นิยายเสียง อยู่ดีดีข้าก็เป็นเซียน
บทที่ 691ถึง 695
แสงเซียนปะทุ พลังเซียนอันน่าสะพรึงหลั่งไหล ยอดฝีมือมหาตระกูลซึ่งอยู่ที่นี่มิมีผู้ใดฝีมืออ่อนด้อย ขอบเขตเหนือขั้นยอดเซียนกันทั้งสิ้น ซ้ำยังไม่มียอดเซียนธรรมดาสักตน ล้วนแล้วเป็นยอดเซียนระดับสูงสุด
พวกเขาบุกโจมตีอย่างดุดันมิอาจต้าน ยอดฝีมือพรรคกระบี่เซียนร่ายเพลงกระบี่ เสียงกระบี่กู่ร้องสะท้านนภา กระบี่เซียนมหึมาเล่มหนึ่งหลอมรวมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สูงตระหง่านยิ่งกว่าเทือกเขา
กฎแห่งวิถีกระบี่ซัดสาด อักขระหลั่งไหลรวมเป็นมหาสมุทร กระบี่เซียนมหึมาฟาดฟันเข้าไป สยดสยองเป็นที่สุด!
ยอดฝีมือตระกูลเซียวสำแดงวิชาลับโบราณ เปลวเพลิงสีแดงฉานแผดเผาขึ้นไปถึงท้องฟ้า อสูรเพลิงมากมายคำรามพร้อมบุกออกมา ดุดันน่าเกรงขามเกินหยั่ง พริบตาที่อ้าปาก เสมือนว่าจะกลืนกินแผดเผาน่านฟ้าที่อยู่มาอย่างจีรังยั่งยืนนี้ไป!
ยอดฝีมือตระกูลเฟ่ยเรียกเหล็กท่อนทองเหลืองอร่ามออกมาหนึ่งเล่ม กฎระเบียบไม่ทราบชื่อปรากฏ ส่งแรงดันมันออกไป ปฐพีสั่นไหว บารมีเกริกไกร!
ยอดฝีมือราชวงศ์เฉียนหยวนสวมรัดเกล้าสีม่วงเหลือบทอง แต่งกายด้วยชุดราชนิกูล ทุกอิริยาบถล้วนแฝงไว้ด้วยบารมีของผู้เป็นราชนิกูล นี่คือราชวงศ์อันเป็นอมตะ อยู่ในรายนามกองกำลังอันแข็งแกร่งของภพเซียนเช่นกัน!
เขาปล่อยตราประทับหลวงออกไป แสงสว่างพวยพุ่งวาววาม แข็งแกร่งไร้ใดเปรียบ วิชาที่ราชวงศ์ฝึกนั้นดุดันอย่างยิ่งยวด
ยอดฝีมือในเผ่าต่างบุกโจมตี ตะขอเงินหนามเหล็กงอกเงยออกจากแผ่นหลัง ดวงตาสองข้างนั้นคมกริบดั่งปลายดาบ ทะลุทะลวงไปข้างหน้า ราวกับต้องการทลายสวรรค์ให้ราบคาบ ความเป็นโลหะที่แฝงอยู่นั้นรุนแรงจนน่าหวาดหวั่น!
นี่คือเผ่าเงินจันทร์ สำเร็จวิถีด้วยวัสดุเงินจันทร์ สรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนก่อเกิดจากความโกลาหล ไม่ว่าสิ่งใดล้วนก้าวสู่เส้นทางฝึกตนได้ทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับว่าได้พานพบวาสนาของตนหรือไม่!
อสูรร้ายตนหนึ่งคำราม คล้ายว่าเดินออกมาจากประวัติศาสตร์โบราณ มันคือถาวอู้ เป็นสิ่งมีชีวิตเก่าแก่ในตำนานอย่างแท้จริง ปากกว้างเขี้ยวคม ขนยาวสีเขียวประดุจประกายวาววับที่พลิ้วไหวตามลม!
มีอสูรร้ายตนอื่นบุกสังหารออกมา คล้ายว่าเดินออกมาจากประวัติศาสตร์โบราณเช่นเดียวกัน มันคือเทาเที่ย ระหว่างที่มันบุกเข้ามา ห้วงอากาศสั่นสะท้าน อักขระอันน่ากลัวรวมตัวกันชุกชุมดั่งมหาสมุทร ซัดสาดเป็นเกลียวคลื่นอยู่ใต้เท้าของมัน!
ต้นไม้สีดำต้นหนึ่งสูงตระหง่านทะลุฟ้า ยอดต้นไม้บดบังสุริยัน ลำต้นหนาใหญ่ประดุจเสาค้ำสวรรค์ มันคือต้นเทียนทะมึน น่าพรั่นพรึงมากเช่นกัน เผ่าของมันอยู่ในทำเนียบกองกำลังกล้าแกร่ง ไม่อาจสบประมาทได้เลย!
พวกมันลงมือกันพร้อมเพรียง สำแดงทุกวิชาที่มี พวกลั่วสุ่ยถือเป็นกลุ่มคนแปลกปลอม พวกมันต้องการกำจัดกลุ่มคนแปลกปลอมอย่างพวกลั่วสุ่ยให้สิ้นซาก!
