นิยายเสียง อยู่ดีดีข้าก็เป็นเซียน
บทที่ 701ถึง 705
โฮกกก!
อสูรสีทองตัวหนึ่งปรากฏออกมาช่วยเหลือจ้าวจง
นี่เป็นอสูรระดับราชันตัวหนึ่ง เพียงแค่เสียงคำรามก็ยังทรงพลังมาก
“เป็นเพียงแค่มดปลวก มาร้องหาสิ่งใดกัน!”
เซี่ยเหยียนตะคอกออกมาเสียงเย็นชา ดวงตาจับจ้องไปทางอสูรอีกฝ่าย
ทันใดนั้นเอง อสูรตนนั้นก็สูญสิ้นซึ่งความกล้าหาญทั้งหมด ราวกับว่ามันเสียสติไปแล้ว ร่างกายของมันสั่นเทาหมอบลงไปกับพื้น
ต่อหน้าเซี่ยเหยียนมันเป็นเพียงแค่ราชันอสูรตัวน้อย จะโอ้อวดพลังกับเซี่ยเหยียนที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนแล้วได้อย่างไร
เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในพริบตาเดียว จ้าวจงและสวีจิ้งคาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง ทำให้พวกเขาที่กำลังนั่งอยู่บนอสูรสีทองถึงกับเกือบจะล้มคว่ำ
แต่พวกเขาก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว รีบตั้งท่าให้ตนเองมั่นคงลอยอยู่กลางอากาศทันที
“รนหาที่ตาย!”
ดวงตาของจ้าวจงเย็นเยียบ จิตสังหารทวีคูณขึ้น เขาตบฝ่ามือกลางอากาศไปทางเซี่ยเหยียน มวลแรงราวกับคลื่นน้ำสูงนับพันจั้งพุ่งใส่เซี่ยเหยียนอย่างดุดัน
“อันใดกัน กระทั่งผู้อาวุโสของตระกูลเจ้ายังไม่กล้ากำเริบเสิบสานเท่าเจ้าเลย!”
เซี่ยเหยียนลงมือ ตบไปทางจ้าวจงที่อยู่กลางอากาศ
พลังของจ้าวจงถูกทำลายลงในทันที ขณะเดียวกันฝ่ามือของเซี่ยเหยียนก็ตบลงบนใบหน้าของจ้าวจงอย่างแรง!
เพียะ! ฟิ้ว!
จ้าวจงลอยกระเด็นออกไปทันที ทั้งใบหน้าบิดเบี้ยวจากการถูกตบ เลือดออกกลบเต็มปาก ชนเข้ากับยอดเขาแห่งหนึ่งอย่างแรงจนพังทลาย
ใบหน้าของเขาซีดเซียวไร้สีเลือด หนึ่งตบของเซี่ยเหยียนราวกับทำให้ชีวิตของเขาหายไปกว่าครึ่ง
“!!!”
เมื่อฉินหวายเฟิงเห็นฉากนี้ หนังศีรษะของเขาก็ถึงกับชาหนึบ ขนบนร่างลุกชัน ตื่นตะลึงอย่างถึงที่สุด!
เซี่ยเหยียนดูแล้วอายุยังน้อยไม่ต่างจากเขา ทว่าเหตุใดนางถึงได้น่าสะพรึงกลัวขนาดนี้!?
ภูมิหลังของยอดนิกายล้ำลึกจนไม่อาจหยั่งถึงได้ จ้าวจงมาจากยอดนิกาย ขอบเขตการฝึกฝนของเขาสูงล้ำอย่างยิ่ง เป็นถึงกึ่งนักบุญผู้หนึ่ง ทว่าสุดท้ายกลับดูอ่อนแอเป็นอย่างมากเมื่ออยู่ต่อหน้าเซี่ยเหยียน
ขอบเขตของนางอยู่ระดับใดกันแน่?!
เขาไม่กล้าจินตนาการแม้แต่น้อย!
สีหน้าของสวีจิ้งแปรเปลี่ยนอย่างมาก นางทรุดลงกับพื้น รู้สึกว่าเหมือนพวกนางจะไปเตะโดดแผ่นเหล็กเข้าแล้ว!
สวีจิ้งตื่นตกใจกลัว ไม่คาดคิดเลยว่าเซี่ยเหยียนจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!
“อ๊ากกก! พวกเราตระกูลจ้าวจะไม่มีทางปล่อยเจ้าไป!”
จ้าวจงคำรามออกมาด้วยความดุร้ายเกรี้ยวกราดอย่างถึงที่สุด เขาเคยต้องตกอยู่ในสภาพเวทนาที่ไหนกัน? ย่อมต้องไม่เคยมาก่อน!
“งั้นหรือ”
ใบหน้าของเซี่ยเหยียนสงบนิ่ง นางก้าวออกไปทางจ้าวจงพลางเอ่ยออกมาเสียงเรียบ “ติดต่อประมุขตระกูลของเจ้าเสีย บอกให้เขามาที่นี่”
นี่มัน...อันใดกัน!
จ้าวจงที่ยังคงโกรธเป็นอย่างมาก แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยเหยียนก็อดที่จะตื่นตะลึงไม่ได้
เขาคิดไม่ถึงว่าเซี่ยเหยียนจะกล้าเอ่ยวาจานี้ออกมา!
อีกฝ่ายบอกให้เขาติดต่อประมุขตระกูล นี่มันหมายความว่าอย่างไร? เซี่ยเหยียนจงใจแสร้งวางท่าต่อหน้าเขา หรือว่านางมีความมั่นใจจริง ๆ ไม่เห็นตระกูลจ้าวของพวกเขาอยู่ในสายตา
ชั่วพริบตานั้นเอง เขาไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าควรจะต้องทำเช่นไรต่อ การกระทำของเซี่ยเหยียนเหนือเกินกว่าความคาดหมายของเขาไปมาก!
“ทำไม ไม่กล้าแล้วหรือ? กล้าตะโกนออกมาแต่กลับไม่กล้าทำ?”
เซี่ยเหยียนปรายตามองจ้าวจงอย่างไม่แยแส “ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว อย่าได้ลังเล เรียกยอดฝีมือทั้งหมดในตระกูลของเจ้ามาเสีย จากนั้นก็ดูข้าจัดการยอดฝีมือทั้งหมดในตระกูลเจ้าเสียให้เต็มตา”
นางบ้าไปแล้วหรือ?!
จ้าวจงไม่เคยพบสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน นี่ทำให้เขามึนงงยิ่งนัก หัวใจเต้นกระหน่ำขึ้นมา จะเป็นไปได้หรือไม่ที่แม้ยอดฝีมือตระกูลจ้าวทั้งหมดมาที่นี่ก็ยังไม่อาจทำสิ่งใดได้
ทว่าเขาก็สลัดความคิดนี้ออกจากหัวอย่างรวดเร็ว
หากเป็นก่อนหน้านี้ เขาคงไม่กล้าติดต่อกลับตระกูลไปเช่นนี้จริง ๆ เกรงว่ายอดฝีมือที่ออกมาจะไม่อาจทำอันใดได้
แต่ตอนนี้เขาไม่มีความกังวลแม้แต่น้อย
ตอนนี้ภายในตระกูลของเขามียอดฝีมืออยู่ท่านหนึ่ง ตามที่คนในตระกูลบอกเล่ามา ความแข็งแกร่งของยอดฝีมือผู้นี้ล้ำลึกจนไม่อาจหยั่งถึง ทำให้ตระกูลจ้าวของพวกเขาเหนือยิ่งกว่ายอดนิกายอื่น ๆ ทั้งหมด!
“อย่าได้หยิ่งผยองเกินไปนัก บางทีอาจต้องเป็นเจ้าที่ร้องไห้!”
เขาหยิบเอาศาสตราสื่อสารออกมาติดต่อไปยังตระกูล แจ้งให้ทราบว่าตนเองกำลังตกอยู่ในอันตราย จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากยอดฝีมือของตระกูล
“เจ้าเอ่ยบอกตัวตนของเจ้าแล้วหรือยัง?”
มีเสียงดังออกมาจากศาสตราสื่อสาร
“บอกแล้ว แต่นางไม่เห็นตระกูลจ้าวอยู่ในสายตา ทั้งยังเอ่ยว่าอยากพบยอดฝีมือของตระกูลเราด้วย!”
จ้าวจงตอบกลับ
ทว่าแม้จะสามารถติดต่อกับตระกูลได้แล้ว แต่เขาก็ยังคงไม่อาจสงบใจได้ หัวใจเริ่มกลับมาเต้นกระหน่ำอีกครั้ง
เซี่ยเหยียนดูสงบนิ่งเกินไป สิ่งนี้ทำให้เขาหวาดเกรงเสียยิ่งกว่าการที่เซี่ยเหยียนเข้ามาพยายามห้ามปรามเขาเสียอีก
“บ้าไปแล้ว!”
มีเสียงตะโกนด้วยโทสะดังจากศาสตราสื่อสาร
“เจ้าอยู่ที่ไหน?”
“ข้าอยู่ชายเขาเฟิ่งหวา!”
จ้าวจงตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“ตกลง พวกเราจะไปทันที! ส่วนคนที่อยู่ข้างเจ้าตรงนั่น! ฮึ่ม ฟังข้าให้ดี หากจ้าวจงเสียผมไปแม้สักเส้น ข้าจะทำให้เจ้าต้องชดใช้อย่างถึงที่สุด!”
เสียงจากด้านในศาสตราสื่อสารเต็มไปด้วยความั่นใจอย่างเห็นได้ชัด ทำกระทั่งเอ่ยข่มขู่เซี่ยเหยียน
“หนวกหู! พวกเจ้าพูดจาไร้สาระมากเกินไปแล้ว รีบมาเร็วเข้า! หรือ...ต้องให้ข้าไปพาพวกเจ้ามาด้วยตัวเอง?”
เซี่ยเหยียนตะคอกเสียงเย็นชา
จ้าวจงไม่นับว่าเป็นข้อยกเว้นของตระกูลนี้อย่างแน่นอน ทั้งตระกูลดูแล้วล้วนมีปัญหา ครั้งนี้นางไม่ได้ตั้งใจจะสั่งสอนเพียงจ้าวจง แต่จะลงมือสั่งสอนทั้งตระกูล
ผู้ฝึกตนฝึกฝนตัวเอง ก็เพื่อความแข็งแกร่ง ไม่ใช่เพื่อรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า!
“พามา? เจ้ารู้หรือไม่ว่าตนเองกำลังเอ่ยอันใดอยู่? อนุชนผู้โง่เขลาไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ กำเริบเสิบสานจนเกินไป! เช่นนั้น หากเจ้ามีความสามารถก็มาหาพวกข้าเสีย!”
เสียงในศาสตราสื่อสารเอ่ยอย่างเย็นชา ฟังดูแล้วเสียงของเซี่ยเหยียนยังคงเยาว์วัยอยู่มาก
“เหตุใดข้าต้องไปด้วย พวกเจ้าสิที่เป็นฝ่ายต้องมา!”
เซี่ยเหยียนชี้นิ้วไปทางศาสตราสื่อสารในมือของจ้าวจง ทันใดนั้นศาสตราสื่อสารพลันมีพลังเปล่งแสงเจิดจ้า มันลอยออกจากมือของจ้าวจงมาหยุดอยู่กลางอากาศ
ฟุ่บ!
