696-700

ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่นิยายระบบ ก่อนที่จะรับฟังช่วยกดไลค์และกด subscribe เป็นกำลังใจด้วยนะครับ
นิยายเสียง อยู่ดีดีข้าก็เป็นเซียน
บทที่ 696ถึง 700


“สวรรค์ นี่ต้องเป็นตัวตนระดับใดกันแน่!”


“ร่างจริงมิได้มาเยือน ลำพังร่างระเบียบยังน่าพรั่นพรึงถึงเพียงนี้ กระทืบเท้าเบา ๆ จักรพรรดิเซียนทั้งหมดก็กลายเป็นหมอกเลือดเลยหรือ!”

สิ่งมีชีวิตในภพเซียนต่างสะท้านเหลือแสน หวาดผวาถึงขีดสุด


แม้ว่าร่างของท่านผู้นั้นอันตรธานไปนานแล้ว กระนั้นพวกเขาก็มิอาจสงบใจลงได้ ราวกับมีเกลียวคลื่นซัดสาด จนพวกเขาใกล้จะตายด้วยความตะลึงเต็มที!


นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นภาพร่างนี้ รวมถึงผู้นำของแต่ละตระกูล แต่ละเผ่า แต่ละลัทธิ ก็เป็นครั้งแรกสำหรับพวกเขาทั้งสิ้น


ทว่าสำหรับบรรดาจักรพรรดิเซียนอาวุโสกลับมิใช่เช่นนั้น


พวกเขามิได้เพิ่งเคยพบครั้งแรก หากแต่เป็นการพบครั้งที่สอง


ครานั้น ท่านผู้นี้มาจากนอกภพเซียน พลังสยดสยองที่ปกคลุมอยู่นอกภพเวียนประหนึ่งเด็กที่เห็นพ่อทูนหัว พริบตาเดียวก็หดพลังทั้งหมดกลับไป มิกล้าปล่อยให้รั่วไหลออกมาสักเสี้ยว ไม่กล้ากีดขวางท่านผู้นี้เลย


สิ่งมีชีวิตตนอื่นในภพเซียนไม่รู้สึกถึงเหตุการณ์นี้ แต่พวกเขารู้สึก!


ยามพลังน่าพรั่นพรึงนอกภพเซียนหดกลับไป พวกเขาก็เกิดความรู้สึก พากันมองไปทางทิศนั้น เพราะอยากทราบว่าเกิดเรื่องใดขึ้นที่นั่น


จากนั้น พวกเขาก็ได้เห็นท่านผู้นี้!


แน่นอนว่าพวกเขาไม่เห็นรูปโฉมของท่านผู้นี้


อันที่จริง พวกเขามองเพียงปราดเดียวก็เบนสายตากลับไป ท่านผู้นี้สูงส่งเกินไป พวกเขาไฉนเลยจะกล้ามองนาน มองเพียงแวบเดียวก็เกือบเอาชีวิตพวกเขาแล้ว พวกเขาเห็นเพียงเลือนรางเท่านั้น


ทว่าผู้นำและประมุขของแต่ละตระกูล แต่ละเผ่า แต่ละลัทธิคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นท่านผู้นี้ ส่วนจักรพรรดิเซียนอาวุโสคิดว่าพวกเขาเห็นท่านผู้นี้เป็นครั้งที่สอง


แต่จริง ๆ แล้ว เป็นการเข้าใจที่ผิดทั้งหมด


ผู้นำและประมุขของแต่ละตระกูล แต่ละเผ่า แต่ละลัทธิมิได้พบพานเป็นครั้งแรก หากแต่เป็นครั้งที่สอง


บรรดาจักรพรรดิเซียนอาวุโสก็มิได้พบพานเป็นครั้งที่สอง หากแต่เป็นครั้งที่สาม


เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ตัวเท่านั้น


ครานั้น หลี่จิ่วเต้าพาซ่างกวนอิ๋งบุกไปยังตระกูลและลัทธิต่าง ๆ เพื่อขอ ‘ยืม’ วิชา ‘ยืม’ ประสบการณ์ฝึกตนจากแต่ละตระกูล แต่ละเผ่า แต่ละลัทธิให้ซ่างกวนอิ๋ง


แต่ถึงคราวหลี่จิ่วเต้ากลับ ก็เคยสั่งให้ห้วงเวลาย้อนกลับจนถึงช่วงที่เขามิเคยปรากฏตัว


ผู้นำและประมุขของแต่ละตระกูล แต่ละเผ่า แต่ละลัทธิ และบรรดาจักรพรรดิเซียนอาวุโสก็ลืมเลือนเหตุการณ์ครั้งนั้นไปด้วย


จะว่าลืมเลือนคงมิได้


เพราะสำหรับผู้นำและประมุขของแต่ละตระกูล แต่ละเผ่า แต่ละลัทธิ และบรรดาจักรพรรดิเซียนอาวุโส เหตุการณ์นั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


ภาพเมื่อครั้งเขามาเยือนภพเซียนน่ากลัวเกินไป สร้างแผลใจให้กับบรรดาจักรพรรดิเซียนอาวุโสอย่างมาก


พวกเขารู้ดีว่าเมื่อตัวเองอยู่เบื้องหน้าตัวตนระดับหลี่จิ่วเต้านั้น พวกเขาเป็นเพียงเศษสวะ ไม่มีค่าอันใด ตัวตนระดับนี้ สามารถริดรอนพลังของพวกเขาได้ในวาจาเดียว


หารู้ไม่ พวกเขาเคยประมือกับหลี่จิ่วเต้ามาแล้ว และในตอนนั้น อีกฝ่ายก็ริดรอนพลังของพวกเขาไปทั้งหมดด้วยวาจาเดียวจริง ๆ


ทว่าน่าเสียดาย ครานั้น พวกเขาไม่เห็นรูปโฉมของหลี่จิ่วเต้า มิฉะนั้น ยามบุรุษผู้นี้เข้ามา ‘ยืม’ วิชา พวกเขาไฉนเลยจะกล้าประมือกับอีกฝ่าย คงกลัวจนปัสสาวะราดไปนานแล้ว


“ทุกท่านอย่างเกร็งไป นำศพมังกรทั้งหมดมานี่”


ลั่วสุ่ยเหินเข้ามา เอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนบาง


“จะไปเดี๋ยวนี้!”


“รอสักครู่!”


บรรดาจักรพรรดิเซียนอาวุโสเหล่านี้ไฉนเลยจะกล้าขัดขืน ต่างพากันออกคำสั่งให้คนในตระกูลนำศพมังกรที่สะสมไว้มานี่ ซ้ำยังบอกให้คนในตระกูลขนศพมังกรในสถานที่นี้มาให้หมด


พวกเขายังรอดมาได้นับว่าโชคดีมากแล้ว!


‘นี่ก็เพราะมิได้อยู่ในอาณาจักรท้องถิ่น แต่อยู่ที่ภพเซียนหรือ’


ต้าเต๋อคิดในใจ


คุณชายเคยอวยพรเขา ยามเขาเผชิญอันตราย จะมีพลังแห่งวิถีสวรรค์จุติลงมาเพื่อคุ้มครองเขา


แต่นั่นเป็นเพียงพลังที่ใช้คุ้มครองเท่านั้น ไม่มีทางเป็นฝ่ายจู่โจมก่อน


ทว่าครั้งนี้แตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด


ครั้งนี้ไม่มีพลังวิถีสวรรค์อันใด สิ่งที่ปรากฏออกมานั้นเหมือนเป็นพลังกฎระเบียบบางอย่างที่ถักทอเป็นภาพร่างคุณชาย ซ้ำยังเป็นฝ่ายบุกโจมตี ทำร้ายบรรดาจักรพรรดิเซียนอาวุโสจนกลายเป็นหมอกเลือด บาดเจ็บสาหัส


หากเป็นเมื่อก่อน พลังนั้นเพียงแต่กระเทือนจักรพรรดิเซียนอาวุโสแห่งตระกูลเซียวออกไปเท่านั้น ไม่มีทางโจมตีจักรพรรดิเซียนอาวุโสแห่งตระกูลเซียว และจักรพรรดิเซียนอาวุโสตนอื่น ๆ


เขารู้สึกว่าอาจเกี่ยวข้องกับที่เขามิได้อยู่ในอาณาจักรท้องถิ่น หากแต่อยู่ที่ภพเซียน


‘หรืออาจเพราะพลังแห่งคำอวยพรนั้นวิวัฒนาจน ‘ยกระดับ’!’


ต้าเต๋อคิดขึ้นในใจอีกครั้ง


ทว่าไม่นานเขาก็เลิกคิด ฝีมือของคุณชายเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการออก เขารู้เพียงว่าเขาจะไม่เป็นไรก็พอแล้ว!


“พระอมิตาภะพุทธเจ้า เกิดอันใดขึ้นกับท่านกันแน่”


เขาเดินมาอยู่ข้างกายพระอามิตาภะพุทธเจ้าและถามออกไป


ก่อนหน้านี้ เขาเอ่ยว่าพระอมิตาภะพุทธเจ้าหลงในนารี ดำดิ่งจนไม่อาจหลุดพ้น แท้จริงแล้วเขาเพียงเอ่ยเล่นไปอย่างนั้น


เขารู้ในความแน่วแน่ของพระอมิตาภะพุทธเจ้าดี ท่านคือพระเถระผู้มีพลังยิ่งใหญ่ เปี่ยมด้วยสติปัญญา ไม่มีทางหลงในนารี


“ข้าเลือกไม่ได้”


พระอมิตาภะพุทธเจ้าส่ายหน้าเบา ๆ เล่าชีวิตหลังเข้ามาถึงภพเซียน


เขาเลือกไม่ได้จริง ๆ ตั้งแต่มาถึงภพเซียน ก็ถูกตระกูลกู่ชิงตัวไป ต่อมา ถูกลงผนึกของตระกูลกู่ ไม่ว่าเรื่องใดล้วนต้องเชื่อฟังตระกูลกู่


“เป็นเช่นนี้นี่เอง!”


ต้าเต๋อเข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้ง


ขณะเดียวกัน เขาผิดหวังในภพเซียนมาก ภพเซียนมิได้งดงามอย่างที่คิด ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่ในความอลหม่าน โหดร้ายยิ่งกว่าข้างนอกนั่นเสียอีก


“พวกเจ้าอาลัยอาวรณ์ในพระผู้เป็นเจ้าของเราปานนี้เชียวหรือ ป่านนี้แล้วยังไม่คลายผนึกให้พระผู้เป็นเจ้าของเราอีก”


ต้าเต๋อมองผู้นำตระกูลกู่พลางกล่าว


ผู้นำตระกูลกู่มิได้ตอบอันใด หากแต่หันมองจักรพรรดิเซียนอาวุโสท่านหนึ่งในตระกูลกู่ของพวกนาง


จักรพรรดิเซียนอาวุโสท่านนั้นมองพระอมิตาภะพุทธเจ้าอย่างมีความหมาย สุดท้ายก็ถอนหายใจอย่างหมดเรี่ยวแรงพลางกล่าว “คลายเสีย…”


“เจ้าค่ะ!”


ผู้นำตระกูลกู่ตอบเสียงนอบน้อม ก่อนจะเดินไปอยู่ข้างกายพระอมิตาภะพุทธเจ้า คลายผนึกทั้งหมดในตัวพระอมิตาภะพุทธเจ้าออกและถอนกลับไป


“อามิตาพุทธ!”


พระอมิตาภะพุทธเจ้าพนมมือ พยักหน้าให้ผู้นำตระกูลกู่


“มีเรื่องราวอยู่นะนี่…”


ต้าเต๋อเอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้าง เห็นสายตายามจักรพรรดิเซียนอาวุโสแห่งตระกูลกู่ผู้นั้นทอดมองพระอมิตาภะพุทธเจ้า


“ตระกูลกู่ไม่เคยรับบุรุษ แม้กระทั่งอสูรพาหนะที่เลี้ยงดูก็เป็นตัวเมียกันทั้งสิ้น แต่กลับเอาจริงเอาจังปานนั้นเมื่อคราวชิงตัวพระผู้เป็นเจ้าของเรา ไม่สนใจสิ่งที่ต้องเสียสักนิด เป็นเพราะอะไร”


เขามองจักรพรรดิเซียนอาวุโสแห่งตระกูลกู่ มุมปากยกยิ้มประหลาด “เจ้าสยบให้กับเสน่ห์ชายชาตรีในตัวพระผู้เป็นเจ้าของเราใช่หรือไม่ ชอบพระผู้เป็นเจ้าของเราใช่หรือไม่”


พระอมิตาภะพุทธเจ้าหันมองจักรพรรดิเซียนอาวุโสแห่งตระกูลกู่ผู้นั้นเช่นกัน สายตาเจือไว้ด้วยความใคร่รู้


เขาก็อยากรู้ความจริงเหมือนกัน


จักรพรรดิเซียนอาวุโสแห่งตระกูลกู่ผู้นี้เป็นหนึ่งในบรรพชนผู้ก่อตั้งตระกูลกู่ สถานะสูงส่ง


จากที่เขาสืบมา ที่ในอดีตตระกูลกู่ชิงตัวเขาอย่างไม่คำนวณถึงผลลัพธ์ปานนั้น ล้วนเป็นเพราะคำสั่งจากบรรพชนท่านนี้


ส่วนที่ว่าเหตุใดบรรพชนท่านนี้ถึงต้องชิงตัวเขาโดยไม่สนสิ่งอื่นใดนั้น จนป่านนี้เขายังมิทราบ


บรรพชนตระกูลกู่ผู้นี้มิได้เอ่ยวาจา มองพระอมิตาภะพุทธเจ้าอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน สุดท้าย นางมองพระอมิตาภะพุทธเจ้าพลางกล่าว “เจ้าลืมข้าไปแล้วจริง ๆ หรือ”


“ท่านหมายความว่าอย่างไร”


พระอมิตาภะพุทธเจ้าขมวดคิ้ว ในอดีตพวกเขาเคยเป็นสหายมาก่อนหรือ


“นั่นสินะ เจ้าจำข้าได้ที่ไหน เจ้าฝักใฝ่ทางธรรมมาโดยตลอดนี่!”


