นิยายเสียง อยู่ดีดีข้าก็เป็นเซียน
บทที่ 751ถึง 755
“ตกลง”
หลี่จิ่วเต้าแย้มยิ้ม ทว่าเขาก็ไม่ได้แสดงท่าทางตื่นเต้นดีใจอันใดมากนัก
แม้ว่าเขาจะเป็นปุถุชน ไม่เคยฝึกตนมาก่อน แต่ก็ยังอ่านตำรามามาก ทั้งยังชื่นชอบการเล่นหมากล้อมและดื่มชา หัวใจของเขาจึงสงบนิ่งเป็นอย่างมาก ไม่ยึดติดกับสิ่งของเกินควรจนกลายเป็นทุกข์เสียแทน
คนผู้นี้เป็นใครกัน?
เหตุใดจึงแข็งแกร่งเช่นนี้?
สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ มองท่าทางสงบนิ่งของหลี่จิ่วเต้าอย่างอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
สามารถแลกเปลี่ยน ‘สมบัติ’ ทั้งหมดได้ แต่หลี่จิ่วเต้าผู้นี้ยังคงสงบนิ่ง สิ่งนี้เหนือความคาดหมายของพวกเขาจริง ๆ
หากเปลี่ยนเป็นพวกเขาแล้ว เกรงว่าคงจะตื่นเต้นจนสิ้นสติไปแล้ว!
‘ยังไม่ถูกมองออกใช่หรือไม่!’
บรรพจารย์ฝูมองสีหน้าสงบนิ่งของหลี่จิ่วเต้าแล้วอดคิดขึ้นมาในใจไม่ได้
กล่าวตามตรงแล้ว หลี่จิ่วเต้าไม่ควรจะสงบนิ่งเช่นนี้!
ทว่าเขาก็ปัดความคิดนี้ทิ้งไปอย่างรวดเร็ว
เพราะหลี่จิ่วเต้าเอาเหล่าศาสตราไปจากเขาออกมา
หากถูกมองออก เช่นนั้นแล้วหลี่จิ่วเต้าจะยังนำเอาศาสตราเหล่านี้ออกมาอีกหรือ?
ไม่อย่างแน่นอน!
‘คิดมากเกินไปแล้ว ข้ามีพลังถึงขั้นบรรพจารย์เซียนแล้วจะถูกเขาพบได้อย่างไร? ไม่มีทางเป็นไปได้!’
บรรพจารย์ฝูหัวเราะในใจ รอให้หลี่จิ่วเต้าทำการแลกเปลี่ยน
หลี่จิ่วเต้าหยิบศาสตราที่อยู่กับตัวเขาออกมา จากนั้นก็วางลงบนพื้นเพื่อทำการแลกเปลี่ยน
ปลาหมึกด้านในขวดแก้วเกิดความรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
มันจะสามารถหลุดพ้นและได้อิสรภาพกลับคืนมาหรือไม่!?
สวรรค์!
ในช่วงที่ผ่านมา ตัวมันน่าสังเวชยิ่งนัก ทุกครั้งที่หลี่จิ่วเต้าต้องการกินเนื้อหนวดของมันก็จะถูกตัดบางส่วนของร่างไป และทุกครั้งที่หลี่จิ่วเต้ากิน มันก็อดเกิดความอยากกินเนื้อของตัวเองไม่ได้!
นี่นับเป็นการทรมานซ้ำซ้อนอย่างแท้จริง!
ทุกครั้งล้วนแล้วแต่เป็นช่วงเวลาที่มันทุกข์ทรมานอย่างถึงที่สุด!
มันต้องการจะหนีไปนานแล้ว ทว่าน่าเสียดาย ขวดแก้วที่ขังมันไว้แข็งแกร่งเกินไป มันจึงไม่สามารถหลบหนีไปได้
แต่ตอนนี้หลี่จิ่วเต้าหยิบขวดแก้วออกมา ต้องการจะใช้แลกเปลี่ยน ทำให้มันเห็นถึงความหวังขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัย
บรรพจารย์ฝูนั้นเป็นเพียงแค่มดตัวจ้อย ยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตโกลาหลเลยเสียด้วยซ้ำ หากมันตกไปอยู่ในมือของบรรพจารย์ฝู ใช้แรงเพียงเล็กน้อยก็สามารถจัดการอีกฝ่ายได้แล้ว การหนีจากไปนับเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง
หลี่จิ่วเต้าหยิบเพียงสิ่งเดียวออกมาแลกเปลี่ยน ไม่ได้นำทั้งหมดออกมา
เขารู้สึกว่าการนำออกมาทั้งหมดไม่ใช่เรื่องดีแต่อย่างใด
“เพียงแค่นี้เถิด”
เขาเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม
สามารถหักห้ามใจให้ไม่แลกเปลี่ยนของทั้งหมดได้!?
ช่างแข็งแกร่งอะไรเช่นนี้!
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดเกิดความสนใจในตัวตนของหลี่จิ่วเต้าขึ้นมา นี่มันแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
หากเป็นพวกเขา จะสามารถอดใจให้ไม่แลกเปลี่ยนของทั้งหมดมาได้อย่างไร? จะต้องแลกเปลี่ยนมาทั้งหมดอย่างแน่นอน! เหล่า ‘สมบัติ’ ทุกชิ้นล้วนเหนือชั้นและไม่ธรรมดาถึงเพียงนี้
“สหาย บัญชาสวรรค์แสดงให้เห็นว่าพวกเรานั้นมีมหาวาสนาต่อกัน การแลกเปลี่ยนจำเป็นต้องแลกทั้งหมด สหายไม่ต้องเกรงใจหรือคิดมากไป โปรดแลกเปลี่ยนทั้งหมดเถิด ถือว่าช่วยเหลือการฝึนตนของข้า”
บรรพจารย์ฝูกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เขาจะเต็มใจยอมรับให้เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เขาต้องการรีดเอาของจากหลี่จิ่วเต้าให้หมดตัว รู้ดีว่าบนร่างของหลี่จิ่วเต้ายังมีของที่ไม่ถูกนำออกมา
“ตกลง”
เมื่อพูดออกมาเช่นนี้แล้ว ชายหนุ่มก็ไม่ได้ยืนกรานอันใด เขาหยิบเหล่าศาสตราทั้งหมดที่เขามีออกมา ทำการแลกเปลี่ยน ‘สมบัติ‘ ทั้งหมดมา
กระทั่งแหวนทองสัมฤทธิ์ที่อยู่บนมือก็ถูกนำออกมาแลกเปลี่ยน เนื่องจากตรงนั้นมีแหวนหยกที่ดูดีกว่าอยู่
และแหวนหยกนั่นก็ดีกว่ามากจริง ๆ หลังจากที่เขารับมันมา เพียงแค่คิดทุกสิ่งที่อยู่ในแหวนทองสัมฤทธิ์ก็หลั่งไหลเข้าไปด้านในแหวนหยกแทน
ด้านในแหวนทองสัมฤทธิ์บรรจุสิ่งของจำนวนมากของเขาเอง เช่นฉิน และพู่กันเป็นต้น
แหวนหยกมันขลับ เกลี้ยงเกลางดงาม ใส่บนนิ้วแล้วให้ความรู้สึกดียิ่งกว่า การแลกเปลี่ยนสิ่งเดิมไปไม่ใช่เรื่องแย่แต่อย่างใด ทั้งยังได้กำไรเป็นอย่างมาก
“ดีดีดี!”
บรรพจารย์ฝูยิ้มกว้าง มีความสุขเป็นอย่างยิ่ง สุดท้ายก็ได้ทำการแลกเปลี่ยนทุกสิ่ง!
เขาเคยเห็นแล้วว่าศาตราเหล่านี้ทรงพลังมากมายเพียงใดในมือของหลี่จิ่วเต้า ความรู้สึก ‘ได้ของที่สูญหายกลับคืนมา’ นั้นยอดเยี่ยมยิ่งนัก!
‘หือ? แลกเปลี่ยนแล้ว?’
‘ไม่มีทาง!’
ลั่วสุ่ย หลิงอิน และคนอื่น ๆ ต่างก็มีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก
พวกนางล้วนแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะญาณสัมผัสที่ล้ำหน้าไปไกล ต่างก็มองกลอุบายของบรรพจารย์ฝูออกตั้งนานแล้ว สิ่งเหล่านี้ที่เรียกว่า ‘สมบัติ’ ล้วนไม่มีสิ่งใดเป็นของจริง!
ทว่าสมบัติที่คุณชายนำออกมานั้น นับได้ว่าเป็นสมบัติที่สะท้านฟ้าอย่างแท้จริง ทว่าคุณชายกลับแลกเปลี่ยนโดยไม่พูดสิ่งใดสักคำ ทั้งยังแลกเปลี่ยนพวกมันทั้งหมด!
สิ่งนี้ทำให้พวกนางไม่เข้าใจอย่างสิ้นเชิง ทั้งยังทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง!
จะไม่ทุกข์ใจได้เช่นไรกัน!
สมบัติระดับสะท้านฟ้าถูกส่งมอบให้โดยเปล่า ทั้งยังส่งมอบให้กับคนที่ตั้งใจเล่นเล่ห์ พวกนางล้วนทุกข์ใจเป็นอย่างมาก!
ทว่าแม้จะทุกข์ใจ พวกนางก็ยังคงไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกมา
ความคิดของคุณชาย พวกนางจะเอาความหาญกล้าจากที่ใดมาก้าวก่าย!
พวกนางย่อมไม่กล้า
‘แลกเปลี่ยนทั้งเช่นนี้เลยหรือ?’
ต้าเต๋อและพวกอ้ายฉานรู้สึกคาดไม่ถึงเช่นกัน อดประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้
ความแข็งแกร่งตอนนี้ของพวกเขายังไม่เพียงพอ ไม่สามารถมองทะลุผ่านเล่ห์กลของบรรพจารย์ฝูได้ ทว่าพวกเขาต่างก็กระจ่างแจ้งเป็นอย่างยิ่งในเรื่องที่บรรพจารย์ฝูเป็นเพียงคนตัวจ้อย จะนำไปเทียบกับคุณชายได้อย่างไร?!
แม้ว่าสิ่งของที่บรรพจารย์ฝูนำออกมาจะเหนือชั้นและไม่ธรรมดาเพียงใด แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับสมบัติของคุณชาย
การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ นับว่าคุณชายเป็นฝ่ายขาดทุนอย่างมาก!
‘เหตุใดคุณชายจึงแลกเปลี่ยนกัน!’
กิเลนเพลิงร้อนรน ต้องการจะส่งเสียงบอกคุณชายว่าอย่าแลกเปลี่ยน
สิ่งที่เรีกยว่า ‘สมบัติ’ เหล่านั้นล้วนไร้ค่าเป็นอย่างยิ่ง!