ศาสตราสื่อสารเปล่งลำแสงอันน่าสะพรึงกลัวออกมาอย่างต่อเนื่อง กฎเกณฑ์อันเหนือเกินกว่าจินตนาการแล่นพล่าน เส้นทางที่มันวิ่งไปทำให้ความว่างเปล่าถูกแยกออก กลายเป็นเส้นทางหนึ่งพุ่งไปยังส่วนลึกของความว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว!
สุดท้ายเมื่อเส้นทางนี้หยุดลง ก็เผยให้เห็นอย่างชัดเจนว่าปลายทางการเชื่อมต่ออยู่หนแห่งใด
“เกิดอันใดขึ้น!?”
“นี่มันอันใดกัน!”
เสียงวุ่นวายเซ็งแซ่ดังออกมาจากสถานที่แห่งนั้น เห็นได้ชัดว่าสิ่งมีชีวิตในที่แห่งนั้นต่างตื่นตกใจเป็นอย่างมาก
จะไม่ตื่นตกใจได้อย่างไร?
อยู่ดี ๆ ก็มีเส้นทางปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปลาด้านในตระกูล การป้องกันทั้งหมดนั้นไร้ประโยชน์ ไม่ทำงานขึ้นมาแม้แต่น้อย ไม่แปลกที่จะทำให้ทุกคนตื่นตกใจ!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่ที่พวกเขาอยู่นั้นไม่ใช่สถานที่ธรรมดา!
“เป็นไปได้อย่างไร?!”
เมื่อจ้าวจงเห็นอีกด้านของปลายเส้นทาง หัวใจของเขาก็แทบจะหยุดเต้นลง ร่างกายของเขาสั่นสะท้านไม่หยุด แทบจะเป็นลมล้มลงไปเสียด้วยซ้ำ!
เซี่ยเหยียนทำจริงอย่างที่พูด นางสร้างเส้นทางตรงไปยังตระกูลจ้าวของพวกเขา!
สวรรค์!
นี่มันต้องมีพลังเพียงใดกัน?!
สีหน้าของเขาไม่น่าดู ลำไส้แทบกลายเป็นสีเขียวด้วยความเสียใจ ครั้งนี้เขาก่อภัยให้ตระกูลจ้าวจริง ๆ เสียแล้ว!
“มาจริงหรือ?!”
“!!!”
อีกด้านหนึ่งของเส้นทาง ผู้อาวโสตระกูลจ้าวใบหน้าซีดเซียวด้วยความตกใจ พวกเขาเตรียมกำลังจะระดมคนไปที่นั่น ทว่ายังไม่ได้เริ่มเคลื่อนไหว เซี่ยเหยียนก็ลงมือทำตามที่พูด มารับพวกเขาถึงที่!
“มีเรื่องอันใดก็มาพูดคุยกันดี ๆ เถิด!”
แม้ประมุขตระกูลจ้าวจะตกใจอย่างถึงที่สุดในคราแรก แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงประมุขตระกูล จึงสามารถสงบใจลงได้อย่างรวดเร็ว พร้อมส่งเสียงหาเซี่ยเหยียนผ่านความว่างเปล่า
“พวกเจ้าก็มาคุยที่นี่เถอะ”
เซี่ยเหยียนกล่าวอย่างเฉยชา
นี่คือพลังของขอบเขตเซียน นางบรรลุถึงขอบเขตเซียนนานแล้ว อีกทั้งยังไม่ใช่เซียนธรรมดาทั่วไป
“ตกลง”
หลี่จิ่วเต้าแย้มยิ้มภายในใจ เซี่ยเหยียนนั้นพึ่งพาได้จริง ๆ วาจาล้วนน่าเชื่อถือ ก่อนหน้านี้นางกล่าวว่าตนเองก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว พลังขอบเขตแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ตอนนี้เขาได้เห็นด้วยตาตนเอง นับได้ว่าแข็งแกร่งมากจริง ๆ
ไม่น่าแปลกใจเลยที่นางเอ่ยว่า จ้าวจงกับสวีจิ้งเป็นเพียงแมลงวันตัวจ้อยไร้ความสำคัญ เมื่อจ้าวจงและสวีจิ้งยืนอยู่ต่อหน้าเซี่ยเหยียนแล้ว พวกเขาก็ไม่อาจนับเป็นสิ่งใดได้
ทางด้านฉินหวายเฟิงนั้นยิ่งตกตะลึงมากกว่า เขาไม่เคยเห็นวิธีการเช่นนี้มาก่อน อย่าว่าแต่ได้เห็นเลย กระทั่งได้ยินก็ยังไม่เคย!
เขาได้พบพานกับตัวตนเช่นใดกัน!
“พะ พี่...พี่สาว! เรื่องทั้งหมดข้าล้วนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด! เป็นจ้าวจงที่บังคับให้ข้าทำ! ในตอนนั้นเขาข่มขู่ว่าหากข้าไม่อยู่กับเขา ก็จะสังหารข้าทิ้งเสีย ทำให้ข้าต้องมาอยู่กับจ้าวจง!”
สวีจิ้งรีบคุกเข่าลงบนพื้น ขอร้องอ้อนวอนขอความเมตตาจากเซี่ยเหยียนให้ปล่อยนางไป
เดิมทีนางยังคงมีความหวังสายหนึ่งอยู่ภายใจใน คิดว่าสามารถพึ่งพาตระกูลจ้าวได้ แต่ตอนนี้เมื่อได้เห็นพลังของเซี่ยเหยียนแล้ว นางก็ไม่หลงเหลือความหวังอีกต่อไป สิ่งใดคือตระกูลจ้าวกัน ไม่อาจเทียบได้กับเซี่ยเหยียน!
เซี่ยเหยียนปรายตามองสวีจิ้ง หลังจากนั้นก็ละสายตาออกไปไม่ได้สนใจสวีจิ้งแต่อย่างใด
นางจะเชื่อในสิ่งที่สวีจิ้งพูดได้อย่างไร?
ไม่มีทาง!
อันใดคือถูกจ้าวจงบังคับ เมื่อครู่นางเพิ่งสั่งให้ฉินหวายเฟิงเห่าหอนเหมือนสุนัขด้วยความคิดของตัวนางเอง ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับจ้าวจงแต่อย่างใด สวีจิ้งนั้นมีจิตใจเลวร้าย เป็นสตรีมีพิษผู้หนึ่ง!
ตอนนี้สวีจิ้งยังคิดจะผลักเรื่องราวทุกอย่างลงบนหัวของจ้าวจง เหอะ เหอะ สวีจิ้งผู้นี้สามารถทำได้ทุกสิ่งจริง ๆ...
“หวายเฟิง! ท่านเชื่อข้าเถิด เรื่องที่ข้ากล่าวไปล้วนเป็นความจริงทั้งหมด! สิ่งที่ข้าเอ่ยกับท่านในตอนนั้นเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด! ข้าไม่เคยวางแผนการอันใดกับท่าน ข้าจริงใจกับท่านเสมอ! หวายเฟิง คนที่ข้ารักก็คือท่านเท่านั้น!”
เมื่อเห็นว่าเซี่ยเหยียนไม่สนใจ นางจึงรีบหันไปร่ำไห้กับฉินหวายเฟิง
“อย่าได้เอ่ยคำว่ารักออกมา น่าคลื่นไส้นัก! เจ้าคิดว่าข้ายังมองตัวตนของเจ้าไม่ออกหรืออย่างไร? เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่!”
ฉินหวายเฟิงเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา ไม่ได้หวั่นไหวแต่อย่างใด
หากเขาเชื่อสิ่งที่สวีจิ้งเอ่ยออกมาอีกครั้ง เช่นนั้นเขาคงจะโง่งมจนเกินเยียวยาจริง ๆ!
“บังอาจ!”
ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงตะโกนออกจากอีกฝั่งของเส้นทาง พร้อมกันนั้นมีคลื่นพลังอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ซ่านออกมา ทำให้เส้นทางที่เซี่ยเหยียนสร้างขึ้นมาพังทลายลงในบัดดล!
ทันใดนั้นเอง แสงเซียนก็เปล่งประกายเรืองรอง เผยให้เห็นเส้นทางที่สว่างไสวและน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่ามุ่งตรงมาทางนี้!
“ก่อกวนการฝึกฝน รบกลัวการหลับลึกของข้า เจ้าสมควรถูกลงโทษ!”
มีเสียงดังขึ้นมาจากฝั่งนั้นอีกครั้ง เสียงนี้เต็มไปด้วยความกดดันมหาศาล ประหนึ่งการโจมตีของสายฟ้า ชวนเกิดความหวาดกลัวจนเนื้อตัวสั่นเทาไม่ได้!
เซี่ยเหยียนขมวดคิ้ว นางสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันแข็งแกร่ง คนผู้นี้มาจากที่ใดกัน? เหตุใดจึงแข็งแกร่งถึงเพียงนี้?
แรงกดดันนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าอยู่เหนือขอบเขตเซียนขึ้นไป นางเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อใดกันที่อาณาจักรแห่งนี้มีตัวตนที่ทรงพลังเช่นนี้ดำรงอยู่?
บนถนนเส้นใหม่มีร่างที่น่าสะพรึงกลัวก้าวเดินออกมาอย่างแช่มช้า ทุกครั้งที่ฝ่าเท้าย่ำลง ฟ้าดินราวกับจะสั่นสะเทือน ประหนึ่งเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ส่งเสียงสะเทือนเลือนลั่นไม่หยุด
“ฮ่าฮ่า!”
สวีจิ้งยิ้มออกมา นางมองไปทางฉินหวายเฟิงอย่างเหยียดหยาม “ฉินหวายเฟิง เจ้าพูดไม่ผิด ข้าไม่เคยเหลือบแลเจ้าตั้งแต่ต้นจนจบ ในใจของข้ามีเพียงแต่ท่านพี่จง!”
นางมองไปทางจ้าวจงด้วยความอ่อนโยน “ท่านพี่จง ท่านอย่าได้ใส่ใจคำพูดของข้าเลย สิ่งที่ข้าพูดล้วนเป็นคำโกหก ต้องการสร้างความสับสนให้พวกเขา จากนั้นก็เตรียมใช่ประโยชน์จากช่องว่างที่พวกเขาไม่ทันตั้งตัว! ตัวข้านั้นเป็นคนของท่านพี่จงตลอดไป!”
คนที่มานั้นจะต้องน่ากลัวกว่าเซี่ยเหยียนอย่างไม่ต้องสงสัย นางจึงเปลี่ยนท่าทีภายในพริบตา รีบลุกไปอยู่ด้านข้างจ้าวจง
น่าสะอิดสะเอียนเหลือเกิน!
ฉินหวายเฟิงขมวดคิ้ว บนโลกนี้มีคนที่ไร้ยางอายถึงขั้นนี้อยู่ได้อย่างไร
เขารู้สึกสะอิดสะเอียนจนอยากจะอาเจียนออกมาจริง ๆ
เซี่ยเหยียนขมวดคิ้ว รู้สึกรังเกียจไม่ต่างกัน เมื่อครู่สวีจิ้งเพิ่งจะขอร้องอ้อนวอนนางกับฉินหวายเฟิงอย่าง ‘จริงใจ’ แต่เมื่อสถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลง ก็เปลี่ยนท่าทีตามภายในพริบตา คนผู้นี้...ช่างสุดยอดจริง ๆ
ใบหน้าของนางคงหนาเสียยิ่งกว่ากำแพงเมือง
แต่น่าเสียดาย ที่สถานการณ์ที่แปรเปลี่ยนไปนั้นเป็นแค่ความคิดของสวีจิ้งเท่านั้น สำหรับเซี่ยเหยียนแล้ว สถาการณ์ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
คนที่มาน่าสะพรึงกลัวแล้วอย่างไร?