ลั่วสุ่ยหาได้เกรงกลัวไม่ นางกระโจนตัวขึ้นประหนึ่งนางเซียน งดงามจนเหมือนมิใช่ความจริง เสมือนความฝัน!
นางมหัศจรรย์เกินไป ประกายแสงรายล้อม ยามเผชิญหน้ากับการรุมโจมตีจากยอดฝีมือต่าง ๆ มันอยู่ในท่าทีสงบราบเรียบ กางแขนออกช้า ๆ ร่ายรำมวยไทเก๊ก!
มวยไทเก๊กนี้ คุณชายสอนนางกับมือ ซ้ำคุณชายยังอธิบายจุดสำคัญต่าง ๆ และปรมัตถ์ของมวยไทเก๊กให้นางฟังอย่างละเอียดอีกด้วย
นอกจากนี้ คุณชายยังตื่นเช้ามาต่อยมวยไทเก๊กกับนางหนึ่งรอบทุกวัน
เอ่ยอย่างไม่เกินจริง ลำพังความสำเร็จในมวยไทเก๊ก นางเป็นรองเพียงคุณชายเท่านั้น ไม่มีผู้ใดสามารถเทียบชั้นนางได้อีก
ต่อมา คุณชายได้ถ่ายทอดวิชามวยไทเก๊กให้พวกหลิงอินเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับนาง ยังห่างชั้นกันไกล มิได้อยู่ในระดับเดียวกัน
นางบุกเข้าไปด้วยตัวตนเดียว ไม่ว่าการโจมตีจากบรรดายอดฝีมือจะสยดสยองน่ากลัวปานใด นางก็ยังมีท่าทีราบเรียบ สงบร่มรื่นดั่งสายลมเบาบางที่โชยผ่านใบหน้า
พรวด! พรวด! พรวด!
เลือดเนื้อกระเด็นกระดอน ลั่วสุ่ยดูร่างบอบบางนุ่มนวล ทว่าอานุภาพมวยไทเก๊กที่นางสำแดงออกมานั้นกลับน่าหวาดหวั่นเป็นที่สุด!
พอกระบี่สวรรค์ที่ยอดฝีมือจากพรรคกระบี่เซียนหลอมขึ้นปะทะกับหมัดอันนุ่มนวลของนาง ก็ร้าวรานย่อยยับไปทั้งตัวกระบี่!
คลื่นอัคคีดุดันที่เกิดจากยอดฝีมือตระกูลเซียวดับสูญด้วยคลื่นลมจากหมัดของนาง ไม่เหลือแม้แต่สะเก็ดไฟ
เหล็กท่อนทองเหลืองของยอดฝีมือตระกูลเฟ่ยยิ่งอนาถเข้าไปใหญ่ ทันทีที่ลั่วสุ่ยเข้าใกล้ ก็หมดสิ้นทุกความวาววาม อานุภาพหายเกลี้ยง!
ตราประทับหลวงของยอดฝีมือราชวงศ์เฉียนหยวนเกรียงไกรไร้เทียมทาน กำราบได้แม้แต่จักรวาล ลบล้างสิ่งมีชีวิตนับร้อยล้านในปฐพีนี้ แต่เมื่อปะทะกับสองหมัดที่ดูเหมือนอ่อนโยนไร้เรี่ยวแรงของลั่วสุ่ยก็มิอาจเกรียงไกรได้ไหว ถูกระเบิดในทันที อันตรธานไปอย่างสิ้นเชิง!
ยอดฝีมือเผ่าเงินจันทร์สำเร็จวิถีด้วยโลหะ กายเนื้อแข็งแกร่งเป็นที่สุด ทว่าเมื่อบุกประชิดตัวลั่วสุ่ย ก็ถูกหมัดของนางต่อยจนร่างยุบ รอยร้าวคืบคลานไปตามตัว ของเหลวสีเงินไหลออกมาไม่หยุด
เถาอู้และเทาเที่ยสองตัวซึ่งเป็นอสูรร้ายจากหน้าประวัติศาสตร์โบราณต้องอึ้งไปหลังบุกเข้ามา พวกมันสองตัวเปรียบเสมือนลูกเจี๊ยบตัวน้อย ๆ พลังทั้งหมดที่ปล่อยออกไปคล้ายว่าจมดิ่มลงไปในก้นมหาสมุทร ไม่แม้แต่จะซัดคลื่นขึ้นมาสักหยด
ทว่าเมื่อหมัดของลั่วสุ่ยแตะโดนตัวพวกมัน กลับดุจดั่งอสนีบาต ร่างของพวกมันแหลกลาญในบัดดล เลือดเนื้อเละรวมกันจนแยกไม่ออก น่าสังเวชจนทนมองมิได้
ต้นเทียนทะมึนบุกเข้ามาแล้วต้องกลับไปด้วยสภาพยับเยินในเสี้ยวพริบตา มันถูกโจมตีใส่จนต้นโล้น ใบไม้ร่วงโรยหมดสิ้น ซ้ำร้ายลำต้นยังมีรอยร้าวมากมาย วิ่งออกไปได้ไม่ไกลเท่าไรก็ระเบิดออก กลายเป็นเศษไม้กองหนึ่ง
“อะ…ไรกัน!”
“เรื่องแบบนี้จะเป็นไปได้อย่างไร!?”