การแลกเปลี่ยนเช่นนี้ นับว่าเป็นการมอบกำไรมหาศาลให้กับบรรพจารย์ฝูอย่างไม่ต้องสงสัย!
แต่สุดท้าย มันก็อดกลั้นเอาไว้
กระทั่งมันยังสามารถมองออก แล้วคุณชายจะมองไม่ออกได้อย่างไร
ไร้สาระ เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้น!
‘ดูรอยยิ้มของมันเสียสิ ช่าง...ทำให้ข้าไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก ช่างน่าโมโห!’
กิเลนเพลิงมองรอยยิ้มเบิกบานบนใบหน้าของบรรพจารย์ฝู อดเกิดความอยากถีบไม่ได้จริง ๆ มารดามันเถิด...รอยยิ้มร่าเช่นนั้น แสดงว่ารู้เรื่องที่ตนจะได้กำไรมหาศาลใช่หรือไม่!?
‘ดียิ่งนัก!’
ภายในขวดแก้ว ปลาหมึกที่เห็นว่าบรรพจารย์ฝูรับของทุกอย่างไปแล้วก็แย้มยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
มันตกอยู่ในมือบรรพจารย์ฝูแล้ว คนผู้นี้ไม่มีทางสยบมันเอาไว้อยู่อย่างแน่นอน มันไม่เพียงแต่จะสามารถจัดการกับบรรพจารย์ฝูได้เท่านั้น ยังสามารถได้รับสมบัติเหล่านี้ด้วย
มันล่วงรู้ถึงความแข็งแกร่งของสมบัติเหล่านี้เป็นอย่างดี กระทั่งศาสตราที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนบรรพโกลาหล ยังไม่อาจนำมาเปรียบเทียบได้ ช่องว่างที่มีนั้นมากเกินไป
ทว่าเพียงพริบตาต่อมา รอยยิ้มของมันก็พลันแข็งทื่อ!
“นี่คือสัตว์เลี้ยงของสหายใช่หรือไม่? สิ่งนี้อย่าได้แลกเปลี่ยนเลย สหายเก็บเอาไว้เองเถิด”
บรรพจารย์ฝูหยิบขวดขึ้นมาพร้อมพูดกับหลี่จิ่วเต้า
นี่มันสิ่งใดกัน น่าเกลียดเป็นอย่างยิ่ง แค่มองเขาก็รู้สึกคลื่นไส้เสียแล้ว สิ่งนี้เขาไม่ต้องการรับเอาไว้
ขวดแก้วนั้นสยบพลังทั้งหมดของปลาหมึกเอาไว้ ทำให้บรรพจารย์ฝูไม่เห็นความแตกต่างอันใดจากสัตว์ธรรมดา
ไม่เช่นนั้น บรรพจารย์ฝูคงไม่กล้าทิ้งปลาหมึกไปเช่นนี้
‘มารดามันเถิด!’
แน่นอนว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจปลาหมึกไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีแต่อย่างใด
ไม่ง่ายเลยที่มันจะได้เห็นความหวังในการเป็นอิสระเช่นนี้ แต่สุดท้ายกลับพลังทลายลงไป!
บัดซบ!
บรรพจารย์ฝูบ้าบออันใดนี่ อย่าตกมาอยู่ในเงื้อมมือของมันเชียว หากบรรพจารย์ฝูตกอยู่ในกำมือของมัน ต้องถูกมันจับไปปิ้งกินอย่างแน่นอน
“ตกลง”
เดิมที หลี่จิ่วเต้าคิดจะมอบของเพิ่มเติมให้กับบรรพจารย์ฝูบ้าง ตั้งใจจะมอบปลาหมึกให้บรรพจารย์ฝูกิน ทว่าดูจากท่าทางแล้ว อีกฝ่ายคงไม่ชื่นชอบมันเท่าใดนัก
ช่างมันเถิด เช่นนั้นเขาเก็บเอาไว้เองก็ได้
อย่างไรเสียปลาหมึกที่ตัวใหญ่เพียงนี้ก็หาพบได้ไม่ง่าย อีกทั้งเนื้อของมันยังอร่อยเป็นอย่างยิ่ง ตอนที่เขาคิดจะมอบมันให้กับบรรพจารย์ฝู ภายในใจยังอดเกิดความลังเลขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้
สุดท้าย เขาก็นำปลาหมึกออกมาใส่ในขวดหยกที่ตนเองเพิ่งแลกเปลี่ยนมา มองแล้วดูดีกว่าขวดแก้วนัก
‘ขวดหยก นั่นเป็นสิ่งที่ข้าสร้างขึ้นมาจากโคลน!’
บรรพจารย์ฝูมองขวดหยกในมือของหลี่จิ่วเต้า ภายในใจอดเกิดความขบขันไม่ได้
แต่แน่นอนว่า เขาย่อมไม่พูดคำเหล่านี้ออกมาต่อหน้าหลี่จิ่วเต้า
“เอาล่ะ เรื่องทั้งหมดก็จบลงแล้ว หากมีวาสนาพวกเราคงได้พบกันอีกครั้ง!”
เขายิ้ม ก่อนจะออกจากสถานที่แห่งนั้นไป
หลังจากไปได้ไกลแล้ว เขาก็หยุดลง
“ฮ่าฮ่า เจ้าพวกโง่งม ถูกข้าเล่นกลใส่ก็ยังปรบมือให้! หากพวกเจ้ารู้ความจริงแล้วละก็ เกรงว่าจะต้องร้องไห้จนน้ำตาแห้งเหือดเป็นแน่!”
เขาอดหัวเราะออกมายกใหญ่ไม่ได้ ก่อนหยิบสมบัติทั้งหมดที่ได้รับออกมา
“ให้ข้าลองดูเสียว่าสมบัติสะท้านฟ้าเหล่านี้เป็นอย่างไรบ้าง!”
เขากล่าวด้วยรอยยิ้มเริงร่า
เมื่อนำของวิเศษออกมา แต่ละชิ้นล้วนเปล่งประกายวาววาม บรรพจารย์ฝูตาค้าง สิ่งเหล่านี้ทำจากวัสดุใดกัน เกินกว่าขอบเขตความเข้าใจของเขาไปมากทีเดียว!
เขารู้สึกเหลือเชื่อ เขาผู้อยู่ในขั้นบรรพจารย์เซียนยังมิอาจเข้าใจได้ วัสดุที่สร้างของวิเศษเหล่านี้จะสะท้านโลกาเกินไปแล้ว!
“มิน่าหลี่จิ่วเต้าผู้นั้นถึงเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้เป็นยอดศาสตราได้ง่ายดาย ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะของวิเศษเหล่านี้มีวัสดุไม่ธรรมดา!”
บรรพจารย์ฝูสะท้อนใจ
ก่อนหน้านี้ เขาชิงชังจิตใต้สำนึกของตนมากที่สั่งให้เขาขุดหลุมฝังศพ เพื่อดูดกลืนพลังจากศพคนตาย บัดนี้ เขากลับรู้สึกโชคดีอย่างยิ่งที่ครานั้นจิตใต้สำนึกถูกบีบคั้นออกมา
มิฉะนั้น เขาคงต้องสูญเสียยอดศาสตราเหล่านี้ไปโดยไม่รู้ตัว!
“ข้าในยามนั้นช่างโง่เขลานัก มีสุดยอดวัตถุในมือกลับคิดว่าเป็นของสวะ! อยากตบตัวเองในยามนั้นตายจริง ๆ!”
เขาเอ่ยเสียงเคียดแค้น เกือบต้องขาดทุนย่อยยับเสียแล้ว ยังดีที่สุดท้ายเขาเรียกสิ่งของเหล่านี้กลับคืนได้หมด
ทว่าเวลานั้นเอง ของวิเศษที่เคยส่องประกายวาววามกลับหม่นหมองลงอย่างรวดเร็ว!
“เกิด…อันใดขึ้น?!”
เขาผงะไปในบัดดล เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ของวิเศษทั้งหมดในมือเขาก็สูญสิ้นรัศมี กลายเป็นวัตถุหม่นหมอง ไม่มีแม้แต่พลังญาณอันอ่อนแรงในที่สุด!
เขาเชื่อไม่ลง เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?!
ยอดศาสตรากลายเป็นสวะไปหมดแล้วหรือ?!
เขาหยิบไข่มุกขึ้นมาเม็ดหนึ่งเพื่อควบคุมน้ำ นี่คือไข่มุกคุมวารี
ทว่าเขาเพิ่งได้ออกแรงเท่านั้น ไข่มุกเม็ดนี้ก็แหลกคามือเขา กลายเป็นผุยผงกระจายลงดิน
“เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”
เขาเชื่อไม่ลง ทดสอบยอดศาสตราชิ้นอื่นต่อ ทว่ายอดศาสตราเหล่านั้นล้วนลงเอยเฉกเช่นไข่มุกคุมวารี ทันทีที่เขาออกแรงก็แหลกเหลวไม่มีชิ้นดี แบกรับพลังของเขามิได้เลย
“บัดซบ! ข้าโดนหลอกอีกแล้ว!!!”
สีหน้าเขาเคร่งเครียดลงทันที ไฉนเลยจะยังไม่เข้าใจอีกว่า ยอดศาสตราเหล่านี้คงถูกหลี่จิ่วเต้าสลับไว้ก่อนแล้ว มิใช่ยอดศาสตราที่เขาคิด!
หลี่จิ่วเต้ามองลูกไม้เขาออกทะลุปรุโปร่งแต่แรก!
“อ๊ากกก!”
เขาบันดาลโทสะ เดิมอยากแก้แค้นโดยการปั่นหัวพวกหลี่จิ่วเต้า สุดท้ายเขากลับถูกอีกฝ่ายปั่นหัวเอาอีกแล้ว!
“ยังดี ข้ามิได้เสียเปรียบ!”
ที่พอปลอบใจเขาได้บ้างคือ แม้ว่าครั้งนี้เขาถูกปั่นหัว แต่อย่างน้อยเขาก็มิได้เสียหายอันใด ‘ของวิเศษ’ เหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่เขาเก็บมาเรื่อยเปื่อย มิได้สลักสำคัญอะไร
“แต่…เดี๋ยวสิ!”
เขาได้สติ รู้สึกทะแม่ง ๆ
หลี่จิ่วเต้ามองลูกไม้ของเขาออกก็แค่เปิดโปงเขาตรง ๆ ยังได้ หรือเลือกที่จะไม่เข้าร่วม ไยต้องยอมแลกเปลี่ยนด้วยเล่า
ทำเช่นนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อหลี่จิ่วเต้าสักนิด!
ถึงอย่างไร หากอีกฝ่ายทำขนาดนี้เพียงเพื่อเหยียบย่ำเขาก็มิสมควรเท่าใด!
