706-710

ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่นิยายระบบ ก่อนที่จะรับฟังช่วยกดไลค์และกด subscribe เป็นกำลังใจด้วยนะครับ
นิยายเสียง อยู่ดีดีข้าก็เป็นเซียน
บทที่ 706ถึง 710


เริ่มจากสิ่งมีชีวิตไม่ทราบนามหกตนทะลวงมิติค่ายกลได้อย่างแข็งกร้าว เข้าไปถึงเขาเฟิ่งหวา จนเป็นที่ตะลึงของสิ่งมีชีวิตข้างนอก


ทว่าบัดนี้ สถานการณ์ของพวกหลี่จิ่วเต้ายิ่งชวนให้จับตามองเข้าไปใหญ่!


เด็ก ๆ เก้าคนที่ดูอายุไม่กี่ขวบปี แต่กลับดุดันแข็งแกร่งกว่าสิ่งมีชีวิตตนไหน ๆ ไม่ว่าอสูรตัวใดบุกเข้ามา ก็ถูกกำจัดไปในพริบตา!


เด็กเหล่านี้ทรงพลังกว่าพยัคฆ์ดำมากนัก ไม่ว่าคนไหนต่างบดขยี้พยัคฆ์ดำได้ ก็มิได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย!


พวกเขาไม่อาจเชื่อได้ลง จะให้เชื่อได้อย่างไร?


เด็กอายุไม่กี่ขวบปี ต่อให้เริ่มฝึกฝนตั้งแต่ในครรภ์มารดาก็ไม่มีทางถึงระดับนี้ได้!


ทว่าความจริงก็เป็นเช่นนั้น เด็กอายุไม่กี่ขวบปีดุดันเหลือคณา ซ้ำยังมิใช่แค่คนเดียว หากแต่ดุดันเหมือนกันหมดทั้งเก้าคน!


จนพวกเขาเริ่มมีความรู้สึกเพี้ยน ๆ ว่า การฝึกฝนนั้นง่ายดายเหมือนดื่มน้ำกินข้าว บำเพ็ญส่ง ๆ ก็บรรลุขอบเขตสูงส่งได้…


แต่พวกเขารู้ดีว่านี่เป็นเพียงความรู้สึกเพี้ยน ๆ ซ้ำยังเป็นความรู้สึกเพี้ยน ๆ ที่ร้ายแรงมากอีกด้วย


ฝึกฝนนั้นง่ายที่ไหน ยากเย็นจนน่าสิ้นหวัง การบรรลุนักบุญก็ถือเป็นความเพ้อฝันที่แทบไม่เห็นความหวังแล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงขอบเขตเหนือนักบุญขึ้นไป…


“คนผู้นั้นเป็นปุถุชนหรือ? เป็นไปไม่ได้กระมัง! ม้ามังกรที่เขาขี่น่ากลัวยิ่งนัก! เปลวเพลิงที่อ้าปากพ่นออกมาแผดเผาอสูรร้ายที่บุกเข้าไปได้!”


ใครคนหนึ่งหันมองหลี่จิ่วเต้า และเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ


คนกลุ่มนี้ล้วนเป็นปีศาจในหมู่ปีศาจ กระทั่งสัตว์ขี่ที่ใช้เป็นพาหนะยังเหลือเชื่อถึงเพียงนี้ กำลังรบไร้เทียมทาน ไม่รู้ว่าขอบเขตพลังที่มีสูงส่งขนาดไหน!


ไม่มีผู้ใดในกลุ่มพวกเขาสัมผัสคลื่นพลังจากตัวหลี่จิ่วเต้าได้ กระนั้น ก็ไม่มีผู้ใดในกลุ่มพวกเขามองว่าหลี่จิ่วเต้าเป็นเพียงปุถุชนผู้ไร้พลัง


ปุถุชนจะขี่ม้ามังกรอันน่าสะพรึงเช่นนี้ได้หรือ


เป็นไปได้อย่างไรกัน!


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า หลี่จิ่วเต้าต้องแข็งแกร่งอย่างยิ่งยวด ที่พวกเขาสัมผัสคลื่นพลังปราณจากตัวหลี่จิ่วเต้าไม่ได้สักเศษเสี้ยว นั่นเพราะขอบเขตพลังของพวกเขาต่ำต้อยเกินไป


“ข้านึกออกแล้ว พวกเขานี่เอง!”


“ข้าก็นึกออกแล้ว!”


“นั่นคือพุทธบุตรในยุคนี้ของพุทธศาสนา ส่วนเด็กคนอื่น ๆ และผู้ที่ขี่อยู่บนม้ามังกรเคยปรากฏตัวที่เขาหยงหมิง!”


คนจำนวนไม่น้อยจำภูมิหลังของต้าเต๋อ และกลุ่มเด็ก ๆ ของพวกอ้ายฉานได้ ทั้งยังนึกออกอีกด้วยว่าหลี่จิ่วเต้า เซี่ยเหยียน รวมถึงคนอื่น ๆ เป็นใคร


ครานั้นที่เขาหยงหมิง พวกหลี่จิ่วเต้าเป็นที่จับตาของทุกหมู่เหล่า นอกจากหลี่จิ่วเต้า คนอื่น ๆ ต่างเคยสำแดงฤทธิ์เดชอันน่ากลัว


“น่าสะพรึงเกินไปแล้ว! ครานั้น พวกเขาอำพรางพลัง หรือก้าวหน้าอย่างรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อในภายหลังกันแน่ ถึงได้มีพลังน่าครั่นคร้ามเฉกเช่นตอนนี้”


เทียบกับในอดีต พวกเซี่ยเหยียน อ้ายฉานในตอนนี้ทวีความน่ากลัวขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย สิ่งมีชีวิตข้างนอกต่างทึ่งจนไม่อาจทึ่งไปกว่านี้ได้อีก


พวกเขารู้สึกว่า ต่อให้เป็นยอดนิกาย ก็ไร้น้ำยาเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเซี่ยเหยียน ห่างชั้นกันไกลโข น่ากลัวว่าไม่ว่าคนใดในกลุ่มเซี่ยเหยียนต่างสามารถกำจัดยอดนิกายทั้งหมดได้ง่ายดาย!


ใช่แล้ว!


แม้แต่ยอดนิกายทั้งหมดนั่น ก็มิใช่ยอดนิกายที่สมานฉันท์เป็นหนึ่ง


พวกเขารู้สึกว่า ต่อให้ยอดนิกายทั้งหมดรวมตัวด้วยกัน ก็มิใช่คู่มือของใครก็ตามในกลุ่มของเซี่ยเหยียน ความห่างชั้นนั้นชัดเจนแจ่มแจ้ง!


ภายในมิติค่ายกล


เดิมทีหลี่จิ่วเต้ายังตั้งใจจะลงมือ แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว ไม่ต้องให้ถึงมือเขาเลย อ้ายฉาน ต้าเต๋อ และคนอื่น ๆ ก็จัดการอสูรร้ายที่บุกเข้ามาได้แล้ว แม้แต่เซี่ยเหยียนก็ยังไม่ค่อยได้ลงมือเท่าใดนัก


‘สิ่งใดหรือคืออัจฉริยะ เด็กเหล่านี้อย่างไรเล่า!’


หลี่จิ่วเต้าสะท้อนใจ


พรสวรรค์การฝึกฝนของพวกอ้ายฉาน และต้าเต๋อสูงส่งยิ่งนัก แม้ว่าอายุยังน้อย กระนั้นความสำเร็จในด้านฝึกตนกลับเหนือกว่าผู้ฝึกตนอาวุโสเหล่านั้นไปไกลแล้ว


นี่ถือเป็นสุดยอดอัจฉริยะ หรือก็คืออัจฉริยะสะท้านโลกันตร์ที่ผู้ฝึกตนมักติดปากอยู่เสมอกระมัง!


เสียงระเบิดดังไม่หยุดหย่อน เด็ก ๆ อย่างพวกอ้ายฉาน ต้าเต๋อต่อสู้อยู่แนวหน้าสุด ทะลวงเปิดทางอันโชกเลือดออกมา จนพวกเขาทะลุผ่านมิติค่ายกล เข้าไปยังเขาเฟิ่งหวาสำเร็จ


“นี่หรือคือผู้ที่นายท่านรออยู่”


อวิ๋นเยียนมองร่างของพวกหลี่จิ่วเต้าแล้วคิดเงียบ ๆ ในใจ


อีกด้าน พวกหลี่จิ่วเต้าเข้ามาถึงภายในเขาเฟิ่งหวา


‘จะใช่ซีหรือไม่’


หลี่จิ่วเต้ารู้สึกคาดหวังนิดหน่อย เขาหวังว่าจะได้พบซี


ที่นี่ยังเป็นเพียงตีนเขาของเขาเฟิ่งหวา เขากระโดดลงจากหลังกิเลนไฟ เดินเท้าขึ้นไปเหมือนพวกลั่วสุ่ย ขี่กิเลนไฟขึ้นเขาดูจะไร้มารยาทเกินไป


พวกเขาก้าวข้ามบันไดเขา จนสุดท้ายก็มาอยู่หน้าตำหนักอันอบอวลไปด้วยกลิ่นอายโบราณ ที่นี่เป็นลานกว้างขนาดใหญ่ สิ่งมีชีวิตทั้งหกที่ฝ่าผ่านมิติค่ายกลมาได้ก่อนก็อยู่ที่นี่ด้วย


หลังจากพวกหลี่จิ่วเต้ามาถึง สิ่งมีชีวิตทั้งหกก็พากันมองพวกเขา


นัยน์ตาพวกเขาต่างมีประกายประหลาดอันยากจะสังเกตเห็นวาววับ เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงว่าจะมีคนเข้ามาได้มากมายปานนี้


‘ขอบเขตอันใดกัน?’


พวกเขาต่างตะลึงงัน แข็งแกร่งระดับพวกเขา ยังสัมผัสไม่ได้ถึงขอบเขตพลังที่แท้จริงของพวกหลี่จิ่วเต้า!


กลุ่มของพวกหลี่จิ่วเต้า ไม่ว่าผู้ใดต่างก็มีพลังพิเศษบางอย่างห่อหุ้มตัวไว้ กีดขวางญาณสัมผัสของพวกเขา


ทว่าเมื่อลองคิดดูแล้ว พวกเขาก็สงบใจลงได้


ผู้ที่ผ่านด่านมิติค่ายกลนั้นมาได้ ไฉนเลยจะธรรมดา หากไม่มีพลังมากพอ ก็ไม่มีทางผ่านด่านมิติค่ายกลนั้นมาได้เลย


และพลังที่มากพอ จะต้องอยู่เหนือขอบเขตเซียนขึ้นไป


พวกเขาผ่านมิติค่ายกลนั้นมาด้วยตนเอง รู้ดีว่าการจะผ่านมิติค่ายกลนั้นต้องมีพลังระดับไหน มีเพียงกำลังรบเหนือเซียนขึ้นไปเท่านั้นถึงผ่านมาได้ หากอยู่ใต้เซียน เกรงว่าแม้แต่ครึ่งก้าวเทียนตี้ก็มิไหว!


ในมิติค่ายกลนั้นเต็มไปด้วยพลังค่ายกล ไม่มีจุดบอดสักที่ คิดจะผ่านด่านโดยอาศัยโชคนั้นเป็นไปไม่ได้เลย ไม่ว่าผ่านเส้นทางไหน ล้วนต้องพบเจอกับการถล่มจากพลังค่ายกล


นี่คือค่ายกลระดับเซียนอย่างแท้จริง สิ่งมีชีวิตใต้ระดับเซียนไม่มีทางผ่านไปได้


ใช่แล้ว


พลังของสิ่งมีชีวิตทั้งหกนี้อยู่เหนือระดับเซียน ซ้ำยังเหนือกว่าเซียนไปไกลด้วย เพราะอย่างนั้น ยามอยู่ในค่ายกลระดับเซียนนี้ถึงได้สบายไร้แรงกดดัน


แม้ว่าพวกอ้ายฉาน ต้าเต๋อยังไม่บรรลุเซียน ทว่าพลังในตัวพวกเขานั้นไม่ธรรมดา วิเศษกว่าพลังข้างนอกนั่นมาก ซ้ำวิชาอาคมที่พวกเขามีก็ล้วนแล้วไม่ธรรมดา เป็นถึงมหาวิชา


หากเทียบกันจริง ๆ พวกเขามิได้ด้อยไปกว่าเซียนเลย ซ้ำยังแข็งแกร่งกว่าเซียนหลายตนด้วย


สิ่งมีชีวิตทั้งหกตระหนักถึงข้อนี้ดี เพราะอย่างนั้น ถึงสงบใจลงได้อย่างรวดเร็ว


ในอาณาจักรแห่งนี้ ผู้ที่บรรลุเซียนได้ย่อมไม่ธรรมดา มีฝีมือขนาดที่กีดกันญาณสัมผัสผู้อื่นได้ก็นับว่าปกติ


อย่างเช่นพวกเขา พวกเขาต่างไม่ธรรมดา มาจากอาณาจักรอันน่าทึ่ง มีฝีมือพอจะกีดกันญาณสัมผัสผู้อื่นเช่นกัน ไม่มีทางเปิดเผยขอบเขตพลังที่แท้จริงของตัวเองให้ผู้อื่นรู้


อนิจจา นั่นเป็นเพียงการทึกทักเอาเองของพวกเขาเท่านั้น


พวกเขาคิดว่าพวกเขากีดกันญาณสัมผัสของผู้อื่นไปแล้ว แท้จริงแล้วหาใช่เช่นนั้นไม่ อย่างนั้นก็มิใช่สำหรับลั่วสุ่ย


ลั่วสุ่ยแข็งแกร่งเกินไป ซ้ำยังโดดเด่นด้านพลังวิญญาณ นางสัมผัสถึงขอบเขตของสิ่งมีชีวิตทั้งหกตนนี้ได้อย่างชัดเจนว่าอยู่ระดับไหน


ขอบเขตของสิ่งมีชีวิตทั้งหกไม่เท่ากัน กระนั้นต่างก็แข็งแกร่งสุดยอดกันถ้วนหน้า ผู้ที่ขอบเขตต่ำที่สุดยังอยู่ขั้นจ้าวแห่งเซียน ซ้ำยังมียอดเซียนตนหนึ่งอยู่ด้วย!