ยอดฝีมือตกตะลึงกันทั้งหมด อกสั่นขวัญแขวน ไอเย็นนับคณาพุ่งพรวดจากฝ่าเท้าขึ้นไปถึงหัว กล้ามเนื้อเกร็งตึง วิตกหวาดหวั่นจนแทบหายใจไม่ออก!
น่ากลัวเกินไปแล้ว เหตุใดถึงมีตัวตนสะท้านโลกอย่างลั่วสุ่ยอยู่ด้วย
ราชันแห่งเซียนเชียวนะ แต่กลับเล่นงานยอดเซียนสูงสุดอย่างพวกเขาจนโงหัวไม่ขึ้น อเนจอนาถจนถึงขีดสุด เล่าไปผู้ใดจะเชื่อ แล้วผู้ใดจะกล้าเชื่อ?
นอกจากนี้ มวยที่ลั่วสุ่ยใช้เป็นมวยเช่นไรกัน
พวกเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ากระบวนท่ามวยของลั่วสุ่ยไม่ได้มีแค่เท่านี้ และยังไม่ถือเป็นการใช้กระบวนท่าอย่างแท้จริงด้วยซ้ำ ราวกับแค่อุ่นเครื่องเท่านั้น!
สวรรค์! ถ้าลั่วสุ่ยต่อยมวยชุดนี้จนจบ ลั่วสุ่ยมิบดขยี้กำลังรบระดับเซียนจวินที่อยู่เหนือขั้นยอดเซียนขึ้นไปอีกหรือ
ใช่ว่าจะเป็นไปมิได้!
นอกจากนี้ พวกเขาก็เริ่มสังหรณ์ใจขึ้นมาราง ๆ ว่าหากลั่วสุ่ยต่อยมวยชุดนี้จนจบ ไม่แน่ว่าอาจมีฝีมือพอจะสู้กับว่าที่จักรพรรดิเซียนเลยก็ได้!
ชั่วพริบตานั้น สีหน้าพวกเขาพิลึกพิลั่นกันหมด ราชันแห่งเซียนตนหนึ่ง แต่กลับต่อสู้กับว่าที่จักรพรรดิเซียนโดยข้ามขั้นยอดเซียน เซียนจวินไป นี่พวกเขาฝันอยู่หรือไร
แต่ต่อให้เป็นฝันของพวกเขา พวกเขาก็มิกล้าฝันถึงเรื่องเยี่ยงนี้!
ยามลั่วสุ่ยบรรลุเซียน มีสสารอัศจรรย์แทรกซึมเข้าไปในกาย นั่นคือสสารที่เหนือชั้นกว่าความนิรันดร์ หรืออาจเหนือชั้นกว่าความโกลาหลด้วยซ้ำ เป็นความต่างชั้นถึงแก่น มิอาจนำมาเปรียบเทียบกันได้
ต่อให้ลั่วสุ่ยไม่ใช้มวยไทเก๊ก ลำพังอภินิหารธรรมดา นางก็สามารถต่อสู้ข้ามขั้น บดขยี้ยอดเซียนและเซียนจวินด้วยขั้นราชันแห่งเซียนได้!
และหลังจากที่นางใช้มวยไทเก๊ก ก็ยิ่งน่าครั่นคร้ามขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย!
เหล่ายอดฝีมือในที่นี้ต่างคิดว่าหากลั่วสุ่ยต่อยมวยไทเก๊กจนจบ อาจมีสิทธิ์ต่อสู้กับว่าที่จักรพรรดิเซียน
พวกเขาคิดผิด ซ้ำยังผิดมหันต์!
เมื่อมีสสารอัศจรรย์เข้าร่าง แล้วยังมีวิชามวยสูงส่งอย่างมวยไทเก๊ก ว่าที่จักรพรรดิเซียนอันใดกัน ต่อให้ว่าที่จักรพรรดิเซียนมาเป็นฝูงก็ไม่คณามือ ลั่วสุ่ยท้าสู้จักรพรรดิเซียนได้สบาย ๆ!
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
เวลานั้นเอง ห้วงมิติสั่นไหวรุนแรง ก่อนจะระเบิดแตกตัว ร่างมากมายปรี่มาทางนี้จากสารทิศ กำลังรบที่ลั่วสุ่ยแสดงออกมาแตกตื่นไปถึงพวกเขา!
สีหน้าพวกเขาเคร่งเครียด หลังมาถึงที่นี่ ต่างมิกล้าวู่วามอย่างไม่มีข้อยกเว้น ยำเกรงในตัวลั่วสุ่ยตั้งไม่รู้เท่าไหร่
“แก่นกำเนิดพลังในกายนางคืออันใด?!”
“พลังเช่นนี้…น่ากลัวยิ่งนัก คืออันใดกันแน่ เหนือกว่าความเป็นนิรันดร์ไปมาก!”