เหยียดหยามด้วยเรื่องอันใด
หลี่จิ่วเต้าหาได้ประโยชน์ไม่!
‘คงมิใช่ว่าข้าตาไม่ดีอีกกระมัง!’
สีหน้าของเขาอึมครึม ผุดความคิดเช่นนี้ขึ้นมา
มีเพียงเช่นนี้จึงจะสมเหตุสมผล ของปลอมที่เขาโมเมเอาเองมีของจริงปะปนอยู่ด้วยและหลี่จิ่วเต้ารู้ ต่อมา หลี่จิ่วเต้าถึงเลือกวิธีการเช่นนี้เป็นการแลกเปลี่ยนกับเขา
“วี่แววว่าแดนบรรพโกลาหลกำลังจะปรากฏออกมาชัดขึ้นเรื่อย ๆ หลายครั้งข้าถึงขั้นสัมผัสลมปราณโกลาหลได้ ไม่แน่อาจมีของวิเศษร่วงหล่นออกจากแดนบรรพโกลาหลจริง ๆ และถูกข้าเก็บได้ แต่ข้ากลับไม่รู้ ข้ากลับดูไม่ออก!!!”
ยิ่งคิดเขายิ่งรู้สึกว่านี่คือความจริง โมโหจนเครื่องในแทบระเบิดเป็นยวง ที่แท้อุบายที่เขาวางไว้สุดท้ายกลับเป็นเขาเองที่หลงเข้าไป?!
ขโมยไก่ไม่ได้แล้วยังเสียข้าวสารอีกหนึ่งกำมือ เขาทรมานใจเป็นหนักหนา ชอกช้ำตรอมตรมเป็นที่สุด!
ชั่วขณะนั้น จิตสังหารพลุ่งพล่านออกจากตัวเขา หนึ่งครั้ง สองครั้ง เขาต้องเสียท่าให้กับหลี่จิวเต้าอีกครั้ง เขาอยากสับชายผู้นั้นให้เป็นชิ้น ๆ นัก!
“จะยอมให้จบเช่นนี้มิได้!”
เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เคียดแค้นเหลือคณา เจ็บใจเป็นนักหนา ตั้งใจกลับไปสะสางหนี้แค้นกับพวกหลี่จิ่วเต้า!
ทว่าเขามิได้คิดกลับไปทั้งอย่างนี้
เพราะเขารู้สึกว่าหลี่จิ่วเต้าอาจเป็นบรรพจารย์เซียนเช่นเดียวกับเขา และทรงพลังกว่าเขา!
มิฉะนั้น คนผู้นั้นไม่มีทางมองลูกไม้เขาได้ทะลุปรุโปร่ง แต่เขากลับมองลูกไม้อีกฝ่ายไม่ออก!
เรื่องนี้เป็นที่น่าเหลือเชื่อสำหรับเขา
บรรพจารย์เซียนแต่กำเนิดนั้นมีเพียงเก้าตน หลี่จิ่วเต้าบรรลุได้ด้วยการฝึกฝนของตนอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นไปได้อย่างไรกัน ขั้นบรรพจารย์เซียนไม่มีทางบรรลุได้ด้วยการฝึกฝนนี้!
เขาทึ่งกับเรื่องนี้เป็นที่สุด!
ไม่แปลกที่หลี่จิ่วเต้าจะเก่งกาจกว่าเขา
บรรพจารย์เซียนแต่กำเนิดเช่นเขาย่อมมิอาจเทียบกับบรรพจารย์เซียนผู้บรรลุได้ด้วยความเพียรฝึกฝนของตนเอง ถึงอย่างไร การจะฝึกฝนจนบรรลุขั้นบรรพจารย์เซียนนั้นยากเย็นจนจินตนาการไม่ออก!
“ไม่เป็นไร! ศพเซียนที่ข้าขุดออกมาก่อนหน้านี้ยังเหลืออีกมาก หลังดูดกลืนพลังจากศพเซียนเหล่านั้นแล้ว ต่อให้เขาแข็งแกร่งเพียงใดก็ไม่ไหว!”
บรรพจารย์ฝูกล่าว
ครานั้น ก่อนจิตสำนึกบรรพจารย์เซียนของเขาตื่นขึ้น จิตใต้สำนึกพาเขาขุดศพเซียนขึ้นมาเป็นจำนวนมหาศาล เขายังดูดกลืนพลังจากศพเซียนเหล่านั้นไม่หมดก็ฟื้นตัวและได้จิตสำนึกบรรพจารย์เซียนคืน
หลังจากนั้น เขาไม่เคยดูดกลืนพลังจากศพเซียนเหล่านี้อีก
“น่าคลื่นเหียนนัก! ข้าอยากจะอาเจียน!”
เขานึกภาพศพเซียนเหล่านั้นแล้วอ้วกออกมาอย่างกลั้นไม่ไหว ทว่าเพื่อให้ได้แก้แค้น และเพื่อชิงของวิเศษที่หลุดร่วงออกจากแดนบรรพโกลาหลกลับมา เขาตัดสินใจจะดูดกลืนพลังจากศพเหล่านี้!
จากนั้น เขาไปจากที่นี่ มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เขาทิ้งศพเซียนไว้
อีกด้าน สิ่งมีชีวิตมากมายเพ่งเล็งหลี่จิ่วเต้าด้วยสายตาไม่เป็นมิตร มีความคิดไม่ดีในใจ
จะมิให้คิดไม่ดีได้อย่างไร หลี่จิ่วเต้ามีของวิเศษในตัวมากมายปานนั้น!
หากมิใช่พวกเขายำเกรงในตัวเซี่ยเหยียนอยู่บ้าง คงได้ลงไม้ลงมือไปแล้ว เมื่อครู่เซี่ยเหยียนปะทุพลังปราณออกมาอย่างกล้าแกร่งจนข่มขวัญพวกเขาลงได้
กระนั้น พวกเขายังไม่อยากยอมไปง่าย ๆ เช่นนี้ ยังคงจ้องมองหลี่จิ่วเต้าอยู่อย่างนั้นด้วยความระส่ำระส่าย
หลี่จิ่วเต้าย่อมมองออกว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีแผนอันใด สิ่งสำคัญคือสายตาของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้แจ่มแจ้งเกินไป จะให้มองไม่ออกก็คงยาก
‘ความโลภคือบ่อกำเนิดความชั่วร้ายอันใหญ่หลวงที่สุด…’
เขาทอดถอนใจ ความโลภรังแต่จะเร่งเร้าให้มนุษย์ยอมเสี่ยงจนลืมสิ่งอื่นไป ก่อนนี้เซี่ยเหยียนออกโรงแล้วแท้ ๆ ไม่มีสิ่งมีชีวิตตนใดกล้าขวางทาง แต่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ก็ยังกล้าหมายตาอยู่อีก…
นี่คือผู้ที่ตั้งความหวังว่าตนจะเอาตัวรอดจากความเสี่ยงเพราะโชคช่วยอย่างเห็นได้ชัด!
‘เอาเถิด ทดลองอานุภาพของวิเศษใหม่เหล่านี้เสียหน่อย’
หลี่จิ่วเต้าคิดในใจ มิได้รู้สึกเป็นเรื่องใหญ่อันใด เขาตัดสินใจลงมือด้วยตนเอง เพื่อดูว่าของวิเศษใหม่ที่ได้มาทรงพลังปานใด
‘นี่คือใบหญ้าใบหนึ่ง ว่ากันว่าสามารถเบิกสวรรค์ ขจัดมาร ประหารเซียน! ทำได้จริงหรือ ไยข้าจึงไม่เชื่อเล่า!’
เขาหยิบใบหญ้าออกมาหนึ่งใบแล้วหนีบด้วยนิ้วมือ เตรียมใช้พลัง
สิ่งมีชีวิตทั้งหลายเริ่มเคร่งเครียดขึ้นมา นี่คือของวิเศษจากบรรพจารย์ฝูผู้นั้น หลี่จิ่วเต้าจงใจนำออกมาเพื่อเตือนมิให้พวกเขาบุ่มบ่ามชัด ๆ
ทว่าพวกเขาก็ยังไม่ตายใจ อย่างไรก็ไม่อยากไปง่าย ๆ
‘ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา!’
หลี่จิ่วเต้าทอดถอนใจอีกครั้ง
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาขอดูพลานุภาพของใบหญ้าใบนี้หน่อยเถิดว่ากล้าแกร่งกว่าของวิเศษชุดเก่าหรือไม่!
ใบหญ้าที่หนีบอยู่ระหว่างนิ้วแทบไม่มีน้ำหนัก หลี่จิ่วเต้าอดสงสัยมิได้ว่าใบหญ้าใบนี้ทรงพลังถึงเพียงนั้นจริงหรือ?
ทว่าเขากังขาอยู่แค่นิดหน่อย ไม่นานก็หมดข้อสงสัย
บรรพจารย์ฝูเก่งกล้าปานนั้น ก่อนหน้านี้มีสิ่งมีชีวิตมากมายทดสอบมาแล้ว เป็นการพิสูจน์ว่าทั้งหมดคือเรื่องจริง เขาไม่ควรแคลงใจ
‘เช่นนั้นขอดูหน่อยเถิด…’
หลี่จิ่วเต้าหนีบใบหญ้าด้วยสองนิ้ว ตวัดออกไปสู่นภา!
เสียงดังฟึ่บ ประกายสีเขียวสาดส่องออกมาอย่างล้นหลาม ปราณกระบี่องอาจน่าเกรงขาม สิ่งมีชีวิตทุกตนในที่นี้สีหน้าเปลี่ยนกันหมด ล่าถอยกันไปอย่างรวดเร็วให้ไกลห่างจากที่นี่!
ตู้ม!
นภาฉีกออกเป็นรอยใหญ่ สิ่งมีชีวิตมากมายได้เห็นดวงดาราคณานับนอกอาณาจักรดับสูญด้วยกระบี่นี้ กลายเป็นซากปรักหักพัง!
พวกเขาตื่นตกใจกันหมด สั่นสะท้านไปทั้งวิญญาณ ร่างกายสั่นเทิ้ม!
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
พวกเขาไม่นึกสงสัยเลยว่าหากกระบี่ตวัดมาหาพวกเขา พวกเขาจะต้องตายดับไปในชั่วพริบตา ไม่มีความสามารถพอจะต้านทานเลยสักนิด!
ตอนนี้ พวกเขามิได้ลังเลแต่อย่างใด รีบร้อนไปจากที่นี่โดยด่วน ขณะเดียวกัน แผ่นหลังพวกเขาโชกไปด้วยเหงื่อเย็น หัวใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว!
จะมิให้กลัวได้อย่างไร?!