จู่ ๆ บรรพชนตระกูลกู่ก็หัวเราะราวกับเสียสติ แล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมา


ข่าวลือเกี่ยวกับตระกูลกู่ในภพเซียนนั้นไม่ผิด ทุกอย่างคือความจริง


ตระกูลกู่ชิงชังบุรุษทุกผู้เพราะเคยมีบรรพชนท่านหนึ่งต้องเสียใจเพราะความรักจริง ๆ และบรรพชนท่านนั้นก็คือนาง


ผู้ที่ทำให้นางเสียใจก็คือพระอมิตาภะพุทธเจ้า!


“อะไรนะ!”


พระอมิตาภะพุทธเจ้าสะท้านไปทั้งตัว คิดไม่ถึงเลยว่าเขาเคยมีอดีตเช่นนี้ด้วย ทว่าเหตุใดเขาถึงจำมิได้เลยเล่า?


“ยามนั้น เราทั้งคู่ยังอ่อนเยาว์ รักใคร่ชอบพอกัน วาดฝันถึงอนาคตอยู่เต็มทรวง…”


บรรพชนตระกูลกู่ตกอยู่ในภวังค์ความทรงจำ


ครานั้นพิศวงลางร้ายยังไม่ปะทุ ภพเซียนยังไม่มีอยู่ นางกับพระอมิตาภะพุทธเจ้ายังเป็นผู้ฝึกตนน้อย ๆ ที่ไร้ชื่อเสียง


พวกเขาโตมาด้วยกัน ฝึกฝนด้วยกัน ซ้ำยังนัดแนะวันวิวาห์ไว้เรียบร้อย รอให้พวกเขาบำเพ็ญจนสำเร็จเมื่อใดจะแต่งงานกันทันที


ทว่าวันหนึ่ง จู่ ๆ พระอมิตาภะพุทธเจ้าก็เปลี่ยนไป


พระอมิตาภะพุทธเจ้าราวกับกลายเป็นคนละคน เทศนาธรรมแก่นาง ซ้ำยังบอกลานาง เอ่ยว่านับแต่นี้ไป เขาจะบำเพ็ญธรรมไปตลอดกาล ไม่มีกิเลสอื่นใดในใจอีก


สิ่งใดหรือคือธรรม?


นางไม่รู้ เพราะนั่นเป็นครั้งแรกที่นางได้ยิน


พระอมิตาภะพุทธเจ้าจากไปง่าย ๆ เช่นนั้น ไม่มีข่าวคราว นางสืบเสาะอยู่หลายคราก็ไร้ผล


ต่อมา นางยังสืบหาสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ ‘ธรรม’ ทว่ามิมีผู้ใดรู้ว่า ‘ธรรม’ คืออะไร


กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปอย่างยาวนาน นางบำเพ็ญจนมีความสำเร็จ กลายเป็นจักรพรรดิเซียน กระนั้นยังไม่มีข่าวคราวใดของพระอมิตาภะพุทธเจ้า


เรื่องนี้กลายเป็นบาดแผลในใจนางไปตลอดกาล และทำให้นางเข้าใจว่า คำสาบานของบุรุษนั้นเชื่อมิได้ นางชิงชังในตัวบุรุษเป็นที่สุด และไม่ต้องการให้สมาชิกสตรีเพศในตระกูลของนางต้องประสบชะตากรรมเดียวกับนาง


นางค่อย ๆ เปลี่ยนตระกูลกู่เป็นตระกูลสตรี


ต่อมา ความพิศวงลางร้ายปะทุ ภพเซียนถูกก่อตั้งขึ้น นางจึงพาคนในตระกูลมายังภพเซียน


เดิมคิดว่าคงไม่ได้พบพระอมิตาภะพุทธเจ้าอีก แต่นางคิดไม่ถึงเลย ว่าพระอมิตาภะพุทธเจ้าจะมายังภพเซียน!


แต่ไหนแต่ไร นางเคยคิดว่าหากได้พบพระอมิตาภะพุทธเจ้าอีกครั้ง จะเฉือนเนื้อเลาะกระดูกบุรุษใจทรามอย่างพระอมิตาภะพุทธเจ้าเสีย


ทว่ายามพระอมิตาภะพุทธเจ้าปรากฏตัวจริง ๆ นางกลับหักใจมิได้เลย


“อามิตาพุทธ”


พระอามิตาภะพุทธเจ้าทอดถอนใจ นี่หรือคือชาติก่อนของเขา


ก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย


นับแต่เขาจำความได้ ธรรมะก็สลักอยู่ในหัวของเขา สิ่งที่สลักมาด้วยยังมีนาม ‘พระอมิตาภะพุทธเจ้า’


หลังจากนั้น เขาก็ก้าวสู่เส้นทางบำเพ็ญธรรม


‘อาตมาในชาติก่อน ตรัสรู้กะทันหันอย่างนั้นหรือ’ เขาคิดในใจ


‘ธรรมะมาจากแห่งหนใดกันแน่ เหตุใดถึงเลือกอาตมา’


สีหน้าของเขาเคร่งเครียด นี่เป็นเรื่องที่กวนใจเขาอยู่ตลอด


ผู้คนในใต้หล้าล้วนเข้าใจว่าเขาคือผู้สร้างธรรมะ ทว่าความจริงหาใช่เช่นนั้นไม่ เขาเป็นเพียงผู้เผยแผ่ธรรมะ ‘พระอมิตาภะพุทธเจ้า’ นั้นเป็นผู้อื่น บางที เส้นทางบำเพ็ญธรรมของเขาอาจช่วยย้อนรอยชาติก่อนของเขาได้


ปริศนาเยอะเกินไป เหตุใดจู่ ๆ เขาในชาติก่อนถึงตรัสรู้ แล้วธรรมะมาจากที่ใด ในช่วงเวลาที่เขาไม่รู้เรื่อง เกิดอันใดขึ้นกับเขา


ธรรมะนี้มิได้ธรรมดาอย่างที่คิด…


“ชีวิตคนเราในใต้หล้านี้ ต่างมีเส้นทางของตนเอง บางทีเหตุผลที่ข้าเกิดมาก็เพื่อเผยแผ่ธรรมะ ความจนใจนั้นมีอยู่เต็มไปหมด ไฉนเลยจะสมหวังไปเสียทุกสิ่ง อย่าได้มีความยึดติดในใจมากนัก ความผิดบาปมากมายในใต้หล้านี้ต่างเกิดจากความยึดติดในใจ…”


พระอมิตาภะพุทธเจ้ามองบรรพชนตระกูลกู่พลางกล่าว


เขาฝักใฝ่ในธรรม ไม่อาจรับสิ่งอื่นเข้ามาไว้ในใจได้อีก แม้จะได้รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ในชาติก่อนแล้ว หัวใจธรรมของเขาก็ไม่เปลี่ยน ยังต้องการบำเพ็ญธรรมให้ถึงที่สุด


ต้าเต๋อด้านข้างมิได้พูดจา เขาไปจากตรงนั้นเงียบ ๆ ให้โอกาสพระอมิตาภะพุทธเจ้าได้สนทนากับบรรพชนตระกูลกู่เป็นส่วนตัว


แต่ละตระกูล แต่ละลัทธิต่างลงมือได้รวดเร็ว ผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็นำศพมังกรที่เก็บสะสมไว้ในแต่ละตระกูล แต่ละลัทธิออกมา ทั้งยังขนศพมังกรทุกตัวในแดนแกนกลางมาที่นี่ด้วย


พระอมิตาภะพุทธเจ้าสนทนากับบรรพชนตระกูลกู่อยู่ตลอด ต้าเต๋อไม่รู้ว่าพระอมิตาภะพุทธเจ้าสนทนาเรื่องใดกับบรรพชนตระกูลกู่


ทว่าในสายตาของเขา บรรพชนตระกูลกู่ยังปล่อยวางมิได้ สายตาที่ทอดมองพระอมิตาภะพุทธเจ้ายังคงเต็มไปด้วยความเคียดแค้น!


ที่จริงคิดแล้วก็เป็นเรื่องปกติ


บรรพชนตระกูลกู่แค้นใจมานานจนประเมินมิได้ ความชิงชังระดับนี้ไฉนเลยจะหายไปได้ง่าย ๆ…


“ไปกันเถิด”


ลั่วสุ่ยเรียกต้าเต๋อ จะกลับกันแล้ว


“รอก่อน!”


ต้าเต๋อตอบกลับลั่วสุ่ย ก่อนจะวิ่งไปหาพระอมิตาภะพุทธเจ้าและถาม “พระผู้เป็นเจ้าจะไปกับข้าด้วยหรือไม่ หากไม่ไป ภายหลังพระผู้เป็นเจ้าคงออกจากภพเซียนได้ยากแล้ว”


ด้านนอกภพเซียนมีพลังน่าพรั่นพรึงปกคลุม หากครั้งนี้พระอมิตาภะพุทธเจ้าไม่ไปกับเขา คงยากจะออกจากภพเซียนได้อีก


“อาตมาเกิดมาเพื่อธรรมะ ทุกหนแห่งในใต้หล้านี้ล้วนเป็นแดนแห่งพุทธศาสนา ต่างต้องการให้อาตมาเผยแผ่ธรรมะ ที่นี่ก็เช่นกัน พวกเจ้ากลับไปเถิด อาตมาจะอยู่ที่นี่”


พระอมิตาภะพุทธเจ้ากล่าว


เขารู้ดีว่าหากไม่ไปตอนนี้ ต่อไปคงยากจะไปจากภพเซียนได้แล้ว


ภพเซียนมิใช่แดนสุขาวดี ภายหน้าอาจอลหม่านยิ่งกว่านี้ การที่เขาอยู่ในภพเซียนต่อมิใช่ทางเลือกที่ฉลาดนัก


กระนั้นเขาก็ยังตัดสินใจอยู่ที่ภพเซียน เผยแผ่ธรรมะ


“ก็ได้”


ต้าเต๋อมิได้เอ่ยอันใดไปมากกว่านี้ ยอมรับการตัดสินใจของพระอมิตาภะพุทธเจ้า เขากลับไปอยู่ข้างกายพวกลั่วสุ่ย แล้วไปจากภพเซียนด้วยกัน




“ใช่ท่านหรือไม่”


ในสถานที่หนึ่งของภพเซียน ซ่างกวนอิ๋งคุกเข่าที่พื้นด้วยความเลื่อมใส โขกศีรษะให้ร่างของหลี่จิ่วเต้าไม่หยุด


‘ท่านวางใจได้ ข้าจะพยายามฝึกฝน ไม่ให้ความช่วยเหลือที่ท่านมอบให้ต้องเสียเปล่า!’


นางเอ่ยในใจอย่างขึงขัง




ดินแดนหยิน เหยียนโจว แดนทักษิณทิศ ท่ามกลางเทือกเขาที่เชื่อมยาวต่อไปเรื่อย ๆ


ภายในป่าไผ่ที่เขียวขจีทุกฤดู หลี่จิ่วเต้ามือถือขวาน ตัดไผ่ออกมาไม่น้อย


เขานับดูแล้ว จำนวนของไผ่เหล่านี้กำลังดี ทำไม้ตกปลาให้พวกหลิงอินได้คนละก้าน


“เอ็นตกปลาไม่เป็นปัญหาสำหรับพวกหลิงอิน อีกอย่าง มีลั่วสุ่ยอยู่ด้วย”


หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้ม มัดไผ่รวมไว้ด้วยกัน แล้วแบกไผ่เหล่านั้นไปจากที่นี่


‘ทะเลสาบแห่งนั้นดูไม่เลวจริง ๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะตกปลามังกรขึ้นมาได้หรือไม่…’ เขาคิดในใจ


‘ฮ่า ๆ ข้าหวังให้ในทะเลสาบนี้มีแต่ปลามังกร เช่นนั้น ลั่วสุ่ยคงมี ‘ขนม’ ให้กินจนพอในการเดินทางหลังจากนี้’


‘หากเป็นรังปลามังกรจริง ทุกคนตกปลาเป็นกันหมดแล้ว จะตกปลามังกรที่นี่ไปจนเกลี้ยงหรือเปล่า!’


หลี่จิ่วเต้าหัวเราะร่วน




ท่ามกลางอวกาศ นาวาโบราณลำหนึ่งแล่นผ่านดวงดาวต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว


“ใกล้ถึงแล้ว ถึงเวลานั้น ทุกคนตั้งสติ ความหวังของเผ่าปลามังกรของเราอยู่ที่นั่น!”


หัวหน้าเผ่าปลามังกรเอ่ยด้วยแววตาลุกวาว


ศึกแย่งชิงในแดนบรรพโกลาหลนี้ มันมั่นใจว่าจะมีผลเก็บเกี่ยว เผ่าปลามังกรของพวกมันจักต้องแข็งแกร่งขึ้นได้แน่!


มันตื้นตันจนหัวเราะออกมาเสียงดัง คล้ายว่ามองเห็นอนาคตอันเฟื่องฟูเจิดจ้าของเผ่าปลามังกรแล้ว!


“ใช่!”