คุณชายนั่งอยู่ตรงนี้แล้ว ผู้ใดมาก็ล้วนไม่อาจทำสิ่งใดได้!
“...”
หลี่จิ่วเต้าไร้คำจะเอ่ย คนอย่างสวีจิ้งนั้นไม่มียางอายเลยแม้แต่น้อย
แต่ด้วยวาจาเมื่อครู่ของสวีจิ้งเพิ่งจะโยนความผิดทุกอย่างใส่หัวจ้าวจง ดังนั้นแล้วจ้าวจงยังจะสามารถยอมรับสวีจิ้งได้อีกหรือ?
เขารู้สึกว่าสวีจิ้งกำลังทำตัวเป็นนกสองหัว
ทว่าเขาก็ถูก ‘ตบหน้า’ อย่างรวดเร็ว จ้าวจงไม่ได้ถือสาสวีจิ้งแม้แต่น้อย!
“ที่รักของข้า เจ้ากำลังพูดสิ่งใดกัน ข้าไม่เคยสงสัยในตัวเจ้าเลยตั้งแต่ต้นจนจบ ข้ารู้ว่าภายในใจของเจ้ามีเพียงแต่ข้า”
จ้าวจงมองสวีจิ้งพลางเอ่ยออกมา
เขาไม่ได้ถือสาเลยจริง ๆ สำหรับเขาแล้วสวีจิ้งเป็นเพียงแค่ ‘ของเล่น’ ชิ้นหนึ่ง ไม่สำคัญว่าจะจริงใจหรือไม่ ขอเพียงแค่เล่นด้วยได้ก็พอ
“ขอบคุณท่านพี่จง! ท่านพี่จงดีที่สุดเลย!”
สวีจิ้งกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
กล่าวตามตรงแล้ว นางเองก็รู้ดีว่าจ้าวจงไม่ได้จริงใจกับนาง แต่นางก็ไม่ได้ใส่ใจอันใดเช่นเดียวกัน
เพราะนางเองก็ไม่ได้จริงใจต่อจ้าวจงแต่อย่างใด เพียงแค่ต้องการใช้งานอีกฝ่าย พวกเขาทั้งคู่ต่างก็ได้สิ่งที่ต้องการ เท่านี้ก็นับว่าลุล่วงดีแล้ว
‘ไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเขาสองคนจะอยู่ด้วยกันได้ ช่างสมกับเป็นผีเน่าโลงผุเสียจริง…’
หลี่จิ่วเต้าคิดในใจ
จ้าวจงและสวีจิ้งต่างก็จอมปลอมทั้งคู่ ทั้งสองต่างไม่ถือสาสิ่งใด นับว่าไม่ต่างกันมากนัก!
ไม่ต้องกล่าวเลยว่า ภายในใจของฉินหวายเฟิงมีหลากหลายอารมณ์มากเพียงใด
เขาในยามนั้นตาบอดถึงเพียงนั้นได้อย่างไรกัน ถึงกับมองสิ่งใดไม่ออกสักนิด ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องยอมช่วยเหลือสวีจิ้งในทุกเรื่อง เขากระทั่งตกหลุมรักสวีจิ้งจากใจจริง!
เมื่อมาย้อนคิดตอนนี้แล้ว ก็อยากจะตีตัวเองยามนั้นให้ตายจริง ๆ
ตามืดบอดเกินไปแล้ว!
“ท่านพี่ หากท่านเลือกคนเช่นนี้มาเป็นพี่สะใภ้ในอนาคตของข้า ข้า...ข้าจะตัดความสัมพันธ์กับท่าน!”
เสี่ยวหยาเอ่ยกับพี่ชายของนางด้วยความโกรธ
นางเองก็รังเกียจสวีจิ้งเช่นเดียวกัน
“เจ้าวางใจได้ หากข้าได้สตรีเช่นนี้จริง เจ้าไม่จำเป็นต้องตัดความสัมพันธ์ เพราะข้าจะแทงตัวเองให้ตายไปก่อนเลย!”
พี่ชายเสี่ยวหยารู้สึกรังเกียจไม่ต่างกัน นับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว เพิ่งรู้ว่ายังมีสตรีเช่นสวีจิ้งอยู่ในใต้หล้านี้
ฟิ้ววว!
แสงสว่างเจิดจ้าพุ่งออกมาจากเส้นทางท่ามกลางความว่างเปล่า ร่างอันน่าสะพรึงกลัวนั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ด้านหลังของคนผู้นั้นมีประมุขตระกูลจ้าวและยอดฝีมือคนอื่น ๆ ตามมาด้วย
แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ปกคลุม ฟ้าดินสั่นสะเทือนรุนแรงเสียยิ่งกว่าเดิม เพียงแค่ได้เห็น หัวใจของฉินหวายเฟิงก็ถึงกับเต้นระรัว แต่ก็มีสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจ นั่นคือเขาเพียงแค่เกิดความรู้สึกหวาดกลัวภายในใจ ไม่ได้เผชิญกับแรงกดดันแต่อย่างใด
นี่มันเกิดอันใดขึ้น?
โดยปกติแล้ว ด้วยขอบเขตของเขา แรงกดดันถึงเพียงนี้ เขาไม่อาจทนรับได้เลย จิตวิญญาณจะต้องพังทลายในทันที
ทว่าเขากลับไม่รู้สึกถึงแรงกดดันเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าแรงกดดันนั้นไม่มีอยู่จริง!
เขามองไปทางหลี่จิ่วเต้าที่อยู่ด้านข้าง ก็พบว่าหลี่จิ่วเต้านั้นดูสบายดีเป็นอย่างยิ่ง สีหน้าท่าทางยังคงสงบนิ่ง ก่อนหน้านี้ที่ได้สนทนากันระหว่างทาง เขาเห็นว่าเซี่ยเหยียนและคนอื่น ๆ ต่างเคารพหลี่จิ่วเต้าเป็นอย่างมาก นี่ทำให้เขาค่อย ๆ เข้าใจเรื่องราวบางอย่างขึ้นมา ดูเหมือนว่าหลี่จิ่วเต้าจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด!
เหตุผลที่ไม่มีแรงกดดันตกใส่เขา เกรงว่าอาจเป็นเพราะเขาอยู่ด้านข้างหลี่จิ่วเต้า!
เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว หัวใจของเขาก็ค่อย ๆ สงบลง
สามารถทำให้แรงกดดันขนาดนี้เสมือนไม่มีอยู่จริงได้ หลี่จิ่วเต้าจะต้องไม่ธรรมดาสามัญ อย่างน้อยก็ไม่แย่ไปกว่าสิ่งมีชีวิตที่กำลังมา
ใช้เวลาเพียงไม่นาน ร่างอันน่าพรั่นพรึงก็ก้าวออกมาจากเส้นทาง ทั่วทั้งร่างปกคลุมไปด้วยขนสีทองเรืองรอง ประหนึ่งมีเปลวเพลิงลุกโชติช่วง มันคือกิเลนเพลิงตัวหนึ่ง หัวเป็นมังกร ร่างเป็นกวาง หางเป็นวัว มีขาเหมือนม้า ขาทั้งสี่ข้างและหางเต็มไปด้วยเปลวเพลิงสีทองโหมกระหน่ำ ดูดุร้ายและน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง!
เพียงแค่มันลืมตาขึ้นมา ก็ราวกับสามารถเห็นเปลวเพลิงกองมหึมากำลังขยับไหวอยู่ภายใน น่าหวาดหวั่นจนไม่อาจจินตนาการถึง ประหนึ่งสามารถเผาดาวบนจักรวาลหมื่นดาราทิ้งไปทีละดวงทีละดวงได้!
“สง่างามนัก!”
เมื่อเห็นกิเลนไฟตนนี้ ดวงตาของหลี่จิ่วเต้าพลันเปล่งประกายขึ้นมาทันที ร้องอุทานออกมาในใจ
หากนำมาเป็นสัตว์ขี่ได้ น่าจะสง่างามเสียยิ่งกว่ากระบี่เหินซะอีก!
เขาเปลี่ยนความคิดในทันที ไม่คิดจะใช้กระบี่เหินอีกต่อไป แต่อยากนั่งกิเลนเพลิงโบยบินไปทั่วท้องนภา!
ทว่าไม่รู้ว่ากิเลนเพลิงตนนี้จะจัดการได้ง่ายหรือไม่!
เขาต้องการที่จะลงมือด้วยตนเอง!
อย่างไรเสียตนก็เป็นผู้อยากได้กิเลนเพลิงมาเป็นสัตว์ขี่ หากไม่สามารถสยบกิเลนเพลิงได้ด้วยตนเอง เขาก็คงไม่อาจจะขี่มันอย่างมั่นคงได้
‘ไม่เป็นไร ข้าแค่ขอลองดูก่อน อย่างไรเสียเซี่ยเหยียนก็อยู่ที่นี่’
หลี่จิ่วเต้าคิดขึ้นมาในใจ มีเซี่ยเหยียนอยู่เบื้องหลัง เขาไม่จำเป็นต้องกังวลหรือหวาดเกรงสิ่งใด
แม้กิเลนเพลิงจะดูดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง แต่เห็นสีหน้าของเซี่ยเหยียนที่ไม่แปรเปลี่ยนเลยสักนิด ยังคงสงบและผ่อนคลายเช่นเดียวกัน แสดงว่านางจะต้องมีวิธีจัดการกับกิเลนเพลิงตัวนี้อย่างแน่นอน
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว เขาก็ไม่ลังเลอีก หันไปเอ่ยกับเซี่ยเหยียนว่า “เซี่ยเหยียน เจ้ากลับมา ข้าจะไปเอง”
คุณชายจะลงมือเองอย่างนั้นหรือ?
เซี่ยเหยียนตกตะลึงระคนประหลาดใจ นางไม่คิดว่ากิเลนเพลิงจะมีพลังมากพอที่จะเป็นคู่มือของคุณชาย แม้ว่ามันจะสามารถสร้างแรงกดดันอย่างมากให้นางได้ก็ตาม
หากใช้พลังทั้งหมดออกมา รวมทั้งเรียกคันศรที่คุณชายมอบให้ นางก็มั่นใจว่าตนเองจะสามารถจัดการกิเลนเพลิงลงได้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ ต่อให้ล้มเหลวขึ้นมา นางก็ย่อมไม่เป็นอันใด ในเมื่อตรงนี้ยังมีลั่วสุ่ยยืนอยู่อีกคน
ขอเพียงลั่วสุ่ยร่ายมวยไทเก๊กจบชุดหนึ่ง แม้กิเลนเพลิงจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ต้องถูกสยบลงในที่สุด
แรงกดดันของกิเลนเพลิงนั้นยังด้อยกว่าลู่อู๋ ซ้ำยังมีช่องว่างขนาดใหญ่ ลั่วสุ่ยสามารถลงมือสยบกิเลนเพลิงได้โดยไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย
การที่คุณชายต้องการลงมือเองก็คงเพราะถูกใจกิเลนเพลิงตัวนี้
นางแย้มยิ้มแล้วตอบกลับทันทีว่า “รับทราบแล้วคุณชาย”
หลังจากนั้นนางก็ถอยกลับไป
เมื่อเห็นรอยยิ้มเจิดจ้าบนใบหน้าเซี่ยเหยียน หลี่จิ่วเต้าก็รู้สึกมั่นใจมากยิ่งขึ้น
นี่แสดงให้เห็นว่ากิเลนเพลิงไม่อาจทำสิ่งใดได้ แม้กระทั่งตัวเขาก็สามารถปราบปรามมันลงได้ ไม่เช่นนั้นเซี่ยเหยียนจะยิ้มเช่นนี้ได้อย่างไร
เซี่ยเหยียนไม่มีทางขุดหลุมใส่เขาแน่นอน
ชายหนุ่มเดินไปเบื้องหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม เอ่ยออกมาระหว่างมองไปทางกิเลนเพลิง “มาเถิด คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้า ข้าจะบอกไว้ก่อนเลยว่าข้าถูกใจเจ้า หากเจ้าแพ้ ก็จงมาเป็นสัตว์ขี่ให้ข้าอย่างว่าง่ายเสียเถิด วางใจได้ หากเป็นสัตว์ขี่ของข้าแล้ว ข้าย่อมไม่ปฏิบัติกับเจ้าอย่างไม่เลวร้าย จะดีกับเจ้าเป็นอย่างมาก”
หลังจากที่กิเลนเพลิงได้ยินคำพูดของหลี่จิ่วเต้าแล้ว ดวงตาทั้งสองข้างพลันเต็มไปด้วยโทสะเดือดพล่าน จิตสังหารล้นทะลักออกมาจากร่างของมัน ฟ้าดินถึงกับเปลี่ยนสีกลายเป็นดำสนิทอย่างถึงที่สุด!
