านดังนภา มีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนต้องการจะเข้าร่วม ทว่าน่าเสียดายที่ไม่ประสบความสำเร็จ
หากเป็นสถานการณ์ปกติแล้ว ตัวเขาเองก็ไม่อาจเข้าร่วมได้ ไม่มีแม้กระทั่งคุณสมบัติจะเป็นบ่าวรับใช้เสียด้วยซ้ำ ทว่าเขานั้นต่างออกไป ครอบครัวของเขาเป็นบ่าวรับใช้คนในตระกูลนี้มาหลายชั่วอายุคน สำหรับเขาแล้ว นี่คือเกียรติอันสูงสุดพอให้หยิ่งผยองได้!
“บ่าวรับใช้ในบ้านก็เป็นตัวตนที่เจ้าไม่อาจเอื้อมถึงได้!”
เขาตวาดออกมาอย่างเย็นชา พลังอันแข็งแกร่งม้วนตัวราวกระแสน้ำ ดวงดาราที่อยู่รายล้อมระเบิดออกทันที กฎเกณฑ์อันน่าสะพรึงกลัวปรากฏออกมา ควบแน่นจนกลายเป็นกระบี่ขนาดยักษ์จนมืดฟ้ามัวดิน ประหนึ่งฝนกระบี่หนึ่งสาย!
กระบี่สั่นกึกส่งเสียงดังกังวาน พลังอันสูงล้ำกระเพื่อมออก เหล่าสิ่งมีชีวิตขอบเขตลอยชายบนเรือมองมาด้วยสายตาเปี่ยมความรู้สึก
พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นผู้โดดเด่น ในจักรวาลโกลาหลที่ตนเองกระโดดออกมา หลังจากนั้นจึงได้อูถงที่กำลังสรรหาคนรับเข้ามา
เจตจำนงกระบี่ในวิชากระบี่ที่อูถงสำแดงออกมาอยู่เหนือเกินกว่าความรู้ความเข้าใจของพวกเขา นี่แสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังอูถงด้วยใช่หรือไม่?
เพียงแค่บ่าวรับใช้ภายในบ้านคนหนึ่งก็สามารถสำแดงวิชากระบี่ที่น่าตื่นตะลึงเช่นนี้ออกมาได้
“ภูมิใจในความเป็นบ่าวรับใช้ เจ้าช่างเกินเยียวยาแล้ว”
ใบหน้าของซียังคงสงบนิ่ง นางกางม่านแสงออกมาเพื่อสกัดกั้นกระบี่ยักษ์ทั้งหมดที่ตกลงมา
บนม่านแสงเต็มไปด้วยอักขระสลับซับซ้อนมากมายเปล่งแสงเจิดจ้า สิ่งมีชีวิตขอบเขตลอยชายบนเรือก็มองมาด้วยสายตาประหลาดใจไม่แพ้กัน
อักขระที่อยู่บนม่านแสงเหล่านี้ไม่ด้อยไปกว่าวิชากระบี่ของอูถง ซีมีภูมิหลังความเป็นมาเช่นใดกันแน่? สีหน้าของพวกเขาเคร่งขรึม เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว ซีนั้นโดดเด่นเหนือชั้นกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ได้เป็นเพียงแค่คนตัวเล็ก ๆ ธรรมดาทั่วไป
อาภรณ์สีขาวของซีสะบัดไหว ใบหน้างดงามจนหาที่เปรียบไม่ได้เปี่ยมด้วยความกล้าหาญองอาจ พลังเองก็โดดเด่นยิ่ง!
นางพุ่งไปด้านหน้าด้วยความแข็งแกร่ง หมัดทั้งสองข้างเปล่งแสงแวววาว สำแดงวิชามวยสักอย่างที่ไม่ธรรมดาสามัญออกมา ชวนให้ตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง!
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
กระบี่ยักษ์ระเบิดออกไปทีละเล่ม ไม่อาจหยุดหยั่งฝีเท้าของซีได้ บรรดาสิ่งมีชีวิตขอบเขตลอยชายบนเรืออดตื่นตะลึงไม่ได้ บนโลกนี้จะมีผู้ที่สมบูรณ์แบบเช่นซีอยู่ได้อย่างไร?