มาจากที่ใดกัน?


ภพเซียนหรือ?


ลั่วสุ่ยคิดในใจ นางไม่คิดว่าสิ่งมีชีวิตท้องถิ่นในอาณาจักรนี้จะบำเพ็ญถึงขอบเขตสูงส่งเช่นนี้ได้ สิ่งมีชีวิตทั้งหกนี้ต้องมาจากข้างนอกนั่นแน่นอน


สิ่งมีชีวิตทั้งหกมิได้สนทนากัน คล้ายว่ากำลังระแวงกันและกันมากกว่า ต่างคนต่างมีความคิดของตนเอง


แอ๊ด!


เวลานั้นเอง ประตูใหญ่ของโถงหลักค่อย ๆ เปิดออก สตรีงามพิลาสนางหนึ่งเดินออกมา


นางเป็นสตรีโฉมสะคราญ รูปร่างสูงเพรียว ดวงหน้าพิถีพิถันไร้ที่ติ นัยน์ตาคู่นั้นแวววาวนุ่มนวลชวนหลงใหล


บุคลิกโดดเด่น มีแสงเซียนวนเวียนบาง ๆ อยู่รอบตัว ท่าทางสูงส่งเป็นที่สุด ราวกับตัดขาดจากฆราวาสไปแล้ว


“สวัสดีสหายทั้งหลาย”


นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มเบาบาง สุ้มเสียงอ่อนหวานน่าฟัง ประดุจเสียงจากสวรรค์


สิ่งมีชีวิตทั้งหกมิเอ่ยวาจา ยังคงระแวงกันและกัน พวกเขาไม่อยากเผยตื้นลึกหนาบางของตัวเองออกไปก่อน


“เฮ้อ…”


หลังหลี่จิ่วเต้าได้เห็นนางเซียนงามพิลาสผู้นั้น ก็ถอนหายใจออกมาเสียงดัง


เขาคิดมากเกินไป นางเซียนงามพิลาสผู้นี้มิใช่ซี…


ก่อนหน้านี้ เขาคาดหวังสูงเกินไป คิดไปว่านางเซียนงามพิลาสแห่งเขาเฟิ่งหวาต้องใช่ซีแน่นอน ทว่าหาใช่เช่นนั้นไม่ นี่ทำให้เขารู้สึกผิดหวังขึ้นมาอย่างมาก


“เหตุใดสหายถึงถอนหายใจหรือ”


นางเซียนงามพิลาสหันมองหลี่จิ่วเต้า พลางเอ่ยถามเสียงเบา


ภายนอกนางดูเหมือนไม่มีอะไร ทว่าในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมานิดหน่อย


หลังได้พบนางก็ถอนหายใจ ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร


หรือว่านาง…ขี้เหร่หรือ?


“เปล่า”


หลี่จิ่วเต้าส่ายหัว “ข้าเพียงแต่นึกบางอย่างขึ้นได้ มิได้เกี่ยวอันใดกับนางเซียน”


เขาเอ่ยต่อ “พวกท่านสนทนากันไปเถิด ข้าเป็นเพียงปุถุชนผู้หนึ่ง มิสู้จะเข้าใจการฝึกตนของพวกท่านเท่าใด ขอไม่อยู่วุ่นวายที่นี้แล้วกัน”


จากนั้น เขากล่าวลานางเซียนงามพิลาสผู้นั้น “ข้าไปเดินเล่นรอบ ๆ นี้หน่อย”


ไม่ได้พบซี เขารู้สึกอารมณ์ไม่ดีจริง ๆ แม้จะเตรียมใจไว้แล้วว่าอาจไม่ได้พบซี กระนั้นก็ยังรู้สึกหมองหม่นอย่างอดมิได้


ปุถุชนรึ?


นางเซียนงามพิลาสหัวเราะในใจ ไยคนผู้นี้ต้องเสแสร้งให้นางดูด้วย


ทว่านางมิได้ใส่ใจ บอกไปคำหนึ่ง “ตามสบาย”


หลี่จิ่วเต้าพยักหน้า ไปจากที่นี่ตามลำพัง วนเล่นอยู่ในเขาเฟิ่งหวา


“ซี…เมื่อใดจะได้พบเจ้า!”


เขาทอดถอนใจหนักหน่วง ความคิดคะนึงถึงซีโถมทับจิตใจอย่างห้ามไม่อยู่อีกครั้ง ในใจของเขา ซีสำคัญอย่างยิ่งยวด


คุณชายไปง่าย ๆ เช่นนี้เลยหรือ


พวกลั่วสุ่ยต่างงุนงงกันหมด กระนั้นพวกเขาก็อยู่ต่อ แม้ไม่รู้ว่าต้องสนทนาเรื่องใดกับนางเซียนงามพิลาสผู้นี้ก็ตาม


แต่คุณชายกล่าวไว้แล้ว ให้พวกเขาอยู่สนทนากับนางเซียนงามพิลาสผู้นี้ คิดแล้วคงมีความหมายลึกซึ้งใดแฝงอยู่


“สหายหรือ”


ลั่วสุ่ยยิ้มเย็นในใจ จุดประสงค์ของนางเซียนงามพิลาสผู้นี้ต้องไม่ธรรมดาแน่!


เทศนาหลักเต๋าอะไรกัน น่ากลัวว่าความจริงคงมิใช่เช่นนี้


หากคิดจะเทศนาหลักเต๋ากันจริง ๆ ไยต้องเรียกว่าสหาย สรรพนามสหายใช้เรียกผู้ที่มีฐานะเท่าเทียมกันมิใช่หรือ…


ลำพังสรรพนามนี้ก็สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาแล้ว!


มิหนำซ้ำ มิติค่ายกลที่นางเซียนงามพิลาสผู้นี้ตั้งขึ้นยังสยดสยองปานนั้น หากมิใช่เซียนย่อมไม่มีทางผ่านได้ นั่นยิ่งบ่งบอกถึงปัญหา!


เห็นได้ชัดว่า นางเซียนงามพิลาสผู้นี้มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง มิได้คิดเทศนาหลักเต๋าจริง ๆ…


มิฉะนั้น เหตุใดเกณฑ์การเข้าถึงที่นนี่จึงกำหนดไว้สูงเช่นนี้?!


มิใช่เซียนผ่านไม่ได้!


เป็นไปไม่ได้เลย!


“ทุกท่านไม่จำเป็นต้องระแวงมากถึงเพียงนั้น...”


นางเซียนงามพิลาสแย้มยิ้มบางเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ก่อนเอ่ยออกมาอย่างนิ่งสงบ “ในเมื่อทุกท่านมาแล้วก็สงบลงเถิด ไม่จำเป็นต้องทำท่าทางเช่นนี้ ผ่อนคลายลงเสียหน่อย”


“ตกลง! เช่นนั้นพวกเรามาเข้าเรื่องกันเลยเถิด ไม่ต้องพูดอ้อมค้อมไปมาแต่อย่างใด”


สิ่งมีชีวิตตนหนึ่งมองไปทางนางเซียนงามพิลาสแล้วเอ่ยออกมา “เจ้าเองก็ตกลงมาจากรอยแยกของแดนบรรพโกลาหลใช่หรือไม่?”


แดนบรรพโกลาหล!


หลังจากที่พวกลั่วสุ่ยได้ยินแล้ว พวกนางก็ตระหนักได้ในทันทีว่า สิ่งมีชีวิตทั้งหกที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่งนี้ ที่แท้ก็มาจากแดนบรรพโกลาหล!


“อันใดนะ? พวกนี้มาจากแดนบรรพโกลาหล!?”


ในบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหก มีผู้หนึ่งร้องออกมาภายในใจด้วยความตกตะลึงพรั่นพรึง


เขาไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ออกมาจากแดนบรรพโกลาหลแต่อย่างใด เขานั้นมาจากภพเซียนเพื่อตามหาตัวซี


เมื่อได้ยินข่าวว่า มีเซียนผู้หนึ่งปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหัน เขาจึงต้องการมาดูสถาณการณ์ เผื่อว่าเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับซี


ทว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่กลับเกินความคาดหมายของเขาไปไกลลิบ เพียงแค่เริ่มบทสนทนาก็เอ่ยถึงเรื่องแดนบรรพโกลาหล สิ่งนี้ทำให้ภายในใจของเขาร่ำร้องออกมาว่าไม่ดีแล้ว


‘ข้าต้องออกไปจากที่นี่!’


เขาร่ำไห้ออกมาในใจ


แม้ว่าเขาจะใฝ่หาแดนบรรพโกลาหล ต้องการเข้าไปในสถานที่แห่งนั้นเป็นอย่างมาก แต่เมื่อมองดูสถานการณ์เบื้องหน้าแล้ว การรั้งอยู่ต่อนั้นหาใช่เรื่องดีแต่อย่างใด!


การสนทนาระหว่างสิ่งมีชีวิตเหล่านี้น่ากลัวเกินไป มีโอกาสอย่างมากที่จะเกี่ยวพันถึงความลับอันยิ่งใหญ่บางอย่าง เขาไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อ เนื่องจากง่ายมากที่จะเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับเขา


แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่คิด ไม่มีความกล้าที่จะเอ่ยขอตัวจากไป


สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ตอนนี้ล้วนน่าจะเข้าใจว่าเขาเองก็มาจากแดนบรรพโกลาหล หากเปิดเผยตัวออกมา เกรงว่าเขาจะต้องประสบกับความเลวร้าย


ได้แต่ยืดหยัดเผชิญหน้า!


เขาไม่มีทางเลือกอื่น ทำได้เพียงกัดฟันอดทนอยู่ที่นี่ต่อ นับเป็นหนทางที่ดีกว่าหนทางอื่นเล็กน้อย


“ไม่ใช่” นางเซียนงามพิลาสตอบกลับมาด้วยเสียงนุ่มนวล


“ทว่าข้าก็มีความใฝ่หาแดนบรรพโกลาหลเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังต้องการเข้าไปสู่แดนบรรพโกลาหล!” นางเอ่ยต่อ


“ในเมื่อไม่ได้มาจากแดนบรรพโกลาหล เช่นนั้นก็ไม่มีสิ่งใดต้องพูดกันแล้ว”


สิ่งมีชีวิตตนนั้นไม่ได้ให้ความสนใจกับนางเซียนงามพิลาสอีกต่อไป


เขามองไปทางสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ “แล้วพวกเจ้าเล่า?”


“ข้ามาจากแดนบรรพโกลาหล!”