พูดบ้าอันใด!?
มันเพิ่งได้ยินสิ่งใดกัน?
หลี่จิ่วเต้าบอกว่าต้องการมันไปเป็นสัตว์ขี่!
ตัวตนของมันคืออะไร กระทั่งในแดนบรรพโกลาหลยังไม่มีผู้ใดกล้าพูดกับมันเช่นนี้
แน่นอนว่า ตัวมันนั้นไม่ได้แข็งแกร่งอันใดมากมายในแดนบรรพโกลาหล
ทว่าเบื้องหลังของมันน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งในแดนบรรพโกลาหลยังไม่มีผู้ใดกล้ายั่วยุมันโดยง่าย!
มันมาจากเผ่ากิเลน หนึ่งในเผ่าที่เก่าแก่ที่สุดของแดนบรรพโกลาหล ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของแดนบรรพโกลาหลมาโดยตลอด แข็งแกร่งจนไม่อาจจินตนาการได้!
สายเลือดของมันสะท้านฟ้าอย่างถึงที่สุด เพียงแต่มันยังไม่โตเต็มวัย ไม่เช่นนั้นคงไม่อ่อนแอถึงเพียงนี้
เมื่อโตเต็มวัยแล้ว มันจะต้องกลายเป็นยอดฝีมือในแดนบรรพโกลาหลได้อย่างแน่นอน มีสิ่งมีชีวิตจำนวนน้อยนิดที่สามารถต่อกรกับมันได้!
ใช่แล้ว มันเองก็ร่วงหล่นออกมาจากแดนบรรพโกลาหล
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ดินแดนบรรพโกลาหลไม่เสถียรเป็นอย่างยิ่ง ทำให้รอยร้าวมักจะปรากฏขึ้นมาอย่างไร้สัญญาณบอก มันจึงเผลอตกลงมายังอาณาจักรแห่งนี้ผ่านรอยร้าวโดยไม่ได้ตั้งใจ
หลังจากตกลงมายังอาณาจักรแห่งนี้แล้ว มันก็ต้องการจะกลับไป ทว่ากลับหารอยร้าวเหล่านั้นไม่พบเสียแล้ว จึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องอยู่ต่อ
มันได้พบกับดินแดนของตระกูลจ้าวโดยบังเอิญ และสัมผัสได้ว่าดินแดนของตระกูลจ้าวนั้นไม่เลวเลย แข็งแกร่งยิ่งกว่าสถานที่แห่งอื่นที่มันผ่านมา ดังนั้นมันจึงลงหลักปักฐานในตระกูลจ้าว
หากเซี่ยเหยียนไม่ได้เปิดเส้นทางเข้าไปยังดินแดนของตระกูลจ้าว มันก็คงไม่ออกมาเช่นนี้ แต่ยังคงฝึกฝนต่อไปด้านในดินแดนตระกูลจ้าว
“เห็นเช่นนี้แล้ว ความจริงข้าเองก็แข็งแกร่งมากนะ”
หลี่จิ่วเต้าเห็นกิเลนเพลิงไม่พูดไม่จาอันใด แต่บนร่างเปี่ยมด้วยจิตสังหารมากกว่าเดิม ทำให้เขาคิดว่ากิเลนเพลิงกำลังดูหมิ่นเขา เพราะเห็นเขาเป็นเพียงแค่ปุถุชนทั่วไป
ก็จริงที่เขาเป็นปุถุชน
แต่ในมือของเขายังมีสมบัติอยู่หลายชิ้น เขาเคยใช้งานสมบัติเหล่านี้มาแล้วหลายครั้ง สมบัติเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ทรงพลังจริง ๆ กระทั่งเขาที่เป็นปุถุชนยังสามารถสำแดงพลังที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากออกมาได้
“แข็งแกร่งมาก? แข็งแกร่งมากเพียงใดกัน!?”
กิเลนเพลิงหัวเราะออกมา สิ่งมีชีวิตนอกแดนบรรพโกลาหลถึงกับกล้าบอกว่าตัวเองแข็งแกร่งมากเชียวหรือ?
น่าขันนัก!
แดนบรรพโกลาหลเป็นแกนกลางโกลาหล นับเป็นสถานที่ที่ทรงพลังมากที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างภายนอก กระทั่งอาณาจักรนับหมื่น ชีวิตนับไม่ถ้วน ล้วนวิวัฒน์ขึ้นจากแดนบรรพโกลาหล!
ความต่างชั้นที่มีนั้นห่างไกลจนไม่อาจกล่าวถึง!
มีเพียงแค่สิ่งมีชีวิตจากแดนบรรพโกลาหลเท่านั้นที่สามารถนับว่าแข็งแกร่งต่อหน้ามันได้ ส่วนสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรภายนอกเหล่านี้ แม้จะแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเอ่ยว่าตนเองแข็งแกร่งต่อหน้ามัน!
“แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ!”
หลี่จิ่วเต้ามองไปทางกิเลนเพลิงด้วยสายตาจริงจัง “อย่ามองว่าข้าเป็นเพียงปุถุชน ตัวข้านั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก!”
ปุถุชน?
นี่มันบ้าอันใดกัน!
หากหลี่จิ่วเต้าเป็นปุถุชนอะไรนั่นตามที่พูดจริง จะมายืนกำเริบเสิบสานเพียงนี้ต่อหน้ามันได้อย่างไร?
หากเป็นปุถุชนจริง เกรงว่าคงจะตื่นตกใจจนวิญญาณพังทลายไปนานแล้ว!
หลี่จิ่วเต้ากำลังแสร้งทำตัวเป็นหมาป่าหางโตต่อหน้ามัน?
มันหัวเราะออกมาด้วยความเย้ยหยันอีกครั้ง จิตสังหารพุ่งทะยานฟ้า ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดกล้ามาล้อเล่นกับมันเช่นนี้ ถึงกับกล้าแสร้งวางท่าต่อหน้ามัน!
ปุถุชน?
คุณชายหลี่ผู้นี้ช่างมีอารมณ์ขันเสียจริง!
ฉินหวายเฟิงยิ้มเจื่อน เขาเองก็ไม่เคยคิดว่าหลี่จิ่วเต้าเป็นปุถุชน
“เจ้าไม่เชื่อหรือว่าข้าแข็งแกร่งมาก?”
หลี่จิ่วเต้ามองไปทางกิเลนเพลิง “ปุถุชนเองก็สามารถแข็งแกร่งได้!”
“ข้ายังไม่ลงมือก็เพราะอยากจะดูว่ากบในบ่อน้ำอย่างเจ้าจะสามารถกระโดดได้สูงสักเท่าไหร่ ช่างน่าสมเพช กบในบ่ออย่างไรเสียก็เป็นเพียงแค่กบในบ่อ ถึงกับอวดโอ้ได้มากกว่าที่ข้าคิด!”
กิเลนเพลิงหัวเราะออกมาอย่างเหยีดหยาม “แข็งแกร่งมากอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นก็ให้ข้าดูเสียว่าเจ้าแข็งแกร่งแค่ไหนกันเชียว! หากข้าจามเพียงแค่ครั้งเดียวเจ้าก็ตายเรียบร้อย ข้าคงจะเบื่อเป็นอย่างมาก!”
แม้ว่ามันจะยังโตไม่เต็มวัย ความแข็งแกร่งเองก็อยู่ระดับปานกลางของแดนบรรพโกลาหล ทว่ามันก็มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถกำราบศัตรูทั้งหมดที่อยู่ภายนอกได้!
พลังที่อยู่ในแกนกลางโกลาหลและภายนอกนั้นแตกต่างกันเป็นอย่างมาก เกรงว่าถึงแม้มันจะต้องสู้ข้ามขั้นก็ย่อมไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ไม่กดดันแม้แต่น้อย!
“รักษาท่าทางเอาไว้ให้ดี ให้ข้าได้เล่นสนุกเสีย!”
มันมองไปทางหลี่จิ่วเต้าด้วยความเหยียดหยาม
หลี่จิ่วเต้าตรงหน้านี้ เรียกขานตนเองว่า ‘ปุถุชน’ อยู่หลายคราก็เพื่อล้อเลียนมัน จิตสังหารของกิเลนไฟพลุ่งพล่านถึงขีดสุด!
มันไม่เอ่ยอันใดให้มากความอีก เพียงแค่จามออกไปหนึ่งที เปลวเพลิงสีทองห่อหุ้มลูกไฟดวงใหญ่พุ่งใส่หลี่จิ่วเต้า มันจะทำให้ถ้อยคำที่มันกล่าวไว้ก่อนหน้ากลายเป็นความจริง สังหารหลี่จิ่วเต้าด้วยการจามหนึ่งครั้ง!
“เจ้าชอบเล่นกับไฟ ถึงได้อารมณ์ร้อนไม่เบา พอเข้าใจได้”
หลี่จิ่วเต้ากล่าว “แต่ข้าว่า อารมณ์เย็นลงหน่อยจะดีกว่า”
เขาตั้งจิต ไข่มุกคุมวารีพุ่งออกจากแหวนบนมือเขา
“ข้าช่วยดับไฟให้เจ้าก่อน”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเบา ไข่มุกคุมวารีเปล่งประกายเจิดจ้าออกมาในบัดดล ซ้ำยังมีกฎระเบียบสูงส่งน่ายำเกรงปะทุออกมาด้วย
ซ่า!
ลมหายใจต่อมา บริเวณนี้พลันมีหยาดฝนกระหน่ำลงมา เม็ดฝนล้วนวาววามสุกสกาว แฝงไว้ด้วยพลังเกินหยั่ง!
เมื่อเม็ดฝนโปรยปรายลงมา ลูกไฟที่กิเลนไฟจามออกไปก็ดับลงด้วยน้ำฝนทันที
นอกจากนี้ เม็ดฝนที่ร่วงหล่นลงบนตัวกิเลนไฟ ดับเปลวเพลิงที่ห้อมล้อมกิเลนไฟไปด้วย ประกายทั้งหมดมลายจนสิ้น!
‘ไม่ค่อยเท่าไหร่จริง ๆ ด้วย…’
หลี่จิ่วเต้าหัวเราะในใจ กิเลนไฟตัวนี้อ่อนพลังจริง ๆ
เป็นไปได้อย่างไรกัน!