“นอกจากกองกำลังจำนวนหนึ่งในแดนเซียนที่ทานอำนาจเราได้ ท่ามกลางอาณาจักรทั้งปวงในใต้หล้านี้ จะมีผู้ใดทานอำนาจเราได้อีก”


บนนาวาโบราณ สมาชิกปลามังกรจำนวนมากขานรับคำกู่ร้องของหัวหน้าเผ่าอย่างฮึกเหิม ความรุ่มร้อนในใจลุกเป็นไฟ


พวกเขามาจากแดนเซียน อาณาจักรอื่นไฉนเลยจะเทียบได้ ตราบใดที่ภพเซียนแท้จริงยังไม่ออกโรง อาณาจักรอื่นก็เป็นได้เพียงตัวประกอบเท่านั้น ศึกชิงในแดนบรรพโกลาหลอยู่ที่กองกำลังจากแดนเซียนของพวกเขา


ถึงอย่างไร อาณาจักรพวกเขาก็มีคำว่า ‘เซียน’ อยู่ แม้นมิใช่ภพเซียนที่แท้จริง กระนั้นก็ใกล้เคียงภพเซียนที่แท้จริงมากแล้ว พลังที่สิ่งมีชีวิตในนั้นครอบครอง เหนือกว่าขั้นเทียนตี้ไปไกลแล้ว


อาณาจักรทั้งปวงในใต้หล้านี้เมื่ออยู่เบื้องหน้าพวกเขาแล้วไร้น้ำยาสิ้นดี!


“ความเลือดร้อนฮึกเหิมของพวกเจ้านี่ดีเยี่ยม”


หัวหน้าเผ่าปลามังกรพยักหน้า ก่อนจะกล่าวต่อ “เหลือเวลาอีกระยะหนึ่งกว่าเราจะไปถึงที่นั่น ระหว่างทาง พวกเราพบเห็นสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรอื่น ๆ มามากแล้ว พวกเขาก็คงต้องการไปที่นั่นเช่นกัน ไปเถิด ไปอุ่นเครื่องเสียหน่อย รักษาความเลือดร้อนฮึกเหิมนี้ของพวกเจ้าไว้”


“เข้าใจแล้ว!”


“ใช้พวกเขาเป็นตัวอุ่นเครื่อง ขัดเกลาฝีมือเสียบ้าง!”


ปลามังกรตอบรับกันมหาศาล และพากันลงจากนาวาโบราณ แยกย้ายไปตามหาเป้าหมาย


เผ่าปลามังกรมิใช่เผ่าเล็ก ๆ อำนาจที่มีนั้นยิ่งใหญ่ทรงพลัง ถือเป็นหนึ่งในสุดยอดตระกูลของแดนเซียน สมาชิกแต่ละตนในเผ่าต่างเก่งกล้ากันทั้งสิ้น


เรื่องนั้นสะท้อนออกมาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งในบัดนี้


ปลามังกรที่เหินออกจากนาวาโบราณดุดันเหลือคณากันถ้วนหน้า ต้านรับแรงกดดันในอวกาศได้โดยไม่เป็นไร ขอบเขตของพวกเขาอยู่เหนือระดับจักรพรรดิกันทั้งสิ้น กำลังรบระดับเทียนตี้มีมากจนนับไม่ถ้วน


ส่วนกำลังรบที่เหนือชั้นเซียนขึ้นไปนั้นก็ยิ่งมีเยอะ!


กำลังรบเหนือชั้นเซียนต่างหากคือแนวรบหลัก


พวกมันทะลุทะลวงผ่านไปในอวกาศ ตามหาเป้าหมายของตนเอง นาวาไผ่ลำหนึ่งถูกค้นพบ ปลามังกรตัวหนึ่งบุกสังหารเข้าไปทันที


เสียงดังตู้ม นาวาไผ่ระเบิด สิ่งมีชีวิตบนนั้นตายกันเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่ซาก โลหิตหลั่งรินย้อมเอกภพเป็นสีแดงฉานส่องสะท้อนออกไป


“อ่อนแอเกินไป มีที่พอทานกำลังข้าได้บ้างหรือไม่ ข้าใช้พลังยังไม่ถึงหนึ่งส่วนเลย”


ปลามังกรตัวนี้ชโลมตัวภายใต้โลหิตสีแดงสด เย็นชาไร้เมตตา ไม่เห็นค่าของชีวิต


บนนาวาไผ่มีสิ่งมีชีวิตหลักพัน ถูกสังหารในเสี้ยวพริบตา มันไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกไม่สบายใจ แต่ยังดูแคลนสิ่งมีชีวิตบนนาวาที่พลังอ่อนแอเกินไป ไม่มีความท้าทายเลยสักนิด


“ไปล่ะ”


มันไปจากที่นี่ ตามหาเป้าหมายใหม่ในจักรวาลผืนนี้


แดนบรรพโกลาหลวิเศษสูงส่งเกินไป เมื่อข่าวที่มันใกล้จะปรากฏออกสู่สายตาแพร่ออกไป อาณาจักรทั้งปวงในใต้หล้าออกโรงกันหมด สิ่งมีชีวิตผู้มีความสามารถต่างมุ่งหน้ามายังอาณาจักรผืนนี้


ปลามังกรเหล่านี้หาเป้าหมายไม่ยากนัก


อาณาจักรอื่น ๆ ในใต้หล้านี้ห่างชั้นจากพวกปลามังกรมาก ไม่ใช่ระดับเดียวกันเลย และปลามังกรเหล่านี้ก็โหดเหี้ยมไร้ความเมตตาถึงขีดสุด ไม่เห็นชีวิตผู้อื่นอยู่ในสายตาสักนิด เดาได้เลยว่า ทันทีที่สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรอื่นถูกพวกปลามังกรพบตัว จะต้องพบเจอสถานการณ์เลวร้ายปานใด น่ากลัวว่า จักรวาลผืนนี้คงมีฝนเลือดโปรยปราย!


อย่างที่คิด ผ่านไปไม่นาน เสียงโหยหวนก็ดังระงมอยู่ท่ามกลางอวกาศ เอกภพถูกย้อมเป็นสีแดงไปหลายจุด


“อ๊ากกกก!”


“เหตุใดพวกเจ้าต้องทำเช่นนี้”


เสียงร่ำไห้ดังกังวานไปทั่วจักรวาล สิ่งมีชีวิตที่มุ่งหน้าไปยังอาณาจักรที่แดนบรรพโกลาหลตั้งอยู่มีอยู่คณานับ พวกเขาเจอเข้ากับบรรดาปลามังกรที่ตามหาเป้าหมายอยู่ทั่ว ไม่มีเรี่ยวแรงจะต้านทานแม้แต่น้อย ถูกสังหารในชั่วอึดใจ กลายเป็นหมอกเลือด


“อย่างพวกเจ้าน่ะหรือยังคิดจะเข้าไปแย่งชิงในแดนบรรพโกลาหล น่าขันนัก!”


“แดนบรรพโกลาหลใช่ที่ที่พวกเจ้าเข้าไปแตะต้องได้รึ รีบตายไปเสียก่อนถือเป็นวาสนาของพวกเจ้าด้วยซ้ำ”


สมาชิกเผ่าปลามังกรสังหารไปทั่ว เพียงแต่อุ่นเครื่องขัดเกลาฝีมือ!


“รักษาสภาวะฮึกเหิมเช่นนี้สิถูก! ถึงที่นั่นเมื่อใด จะได้พิชิตอุปสรรคได้ทั้งปวง!”


บนนาวาโบราณ หัวหน้าเผ่าปลามังกรหัวเราะไม่หยุด พึงพอใจในตัวสมาชิกเผ่าปลามังกรที่ฆ่าฟันไปทั่วมาก


ขอบเขตพลังของมันนั้นลึกล้ำเกินหยั่ง มองออกไปปราดเดียวก็เห็นสถานการณ์ทุกอย่างในจักรวาลผืนนี้ มันมองเห็นร่างของสมาชิกเผ่าปลามังกรที่ฆ่าฟันไปทั่วทุกทิศอย่างชัดเจน


กับเรื่องนี้ มันเห็นแล้วปีติอย่างยิ่ง


ยิ่งสมาชิกเผ่าปลามังฆ่าล้างผู้อื่นอย่างคึกคักปานใด มันก็ยิ่งปีติปานนั้น มันหวังว่า สมาชิกเผ่าปลามังกรจะรักษาสภาวะเช่นนี้ไปได้ตลอด ส่วนสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในอาณาจักรแห่งอื่นนั้น มันมิได้แยแสแม้แต่น้อย


“คิดจะเข้าไปทำศึกชิงในแดนบรรพโกลาหล ก็ต้องเตรียมใจที่จะถูกฆ่า ตอนนี้ก็แค่ถูกฆ่าล่วงหน้าเท่านั้น”


มันเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ


...


ณ ดินแดนหยิน เหยียนโจว แดนทักษิณทิศ ท่ามกลางเทือกเขายาวไร้ที่สิ้นสุด


พวกลั่วสุ่ยกลับมาแล้ว พวกนางไวกว่าหลี่จิ่วเต้า


หลี่จิ่วเต้าในตอนนี้ยังไม่ได้กลับมาพร้อมไม้ไผ่ แต่ยังอยู่ระหว่างทาง


พวกเขาจัดการศพมังกรให้เรียบร้อย ดึงเอ็นมังกรออกมา


ด้านรถลาก จิ้งจอกน้อยสีแดงเพลิงอ้าปากค้างด้วยความอึ้งงัน


นี่หรือคือผู้ที่ได้ติดตามข้างกายคุณชาย? แข็งแกร่งเกินไปแล้ว ท่ามกลางศึกแย่งชิงระหว่างตระกูลและลัทธิต่าง ๆ ของภพเซียน พวกลั่วสุ่ยก็ยังไร้เทียมทาน ซ้ำยังนำศพมังกรกลับมาได้ตั้งหลายร่าง


นางตะลึงงันจริง ๆ!


อีกด้าน สีหน้าเยียบเย็นของจิ้งจอกขาวก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยเช่นกัน


นางตะลึงไปด้วย คิดไม่ถึงว่าพวกลั่วสุ่ยจะแข็งแกร่งปานนี้ แม้แต่ภพเซียนยังไร้น้ำยาเมื่ออยู่เบื้องหน้าพวกลั่วสุ่ย


‘ไม่ต้องเอ่ยถึงคุณชาย ลำพังพวกลั่วสุ่ยก็คงมิมีสิ่งมีชีวิตตนใดต่อกรด้วยได้กระมัง!’


นางคิดในใจอย่างอดมิได้ รู้สึกว่าต่อให้พวกลั่วสุ่ยไปอยู่ที่แดนบรรพโกลาหล ก็คงไม่ถูกผู้ใดรังแก ยากจะหาสิ่งมีชีวิตที่ข่มพวกเขาได้


ผ่านไปไม่นาน หลี่จิ่วเต้ากลับมา


“คุณชาย!”


ลั่วสุ่ยเห็นคุณชายกลับมาแล้วก็วิ่งเข้าไปทันที นำไผ่ที่คุณชายแบกอยู่ลงมาทั้งหมด


“เอาเอ็นตกปลากลับมาได้แล้วหรือ” หลี่จิ่วเต้าเอ่ยยิ้ม ๆ


“อืม นำกลับมาได้แล้ว คุณชายลองดูเถิดว่าใช้ได้หรือไม่”


ลั่วสุ่ยนำเอ็นมังกรออกมาให้คุณชายดู


เอ็นมังกรส่องแสงวาววามทั้งเส้น เขารับมาดูและลองดึง พบว่าเอ็นมังกรนี่ยืดหยุ่นดีมาก นำมาเป็นเอ็นตกปลานับว่าไม่เลวจริง ๆ


“ใช้ได้” ชายหนุ่มบอก


เขาสะท้อนใจอย่างอดมิได้ ผู้ฝึกตนนี่ว่องไวยิ่งนัก เร็วยิ่งกว่าเขาเสียอีก ทั้งที่เขาตัดไผ่อยู่ที่ใกล้ ๆ แท้ ๆ


อีกอย่าง ของสิ่งนี้ดูก็รู้ว่าไม่ธรรมดา พวกลั่วสุ่ยกลับนำมันมาได้ในเวลาอันสั้น สุดยอดจริง ๆ


“เอาล่ะ ต่อไปนี้ดูฝีมือคุณชายไว้เถิด หลังจากคุณชายประดิษฐ์ไม้ตกปลาเสร็จแล้ว เราทุกคนไปตกปลาด้วยกัน”


หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้ม กลับไปนำตะขอตกปลาออกมาจำนวนหนึ่งจากรถลาก


ตะขอตกปลาเหล่านี้เป็นฝีมือของเขาเอง


เมื่อคราวเขายังอยู่ที่บ้าน ได้รังสรรค์ตะขอตกปลาขึ้นมาไม่น้อย ยามต้องออกจากบ้าน จึงนำตะขอตกปลาเหล่านั้นติดมาด้วย


ถึงอย่างไรตะขอตกปลาก็เป็นของชิ้นเล็ก มิได้กินที่แต่อย่างใด ประกอบกับออกจากบ้านคราวนี้คงเป็นเวลานาน เขาจึงคิดนำตะขอตกปลาเหล่านี้ไปด้วย เผื่อว่าหากตะขอตกปลาที่ใช้กับไม้เสีย จะได้มีให้เปลี่ยน


พอดีเลยตอนนี้ ตะขอตกปลาเหล่านี้ได้ใช้หมดแล้ว


จากนั้น เขาหยิบเครื่องมีดต่าง ๆ ออกมาเหลาไม้ไผ่ เขาทั้งตั้งใจและใส่ใจ จัดการไผ่ทุกต้นได้อย่างไร้ที่ติ ไม่มีจุดบกพร่องแม้แต่น้อย


สำหรับเขา นี่แหละคือการใช้ชีวิต


เครื่องใช้ในบ้านเหล่านั้น เขาไปซื้อจากข้างนอกมาใช้ก็ย่อมได้ แต่เขามิได้ไปซื้อ หากแต่ประดิษฐ์ขึ้นเองทุกชิ้น


เขาชอบที่จะทำเรื่องแบบนี้


ในสายตาของเขา เรื่องแบบนี้เปี่ยมความหมาย เติมชีวิตของเขาให้เต็มยิ่งขึ้น


ผ่านไประยะหนึ่ง เขาจัดการไผ่ทั้งหมดเรียบร้อย จนไผ่เหล่านั้นกลายเป็นไม้ตกปลาอันมีมาตรฐาน


จากนั้น เขาบรรจุเอ็นมังกรและตะขอตกปลาลงไปอย่างบรรจง กลายเป็นไม้ตกปลาอันสมบูรณ์


ระหว่างที่เขาลงมืออยู่ ทุกอิริยาบถล้วนดูเชี่ยวชาญช่ำชอง ลื่นไหลดั่งสายน้ำ ผู้ใดได้เห็นต่างต้องทึ่ง เขานั้นเรียกได้ว่าเป็น ‘ปรมาจารย์ช่างฝีมือ’ อย่างแท้จริง!