“ข้าเองก็ด้วย”


สิ่งมีชีวิตตนอื่นเองก็ตอบออกมาอย่างไม่ปิดบัง พวกเขามาที่นี่ก็เพราะต้องการประจบสิ่งมีชีวิตอื่นที่มาจากแดนบรรพโกลาหลเหมือนกัน


พวกเขาต่างก็ตกลงมาจากแดนบรรพโกลาหล และก็ได้อยู่ในอาณาจักรแห่งนี้มาเป็นระยะเวลาหนึ่งจนได้ทราบว่า อาณาจักรแห่งนี้ไม่มีเซียนปรากฏให้เห็นมานานมากแล้ว กลายเป็นเพียงแค่ตำนานเล่าขานเท่านั้น


ดังนั้น เมื่อพวกเขาได้ยินข่าวคราวน่าสงสัยเรื่องที่มีเซียนปรากฏตัวขึ้นมา ทำให้ต่างก็นึกถึงแดนบรรพโกลาหลขึ้นมาทันใด สงสัยว่าเซียนงามพิลาสผู้นี้เองก็ตกลงมาจากแดนบรรพโกลาหลด้วย


พวกเขาไม่อยากอยู่ที่นี่ ต้องการกลับไปยังแดนบรรพโกลาหล ทว่ารอยแยกที่ส่งพวกเขามากลับหายไปแล้ว พวกเขาต่างรู้ดีว่ายากยิ่งที่จะสามารถกลับไปได้ด้วยตนเองเพียงลำพัง ดังนั้นจึงมาเพื่อตามหาสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่ตกลงมาจากแดนบรรพโกลาหลเช่นเดียวกัน แล้วจะได้ร่วมปรึกษาหาวิธีกลับไปยังแดนบรรพโกลาหล


เมื่อเร็ว ๆ นี้มีรอยแยกจำนวนมากปรากฏขึ้นในแดนบรรพโกลาหล พวกเขาทั้งหมดต่างกระจ่างแจ้งดีว่า ไม่ได้มีเพียงแค่พวกเขาคนเดียวเท่านั้นที่ตกลงมา จะต้องมีสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ตกลงมาด้วย


สิ่งมีชีวิตที่มาจากภพเซียนผู้นั้นเองก็ตีเนียนตอบรับว่าตนเองก็มาจากแดนบรรพโกลาหลด้วย


แดนบรรพโกลาหลนั้นไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง เป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง ผู้ที่มาจากภายในสถานที่แห่งนั้นย่อมน่ากลัวจนไม่อาจหยั่งถึงได้ เขารู้สึกว่าการอ้างตนมาจากแดนบรรพโกลาหลจะเป็นที่พึ่งให้ได้มากกว่า


พวกลั่วสุ่ยไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เพียงแค่เฝ้ามองสถานการณ์ด้วยความเงียบงัน


“ทุกคนมาจากแดนบรรพโกลาหลก็นับว่าง่ายต่อการพูดคุยแล้ว”


สิ่งมีชีวิตตนหนึ่งเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นพวกเรามาแนะนำตัวก่อนเถิด ข้ามาจากแดนก่วงหลิง”


“ข้ามาจากตงชิว!”


“ข้ามาจากอี๋หยวน!”


สิ่งมีชีวิตตนอื่น ๆ พากันกล่าวออกมา


ไม่ได้การแล้ว!


ข้าจะแนะนำตัวเช่นไรดี?


สิ่งมีชีวิตจากภพเซียนบื้อใบ้ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าแดนบรรพโกลาหลมีสถานที่ใดอยู่บ้าง สิ่งนี้ทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก


“ข้ามาจาก...หุบเขาชาง”


เขากัดฟันเอ่ยออกมา ตัดสินใจเดิมพันดู


“หุบเขาชาง? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”


“ข้าเองก็ไม่เคยได้ยิน...”


สิ่งมีชีวิตอีกห้าตนขมวดคิ้วเล็กน้อย พวกเขาต่างก็ไม่เคยได้ยินชื่อหุบเขาชางมาก่อน


“เป็นเพียงสถานที่เล็ก ๆ หากทุกท่านไม่เคยได้ยินก็เป็นเรื่องปกติ”


คนจากภพเซียนยังคงกัดฟันเอ่ยออกมา


“คงเป็นเช่นนั้น แดนบรรพโกลาหลนั้นกว้างใหญ่เกินไป ไม่เคยได้ยินชื่อสถานที่เล็ก ๆ แห่งหนึ่งย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก”


“ใช่แล้ว สถานที่จำนวนมากไม่มีกระทั่งชื่อเสียด้วยซ้ำ”


สิ่งมีชีวิตอีกห้าตนไม่ได้ติดใจสงสัยแต่อย่างใด แดนบรรพโกลาหลนั้นกว้างใหญ่ไพศาล พวกเขาเองก็ไม่ใช่ยอดฝีมือหรือมีบทบาทสำคัญในแดนบรรพโกลาหล ย่อมมีสถานที่มากมายที่ไม่รู้จัก


นี่เขาสามารถปลอมปนไปได้สำเร็จอย่างนั้นหรือ?


ยอดเยี่ยมเลย!


สิ่งมีชีวิตจากภพเซียนอดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้ ทั้งยังชื่นชมตนเองภายในใจว่าเฉลียวฉลาดใจกล้ายิ่ง!


“พวกเจ้าเล่า? ไม่ได้มาจากแดนบรรพโกลาหลอย่างนั้นหรือ?”


สิ่งมีชีวิตตนหนึ่งหันมาถามพวกลั่วสุ่ย


“ไม่ใช่”


“พวกเราใช้ชีวิตอยู่ในอาณาจักรแห่งนี้มาโดยตลอด”


ลั่วสุ่ยและคนอื่น ๆ ต่างส่ายหัวตอบกลับมา


“พวกเจ้าล้วนอาศัยอยู่ในอาณาจักรแห่งนี้มาโดยตลอด?”


สิ่งมีชีวิตทั้งหกตกตะลึง ไม่คาดคิดเรื่องนี้แม้สักนิด


สภาพแวดล้อมของอาณาจักรแห่งนี้เลวร้ายเป็นอย่างมาก แทบไม่มีสสารระดับสูงอยู่เลย เช่นนั้นแล้ว พวกลั่วสุ่ยสามารถบรรลุกลายเป็นเซียนได้อย่างไร?


ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้ซักไซ้แต่อย่างใด พวกลั่วสุ่ยอาจบังเอิญประสบกับโชควาสนาสักอย่าง แต่ในเมื่อไม่ได้มาจากแดนบรรพโกลาหลก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขาแต่อย่างใด


เซียนงามพิลาสเองก็คาดไม่ถึงเช่นเดียวกัน แต่นางก็ไม่ได้แปลกใจอันใดมากนัก


เมื่อครั้งอดีต อาณาจักรแห่งนี้รุ่งโรจน์เจิดจรัสเป็นอย่างยิ่ง บางทีพวกลั่วสุ่ยอาจได้รับบางสิ่งบางอย่างที่หลงเหลืออยู่


หากได้รับสิ่งที่หลงเหลือจากอดีตจริง การกลายเป็นเซียนก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด


“ทุกท่าน พวกเราเปลี่ยนที่สนทนากันเถิด”


มีสิ่งมีชีวิตตนหนึ่งเอ่ยออกมา


“ตกลง!”


“ไปกันเถิด!”


สิ่งมีชีวิตอื่นตอบกลับ พวกเขาเข้าใจกันโดยไม่ต้องบอกกล่าว ต่างก็รู้ว่าอีกฝ่ายคิดสิ่งใดอยู่ ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องการกลับไปยังแดนบรรพโกลาหล


อย่างไรเสียสภาพแวดล้อมที่นี่ก็เลวร้ายเกินไป ไม่อาจเทียบได้กับแดนบรรพโกลาหลแม้แต่น้อย พวกเขาต่างก็รู้สึกไม่สบายใจไม่สบายกายเป็นอย่างมาก


“ช้าก่อน!”


เซียนงามพิลาสเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม “ทุกท่านอย่าเพิ่งรีบร้อนจากไป ไม่ง่ายเลยที่พวกเราทั้งหมดจะได้มาพบพาน เช่นนั้นแล้วเหตุใดพวกเราไม่มาสนทนากันดี ๆ เล่า?”


เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้มีเจตนาดีแต่อย่างใด!


สิ่งมีชีวิตจากภพเซียนเอ่ยขึ้นมาอย่างเหยียดหยัน หลังจากเขามาถึงที่นี่ก็รู้สึกได้ว่าเซียนงามพิลาสผู้นี้มีปัญหาบางอย่าง เกรงว่าเรื่องราวต่าง ๆ จะไม่ได้เรียบง่ายแต่อย่างใด


ตอนนี้การคาดการณ์ของเขาได้รับการยืนยันแล้วว่าถูกต้อง เซียนงามพิลาสผู้นี้วางแผนเอาไว้จริง ๆ จึงต้องการบังคับให้พวกเขาอยู่ต่อ


‘ยังดีที่ข้าฉลาด จึงเลือกอยู่ข้างฝั่งคนจากแดนบรรพโกลาหล ไม่เช่นนั้นคงต้องตกอยู่ในสภาพน่าเวทนาเป็นแน่!’


เขาเอ่ยอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ ทั้งยังเอ่ยชมตนเองว่าฉลาดยิ่งนัก


จะไม่ใช่อย่างนั้นได้อย่างไร?


สิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหลนั้นจะธรรมดาสามัญได้อย่างไร ล้วนแต่ถูกกำหนดไว้ว่าต้องแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก!


เซียนงามพิลาสต้องการรั้งสิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหลเหล่านี้เอาไว้ ย่อมไม่มีทางทำได้ เมื่อถึงตอนนั้นเขาย่อมสามารถจากที่นี่ไปได้อย่างปลอดภัยพร้อมกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ จากแดนบรรพโกลาหล


หากเขาไม่ได้รับการยอมรับจากสิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหล เขาจะต้องประสบเคราะห์หนักอย่างแน่นอน เมื่อสิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหลสามารถบุกทะลวงออกจากสถานที่แห่งนี้ไป เขาก็มีโอกาสอย่างมากที่จะถูกทิ้งเอาไว้กับเซียนงามพิลาส


มองแวบแรกก็เห็นได้ว่าเซียนงามพิลาสเป็นคนโหดเหี้ยม หากเขาถูกทิ้งเอาไว้ ชะตากรรมของเขาจะต้องไม่ดีอย่างแน่นอน


“เจ้าต้องการจะทำสิ่งใด!?”


เขามองไปยังเซียนงามพิลาส ก่อนเอ่ยออกมาด้วยเสียงดุร้ายเย็นชา “เจ้ากล้าคิดที่จะต่อสู้กับพวกเราทั้งหมดอย่างนั้นหรือ?”


ตอนนี้เขาได้รับการยอมรับจากสิ่งมีชีวิตแดนบรรพโกลาหลแล้ว ทำให้เขาเกิดความมั่นใจเต็มเปี่ยม ภายในใจไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย


“เพียงแค่พูดคุยสนทนา ทุกท่านอย่าได้คิดมากไปเลย”


เซียนงามพิลาสแย้มยิ้มอ่อน


หลังจากนั้นนางก็มองไปทางพวกลั่วสุ่ย “พวกเจ้าไม่ได้มาจากแดนบรรพโกลาหล ดังนั้นสามารถเลือกไปจากที่นี่ได้ ข้าเพียงแค่ต้องการสนทนากับเหล่าสหายที่มาจากแดนบรรพโกลาหล”


นางไม่รู้เรื่องรายละเอียดอันใดเกี่ยวกับพวกลั่วสุ่ย ทว่านางก็ไม่ได้มีความกังวล นางมั่นใจในความแข็งแกร่งขอตนเอง อีกทั้งทุกอย่างก็ล้วนถูกนางเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อนแล้ว


ทว่านางก็ยังคงมีความรอบคอบ แยกคนออกมาจัดการ


ใช่แล้ว นางไม่มีความคิดจะปล่อยพวกลั่วสุ่ยไป สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่มาที่นี่ นางย่อมไม่คิดปล่อยไป แม้จะเป็นสิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหลหรือไม่ก็ตาม!


เขาเฟิ่งหวาทั้งภายนอกภายในล้วนถูกจัดเตรียมค่ายกลเอาไว้แล้ว เมื่อพวกลั่วสุ่ยออกไปจากเขาเฟิ่งหวาก็จะตกลงสู่ค่ายกลที่วางเอาไว้ด้านนอกเขาเฟิ่งหวา


ใช่แล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นแผนการที่นางจัดเตรียมไว้!


นางจงใจเผยร่องรอยของเซียนออกมา ทั้งยังสำแดงพลังอันยิ่งใหญ่ จุดประสงค์ก็เพื่อ ‘หย่อนเบ็ดล่อปลา’ กับสิ่งมีชีวิตที่ขอบเขตสูงกว่าเซียนขึ้นไป


ขอบเขตการฝึกฝนของนางล้ำลึกจนไม่อาจหยั่งถึง นางสามารถสัมผัสได้ว่ามีพลังที่สูงกว่าเซียนจำนวนมากในอาณาจักรแห่งนี้ ทำให้เกิดความคิดต้องการอยาก ‘หย่อนเบ็ดล่อปลา’ โดยมีสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือเซียนขึ้นไปเป็นเหยื่อ


และแผนการของนางก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง นางสามารถจับ ‘ปลา’ มาไว้เบื้องหน้าได้ หลังจากนางลงมือสังหารแล้ว ก็จะสามารถกลั่นพวกเขาเพื่อฝึกฝนได้


สตรีผู้นี้น่ากลัวเป็นอย่างมากจริง ๆ กระทั่งเหล่าสิ่งมีชีวิตที่ร่วงหล่นลงมาจากแดนบรรพโกลาหลก็ยังสามารถสัมผัสถึงได้ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจแม้แต่น้อยที่สิ่งมีชิวตจากแดนบรรพโกลาหลปรากฏตัวออกมา


‘ความอยากรู้อยากเห็นฆ่าแมวตาย!’