แม้ว่าจะอยู่ในการต่อสู้อย่างดุเดือด แต่ซีก็ยังคงน่าตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง การโจมตีอันรุนแรงไม่ได้ทำให้ความสง่างามลดลงไป ทุกท่วงท่าเต็มไปด้วยความงดงาม
ทว่าอูถงนั้นไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นแม้แต่น้อย เขาไม่รู้สึกว่าซีนั้นงดงาม รู้สึกเพียงว่านางนั้นน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง!
ซีสามารถกดดันเขาได้มากเกินไป วิชากระบี่ของเขาพังทลายลงไปเช่นนี้ทำให้เขาคาดไม่ถึงสักนิด
ครืน!
บนท้องฟ้าพลันส่งเสียงกึกก้อง เขาสำแดงพลังอีกครั้ง วิชาอสนีบาตบางอย่างถูกเรียกใช้ เกิดเป็นทะเลสายฟ้า ที่ส่งอสนีบาตกระหน่ำลงมาราวกับน้ำตก พุ่งโจมตีเข้าใส่ซี
สายฟ้าแต่ละเส้นพุ่งลงมาเสียงดังลั่นอย่างถึงที่สุด เต็มไปด้วยสีสันแตกต่างกันไป เมื่อมารวมกันแล้วน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง ประหนึ่งสามารถกลบฝังทั้งจักรวาลลงไปได้!
เขาไม่ได้เป็นเพียงบ่าวรับใช้ธรรมดาจริง ๆ ควรมีสถานะบางอย่างในกองกำลังที่อยู่เบื้องหลัง ไม่เช่นนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีวิชาน่าตื่นตะลึงมากถึงเพียงนี้
วิชาอันน่าอัศจรรย์เหล่านี้ ล้วนแล้วจะต้องมาจากกองกำลังอยู่เบื้องหลังเขา
“แข็งไปเสีย!”
ซีเอ่ยขึ้นมาเรียบ ๆ อากาศหนาวเหน็บพลันแผ่กระจาย นางเรียกใช้มหาวิชาเยือกแข็งวิชาหนึ่งขึ้นมา เหล่าสายฟ้าที่กระหน่ำเข้าโจมตี รวมกระทั่งทะเลอสนีบาตล้วนถูกแช่แข็งในทันที
ตามมาด้วยเสียงแตกร้าวอย่างต่อเนื่อง จากนั้นม่านน้ำตกสายฟ้าและทะเลอสนีบาตก็แตกกระจายออก กลายเป็นเศษน้ำแข็งเปล่งประกายร่วงหล่นแวววาวดังดวงดารา
“เป็นไปได้อย่างไร!”
อูถงรู้สึกคับข้องใจ ขอบเขตของเขาสูงกว่าซีมาก อีกทั้งสถานที่ที่เขามาก็เหนือชั้นยิ่งกว่า แล้วเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้ เขาควรจะสามารถสยบซีลงได้อย่างง่ายดายต่างหาก
ซีก้าวออกมาด้านหน้า ใต้เท้าที่เหยียบย่ำลงไปพลันปรากฏดอกบัวสีทองขนาดใหญ่ใต้ฝ่าเท้าเป็นทางเดินให้ นางเปล่งประกายเจิดจ้ามากเกินไป อูถงคิดจะสู้กับนาง ทั้งยังต้องการจะเอาชนะ เรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไร!
ร่างกายของนางน่าอัศจรรย์ วิชาเองก็เหนือชั้นเป็นอย่างยิ่ง อูถงยังห่างไกลเกินกว่าจะเปรียบเทียบกับนางได้เสียด้วยซ้ำ แม้กระทั่งบุตรแห่งสวรรค์ผู้โดดเด่นของกองกำลังเบื้องหลังอูถง ก็ไม่อาจเปรียบเทียบกับซีได้
ดอกบัวสีทองปูเป็นทางตรงไปยังอูถง อูถงไม่มีเวลาแม้แต่จะตอบโต้ เพียงพริบตาเดียวซีก็มาประชิดตัวอูถงได้แล้ว
ฝ่ามือเนียนขาวดังหยกของนางวาดออกไปด้วยความดุดันและรวดเร็ว อูถงยกมือขึ้นต้าน ทว่าทั้งแขนกลับถูกทำลาย เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว
ซีไม่ให้โอกาสใดกับอูถง ต้องการลงมือสังหารทันที หลังจากประชิดตัวอูถงแล้ว จึงออกมือโจมตีอย่างต่อเนื่องจนอูถงกระอักเลือกออกมา ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือด สุดท้ายก็โดนโจมตีจนกระเด็นข้างหลัง สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไป
“พวกเจ้ามัวแต่มองอันใดอยู่! สังหารนางให้ข้าเสีย!”
อูถงคำรามออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว สิ่งมีชีวิตขอบเขตลอยชายบนเรือยังทำเพียงแค่เฝ้ามอง ไม่มีทีท่าว่าจะเคลื่อนไหวอันใด ทำให้เขาโกรธเป็นอย่างมาก
เป็นเจ้าไม่ใช่หรือที่บอกไม่ให้พวกเราลงมือ!
สิ่งมีชีวิตขอบเขตลอยชายอดตำหนิขึ้นมาไม่ได้ อูถงช่างชั่วร้ายอะไรเช่นนี้ ก่อนหน้าเมื่อพวกเขาบอกว่าจะลงมือ อูถงก็บอกว่าไม่ต้องลงมือ ทว่าตอนนี้ที่ต้องเผชิญเคราะห์ร้าย กลับต้องการให้พวกเขาลงมือ
แต่พวกเขาเองก็ตื่นตะลึงในตัวซีในเวลาเดียวกัน
พวกเขาคาดไม่ถึงเลยว่าซีจะดุร้ายถึงเพียงนี้ หลังจากประชิดตัวอูถงได้ก็ยิ่งดุร้ายขึ้นมากกว่าก่อนหน้า เดิมทีพวกเขาคิดว่าอูถงไม่น่าจะแพ้ได้โดยง่าย ทว่าสุดท้ายก็พ่ายแพ้ยับเยินอย่างรวดเร็ว ทำให้พวกเขาไม่ทันได้มีเวลาลงมือช่วยเหลือ
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!
บนร่างของพวกเขาพลันเปล่งแสงออกมา ทุกคนทะยานออกมาจากเรือ พวกเขาต่างก็ต้องลงมือแม้ไม่อยากลงมือ หลังจากที่ถูกอูถงรับตัวไปแล้ว นั่นเท่ากับพวกเขายืนอยู่ข้างเดียวกับอูถงเป็นที่เรียบร้อย
“กลับมา!”
ตอนนั้นเอง บนเรือพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดตื่นตะลึง รีบหยุดนิ่งทันที ไม่กล้าลงมือใด ๆ
เสียงนั่นมาจากที่ใด?
มีสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่บนเรืออีกหรือ?
ไม่มีผู้ใดคาดคิดมาก่อน พวกเขาไม่รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
ชายในชุดขาวผู้หนึ่งร่อนลงมาจากเรืออย่างสง่างาม ราวกับเซียนที่ถูกเนรเทศลงมายังโลกมนุษย์
บนร่างของเขาถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยแสงเจิดจ้า รูปร่างแข็งแรงสมบูรณ์แบบ คิ้วเรียวดังคมกระบี่ ภายในดวงตาลึกล้ำอย่างถึงที่สุด มองไม่ออกว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
“นายน้อย!”
เมื่ออูถงเห็นชายชุดขาวก็คุกเข่าลงคำนับทำความเคารพทันที
เขาเป็นเพียงแค่คนวิ่งเต้นทำงานคนหนึ่ง ไม่ใช่ผู้รับผิดชอบ ชายในชุดขาวต่างหากที่เป็นผู้รับชอบ คนผู้นี้มีนามว่าเทียนหมิง ทั้งยังเป็นเจ้านายที่เขารับใช้ บุตรคนเล็กของประมุขตระกูลเทียน เพียงแต่ว่าคนผู้นี้ไม่เคยปรากฏตัวออกมาให้เห็น
สิ่งมีชีวิตที่สามารถกระโดดออกมาจากจักรวาลโกลาหลที่ตนเองอาศัยอยู่ได้ ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตขอบเขตลอยชาย คนอย่างเขาที่ยังอยู่ในขอบเขตโกลาหล ย่อมไม่สามารถรับผิดชอบหน้าที่นี้ด้วยตนเองได้
“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ ว่าเจ้าควรปฏิบัติตนอย่างสุภาพต่อหน้าผู้อื่น แล้วเจ้ากลับทำตัวเช่นไร? ผู้ใดให้สิทธิ์เจ้าไปใช้รังแกผู้อื่น?!”