ก่อนนี้พวกเขายังกล้าทะเล่อทะล่าหมายหัวหลี่จิ่วเต้าอีก รนหาที่ตายแท้ ๆ โชคดีที่พวกหลี่จิ่วเต้ามิได้ถือสาพวกเขา มิฉะนั้น พวกเขาคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตายได้อย่างไร!
“รวยแล้ว รวยแล้ว!”
“ฮ่า ๆๆ ภายหน้าผู้ใดจะกล้าขวางทางข้า”
สิ่งมีชีวิตที่ได้ทำการแลกเปลี่ยนตื่นเต้นกันถ้วนหน้า หลี่จิ่วเต้าพิสูจน์ให้เห็นถึงความสุดยอดจากของวิเศษเหล่านั้นของบรรพจารย์ฝู วันหน้า พวกเขาจะต้องยิ่งใหญ่ประสบความสำเร็จด้วยของวิเศษที่แลกมาเหล่านี้แน่นอน!
พวกเขาซ่อนตัวตามที่ต่าง ๆ ด้วยกลัวจะถูกผู้อื่นพบตัว ตั้งใจศึกษาของวิเศษที่พวกเขาทำการแลกเปลี่ยนมาเสียก่อน
ทว่าหลังพวกเขานำของวิเศษที่แลกมาได้ออกมาด้วยความระมัดระวัง ก็ต้องตาค้างกันหมด
ก่อนหน้านี้พวกเขาตื่นเต้นดีใจเพียงใด บัดนี้พวกเขาก็อึ้งงันเพียงนั้น!
ของวิเศษที่เคยส่องประกายวาววามเจิดจ้ามหัศจรรย์บัดนี้หมดสิ้นแล้วทุกสิ่ง ไม่เหลือความเปล่งปลั่งเลยสักนิด ที่สำคัญ แม้แต่พลังปราณก็สูญเสียไปด้วย เฉกเช่นเดียวกับของธรรมดาทั่วไป!
“มิใช่กระมัง!”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?!”
พวกเขาเชื่อไม่ลง ของวิเศษดี ๆ เช่นนั้นไยจึงกลายเป็นเช่นนี้?!
จากนั้น พวกเขาตรวจสอบซ้ำไปซ้ำมา แต่แล้วใจพวกเขาก็ต้องเย็นวาบกว่าเดิม!
“แย่แล้ว…เป็นของปลอมจริง ๆ ด้วย!”
“ถูกหลอกแล้ว!”
สีหน้าพวกเขาซีดเผือด รู้สึกแย่กันหมด ผู้ที่ก่อนนี้แลกของวิเศษไปเยอะโมโหจนแทบกระอักเลือด พวกเขาติดกับกันหมด!
พวกเขาทรมานใจเป็นหนักหนา ศาสตราอันทรงพลังที่สุดในตัวพวกเขากลับถูกนำไปแลกมาซึ่งเศษสวะกองหนึ่ง เฮ้อ อยากตาย!
“อย่างที่คิด!”
อีกด้าน บรรพจารย์ฝูมาถึงจุดที่มีศพเซียนอยู่ กำลังจะดูดกลืนก็เห็นแสงกระบี่เจิดจ้าชวนผวา!
เขามองเห็นเงาใบหญ้าใบหนึ่งจากแสงกระบี่เจิดจ้าเหล่านี้!
เป็นผลให้เขาช้ำใจอย่างยิ่งยวด ทุกอย่างได้รับการพิสูจน์แล้ว ในหมู่ของปลอมมีของจริงปะปนเข้าไปด้วย และเป็นไปได้ว่าใบหญ้าใบนั้นถูกหล่อเลี้ยงด้วยพลังโกลาหล จนผันเปลี่ยนเป็นคมกระบี่ไร้เทียมทานอย่างแท้จริง!
“ไม่มีทางมีแค่ใบเดียวกระมัง!”
เขานึกเรื่องนี้ขึ้นได้ รีบย้อนกลับไปยังจุดที่เขาเด็ดใบหญ้าใบนั้น
หลังกลับถึงที่นี่ เขารู้สึกโล่งอกที่หญ้าต้นนั้นยังอยู่ เขาเด็ดหญ้าต้นนั้นขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
“ไม่เห็นสัมผัสถึงสิ่งใดเลย…”
เขารู้สึกงุนงง นี่มันเรื่องกระไร เขาตรวจสอบซ้ำไปซ้ำมาอย่างละเอียด ก็ไม่พบสิ่งใด หญ้าต้นนี้เหมือนกับหญ้าธรรมดาทุกประการ!
เป็นไปไม่ได้!
ใบหญ้าที่หลี่จิ่วเต้าได้ไปมีอานุภาพน่าพรั่นพรึงถึงเพียงนั้น ต่อให้เขาห่างออกมาตั้งไกล ยังสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของใบหญ้าใบนั้น ทรงพลังกว่ายอดศาสตราเสียอีก!
นี่คือหญ้าทั้งต้น ใบหญ้าที่เขาเด็ดไปก็เด็ดจากหญ้าต้นนี้ ไยจึงมีเพียงใบหญ้าใบนั้นที่สยดสยองปานนั้น แต่ที่เหลือกลับปราศจากพลังอันใด?!
เป็นไปไม่ได้!
เรื่องแบบนี้เป็นไปไม่ได้!
‘พลังโกลาหลมิใช่พลังที่ระดับอย่างข้าเอื้อมถึง หญ้าต้นนี้มีความอัศจรรย์อย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่ข้ายังไม่ค้นพบความวิเศษของมันเท่านั้น!’
เขาครุ่นคิด
‘ขั้นบรรพจารย์เซียนนั้นแทบไม่สามารถบรรลุด้วยการฝึกฝนได้ คิดแล้วหลี่จิ่วเต้าผู้นี้คงได้สัมผัสกับพลังโกลาหลก่อนแล้ว ถึงได้บรรลุขั้นบรรพจารย์เซียนได้ด้วยเหตุผลประการนี้ และอาจเป็นเพราะเคยสัมผัสกับพลังโกลาหลที่เคยสัมผัสก่อนหน้านี้จึงความรู้สึกไวต่อพลังโกลาหลเป็นพิเศษ ครั้นแล้ว ถึงสัมผัสความเก่งกาจของใบหญ้าใบนั้นได้ในปราดเดียว!’
เขาใคร่ครวญอย่างละเอียด
“ขุดศพ! ข้าจะขุดศพทั้งหมดในอาณาจักรนี้ออกมาให้หมด!”
เขาเอ่ยอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ลำพังดูดกลืนพลังจากศพเหล่านั้นยังไม่พอสำหรับเขา แม้ว่าศพเหล่านั้นล้วนไม่ธรรมดา จ้าวแห่งเซียน ราชันแห่งเซียน ยอดเซียน เซียนจวิน กระทั่งจักรพรรดิเซียนยังมีเป็นกองพะเนิน กระนั้นยังมิสู้จะพอเท่าใด
พลังแต่เดิมของหลี่จิ่วเต้าคงไม่เบาอยู่แล้ว ซ้ำยังมีใบหญ้าเช่นนี้ในมือ พลังของเขามีแต่จะกล้าแกร่งยิ่งขึ้น ลำพังดูดพลังจากศพเหล่านี้น่ากลัวว่าคงยังไม่พอสำหรับเขาจริง ๆ
เขาตัดสินใจ หักใจไม่คิดปล่อยศพใดในอาณาจักรนี้ไป!
“จากนี้ไป โปรดเรียกข้าว่านักขุดศพ!”
เขาต้องการแก้แค้น เจ็บใจนักหากต้องปล่อยไปแบบนี้ และสิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้นคือ เขาต้องการทวงของที่ถูกหลี่จิ่วเต้าหลอกไปกลับคืนมา!
สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นของเขาทั้งสิ้น!
จากนั้น เขาเก็บหญ้าต้นนั้นไว้ราวสมบัติล้ำค่า ก่อนจะลงมือปฏิบัติการ ดูดกลืนพลังจากศพเหล่านั้น!
...
“นี่แหละคือกมลสันดานของมนุษย์”
อีกด้าน หลี่จิ่วเต้าเอ่ยในใจ
ตามคาด ทันทีที่เขาลงมือก็เผยให้เห็นถึงพลังความสามารถที่แข็งแกร่งมากพอ ไม่มีสิ่งมีชีวิตตนใดกล้าคิดมุ่งร้ายอีก ต่างหนีไปจากที่นี่กันถ้วนหน้า
นอกจากนี้ เขาก็เข้าใจในความทรงพลังของบรรพจารย์ฝูได้อย่างแท้จริง
ใบหญ้าเพียงใบเดียวยังมีพลังรุนแรงปานนี้ บรรพจารย์ฝูคือผู้ยิ่งใหญ่สูงส่งอย่างถ่องแท้ เหลือเชื่อยิ่งนัก!
“พวกเราก็ไปกันเถิด” หลี่จิ่วเต้ากล่าว
หนนี้เขามิได้ขี่กิเลนไฟ หากแต่ขึ้นรถลาก กลับไปยังห้องของเขา
ครั้งนี้ เขาแลกน้ำพิสุทธิ์ไร้รากมาได้ อยากลองดูว่าจะเปลี่ยนแปลงพรสวรรค์ ก้าวสู่เส้นทางฝึกตนด้วยพลังจากน้ำพิสุทธิ์ไร้รากได้หรือไม่
การฝึกตนเชียวนะ…
เขามิเคยคิดเรื่องนี้มานานแล้ว
หัวใจที่อยากฝึกตนของเขาถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง ซ้ำยังตื่นเต้นขึ้นมาอีกนิดหน่อย
เขานำน้ำพิสุทธิ์ไร้รากออกมาดื่มนิดหน่อย รอดูว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอันใดกับร่างกายหรือไม่
ทว่าหลังดื่มลงไปและรออยู่พักใหญ่ ก็ยังไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงใดกับร่างกายเขา
“ลิขิตสวรรค์คงยากจะฝืน…”
ชายหนุ่มถอนหายใจ การจะฝืนลิขิตสวรรค์เปลี่ยนชะตามิได้ง่ายอย่างที่คิด น้ำพิสุทธิ์ไร้รากไม่มีผลต่อเขา เขามิได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย
สุดท้ายก็ปลงตก ใช่ว่าเขาจำเป็นต้องฝึกตนให้ได้ เขาในยามนี้ก็ดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องหมกมุ่นกับเรื่องที่ว่าฝึกฝนได้หรือไม่
“ให้พวกเซี่ยเหยียนแล้วกัน”
หลี่จิ่วเต้าตัดสินใจมอบน้ำพิสุทธิ์ไร้รากที่เหลือให้พวกเซี่ยเหยียน
น้ำพิสุทธิ์ไร้รากมีประโยชน์ต่อพวกเซี่ยเหยียน หากตกอยู่ในมือเขาน่ากลัวว่าจะเป็นการเสียของ
...
ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลไร้ที่สิ้นสุด เจ้าหลวงเร่ร่อนไปเรื่อย ๆ เดินทางอยู่ตลอดเวลา มิกล้าหยุดชะงักแม้เพียงครู่เดียว ด้วยกลัวว่าเหล่าของวิเศษจะตามล่ามาถึงตัว
“ท่านพ่อบุญธรรมผู้แสนดีของข้า!”
เจ้าหลวงร่ำไห้น้ำหูน้ำตาไหล ทุกครั้งที่คิดถึงจ้าวแห่งรัตติกาล เขาต้องร้องไห้อย่างกลั้นไม่อยู่
นับแต่บุพการีบังเกิดเกล้าของเขาตายไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสถึงสายใยครอบครัว เขาเห็นจ้าวแห่งรัตติกาลเป็นดั่งบิดาบังเกิดเกล้าจริง ๆ
จ้าวแห่งรัตติกาลดีกับเขาถึงเพียงนั้น…
อนิจจา จ้าวแห่งรัตติกาลไม่ฟังคำเตือนจากเขา รั้นจะแก้แค้นแทนเขาให้ได้ จนทำให้เหล่าของวิเศษพิโรธและบุกมาถึงที่ ถึงได้ลงเอยอย่างน่าอนาถ
“ไม่ได้ ข้าต้องตั้งหลุมศพให้ท่านพ่อบุญธรรมของข้า!”
ความอาดูรเอ่อล้นออกจากใจเขา ก่อนนี้เขาหนีเอาชีวิตรอดเรื่อยมา บัดนี้หนีมาตั้งนานปานนี้แล้ว เหล่าของวิเศษยังมิได้ไล่ตามเข้ามา คิดแล้วคงปลอดภัยขึ้นบ้างแล้ว
จากนั้น เขามาอยู่บนดาวดวงหนึ่ง หมายจะตั้งหลุมศพให้ท่านพ่อบุญธรรมของเขาที่นี่
ที่นี่เป็นดาวซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย ไร้ซึ่งพลังชีวิต มองออกไปมีเพียงความว่างเปล่า
“พอดีเลย! ให้ดาวทั้งดวงนี้เป็นหลุมศพท่านพ่อบุญธรรมเลยแล้วกัน!
เขาพึงพอใจกับที่นี่มาก
ไร้ซึ่งพลังชีวิตก็ดีแล้ว เช่นนี้ก็จะมิมีสิ่งมีชีวิตใดมารบกวนท่านพ่อบุญธรรมของเขา
ต่อมา เขาเริ่มลงมือสร้างหลุมใหญ่ที่นี่ พร้อมทั้งตั้งป้ายศิลาก้อนใหญ่
บนนั้นเขียนว่า ‘หลุมศพท่านพ่อบุญธรรม จ้าวแห่งรัตติกาล!’
ตึง! ตึง! ตึง!
เสร็จแล้ว เขาคุกเข่าอยู่หน้าหลุมศพ โขกศีรษะให้หลุมศพเสียงดังอีกหลายครั้ง
“ท่านพ่อบุญธรรม โปรดจากไปอย่างสบายใจเถิด! ส่วนเรื่องล้างแค้นนั้น…ข้าเลิกคิดแล้ว ท่านพ่อบุญธรรมก็คงไม่ต้องการให้ข้าไปล้างแค้นกระมัง คิดแล้วท่านพ่อบุญธรรมคงแค่อยากให้ข้าได้มีชีวิตต่อไปเป็นอย่างดีเท่านั้น!”
เจ้าหลวงเอ่ยเสียงร่ำไห้ “ต่อจากนี้ ข้าจะมีชีวิตต่อไปอย่างเข้มแข็งแทนท่านพ่อบุญธรรมเอง!”
เขากล่าววาจาอีกหลายประโยค สุดท้ายถึงลุกขึ้น เตรียมไปจากที่นี่
“นี่ เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป!”
เวลานั้นเอง จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจนเจ้าหลวงตกใจยกใหญ่
“ตัวบ้าอะไรกัน!”
เจ้าหลวงเสมือนกระต่ายตื่นตูม กลัวจนอยากรีบหนีไปจากที่นั่น
“เดี๋ยวก่อน เจ้ากับข้าต่างมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน มาจากความพิศวงลางร้ายทั้งคู่ ไยเจ้าต้องหนีด้วย!”
เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง
“แหล่งกำเนิดเดียวกันหรือ?!”
เจ้าหลวงชะงัก มองไปทางต้นตอของเสียง มาจากแหล่งกำเนิดเดียวกันจริงด้วย!
เขาได้เห็นก้อนหินที่มีขนยาวพิศวงงอกอยู่เต็มไปหมด
เป็นผลให้เขาสบายใจลงนิดหน่อย เมื่อครู่เขาคิดว่าเป็นเหล่าของวิเศษที่ไล่ล่ามาเสียอีก!
“เจ้าเป็นใคร”
เขาปริปากถาม กระนั้นก็มิได้ชะล่าใจแต่อย่างใด หากมีความผิดปกติ เขาจะจากไปทันที
ทว่าคงไม่...
เขาสัมผัสไม่ได้ถึงอันตรายจากก้อนหินขนยาวก้อนนี้
ก้อนหินขนยาวก้อนนี้อ่อนพลังมาก
และเพราะเหตุนี้ เขาถึงชะงัก หากมีภยันตรายที่ควบคุมมิได้ เขาไม่มีทางหยุดชะงัก
“ข้าคือบรรพจารย์เหยียน! บรรพจารย์พิศวงตนหนึ่ง!”
ก้อนหินหลากสีก้อนนั้นเอ่ย
“บรรพจารย์พิศวงหรือ?!”
ม่านตาเจ้าหลวงหรี่ลง เป็นเรื่องจริงหรือ เขาได้พบกับบรรพจารย์พิศวงตนหนึ่งเชียวหรือ
“ใช่แล้ว!”
ก้อนหินหลากสีก้อนนั้นกล่าว “พลังพิศวงที่พวกเจ้ามี ล้วนได้รับการเผยแพร่จากพวกเรา!”
มันอธิบายต้นสายปลายเหตุทั้งหมด
ครานั้น พวกมันก่อสงครามครั้งใหญ่ สิ่งมีชีวิตพิศวงลางร้ายจำนวนหนึ่งทะลวงแนวป้องกันแดนบรรพโกลาหลเข้าไปได้
มันคือหนึ่งในสมาชิกที่บุกเข้าไปได้
แม้ว่าท้ายที่สุดพวกมันจะล้มเหลว ถูกสิ่งมีชีวิตแดนบรรพโกลาหลกำราบลง
ทว่ามันมิได้ถูกปราบปราม ยังดีที่พลังเสี้ยวหนึ่งหนีออกไปได้จนมาอยู่ในดาวดวงนี้
อนิจจา ที่นี่คือดวงดาวที่ตายไปแล้ว มันดำรงอยู่ที่นี่มาอย่างช้านานก็ยังมิมีสิ่งใดฟื้นคืน
มิหนำซ้ำยังตรงกันข้าม พลังของมันเริ่มสึกหรอลงไปทีละน้อย มันในตอนนี้ใกล้ดับสูญเต็มที อีกไม่นานก็จะสลายหายไปอย่างสิ้นเชิง
“โชคดีที่เจ้ามานี่ ข้าเองก็มีทางรอดแล้ว! และเจ้าก็จะได้รับผลประโยชน์มหาศาลเพราะเหตุนี้ด้วย!”
มันเอ่ยเสียงยินดีปรีดา
ทว่าเจ้าหลวงมิได้ยินดีด้วยสักนิด
เขาเอ่ยเสียงเซื่องซึม “ท่านเป็นบิดาบุญธรรมให้ข้าได้หรือไม่”
ว่าอะไรนะ?
ขอให้เป็น…บิดาบุญธรรมงั้นหรือ!?
ก้อนหินขนยาวหลากสีสงสัยว่ามันได้ยินผิดไปหรือไม่ งานอดิเรกอันใดกัน! ขอให้ผู้อื่นเป็นบิดาไปทั่วได้ด้วยหรือ!?
ต้องขาดแคลนความรักปานใดกัน!
แต่บิดาของเขาใช่ว่าจะเป็นได้ง่าย ๆ…
ไม่เห็นหรือว่าหลุมศพของบิดาคนก่อนของเขาตั้งอยู่ตรงนั้น!
“ไม่ต้องการก็ไม่เป็นไร…”
เจ้าหลวงลุกขึ้นทำท่าจะไป
เขามิได้ใส่ใจว่าสิ่งที่ก้อนหินขนยาวหลากสีกล่าวมานั้นเป็นความจริงหรือไม่ เขาคิดถึงท่านพ่อบุญธรรมของเขาเหลือเกิน เพียงต้องการที่พึ่งทางใจเท่านั้น
“เดี๋ยวสิ แค่เป็นบิดาให้มิใช่หรือ ข้าเป็นให้ก็ได้!”
ก้อนหินขนยาวหลากสีร้องบอก อย่าให้เอ่ยเลยว่ารู้สึกพิลึกเพียงใด
มีผู้ที่อยากเป็นบุตรชายให้ผู้อื่นเช่นนี้ด้วยหรือ นี่เป็นครั้งแรกที่มันถูกบีบบังคับให้เป็นพ่อ
ช่างเถิด ๆ ไม่ว่าเรื่องใดต่างมีครั้งแรกเสมอ!
ก้อนหินขนยาวหลากสีจนใจ กระนั้นก็ไร้หนทาง มันจำต้องเป็นบิดาที่ว่าโดยไม่มีทางเลือก…
หากเจ้าหลวงไปง่าย ๆ เช่นนี้ มันคงอยู่รอสิ่งมีชีวิตตนต่อไปไม่ไหว พลังของมันสึกหรอร้ายแรงเกินไป ดับสูญได้ทุกเมื่อ
“อย่าทำท่าเหมือนไม่เต็มใจปานนั้น!”
เจ้าหลวงเอ่ยเสียงขึงขังจริงจัง
เวรเอ๊ย!
เรื่องบ้าอะไรกัน!
ตามหาบิดาได้จริงจังเช่นนี้เชียวหรือ!
ได้!
ในเมื่อจริงจังถึงเพียงนี้ ก็ให้เป็นไปอย่างจริงจังแล้วกัน
บุตรชายนั้นเป็นยาก บิดาสิเป็นง่าย
ก้อนหินขนยางหลากสีคิดในใจ
“มีบุตรชายที่ไหนใช้ถ้อยคำเช่นนี้กับผู้เป็นบิดา อยากถูกตีหรือไร!”