นางหัวเราะออกมาภายในใจ


สภาพแวดล้อมโลกใบนี้เลวร้ายเป็นอย่างยิ่ง เมื่อมีเซียนปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน จะต้องสามารถดึงดูดความสนใจของคนเหล่านี้อย่างแน่นอน ครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ระดับสูงกว่าเซียนที่ถูกดึงดูด กระทั่งสิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหลเองก็มาด้วย!


นางต้องการจะสนทนากับสิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหลเหล่านี้ นางต้องการจะ...เข้าไปยังแดนบรรพโกลาหล!


อันใดกัน?!


ไม่ใช่แล้ว!


หลังจากได้ยินคำพูดของเซียนงามพิลาส สิ่งมีชีวิตจากภพเซียนก็แทบจะกระโดดออกมาจากจุดนั้น


เพราะเป็นสิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหลจึงไม่สามารถจากไปได้ตามใจชอบหรือ?


ตอนนี้เขาอยากจะร้องไห้ออกมาจริง ๆ!


สิ่งเดียวที่เขาคิดในตอนนี้คือต้องการออกไปจากสถานที่แห่งนี้ ส่วนเรื่องอื่นนั้น เขาล้วนไม่คิด!


การที่เขาตัดสินใจเลือกข้างสิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหลก็เพราะต้องการจะจากไป


ทว่าเขาไม่คาดคิดเลยแม้แต่น้อยว่า เซียนงามพิลาสจะมุ่งเป้าไปที่สิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหล ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตจากที่อื่น!


เขาพลันรู้สึกคับข้องใจขึ้นมาทันใด ลำไส้แทบเปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความเสียใจ หากรู้เร็วกว่านี้ เขาคงไม่เลือกอยู่ข้างสิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหล


‘ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร แม่นางพวกนี้จะสามารถสยบสิ่งมีชีวิตจากแดนโกลาหลได้หรือ? ไม่มีทาง! เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้!’


เขาเอ่ยปลอบใจตนเองว่าไม่จำเป็นต้องเศร้าเสียใจ


การที่เขาเลือกอยู่ข้างสิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหล เขาเองก็สามารถจากไปได้อย่างปลอดภัย!


อย่างไรเสียพลังโกลาหลก็อยู่เหนือชั้น เป็นจุดกำเนิดของทุกสิ่ง เหล่าสิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหลล้วนมีพลังโกลาหลย่อมไร้เทียมทานไม่อาจจินตนาการถึง!


แผนการของเซียนงามพิลาสที่จะรั้งสิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหลเอาไว้จะต้องล้มเหลว!


“พวกข้าจะอยู่ที่นี่”


ลั่วสุ่ยยิ้มบางด้วยความสงบนิ่ง ไม่ได้ต้องการจะไปจากที่นี่


เซียนงามพิลาสรู้สึกแปลกประหลาดใจ หรือว่าลั่วสุ่ยจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง?


นางไม่เอ่ยสิ่งใดมากไปกว่านี้ เพียงหันไปมองสิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหลแล้วเอ่ยออกมา “ทุกท่านไปคุยกันที่อื่นดีหรือไม่? ข้าคิดว่าพวกท่านเองคงไม่ต้องการให้คนจำนวนมากเกินไปรู้เกี่ยวกับเรื่องแดนบรรพโกลาหล”


ทว่าจนกว่าจะถึงหนทางสุดท้าย นางก็ยังไม่อยากรับมือกับคนทั้งสองกลุ่มพร้อมกัน พวกลั่วสุ่ยให้ความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างกับนาง เกรงว่าเรื่องราวทั้งหมดจะไม่เรียบง่ายปานนั้น


“มีอันใดต้องสนทนา! เจ้าไม่ได้มาจากแดนบรรพโกลาหล พวกข้าย่อมไม่มีสิ่งใดจะต้องพูดคุยกับเจ้า!”


สิ่งมีชีวิตจากภพเซียนรีบพูดขึ้นมาเสียงดัง เขากำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ตนเองดูเหมือนสิ่งมีชีวิตที่มาจากแดนบรรพโกลาหล


“ใช่แล้ว!”


“พูดได้ดี!”


สิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหลชื่นชมสิ่งมีชีวิตจากภพเซียนเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่เอ่ยออกมาล้วนตรงกับสิ่งที่พวกเขาต้องการจะพูด


เซียนงามพิลาสจับจ้องไปทางสิ่งมีชีวิตจากภพเซียนด้วยดวงตาเปล่งประกายดุดัน คนผู้นี้ยังจะแสร้งหาความชอบอีกหรือ? นางรู้ว่าคนผู้นี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับแดนบรรพโกลาหลแต่อย่างใด


สิ่งมีชีวิตจากภพเซียนที่ถูกจับจ้องรู้สึกขนลุกขึ้นมา ทว่าเขาก็สงบลงอย่างรวดเร็ว


ตอนนี้เขาอยู่ข้างคนที่มาจากแดนบรรพโกลาหล เขายังต้องกลัวสิ่งใดอีก? ไม่มีสิ่งใดจำเป็นต้องกลัว!


“มองสิ่งใดอยู่! สิ่งมีชีวิตต่ำต้อยอย่างเจ้ายังกล้าบังอาจมาใฝ่หาแดนบรรพโกลาหลอย่างนั้นหรือ? น่าขันนัก เจ้าสำคัญตัวเองถึงเพียงใดกัน?”


สิ่งมีชีวิตจากภพเซียนตวาดออกมา สำแดงบารมีของสิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหลให้เห็นชัด!


“ใช่แล้ว!”


“น้องชาย เจ้าพูดได้ดีมาก!”


สิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหลชื่นชมสิ่งมีชีวิตจากภพเซียนมากขึ้น


“ภายใต้ความโกลาหล เจ้าก็เป็นได้เพียงมดที่ไม่อาจแยกแยะดีชั่วได้ ดังนั้นจึงสมควรโดนด่าว่าเช่นนี้แล้ว!”


สิ่งมีชีวิตจากภพเซียนได้ใจมากยิ่งขึ้น เขาชี้นิ้วไปทางเซียนงามพิลาสแล้วเอ่ยต่อ “สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำเช่นเจ้า ข้าที่มาจากแดนบรรพโกลาหลสามารถสังหารทิ้งได้เพียงแค่ชี้นิ้ว!”


เส้นเลือดบนศีรษะของเซียนงามพิลาสเต้นตุบ ๆ ไอ้สารเลวนี่ยิ่งกำเริบเสินสานมากขึ้นเรื่อย ๆ!


กล้าดีอย่างไรจึงพูดกับนางเช่นนี้?!


“ดีมาก ถ้าเช่นนั้นก็ให้ข้าได้สัมผัสเสียว่าเจ้าแข็งแกร่งถึงเพียงใด!”


นางก้าวออกไปด้านหน้าแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชา


“น้องชาย ไปเลย! ให้นางได้รู้ว่าแดนบรรพโกลาหลของพวกเราทรงพลังเพียงใด!”


“พลังโกลาหลคือต้นกำเนิดสรรพสิ่ง คนตัวจ้อยอย่างนางจะสามารถเทียบได้อย่างไร? จัดการนางเสีย ทำให้นางสำนึกเข้าใจในฐานะตนเองเสีย!”


เหล่าสิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหลพากันพูดขึ้น


เอ๊ะ?


ไม่ได้การแล้ว!


สิ่งมีชีวิตจากภพเซียนแทบจะร่ำไห้ออกมาแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะแสดงมากเกินไป!


เขาจะสู้ได้อย่างไร!


เซียนงามพิลาสกล้าที่จะลงมือกับสิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหลเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่าย่อมมีความสามารถ เขาไม่อาจจะเทียบชั้นได้


ยิ่งไปกว่านั้น เขาเองก็ไม่ได้มีพลังโกลาหล เมื่อลงมือแล้วความลับของเขาจะต้องถูกเปิดเผยอย่างแน่นอน


เขาต้องการจะหลีกเลี่ยงการต่อสู้ แต่เซียนงามพิลาสไม่เปิดโอกาสให้เขาแต่อย่างใด ยกฝ่ามือขึ้นตบใส่อากาศพุ่งมาทางเขาทันที แสงเซียนจำนวนนับไม่ถ้วนปะทุออกมาเข้าประชิดในพริบตา!


มันเร็วเกินไปจนเขาไม่มีเวลาจะหลบ ทำได้เพียงแค่ตั้งรับตอบโต้


เขาระเบิดพลังทั้งหมดออกมาอย่างไม่มีเก็บออม ฝ่ามือถูกยกขึ้นเพื่อสกัดกั้นการโจมตี ทว่าภายใต้ฝ่ามือของเซียนงามพิลาสนั้น เขาไม่อาจต่อกรได้แม้แต่น้อย!


มีเสียงดังขึ้น ทั้งร่างของเขาระเบิดออกทันทีกลายเป็นเพียงกลุ่มหมอกละอองเลือด!


สีหน้าของสิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหลทั้งห้าแปรเปลี่ยน ไม่คาดคิดว่าเซียนงามพิลาสจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ขณะเดียวกันพวกเขาก็ประหลาดใจ พลังที่น้องชายของพวกเขาระเบิดออกมานั้นไม่ใช่พลังโกลาหลแต่อย่างใด!


พวกเขาถูกหลอกอย่างนั้นหรือ?


แต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่พวกเขาจะมาจัดการคนหลอกหลวง เซียนงามพิลาสที่อยู่เบื้องหน้าคือศัตรูตัวฉกาจ ทำเป็นต้องจัดการเสียก่อน!


พวกเขาลงมือในทันที โจมตีเซียนงามวิลาสจากทิศต่าง ๆ พลังโกลาหลถูกสำแดง กฎโกลาหลขยับเคลื่อน เผยให้เห็นถึงความสามารถเหนือชั้นไม่ธรรมดา!


โกลาหลวิวัฒน์สรรพสิ่ง เป็นรากเหง้าจุดกำเนิด พลังเหนือเกินกว่าจะจินตนาการได้ เมื่อสิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหลทั้งห้าลงมือพร้อมกัน ฟ้าดินก็ถึงกลับแปรเปลี่ยนสี น่าตื่นตะลึงอย่างถึงที่สุด!


ใบหน้าของเซียนงามพิลาสสงบนิ่ง นางก้าวออกไปพร้อมแสงเซียนที่เปล่งประกายระยับ สิ่งนี้ยิ่งทำให้นางดูเหนือสามัญขึ้นไปอีก ความแข็งแกร่งนั้นมากอย่างถึงที่สุด!


น่ากลัวเกินไปแล้ว แม้ว่าพลังของนางจะไม่อาจเทียบได้กับพลังโกลาหล แต่ด้วยอาณาจักรที่สูงกว่าและพลังอันมหาศาลก็สามารถชดเชยจุดนั้นได้!


เสียงตู้มดังขึ้น ฝ่ามือของนางเข้าปะทะกับเหล่าสิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหล เหล่าสิ่งมีชีวิตโกลาหลต่างถูกโจมตีจนกระเด็นออกไป แขนของพวกเขาหรือกระทั่งร่างครึ่งหนึ่งระเบิดออกทันที เลือดและเนื้อกระจายไปทั่ว!


กระบี่ปรากฏขึ้นในมือ ก่อนที่นางจะวาดแสงกระบี่ออกมากลางอากาศ ทำให้หัวของสิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหลถูกตัดขาดจนกลิ้งกระเด็นไปบนพื้น


นอกจากนี้ เพียงแค่นางเปล่งแสงออกมาเบา ๆ ก็ประหนึ่งอสนีบาตรคำราม พลังอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ขยายออกทำให้สิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหลอีกตนถูกจัดการลงภายในพริบตา กระทั่งวิญญาณยังบาดเจ็บสาหัส


“น่ากลัวเกินไปแล้ว!!!”


ในตอนนั้นเอง สิ่งมีชีวิตจากภพเซียนที่เพิ่งสร้างร่างกายกลับขึ้นมาได้เห็นฉากนี้ เขาก็พลันสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว คล้ายใกล้จะพังทลายลง!


“ข้าพูดแล้ว...ข้าโกหก ข้าไม่ได้มาจากแดนบรรพโกลาหล เจ้าเชื่อหรือไม่?”


เขาเอ่ยกับเซียนงามพิลาสด้วยเนื้อตัวสั่นเทา ภายในใจรู้สึกสลับซับซ้อนไม่อาจทานทน ต้องการจะตบปากตนเองให้ตายไปเสีย หากตอนแรกสุดเขาไม่ได้หยิ่งผยอง แสร้งทำตัวว่ามาจากแดนบรรพโกลาหล เขาจะลงเอ่ยเช่นนี้ได้อย่างไร?