อีกด้าน พวกลั่วสุ่ยเห็นแล้วอึ้งงันกันหมด


ไผ่อันแสนธรรมดา เมื่อผ่านมือคุณชายกลับกลายเป็นยอดศาสตราชิ้นแล้วชิ้นเล่าอย่างไม่ต้องสงสัย หากนำมาใช้เป็นอาวุธ ย่อมต้องแทงน่านฟ้าจนเป็นหลุมใหญ่ได้สบาย ๆ


นี่แหละ ฝีมือของคุณชาย!


ดูเหมือน ‘ดาษดื่น’ คล้ายว่าประดิษฐ์ไม้ตกปลาธรรมดา แท้จริงหาได้ธรรมดาไม่ สูงส่งวิเศษอย่างยิ่งยวด!


ขอบเขตพลังของพวกเขามิได้ต่ำ กระนั้นพวกเขาก็ยังดูไม่ออกว่าคุณชายทำได้อย่างไร แม้ว่าพวกเขาเห็นทุกขั้นตอนแล้วก็ตาม ยังมิมีเบาะแสแม้แต่น้อย!


ไม้ไผ่ธรรมดา เหตุใดถึงกลายเป็นยอดศาสตราเช่นนี้เสียได้?


ฝีมือระดับนี้เหลือเชื่อจริง ๆ!


“ไปเถิด ไปตกปลากัน”


หลังไม้ตกปลาเป็นรูปเป็นร่างแล้ว หลี่จิ่วเต้าให้พวกเซี่ยเหยียนมารับไปคนละก้าน ลั่วสุ่ยไม่ต้อง เพราะนางมีอยู่แล้ว


พวกเขามาอยู่ตรงข้างทะเลสาบ หลี่จิ่วเต้าอธิบายหลักการสำคัญของการตกปลา และชี้แนะท่าตกปลาให้พวกเซี่ยเหยียนด้วยตัวเอง


ผ่านไปพักหนึ่ง พวกเซี่ยเหยียนเริ่มจับจุดสำคัญของการตกปลาได้ และเริ่มตกปลาอย่างเป็นทางการ!


“ฮ่า ๆ ทุกคนพยายามเข้า ถึงเวลามาดูกันว่าผู้ใดตกได้มาก ผู้ใดตกปลาได้เยอะที่สุด คุณชายมีรางวัลให้!”


หลี่จิ่วเต้านั่งลงบนก้อนหิน เริ่มตกปลาด้วยเช่นกัน


เขาตั้งใจนำก้อนหินมาที่นี่ ยามตกปลา นั่งบนอะไรก็มิสู้นั่งบนก้อนหิน


‘จะตกปลามังกรขึ้นมาได้หรือไม่นะ’


หลี่จิ่วเต้าคิดในใจ เริ่มตั้งความหวังขึ้นมา


...


นอกเอกภพ


ปลามังกรจำนวนมากกระจัดกระจายไปทั่ว บุกโจมตีเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตอาณาจักรอื่นที่ผ่านทางมา


“เอ๋ ไม่เลวนี่!”


เด็กหนุ่มผู้หนึ่งตาเป็นประกาย มันจำแลงกายจากปลามังกร หมายตานาวาลำหนึ่งเข้า บนนั้นเต็มไปด้วยผู้ฝึกตนหญิงงาม


มันมิได้ลังเล เหินตรงเข้าไป


นาวาลำนี้ไม่ธรรมดา เปล่งประกายระยิบระยับ มีพลังคอยคุ้มครอง ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าปลามังกรตัวนี้ กลับมิมีฤทธิ์เดชอันใด


มันจุติลงบนเรือ พลังคุ้มครองของเรือระเบิดในบัดดล หยุดยั้งมันมิได้แม้แต่เสี้ยวพริบตา!


“เจ้า…เป็นใคร!”


“เจ้าคิดจะทำอันใด?!”


สิ่งมีชีวิตบนนาวาต่างตกใจกับปลามังกรที่โผล่พรวดพราดลงมา พวกเขาอกสั่นขวัญแขวน ต่างรีดเร้นพลังทั้งหมดในกาย ปฏิบัติต่อปลามังกรตัวนี้เป็นศัตรูตัวฉกาจ


“ไม่ใช่เรื่องของพวกเจ้า!”


ปลามังกรแค่นเสียงเย็น โบกมือเบา ๆ คลื่นพลังประหลาดซัดสาด จากนั้น บุรุษเพศทุกผู้บนนาวาลำนี้ลอยตัวขึ้น ทยอยระเบิดออกท่ามกลางอวกาศ และตายไปอย่างสิ้นเชิง


มันทรงพลังเกินไป เหนือชั้นเซียนขึ้นไปอีก แม้ว่าสิ่งมีชีวิตบนนาวาลำนี้ก็ไม่ธรรมดา มาจากอาณาจักรเก้าตอนบน กระนั้นเมื่ออยู่เบื้องหน้ามันก็มิอาจเทียบเทียม


“ฮ่า ๆ ปรนนิบัติข้าให้ดี แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า”


ปลามังกรตัวนั้นหัวเราะร่วน บอกกับผู้ฝึกตนสตรีบนนาวาลำนี้


“ทว่าข้าต้องขอเตือนพวกเจ้าสักอย่าง ของข้าใหญ่มาก พวกเจ้าต้องรู้จักอดทน” มันเอ่ยอย่างภาคภูมิ


แต่แล้ว ขณะที่มันกำลังจะตะครุบไปหาผู้ฝึกตนสตรีบนนาวาลำนั้น อวกาศเหนือหัวมันพลันมีพลังบางอย่างไหลหลากออกมา


ราวกับมีบางอย่างกำลังจะออกมาจากที่นั่น!


เอกภพแหวก ม่านแสงจรดลงมาผืนใหญ่ หมอกเซียนห้อมล้อม ปลามังกรอดชะงักมิได้ มองไปยังด้านนั้น


ที่นั่นมีอันใดกำลังจะออกมา?


มันรอบคอบอย่างมาก ยกมือเรียกเกอ*[1]รบสีเงินเล่มหนึ่งออกมา เปล่งประกายเยือกเย็น ชวนให้หวาดหวั่น


ทันใดนั้น ลำนำเซียนดังขึ้น สตรีนวยนาดอรชรนางหนึ่งก้าวออกมาอย่างแช่มช้า


นางพิลาสล้ำจนไม่เหมือนความจริง ราวกับฝันไป เรือนร่างเย้ายวน ทันทีที่นางปรากฏตัว ปลามังกรก็มองจนตาค้าง


“งดงามเกินไปแล้ว!”


สายตาปลามังกรร้อนรุ่ม นางคือสตรีโสภาที่สุดที่มันเคยเห็น มันระริกระรี้ทนมิไหว อดมิได้อยากดึงสตรีนางนี้เข้ามาในอ้อมกอดแล้วรังแกให้หนัก!


สุดท้าย มันทนไม่ไหวอีกต่อไป คำรามลั่นหนึ่งเสียง แล้วพุ่งไปหาสตรีนางนั้นพร้อมเกอรบสีเงินในมือ


“มานี่เสียเถิด!”


มันปะทุพลังทั้งหมด มิได้คุมสติไม่อยู่เพียงเพราะความงาม เขาระแวดระวังอย่างมาก กลัวแต่ว่าจะเป็นกับดัก!


พลังเซียนอันเข้มข้นซัดสาด มันพันธนาการสตรีนางนั้นไว้ มิได้พบกับดักอันใด


มันเหินตัวเข้าไป ดึงสตรีนางนั้นเข้ามาในอ้อมกอด


“แม่คนงาม มา ๆ ขอหอมแก้มเจ้าสักที!”


มันหัวเราะร่วน จูบสตรีในอ้อมกอดอย่างอดรนทนมิได้


“อย่างที่คิด ริมฝีปากของหญิงงามให้ความรู้สึกแตกต่างยามจุมพิต รู้สึกต่างจากที่เคย ๆ ราวฟ้ากับเหว! หืม ไม่สิ เหตุใดถึงแข็งปานนี้”


มันกำลังจูบอย่างออกรส ทันใดนั้นก็รู้สึกผิดปกติ จึงรีบลืมตามอง


“นี่มันอะไรกันนี่!?”


หลังมันลืมตา ยังมีหญิงงามอยู่อีกที่ไหน มีเพียงเอ็นยาวเส้นหนึ่ง แขวนสิ่งที่ทำด้วยโลหะเอาไว้


เมื่อครู่เหมือนว่ามันกอดเจ้าโลหะชิ้นนี้แล้วกระหน่ำจูบใช่หรือไม่?


“นี่คือตะขอตกปลา!”


มันรู้ตัวอย่างรวดเร็ว จำโลหะชิ้นนี้ได้ นี่คือตะขอที่ใช้ตกปลามิใช่หรือ?


ทันใดนั้น มันพลันเดือดดาลเป็นที่สุด เห็นได้ชัดว่ามีสิ่งมีชีวิตบางอย่างกำลังตกมันอยู่!


“ผู้ใดบังอาจตกข้าผู้นี้?!”


มันโมโหแทบแย่ เอื้อมมือคิดจะคว้าเอ็นตกปลา เพื่อกระชากเจ้าตัวที่ริอ่านตกมันออกมา


ทว่าในตอนนั้นเอง จู่ ๆ ก็มีแสงสว่างพวยพุ่งออกจากตะขอตกปลา และพุ่งเข้าไปในปากมันทันที เกี่ยวมันไว้แน่น!


มันตกใจแทบแย่ รีบรีดเร้นพลังทั้งหมดในกาย หมายจะขับตะขอตกปลานั้นออกไป


แต่พลังประหลาดบางอย่างหลั่งไหลเข้าไปในตัวมัน พลังทั้งหมดของมันถูกสะกด มันถูกบีบบังคับให้คืนกลับร่างเดิม จากมนุษย์หนุ่มกลายมาเป็นร่างปลามังกรอีกครั้ง


ต่อมา มันรู้สึกสูญเสียความควบคุมในร่างกาย ลอยขึ้นไปตามเอ็นตกปลา จนท้ายที่สุดอันตรธานไปจากอวกาศ!


“ฝีมือผู้ใดกัน!?”


บนนาวาโบราณ หัวหน้าเผ่าปลามังกรดิ้นเร่า ๆ ด้วยความโกรธ มันเห็นกระบวนการที่ปลามังกรตัวนี้ถูกตก


พวกมันเป็นถึงเผ่าปลามังกร เผ่าหฤโหดในแดนเซียน บัดนี้กลับถูกผู้อื่นตกไป มันโมโหจนอกแทบระเบิด ทนไม่ได้เลย


“ทั้งหมดกลับมา!”


มันคำรามลั่น เสียงนั้นก้องกังวานไปทั้งจักรวาล เพื่อให้สมาชิกเผ่าปลามังกรที่อยู่ข้างนอกนั่นกลับมาให้หมด มันต้องการสืบค้นและกระชากตัวผู้ที่คอยตกพวกมันออกมา


ทว่าเพียงไม่นานมันก็ต้องตาค้าง


ภาพเดียวกันนี้ ปรากฏในอีกหลายแห่ง สมาชิกปลามังกรที่นั่นถูกตกไปเช่นเดียวกัน!


“พวกเจ้านี่โง่เขลานัก เหตุไฉนถึงติดกับดักเสียได้!”


สีหน้าหัวหน้าเผ่าปลามังกรอึมครึม ในสถานที่เหล่านั้น ไม่มี ‘อาวุธเซียน’ ปรากฏออกมากะทันหัน ก็มี ‘โอสถเซียน’ ปรากฏออกมากะทันหัน จากนั้นสมาชิกเผ่าปลามังกรเหล่านี้ติดกับกันหมด ทันทีที่เข้าไปหา ก็โดนตะขอตกปลาเกี่ยวไปได้


โทสะในใจมันยิ่งลุกโชติ เห็นได้ชัดว่ามิได้มีเพียงผู้เดียวที่กำลังตกปลามังกรอย่างพวกมัน หากแต่เป็นกลุ่มเป็นก้อนที่กำลังตกปลามังกรอย่างพวกมันอยู่!


มันทนไม่ได้จากใจจริง เมื่อใดกันที่เผ่าปลามังกรอย่างพวกมันกลายเป็นเป้าให้โดนตก


เจ้าพวกที่ตกพวกมันน่าฆ่านัก!