มันเอ่ยเสียงโหดเหี้ยม พยายามเด้งขึ้นจากพื้น หินก้อนหนึ่งกระแทกเข้าหน้าเจ้าหลวง!
“ท่านทำอะไร!”
เจ้าหลวงโมโห คว้าก้อนหินขนยาวหลากสีไว้หมับ “ข้ามิได้ตามหาบิดาที่ชอบตีบุตรชาย! ข้าตามหาบิดาที่รักและเอ็นดูบุตรชาย!”
บัดซบ!
ก้อนหินขนยาวหลากสีเดือดดาลนักหนา!
นึกในใจว่าเจ้าบอกให้จริงจังมิใช่หรือไร!
บิดาตีบุตรเป็นเรื่องชอบธรรมมิใช่รึ
จริงจังก็ไม่ได้!
“สารเลวจริง ๆ!”
ก้อนหินขนยาวหลากสีพิโรธจนใจสั่น นี่แค่เพราะมันยังไม่ฟื้นพลังเท่านั้น มิฉะนั้น มันจะสั่งสอนเจ้า ‘ลูกเนรคุณ’ ผู้นี้ให้หนัก!
“ได้ พ่อเข้าใจแล้ว เจ้าคือบุตรชายแสนรักของพ่อ พ่อเอ็นดูเจ้าที่สุด!”
ก้อนหินขนยาวหลากสีเอ่ยเสียงนุ่มนวล
“เช่นนี้ถึงจะถูก บิดาบุญธรรมคนก่อนของข้าก็รักใคร่เอ็นดูข้าเช่นนี้!”
สีหน้าเจ้าหลวงดีขึ้น พร้อมเอ่ยยิ้ม ๆ
“ท่านพ่อบุญธรรม ท่านคือบรรพจารย์เหยียนจริงหรือ”
บัดนี้แล้วมันเพิ่งมีแก่จิตแก่ใจสนใจเรื่องพวกนี้ จึงเอ่ยถามก้อนหินขนยาวหลากสีต่อ
“แน่นอน!”
ก้อนหินขนยาวหลากสีตอบ “พ่อจะถ่ายทอดวิชาลับแห่งความพิศวงลางร้ายของเราให้เจ้าก่อนจำนวนหนึ่ง เจ้าในตอนนี้ยังมิใช่สมาชิกความพิศวงลางร้ายจริง ๆ มิได้ผสานเป็นหนึ่งกับพลังของความพิศวงลางร้าย ไม่อาจสำแดงความแกร่งกล้าของพิศวงลางร้ายได้จริง ๆ!”
จากนั้น มันเริ่มสอนวิชาลับจำนวนหนึ่งให้กับเจ้าหลวง ให้เจ้าหลวงสามารถผสานเป็นหนึ่งกับความพิศวงลางร้ายได้จริง ๆ
มันต้องการเจ้าหลวง
อย่างน้อยก็ต้องการเจ้าหลวงในช่วงเวลานี้
ก่อนมันยังไม่ฟื้นตัว ไม่มีพลังพอจะปกป้องตนเอง เจ้าหลวงคือเกราะป้องกันของมัน
เจ้าหลวงเค้นพลังตามวิชาลับที่ก้อนหินขนยาวหลากสีถ่ายทอดให้รอบหนึ่ง และรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงจริง ๆ คล้ายกว่า ‘ชิดเชื้อ’ กับพลังพิศวงลางร้ายยิ่งขึ้น พลังที่แผ่ออกมารุนแรงยิ่งขึ้น!
นี่คือบรรพจารย์พิศวงตนหนึ่งจริงหรือ!?
เจ้าหลวงเริ่มเชื่อแล้ว!
เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ เดิมเขาเพียงต้องการที่พึ่งทางใจเท่านั้น หารู้ไม่ เขากลับได้บิดาบุญธรรมแสนดีถึงเพียงนี้!
“ขอบคุณท่านพ่อบุญธรรม!”
เขากล่าวขอบคุณระรัว
“ขอบคุณอะไร เจ้ากับข้าเป็นพ่อลูกกัน ไม่จำเป็นต้องเอ่ยวาจาขอบคุณเช่นนี้ รังแต่จะบั่นทอนความสัมพันธ์พ่อลูกของเรากันเปล่า ๆ!”
ก้อนหินขนยาวหลากสีกล่าว
เจ้าหลวงรีบเอ่ย “ลูกผิดไปแล้ว!”
“อืม”
ก้อนหินขนยาวหลากสีเอ่ยขึ้น “ลูกเอ๋ย ยามนี้พ่อผลาญพลังมากเกินไป เจ้าจงฟังที่พ่อบอก พาพ่อไปหากองกำลังพิศวงลางร้ายที่อื่นก่อน ให้พ่อได้ดูดกลืนพลังเพื่อฟิ้นตัวบ้าง…”
“ได้! ลูกจะพาท่านไปเดี๋ยวนี้!”
เจ้าหลวงพาก้อนหินขนยาวสีดำไปจากที่นี่ มุ่งหน้าไปยังนครพิศวงแห่งหนึ่ง เขาจะพาท่านพ่อบุญธรรมของเขาไปดูดกลืนพลังพิศวงลางร้ายที่นั่น
...
เวลาผ่านไปกว่าครึ่งปีในชั่วอึดใจเดียว
พวกหลี่จิ่วเต้าเข้าไปถึงส่วนลึกของดินแดนฮวงแล้ว
สำหรับหลี่จิ่วเต้า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มายังดินแดนฮวง ที่นี่เต็มไปด้วยความแปลกใหม่ น่าเสียดายที่เขายังไม่ได้เบาะแสเกี่ยวกับซีเลยสักนิด
ไม่ว่าเดินทางไปที่ใด เขาจะทำการค้นหาจริงจัง ไม่ปล่อยผ่านไปแม้แต่ที่เดียว
“คุณชาย ข้างหน้ามีเมืองใหญ่อยู่เมืองหนึ่ง พวกเราจะเข้าไปตรวจสอบดูหรือไม่” ลั่วสุ่ยถามคุณชาย
เบื้องหน้ามีเมืองใหญ่ตั้งอยู่กลางอากาศซึ่งยิ่งใหญ่เกรียงไกรเป็นอย่างยิ่ง ประหนึ่งเทือกเขายืดยาวไร้ที่สิ้นสุด ชวนให้ทึ่งเป็นหนักหนา แสดงให้เห็นถึงความองอาจอันไร้ขีดจำกัด
แม้ว่าพวกเขายังห่างจากเมืองใหญ่อีกไกล แต่ยังมองเห็นเมืองใหญ่ได้ก็เพราะเมืองนั้นมหึมามาก
“นั่นคือเมืองจักรพรรดิไป๋ หนึ่งในเมืองโบราณขึ้นชื่อแห่งดินแดนฮวง มีประวัติสืบสานมาอย่างยาวนานจนแทบหาต้นตอไม่พบแล้ว!”
เซี่ยเหยียนเอ่ยขึ้นข้าง ๆ รู้ประวัติความเป็นมาของเมืองใหญ่นี้ จึงอธิบายภูมิหลังให้ฟัง ว่ากันว่านี่คือเมืองโบราณอันมีอารยธรรมฝึกตนแห่งหนึ่ง
“ไปสิ!” หลี่จิ่วเต้าตอบกลับทันที
เมืองโบราณแห่งอารยธรรมฝึกตนหรือ เขาจะพลาดได้อย่างไร ไม่มีทางเลย!
ไม่ต้องเอ่ยว่ามีโอกาสที่ซีอยู่ในเมืองโบราณแห่งอารยธรรมฝึกตนนั้นหรือไม่ ลำพังตัวเขาเองก็สนอกสนใจในเมืองโบราณแห่งอารยธรรมฝึกตนเช่นนี้มาก
เขาชื่นชอบเรื่องราวเก่าแก่
จากนั้น อสูรทั้งเก้าลากรถเหินไปทางเมืองจักรพรรดิไป๋
หลี่จิ่วเต้ามิได้อยู่ในรถลาก เขาเดินทางโดยขี่กิเลนไฟอยู่ด้านนอก
พวกลั่วสุ่ยสนทนากับเขาโดยยืนอยู่ที่หัวรถลาก
ระหว่างทาง พวกหลี่จิ่วเต้าได้พบเห็นปรากฏการณ์แปลกประหลาดมากมาย
สัตว์อสูรจำนวนหนึ่งกำลังเดินทางโดยขี่มนุษย์!
ภาพนี้ช่างพิลึกเหลือเกิน!
แม้ว่าสัตว์อสูรกล้าแกร่งก็มีสัตว์ขี่เช่นกัน แต่สัตว์ขี่เหล่านั้นก็เป็นอสูรเผ่าอื่น ส่วนเผ่าที่ใช้มนุษย์เป็นสัตว์ขี่หาดูได้ยากจริง ๆ!
ทว่าที่นี่ กลับพบเห็นสัตว์อสูรที่ขี่มนุษย์เดินทางได้ทั่วไป!
ด้านหน้าห่างออกไปไม่ไกล มีงูเหลือมหลากสีตัวหนึ่งรัดพันร่างท่อนบนของชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง แล้วยังมีเม่นที่ขี่อยู่บนชายวัยกลางคนอีกผู้หนึ่ง กำลังร่วมเดินทางไปกับงูเหลือมพร้อมหัวร่อต่อกระซิก
“...”
หลี่จิ่วเต้าเห็นแล้วพูดไม่ออก ชายวัยกลางคนทั้งสองมาจากเผ่ามนุษย์จริงหรือ
เหตุใดเขาถึงรู้สึกว่าชายวัยกลางคนทั้งสองจำแลงกายจากเผ่าอสูรเล่า!
มีเผ่ามนุษย์ที่ไหนยอมไปเป็นสัตว์ขี่บ้าง…
“เผ่ามนุษย์เป็นสัตว์ขี่อย่างนั้นหรือ”
เซี่ยเหยียนขมวดคิ้ว “เกิดเรื่องอันใดที่นี่กันแน่”
ผิดปกติ!
ผิดปกติอย่างแรง!