เกรงว่าตอนนี้เขาคงสามารถจากไปได้อย่างปลอดภัยนานแล้ว!


อย่างไรเสียเซียนงามพิลาสก็เพิ่งกล่าวไปว่า นางสนใจเพียงจะสนทนากับสิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหล


ฟิ้ว!


ทว่าคำตอบของเซียนงามพิลาสเป็นลำแสงสายหนึ่งที่พุ่งมาทางเขา ทำให้ร่างกายของเขาระเบิดกลายเป็นหมอกเลือดอีกครั้ง!


แต่เซียนงามพิลาสยังคงไม่ได้สังหารเขา เขายังคงมีชีวิตอยู่


เซียนงามพิลาสชี้นิ้วออกมาอีกครั้ง เกิดพลังที่มองไม่เห็นกักขังเหล่าสิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหลเอาไว้


“รอถูกข้านำไปกลั่นฝึนฝนจนหมดสิ้นเสีย!”


สีหน้าของนางไม่แยแส แม้จะมีรูปลักษณ์เย้ายวนดึงดูดอย่างไร แต่ดวงตาที่ฉายแววเย็นเยียบก็ทำให้สัญชาตญาณของผู้คนร้องเตือนถึงความตาย


เสียงตู้มดังขึ้น นางลงมืออีกครั้ง พลังอันน่าสะพรึงกลัวกระตุ้นกฎเกณฑ์ให้ปรากฏขึ้นทีละอย่างทีละอย่าง ห่อหุ้มร่างของพวกลั่วสุ่ยเอาไว้ภายใน


“ท่านเซียนทำเช่นนี้หมายความอย่างไร”


ลั่วสุ่ยเอ่ยออกมา เซียนงามพิลาสสนใจเฉพาะสิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหลไม่ใช่หรือ? เหตุใดตอนนี้จึงลงมือกับพวกนางเสียแล้ว


“ไม่มีความหมายอันใด!”


เซียนงามพิลาสเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าไม่แยแส “เข้ามาในเขาเฟิ่งหวาแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดจากไปได้อย่างมีชีวิต ทุกคนจะต้องกลายมาเป็น ‘ยา’ เสริมความแข็งแกร่งให้กับข้า!”


ตัวตนของนางนั้นไม่ธรรมดา แต่นางไม่ได้ฟื้นตัวกลับมาเต็มที่ ถ้าหากไม่ได้เป็นเช่นนี้ นางคงไม่จำเป็นต้องทำเรื่องยุ่งยากเช่นนี้ เพียงแค่นางลงมือโจมตีโดยตรงก็สามารถจัดการเหล่าคนที่พลังเหนือกว่าเซียนทั้งหมดในอาณาจักรแห่งนี้ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้วิธี ‘หย่อนเบ็ดตกปลา’ อย่างนี้


ส่วนเหล่าผู้ที่มีพลังเหนือเซียนขึ้นไปก็จะกลายมาเป็น ‘ยา‘ ของนาง เพื่อใช้ในการฟื้นฟูพลังของตน


นางนั้นยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก หากจักรพรรดิเซียนอาวุโสจากภพเซียนอยู่ที่นี้ จะต้องจดจำนางได้ในทันที นางคือฉางหนิง หนึ่งในบรรพจารย์เซียน!


ตั้งแต่สมัยโบราณกาลมา มีบรรพจารย์ทั้งสิ้นเก้าคน และนางก็เป็นหนึ่งในนั้น


มีข่าวลือว่าบรรพจารย์เซียนทั้งเก้าสิ้นชีพในการต่อสู้กับพิศวง ทว่านั้นไม่ได้เป็นความจริง บรรพจารย์เซียนทั้งเก้าไม่ได้ตายตกแต่อย่างใด


บรรพจารย์เซียนนั้นอยู่เหนือเกินกว่าจะจินตนาการได้ เป็นตัวตนสูงสุดในภพเซียน แม้ว่าการต่อสู้ครั้งนั้นจะน่ากลัวเป็นอย่างมาก ทำให้พวกนางล้วนเกิดตายลงอย่างแท้จริง แต่พวกนางก็ยังสามารถหาหนทางรอดออกมาได้


ฉางหนิงกระจ่างแจ้งในเรื่องนี้เป็นที่สุด


ในการต่อสู้ครั้งนั้น นางเป็นผู้ที่ถอยออกมาเร็วที่สุด แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัสจนรักษาไม่หาย แต่เมื่อเทียบกับสถานการณ์ของบรรพจารย์เซียนคนอื่น ๆ แล้ว ก็ยังนับว่าดีกว่ามาก


หากไม่เป็นเช่นนี้แล้ว ตอนนี้นางคงไม่อาจฟื้นฟูกลับมาได้ถึงขั้นนี้


เท่าที่รู้ นอกจากนางแล้วบรรพจารย์เซียนอีกแปดคนก็ยังไม่ตื่น ตอนนี้เองก็กำลังฟื้นฟูตัวเอง นางเป็นคนแรกที่ฟื้นฟูตัวได้เร็วที่สุด


อย่างไรเสียนางก็เป็นบรรพจารย์เซียนผู้หนึ่ง สามารถสัมผัสได้ถึงบรรพจารย์เซียนอีกแปดคนได้อย่างเลือนราง


“ข้านึกแล้วว่าเจ้าไม่ได้มีเจตนาดีแต่อย่างใด!”


ลั่วสุ่ยทะยานขึ้นไปบนเวหา ทั่วร่างเรืองรองสว่างไสว นางร่ายมวยไทเก๊กเพื่อทำลายกฎเกณฑ์ทั้งหมดลง


เซี่ยเหยียน หลิงอิน และคนอื่น ๆ เองต่างก็ระเบิดพลังออกมา ทั้งยังเรียกสมบัติที่คุณชายมอบให้เตรียมพร้อมต่อสู้ด้วยกัน


พวกเขาสามารถรับรู้ได้ถึงความน่ากลัวของฉางหนิง เกรงว่าเรื่องนี้จะจัดการไม่ได้ง่ายนัก!


“คุณชายพาพวกเรามาก็เพื่อกำจัดความชั่วร้ายอย่างนั้นหรือ? ปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตอื่นเป็น ‘ยา’ สิ่งที่เจ้าทำช่างชั่วช้าเสียจริง!”


ต้าเต๋อตะโกนออกมา


แววตาของฉางหนิงปรากฏความประหลาดใจ นางไม่คิดว่าพวกลั่วสุ่ยจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!


มวยไทเก๊กที่ลั่วสุ่ยร่ายออกมา และเหล่าสมบัติที่พวกเซี่ยเหยียนเรียกออกมา ล้วนแล้วแต่เหนือชั้นไม่ธรรมดา แม้กระทั่งนางยังต้องตกตะลึงเกินเสียยิ่งกว่าความรู้ความเข้าใจของนาง!


โดยเฉพาะพลังที่พวกลั่วสุ่ยระเบิดออกมา เป็นสิ่งที่ทำให้นางรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ มันเหนือเสียยิ่งกว่าพลังโกลาหลไม่อาจเทียบได้!


นี่คือพลังอันใดกันแน่?!


บนโลกนี้ยังจะมีพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าโกลาหลอีกหรือ?


ใบหน้าของนางมืดครึ้มลงเปลี่ยนเป็นจริงจังอย่างถึงที่สุด ไม่แปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี้ นางมองพวกลั่วสุ่ยไม่ออก มีทั้งพลังและสมบัติเหล่านั้น นางจะมองพวกลั่วสุ่ยออกได้อย่างไร?


ไม่มีทางทำได้!


ฉางหนิงเรียกใช้สุดยอดวิชาออกมาทันที ฉับพลันนั้นเอง พลังอันแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมก็ปะทุออกมา!


นี่คือความน่ากลัวของบรรพจารย์เซียน แม้ว่านางจะยังไม่ฟื้นฟูกลับสู่จุดสูงสุด แต่ก็ไม่อาจประมาทดูแคลนได้ พลังมวยไทเก๊กที่ลั่วสุ่ยร่ายออกมา กระทั่งจักรพรรดิเซียนยังไม่อาจทานทน กลับถูกกฎเกณฑ์ที่นางเรียกออกมาหยุดยั้งได้!


‘จับได้ปลาตัวใหญ่แล้ว!’


ดวงตาของนางเปล่งประกาย อดรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้


หากนางจัดการพวกลั่วสุ่ยได้ อย่าว่าแต่การฟื้นฟูพลังกลับไปสู่จุดสูงสุดของนางเลย กระทั่งขั้นบรรพจารย์เซียน นางก็อาจทะลุผ่านก้าวขึ้นไปยังขอบเขตที่สูงกว่าได้!


ตู้ม!


เสียงระเบิดอันน่าสะพรึงกลัวดังออกมาอย่างต่อเนื่อง พวกลั่วสุ่ยที่อยู่รอบด้านต่างพากันปะทุพลังออกมาทำให้กฎเกณฑ์ในพื้นที่แห่งนี้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง


‘รับมือไม่ง่ายเลย!’


ฉางหนิงขมวดคิ้วจนแทบขมวดเป็นปม นางรู้ว่ากฎเกณฑ์เหล่านี้ไม่สามารถหยุดยั้งพวกลั่วสุ่ยเอาไว้ได้นาน


‘ไปหาคุณชายผู้นั้นก่อน!’


นางคิดด้วยความสุขุมใจเย็นเป็นอย่างยิ่ง หวนนึกไปถึงหลี่จิ่วเต้าที่เพิ่งจากไปก่อนหน้านี้


พวกลั่วสุ่ยให้ความเคารพหลี่จิ่วเต้าเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าหลี่จิ่วเต้าผู้นี้จะต้องเป็นบุคคลสำคัญ


นางเตรียมการมากมายไว้ที่เขาเฟิ่งหวา หากเปิดใช้งานทุกสิ่งย่อมสามารถสยบพวกลั่วสุ่ยได้อย่างไม่มีปัญหา ทว่านั่นจะส่งผลเสียกับนางเป็นอย่างมาก


หลี่จิ่วเต้าอาจจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด นางเกรงว่าหลังจากจัดการพวกลั่วสุ่ยได้แล้ว นางจะไม่สามารถจัดการหลี่จิ่วเต้าลงได้


ไม่อาจปล่อยให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นได้


นางจึงตัดสินใจว่าจะจัดการหลี่จิ่วเต้าก่อน!


จับโจรให้จับหัวหน้า!


จัดการหลี่จิ่วเต้าก่อน แล้วค่อยจัดการพวกลั่วสุ่ย!


คิดแล้วนางก็ไม่ลังเลอีกต่อไป รีบทะยานตรงไปหาหลี่จิ่วเต้า!


ชายผู้นี้ยังไม่ได้ออกจากเขาเฟิ่งหวาไปแต่อย่างใด!


ทิวทัศน์เขาเฟิ่งหวางดงามเป็นอย่างยิ่ง เขาสูงธารน้ำไหล ล้อมรอบไปด้วยม่านหมอก ราวกับแดนเซียนบนผืนดิน เงียบสงบสุขชวนผ่อนคลาย


หลี่จิ่วเต้ากำลังเดินเล่นชมเขาอย่างแช่มช้า ปกติแล้วเขามักจะชอบชื่นชมเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ ทว่าวันนี้กลับไม่มีกะจิตกะใจจะดื่มด่ำ


“เฮ้อ...”


เขาถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา ภายในใจเอ่ยปลอบตัวเองนับครั้งไม่ถ้วน ทว่าก็ยังคงไม่อาจกำจัดความรู้สึกสูญเสียออกจากใจไปได้ ตัวเขานั้นคิดถึงซีเป็นอย่างมาก


ตู้ม!


ในตอนนั้นเองก็มีเสียงระเบิดดั่งสนั่นทั่วเขาเฟิ่งหวา แสงสว่างอันน่าสะพรึงกลัวพุ่งสูงทะลุม่านเมฆทำลายผืนนภาเบื้องบน ด้านในปรากฏการก่อตัวของอักขระโบราณ ฉางหนิงระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับเปิดใช้ทุกอย่างที่จัดเตรียมเอาไว้ในเขาเฟิ่งหวาอย่างเต็มที่โดยไม่มีการเก็บออม!