“ใช่แล้ว! ถึงอย่างไรก็ยังเยาว์นัก กับดักชัดเจนเยี่ยงนี้ยังมองไม่ออก!”


“ไม่ได้นำสมองมาด้วยหรือไร จู่ ๆ จะมี ‘อาวุธเซียน’ ‘โอสถเซียน’ ปรากฏออกมาในอวกาศได้อย่างไร ไม่ต้องคิดให้มากความก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้!”


เสียงชราภาพหลายเสียงดังขึ้นบนนาวาโบราณ


พวกมันคือบรรพจารย์ของเผ่าปลามังกร เวลานี้ออกมากันหมด


ขอบเขตพลังของพวกมันนั้นลึกล้ำเกินหยั่ง กำลังที่มีมากมายไร้ขอบเขต เห็นภาพที่ปลามังกรเหล่านั้นโดนตกไปเช่นกัน


เรื่องนี้ทำให้พวกมันโมโหมาก!


ด้านหนึ่ง พวกมันโมโหที่มีบางอย่างบังอาจตกพวกมันเสียได้ อีกด้าน พวกมันโมโหที่สมาชิกในเผ่าไม่เอาอ่าวเกินไป ติดกับกันง่าย ๆ เช่นนี้!


“อายุน้อย ด้อยประสบการณ์ ท่านบรรพจารย์ทั้งหลายโปรดตามข้าไปรับพวกมันกลับมากันเถิด!”


หัวหน้าเผ่าปลามังกรเอ่ยเสียงเข้ม


มันกลัวว่าจะเกิดเรื่องกับสมาชิกเผ่าปลามังกรตัวอื่นอีก จึงคิดอยากออกไปปกป้องคุ้มครองสมาชิกเผ่าปลามังกรเหล่านั้นด้วยกันกับบรรดาบรรพจารย์


เมื่อมีพวกมันอยู่ สมาชิกเผ่าปลามังกรเหล่านั้นย่อมไม่เกิดปัญหาอันใดได้อีก


“หืม ท่านบรรพจารย์ทั้งหลาย?”


หัวหน้าเผ่าปลามังกรเตรียมพร้อมจะออกไปแล้ว กลับพบว่าด้านบรรพจารย์ทั้งหลายกลับไม่มีวี่แวว ไม่ยอมขานรับมัน


มันตงิดใจ หันกลับไปมองเหล่าบรรพจารย์


เหล่าบรรพจารย์เดินออกจากด้านหลังมัน ส่วนมันคอยจับตาดูสมาชิกเผ่าปลามังกรด้านหน้าอยู่ตลอด จึงมิได้หันกลับไปมองบรรพจารย์เหล่านี้


และเมื่อมันหันกลับไป ก็ผงะในบัดดล


เรื่องอะไรนี่!


สีหน้าของมันพิลึกพิลั่น อยากร่ำไห้ทว่าไร้น้ำตา


พับผ่าสิ บรรพจารย์เหล่านี้ยังมีหน้าตำหนิสมาชิกเผ่าปลามังกรด้านนอกที่โดนตกไปอีกหรือ สุดท้ายเหล่าบรรพจารย์เองก็ต้านมิได้!


บรรพจารย์เหล่านี้ก็โดนตกเข้าแล้ว เบื้องหน้าแต่ละตัวต่างมีสิ่งของ ‘วิเศษ’ ปรากฏ มีทั้งคัมภีร์สวรรค์ ทั้งยอดศาสตราอย่างลูกแก้วทอง!


และสายตาที่เหล่าบรรพจารย์มองสิ่งของ ‘วิเศษ’ เหล่านั้นแตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด เป็นที่แน่นอนว่า เหล่าบรรพจารย์ก็ติดเบ็ดไปด้วย หลงใหลได้ปลื้มไปกับสิ่งของ ‘วิเศษ’ พวกนี้!


“อย่างอื่นข้ายังพอเข้าใจได้ แต่มันนี่อะไร!”


มุมปากของมันกระตุก เมื่อเห็นเบื้องหน้าบรรพจารย์คนหนึ่งมีแม่เฒ่าร่างท้วม ในมือปรากฏแส้หนังหนึ่งเส้น ส่วนบรรพจารย์ท่านนั้นหมอบอยู่ที่พื้นราวสุนัข คล้ายว่าตั้งตารอให้แม่เฒ่าร่างท้วมผู้นี้หวดมันด้วยแส้!


อะไรกัน!


บรรพจารย์ท่านนี้รสนิยมจัดจ้านไปแล้ว!


มิหนำซ้ำ ยังชื่นชอบความเจ็บปวดจนออกนอกหน้าอีกด้วย!


“ตื่นเถิด ท่านบรรพจารย์ทั้งหลาย! สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นของปลอม มิใช่ของจริง!”


มันเค้นพลังตะเบ็งเสียง หมายจะปลุกเหล่าบรรพจารย์ที่ลุ่มหลงอยู่นี้ให้ตื่น ทว่าไม่ได้ผลแม้แต่น้อย


บรรพจารย์เหล่านี้ราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงของมัน ยังอยู่ในสภาวะลุ่มหลง ซ้ำร้ายยังค่อย ๆ ก้าวไปหาสิ่งของ ‘วิเศษ’ เหล่านั้นด้วย


หัวหน้าเผ่าปลามังกรตกใจแทบแย่ นี่มันวิชาอะไรกัน ลวงตาได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ กระทั่งเหล่าบรรพจารย์ยังมองไม่ออก ถลำลึกลงไปในนั้น!


“น่าตายยิ่งนัก!”


มันคำรามกราดเกรี้ยว กระโจนตัวบุกเข้าไปหมายจะทลายภาพมายาเหล่านี้ เพื่อช่วยบรรดาบรรพจารย์ออกมา


ทว่าพลังในตัวมันนั้นต่ำต้อยเกินไป บุกไปไม่ทันถึง ก็โดนพลังบางอย่างกระแทกกลับมา กระอักเลือดคำโตออกไปอย่างกลั้นไม่ไหว ล้มอยู่บนนาวา


“จบแล้ว จบแล้ว…เผ่าปลามังกรของเราจบเห่แล้ว!”


สีหน้าของมันซีดเผือด สายตาเปี่ยมไปด้วยความสิ้นหวัง ไม่เห็นความหวังเลยสักนิด


แม้แต่เหล่าบรรพจารย์ยังต้านมิได้ พวกมันจะต้านทานต่อไปได้เยี่ยงไร


ต้านทานมิได้เลย!


มันห่อเหี่ยวขึ้นมาในบัดดล ชอกช้ำใจนัก


ขณะที่เมื่อครู่มันยังเปี่ยมความหวัง คิดว่าเผ่าปลามังกรของพวกมันกำลังจะมีอนาคตสดใส แดนบรรพโกลาหลจักกลายเป็นสถานที่ให้เผ่าปลามังกรของพวกมันได้โบยบิน


สุดท้าย พวกมันยังไม่ทันถึง ก็ประสบเคราะห์ร้ายนี้เสียก่อน


“หรือเพราะสมาชิกเผ่าปลามังกรของเราเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรอื่นไปทั่ว ถึงได้ประสบเคราะห์ร้ายนี้หรือ”


มันคิดอย่างอดมิได้ ความสำนึกเสียใจเอ่อล้นอยู่เต็มหัว


เวรกรรมนั้นดำรงอยู่ในสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ไม่ว่ากระทำสิ่งใด ควรต้องมีจิตใจที่เกรงขาม พวกมันสูญเสียความเกรงขามนี้ ไม่เห็นชีวิตของอาณาจักรอื่นในสายตา จึงถูกกรรมตามสนองในฉับพลันอย่างนั้นหรือ?!


ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!


เวลานั้น เหล่าบรรพจารย์โดนตะขอตกปลาเกี่ยวไว้ทั้งหมด ก่อนจะถูกดึงหายไปในอวกาศ


หัวหน้าเผ่าปลามังกรร้องไห้โฮ ทว่ามิมีเรี่ยวแรงจะทำอันใด ได้แต่ทนมองเหล่าบรรพจารย์ถูกตกไปอย่างนั้น หยุดอะไรไม่ได้เลย


การตกนี้ยังไม่จบ สมาชิกเผ่าปลามังกรข้างนอกหนีกลับนาวาโบราณมิได้ จึงถูกตกไปด้วยทีละตัว


หัวหน้าเผ่าปลามังกรร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวดยิ่งขึ้น ครั้งนี้มันก็หยุดยั้งมิได้ ทันทีที่เข้าไปก็ถูกกระแทกจนกระเด็น ห่างชั้นกันมากยิ่ง


“วางใจเถิด! ข้าจะแก้แค้นให้พวกเจ้า! ไม่ว่าเจ้าพวกนั้นเป็นผู้ใด!”


มันเช็ดน้ำตา ลุกยืนแล้วไปจากนาวาโบราณอย่างรวดเร็ว มิกล้าอยู่ที่นี่ต่อ


ตราบเท่าที่มีชีวิตย่อมมีความหวัง ตราบใดที่มันยังไม่ตาย ความหวังย่อมต้องมาถึง!


แดนบรรพโกลาหลคือความหวังของมัน!


ขอเพียงมันได้เข้าไปในแดนบรรพโกลาหล เก็บเกี่ยวบางอย่างได้จากในนั้น มันต้องเปลี่ยนไปอย่างพลิกผัน ยกระดับพลังขึ้นอีกมหาศาล!


ถึงคราวนั้น มันก็จะมีพลังพอให้แก้แค้น!


มันไม่กล้าอยู่ที่นั่นต่อแม้สักวินาที เผ่นสุดชีวิต ข้ามผ่านดาราดวงแล้วดวงเล่า


“คราวนี้คงไม่เป็นไรแล้วกระมัง”


มันชะลอฝีเท้า เวลานี้ห่างจากนาวาโบราณตั้งไม่รู้เท่าไร มันพอโล่งใจได้บ้าง


“นั่นมัน…!”


ทันใดนั้น สายตาของมันนิ่งค้างเมื่อได้เห็นนาวาสมุทรคันมโหฬาร แสงเซียนห้อมล้อมอยู่รอบ ๆ ซ้ำยังมีแรงกดดันน่าพรั่นพรึงแผ่ขยายออกไป จนร่างของมันเกร็งตึงอย่างอดมิได้


“รอดแล้ว!”


เมื่อมันมองเห็นสิ่งมีชีวิตบนนาวาสมุทรมโหฬารนั่นชัดแล้ว ก็หัวเราะร่วนออกมา


สิ่งมีชีวิตบนนาวาสมุทรมาจากอาณาจักรเดียวกับมัน เป็นสิ่งมีชีวิตในแดนเซียน


นี่คือกองกำลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเผ่าปลามังกรของพวกมัน และเป็นเผ่าที่อยู่บนจุดสูงสุดของแดนเซียนอย่างแท้จริง ไม่มีผู้ใดเทียบเทียม อำนาจที่มีอยู่ในระดับลึกล้ำเกินหยั่งแล้ว!


สิ่งสำคัญที่สุดคือ เผ่านี้กับเผ่าปลามังกรของมันถือเป็นเผ่าในทะเลด้วยกัน มีสัมพันธ์ดีงามต่อกัน หากมันเข้าไปขอความช่วยเหลือ ย่อมไม่ถูกปฏิเสธ


“แข็งแกร่งเพียงใดก็มิเกินเผ่าวาฬสวรรค์แน่”


มันแสยะยิ้มมุมปาก ไม่คิดว่าเจ้าพวกที่ตกพวกมันจะเก่งกล้ากว่าเผ่าวาฬสวรรค์ ขอเพียงมันไปถึงเผ่าวาฬสวรรค์ มันก็ย่อมปลอดภัย


“สวัสดี สหายจากเผ่าวาฬสวรรค์!”


คิดมาถึงนี่ มันไม่ลังเลอีกต่อไป เหินเข้าไปหานาวาสมุทรมโหฬาร


มันไม่ได้รับแรงสกัดกั้นแต่อย่างใด ขึ้นไปถึงนาวาสมุทรได้สำเร็จ หัวใจที่หวั่นวิตกของมันก็เบาลงได้อย่างแท้จริง


“เจ้าลองตกดูอีกทีสิ?!”


มันแหงนมองนภา หัวเราะเสียงเย็น ไม่กลัวการโดนตกเลยสักนิด


มันยังอยากให้เจ้าพวกนั้นตกมันอีกครั้งด้วยซ้ำ!


หากยังหาญกล้าตกมัน มันจะยืมพลังจากเผ่าวาฬสวรรค์เพื่อกระชากเจ้าพวกที่ตกปลาออกมา และช่วยสมาชิกเผ่าปลามังกรของมันไว้!




[1] เกอ (戈) คือ อาวุธโบราณชนิดหนึ่ง


หลังขึ้นมาบนนาวาสมุทรของเผ่าวาฬสวรรค์ หัวหน้าเผ่าปลามังกรก็สบายใจได้อย่างสิ้นเชิง


มีเผ่าวาฬสวรรค์คอยหนุนหลังมัน มันไม่มีสิ่งใดต้องเกรงกลัวอีก


“ฮ่า ๆ เจ้าตะขอนั่นไม่กล้าแล้วใช่หรือไม่!”


มันแหงนมองอวกาศ ท้าทายต่อไป นึกอยากเรียกเจ้าพวกที่ตกเผ่าปลามังกรของมันออกมาให้หมด


“เดี๋ยวสิ…นี่มันไม่ถูก!”


ไม่นานนัก มันก็ตระหนักถึงบางอย่าง สีหน้าเปลี่ยนไปในบัดดล


เหตุใดถึงไม่มีสมาชิกเผ่าวาฬสวรรค์คุยกับมันเลย?