พวกเขาตาเป็นประกาย อยากได้พลังในตัวลั่วสุ่ยเป็นที่สุด
นี่คือพลังที่พวกเขาไม่รู้จัก และเป็นพลังที่พวกเขาอยากได้เป็นหนักหนา พวกเขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป และอยากมีชีวิตอยู่เป็นนิรันดร์
ทว่าถึงแม้สสารนิรันดร์ในที่แห่งนี้เข้มข้นพอ บริสุทธิ์พอ กระนั้นก็มิใช่สสารนิรันดร์ที่แท้จริง
นับแต่มีพลังพิศวงลางร้ายรั่วไหลออกจากแดนบรรพโกลาหล แดนบรรพโกลาหลก็เสมือนว่าตัดการเชื่อมต่อจากโลกภายนอก พวกเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าสสารนิรันดร์ข้างนอกนั่นเปลี่ยนแปลงไป คล้ายว่า ‘แกนกลาง’ ของพลังถูกดึงออกไป ต่อให้ยังต้านทานการกัดกร่อนจากกาลเวลาได้อยู่ แต่ก็ไม่สามารถดำรงตนอย่างจีรังได้จริง ๆ
พลังที่ลั่วสุ่ยสำแดงออกมาเหนือกว่าความเป็นนิรันดร์ หากพวกเขาได้มันมา อย่าว่าแต่อยู่ยงคงกระพันเลย พวกเขาอาจใช้พลังนี้ก้าวสู่ขอบเขตพลังที่สูงกว่านี้ก็เป็นได้!
เรื่องนี้สำคัญกว่าการได้ครอบครองสิ่งที่อยู่ในสถานที่นี้เป็นหนักหนา!
“ไหนจะวิชามวยนั่นอีก มิใช่วิชามวยดาษดื่น เจตจำนงมวยที่แฝงไว้นั้นลึกล้ำเกินหยั่ง หากได้รู้แจ้งเมื่อใด ยังไม่ต้องเอ่ยว่าทั้งหมด ลำพังผิวเผินก็เป็นประโยชน์มหาศาลแล้ว ช่วยให้แตะถึงขอบเขตที่สูงกว่านี้ได้!”
“นี่มันวิชามวยระดับใดกัน?! วิชาโบราณประจำตระกูลของข้าที่สืบทอดกันมาช้านาน มีแหล่งกำเนิดจากพลังโกลาหลยังเทียบมิได้!”
พวกเขาคิดขึ้นในใจอีกครั้ง ยิ่งให้ความสำคัญกับพวกลั่วสุ่ยขึ้นไปอีกหลายระดับ
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
เสียงระเบิดในห้วงอากาศดังขึ้นเรื่อย ๆ หยุดมิได้เลย แสงสยดสยองมากมายพุ่งมาจากฟากฟ้า จุติลงในที่แห่งนี้
ดินแดนแกนกลางเปิดออก เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งมหาตระกูล ลัทธิใหญ่ ๆ ต่างให้ความสำคัญกันอย่างมาก ไม่เพียงแต่ผู้นำของแต่ละตระกูลและลัทธิที่นำทัพยอดฝีมือทั้งหมดในกองกำลังของตนบุกเข้ามาเท่านั้น
กระทั่งบรรดาจักรพรรดิเซียนที่เพิ่งบรรลุ หรือแม้แต่จักรพรรดิเซียนอาวุโสที่มิได้เผยตัวออกมานานก็เข้ามาแย่งชิงในแดนแกนกลางนี้ด้วย
และในเวลานั้น สิ่งมีชีวิตยอดฝีมือทั้งหมดในแกนกลางมาอยู่ที่นี่กันถ้วนหน้า
ขอบเขตพลังของพวกเขาสูงส่งกันทั้งสิ้น หลังจากลั่วสุ่ยเปิดฉากต่อสู้ ก็เผยให้เห็นถึงพลังระดับนั้นแล้ว พวกเขาต่างสัมผัสได้ในทันที
พลังเช่นนี้สร้างความสะท้านให้พวกเขาเหลือแสน พวกเขาไม่มีแก่จิตแก่ใจสนเรื่องอื่นอีก ต่างสละสิ่งที่แย่งชิงอยู่ก่อนหน้า แล้วพากันมาที่นี่
จักรพรรดิเซียนอาวุโสทั้งหลายมาอยู่ที่นี่ ผู้นำของตระกูลและลัทธิต่าง ๆ ไม่มีสิทธิ์ได้เอ่ยวาจา จักรพรรดิเซียนอาวุโสตระกูลเซียวผู้หนึ่งก้าวออกมา
“สวัสดีแม่นาง พวกท่านต้องการศพมังกรนี้หรือ”
เขามีมารยาทมาก มิกล้ายโสโอหังแม้แต่น้อยขณะเอ่ยถามลั่วสุ่ย
หากไม่มีอันใดผิดพลาด ผู้ที่อยู่เบื้องหลังพวกลั่วสุ่ยย่อมต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ มิฉะนั้น ไฉนเลยถึงควบคุมพลังมหัศจรรย์เช่นนี้ได้
ไม่ต้องคิดด้วยซ้ำก็รู้ว่าพวกลั่วสุ่ยมาจากข้างนอก มิใช่สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในภพเซียน
สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในภพเซียนมิอาจควบคุมพลังระดับนี้ได้
ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาไฉนเลยจะกล้าโอหัง ไม่กล้าเลยสักนิด!
หากมิใช่เช่นนั้น เขามีหรือจะเกรงอกเกรงใจราชันแห่งเซียนอย่างลั่วสุ่ยปานนี้ คงฆ่าในฝ่ามือเดียวไปนานแล้ว!