ฉางหนิงทะยานออกมา ก็จะยื่นมือข้างหนึ่งไปด้านหน้า พลันส่วนหนึ่งของเขาเฟิ่งหวาแตกระเบิดทันที มีทวนสีเงินวาววามเล่มหนึ่งพุ่งเข้ามาอยู่ในมือของนาง


นี่คือทวนบรรพจารย์หนิง ตั้งชื่อตามนามบรรพจารย์เซียนของนาง วัสดุที่ใช้สร้างนั้นไม่ธรรมดา เป็นถึงโลหะชนิดแรกที่วิวัฒน์ขึ้นมาจากโกลาหล มีพลังใกล้เคียงกับพลังโกลาหลเป็นอย่างยิ่ง


ยามนั้นเมื่อถอนตัวออกมาจากสนามรบกับความพิศวง นางได้หนีมาถึงเขาเฟิ่งหวา หลังจากนั้นก็มียอดฝีมือออกมาจากแดนบรรพโกลาหล สงบความพิศวงยุติความวุ่นวาย เหลือไว้เพียงนางที่ยังคงอยู่ในเขาเฟิ่งหวา


นางในครานั้นบาดเจ็บสาหัส สภาพย่ำแย่อย่างถึงที่สุด แต่โชคดีที่นางถอนตัวออกมาได้ก่อน ทำให้ยังพอหลงเหลือพลังอยู่ในร่างบ้างเล็กน้อย หลังจากนั้น นางก็ถูกบังคับให้ตกอยู่สภาวะหลับลึกเพื่อรักษาตัว พลังที่หลงเหลืออยู่ยังคงไหลเวียนอยู่ในเขาเฟิ่งหวา กักเก็บสสารฝึกตนระดับสูงจำนวนมากเอาไว้ สร้างโอกาสสำหรับการตื่นขึ้นและฟื้นฟูตัวเอง


ก่อนที่สิ่งมีชีวิตภพเซียนจะจากอาณาจักรแห่งนี้ไป ได้ทำการกวาดล้างกอบโกยครั้งใหญ่ในอาณาจักรแห่งนี้ เก็บสมบัติและสสารการบ่มเพาะระดับสูงทั้งหมดไปด้วย


มิหนำซ้ำ สิ่งมีชีวิตจากเก้าโจวยังเลือกจะแยกตัวออกมา ทำให้เกิดการกวาดล้างครั้งใหญ่อีกครั้ง ทั้งยังเลวร้ายยิ่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ ทำให้อาณาจักรแห่งนี้ย่ำแย่ลงจนอารยธรรมการฝึกฝนทั้งหมดแทบล่มสลาย


ทว่าเขาเฟิ่งหวากลับต่างออกไป


ฉางหนิงหลับลึกเพื่อฟื้นฟูตนเอง แต่พลังที่หลงเหลือในร่างกายยังคอยปกป้องเขาเฟิ่งหวา สมบัติและสสารฝึกฝนระดับสูงทั้งหมดในภูเขายังคงได้รับการเก็บรักษาเอาไว้อย่างสมบูรณ์ ไม่ถูกกวาดเอาไปด้วย


และนี่เองก็เป็นสาเหตุที่ตอนนี้ฉางหนิงฟื้นฟูตัวเองมาได้ถึงขั้นทรงพลังเพียงนี้


สมบัติและสสารฝึกฝนระดับสูงจำนวนมากในภูเขามีบทบาทสำคัญอย่างมากในการฟื้นฟูตนเองของฉางหนิง หากไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้ว แม้ว่าฉางหนิงจะสามารถตื่นขึ้นมาได้ แต่ก็ไม่อาจแข็งแกร่งได้เท่าปัจจุบันอย่างแน่นอน


“หืม!?”


อีกด้านหนึ่ง สีหน้าของหลี่จิ่วเต้าพลันแปรเปลี่ยน การเคลื่อนไหวภายในเขาเฟิ่งหวาชัดเจนเกินไป ทำให้เขารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง


เขารีบเอาธงฮุ่นเยวียนออกมาทันทีอย่างไม่มีลังเล ทั้งร่างหายไปจากจุดนั้นภายในพริบตา


เสียงตู้มดังขึ้น ณ จุดที่ร่างของเขาเพิ่งหายไป ฉางหนิงปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับทวนสีเงินในมือ บริเวณที่ถูกทวนของนางแทงลงไปพังทลายลงไปทันที ถึงกับเกิดหลุมขนาดใหญ่อันน่าสะพรึงกลัวนี้มา เปลวเพลิงพวยพุ่งจากพื้นดินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า


“หาย...หายไปแล้ว!?”


สีหน้าของฉางหนิงแปรเปลี่ยนไปในทันที แววตาของนางมีความประหลาดใจ รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง


นางไม่อยากจะเชื่อ ผลลัพธ์ในการโจมตีครั้งนี้ต่างจากความคาดหมายของนางมาก!


ค่ายกลถูกเปิดออกอย่างเต็มที่โดยไม่มีการเก็บออม นางโจมตีเข้าไปด้วยทวนสีเงินร่วมกับค่ายกล นี่นับเป็นการโจมตีสังหารภายในครั้งเดียวอย่างแน่นอน หลี่จิ่วเต้าไม่มีทางหลบเลี่ยงได้ภายใต้ค่ายกลนี่ ทว่าผลออกมาคือนางกลับโจมตีได้เพียงอากาศเปล่า!


อีกทั้งนี่ยังไม่ใช่สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด!


สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดคือ การที่นางสูญเสียการรับรู้ตัวตนของหลี่จิ่วเต้า ไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายอยู่ที่ใด!


เป็นไปได้อย่างไร?!


ค่ายกลครอบคลุมทุกหนแห่งบนภูเขาไม่เว้นว่าง เช่นนั้นแล้วหลี่จิ่วเต้าจะสามารถหายตัวไปอย่างไม่อาจรับรู้ถึงได้อย่างไร?


นี่ไม่ใช่ค่ายกลธรรมดาแต่อย่างใด เพื่อการ ‘หย่อนเบ็ดล่อปลา’ ในครั้งนี้ นางได้ลงแรงเป็นอย่างมากในการสร้างค่ายกลขึ้นมา อย่างไรเสียนางก็ต้องการจะจับ ‘ปลาตัวใหญ่’ จากแดนบรรพโกลาหลเหล่านั้น จึงย่อมไม่กล้าประมาทเลินเล่อ


ทว่าหลี่จิ่วเต้ากลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยจนนางไม่อาจจับสัมผัสได้แม้แต่น้อย สิ่งนี้จะทำให้นางไม่ตกตะลึงได้อย่างไรกัน?!


หลี่จิ่วเต้านั้นไม่ธรรมดา ไม่ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย เขาคือผู้แข็งแกร่งที่สุด!


แต่อย่างไรเสียนางก็เป็นถึงบรรพจารย์เซียนผู้หนึ่ง จิตใจย่อมเต็มไปด้วยความสงบนิ่ง หลังจากตื่นตะลึงไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้น ๆ ก็ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว นางรีบเรียกชุดเกราะออกมาสวมบนร่างทันที


จากนั้นก็นำไข่มุกอันละเอียดอ่อนแวววาวออกมาเพื่อสนับสนุนแล้วปกป้องตนเอง


ไข่มุกเม็ดนี้ถูกนางหล่อหลอมขึ้นมาเมื่อครั้งยังอยู่จุดสูงสุดด้วยวัสดุที่ไม่ธรรมดาเป็นอย่างมาก ไม่ได้ด้อยไปกว่าทวนสีเงินเลย สามารถขยายเขตแดนบรรพจารย์เซียนให้มีพลังมากขึ้นจนไม่อาจจินตนาการถึง!


ชุดเกราะเองก็เช่นเดียวกัน มันถูกหล่อหลอมขึ้นมาเมื่อครั้งที่นางยังอยู่จุดสูงสุด หลังจากสวมเกราะทำให้พลังถูกเสริมมากขึ้น ภายในใจของนางจึงสงบลงได้ในทันที


“เจ้าต้องการสังหารข้าหรือ?”


หลี่จิ่วเต้าถือธงฮุ่นเยวียนไว้ในมือข้างหนึ่ง ก่อนจะปรากฏตัวออกมาในระยะไกลท่ามกลางหมู่เมฆหมอกมองไปทางฉางหนิง


“ใช่แล้ว!”


เมื่อเห็นหลี่จิ่วเต้าปรากฏตัวออกมา ฉางหนิงก็ถือทวนสีเงินพุ่งตรงเข้าไปสังหารเขาอีกครั้ง


ขณะเดียวกัน นางยังคงแผ่ขยายเขตแดนบรรพจารย์เซียนออกมา พยายามห่อหุ้มร่างของหลี่จิ่วเต้าเอาไว้ภายในเขตแดนบรรพจารย์เซียน


เพียงแค่หลี่จิ่วเต้าถูกเขตแดนบรรพจารย์เซียนห่อหุ้มเอาไว้ โอกาสในการชนะของนางก็จะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ภายในเขตแดนบรรพจารย์เซียน นางนับได้ว่าเป็นผู้ควบคุมชี้ขาดอย่างแท้จริง ทุกอย่างล้วนแล้วแต่อยู่ในกำมือของนาง!


ตู้ม!


อักขระค่ายกลขยับไหว พลังอันน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิมรวมเข้าหากันอย่างรวดเร็ว ระดมโจมตีใส่หลี่จิ่วเต้า


ค่ายกลนี่ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง ภายใต้การโจมตีนี้ กระทั่งจักรพรรดิเซียนเองก็จะถูกสังหารตายภายในพริบตา ส่วนบรรพจารย์เซียนเองก็ไม่อาจเมินเฉยได้


“เข้าใจแล้ว...”


หลี่จิ่วเต้าที่ยืนอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆหันมองไป ก็เห็นว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับพวกลั่วสุ่ย


เขามองเห็นภายในนั้นได้ไม่ชัดเจนนัก เพราะด้วยกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ยังคงเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง แต่ถึงอย่างนั้นก็สามารถคาดเดาได้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น


พวกลั่วสุ่ยคงจะถูกพลังบางอย่างกักขังเอาไว้...


หลังจากมองเห็นสถานการณ์แล้ว เขาก็เข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วว่าเหตุใดฉางหนิงจึงมาที่นี่เพื่อโจมตีเขา


ฉางหนิงต้องการจัดการพวกลั่วสุ่ย ทว่าพวกสั่วสุ่ยนั้นรับมือได้ยาก จึงเกิดความคิดที่จะลงมือกับเขาก่อน


เขาเป็นเพียงแค่ปุถุชนธรรมดา สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย ฉางหนิงจึงต้องการใช้เขาเพื่อบังคับให้พวกลั่วสุ่ยต้องยอมจำนน!


น่าเสียดาย ถึงแม้เขาจะเป็นปุถุชนก็จริง แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะถูกจัดการลงได้ง่ายดายปานนั้น!


ชายหนุ่มคิดขึ้นมาในใจ ก่อนร่างจะเลือนหายไปอีกครั้ง การโจมตีทั้งหมดล้วนโดนอากาศเปล่า เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นมาอีกหน ก็อยู่อีกด้านหนึ่งเสียแล้ว


“คุณชาย!”


“เจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก!”


ในตอนนั้นเอง ลั่วสุ่ยและเซี่ยเหยียนที่ฝ่าออกมาได้ก็เห็นฉากที่ฉางหนิงถึงกับบังอาจลงมือกับคุณชาย พวกนางโกรธขึ้นมาทันที เกิดจิตสังหารต้องการจะฆ่าฉางหนิงทิ้งเสีย


เป็นเช่นนั้นจริง!


การคาดเดาก่อนหน้านี้ของเขาเป็นเรื่องจริง ฉางหนิงไม่อาจจัดการกับพวกเซี่ยเหยียนได้โดยง่าย ดังนั้นจึงหันมามุ่งเป้าใส่เขา


ไม่เช่นนั้นแล้ว เซี่ยเหยียนกับลั่วสุ่ยคงไม่อาจฝ่าออกมาจากที่นั่นได้


หลี่จิ่วเต้าคิดขึ้นมาในใจ


“ข้าจะจัดการเอง”


หลี่จิ่วเต้าบอกลั่วสุ่ยกับเซี่ยเหยียนไม่ให้ลงมือ เนื่องจากเขาต้องการลงมือด้วยตนเอง


เมื่อไม่ได้พบซี เขาก็อารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งฉางหนิงยังกล้ามายั่วยุกันเช่นนี้ เขาพลันรู้สึกอยากจัดการฉางหนิงด้วยตนเอง!


ส่วนเรื่องความแข็งแกร่งของฉางหนิงนั้น... ก่อนหน้านี้ที่อีกฝ่ายโจมตีเขามาสองครั้ง ล้วนไม่เป็นภัยคุกคามเขาแต่อย่างใด เขามั่นใจมากว่าตนเองสามารถจัดการนางได้


หลังจากได้ยินคำพูดของคุณชาย ลั่วสุ่ยกับเซี่ยเหยียนก็สงบลงอย่างรวดเร็วและถอยหลังออกไป


คุณชายไม่ให้พวกนางลงมือ ก็เพื่อตัวของพวกนางเอง!