มันมองสมาชิกเผ่าวาฬสวรรค์บนเรือด้วยความฉงน ก่อนจะร้องเรียก “สหาย?”


กระนั้นก็ยังไม่มีสมาชิกเผ่าวาฬสวรรค์คนใดสนใจมัน


“บัดซบ! ข้าติดกับแล้ว!”


มันสบถออกมา อยากร่ำไห้นัก สถานการณ์พิลึกเกินไปแล้ว มันอาจเจอเข้ากับภาพลวงตาเช่นกัน!


ไม่ทันได้คิดไปมากกว่านี้ มันกระโจนตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว หมายจะออกไปจากนาวาสมุทรลำนี้


ทว่าตอนนั้นเอง จู่ ๆ ก็มีลำแสงเจิดจ้ามากมายพวยพุ่งออกจากนาวาสมุทร สิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนนาวา รวมถึงนาวาลำนี้สลายไปอย่างรวดเร็ว!


“ติดกับเข้าแล้วจริง ๆ!”


หัวหน้าเผ่าปลามังกรร่ำไห้ อยากหนีไปจากที่นี่อย่างยิ่งยวด แต่มันหนีไปได้ที่ไหน ท่ามกลางม่านแสงที่กำลังหายไป ตะขอตกปลาอันโดดเด่นปรากฏ


จากนั้น มันโดนตกขึ้นไป พลังทั้งหมดถูกสะกด


ซ่า!


ริมทะเลสาบ หลี่จิ่วเต้าเห็นแล้วปลื้มปีติยิ่ง


ที่นี่เป็นรังปลามังกรจริง ๆ ด้วย ดูที่เขากับพวกลั่วสุ่ยตกขึ้นมาสิ มีแต่ปลามังกรทั้งนั้น ถังแล้วถังเล่า เต็มถังทุกใบ


“ไม่เลวเลย”


หลี่จิ่วเต้าหัวเราะไม่หยุด คราวนี้ ‘ขนม’ ของลั่วสุ่ยก็เพียงพอแล้ว


ปลามังกรมากมายเพียงนี้ ลั่วสุ่ยกินทุกวันยังไม่เป็นปัญหา


เขารู้สึกว่าพอประมาณแล้ว ประกอบกับฟ้าเริ่มมืด จึงเรียกให้พวกลั่วสุ่ยหยุด


“เรามาดูกันเถิดว่าผู้ใดตกได้เยอะที่สุด”


ก่อนหน้านี้เขากล่าวไว้ว่า ผู้ใดตกได้เยอะที่สุดมีรางวัล


ระยะห่างชัดเจนยิ่งนัก นอกจากเขาแล้ว ลั่วสุ่ยนั้นตกได้เยอะสุด รองลงมาเป็นหลิงอิน และผู้ที่ตกได้น้อยที่สุดก็คือเซี่ยเหยียน


นางมีความอดทนไม่พอ มักดึงไม้ตกปลาขึ้นก่อนเสมอ ทันทีที่หย่อนตะขอตกปลาลงไป ก็รู้สึกว่ามีปลามาติดเบ็ด จึงเสียเวลาไปไม่น้อย ตกปลาได้ไม่มากนัก


“เซี่ยเหยียน เจ้าต้องขัดเกลาจิตใจให้ดี เจ้าดูสิ พวกอ้ายฉานยังตกได้มากกว่าเจ้าอีก”


หลี่จิ่วเต้าเอ่ย เซี่ยเหยียนนั้นดีทุกอย่าง เพียงแต่ใจร้อนเกินไป


“ข้ากับลั่วสุ่ยไม่นับ เราสองคนตกปลากันบ่อยแล้ว พวกเจ้าทุกคนล้วนเพิ่งเคยตกปลาครั้งแรก”


ชายหนุ่มหยิบพวงห้อยรูปตะขอตกปลาสีทองอันหนึ่งออกมา


“ที่เหลือก็มีหลิงอินที่ตกได้เยอะสุด มาสิ นี่เป็นของที่ให้เจ้า”


เขายื่นพวงห้อยรูปตะขอตกปลาสีทองให้หลิงอิน


นี่คือพวงห้อยรูปตะขอตกปลาทองคำแท้ที่เขาทำขึ้นเอง ยามออกจากบ้าน เขาติดไม้ติดมือของแบบนี้มาไม่น้อย


“ขอบคุณคุณชาย!”


หลิงอินกล่าวขอบคุณคุณชาย และรับพวงห้อยรูปตะขอตกปลาทองคำแท้มา


หลังนางรับมาไว้ในมือ ก็เกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้นฉับพลัน ราวกับไม่ว่าสิ่งใด นางสามารถตกได้ทั้งสิ้น!


ใช่แล้ว ความรู้สึกที่ตกได้ทุกสิ่ง ไม่ใช่แค่ปลาเท่านั้น หากแต่รวมถึงทุกอย่าง!


นางรู้สึกว่ามีพวงห้อยรูปตะขอตกปลาทองคำแท้นี้อยู่ หากได้ไปภพเซียนอีกครั้ง นางแค่หย่อนตะขอทองคำแท้นี้ออกไป แม้แต่จักรพรรดิเซียนยังต้องติดเบ็ด โดนนางตกขึ้นมา!


“ผลงานคุณชาย ล้วนแต่ล้ำเลิศกันทั้งสิ้น!”


นางสะท้อนใจจากใจจริง


หากนางต้องต่อสู้กับจักรพรรดิเซียนจริง ๆ ความห่างชั้นนั้นคงไม่รู้ตั้งเท่าไร บัดนี้มีพวงห้อยรูปตะขอตกปลาทองคำแท้นี้ในมือ จักรพรรดิเซียนไม่เป็นอันตรายสำหรับนางอีกต่อไป นางตกได้ตามที่ต้องการ


คืนนั้น หลี่จิ่วเต้ายุ่งอยู่ทั้งคืน จับปลามังกรเหล่านี้ทำเป็นปลาตากแห้ง เก็บไว้ให้ลั่วสุ่ยกินเป็นขนม


เซี่ยเหยียนเห็นแล้วอิจฉาสุด ๆ


ในใจคุณชาย ลั่วสุ่ยมีความสำคัญมากจริง ๆ นางรู้สึกว่าทั้งนางทั้งหลิงอินต่างเทียบกับความสำคัญของลั่วสุ่ยในใจไม่ได้


ทะเลสาบแห่งนั้นไฉนเลยจะตกขึ้นมาได้แต่ปลามังกรเล่า ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าทั้งหมดนี้คงเกี่ยวข้องกับคุณชาย


เห็นได้ชัดว่าคุณชายทำเช่นนี้ก็เพื่อลั่วสุ่ย


การเดินทางดำเนินต่อไป อสูรทั้งเก้าลากรถบินผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่า คูเมืองแห่งแล้วแห่งเล่าอย่างช้า ๆ แล่นอยู่ในชั้นเมฆ


“สหาย พวกท่านก็จะไปเขาเฟิ่งหวาเช่นกันหรือ”


ระหว่างทาง เด็กหนุ่มผู้หนึ่งขี่กระบี่เข้ามา เอ่ยกับผู้คนในรถลาก


“เขาเฟิ่งหวาหรือ?”


หลี่จิ่วเต้ายืนอยู่ข้างหน้าต่าง ถามด้วยความใคร่รู้ “ที่นั่นเกิดเรื่องใดขึ้นหรือ”


“สหายไม่ทราบหรอกหรือ”


เด็กหนุ่มผงะ “ข้าเห็นทิศที่พวกสหายมุ่งหน้าไปคือด้านเขาเฟิ่งหวา จึงคิดว่าพวกสหายกำลังจะไปที่นั่น”


จากนั้น เขาก็เล่าเหตุการณ์ในเขาเฟิ่งหวาให้ฟัง


“ในแดนทักษิณทิศมีนางเซียนงามพิลาสนางหนึ่งปรากฏ ไม่เพียงแต่มีรูปโฉมเป็นหนึ่ง ขอบเขตพลังยังลึกล้ำเกินหยั่ง บัดนี้ ที่เขาเฟิ่งหวาคึกคักอย่างมาก สิ่งมีชีวิตผู้ฝึกตนมากมายต่างอยากยลโฉมนางเซียนงามพิลาสนางนี้”


เขากล่าวต่อ “ข้าเองก็จะไปที่นั่น”


“นางเซียนงามพิลาสหรือ”


หลี่จิ่วเต้าตาเป็นประกาย จะใช่ซีหรือไม่


เขาถามเด็กหนุ่ม “เจ้าเคยเจอนางเซียนท่านนี้หรือไม่”


“ไม่เคย!”


เด็กหนุ่มส่ายหัว “นางเซียนไฉนเลยจะเจอกันได้ง่าย ๆ ที่ข้าไปครานี้ ก็เพื่อยลโฉมของนางเซียน ที่เหลือข้ามิกล้าคิดหรอก”


“เข้าใจแล้ว”


หลี่จิ่วเต้าชักสนใจ อยากไปที่เขาเฟิ่งหวา


“สหายอยากเข้ามาหรือไม่ เราไปที่เขาเฟิ่งหวาด้วยกันเถิด”


หลี่จิ่วเต้าเอ่ยยิ้ม ๆ


“ไม่เป็นไร”


เด็กหนุ่มหัวเราะ “ข้าชอบความรู้สึกที่ได้ขี่กระบี่โต้ลม มิฉะนั้น ข้าคงเลือกเดินทางด้วยรถลากเฉกเช่นพวกสหายแล้ว”


“ขี่กระบี่โต้ลมหรือ…ดียิ่ง” หลี่จิ่วเต้ากล่าว


ขี่กระบี่โต้ลม เป็นเรื่องที่เขาอยากทำมาตลอด


อนิจจา แม้เขาจะได้ศาสตรามาไม่น้อยที่เหาะเหินเดินอากาศได้เช่นกัน อย่างเช่นธงฮุ่นหยวน ทว่าเมื่อเทียบกับการขี่กระบี่โต้ลม ก็ยังต่างกันมากนัก


เขาอยากขี่กระบี่โต้ลมมากกว่า


ทว่าน่าเสียดาย ในบรรดาศาสตราของเขา ไม่มีกระบี่เหินฟ้า


‘ยังเด็กนัก ยังเด็กจริง ๆ!’


หลิงอินคิดในใจ เด็กหนุ่มผู้นี้พลาดโอกาสวาสนาชั้นดี คุณชายออกปากเชื้อเชิญเชียวนะ หลังขึ้นมาบนรถลาก ลำพังน้ำชาสักถ้วยที่คุณชายประทานให้ก็เป็นประโยชน์ต่อเด็กหนุ่มมหาศาลแล้ว


เด็กหนุ่มขี่กระบี่อยู่ด้านนอก มุ่งหน้าไปทางเขาเฟิ่งหวาพร้อมกับรถลากเก้าอสูร


ระหว่างทาง หลี่จิ่วเต้าสนทนากับเด็กหนุ่มถึงเรื่องราวต่าง ๆ และได้รู้ชื่อแซ่ของเด็กหนุ่ม


เด็กหนุ่มมีนามว่าฉินหวายเฟิง มาจากสำนักฝึกตนขนาดเล็กในแดนทักษิณทิศ หลี่จิ่วเต้าลองถามเซี่ยเหยียนดูแล้ว นางบอกว่าไม่รู้จัก


หลี่จิ่วเต้าจึงนึกในใจว่าสำนักฝึกตนแห่งนี้เล็กจริง ๆ ด้วย


หากใหญ่กว่านี้หน่อย คงไม่ถึงขั้นที่เซี่ยเหยียนไม่เคยได้ยิน


ทว่าเขามิได้ใส่ใจ ผู้ที่เขาต้องการสานไมตรีคือฉินหวายเฟิง หาใช่กลุ่มอำนาจเบื้องหลังฉินหวายเฟิง


และหากว่ากันจริง ๆ เขายังสู้ฉินหวายเฟิงไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาเป็นเพียงปุถุชนธรรมดาผู้หนึ่งเท่านั้น


ฉินหวายเฟิงเองก็ตกตะลึงไปเหมือนกัน รู้สึกได้จากวาจาของหลี่จิ่วเต้าว่าตัวเขาไม่ธรรมดา อาจมีภูมิหลังยิ่งใหญ่


ทว่าเขาสัมผัสพลังปราณจากตัวหลี่จิ่วเต้ามิได้เลย นี่เป็นเพราะขอบเขตของหลี่จิ่วเต้าสูงชั้นกว่าเขามากเกินไปหรือ


เขาไม่เชื่อหรอกว่าหลี่จิ่วเต้าเป็นปุถุชน…


ด้านเขาเฟิ่งหวาคึกคักอย่างแท้จริง พวกเขายังไปไม่ถึงเขาเฟิ่งหวา ขนาดยังห่างกันสักระยะ ก็ได้เจอะเจอผู้ฝึกตนระหว่างทางไม่น้อย ทั้งหมดต่างเดินทางไปยังเขาเฟิ่งหวา


เริ่มแรกฉินหวายเฟิงมิได้เป็นอันใด ขี่กระบี่อยู่ข้างนอกไปเรื่อย ๆ ทว่า จู่ ๆ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป เอ่ยถามต่อหลี่จิ่วเต้าในรถลาก “สหาย ข้าเข้าไปได้หรือไม่”


หลี่จิ่วเต้าแปลกใจนิดหน่อย จู่ ๆ เหตุใดฉินหวายเฟิงถึงอยากเข้ามาในรถลาก


ที่นี่ยังห่างจากเขาเฟิ่งหวาอยู่ระยะหนึ่ง ฉินหวายเฟิงไม่อยากขี่กระบี่แล้วหรือ


กระนั้นเขายังตอบออกไปว่า “ได้สิ”


“ขอบคุณสหาย!”