ราชันแห่งเซียนเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาเล็กน้อยดุจเถ้าธุลี ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง
“เราต้องการศพมังกรนี้จริง ๆ” ลั่วสุ่ยตอบเสียงเรียบ
“ไม่ทราบว่าแม่นางต้องการศพมังกรนี้ไปทำอันใดหรือ”
จักรพรรดิเซียนอาวุโสแห่งตระกูลเซียวถามขึ้นอีกครั้ง
ด้วยพลังที่ลั่วสุ่ยมี ศพมังกรนี้หาได้สลักสำคัญไม่ ถึงอย่างไร พลังของลั่วสุ่ยก็เหนือชั้นกว่าสสารนิรันดร์ที่แฝงอยู่ในศพมังกรนี้ไปมาก
“มิได้ต้องการศพมังกร แต่ต้องการเอ็นมังกรในศพมังกรตัวนี้”
ลั่วสุ่ยกล่าว “จะทำไม้ตกปลาแต่ขาดเอ็น พวกเราจึงมาที่นี่เพื่อนำเอ็นมังกรไปใช้เป็นเอ็นตกปลา”
“...”
จักรพรรดิเซียนอาวุโสแห่งตระกูลเซียวสะอึกไปทันที
ใช้เอ็นมังกรเป็นเอ็นตกปลา นำไปร้อยกับไม้ตกปลาอย่างนั้นรึ เรื่องบ้าอันใดกัน สิ้นเปลืองปานนี้ได้หรือ?
กระนั้นเขายังเอ่ยออกไปอย่างรวดเร็ว “หากแม่นางต้องการศพมังกรนี้ ย่อมได้ พวกเรายกศพมังกรนี้ให้แม่นางได้…เพียงแต่ พวกเราหวังว่าแม่นางจะตกลงยอมรับเงื่อนไขจำนวนหนึ่งของเรา”
ยกให้หรือ?
จะใช้คำว่า ‘ยกให้’ ได้อย่างไร
ศพมังกรตัวนี้เป็นของพวกเขาหรือไร?
คิ้วลั่วสุ่ยกระตุกเล็กน้อย
ลั่วสุ่ยนึกขัน สิ่งนี้ไร้เจ้าของ ไยจึงใช้คำว่า ‘ยกให้’ เสียได้?
ซ้ำยังต้องมาเจรจาเงื่อนไขกับนางอีก?
คนพวกนี้คิดอะไรอยู่?
“แม่นางมิต้องทำสีหน้าเช่นนี้ ข้ารู้ว่าแม่นางคิดกระไรอยู่ ศพมังกรตัวนี้ไม่มีเจ้าของ ใคร ๆ ต่างมีสิทธิ์แย่ง ทว่าหากเราไม่ยอมตกลง แม่นางคิดว่าพวกท่านจะนำมันไปด้วยได้หรือ”
จักรพรรดิเซียนอาวุโสแห่งตระกูลเซียวเอ่ยราบเรียบ
เผ่ามังกรถือเป็นเผ่าใหญ่เช่นเดียวกัน และแข็งแกร่งกว่าเผ่าใหญ่อื่นใดทั้งหมด
อนิจจา เผ่ามังกรนั้นสะท้านโลกันตร์เกินไป จนยากจะให้กำเนิดทายาท จำนวนประชากรของเผ่ามังกรจึงน้อยมาตลอด
คราวก่อนที่แดนแกนกลางเปิดออก เผ่ามังกรบุกเข้ามายกเผ่า เผ่าตระกูลและลัทธิต่าง ๆ ทำศึกแย่งชิงกันดุเดือด เผ่ามังกรตายอยู่ที่นี่ไม่น้อย สุดท้ายมีสมาชิกเผ่ามังกรเพียงหยิบมือที่ได้ไปจากที่นี่อย่างเป็น ๆ
ภพเซียนขาดแคลนทรัพยากรรุนแรง การแย่งชิงระหว่างตระกูลและลัทธิต่าง ๆ ไม่เคยหยุดพัก สถานการณ์วุ่นวายเป็นที่สุด
เผ่ามังกรพบเจอกับสถานการณ์เลวร้ายจนถึงแก่นในแดนแกนกลาง ตระกูลและลัทธิต่าง ๆ ไฉนเลยจะยอมปล่อยเผ่ามังกรไป สมาชิกเผ่ามังกรถูกสังหารจนสิ้น ในภพเซียนไม่เหลือมังกรแม้แต่ตัวเดียว
เพราะอย่างนั้น ศพมังกรที่อยู่ที่นี่ในตอนนี้จึงไร้เจ้าของอย่างแท้จริง