ดวงตาของกิเลนไฟเบิกกว้าง หน้าตาหวาดผวา ความกลัวแผ่ซ่านไปทั้งใจ
มันไม่ทันรู้สึกเลยว่า มีคลื่นพลังไหลเวียนอยู่ในตัวหลี่จิ่วเต้า เขาก็ทำให้ไข่มุกเม็ดนั้นสำแดงอานุภาพระดับนี้ออกมาได้ เขาทำได้อย่างไรกัน?!
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
ความเป็นไปได้เดียวที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้ก็คือ ขอบเขตพลังของหลี่จิ่วเต้าเหนือกว่ามันไปมาก มันถึงจับสัมผัสการไหลเวียนของคลื่นพลังจากตัวอีกฝ่ายไม่ได้!
คนผู้นี้มาจากไหนกันนี่?
ดินแดนข้างนอกนี้ยังมีผู้ที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงถึงปานนี้อยู่อีกหรือ?!
“ข้านี่นะ ถ้าไม่สนใจ ไม่มาที่นี่คงจะดี!”
เหมือนว่ามันมองเห็นชะตากรรมอันโศกศัลย์ของตัวเองหลังจากนี้ได้ เอาแต่คำรามด้วยความสำนึกในใจ คราวนี้ มันคงจบเห่แล้วจริง ๆ!
“ไม่…ไม่ใช่กระมัง!”
สวีจิ้งอึ้งงัน อยากร้องไห้นัก เหตุใดสถานการณ์ถึงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่เรื่อยเล่า!
“คือว่า…ถ้าข้าบอกว่าสิ่งที่ข้าเอ่ยต่อจ้าวจงเมื่อครู่มิใช่ความจริง หวายเฟิงเจ้าเชื่อหรือไม่”
นางมองหวายเฟิงพลางกล่าว
ฉินหวายเฟิงไม่แม้แต่จะแยแสสวีจิ้ง สตรีนางนี้ไม่มีความเป็นมนุษย์เลยสักนิด!
โฮก!
กิเลนไฟคำราม ถึงอย่างไรก็รู้สึกเจ็บใจนักหากต้องยอมรับชะตากรรมทั้งอย่างนี้ มันระเบิดพลังทั้งหมด เปลวเพลิงสีทองเจิดจ้าแยงตาลุกโชนตามตัวมันอีกครั้ง
อนิจจา เม็ดฝนก็หยดลงมาอีกครั้ง เปลวเพลิงสีทองที่ห้อมล้อมรอบตัวมันดับลงไปในบัดดล ความห่างชั้นนั้นมิใช่น้อย ๆ ท่านผู้นี้มิใช่ผู้ที่เขาต่อกรได้เลย!
“มาเถิด มาเป็นสัตว์ขี่ของข้า ตามข้าท่องแดนไปทั่วสารทิศ!”
หลี่จิ่วเต้าเรียกธงฮุ่นหยวนออกมา ก้าวขาออกไปหนึ่งก้าว ทะลุปริภูมิเวลา มานั่งอยู่บนหลังของกิเลนไฟทันที
“!!!”
กิเลนไฟบันดาลโทสะ สายเลือดของมันเลอค่าปานใด ไฉนเลยจะยอมเป็นสัตว์ขี่ได้!
ต่อให้หลี่จิ่วเต้าแข็งแกร่งกว่ามันมาก มันก็ไม่มีวันยอมจำนน!
“ต่อให้เจ้าเล่นงานข้าจนตาย ข้าก็ไม่มีวันยอมเป็นสัตว์ขี่ของเจ้า!”
มันคำรามเสียงอำมหิต ระเบิดพลังออกมาทั้งหมด หมายจะกระเทือนหลี่จิ่วเต้าให้ลงจากหลัง
ทว่าไม่นานนักมันก็รู้ตัวด้วยความผวาว่า พลังของมันถูกสะกดไว้หมดแล้ว ไม่อาจใช้ได้แม้แต่เสี้ยวเดียว!
นี่มันเรื่องอะไรกัน!
มันไม่รู้สึกถึงคลื่นพลังใดเลยสักนิด พลังในตัวมันทั้งหมดถูกผนึกลง ทำได้อย่างไรกัน?!
ขอบเขตพลังของหลี่จิ่วเต้าเหนือว่าที่มันจินตนาการไว้เสียอีก!
“เป็นเด็กดี ว่านอนสอนง่ายหน่อย เป็นสัตว์ขี่ของข้า เจ้าไม่เสียเปรียบหรอก”
ชายหนุ่มลูบขนนุ่มลื่นของกิเลนไฟ บอกกับมันเสียงเบา
จริงอยู่ว่าเขาเป็นเพียงปุถุชน ไม่มีสิ่งดี ๆ จะมอบให้กิเลนไฟ และให้ความช่วยเหลือด้านการฝึกฝนกับกิเลนไฟได้ไม่มาก
ทว่าเขาสนิทกับเซี่ยเหยียนนี่
เซี่ยเหยียนแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ สำนักไท่หัวซึ่งอยู่เบื้องหลังนางยังเป็นสำนักใหญ่ระดับต้น ๆ ไม่ว่าไปที่ไหนก็อ้างได้เสมอ ภายหน้า กิเลนไฟที่ติดตามเขาไม่มีทางเสียเปรียบแน่ ๆ
อย่างน้อยกิเลนไฟก็สามารถรู้จักกับเซี่ยเหยียนผ่านเขา วันหน้ามีแต่จะได้รับสิ่งดี ๆ ไปด้วย นางเห็นแก่หน้าเขา ช่วยกิเลนไฟส่ง ๆ ก็เป็นประโยชน์มหาศาลต่อกิเลนไฟแล้ว
ไม่เสียเปรียบหรือ?!
พูดอะไรออกมา!
ข้าพิศวาสบุญคุณกระจอกงอกง่อยของเจ้าหรือไร?!
กิเลนไฟหาได้สนใจสิ่งเหล่านั้นไม่ มันมาจากแดนบรรพโกลาหล รากฐานของเผ่ากิเลนของมันมั่งคั่งจนวัดมิได้ มีสิ่งใดบ้างที่มันไม่เคยเห็น
หลี่จิ่วเต้าเห็นมันเป็นอสูรตัวน้อย ๆ ผู้ไม่เคยผ่านโลกมาจริง ๆ หรือไร?!
หากเทียบกันจริง ๆ หลี่จิ่วเต้าไม่มีค่าใด ๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าเผ่ากิเลนของมัน!
มันอ้าปากหมายจะเอ่ยวาจาเหล่านั้น ทว่ามันยังไม่ทันได้ปริปาก สีหน้าก็ต้องเปลี่ยนไป!
คล้อยตามมือของหลี่จิ่วเต้าที่ลูบขนมันไม่หยุด มันสัมผัสได้ว่า พลังด้านต่าง ๆ ในตัวมันยกระดับขึ้นอย่างบ้าคลั่ง!
แม้แต่สายเลือดในตัวมันก็เช่นกัน!
สายเลือดในตัวมันเดือดพล่านทะลักทลาย ซ้ำยังมีอักขระพิเศษจำนวนหนึ่งปรากฏอยู่ภายใน สายเลือดของมันกำลังวิวัฒนา เป็นการวิวัฒนาจนถึงแก่น ทันทีที่สายเลือดในตัวมันวิวัฒนาการสำเร็จ จะเปลี่ยนไปอย่างน่าครั่นครามปานใดก็มิอาจทราบได้!
นี่…นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?!
มันตกใจจนแทบสิ้นลม เผ่ากิเลนของมันถือกำเนิดขึ้นในแดนบรรพโกลาหล สายเลือดสูงส่งเป็นที่หนึ่ง แตะเพดานแล้ว ไม่มีทางแข็งแกร่งไปกว่านี้ได้
สายเลือดในตัวมันทรงพลังที่สุดแล้ว ไม่มีทางวิวัฒนาการ หรือยกระดับได้อีก
แต่หลี่จิ่วเต้าเพียงแค่ลูบไล้มันไม่กี่ทีเท่านั้น สายเลือดในตัวมันกลับพุ่งพรวดอย่างบ้าคลั่ง วิวัฒนาการจนถึงแก่น!
สวรรค์ หลี่จิ่วเต้าผู้นี้เป็นตัวตนระดับใดกันแน่!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ขอบเขตของหลี่จิ่วเต้าอยู่ในระดับที่จินตนาการไม่ออก แข็งแกร่งกว่าผู้ที่ทรงพลังที่สุดในเผ่ากิเลนของมันเสียอีก!
ซ้ำยังไม่สามารถเทียบเทียมได้เลย เผ่ากิเลนของพวกมันต่ำต้อยยิ่งกว่าเศษธุลีเมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่จิ่วเต้า!
‘ข้าเป็นอสูรตัวน้อย ๆ ผู้ไม่เคยผ่านโลกมาจริง ๆ ด้วย!’
กิเลนไฟร่ำให้ในใจ
หลี่จิ่วเต้าผู้นี้ เก่งกล้ายิ่งกว่าบรรพจารย์เต๋าโกลาหลในตำนานเสียอีก เขาอยู่เหนือทุกสิ่ง สายเลือดกิเลนที่แตะเพดานแล้ว นอกเสียจากว่าทลายความโกลาหลออกไป อยู่ในขอบเขตที่สูงยิ่งขึ้น จึงจะทำให้สายเลือดกิเลนที่แตะโดนเพดานวิวัฒนาการแล้ว ยกระดับไปได้มากกว่านี้!
และถึงแม้ว่าบรรพจารย์เต๋าโกลาหลเกินหยั่งถึงขีดสุด ก็ยังอยู่ในความโกลาหล ไม่อาจทลายความโกลาหลไปได้
ตอนนี้ ความคิดที่ว่ายอมตายเสียดีกว่าเป็นสัตว์ขี่ถูกมันสลัดทิ้งไปหมด
ต่อให้บรรพจารย์เผ่ากิเลนของมันมาอยู่ที่นี่ บรรพจารย์เผ่ากิเลนของมันก็ต้องยอมเป็นสัตว์ขี่แต่โดยดี!
เป็นสัตว์ขี่ให้กับตัวตนสูงส่งอย่างหามิได้เช่นนี้ ถือเป็นเกียรติอันสูงสุดของมัน!
“สวัสดีนายท่าน!”
มันรีบกระดิกหาง ร้องเรียกเสียงหวาน ไม่เหลือความไม่เต็มใจและความเจ็บใจอีกแม้แต่น้อย
ใช้ได้นี่!
ไม่เลว ไม่เลว
หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้ม กิเลนตัวนี้มีหัวคิดจริง ๆ รู้จักมองสถานการณ์ เขาพึงพอใจมาก
‘อะไรกัน! ไม่มีศักดิ์ศรีเลยสักนิด! สู้กับเขาสิ! เจ้าปอดแหก!’
สวีจิ้งก่นด่ากิเลนไฟในใจยกใหญ่ ความหวังสุดท้ายของนางดับสูญ หนนี้ นางจบเห่แล้วจริง ๆ
“เซี่ยเหยียน เรื่องหลังจากนี้เจ้าจัดการเอาเองเถิด แต่ข้าคิดว่าสตรีนางนี้เก็บไว้ไม่ได้แล้ว จิตใจหยาบช้าถึงเพียงนี้ กลับกลอกไปมา เก็บนางไว้เป็นการไม่รับผิดชอบต่อชีวิตผู้อื่น…”
หลี่จิ่วเต้าขี่กิเลนไฟบินกลับมา พลางกล่าวกับเซี่ยเหยียน
สวีจิ้งเลวไปถึงกระดูก คนเช่นนี้เก็บไว้มิได้เด็ดขาด มิฉะนั้นจะกลายเป็นภัย ทำให้มีคนเคราะห์ร้ายไปมากกว่านี้
“เข้าใจแล้ว!”