ฉินหวายเฟิงกล่าวขอบคุณรัว กำลังจะเข้ามาในรถลาก


แต่แล้วในตอนนั้นเอง เสียงอสูรคำรามดังขึ้น ฉินหวายเฟิงกระเทือนจนตัวโอนเอน เกือบล้มลงไปจากกระบี่


“ฉินหวายเฟิง ข้าเคยบอกแล้วใช่หรือไม่ ห้ามปรากฏตัวต่อหน้าข้าอีก มิฉะนั้น ข้าจะเล่นงานเจ้าทุกครั้งที่เจอ!”


เสียงแค่นจมูกเย็น ๆ ดังมาจากด้านหลัง เห็นได้ชัดว่ารู้จักฉินหวายเฟิง มาถึงก็เรียกชื่อเขา


ฉินหวายเฟิงถอนหายใจ สุดท้ายก็หนีไม่พ้นหรือ?


ใช่แล้ว ที่จู่ ๆ เขาอยากเข้าไปในรถลาก ก็เพราะก่อนหน้านี้เขาบังเอิญเห็นเจ้าของสัตว์อสูรตอนหันกลับไปมอง และเพื่อหลบหน้าเจ้าของสัตว์อสูรด้านหลังผู้นั้น ถึงได้อยากเข้าไปในรถลาก


แต่ก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง เจ้าของสัตว์อสูรด้านหลังเห็นเขาเสียก่อน


“สหาย พวกเจ้าไปก่อนเถิด เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า”


ฉินหวายเฟิงบอกกับหลี่จิ่วเต้า ไม่ต้องการให้พวกหลี่จิ่วเต้าต้องติดร่างแหไปด้วย


เจ้าของสัตว์อสูรมีฐานะไม่ธรรมดา ภูมิหลังยิ่งใหญ่ หากพวกหลี่จิ่วเต้าพัวพันเข้ามาด้วย ย่อมต้องตกระกำลำบาก


จากนั้น เขาเหินไปด้านหลังคนเดียว ประจันหน้ากับเจ้าของสัตว์อสูร


ใช่ว่าเขาไม่อยากหนี แต่เขารู้ดีว่า ในสถานการณ์ที่เจ้าของสัตว์อสูรพบเขาแล้ว เขาไม่มีทางหนีพ้น ความต่างของพลังมากเกินไป


“ข้าก็อยากไป แต่พวกเจ้าไม่ให้โอกาสข้า”


ฉินหวายเฟิงบอกกับเจ้าของสัตว์อสูรด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


สัตว์อสูรมหึมายืนตระหง่านอยู่กลางอากาศ นี่คืออสูรทองที่เนื้อตัวทองอร่าม องอาจไม่ธรรมดา และบนหลังของมัน มีหนุ่มสาววัยเยาว์คู่หนึ่งนั่งอยู่


ผู้ที่แค่นเสียงผ่านจมูกใส่ฉินหวายเฟิงเมื่อครู่ก็คือบุรุษวัยเยาว์ผู้ขี่อยู่บนหลังอสูรทอง เขากอดสตรีวัยเยาว์นางนั้นในอ้อมอก


“ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ปรากฏตัวต่อหน้าข้าแล้ว เจ้าคงรู้ดีว่าจะพบจุดจบเช่นไร”


บุรุษวัยเยาว์ปรายตามองฉินหวายเฟิงด้วยหน้าตาเย็นชา


เขาไม่สนเรื่องเหตุผล ตราบใดที่ฉินหวายเฟิงปรากฏตัวเบื้องหน้าเขา เขาก็จะไม่ยอมปล่อยฉินหวายเฟิงไปง่าย ๆ


“ท่านพี่จง คิก ๆ พวกเราสั่งสอนหมอนี่มาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ปล่อยเขาไปเถิด”


สตรีในอ้อมกอดบุรุษวัยเยาว์เอ่ยด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม


สตรีนางนี้ช่วยออกหน้าแทนเขาหรือ


ฉินหวายเฟิงประหลาดใจอย่างมาก คิดไม่ถึงเลย


“ขอบคุณ”


เขากล่าวขอบคุณสตรีนางนั้น พลางหันหลังจะไปจากที่นี่


“ช้าก่อน อย่าเพิ่งรีบไปสิ ข้าบอกให้เจ้าไปแล้วหรือ”


สตรีนางนั้นคลี่ยิ้ม เรียกฉินหวายเฟิงไว้


ฉินหวายเฟิงชะงัก หันกลับไปมองนาง คิ้วขมวดมุ่น นี่นางหมายความว่าอย่างไร


“แค่ขอบคุณคำเดียวก็จบแล้วหรือ”


สตรีนางนั้นหัวเราะ “แบบนี้ ข้าไม่รู้สึกถึงความจริงใจเลยสักนิด…”


“เจ้าต้องการอันใด”


ฉินหวายเฟิงถาม


เขาทอดถอนใจ นึกเย้ยหยันตนเองที่ไร้เดียงสานัก


ด้วยนิสัยใจคอของสตรีนางนี้ ไฉนเลยจะช่วยออกหน้าแทนเขา


เขาคิดมากเกินไปจริง ๆ!


อย่างที่คิด นางคลี่ยิ้มละมุน วาจาที่เอื้อนเอ่ยออกมาทำเอาเขาโกรธจนตัวสั่น


“ในเมื่อจะขอบคุณข้า ก็ต้องทำให้ข้าพอใจถึงจะถูก”


นางกล่าว “ข้าอยากเห็นเจ้าทำตัวเลียนแบบสุนัข หมอบอยู่กับพื้นแล้วเห่า แบบนี้ข้าก็จะรู้สึกถึงความจริงใจของเจ้า”


จากนั้น นางก็เสริมอีกประโยค


“ผู้ได้พานพบกันล้วนมีวาสนาต่อกัน เจ้าอย่าปล่อยให้สหายของเจ้าอยู่ว่าง ๆ เลย เรียกพวกเขาออกมาเลียแบบสุนัขให้ข้าดูพร้อมกับเจ้าเลยแล้วกัน”


นางชี้ไปทางรถลาก เอ่ยเสียงสงบ


จิตใจโหดร้ายยิ่งนัก!


นี่มันเลวร้ายยิ่งกว่าการทุบตีเขาเสียอีก!


ใบหน้าของฉินหวายเฟิงเย็นชาลงในทันใด สตรีผู้นี้ไม่เปลี่ยนไปเลย ยังคงจิตใจเหี้ยมโหดเช่นเคย!


เมื่อครู่เขาหลงเข้าใจไปอยู่ครู่หนึ่งว่าสตรีผู้นี้กำลังขอร้องให้กับเขา แต่ความจริงแล้ว เขาก็เป็นได้เพียงคนโง่งม!


“ฮ่าฮ่า ข้าว่าแล้ว จิ้งเอ๋อร์จะขอร้องให้มันได้อย่างไร ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง”


ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเสียงดัง เขาก็ว่าเหตุใดสวีจิ้งจึงมีทีท่าเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เอ่ยขอร้องให้กับฉินหวายเฟิง ที่แท้ก็ด้วยเหตุผลเช่นนี้เอง


“จิ้งเอ๋อร์ก็เอ่ยออกมาแล้ว ไยเจ้ายังไม่รีบทำตามอีก? รีบพาสหายของเจ้าที่อยู่ตรงนั้นมาเร็ว ๆ จากนั้นก็ทำท่าทางเหมือนสุนัขให้จิ้งเอ๋อร์ดู”


เขาตะคอกเสียงใส่ฉินหวายเฟิงอย่างไม่แยแส


“เรื่องนี้พวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ข้ากับพวกเขาไม่ได้เป็นสหายกัน เจ้าสามารถทำสิ่งใดกับข้าก็ได้ แต่อย่าไปยุ่งกับคนบริสุทธิ์!”


ฉินหวายเฟิงก้าวออกไปด้านหน้า


“เจ้ากำลังสอนข้าว่าควรทำสิ่งใดอย่างนั้นหรือ?”


ชายคนนั้นยิ้มเยาะเย้ย ยกนิ้วชี้หน้าฉินหวายเฟิง “เจ้านับเป็นตัวอันใดกัน บริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถตัดสินเองได้หรือ? กระทั่งตนเองยังไม่อาจปกป้องได้ ยังคิดจะปกป้องผู้อื่นอีกรึ?”


“จ้าวจง เจ้าทำสิ่งเหล่านี้ไม่ละอายบ้างหรือไร! คนทำสิ่งใดฟ้าดินเป็นพยาน ทุกสิ่งล้วนมีต้นเหตุและผลกรรม เจ้าไม่กลัวกรรมตามสนองบ้างหรืออย่างไร!”


ฉินหวายเฟิงตะโกนออกมา


“มีเพียงแค่เศษขยะที่ไม่สามารถทำสิ่งใดได้เท่านั้น จึงจะฝากความหวังไว้กับผลกรรม!”


จ้าวจงยิ้มเหยียดหยาม “ต่อให้ผลกรรมมีอยู่จริงแล้วอย่างไร? เจ้าเป็นเพียงแค่คนไร้ค่าไม่สำคัญ จะเอาสิ่งใดมาสร้างผลกรรมให้กับข้าได้?”


เขาหัวเราะออกมา ต่อหน้าเขาแล้วฉินหวายเฟิงเป็นเพียงมดตัวจ้อย ขยี้มดตายไปสักตัวจะมีผลกรรมมากเพียงใดกันเชียว


“หยุดเห่าหอนไร้ประโยชน์เสียที”


สตรีนามว่าสวีจิ้งปรายตามองฉินหวายเฟิงอย่างไม่แยแส “เพียงให้เจ้าเห่าหอนเหมือนสุนัข ยากถึงเพียงนั้นเชียว? หรือว่าต้องหักขาเจ้าเสียก่อนจึงค่อยทำได้?”


“เจ้า!”


ฉินหวายเฟิงโกรธจนร่างกายสั่นเทิ้ม เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจิตใจของคนผู้หนึ่งจะสามารถโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้! สวีจิ้งยังคงมีความเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่? จะนิสัยชั่วร้ายเลวทรามเกินไปแล้ว!


เมื่อย้อนมองกลับไปในอดีต เขาก็อยากตบตัวเองให้ตายเสีย เขาช่างโง่งมเสียเหลือเกิน ตาหนอก็มืดบอด ไม่อาจแยกแยะดีชั่วได้!


เขาเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของสวีจิ้งเอาไว้ ทั้งยังเคยเป็นอดีตคู่บำเพ็ญเพียรอีกด้วย


ทว่าเขากลับตระหนักได้ในภายหลังว่าทุกอย่างเป็นของปลอม ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เป็นแผนการที่วางเอาไว้อย่างรอบคอบด้วยฝีมือสวีจิ้ง


ในยามนั้น สวีจิ้งไม่ได้มีสิ่งใดเลยเสียด้วยซ้ำ เป็นเพียงแค่ศิษย์นอกสำนักธรรมดา ๆ ผู้หนึ่งที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน ขณะที่ตอนนั้นเขาเป็นถึงศิษย์สายหลักอันแสนโดดเด่น


เขาได้พบกับสวีจิ้งระหว่างช่วงออกทัศนาจร


บังเอิญเจอะเจอกับสวีจิ้งในช่วงวิกฤต นางกำลังถูกกลุ่มอสูรตามล่า เขาจึงลงมือช่วยเหลืออีกฝ่ายไว้ ทำให้เขาเริ่มรู้จักสวีจิ้งตั้งแต่ตอนนั้น


หลังจากนั้น ยิ่งเขาได้คุยกับสวีจิ้งก็ยิ่งถูกคอกันมากขึ้น ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จากคนรู้จักกันธรรมดาสู่ความสัมพันธ์แบบคู่บำเพ็ญเพียร


สวีจิ้งได้รับความช่วยเหลือทุกด้านจากเขา ทำให้ขอบเขตการฝึกฝนพัฒนาอย่างมาก


ต่อมา เหล่ายอดนิกายที่เร้นตัวอยู่ในทุกดินแดนได้ปรากฏตัวออกมาเพื่อก่อตั้งสถานศึกษาเทียนตี้ แล้วเปิดรับสมัครศิษย์จำนวนมาก


เขาประสบความสำเร็จสามารถผ่านการทดสอบเข้าสถานศึกษาเทียนตี้ได้ แต่สวีจิ้งนั้นไม่ผ่านการทดสอบ


เพื่อให้สวีจิ้งสามารถเข้าสถานศึกษาเทียนตี้ ตัวเขานั้นได้บุกเข้าไปยังแดนอันตรายโดยไม่สนใจความเป็นตาย นำสมบัติล้ำค่ารอดกลับมาได้ชิ้นหนึ่งอย่างหวุดหวิด ก่อนจะให้มันกับสวีจิ้งเพื่อปรับปรุงร่างกายของนาง


ด้วยความช่วยเหลือจากสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ ร่างกายของสวีจิ้งได้รับการปรับปรุงพัฒนาขึ้นเป็นอย่างมากจนสามารถผ่านการทดสอบของสถานศึกษาเทียนตี้ได้สำเร็จ


และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นชะตากรรมอันน่าเวทนาของเขา


หลังจากเข้าสถานศึกษาเทียนตี้ได้แล้ว สวีจิ้งก็ละทิ้งเขาไปหาจ้าวจงอย่างรวดเร็ว ในตอนนั้นเอง เขาถึงตระหนักได้ว่าตลอดมาสวีจิ้งไม่เคยชอบเขาเลย ทั้งหมดล้วนเป็นแผนการที่วางเอาไว้ตั้งแต่แรก นางใช้เขาเป็นเครื่องมือเพื่อเป็นทางผ่าน