หากว่าเผ่ามังกรยังอยู่ ย่อมไม่อนุญาตให้สิ่งมีชีวิตอื่นแตะต้องศพมังกร และจะนำศพมังกรที่ตายในที่แห่งนี้ไปด้วยทั้งหมด
“ใช่แล้ว”
จักรพรรดิเซียนอาวุโสอีกตนหนึ่งก้าวออกมา นางเป็นแม่เฒ่าจากตระกูลเย่
นัยน์ตาของนางลึกล้ำ รูปลักษณ์ดูแก่ชรา ทว่าเปี่ยมพลังชีวิตน่าเกรงขามกว่าผู้ที่อยู่ในวัยกลางคนเสียอีก
“แม่นางผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ทั้งภูมิหลังทั้งรากฐานล้วนน่าตะลึง แต่แม่นางเอ๋ย ที่นี่คือภพเซียน เป็นถิ่นของเรา…มังกรมิอาจสู้งูเจ้าถิ่น แม่นางเข้าใจเรื่องนี้หรือไม่”
นางกล่าวต่อ “พวกเราไม่จำเป็นต้องรบราฆ่าฟันกันหรอก ทุกคนมาเจรจากันอย่างสันติดีกว่า แม่นางว่าจริงหรือไม่”
“พวกเราล้วนมาด้วยกัน…”
“เรามาเจรจากันดีกว่าแม่นาง หากเจรจาลงตัว อย่าว่าแต่ศพมังกรตัวนี้เลย ศพของมังกรทุกตัวในที่นี้ รวมถึงศพมังกรที่ตระกูลเราสะสมไว้ล้วนยกให้แม่นางได้”
จักรพรรดิเซียนอาวุโสตนอื่นก้าวออกมาแสดงจุดยืน
พวกเขาทั้งหมดล้วนแยบคายมากด้วยประสบการณ์ แม้ว่าก่อนเกิดเรื่องมิได้สนทนาตกลงกันมาก่อน แต่พวกเขาก็ยังเลือกอยู่ในแนวรบเดียวกันในทันใด ผนึกกำลังประจันหน้ากับพวกลั่วสุ่ย
ตอนนี้ พวกเขาต่างเข้าใจกันดีว่า พวกเขามีแต่ต้องผนึกกำลังเท่านั้นจึงจะสำเร็จ เวลานี้หากยังผิดใจกันภายในอีก พวกเขาก็ไม่ต้องคิดเลยว่าจะได้อันใดกลับมา
“ข้าไม่ต้องการเจรจา”
ลั่วสุ่ยส่ายหัว จุดยืนชัดเจน นางจะไม่เจรจาอันใดกับจักรพรรดิเซียนอาวุโสเหล่านี้
นางรู้ว่าจักรพรรดิเซียนอาวุโสเหล่านี้หมายปองสิ่งใด ก็แค่อยากได้พลังในตัวนางและมวยไทเก๊กของนางเท่านั้น
และสองอย่างนี้ ไม่ว่าอย่างไหนนางก็จะไม่เปิดเผยทั้งนั้น
“แม่นางไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ พวกเรายังมิได้เจรจา แม่นางก็ด่วนปฏิเสธเรา แม่นางรู้ได้อย่างไรว่าการเจรจาของเราจะไม่บรรลุข้อตกลง”
“ห้ำหั่นหันอาวุธใส่กันไป ไม่ดีกับพวกเราทุกฝ่าย!”
บรรดาจักรพรรดิเซียนอาวุโสพากันขมวดคิ้วพลางเอ่ย
พวกเขารู้สึกว่าตัวเองอาจใช้ไม้อ่อนเกินไป ถึงทำให้ลั่วสุ่ยรู้สึกว่าพวกเขายอมให้รังแกกันง่าย ๆ
เพราะอย่างนั้นนางถึงได้หยิ่งผยอง ไม่แม้แต่จะคิดเจรจากับพวกเขา
“ไม่มีอันใดต้องเจรจาอีก เพราะไม่ว่าเรื่องใดที่อยากเจรจา ระหว่างเราก็ไม่มีทางบรรลุข้อตกลง ทุกท่านเก็บน้ำลายไว้เถิด” ลั่วสุ่ยกล่าว
“อย่างนั้นหรือ”
จักรพรรดิเซียนอาวุโสแห่งตระกูลเซียวเอ่ย “แม่นางอย่าพูดจาเด็ดขาดเกินไปจะดีกว่า ไม่แน่ว่าอีกเดี๋ยวแม่นางอาจเปลี่ยนความคิดก็ได้!”