นอกจากยุคป่าเถื่อนที่เผ่ามนุษย์ยังไม่เฟื่องฟูเพราะอ่อนกำลัง ถึงได้มีสถานะต่ำต้อยท่ามกลางเผ่าต่าง ๆ เผ่ามนุษย์ในยุคนั้นลำบากยากเข็ญอย่างแท้จริง ต้องเป็นทาสรับใช้ให้กับเผ่าอื่น ถูกเผ่าอื่นข่มเหง
ถึงอย่างไร เผ่าอื่นต่างแข็งแกร่งกว่าเผ่ามนุษย์มาแต่กำเนิด
ทว่าเผ่ามนุษย์นั้นประเทืองปัญญากว่า กอปรกับหัวใจเข้มแข็งพอ เผ่ามนุษย์จึงรุ่งโรจน์ขึ้นช้า ๆ จนค่อย ๆ กลายเป็นเจ้านายปฐพีผืนนี้
เผ่าอื่นจึงไม่อาจจับมนุษย์ทำทาสได้ตามใจชอบอีก
ผ่านไปแล้วหลายยุคหลายสมัย จนกระทั่งปัจจุบันนี้ สถานะของเผ่ามนุษย์ก็ยังไม่เปลี่ยนไป ยังคงเป็นเจ้านายของปฐพีผืนนี้
เผ่ามนุษย์ขยายพันธุ์ได้รวดเร็วกว่าเผ่าอื่นมากนัก
นี่ก็เป็นประเด็นหลักที่เผ่ามนุษย์ได้เป็นเจ้านายของปฐพีนี้ในที่สุด
ทว่าที่นี่ เหมือนว่าสถานการณ์กลับตาลปัตร คล้ายว่าเผ่าอื่นได้ยึดครองดินแดนนี้ และเผ่ามนุษย์กลายเป็นทาสของเผ่าอื่น!
เมืองจักรพรรดิไป๋เป็นเมืองของเผ่ามนุษย์ กลับมีเผ่ามนุษย์เป็นทาสของสัตว์อสูรรวมถึงเผ่าพันธุ์อื่นให้เห็นอยู่ทั่วไป ต้องมีปัญหาอันใดแน่!
เพียะ เพียะ เพียะ!
เวลานั้นเอง เสียงหวดดังขึ้น จากนั้นก็มีเสียงร้องโหยหวนของเด็กสาวดังขึ้นอีกหลายเสียง
พวกหลี่จิ่วเต้าพากันหันไปมอง
หลังพวกเขาเห็นภาพนั้น ต่างก็โกรธเกรี้ยวจนแทบทนไม่ไหว
ด้านหลังนั้น มีเด็กสาววัยแรกแย้มสิบแปดนางถูกมัดไว้ด้วยกัน และกำลังลากรถรบโบราณคันมโหฬารคันหนึ่ง และบนรถรบมโหฬารคันนั้น มีงูใหญ่สีม่วงตัวหนึ่งกำลังขดตัวอยู่
งูใหญ่สีม่วงตัวนี้มีเขาบนหัวถึงสี่ข้าง เกล็ดบนตัวเป็นสีม่วงทั้งหมด ทอประกายเยือกเย็นชวนผวา และกำลังหวดเด็กสาววัยแรกแย้มสิบแปดนางที่ถูกมัดไว้ด้วยกันด้วยหาง
“วิ่งเร็ว ๆ หน่อย!”
งูใหญ่สีม่วงตะโกนบอก
ส่วนด้านข้างของมันมีเด็กสาวโฉมสะคราญอยู่อีกมาก บ้างพัดให้มัน บ้างนวดร่างงูของมัน
“ฮ่า ๆ ข้าอยากกลับไปเมตตาพวกเจ้าจนแทบทนไม่ไหวแล้ว!”
งูใหญ่สีม่วงหัวเราะร่วนอย่างประสงค์ร้าย ทั้งยังแลบลิ้นสองแฉกออกมาแล้วเลียใบหน้าเด็กสาวผู้หนึ่ง จนใบหน้าของเด็กสาวผู้นั้นเปียกชื้นไปหมด
งูอะไรกัน?
เหตุใดถึงต่ำตมน่าสะอิดสะเอียนเช่นนี้!
หลี่จิ่วเต้าขี่อยู่บนหลังกิเลนไฟขมวดคิ้วน้อย ๆ โทสะในใจลุกโชน
เวลานั้น งูใหญ่สีม่วงมองมาเห็นพวกหลี่จิ่วเต้าแล้วเช่นกัน
“บังอาจนัก! ในดินแดนผืนนี้ มนุษย์คือทาสชั้นต่ำที่สุด เผ่าอื่น ๆ ต่างหากคือเผ่าสูงส่งอย่างหามิได้! พวกเจ้าริอ่านใช้เผ่าพันธุ์อื่น ๆ ลากรถให้พวกเจ้า ทั้งยังเป็นสัตว์ขี่ ช่างบังอาจยิ่งนัก!”
มันตวาดลั่นขึ้นมาในบัดดล ดวงตางูคู่นั้นเปล่งประกายสยดสยอง น่าพรั่นพรึงเป็นที่สุด
ต่อมา มันได้เห็นพวกลั่วสุ่ย เซี่ยเหยียน และหลิงอิน สายตาของมันเปลี่ยนไปทันที
“เดิมที พวกเจ้านั้นต้องโทษประหารอย่างยากจะพ้นผิด ทว่าท่านงูผู้นี้จิตใจเมตตา มิต้องการเข่นฆ่าผู้ใดง่าย ๆ ท่านงูผู้นี้จึงตัดสินใจให้โอกาสพวกเจ้า ละเว้นโทษประหารของพวกเจ้า!”
งูใหญ่สีม่วงเปล่งเสียงต่ำช้านักหนาขณะจ้องมองพวกลั่วสุ่ย ลิ้นสองแฉกแลบออกมาไม่หยุดพร้อมกล่าวต่อ “มาเถิด มาหาท่านงูตรงนี้แล้วปรนนิบัติท่านงูให้ดี! สถานการณ์อย่างวันนี้พวกเจ้ามีสิทธิ์ปรนนิบัติท่านงูนับเป็นเกียรติยศสูงสุดของพวกเจ้าแล้ว! รีบมานี่สิ อย่าได้พลาดโอกาสอันดีเช่นนี้ไป”
“อะไร…กัน!”
หลี่จิ่วเต้าขี่กิเลนไฟขวางอยู่เบื้องหน้าพวกลั่วสุ่ย ขัดขวางมิให้ดวงตาของงูใหญ่สีม่วงได้มองต่อ
เขายังบอกกับพวกลั่วสุ่ยอีกว่า “พวกเจ้ากลับเข้าไปในรถลาก ถูกหนอนยาวน่าขยะแขยงเช่นนี้มองถือเป็นการทำให้พวกเจ้าแปดเปื้อน!”
งูใหญ่สีม่วงน่ารังเกียจเกินไป เขาไม่ต้องการให้พวกลั่วสุ่ยอยู่ข้างนอกต่อจริง ๆ
“เจ้าค่ะ!”
พวกลั่วสุ่ยตอบ พากันกลับเข้าไปในรถลาก
“เจ้าทำอะไร!”
ดวงตาของงูใหญ่สีม่วงถลึงมองหลี่จิ่วเต้าอย่างขุ่นเคือง จิตสังหารพลุ่งพล่าน บังอาจทำมันเสียเรื่องรึ มันบันดาลโทสะ เตรียมลงมือ!
“งูเป็นของดี ใช้สอยได้หลากหลายวิธี อย่างเช่นนำมาดองสุรา ปรุงเป็นแกงงู…”
หลี่จิ่วเต้าหันมองงูใหญ่สีม่วงพร้อมกล่าว “ข้าไม่ชอบความสิ้นเปลือง ทว่าเจ้าเป็นข้อยกเว้น นำเจ้ามาดองสุราหรือปรุงเป็นแกงงูก็กลัวแต่จะคลื่นเหียนจนดื่มไม่ลง กินไม่ลง…”
จากนั้น เขาขมวดคิ้วเบา ๆ
“เจ้าคิดดีหรือยังว่าอยากตายแบบไหน?” เขากล่าวต่อ
คิดดีหรือยังว่าอยากตายแบบไหน!?
โอหังยิ่งนัก!
นัยน์ตางูใหญ่สีม่วงเย็นยะเยือก จิตสังหารพลุ่งพล่านยิ่งขึ้น
ลิ้นสองแฉกในปากมันแลบออกมาไม่หยุด ทั้งยังจ้องหลี่จิ่วเต้าพลางเอ่ย “ควรต้องเอ่ยว่า เจ้าคิดดีหรือยังว่าอยากตายแบบไหน!”
ในดินแดนผืนนี้ เผ่ามนุษย์ถูกข่มเหง เผ่าอื่นเป็นผู้ยิ่งใหญ่ มนุษย์สามหาวจากไหนกันถึงบังอาจเอ่ยวาจาเช่นนี้!
มันได้ยินมาว่าสิ่งมีชีวิตท้องถิ่นจำนวนหนึ่งในอาณาจักรนี้ทรงพลังกล้าแกร่ง กำราบสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรทั้งปวงได้ และเหมือนว่าแดนเซียนอะไรนั่นก็ถูกกำราบไปด้วย แข็งแกร่งจนผิดมนุษย์
ทว่ามันหาได้ใส่ใจไม่
แดนเซียนอะไรนั่น ว่ากันว่าเป็นเพียงเซียนเทียมกลุ่มหนึ่ง หาใช่เซียนจริง ๆ เซียนจริง ๆ และกำลังรบเหนือขึ้นไปกว่านั้นล้วนอยู่ในภพเซียน
ที่นั่นต่างหาก คืออาณาจักรซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลนี้!
สิ่งมีชีวิตมากมายเอ่ยว่า หากสิ่งมีชีวิตจากภพเซียนมาเยือนอาณาจักรนี้จริง ๆ สิ่งมีชีวิตท้องถิ่นทั้งหมดในอาณาจักรนี้ต่างต้องสิ้นฤทธิ์เดช ถูกสิ่งมีชีวิตจากภพเซียนกำราบในพริบตา
แต่สำหรับมัน ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตจากภพเซียนมาจริง ๆ ก็เท่านั้น!
มันไม่เห็นสิ่งมีชีวิตจากภพเซียนในสายตาด้วยซ้ำ แล้วไยจึงต้องเห็นสิ่งมีชีวิตท้องถิ่นเหล่านี้ในสายตาด้วยเล่า
เป็นไปได้อย่างไรกัน!
พญางูปาหรือ?
อีกด้าน กิเลนไฟจ้องมองงูใหญ่สีม่วงตัวนี้และจำมันได้
นี่คืออสูรร้ายจากแดนบรรพโกลาหล ชื่อเสียงฉาวโฉ่ในแดนบรรพโกลาหล พิสมัยในนารีเป็นที่สุด สิ่งมีชีวิตสตรีเพศในแดนบรรพโกลาหลถูกพญางูปาตัวนี้ย่ำยีไปตั้งไม่รู้เท่าใด
พญางูปากลับมาปรากฏตัวที่นี่ คิดแล้วคงร่วงหล่นออกจากแดนบรรพโกลาหลเช่นกัน ช่วงนี้มันสัมผัสถึงพลังปราณโกลาหลได้บ่อย ๆ ดูท่า รอยร้าวที่แดนบรรพโกลาหลจะมากขึ้นเรื่อย ๆ
‘ยุ่งกับผู้ใดไม่ยุ่ง ดันมายุ่งกับคุณชาย! นอนรอความตายเสียเถิด!’