การช่วยชีวิตในครั้งนั้นก็ล้วนแต่เป็นแผนการที่นางวางเอาไว้


สวีจิ้งล่วงรู้ถึงเส้นทางออกทัศนาจรของเขา จึงจงใจทำให้ตนเองถูกอสูรไล่สังหาร จะได้สามารถสร้างสายสัมพันธ์กับเขา นางมองเขาเป็นเหยื่อตัวหนึ่งมานานแล้ว เพียงแค่ต้องการพึ่งพาเขาเพื่อก้าวไปให้สูงยิ่งขึ้น


ยามนั้น เขายังโง่งมจนไม่อาจมองออก คิดว่านางจริงใจต่อเขา ทั้งยังยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อนำสมบัติล้ำค่ามาให้นาง เขาส่งสวีจิ้งเข้าสถานศึกษาเทียนตี้ แต่ก็ส่งตัวเองส่งไปในหลุมไฟเช่นเดียวกัน


สถาบันเทียนตี้เปี่ยมไปด้วยผู้มากความสามารถ หลังจากเขาเข้าไปแล้วก็สูญเสียความเจิดจรัสที่เคยมี ในสถาบันเทียนตี้มีศิษย์จำนวนมากมายที่แข็งแกร่งกว่าเขา


สวีจิ้งย่อมอดเหยียดหยามเขาไม่ได้ ละทิ้งเขาไปอยู่กับจ้าวจงอย่างรวดเร็ว


จ้าวจงก็ไม่ใช่คนดีแต่อย่างใด หลังจากมาอยู่รวมกับสวีจิ้งแล้วก็เข้าขากันได้เป็นอย่างดี


สวีจิ้งเกรงว่าหากเขายังอยู่ในสถาศึกษาเทียนตี้จะเอ่ยวาจาสร้างความยุ่งยากออกมา ทำให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียง ดังนั้นจึงร่วมมือกับจ้าวจง ใช้ความปลอดภัยของเหล่าศิษย์จากนิกายเดิมของเขามาบังคับให้เขาถอนตัวออกจากสถานศึกษาเทียนตี้


ไม้ซีกไม่อาจงัดไม้ซุง เขาเกรงว่าตนเองจะทำให้เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องจากสำนักเดิมมีปัญหา ดังนั้นจึงย่อมออกจากสถาบันเทียนตี้ไป


แต่คาดไม่ถึงเลยว่า จนกระทั่งถึงตอนนี้แล้วสวีจิ้งจะยังไม่ยอมปล่อยเขาไป ทั้งยังต้องการให้เขาเห่าหอนเหมือนสุนัข วางศักดิ์ศรีลงให้นางเหยียบ


“เห่าหอนเหมือนสุนัขยากถึงเพียงนั้นเชียว? ถ้าหากไม่อยากทำ เช่นนั้น พวกเจ้าทั้งสองก็ลองทำให้พวกข้าดูก่อนเถิด”


หลี่จิ่วเต้าก้าวออกมายืนเบื้องหน้ารถม้า จากนั้นก็มองไปทางสวีจิ้งพร้อมเอ่ยออกมา


แม้เขาจะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ แต่ในใจนั้นรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก จ้าวจงและสวีจิ้งบีบบังคับรังแกกันมากเกินไปแล้ว!


ความเกลียดชังคับแค้นอันใดกัน ถึงกับทำให้ฉินหวายเฟิงต้องเห่าหอนเหมือนสุนัขออกมาในที่สาธารณะ กระทั่งพวกเขาเองก็ยังไม่ละเว้น ต้องการให้เห่าหอนเหมือนสุนัขกับฉินหวายเฟิงด้วย!


จ้าวจงและสวีจิ้งช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก!


พวกลั่วสุ่ยเองก็เดินตามหลังคุณชายออกมาด้วย ใบหน้าของพวกเขาล้วนเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง


จ้าวจงและสวีจิ้งอยากตายมากหรือ?


กล้าดีอย่างไรถึงเอ่ยวาจาเหล่านี้ออกมา!


“ยังจะบอกไม่ใช่สหายอีกหรือ? ทั้งหมดล้วนออกหน้าเพื่อเจ้า...”


สวีจิ้งเหยียดยิ้ม ไม่ได้เห็นหลี่จิ่วเต้าอยู่ในสายตา ทั้งยังไม่สนใจว่าหลีจิ่วเต้าจะมีภูมิหลังอันใดหรือไม่


ในอาณาจักรแห่งนี้ ยอดนิกายคือท้องฟ้าสูงสุด แม้ว่าหลี่จิ่วเต้าจะมีภูมิหลังอย่างไรก็ไม่สำคัญ นางล้วนไม่เกรงกลัว


แน่นอนว่านี่ย่อมต้องเป็นแค่ความเข้าใจของนาง


ขอบเขตของนางต่ำเกินไป ฐานะเองก็ไม่สูง เรื่องที่รู้ย่อมมีน้อยเป็นอย่างยิ่ง ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่ายอดนิกายในอาณาจักรแห่งนี้ไม่อาจนับเป็นสิ่งใดได้ มีกองกำลังมากมายที่แข็งแกร่งและน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่ายอดนิกายดำรงอยู่


“ออกมาเองก็ดี!”


จ้าวจงหัวเราะออกมายกใหญ่ ความรู้ของเขาเองก็น้อยเหมือนสวีจิ้ง ไม่รู้เลยว่าสถานการณ์ในปัจจุบัน ยอดนิกายไม่อาจนับเป็นสิ่งใดได้!


“ทุกท่านไยจึงออกมา!”


ใบหน้าของฉินหวายเฟิงแปรเปลี่ยนอย่างมาก เขารีบเอ่ยเกลี้ยกล่อมพวกหลี่จิ่วเต้าทันที “เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับทุกท่าน โปรดรีบจากไปเถิด”


“ไม่เกี่ยวข้องงั้นหรือ?”


หลี่จิ่วเต้าแย้มยิ้ม “ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าพวกเรามีความเกี่ยวข้องกัน แม้พวกเราต้องการจะจากไป สองคนนั้นคงไม่ยินยอม...”


“ยังนับว่าฉลาดอยู่ พวกเจ้าไม่อาจจากไปได้จริง!”


สวีจิ้งยกยิ้มไม่แยแส ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในกำมือของนาง


หลี่จิ่วเต้าไม่สนใจสวีจิ้ง เขาหันไปถามกับฉินหวายเฟิงว่า “ระหว่างพวกเจ้าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกัน?”


เขาต้องการทราบสถานการณ์ให้มากขึ้น


ส่วนเรื่องความปลอดภัย เขาไม่กังวลแม้แต่น้อย


ขณะอยู่บนรถม้า เซี่ยเหยียนเอ่ยว่าสองคนนี้เป็นเพียงคนตัวเล็ก ๆ ไม่มีเรื่องอันใดต้องพะวง จึงคิดอยากออกไปสั่งสอนบทเรียนให้กับจ้าวจงและสวีจิ้ง


เพราะไม่เห็นด้วย เลยต้องการเข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวทั้งหมดก่อนค่อยตัดสินใจ


ฉินหวายเฟิงถอนหายใจ สวีจิ้งกล่าวไม่ผิด ตอนนี้ต่อให้พวกหลี่จิ้วเต้าต้องการจากไป สวีจิ้งและจ้าวจงก็ย่อมไม่ปล่อยพวกหลี่จิ่วเต้าไปง่าย ๆ


“เรื่องระหว่างพวกข้า...”


หลังจากนั้นเขาก็เริ่มเล่าเรื่องราวระหว่างเขาและสวีจิ้ง


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้...”


หลี่จิ่วเต้าไม่คาดคิดเลยว่าจะมีสตรีร้ายกาจเพียงนี้อยู่ใบโลก!


สวีจิ้งใช้ฉินหวายเฟิงเป็นบันไดไต่ขึ้นไปก็แล้วไปเถิด แต่อย่างไรเสียฉินหวายเฟิงก็ให้ความช่วยเหลือนางมากมาย ถึงขนาดยอมฝ่าเข้าไปในส่วนลึกแดนอันตรายอย่างไม่สนใจความเป็นตายเพื่อให้นางสามารถเข้าสถานศึกษาเทียนตี้ได้


ทว่าสวีจิ้งไม่ได้รู้สึกขอบคุณซาบซึ้งเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ยังถึงกับต้องการทำให้ฉินหวายเฟิงขายหน้าอับอาย สั่งให้เขาเห่าหอนอย่างสุนัขในที่สาธารณะ นับว่าสตรีผู้นี้น่ารังเกียจเป็นที่สุดจริง ๆ


“ไม่มีอันใดต้องเอ่ยอีกแล้ว”


หลี่จิ่วเต้ามองไปทางฉินหวายเฟิง “พวกเราเข้าไปนั่งดื่มชาด้านในรถม้าเถิด ส่วนที่เหลือปล่อยให้พวกเซี่ยเหยียนเป็นคนจัดการ”


“หือ?”


ฉินหวายเฟิงตกตะลึง เขาไม่ได้กล่าวอย่างชัดเจนหรือไร?


จ้าวจงมาจากยอดนิกาย หลี่จิ่วเต้ายังสามารถสงบนิ่งได้อีกหรือ?


“ไม่ต้องกังวลไป พวกเซี่ยเหยียนจะจัดการเอง”


หลี่จิ่วเต้าหันไปถามพวกเซี่ยเหยียน “มีปัญหาอันใดหรือไม่?”


“ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด”


เซี่ยเหยียนตอบกลับ “คุณชายกลับไปเข้าพักผ่อนเถิด เพียงแค่แมลงวันตัวจ้อยสองตัว ไม่อาจสร้างคลื่นลมอันใดได้แม้แต่น้อย”


ยอดนิกายแล้วอย่างไร!


ต่อให้ประมุขยอดนิกายที่อยู่เบื้องหลังจ้าวจงมาด้วยตัวเองก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้!


ฉินหวายเฟิงตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม คนกลุ่มนี้มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ เหตุใดจึงไม่กลัวเกรงยอดนิกายแม้แต่น้อย ถึงกับเอ่ยเรียกจ้าวจงและสวีจิ้งว่าเป็นแมลงวันตัวจ้อยสองตัว


เขารู้สึกว่าบางทีเขาอาจเอ่ยสิ่งใดไม่ชัดเจน


“เขาเป็นอนุชนจากยอดนิกายตระกูลจ้าว” ชายหนุ่มเอ่ยอีกครั้ง


“ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”


เซี่ยเหยียนยิ้มจาง ๆ “อย่าว่าแต่เขาที่เป็นอนุชนคนหนึ่งของตระกูลจ้าวเลย กระทั่งประมุขตระกูลจ้าวมาด้วยตัวเอง ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้!”


“!!!”


ฉินหวายเฟิงตกตะลึงเป็นอย่างมาก เซี่ยเหยียนมีภูมิหลังเช่นไรกัน จึงสามารถเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาได้!


“ตอนนี้เจ้าก็วางใจได้แล้ว”


หลี่จิ่วเต้าหัวเราะออกมา “มาเถิด เข้ามาดื่มชาในรถม้า”


“เสียสติไปแล้วหรือ!?”


อีกด้านหนึ่ง ดวงตาของจ้าวจงเย็นเยียบเปี่ยมด้วยจิตสังหารล้นทะลัก


เดิมทีเขาไม่ได้มีจิตสังหารแต่อย่างใด ทว่าหลังจากได้ยินสิ่งที่เซี่ยเหยียนเอ่ย เขาก็พลันเกิดจิตสังหารขึ้นมาทันที


กล้าเรียกเขาว่าเป็นแมลงวันตัวจ้อย ทั้งยังเอ่ยออกมาว่ากระทั่งประมุขตระกูลจ้าวมาด้วยตัวเองยังไม่อาจทำสิ่งใดได้!


เขาต้องไว้หน้าเซี่ยเหยียนอย่างนั้นหรือ?


“เจ้าต่างหากที่เสียสติไปแล้ว!”


เซี่ยเหยียนเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “ตระกูลเบื้องหลังเจ้าไม่ได้สอนความเป็นมนุษย์ให้หรืออย่างไร? ใต้หล้ากว้างใหญ่ไพศาล เหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าได้หลงคิดว่าตนเองสูงส่งที่สุด!”


“ข้าจำเป็นต้องให้เจ้ามาสอนด้วยอย่างนั้นหรือ!?”


จ้าวจงยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “จากวาจาเมื่อครู่ของเจ้า วันนี้พวกเจ้าทั้งหมดจะต้องตาย ไม่มีผู้ใดสามารถรอดไปได้! ตัวข้า และโดยเฉพาะตระกูลจ้าวของข้า ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะมาทำให้อับอายขายหน้าได้!”


เอ่ยจบแล้ว ร่างของเขาก็เปล่งแสงเจิดจ้า ไม่สนว่าพวกเซี่ยเหยียนจะมีที่มาอย่างไร แม้ว่าพวกเซี่ยเหยียนจะมาจากยอดนิกาย เขาก็จะสังหารทิ้งเสียวันนี้!


ภายในตระกูลจ้าวของพวกเขามียอดฝีมืออยู่ผู้หนึ่ง ตามที่เขารู้มา ยอดฝีมือผู้นี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ใด


ดังนั้น เขาจึงไม่มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อยในการลงมือสังหารสมาชิกยอดนิกายอื่น!

ฟังจบแล้วถ้าใครอยากสนับสนุนช่องโดเนท ให้ช่องของเราเดินหน้าต่อได้เร็วขึ้น หรืออยากขอนิยาย
ช่องทางสนับสนุนช่องอยู่ใต้ลิงค์คลิปชั่นนะครับ