เขาเว้นจังหวะ ก่อนจะเอ่ยต่อ “แม่นางฝีมือล้ำเลิศเช่นนี้ มีคนของเราอยากประลองกับแม่นางไม่น้อย แม่นางวางใจได้ อย่าคิดมากนัก เป็นเพียงการประลองวัดฝีมือกันเท่านั้น ไม่มีเจตนาอื่นใด”
ลั่วสุ่ยมีท่าทีแข็งกร้าว ไม่ให้โอกาสพวกเขาได้เจรจาด้วยซ้ำ นี่นางเห็นพวกเขายอมให้รังแกง่าย ๆ จนบงการพวกเขาได้ตามใจชอบอย่างนั้นหรือ
เขาตัดสินใจสำแดงพลังของฝ่ายพวกเขา ให้ลั่วสุ่ยได้รู้ว่าพวกเขาเองก็ใช่ว่าจะรังแกกันได้ง่าย ๆ และเป็นการบีบคั้นให้ลั่วสุ่ยเปลี่ยนใจ ยอมเจรจากับพวกเขา
ถึงอย่างไร พวกเขาก็ไม่อยากบาดหมางกับพวกลั่วสุ่ย หากมิใช่เช่นนั้น พวกเขาคงลงมือกำราบพวกลั่วสุ่ยไปนานแล้ว
สิ่งที่พวกเขายำเกรงคือกลุ่มอำนาจเบื้องหลังลั่วสุ่ย มิใช่พวกลั่วสุ่ยจริง ๆ
นางแข็งแกร่งก็จริง ทว่าก็มิได้ตึงมือสำหรับพวกเขา ไม่ต้องเอ่ยถึงจักรพรรดิเซียนอาวุโสอย่างพวกเขา พวกเขาเชื่อว่า ลำพังจักรพรรดิเซียนที่บรรลุเลื่อนขั้นขึ้นใหม่ก็กำราบพวกลั่วสุ่ยได้แล้ว
ขอบเขตห่างกันเกินไป พวกลั่วสุ่ยจะสู้กับพวกเขาด้วยอันใด ผู้ที่ฝีมือเก่งกาจที่สุดคงมิพ้นลั่วสุ่ย กระนั้นก็ยังเป็นเพียงราชันแห่งเซียนตนหนึ่งเท่านั้น
จักรพรรดิเซียนเป็นขั้นสูงสุดในขอบเขตเซียน เกินกว่าที่ขั้นรองจากนั้นจะทัดเทียมได้ นับแต่โบราณกาล ต่อให้เป็นผู้มีฝีมือโดดเด่นเพียงใด ก็ไม่มีทางต่อสู้ข้ามขั้นจนชนะจักรพรรดิเซียนได้ แม้แต่ว่าที่จักรพรรดิเซียนก็เป็นระดับที่ขั้นรองจากนั้นเทียบด้วยไม่ไหว
ตราบใดที่งพลังแตะถึงขั้นจักรพรรดิเซียน ล้วนกลายเป็นตัวตนเกินหยั่ง ไม่มีทางถูกแผ้วพานได้ง่าย ๆ
“ยุ่งยากเกินไป พวกท่านเข้ามาให้หมดเลยแล้วกัน…”
ลั่วสุ่ยส่ายหัว รู้ดีว่าจักรพรรดิเซียนอาวุโสเหล่านี้วางแผนอันใด คิดอยากทำให้พวกเขาสะท้านหรือ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!
อย่าว่าแต่ภพเซียนเลย กระทั่งในแดนบรรพโกลาหล ก็มิมีสิ่งใดทำให้พวกเขาสะท้านได้
โอหังปานนี้เชียว?
จักรพรรดิเซียนอาวุโสแห่งตระกูลเซียวคิ้วขมวดมุ่นในบัดดล หากมิใช่ว่ายำเกรงในกลุ่มอำนาจเบื้องหลังของพวกลั่วสุ่ย พวกเขาได้ซัดฝ่ามือใส่นานแล้ว
ทว่าลงท้ายพวกเขาก็อดทนไว้ได้ มิได้พลั้งมือลงไป หลังจากตกลงกันเพียงชั่วครู่ ก็เลือกจักรพรรดิเซียนผู้เพิ่งบรรลุขึ้นมาใหม่ไปต่อสู้กับลั่วสุ่ย
เดิมพวกเขาตั้งใจจะส่งกำลังรบระดับว่าที่จักรพรรดิเซียนไปสู้กับลั่วสุ่ย แต่คำนึงว่าลั่วสุ่ยโอหังเพียงนี้ จึงกลัวว่าลั่วสุ่ยยังมีไพ่ตายอยู่ พวกเขาตัดสินใจส่งจักรพรรดิเซียนตนหนึ่งไปรับศึกลั่วสุ่ย เพื่อเสริมบารมีของฝ่ายพวกเขา
นี่คือจักรพรรดิเซียนตนใหม่ในกองกำลังที่เรืองอำนาจอย่างมากในภพเซียน เป็นอสูรร้ายตนหนึ่ง รูปร่างคล้ายพยัคฆ์ มีหางอยู่เก้าหางด้วยกัน ใบหน้าเหมือนมนุษย์ กรงเล็บเหมือนเสือ มีนามว่าอสูรลู่อู๋
ลู่อู๋แข็งแกร่งมาก ต่อให้เป็นจักรพรรดิเซียนอาวุโสก็ไม่แน่ว่าจะเอาชนะลู่อู๋ได้ ส่งลู่อู๋ไปนับว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว
“ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง!”
ลู่อู๋มั่นใจเต็มเปี่ยม นัยน์ตามีลำแสงน่าพรั่นพรึงพวยพุ่งสู่นภา ดุดันเกินกว่าจะจินตนาการได้!
“หากชนะข้าได้ ท่านนำศพมังกรตัวนี้ไปได้เลยตามสบาย!”
มันกระโจนตัวมาอยู่เบื้องหน้าลั่วสุ่ย พร้อมกล่าวกับนาง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เข้ามาได้เลย”
ลั่วสุ่ยมิได้เอื้อนเอ่ยอันใดให้มากความอีก นางเหินตัวขึ้น ประกายวาววามรายล้อมรอบตัว ยวนใจแต่ยังองอาจ นางเข้าต่อสู้กับลู่อู๋
ลู่อู๋แข็งแกร่งมากจริง ๆ บารมีสยดสยองแห่งจักรพรรดิเซียนท่วมท้นออกไป มิหนำซ้ำมันยังมิใช่จักรพรรดิเซียนดาษดื่น สู้ได้แม้กระทั่งจักรพรรดิเซียนอาวุโส!