ชายหนุ่มชุดขาวนามเทียนหมิงเอ่ยตำหนิอูถง “ยังไม่ไปขอโทษแม่นางอีก!”
อูถงรีบลุกขึ้นด้วยดวงตาสั่นเทาแล้วหันไปเอ่ยขอโทษซี “ขออภัย นี่เป็นความผิดของข้า ได้โปรดท่านยกโทษให้ด้วย!”
“ไม่เป็นอันใด”
ซีพยักหน้า ยอมรับคำขอโทษของอูถง
นี่ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่แต่อย่างใด อีกทั้งนางก็ไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย ไม่ติดใจอันใดกับเรื่องเล็ก ๆ เช่นนี้
“ขอบคุณแม่นางสำหรับความใจกว้าง”
เทียนหมิงเดินเข้ามาพร้อมเอ่ยกับซี “แม้ว่าแม่นางจะยกโทษให้เขาแล้ว แต่ข้ายังต้องการจะกล่าวคำขอโทษให้แม่นางอยู่ดี ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพราะข้าจัดการกำกับคนไม่ดีทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้น”
ท่าทางของเขาสุภาพเป็นอย่างมาก แสดงความต้องการจะมอบของชดเชยให้กับซีเพื่อแสดงคำขอโทษของเขา
“ไม่จำเป็น ข้าไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด อีกทั้งข้าเองก็ได้ระบายความโกรธแล้ว”
ซีปฏิเสธของชดเชยจากเทียนหมิง
นางระบายความโกรธของตัวเองออกมาแล้วจริง ๆ อูถงถูกนางทุบตีอย่างหนัก
ส่วนเรื่องท่าทางสุภาพของเทียนหมิงนั้น นางยังมีข้อสงสัยอยู่เล็กน้อยภายในใจ
ตั้งแต่แรกเทียนหมิงไม่ได้ปรากฏตัวออกมา จนถึงหลังจากที่นางสามารถจัดการอูถงได้แล้วจึงค่อยโผล่ออกมา เกรงว่าท่าทางสุภาพที่เทียนหมิงแสดงออกมานั้นจะไม่ได้เป็นของแท้ไปเสียหมด
“ลาก่อนทุกท่าน”
นางไม่กล่าวอันใดมากไปกว่านั้น ต้องการออกจากที่นี่
“แม่นางไม่คิดทบทวนเรื่องนี้สักนิดหรือ?”
เทียนหมิงก้าวออกไปด้านหน้า เอ่ยกับซีก่อนที่นางจะจากไป “เบื้องหลังของข้าคือตระกูลเทียนจากเทวโลก เทวโลกเป็นสถานที่ที่ทุกสรรพสิ่งวิวัฒน์ขึ้นมา ต้นกำเนิดจักรวาลโกลาหลทั้งปวง แดนเทวโลกเหนือชั้นยิ่งใหญ่เพียงใด ข้าคงไม่จำเป็นต้องพูดอกแล้ว แม่นางเองก็ควรจะเข้าใจได้”
เขากล่าวต่อ “ครั้งนี้สำหรับแม่นางแล้ว ถือเป็นโอกาสครั้งใหญ่ หากพลาดไป เกรงว่าอาจเป็นเรื่องยากสำหรับแม่นางที่จะเข้าสู่เทวโลก การพึ่งพาพลังตนเองเพื่อเข้าสู่เทวโลกนั้นเป็นเรื่องยากเย็นอย่างยิ่ง”
หลังจากนั้น เขาก็อธิบายว่าเหตุใดตระกูลของพวกเขาจึงออกมาเพื่อรับสมัครยอดฝีมือ
“พวกข้าต้องการจะเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของกำลัง ดังนั้นเมื่อถึงคราวดีพวกข้าจึงออกมา ข้าอยากจะบอกเอาไว้สักเรื่องหนึ่ง ไม่ใช่ว่าผู้ใดก็สามารถออกมาด้านนอกเทวโลกตามใจชอบได้ นี่นับเป็นการแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของตระเทียนพวกข้าด้วย”
เขาเน้นย้ำอีกครั้งว่านี่เป็นโอกาสอันหาได้ยาก หวังว่าซีจะไม่พลาดโอกาสนี้ไป
“ขอบคุณ แต่ลืมมันไปเสียเถิด” ซีปฏิเสธ