เซี่ยเหยียนพยักหน้า จิ้มนิ้วออกไป ทันใดนั้น ลำแสงลำหนึ่งแทงเข้าไปในหน้าผากสวีจิ้ง
สวีจิ้งล้มตึงลงบนพื้น ถูกปลิดชีพไปอย่างสิ้นเชิง ตายอยู่ตรงนั้น
“พลังแข็งแกร่งนี้มิได้มีไว้ให้พวกท่านข่มเหงผู้อื่น กระทำตามอำเภอใจ ข้าหวังว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย อย่าให้มีครั้งต่อไปอีก!”
เซี่ยเหยียนจ้องผู้นำตระกูลจ้าวพลางกล่าว
“ไม่…ไม่แล้ว! จากนี้ไป เราจะวางตัวกันอย่างระมัดระวัง มิกล้าก่อความผิดอีก!”
ผู้นำตระกูลจ้าวกลัวจนวิญญาณแทบสิ้น ตอบกลับไปอย่างรีบร้อน
“ส่วนเขา พวกท่านจัดการตามความเหมาะสมกันเองเถิด แต่ข้าหวังว่าเขาจะได้รับบทเรียนที่พึงได้รับ แน่นอนว่า การสั่งสอนนั้นมิใช่จุดประสงค์ จุดประสงค์คือให้เขาได้ปรับปรุงตัวเสียใหม่”
เซี่ยเหยียนปรายตามองจ้าวจงพลางกล่าว
“เข้าใจแล้ว!”
ผู้นำตระกูลจ้าวรีบตอบรับ “กลับไปข้าจะลงโทษเขาอย่างหนัก จะทำให้เขาปรับปรุงตัวเสียใหม่ให้ได้!”
“อืม”
เซี่ยเหยียนพยักหน้า “หวังว่าท่านจะทำได้อย่างที่พูด ภายหน้า ข้าจะไปติดตามผลที่ตระกูลของท่าน”
จะมาติดตามผลด้วยหรือ
จ้าวจงหน้าเขียว หลังจากนี้ เขาแย่แน่!
“พวกเจ้ารอข้าที่นี่สักครู่ ข้าจะไปบินวนเล่นเสียหน่อย”
หลี่จิ่วเต้าบอกกับพวกเซี่ยเหยียน จากนั้นก็ขี่กิเลนไฟไปจากที่นี่
สัตว์ขี่องอาจมาดเท่เช่นนี้ หลี่จิ่วเต้าอยากขี่ออกไปรับลมเสียหน่อย
กิเลนไฟเหินไปตามลม เปลวเพลิงสีทองแผดเผานภา ก่อให้เกิดปรากฏการณ์เมฆแดง ช่างเป็นภาพที่ตระการตายิ่งนัก
หลี่จิ่วเต้าที่นั่งอยู่บนหลังกิเลนไฟ สัมผัสกับสายลมที่ปะทะกับใบหน้า หมู่เมฆโถมทับอยู่ข้างใต้ สุขอุราระคนปีติเป็นที่สุด
ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!
การบินด้วยสัตว์ขี่เช่นนี้ ดีกว่านั่งอยู่ในรถลากมาก เขาสั่งให้กิเลนไฟเพิ่มความเร็วอย่างอดไม่ได้ ดื่มด่ำกับความสุขที่ได้แล่นปราดอย่างรวดเร็วในชั้นเมฆ
ท้ายที่สุดก็กลับไปด้วยความพึงพอใจ ขี่กิเลนไฟเข้าไปรวมตัวกับพวกเซี่ยเหยียน
เซี่ยเหยียนจัดการเรื่องของจ้าวจงเรียบร้อย และคนจากตระกูลจ้าวก็กลับไปกันหมดแล้ว
“ไปเถิด เราไปที่เขาเฟิ่งหวากัน…”
หลี่จิ่วเต้าเอ่ยเสียงเบา บอกให้กิเลนไฟสำรวมพลังปราณ เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์
แบบนี้ไม่ดี เตะตาเกินไป
แม้ว่าการได้ขี่อยู่บนหลังกิเลนไฟนั้นสุดแสนจะองอาจมาดเท่ แต่เขามิใช่คนที่ชื่นชอบความโดดเด่น ยามร้างผู้คนพอจะขี่กิเลนไฟโต้ลมตามใจชอบได้อยู่ หากมีผู้คนพลุกพล่าน เขาชอบอยู่อย่างสงบไม่เตะตามากกว่า
ความระมัดระวังช่วยให้ชีวิตยืนยาว…
การเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์เป็นเรื่องง่ายยิ่งนักสำหรับกิเลนไฟ แสงสว่างกะพริบอยู่รอบตัวมัน ไม่นานนักลักษณะทางกายของมันก็เปลี่ยนไป กลายเป็นม้ามังกรตัวหนึ่ง
“เช่นนี้ดีหรือไม่คุณชาย”
กิเลนไฟถามอย่างระวัง กลัวคุณชายจะไม่พอใจ
“ดี”
หลี่จิ่วเต้าพยักหน้าน้อย ๆ
ม้ามังกรที่จำแลงจากกิเลนไฟนั้นสูงใหญ่เกรียงไกร ดูยิ่งใหญ่มาดเท่เช่นเดียวกัน
ทว่าเทียบกับร่างกิเลนไฟก่อนหน้านี้ รูปลักษณ์ของม้ามังกรดูลดความโดดเด่นลงมาก ตรงใจยิ่ง เขาพึงพอใจในม้ามังกรเช่นนี้สุด ๆ
“ไปกันเถิด”
ชายหนุ่มขี่อยู่บนหลังกิเลนไฟ ส่วนฉินหวายเฟิงยังคงขี่กระบี่ต่อไป มุ่งหน้าไปยังเขาเฟิ่งหวาพร้อมกับรถลากเก้าอสูร
ระหว่างนั้น ฉินหวายเฟิงรู้สึกสะท้อนใจเหลือแสน
เขาช่างโชคดีเสียนี่กระไร ถึงได้พานพบผู้ยิ่งใหญ่เช่นหลี่จิ่วเต้า มิหนำซ้ำ ผู้ยิ่งใหญ่ระดับหลี่จิ่วเต้ายังไม่วางมาดสักนิด มีสัมพันธ์ไมตรีดียิ่งนัก
สัตว์อสูรทั้งเก้าก็สะท้อนใจเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน
เพียงแต่พวกมันรู้สึกอิจฉามากกว่า อิจฉากิเลนไฟที่ได้เป็นสัตว์ขี่ของคุณชาย พวกมันสู้มิได้เลย ต่างกันมากนัก พวกมันเป็นเพียงสัตว์ลากรถเท่านั้น
‘ไม่เห็นต้องคิดเช่นนี้ นึกถึงพวกเราในอดีตสิ เราในตอนนี้ดีกว่าสมัยนั้นมากแล้ว’
พวกมันเลิกคิดฟุ้งซ่าน ลากรถแล้วอย่างไร เป็นเกียรติยศสูงสุดเช่นเดียวกัน สัตว์อสูรตั้งมากตั้งมายไม่มีสิทธิ์ได้ลากรถด้วยซ้ำ
ด้านเขาเฟิ่งหวาคึกคักไม่แพ้กัน พวกเขาใกล้จะถึงที่นั่นแล้ว จำนวนผู้ฝึกตนที่ได้พบก็มากขึ้นเรื่อย ๆ
ถึงแม้ม้ามังกรที่จำแลงกายจากกิเลนไฟจะดูมาดเท่เกรียงไกร กระนั้นก็แค่ดูเหมือน กิเลนไฟสำรวมพลังปราณ มิได้ให้ความรู้สึกแข็งแกร่งเท่าใด
และสัตว์อสูรที่ดูมาดเท่เกรียงไกรนั้นมีอยู่คณานับ สิ่งมีชีวิตผู้ฝึกตนทั้งหลายจึงมิได้ใส่ใจ แค่ปรายตามองแวบเดียวก็เบนสายตากลับ ไม่นึกสนใจอีก
“ดี…”
หลี่จิ่วเต้าพึงพอใจในสถานการณ์เช่นนี้มาก
โดดเด่นเกินไป ง่ายต่อการทำให้ผู้อื่นตาร้อน เช่นนั้นคงมิใช่เรื่องดี
ผ่านไประยะหนึ่ง พวกเขาก็มาถึงเขาเฟิ่งหวา เขาเฟิ่งหวาในตอนนี้มีผู้คนอยู่เนืองแน่น ทั้งบนฟ้า บนดิน ล้วนเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตฝึกตน
นางเซียนงามพิลาสที่จู่ ๆ มาปรากฏตัวบนเขาเฟิ่งหวาผู้นี้ระบือนามอย่างยิ่งยวด
เล่ากันว่า นางเคยเทศนาหลักเต๋าครั้งหนึ่ง เป็นผลให้มีแสงเซียนเจิดจรัสสาดส่องลงมา ซ้ำยังมีนิมิตเซียนเผยออกมาอีกคณานับ บรรดาสิ่งมีชีวิตที่เคยได้ยินการเทศนาหลักเต๋าของนางเซียนงามพิลาสผู้นี้ในครานั้น ต่างรู้แจ้งเห็นจริง ขอบเขตพลังยกระดับขึ้นไปอย่างบ้าคลั่ง!
ลือกันว่า ท่านผู้นั้นคือนางเซียนอย่างแท้จริง!
“มีของอยู่บ้างจริง ๆ แฮะ…”
ลั่วสุ่ยทอดมองเขาเฟิ่งหวา คิ้วขมวดเล็กน้อย เขาเฟิ่งหวานี่ไม่ธรรมดาจริง ๆ กระทั่งตัวนางยังมองไม่ออก เนื่องด้วยมีพลังบางอย่างไหลเวียน นางจึงส่องไม่เห็นสถานการณ์ภายใน
เรื่องนี้เหนือความคาดหมายของนางจริง ๆ นางเป็นถึงราชันแห่งเซียน ดึงพลังทั้งหมดที่มีออกมาเพื่อมองยังมิได้ ภายในเขาเฟิ่งหวามีสิ่งใดอยู่กันแน่?
เขาเฟิ่งหวาทอดตัวสลับสูงต่ำ ตัวภูเขาดูเหมือนวิหคเพลิงสยายปีก แสงเซียนทะลักออกมาเป็นครั้งคราว ดูสูงส่งไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
โฮกกก!
เสียงพยัคฆ์คำรามดังสะท้อนในปฐพี ห้วงมิติผืนนี้สะเทือนเลือนลั่น ฟ้าดินหม่นหมองลงในบัดดล ผู้คนแหงนหน้ามอง ก็เห็นพยัคฆ์ดำตัวหนึ่งเหินฝ่าเข้ามา บดบังดวงอาทิตย์บนนภา!
พยัคฆ์ดำตัวนี้ดุดันน่าเกรงขามเป็นที่สุด ยามมาถึงที่นี่ ยิ่งชวนให้อกสั่นขวัญผวา ขนลุกไปทั้งร่าง ตัวสั่นสะท้าน!
“นี่คือจักรพรรดิพยัคฆ์ตนนั้นนี่!”
“ยอดฝีมือแห่งเผ่าพยัคฆ์เงาดำ!”