เพียงแค่เขตแดนบรรพจารย์เซียนที่ได้รับพลังจากตัวของฉางหนิงนั้น ก็เกินความสามารถพวกนางที่จะรับมือได้แล้ว


หากพวกนางเข้าไปเผชิญหน้า เกรงว่าจะประสบกับเคราะห์ร้ายครั้งใหญ่ จบลงอย่างไม่ค่อยจะดีนัก


“ข้าจะกลืนกินพวกเจ้าให้หมด!”


ฉางหนิงยิ้มเย้ยหยัน แววตาเปล่งประกายดุดัน พร้อมเอ่ยออกมาอย่างแข็งกร้าว


นางระเบิดพลังพุ่งเข้ามาพร้อมทวนสีเงินอีกครั้ง หมายจะสังหารหลี่จิ่วเต้า!


ขณะเดียวกัน ทั่วทั้งเขาเฟิ่งหวาก็สว่างเจิดจ้า พลังของค่ายกลก่อตัวเป็นฝนแสงอันน่าสะพรึงกลัวร่วงหล่นลงมาทั่วบริเวณ ไม่ปล่อยให้หลี่จิ่วเต้ามีโอกาสได้ซ่อนตัวอีกครั้ง


ทว่านางก็ประเมินตนเองสูงเกินไป...


หลี่จิ่วเต้าก้าวออกไปด้านหน้า ร่างกายพลันหายลับไปอีกครั้ง พลังของค่ายกลที่ก่อตัวเป็นฝนไม่ส่งผลอันใดกับหลี่จิ่วเต้าเลยแม้แต่น้อย ร่างของเขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งก็ยกธงฮุ่นเยวียนปิดกั้นฝนแสงที่ตกลงมา


“จริงสิ ข้ายังไม่รู้จักนามของเจ้าเลย ด้วยความเคารพข้าจึงต้องการจะทราบนามของเจ้า”


ชายหนุ่มกล่าวออกมา


“ฉางหนิง!”


ฉางหนิงไม่ได้คิดอันใดมาก หลังจากเอ่ยชื่อตนเองจบแล้ว ก็พุ่งตรงเข้าไปสังหารหลี่จิ่วเต้าอีกครั้ง


“อ้อ”


หลี่จิ่วเต้าโบกธงฮุ่ยเยวียน ร่างกายของเขาเลือนหายไปอีกครั้ง หลบการโจมตีของฉางหนิง


เมื่อร่างของเขาปรากฏขึ้น ก็อยู่อีกด้านหนึ่งเสียแล้ว ในมือมีขวดแก้วใสหนึ่งขวดเปล่งประกายสะท้อนแสงงดงาม


นี่คือขวดแก้วที่สามารถเก็บทุกสรรพสิ่งเข้าไปได้


“ฉางหนิง ข้าเรียกเจ้า เจ้ากล้าตอบรับหรือไม่?”


หลี่จิ่วเต้าชูขวดแก้วขึ้น ชี้ปากขวดไปทางฉางหนิงแล้วตะโกนออกมา


เขาเพียงแค่คิดถึงน้ำเต้าทองคำม่วงในเรื่องไซอิ๋วที่สามารถเก็บสรรพสิ่งเข้าไปได้เหมือนกัน คล้ายกับความสามารถของขวดแก้ว


แน่นอนว่า ที่เขาตะโกนออกมาเป็นวิธีการเก็บคนเข้าไปของน้ำเต้าทองคำม่วง หากคนอื่นตอบรับก็จะถูกดูดเข้าไป ทว่าขวดแก้วนั้นแตกต่าง ขอเพียงแค่เขาต้องการก็สามารถเก็บทุกสิ่งเข้าไปได้ตลอดเวลา ไม่สำคัญว่าเขาเรียกชื่อหรือไม่


“เหตุใดข้าจะไม่กล้า!”


ฉางหนิงตอบกลับเสียงดัง ต่อให้นางตอบรับไปจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นได้กัน?


ฟิ้ว!


ในตอนนั้นเอง แรงดึงดูดมหาศาลก็ปรากฏขึ้นจากขวดแก้ว ฉางหนิงถูกดูดเข้าไปด้านในทันที


ระหว่างขั้นตอนนี้ ไม่ว่านางจะดิ้นรนต่อต้านมากเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ ไม่อาจขัดขืนแรงดึงดูดได้แม้แต่น้อย!


“เกิด...เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร!”


ภายในขวด ฉางหนิงรู้สึกอัดอั้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง นางรู้สึกเสียใจมาก หากรู้ตั้งแต่แรก นางคงไม่ตอบรับแล้ว


นางจะไม่ตอบรับอย่างแน่นอน!


“เจ้า...เจ้าเล่นลูกไม้!”


นางโกรธจนอดตะโกนออกมาไม่ได้ อัดอั้นตันใจอย่างถึงที่สุด...ถูกหลอกเข้าเสียแล้ว!


หลี่จิ่วเต้าใช้ประโยชน์จากความชะล่าใจเก็บนางเข้ามา!


“หากเจ้าแน่จริงก็ปล่อยข้าออกไป!”


นางตะโกนออกมา ไม่เต็มใจที่จะถูกหลี่จิ่วเต้าจัดการลงเช่นนี้!


จะเต็มใจได้อย่างไร?


เพียงแค่ตอบรับการเรียกชื่อก็ถูกเก็บเข้ามาแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเต็มใจยอมรับได้!


ฉางหนิงอัปยศอดสูเป็นที่สุด อยากจะตบตัวเองฉาดใหญ่ให้เข็ดหลาบ ไยต้องตอบรับมั่วซั่วด้วย


นอกจากนี้ นางยังสะท้อนใจอย่างมากอีกด้วย นี่มันขวดโหลอะไรกัน เหตุใดถึงมีอานุภาพน่าประหวั่นพรั่นพรึงถึงเพียงนี้


นางต่อกรด้วยกำลังทั้งหมดที่มียังไม่ไหว ห่างชั้นกันตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ไม่อยู่ในระดับเดียวกันเลย!


สถานที่แห่งนี้มิได้มีค่ายกลใหญ่เพียงแห่งเดียว ภายในยังมีค่ายกลใหญ่อีกแห่ง ช่วยเพิ่มพูนพลังในตัวนางได้มหาศาล ประกอบกับนางตั้งตัวอยู่ในเขตแดนบรรพจารย์เซียน ถึงกำลังรบยังไม่เทียบเท่าเมื่อครั้งแข็งแกร่งที่สุด กระนั้นก็เข้าใกล้กำลังรบระดับบรรพจารย์เซียนอย่างมากแล้ว


แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ไม่ไหว ยังคงห่างชั้นกันจนวัดมิได้ นางกลัวจากใจจริง น่ากลัวว่าต่อให้เป็นนางเมื่อครั้งแข็งแกร่งที่สุดก็ใช่ว่าจะต่อกรด้วยไหว!


คนเหล่านี้คือยอดฝีมือจากแดนบรรพโกลาหลหรือไร?


นางคิดอย่างอดไม่ได้ พลังที่เหนือกว่าบรรพจารย์เซียน มีแต่ผู้ที่ออกมาจากแดนบรรพโกลาหลเท่านั้น นางช่างโชคร้ายจริง ๆ เดิมคิดว่ากำลัง ‘ตกปลา’ หารู้ไม่ นางกำลังรนหาที่ตาย ‘ปลา’ นั้นตกขึ้นมาได้ หากแต่เป็นปลาฉลามกินคนที่ตกได้!


หลี่จิ่วเต้ามิได้แยแสฉางหนิง


ฉางหนิงเพียงแต่โหวกเหวกอย่างไร้ประโยชน์เท่านั้น


ปล่อยฉางหนิงออกมาจริง ๆ แล้วอย่างไร


ฉางหนิงคิดว่าตนถูกสะกดเพราะขานรับ ทว่าเขานั้นรู้ดี ไม่ว่าฉางหนิงขานรับหรือไม่ก็ต้องถูกสะกด


“เจ้าไฟน้อยอยู่ที่ใด”


เขาส่งเสียงเรียกกิเลนไฟ


โฮกกกก!


กิเลนไฟคำราม วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าคุณชาย “คุณชาย ข้าอยู่นี่”


หลี่จิ่วเต้ากระโจนตัวขึ้นขี่กิเลนไฟ ปล่อยฉางหนิงออกมา มองพวกลั่วสุ่ยพลางกล่าว “พวกเจ้าจัดการนางแล้วกัน”


เขาอารมณ์ไม่ดีจริง ๆ และนี่ก็เป็นเรื่องราวระหว่างผู้ฝึกตน เขาไม่ต้องการแทรกแซง


ในยามนี้ เขาต้องการเพียงขี่กิเลนไฟออกไปรับลม


ส่วนพวกลั่วสุ่ยจัดการฉางหนิงได้หรือไม่นั้น เขาไม่กังวลใจแม้แต่น้อย


เขายังกำราบฉางหนิงได้สบาย ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงพวกลั่วสุ่ย


จากนั้น เขาขี่กิเลนไฟไปจากที่นี่ หายไปในหมู่เมฆ


ไปแล้วรึ?


ซ้ำยังปล่อยนางออกมาอีกด้วย?


ฉางหนิงมึนงงเหลือคณา นึกในใจว่าหลี่จิ่วเต้าผู้นี้จะไม่ให้ความสำคัญต่อนางเกินไปแล้ว!


นางมิได้ลังเล หมุนกายหมายจะไปจากที่นี่ กลัวว่าหลี่จิ่วเต้าจะกลับมาสังหารนางมิให้ตั้งตัว


พลังของพวกลั่วสุ่ยนั้นไม่เท่าไหร่ ก่อนหน้านี้นางยังมิได้ใช้ค่ายกลในที่แห่งนี้ แตะไม่ถึงขั้นบรรพจารย์เซียนยังพันธนาการพวกลั่วสุ่ยไว้ได้ พวกลั่วสุ่ยคงสกัดนางไว้มิได้


ทว่าไม่นาน สีหน้านางก็เปลี่ยนไปอย่างมหันต์


กฎระเบียบเกินจินตนาการโลดแล่นอยู่บนนภา ฉับพลันนั้น พลังบางอย่างถล่มลงมา เขตแดนบรรพจารย์เซียนที่นางตั้งขึ้นนั้นทลายในพริบตา ตัวนางกระแทกกับพื้นอย่างแรง ปากกระอักเลือดไม่หยุด!


ลั่วสุ่ยมีท่าทีเรียบเฉย ไม่กังวลสักนิดว่าฉางหนิงอาจหนีไปที่อื่น


คุณชายลั่นวาจาแล้วว่า ให้พวกเขาจัดการฉางหนิง ฉางหนิงไฉนเลยจะหนีไปได้


เป็นไปไม่ได้เลย!


วาจาที่คุณชายได้กล่าวถือเป็นประกาศิต!


“พวกเราตกลงกันได้ ขอเพียงพวกเจ้าปล่อยข้าไป ข้ายอมรับปากพวกเจ้าทุกอย่าง!” ฉางหนิงรีบบอก


นางรู้ตัวว่าคงหนีไม่พ้นแล้ว แม้ตัวหลี่จิ่วเต้าไม่อยู่ กระนั้นเขาได้ทิ้งพลังเอาไว้ มันเป็นพลังที่นางทลายมิได้ ไม่มีหวังจะหนีไปจากที่นี่ได้เลย


“เลิกคิดเถิด เจ้าไม่มีทางรอดไปได้!”


ลั่วสุ่ยมีสีหน้าเย็นชา ไม่คิดจะปล่อยฉางหนิงไป


ฉางหนิง ‘ตกปลา’ ที่นี่ ใช้สิ่งมีชีวิตเป็นโอสถสำคัญ จิตใจชั่วช้ายิ่งนัก หากไว้ชีวิตของฉางหนิง ย่อมต้องกลายเป็นภัยร้ายแน่นอน!


“ถูกต้อง!”


เซี่ยเหยียนยกมือเรียกคันศรใหญ่ออกมา ยิงใส่ฉางหนิง


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากข้าต้องตาย ก็ขอลากพวกเจ้าไปตายด้วย!”


ฉางหนิงหักใจ รู้ดีว่าพวกลั่วสุ่ยไม่มีทางปล่อยนาง จึงกระโจนตัวขึ้นจากพื้น ตบศรอาบแสงที่เซี่ยเหยียนยิงมาจนแหลกลาญด้วยหนึ่งฝ่ามือ


จิตสังหารเดือดพล่านปะทุออกจากตัวนาง คิดไปว่าก่อนตายอย่างไรก็จะต้องลากใครสักคนไปรองหลัง ค่ายกลที่นี่ปั่นป่วนขึ้นอีกครั้ง พลังสยดสยองไร้เทียมทานบุกสังหารออกไปพร้อมนาง


“เจ้าทำได้หรือ”


ลั่วสุ่ยยิ้มบาง ไม่ยี่หระกับการบุกสังหารของฉางหนิง


วาจาคุณชายคือประกาศิต!


คุณชายกล่าวว่าให้พวกเขาจัดการฉางหนิง เช่นนั้น ฉางหนิงก็จะถูกพวกเขาจัดการ!