นางเพิ่งเคยได้ยินคำว่าเทวโลกเป็นครั้งแรก ทว่านางกลับรู้สึกโหยหาเทวโลกที่เทียนหมิงพูดถึงเป็นอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้นางไม่สามารถไปยังสถานที่แห่งนั้นได้จริง ๆ เพราะยังมีเรื่องสำคัญจำเป็นต้องทำ
นองจากนี้ นางเองก็ยังไม่เชื่อใจตระกูลเทียน หากต้องการเข้าไปยังเทวโลกจริง นางก็จะเป็นฝ่ายหาทางเข้าไปด้วยตนเอง
หลังจากนั้น นางก็จากไปโดยไม่หยุดอีก
ระหว่างที่ซีจากออกไป เทียนหมิงไม่ได้เคลื่อนไหวหรือหยุดยั้งสิ่งใด
“เป็นที่ขบขันของทุกท่านแล้ว เรื่องนี้ก็ให้ยุติแต่เพียงเท่านี้เถิด ตระกูลเทียนของข้าเป็นตระกูลสุภาพชน ไม่ระรานรังแกผู้อื่น”
เทียนหมิงกล่าวออกมาพร้อมส่งรอยยิ้มให้กับเหล่าสิ่งมีชีวิตขอบเขตลอยชาย
หลังจากนั้น เขาก็พาอูถงกลับไปยังห้องที่เขาใช้พักผ่อนบนเรือ
“โง่เง่า!”
ทันทีที่เข้าไปด้านในห้องรอยยิ้มของเขาก็เลือนหาย สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มอย่างยิ่ง
เขาตำหนิอูถง “เจ้าอยู่ข้างกายข้ามาหลายปีขนาดนี้แล้ว เหตุใดจึงไม่มีสมองฉุกคิดสักนิด? กระทั่งต่อหน้าสิ่งมีชีวิตขอบเขตลอยชายทั้งหมดบนเรือ สีหน้าของนางยังคงนิ่งสงบเป็นอย่างยิ่ง ตอนนั้นเจ้าควรจะเอะใจคิดขึ้นมาได้แล้วว่านางไม่ธรรมดา ในมือน่าจะต้องมีไพ่บางอย่างอยู่! ไม่เช่นนั้นตัวนางที่อยู่ในขอบเขตโกลาหล จะยังคงความสงบนิ่งเช่นนั้นได้อย่างไร?”
“ข้าฟังคำสั่งสอนของนายน้อยขอรับ!”
อูถงตอบด้วยสีหน้าแดงก่ำ
หมิงเทียนจับจ้องไปทางอูถงแล้วเอ่ยออกมา “หลังจากนี้ไม่ว่าทำเรื่องใดก็จงใช้สมองให้มากขึ้น เข้าใจหรือไม่!”
“เข้าใจแล้วนายน้อย!”
อูถงพยักหน้าตอบรับอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นเขาเอ่ยถามออกมาด้วยความระมัดระวัง “เรื่องนี้ท่านจะให้มันจบเช่นนี้หรือ?”
“จบเช่นนี้หรือ?”
เทียนหมิงหัวเราะ บนใบหน้าแย้มยิ้มที่ดูแล้วน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก
“ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงข้าที่ออกมาคนเดียว เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
เขามองไปทางอูถง “พี่ใหญ่เองก็ออกมาด้วย สามารถส่งพี่ใหญ่ไปหานางได้”
ซีนิ่งสงบเกินไป ไพ่ในมือของนางจะต้องไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนั้น เขาจึงออกมาเพื่อหยุดยั้งป้องกันไม่ให้เกิดการสูญเสียครั้งใหญ่ด้วยน้ำมือของนาง
“ใครที่เคี้ยวกระดูกแข็งเข้าไป ไม่ระวังฟันก็สามารถหักได้อย่างง่ายดาย...” เขาหรี่ตาลง
“หวังว่านางจะสามารถทำให้ข้าประหลาดใจได้ และจะดีที่สุดหากสามารถ...สังหารพี่ใหญ่ข้าได้!”
เขากับพี่ใหญ่นั้นไม่ใช่พี่น้องที่สมานฉันท์รักกันดีแต่อย่างใด
ฟังจบแล้วถ้าใครอยากสนับสนุนช่องโดเนท ให้ช่องของเราเดินหน้าต่อได้เร็วขึ้น หรืออยากขอนิยาย
ช่องทางสนับสนุนช่องอยู่ใต้ลิงค์คลิปชั่นนะครับ