สิ่งมีชีวิตทั้งหลายทราบภูมิหลังของพยัคฆ์ดำตัวนี้
เผ่าพยัคฆ์เงาดำ เป็นเผ่าพันธุ์ที่น่าพรั่นพรึงเทียบเท่ายอดนิกาย หลังจากยอดนิกายทยอยปรากฏตัวออกมา เผ่าอสูรร้ายอย่างพยัคฆ์เงาดำก็พากันก้าวออกมาเป็นที่รู้จักของผู้คนในใต้หล้าเช่นกัน
โดยเฉพาะจักรพรรดิพยัคฆ์ผู้นี้ ปรากฏตัวให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง จักรพรรดิพยัคฆ์ชิงชังความชั่วช้าเป็นที่สุด ทำความดีในอาณาจักรแห่งนี้เอาไว้มาก สังหารคนเลวไปนับคณา!
“แสร้งทำผีหลอกเจ้าอยู่ได้ นางเซียนจากแห่งหนใดกัน เซียนนั้นมิเคยมีผู้ใดพบเห็น ดำรงอยู่จริงหรือไม่ยังไม่รู้! ขอข้าดูโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าหน่อยเถิด ดูว่าเจ้ากำลังวางแผนร้ายอันใด!”
พยัคฆ์ดำนัยน์ตาเย็นยะเยือก มองว่านางเซียนงามพิลาสอะไรนั่นในเขาเฟิ่งหวาคงมีแผนการบางอย่าง มันตั้งใจจะเปิดโปงกลอุบายของนางเซียนที่ว่านี้!
บารมีจักรพรรดิแผ่ขยาย ทั่วร่างของมันส่องแสงสว่าง ขณะกระโจนตัวบุกไปทางเขาเฟิ่งหวา
สิ่งมีชีวิตด้านเขาเฟิ่งหวาตื่นเต้นกันหมด พวกเขาก็อยากรู้เหลือเกินว่านางเซียนงามพิลาสในเขาเฟิ่งหวาผู้นี้จะใช่เซียนตัวจริงหรือไม่
พยัคฆ์ดำดุดันถึงขีดสุด คลื่นพลังมหาศาลโถมทับ มันอ้าปากคลายอสนีบาตออกมา หมายจะไล่ต้อนให้นางเซียนงามพิลาสแห่งเขาเฟิ่งหวายอมเผยตัว!
ฟึ่บ!
เวลานั้นเอง ร่าง ๆ หนึ่งเหินออกจากเขาเฟิ่งหวา เนื้อตัวเปล่งประกายระยิบระยับ เจ้าของร่างเป็นสตรีนางหนึ่ง ดูแล้วอายุยังไม่มากเท่าใด ราว ๆ ยี่สิบกว่าเท่านั้น
นางยกมือเล็กน้อย แสงนวลก้อนหนึ่งลอยออกไป ลบล้างอสนีบาตที่พยัคฆ์ดำคลายออกมาได้ในบัดดล
“เจ้าน่ะหรือ นางเซียนผู้นั้น”
ม่านตาพยัคฆ์ดำหรี่ลง ตะลึงในใจ สตรีนางนี้ลบล้างอสนีบาตที่มันคลายออกจากปากได้ง่าย ๆ ไม่ธรรมดาจริง ๆ!
มันแผ่ประสาทสัมผัสจักรพรรดิออกไป เพื่อจับขอบเขตพลังของสตรีนางนี้ สุดท้ายมันก็ต้องตะลึง!
เมื่อมันจับสัมผัสขอบเขตพลังของสตรีนางนี้ด้วยประสาทสัมผัสจักรพรรดิ มันก็รู้สึกได้เพียงความกว้างใหญ่ไพศาล ขอบเขตพลังของสตรีนางนี้เหนือกว่ามันมาก มันจึงไม่อาจรับรู้ขอบเขตพลังที่แท้จริงของสตรีนางนี้ได้!
“เปล่า!”
สตรีนางนั้นยิ้มเบาบาง “ข้ามิใช่นางเซียน ข้าเป็นเพียงสาวใช้นางหนึ่งข้างกายนางเซียนเท่านั้น”
“หืม!?”
พยัคฆ์ดำคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าสตรีที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้จะเป็นเพียงสาวใช้นางหนึ่ง?!
หรือว่าในเขาเฟิ่งหวาจะมีเซียนอยู่จริง ๆ!?
“เป็นไปได้อย่างไรกัน!”
มันหัวเราะเสียงเย็น ยังทำใจเชื่อไม่ลง คิดว่าสาวใช้ตรงหน้ากำลังพูดจาเหลวไหล เป็นไปได้ว่าสาวใช้ผู้นี้ก็คือสตรีงามพิลาสนางนั้นในเขาเฟิ่งหวา หากแต่จงใจเอ่ยว่าตัวเองเป็นสาวใช้ เพื่อยกระดับฐานะ
เสียงดังตู้ม มันลงมืออีกครั้ง ระเบิดพลังทั้งหมดในกาย หวดกรงเล็บข้างหนึ่งไปหาสตรีนางนั้น!
แม้ว่าประสาทสัมผัสจักรพรรดิของมันรู้สึกว่าสตรีผู้นี้ลึกล้ำเกินหยั่ง กระนั้นสิ่งเหล่านี้ก็ตบตากันได้ อย่างเช่นอาศัยฤทธิ์เดชของศาสตราทรงพลังบางอย่างก็สามารถทำเช่นนี้ได้
มันไม่ยอมโดนหลอกเอาง่าย ๆ อยากเห็นว่าสตรีนางนี้แท้จริงแล้วแข็งแกร่งเพียงใด!
“เหตุใดถึงเป็นไปไม่ได้เล่า”
สตรีนางนั้นหัวเราะเบา ๆ สีหน้าราบเรียบ “ก่อนได้พบนางเซียน ข้าเองก็ไม่เชื่อ หลังได้พบนางเซียน ข้าถึงได้รู้ว่าข้าในอดีตสายตาคับแคบเพียงใด! ข้าไม่โทษท่าน เพราะท่านก็เป็นเหมือนข้าในตอนนั้น”
นางกล่าวต่อ “เซียนท่านหนึ่งหรือ? หาใช่เช่นนั้นไม่! เซียนยังมิอาจใช้นิยามนางเซียนได้เลย! นางเซียนอาจแกร่งกล้ายิ่งกว่าเซียนเสียอีก!”
จากนั้น นางก็ยกมือขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะสะบัดเบา ๆ พลังบางอย่างซัดสาดจนพยัคฆ์ดำกระเด็นออกไปทันที!
เห็นได้ชัดว่า สตรีนางนั้นมิได้ต้องการลงมือปลิดชีพ นางเพียงกระแทกพยัคฆ์ดำให้ออกไปเท่านั้น มิได้ทำร้ายพยัคฆ์ดำแต่อย่างใด
สีหน้าพยัคฆ์ดำเปลี่ยนไป นัยน์ตาเปี่ยมไปด้วยความเหลือเชื่อ
บัดนี้ ไม่เหลืออันใดให้สงสัยอีก พลังที่แท้จริงของสตรีผู้นี้ลึกล้ำเกินหยั่งอย่างที่ประสาทสัมผัสจักรพรรดิของมันรับรู้จริง ๆ!
มันยังสัมผัสถึงจังหวะแห่งเต๋าระดับเทียนตี้ระหว่างที่นางลงมือได้บาง ๆ!
สตรีนางนี้เป็นเทียนตี้ตนหนึ่งอย่างนั้นหรือ?!
มันไม่อาจเชื่อได้เลย!
ต้องรู้ว่า เทียนตี้เป็นจุดสูงสุดของการฝึกตนในปฐพีนี้ ไฉนเลยจะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ แม้แต่เผ่าของมันจวบจนบัดนี้ก็ยังมิมีเลยสักผู้ รวมถึงยอดนิกาย ยอดเผ่าอื่น ๆ ด้วย สตรีผู้นี้เป็นใครกันแน่!?
ชั่วขณะนั้น มันว้าวุ่นใจอย่างยิ่งยวด สิ่งที่เกิดขึ้นเหนือกว่าความคาดหมายของมันไปมาก!
หนนี้ มันมาเพื่อเปิดโปงเรื่องจอมปลอม แต่เหมือนจะเจอของจริงเข้าแล้ว!
พยัคฆ์ดำตัวนี้ชื่อเสียงเลื่องลือ เป็นอสูรจักรพรรดิอย่างแท้จริง พลังแกร่งกล้าจนจินตนาการไม่ออก สุดท้าย สตรีผู้นี้กลับกระเทือนพยัคฆ์ดำออกไปง่าย ๆ ด้วยการโบกมือเบา ๆ นางมีพลังระดับไหนกันแน่?!
สิ่งมีชีวิตในเขาเฟิ่งหวาตกตะลึงกันหมด สายตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ!
“ข้า…ข้าดูแล้วนางหน้าคุ้นยิ่ง!”
ผู้ฝึกตนคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา ยามที่สตรีนางนั้นเพิ่งปรากฏตัวออกมา เขาก็เห็นว่านางนั้นหน้าคุ้น แต่แล้วต่อมา ยิ่งมองก็ยิ่งคุ้นหน้านางขึ้นเรื่อย ๆ
“ข้า…ก็ด้วย!”
“เหมือนว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน!”
ผู้ฝึกตนอีกจำนวนไม่น้อยพากันสำทับ รู้สึกเช่นกันว่าสตรีนางนี้หน้าคุ้นยิ่ง คล้ายว่าเคยพานพบกันมาก่อน
“ข้านึกออกแล้ว! นี่คือธิดาสวรรค์แห่งตระกูลอวิ๋น อวิ๋นเยียนมิใช่หรือ?!”
ผู้ฝึกตนคนแรกที่เอ่ยว่าหน้าคุ้นโพล่งออกมาฉับพลัน ในที่สุดก็นึกออกแล้วว่าสตรีนางนี้เป็นใคร!
“อวิ๋นเยียน!”
“ใช่แล้ว อวิ๋นเยียนนั่นแหละ!”
ผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ แน่ใจแล้วเช่นกัน พลันสีหน้าของพวกเขาก็พิลึกกึกกือขึ้นมากันหมด
“เหตุใดจู่ ๆ นางถึงแข็งแกร่งได้เพียงนี้ ครึ่งปีก่อนนางเพิ่งก้าวสู่ขอบเขตราชันเท่านั้น!”
ผู้ฝึกตนที่รู้จักอวิ๋นเยียนต่างเอ่ยด้วยความเหลือเชื่อ
อวิ๋นเยียนเป็นบุตรีแห่งสวรรค์ค่อนข้างเลื่องชื่อในแดนทักษิณทิศ พรสวรรค์สูงส่ง ทว่าต่อให้พรสวรรค์ของอวิ๋นเยียนมากปานใด ก็ไม่มีทางน่าประหวั่นพรั่นพรึงขึ้นถึงเพียงนี้ในเวลาครึ่งปี แม้กระทั่งพยัคฆ์ดำขอบเขตจักรพรรดิยังมิใช่คู่มือ!
อะไรนะ!?
ครึ่งปีก่อนเพิ่งจะถึงขอบเขตราชันอย่างนั้นหรือ?
หลังพยัคฆ์ดำได้ยินเสียงเล่าอ้างในหมู่ผู้ฝึกตน ก็มีสีหน้าพิลึกขึ้นเช่นกัน
มันฝึกฝนมาเนิ่นนานกว่าจะมีกำลังรบในระดับอย่างตอนนี้ สตรีนางนี้กลับเหนือกว่ามันได้ในเวลาเพียงครึ่งปี ซ้ำยังอยู่ในขั้นเทียนตี้แล้วด้วย?!
เป็นไปได้อย่างไรกัน!