กิเลนไฟหัวเราะเย็น ๆ ในใจ อย่าว่าแต่คุณชายที่เตรียมลงมือเลย แม้แต่มันยังสังหารพญางูปาได้
ครึ่งปีผ่านไป ขอบเขตของมันยกระดับขึ้นอีกครั้ง มาถึงขอบเขตโกลาหลขั้นสาม
แม้จะบรรลุขึ้นมาได้เพียงขั้นเดียว กระนั้นการจะยกระดับขั้นในขอบเขตโกลาหลถือเป็นเรื่องลำบากยิ่ง ในแดนบรรพโกลาหล คิดจะบรรลุขั้นต้องใช้เวลาเป็นสิบล้านปี
อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาเกินล้านปี!
กิเลนไฟยกระดับขึ้นมาอีกขั้นในเวลาเพียงครึ่งปี หากเรื่องนี้ลือกลับไปถึงแดนบรรพโกลาหล เป็นต้องอึ้งจนกรามค้างกันเป็นแถบ ๆ
‘คุณชายอยู่ในขอบเขตใดกันแน่!?’
กิเลนไฟสะท้อนใจขึ้นมาอีกครั้งอย่างอดมิได้
ขอบเขตสูงระดับโกลาหลยังไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคุณชาย คุณชายช่วยให้มันยกระดับได้ง่ายดาย ช่างเก่งกาจยิ่งนัก!
หลี่จิ่วเต้ามิได้เอ่ยวาจา ขี่กิเลนไฟขึ้นมาบนนภา
เขาก้มมองพญางูปา “ขึ้นมาสู้กันสักตั้ง…ไม่สิ เจ้าไม่มีสิทธิ์จะสู้กับข้าด้วยซ้ำ”
พญางูปาอยู่บนรถรบ ที่นั่นเต็มไปด้วยเด็กสาวเผ่ามนุษย์ เขากลัวจะทำให้เด็กสาวเผ่ามนุษย์เหล่านี้บาดเจ็บเอา
“เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ!?”
จิตสังหารพญางูปาพุ่งทะยาน หมายความว่าอย่างไรที่ว่าไม่มีสิทธิ์จะสู้ด้วย?
นี่ต้องดูหมิ่นมันปานใดกัน!
มันเคยถูกดูหมิ่นขนาดนี้ที่ไหน
มันทนไม่ไหว กระโจนขึ้นจากรถรบทันที พร้อมบุกเข้าไปหาหลี่จิ่วเต้า
มันขยายตัวตามลม ร่างงูนั้นยาวเหยียดเสียยิ่งกว่าเทือกเขา มันอ้าปากมหึมาเขมือบไปทางชายหนุ่ม
หลี่จิ่วเต้าควบกิเลนไฟเว้นระยะห่างออกจากพญางูปา
เรื่องนี้เกินคาดพญางูปานิดหน่อย ขอบเขตของมันสูงส่งปานใด ยามบุกไปหาหลี่จิ่วเต้ามันได้ผนึกห้วงมิติผืนนั้นไว้แล้ว ซ้ำความเร็วของมันยังทะลุขีดจำกัดอีกด้วย!
ผลสุดท้ายมันกลับชวด ไม่ได้แตะแม้แต่เงาของหลี่จิ่วเต้า
มันจ้องมองกิเลนไฟ รู้ตัวแล้วว่ากิเลนไฟอาจไม่ธรรมดา
“เหตุใดเจ้าถึงไปเกื้อหนุนเผ่ามนุษย์ ยอมตกต่ำถึงขั้นเป็นสัตว์ขี่!?”
มันปริปาก “กำราบเผ่ามนุษย์ ให้มนุษย์กลายเป็นทาสเรา เป็นสัตว์ขี่ของเราเหมือนกับข้าไม่ดีหรือ”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ แต่เป็นเพราะเจ้าอำมหิตเกินไป ไร้ซึ่งสามัญสำนึก!”
หลี่จิ่วเต้าปริปาก “ต่อให้เจ้ามาจากเผ่ามนุษย์ วันนี้ข้าก็ต้องฆ่าเจ้า เรื่องชั่วช้าสามานย์เช่นนี้มิควรกระทำ! ไม่ว่าเผ่าใดก็มิได้!”
เขาหยิบใบหญ้าหนึ่งใบออกมาหนีบด้วยสองนิ้ว
“ฆ่าข้าหรือ ด้วยสิ่งใด? ใบไม้เส็งเคร็งในมือเจ้าอย่างนั้นหรือ!?”
พญางูปายิ้มเย็นพลางกล่าว “เจ้าจงไปตายเสีย!”
มันก้าวสู่ขอบเขตโกลาหลแล้ว ไฉนเลยจะยอมถอยง่าย ๆ!?
คิดอะไรอยู่!
ด้วยพลังขอบเขตโกลาหลของมัน มันสามารถถล่มอาณาจักรนี้ให้ราบคาบได้ไม่มีปัญหา!
อีกอย่าง มันมีราชันสุนัขอยู่เบื้องหลัง ยิ่งไม่ต้องกลัวเกรงอันใด!
ร่างงูยักษ์ใหญ่ของมันเลื้อยไปมา สำแดงวิชาลับบางอย่าง ชั่วพริบตานั้น ปราณโกลาหลซัดสาด พลังน่ากลัวอันไร้ขีดจำกัดโถมทับออกมาในที่นี้!
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ฟ้าดินเปลี่ยนสี มันอ้าปากพ่นอสนีบาตสีม่วงออกมา ในอดีตตัวมันเคยกลืนกินบ่ออัสนีเข้าไปและหลอมรวมพลังนั้นไว้ในท้อง จึงอ้าปากพ่นมหาวิชาออกมาได้ง่าย ๆ!
นั่นมิใช่บ่ออัสนีธรรมดา อานุภาพสยดสยองเป็นที่สุด หลังหลอมรวมพลังของมันได้แล้ว มันใช้อสนีบาตสีม่วงนี้สังหารยอดฝีมือในแดนบรรพโกลาหลไปไม่น้อย!
ใช่ว่าในแดนบรรพโกลาหลนั้นเต็มไปด้วยขอบเขตโกลาหล ระดับพลังของสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตโกลาหล ผู้ที่ก้าวสู่ขอบเขตโกลาหลได้นั้นเรียกว่ายอดฝีมือได้แน่นอน!
อักขระถักทอประสาน คลื่นอันน่าประหวั่นพรั่นพรึงกระเพื่อมออกจากอสนีบาตสีม่วง กฎแห่งโกลาหลไหลเวียน นี่มิใช่การโจมตีธรรมดา แม้แต่กิเลนไฟยังรู้สึกถึงอันตราย
‘ขอบเขตโกลาหลขั้นแรกที่สร้างอันตรายให้ข้าได้ มิน่า เขาเสียชื่อในแดนบรรพโกลาหลถึงเพียงนั้น แต่ยังมีชีวิตมาได้ถึงบัดนี้…’
กิเลนไฟคิดในใจ
ทว่าสำหรับมันแล้วเป็นความอันตรายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หากจะลงมือกันจริง ๆ มันมั่นใจว่าสามารถสังหารพญางูปาได้อย่างดุดัน
ส่วนคุณชายนั้น แน่นอนว่ามิใช่เรื่องใหญ่ สิ่งนี้ไม่อาจเป็นอันตรายต่อคุณชายได้เลย
ฟึ่บ!
หลี่จิ่วเต้าลงมือ สองมือหนีบใบหญ้าตวัดไปหาพญางูปา
และใบหญ้าเส็งเคร็งที่พญางูปาไม่เห็นในสายตา ก็สร้างความรู้สึกถูกคุกคามถึงชีวิตอย่างรุนแรงหลังหลี่จิ่วเต้าตวัดออกไป!
ใบหญ้าฟาดฟัน ทิ่มแทงครั้งเดียวหนาวสะท้านไปถึงทรวง แสงกระบี่สีเขียวสาดประกายจากโบราณกาลจนถึงปัจจุบัน เสมือนกระบี่ตัดฟ้า พญางูปาส่งเสียงคำราม ต้านทานสุดกำลัง ทว่าภายใต้กระบี่นี้ ตัวมันต้อยต่ำเสียจนไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึง!
“ไม่!!”
มันส่งเสียงเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งร่างงูและวิญญาณต่างถูกบดจนแหลกเหลว เศษเนื้อหกรดลงมาตามโลหิต!
ก่อนตาย อย่าให้เอ่ยเลยว่ามันเจ็บใจเพียงใด!
ราชันสุนัขอยู่ที่เมืองจักรพรรดิไป๋ ตัวมันห่างจากเมืองจักรพรรดิไป๋เพียงคืบ ถึงได้ในอึดใจเดียว และเมื่อไปถึงเมืองจักรพรรดิไป๋ มันก็จะรอด!
มันเชื่อในความสามารถของราชันสุนัข!
ราชันสุนัขเป็นถึงราชันอสูรทรงอำนาจผู้อยู่ในขอบเขตโกลาหลขั้นแปดเชียวนะ!
อนิจจา เอ่ยอะไรยามนี้ก็คงสายไป จิตเสี้ยวสุดท้ายของเขาหายไป ไม่อาจตายสนิทไปกว่านี้ได้แล้ว!
“บ้า…เอ๊ย!”
“แกร่งกล้าปานนี้เชียว!”
สิ่งมีชีวิตรอบ ๆ มากมายได้เห็นศึกนี้ และตกตะลึงกันหมด
“พี่ใหญ่ ท่านคือพี่ใหญ่ของข้า!”
งูเหลือมที่ก่อนนี้พันรัดครึ่งร่างบนของชายวัยกลางคนตื่นกลัว จนยกชายวัยกลางคนขึ้นเหนือตัวมันเอง ให้ชายวัยกลางคนผู้นี้ขี่เขาแทน
“ท่านก็เป็นพี่ใหญ่ของข้า!”
เม่นก็กลัวจนรีบเด้งตัวลงจากคอชายวัยกลางคน แล้วดันชายวัยกลางคนขึ้นหลังมัน
“อ๊ากกก!”
ชายวัยกลางคนครวญคราง เจ็บปวดเหลือทน!
นี่คือเม่นเชียวนะ แผ่นหลังเต็มไปด้วยหนาม เมื่อโดนดันขึ้นไป ก้นเขาถูกแทงจนแทบหาไม่!
ฟังจบแล้วถ้าใครอยากสนับสนุนช่องโดเนท ให้ช่องของเราเดินหน้าต่อได้เร็วขึ้น หรืออยากขอนิยาย
ช่องทางสนับสนุนช่องอยู่ใต้ลิงค์คลิปชั่นนะครับ