นี่คือความจริงที่มิอาจเปลี่ยนแปลง!


อย่างที่คิด ขณะที่ฉางหนิงเพิ่งเริ่มบุกมาหาพวกเขา ก็มีกฎระเบียบสูงส่งปรากฏออกมาบนนภาอีกครั้ง จากนั้น พลังไร้เทียมทานถล่มลงมา!


ชั่วขณะนั้น การเตรียมการของฉางหนิงในเขาเฟิ่งหวา ค่ายกลทั้งหมดของนาง ล้วนถูกทำลายในตอนนี้!


ขณะเดียวกัน ยังมีพลังถล่มใส่ตัวฉางหนิง นางกระแทกพื้นอีกครั้ง บาดเจ็บสาหัสจนจินตนาการไม่ออก กระอักเลือดอย่างบ้าคลั่งราวกับเลือดนั้นหาใช่สิ่งสำคัญ


“อ๊ากกกก!”


ฉางหนิงคำรามลั่น อัปยศเป็นที่สุด นางเป็นถึงบรรพจารย์เซียนตนหนึ่งเชียวนะ ขอบเขตที่สิ่งมีชีวิตผู้ฝึกตนทั้งหลายยากจะบรรลุถึง สุดท้ายแล้ว แม้ว่าตอนนี้หลี่จิ่วเต้าไปแล้วนางก็ยังสู้ไม่ได้ ถูกพลังที่หลี่จิ่วเต้าทิ้งไว้กำราบจนกระดิกตัวมิได้!


“จบสิ้นเสียที”


เซี่ยเหยียนดึงคันศรยิงใส่ฉางหนิงอีกครั้ง


คราวนี้ ฉางหนิงไม่เหลือกำลังจะขัดขืน ได้แต่ปล่อยให้ศรอาบแสงยิงเข้ามาหานาง ทว่าอย่างไรนางก็เป็นถึงบรรพจารย์เซียนตนหนึ่ง พลังกายเนื้อนั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง ศรที่เซี่ยเหยียนยิงเข้ามามิได้สร้างความเสียหายต่อนาง ไม่อาจทลายพลังป้องกันจากกายเนื้อของนางได้


“ข้าเป็นถึงบรรพจารย์เซียนตนหนึ่ง ขอบเขตที่ผู้ฝึกตนทั้งหลายยากจะบรรลุถึง พวกเจ้าไม่มีทางปลิดชีพข้าได้! อย่างน้อยก็ทำไม่ได้ในเวลาอันสั้น!”


ฉางหนิงตะโกนบอก “ขอโอกาสข้าสักครา ปล่อยข้าไป วันหน้าพวกเจ้าจักไม่เสียประโยชน์!”


ขั้นบรรพจารย์เซียนมิใช่ระดับที่บรรลุได้ด้วยการฝึกฝนเพียงอย่างเดียวจริง ๆ นางคือบรรพจารย์เซียนแต่กำเนิด ไม่มีทางจบชีวิตลงง่าย ๆ ต่อให้หลี่จิ่วเต้ากลับมา ก็ไม่มีทางฆ่านางได้ง่าย ๆ


แม้ว่าพลังของหลี่จิ่วเต้านั้นเหนือกว่านางมาก


แต่นางคือบรรพจารย์เซียนที่เกิดจากพลังโกลาหลโดยตรง มีกฎระเบียบบางอย่างคอยคุ้มครอง ไม่มีทางตายไปง่าย ๆ


แม้แต่ความพิศวงลางร้ายอันน่าสยดสยองในครานั้น ก็ไม่อาจสังหารบรรพจารย์เซียนอย่างพวกเขาได้ง่ายดาย นางไม่เชื่อว่าหลี่จิ่วเต้าจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าความพิศวงลางร้าย


“ปลิดชีพเจ้ามิได้หรือ?”


ลั่วสุ่ยทอดมองฉางหนิง “สายตาของเจ้าคับแคบเกินไป ไม่รู้ว่าคุณชายเป็นผู้ใด อย่าว่าแต่เจ้าเป็นบรรพจารย์เซียนเลย ต่อให้เจ้าเป็นบรรพจารย์โกลาหล คุณชายก็เอาชีวิตเจ้าได้ในวาจาเดียว!”


โม้อะไรอยู่?!


การพ่นวาจานั้นไม่คิดเงิน ถึงได้พ่นอย่างไรก็ได้อย่างนั้นหรือ!


ฉางหนิงเอ่ย “หยุดอวดดีเสียที! คิดจริงหรือว่าข้าโตมากับคำขู่!?”


ตู้ม!


เวลานั้นเอง กฎระเบียบสูงสุดแห่งนภาโลดแล่นออกมาอีกครั้ง แสงลำหนึ่งกระแทกบนตัวฉางหนิง


“อะ…ไรกัน! นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?!”


ฉางหนิงร้องเสียงหลง เชื่อไม่ลงเลยสักนิด หลังจากแสงลำนั้นกระแทกตัวนาง นางพลันรู้สึกว่าพลังในตัวนางถูกพรากออกไป แม้แต่พลังกายเนื้อก็ด้วย!


กฎระเบียบที่คอยคุ้มครองนางอยู่ก็พังครืน มลายไปอย่างสิ้นเชิง!


นางในเวลานี้ กลายเป็นปุถุชนอย่างสมบูรณ์!


นางสิ้นหวังในทันใด สายตาไม่เหลือความหวังสักนิด หลี่จิ่วเต้าผู้นี้เป็นใครกันแน่ และอยู่ในขอบเขตใด เหตุใดถึงน่าพรั่นพรึงถึงปานนี้!?


“ข้าบอกแล้ว ความแข็งแกร่งของคุณชาย มิใช่สิ่งที่เจ้าจะจินตนาการออก”


ลั่วสุ่ยเอ่ยเสียงเบา ฟาดฝ่ามือออกไปโดยมิได้ใช้พลังใด ๆ ฉางหนิงถูกสังหารลงทันที หายไปจากใต้หล้านี้ จบชีวิตอย่างสิ้นเชิง


“พวกเจ้าจงจำไว้ ห้ามกระทำความชั่ว มิฉะนั้น จุดจบของนางก็คือจุดจบในอนาคตของพวกเจ้า!”


ลั่วสุ่ยบอกกับอวิ๋นเยียนและสิ่งมีชีวิตตนอื่นที่ติดตามฉางหนิง มิได้ไล่ต้อนฆ่าเสียหมด


ขอบเขตของนางสูงเกินไป ตั้งจิตเพียงครั้งเดียวก็รับรู้อดีตของพวกอวิ๋นเยียน พวกอวิ๋นเยียนเป็นเพียง ‘เบ็ดล่อ’ ที่ฉางหนิงสร้างขึ้นเพื่อสร้างชื่อเสียงเท่านั้น มิเคยทำความชั่วใด ๆ


“ส่วนพวกเจ้าก็ไปได้แล้ว”


ลั่วสุ่ยมาอยู่ด้านสิ่งมีชีวิตจากแดนบรรโกลาหลและภพเซียน สิ่งมีชีวิตจากภพเซียนมิได้ตาย หลอมร่างขึ้นมาได้ใหม่ ฉางหนิงตั้งใจเก็บเขาไว้เป็น ‘สุดยอดโอสถ’


“ดินแดนที่พวกเจ้าจากมาเหนือชั้นกว่าอาณาจักรแห่งนี้มาก กระนั้นพวกเจ้าก็ต้องจำเอาไว้ ห้ามทำความชั่วใด ๆ เด็ดขาด มิฉะนั้น พวกเจ้าก็ใกล้ตายเต็มทีแล้ว…”


นางเอ่ยเสียงเรียบ


“เข้าใจ…เข้าใจ!”


“วางใจได้ ข้าจะไม่ทำเรื่องเลวร้ายแน่นอน!”


พวกเขารีบตอบกลับ ครั้งนี้ถึงคราวกลัวแล้วจริง ๆ ไฉนเลยจะกล้าทำเรื่องไม่ดีอีก?


ไม่กล้าเลยแม้แต่น้อย!


จากนั้น พวกเขาก็ไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว


“พวกเรารอคุณชายกลับมาอยู่ที่นี่กันเถิด…”


ลั่วสุ่ยบอก รอคุณชายขี่กิเลนไฟกลับมากับพวกเซี่ยเหยียนอยู่ที่นี่


...


ภายในระบบดาราอันไพศาลแห่งหนึ่ง บนดวงดาวที่เต็มไปด้วยขนยาวพิศวง มองจากที่ไกล ๆ ชวนผวาอย่างยิ่งยวด!


ที่นี่คือมหานครพิศวงที่จ้าวแห่งรัตติการสร้างขึ้น


ระดับความน่ากลัวของมัน มิได้ด้อยไปกว่าภพเซียนเท่าใด


“คงไม่มีปัญหากระมัง”


จ้าวแห่งรัตติกาลพึมพำเสียงเบา นับวันก็ยิ่งไม่สบายใจ สิ่งสำคัญคือเจ้าหลวงนั้นเป็น ‘ตัวซวย’ เกินไป ความสามารถข่มดวงผู้อื่นนั้นแกร่งกล้าสุด ๆ เริ่มจากสหายคนสนิท จากนั้นเป็นพี่ใหญ่ ต่างตายตกไปตาม ๆ กันเพราะเจ้าหลวง


และบัดนี้ มันกลายมาเป็นบิดาบุญธรรมของเจ้าหลวง!


มันรู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมาก!


“ผู้ที่กลายมาเป็นบุตรบุญธรรมของข้ายังตายไปหมดแล้วเลย! ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะข่มดวงเขามิได้!”


มันบ่นพึมพำ


แต่มันก็ยังไม่ค่อยมั่นใจ


มันติดต่อฝูถูและขุนพลใหญ่ผู้หนึ่งที่ได้ส่งไป


“ถึงที่นั่นหรือยัง” มันถามฝูถู


“ใกล้จะถึงแล้ว ท่านจ้าวของข้า!” ฝูถูตอบ


“ดี หากเริ่มมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลให้ติดต่อหาข้าทันที!”


จ้าวแห่งรัตติกาลจบการสื่อสาร ระหว่างมันกับฝูถูมีศาสตราสื่อสารอยู่ สามารถติดต่อหากันได้ทุกเมื่อ


ขณะเดียวกัน เจ้าหลวงเพิ่งฝึกฝนเสร็จสิ้น


จ้าวแห่งรัตติกาลนั้นรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับเขาจริง ๆ รับปากว่าจะอบรมสั่งสอนเขาเต็มกำลัง ก็อบรมสั่งสอนเขาเต็มกำลังจริง ๆ เขาบำเพ็ญตนได้ไม่นานก็ยกระดับพลังขึ้นอีกมาก


เดิมเขาตั้งใจจะฝึกต่อ ทว่าเขาไม่มีสมาธิจริง ๆ เขานึกไปถึงเหล่าของวิเศษอีกแล้ว จนยากจะสงบใจไว้ได้


“พี่ชายพี่สาวทั้งหลาย ครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับข้าจริง ๆ!”


เขาเอ่ยเสียงรำ่ไห้ รู้สึกอยู่เนือง ๆ ว่าหนนี้ต้องเกิดเรื่องอีกแน่ ช่วยไม่ได้ เหล่าของวิเศษสร้างบาดแผลให้ใจเขาอย่างหนัก เขารู้สึกว่าแม้แต่จ้าวแห่งรัตติกาลก็มิอาจต่อกรกับเหล่าของวิเศษได้


“เป็นหนี้ต้องจ่าย เป็นผู้ร้ายต้องชดใช้กรรม พี่ชายพี่สาวทั้งหลาย หนนี้พวกท่านโทษข้าไม่ได้ ท่านพ่อบุญธรรมรั้นจะไปแก้แค้นแทนข้าให้ได้! หากพวกท่านเคียดแค้น ก็จงเคียดแค้นท่านพ่อบุญธรรม อย่าได้เคียดแค้นข้าเลย!”


เขากล่าวต่อ “เอ่อ พี่ชายพี่สาวทั้งหลายก็อย่าเคียดแค้นท่านพ่อบุญธรรมของข้าเลย ข้าอุตส่าห์ได้เจอท่านพ่อบุญธรรมที่ดีต่อข้าถึงเพียงนี้ ข้าเพียงแต่อยากใช้ชีวิตกับท่านพ่อบุญธรรมของข้าต่อไปอย่างสงบเท่านั้น!”


จ้าวแห่งรัตติกาลดีกับเขามากจริง ๆ เขาเห็นจ้าวแห่งรัตติกาลเสมือนบิดาบังเกิดเกล้า ไม่อยากให้เกิดอันใดขึ้นกับจ้าวแห่งรัตติกาล!


อีกด้าน ฝูถูไปถึง!


มันนำทัพสิ่งมีชีวิตพิศวงมาที่อาณาจักรอวี้ซวี!