มันเชื่อไม่ลงเลย!
“ใช่แล้ว ข้าคืออวิ๋นเยียนจริง ๆ และครึ่งปีก่อน ข้าก็เป็นเพียงราชันตัวน้อย ๆ มิหนำซ้ำ เมื่อเดือนก่อนข้าก็ยังเป็นราชันตัวน้อย ๆ อยู่ดังเดิม…”
สตรีนางนั้นหัวเราะเบา ๆ ตอบกลับอย่างไม่ถือสา
“เพราะอย่างนั้น ข้าถึงเอ่ยว่าตัวเองในอดีตสายตาคับแคบนัก นางเซียนเก่งกาจปานใด เซียนมิอาจใช้นิยามนางเซียนได้ด้วยซ้ำ”
นางกล่าวต่อ “หนึ่งเดือนก่อน ข้าบังเอิญได้ฟังคำเทศนาเต๋าของนางเซียน และได้อยู่รับใช้ข้างกายนาง นับเป็นวาสนาการเปลี่ยนแปลงสูงสุดของข้า ความสำเร็จของข้าในเวลานี้ ล้วนมาจากนางเซียน!”
อะไรกัน?!
หนึ่งเดือนก็น่ากลัวขึ้นได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?!
หลังสิ่งมีชีวิตในเขาเฟิ่งหวาได้ยินวาจาของอวิ๋นเยียน ความเหลือเชื่อในสายตายิ่งทวีคูณ นางเซียนงามพิลาสนางนั้นเก่งกาจปานนี้เลยหรือ?
“ใช่แล้ว นางเซียนเก่งกล้ามหัศจรรย์ปานนั้นแหละ!”
“พวกเราเองก็เพราะโชคดี มีโอกาสได้ฟังคำเทศนาเต๋าของนางเซียน ถึงได้มีความสำเร็จเฉกเช่นตอนนี้!”
ภายในเขาเฟิ่งหวา ร่างสยดสยองอีกจำนวนหนึ่งเหินออกมา มีทั้งบุรุษและสตรี แต่ละคนล้วนยังเยาว์วัย แสงวาววามประหลาดไหลเวียนไปทั่วตัว ดูน่าทึ่งเป็นอย่างยิ่ง
พวกเขามีกันทั้งหมดแปดคน หลังมาอยู่ที่นี่ ต่างเปล่งพลังปราณในตัวออกมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงขอบเขตพลังของพวกเขา และเป็นหลักฐานว่าสิ่งที่อวิ๋นเยียนได้กล่าวไว้นั้นมิใช่คำโป้ปด!
เทียนตี้!
เทียนตี้ถึงแปดคนเชียวหรือ!
สีหน้าพยัคฆ์ดำเปลี่ยนไปอย่างมาก สัมผัสได้ถึงพลังปราณเทียนตี้จากตัวบุรุษสตรีวัยเยาว์ทั้งแปดได้อย่างชัดเจน นี่คือเทียนตี้ตัวจริงถึงแปดตน!
ตอนนี้ เขาไม่เหลือความเคลือบแคลงในใจอีก!
นางเซียนงามพิลาสในเขาเฟิ่งหวาต้องเป็นเซียนตัวจริงอย่างแน่นอน!
ไม่สิ!
อาจเป็นเฉกเช่นที่อวิ๋นเยียนว่า เซียนยังมิอาจใช้นิยามนางเซียนผู้นั้น นางเซียนผู้นั้นเหนือชั้นกว่าเซียนไปแล้ว!
สิ่งมีชีวิตในเขาเฟิ่งหวาก็หมดข้อกังขา
ที่แท้ข่าวลือก่อนหน้านี้ล้วนเป็นความจริง นางเซียนเคยเทศนาหลักเต๋า และสิ่งมีชีวิตที่ได้ฟังคำเทศนาของนางเซียนต่างได้รับผลประโยชน์มหาศาลเกินจินตนาการ บรรลุขอบเขตพลังขึ้นไปได้หลายระดับ!
“นางเซียนเปี่ยมเมตตา เดิมไม่อยากเทศนาหลักเต๋าอีก ทว่าทุกท่านกระตือรือร้นเพียงนี้ พากันมารวมตัว ณ ที่แห่งนี้ นางเซียนไม่ต้องการให้ทุกท่านกลับไปด้วยความผิดหวัง จึงตัดสินใจเทศนาหลักเต๋าอีกครั้ง”
อวิ๋นเยียนเอ่ยยิ้ม ๆ “ทว่าสรรพสิ่งในปฐพีนี้ล้วนมีกฎระเบียบของมัน นางเซียนใช่ว่าจะเทศนาหลักเต๋าส่งเดชได้ และไม่สามารถเทศนาเป็นวงกว้าง เรื่องนี้ หวังว่าทุกท่านจะให้อภัย!”
“เช่นนั้นต้องทำอย่างไรถึงจะได้ฟังนางเซียนเทศนาหลักเต๋าเล่า”
สิ่งมีชีวิตตนหนึ่งถาม
“ก้าวข้ามค่ายกลนี้มาได้ก็พอ!”
อวิ๋นเยียนเอ่ยยิ้ม ๆ โบกมือไปมา ทันใดนั้น คลื่นริ้วค่ายกลสูงส่งโลดแล่น ก่อตัวเป็นค่ายกลใหญ่แห่งหนึ่ง อันมีพลังมิติบางอย่างไหลเวียนอยู่
“ภายในค่ายกลมีมิติแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีสัตว์อสูรมากมายซึ่งเกิดจากพลังค่ายกลที่ประสานกัน ทุกคนแสดงฝีมือได้ตามที่ต้องการ ขอเพียงทะลุผ่านมิตินี้มาได้ ก็จะได้เข้าไปในเขาเฟิ่งหวา สดับฟังนางเซียนเทศนาหลักเต๋า” นางอธิบาย
“ได้เลย!”
“ไม่มีปัญหา!”
สิ่งมีชีวิตในเขาเฟิ่งหวาเดือดพล่าน กรูกันไปยังค่ายกลทั้งหมด
พยัคฆ์ดำก็เช่นกัน เหินเข้าไปทันที
ตัวตนเหนือเซียนเทศนาหลักเต๋า ผู้ใดไม่ต้องการฟังบ้าง พวกเขาอยากฟังกันทุกคน!
“พวกเราก็เข้าไปกันเถิด”
หลี่จิ่วเต้าขี่บนหลังกิเลนไฟ มุ่งหน้าไปยังค่ายกลแห่งนั้นพร้อมกับพวกลั่วสุ่ย
อย่างไรก็ต้องเข้าไปในเขาเฟิ่งหวาให้ได้ เขาอยากรู้ให้แน่ชัดว่านางเซียนที่อยู่ในนั้นใช่ซีหรือไม่
โฮกกก!
ทันทีที่เข้ามาในมิติค่ายกล ก็มีเสียงคำรามของอสูรร้ายสยดสยองดังขึ้น ด้านในเป็นดั่งที่อวิ๋นเยียนว่า มีอสูรร้ายอยู่คณานับ
อสูรร้ายเหล่านี้ดุดันไม่แพ้กัน เพียงไม่นานก็มีสิ่งมีชีวิตถูกไล่ต้อนจนต้องออกจากมิติค่ายกล
“ยากเกินไป!”
“คิดจะฟังคำเทศนาของนางเซียนไม่ง่ายเลยจริง ๆ!”
สิ่งมีชีวิตที่ถูกไล่ต้อนออกจากมิติค่ายกลเอ่ยด้วยความสะท้อนใจ
มิติค่ายกลนั้นโปร่งแสง พวกเขาอยู่ข้างนอกก็มองเห็นสถานการณ์ข้างในได้เช่นกัน พวกเขาอยากเห็นเหลือเกินว่าผู้ใดจะโชคดี เข้าไปถึงเขาเฟิ่งหวาได้
“บัดซบ!”
พยัคฆ์ดำคำรามเสียงต่ำ มันโชคร้ายมาก ทันทีที่เข้าไปก็โดนอสูรแกร่งกล้าหมายหัว และถูกไล่ต้อนออกจากมิติ
สิ่งมีชีวิตข้างนอกเห็นว่าพยัคฆ์ดำยังโดนไล่ต้อนออกมา ยิ่งสะท้อนใจเข้าไปใหญ่
แข็งแกร่งดั่งพยัคฆ์ดำยังไม่ไหว ผู้ใดจะผ่านด่านมิติค่ายกลนี้ไปได้บ้าง!
“น่ากลัวว่านางเซียนมิได้คิดเทศนาหลักเต๋าจริง ๆ แต่ไม่อาจปฏิเสธเราตรง ๆ ได้ ถึงได้ตั้งกฎเกณฑ์นี้ขึ้น…”
“ใช่แล้ว!”
พวกเขาพากันวิจารณ์ มิติค่ายกลนี้ไม่เห็นความหวังที่จะผ่านได้เลยสักนิด อสูรร้ายในนั้นน่ากลัวเกินไป
แต่เพียงไม่นาน พวกเขาก็ถูก ‘หักหน้า’
สิ่งมีชีวิตน่าพรั่นพรึงปรากฏ พลังเกินจินตนาการ เอาชนะอสูรร้ายได้หลายตัวติด ผ่านด่านมิติค่ายกลได้อย่างแข็งกร้าว มีสิทธิ์เข้าไปในเขาเฟิ่งหวา!
“ไม่ใช่แค่คนเดียว!”
“รวมกับคนก่อน นี่เข้าไปถึงหกคนแล้ว!”
ด้านนอกฮือฮากันหมด พวกเขาคิดผิดไปจริง ๆ มีสิ่งมีชีวิตที่ผ่านด่านมิติค่ายกลได้จริง จนเข้าไปถึงเขาเฟิ่งหวาได้!
ดูท่านางเซียนตั้งใจเทศนาหลักเต๋าอีกครั้งจริง ๆ ทว่าน่าเสียดาย พวกเขายังไม่ครบเงื่อนไขและไม่ได้รับสิทธิ์
การเทศนาหลักเต๋าของนางเซียนในคราวนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเพิ่มเงื่อนไขให้ยากขึ้น…
ซ้ำยังมิใช่การยากขึ้นธรรมดา!
“พวกเขาเป็นใคร พวกเจ้ารู้จักหรือไม่”
สิ่งมีชีวิตตนหนึ่งถาม อยากทราบภูมิหลังของสิ่งมีชีวิตทั้งหกนี้
“ไม่รู้จัก!”
“นึกไม่ออกเลย!”
สิ่งมีชีวิตทั้งหลายพากันส่ายหัว บอกว่าไม่รู้จักทั้งหกคนนี้
หกคนนี้ราวกับปรากฏตัวออกมากลางอากาศเสียอย่างนั้น!
“สวรรค์! คนกลุ่มนี้เป็นผู้ใดกันแน่ เหตุใดแต่ละคนถึงดุดันน่ากลัวกันทั้งสิ้น?!”
“เด็ก ๆ ก็มีพลังกล้าแกร่งเช่นนี้ได้หรือ”
สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนอุทานกันเสียงหลง สายตาเพ่งมองไปที่ตัวพวกหลี่จิ่วเต้ากันหมด
เวลานี้ พวกหลี่จิ่วเต้าเตรียมสำแดงฤทธิ์เดช!
ฟังจบแล้วถ้าใครอยากสนับสนุนช่องโดเนท ให้ช่องของเราเดินหน้าต่อได้เร็วขึ้น หรืออยากขอนิยาย
ช่องทางสนับสนุนช่องอยู่ใต้ลิงค์คลิปชั่นนะครับ