มันเข้าต่อสู้กับลัวสุ่ย สะท้อนใจขึ้นมาราง ๆ ในเสี้ยววินาทีว่า คิดไม่ถึงเลย คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ หลังมันบรรลุขั้นจักรพรรดิเซียนแล้วยังต้องประมือกับราชันแห่งเซียนอีก…
ทว่ามันมิได้สบประมาทลั่วสุ่ยเพราะเหตุนี้แต่อย่างใด
กลับกัน เพราะลั่วสุ่ยเป็นเพียงราชันแห่งเซียนตนหนึ่ง มันถึงมิได้สบประมาท ซ้ำยังให้ความสำคัญอย่างมาก ระหว่างที่ลงมือมิได้ลังเลแต่อย่างใด เด็ดขาดเหลือคณา
ราชันแห่งเซียนตนหนึ่งหาญกล้าต่อสู้กับมันด้วยสีหน้าราบเรียบนิ่งสงบเช่นนี้ หากมิใช่ว่าลั่วสุ่ยมีไพ่ตายบางอย่าง ให้ตายอย่างไรมันก็ไม่เชื่อ!
ทันทีที่เริ่มต่อสู้ มันก็มองลั่วสุ่ยเป็นศัตรูตัวฉกาจ มิได้ยับยั้งพลัง สู้ด้วยกำลังทั้งหมดที่มี!
ลั่วสุ่ยรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลเมื่อเริ่มประมือกับลู่อู๋ ไม่แปลกที่ลู่อู๋จะมั่นใจในตนเองปานนั้น
อีกด้าน นัยน์ตาลู่อู๋เปล่งประกายประหลาดบางอย่าง มันเดาได้แต่แรกว่าลั่วสุ่ยไม่ธรรมดา ทว่าหลังได้ต่อสู้กับลั่วสุ่ยจริง ๆ มันถึงพบว่ามันยังประเมินลั่วสุ่ยต่ำไปนัก!
มันคิดว่าลั่วสุ่ยมีไพ่ตายบางอย่างในมือ และที่สู้กับมันไหวเพราะไพ่ตายที่ว่านี้
แต่ความจริงคือมันคิดผิดถนัด!
ลั่วสุ่ยมิได้ใช้ไพ่ตายแต่อย่างใด ยังคงเป็นลั่วสุ่ยคนเดิม ไม่จำเป็นต้องใช้ไพ่ตายก็ต่อกรกับมันไหว!
มันตะลึงเหลือแสน พลังในตัวลั่วสุ่ยและวิชามวยนี้น่าครั่นคร้ามถึงเพียงนี้เชียวหรือ หลังจากสำแดงฤทธิ์เดชทั้งหมดออกมาแล้วถึงกับต่อสู้กับมันได้!
สิ่งมีชีวิตทุกตนในที่นี้สีหน้าเปลี่ยนแปลงกันไปหมด ต่างทึ่งในตัวลั่วสุ่ย ให้ตายอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าลั่วสุ่ยจะสู้กับลู่อู๋ไหว!
การต่อสู้ดำเนินต่อไปจนน่าประหวั่นพรั่นพรึงขึ้นเรื่อย ๆ ลั่วสุ่ยสำแดงปรมัตถ์แห่งมวยไทเก๊กออกมาทั้งหมด ต่อสู้กับลู่อู๋จนยากจะตัดสินแพ้ชนะ!
อีกด้าน เณรน้อยต้าเต๋อมิได้สนใจศึกระหว่างลั่วสุ่ยกับลู่อู๋
เขานิ่งมองสถานที่หนึ่งอยู่อย่างนั้น สายตาเหม่อลอยเล็กน้อย
“จริง…จริงหรือนี่”
เขาเอ่ยออกมาอย่างอดมิได้ สีหน้าเต็มตื้น ด้านที่เขากำลังมองอยู่ มีคนผู้หนึ่งที่เขาทั้งคุ้นเคยอย่างมาก และไม่เคยรู้จักอยู่!
พระอมิตาภะพุทธเจ้า!
เป็นพระอมิตาภะพุทธเจ้าหรือนี่!
แม้ว่าเขาเดาได้นานแล้วว่าพระอมิตาภะพุทธเจ้าจะทำสำเร็จ ทลายขีดจำกัดของมนุษย์ บรรลุเป็นเซียน ดำรงอยู่เป็นนิจนิรันดร์ ทว่าเมื่อเขาได้เห็นพระอมิตาภะพุทธเจ้าจริง ๆ ก็ยังอดตื้นตันมิได้
“พระอมิตาภะพุทธเจ้า ท่านเห็นข้าหรือไม่ ข้าคือสาวกในพุทธศาสนา!”
เขาตะโกนใส่ด้านพระอมิตาภะพุทธเจ้าเสียงดัง หมายจะให้พระอมิตาภะพุทธเจ้ามองเห็นเขา
เขาที่บำเพ็ญธรรมะมาตั้งแต่เด็ก เลื่อมใสในพระอมิตาภะพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก
แต่ไม่ว่าเขาจะตะโกนอย่างไร พระอมิตาภะพุทธเจ้าก็มิเคยจะแยแส กลับทำเหมือนมองไม่เห็นเขาอย่างนั้น
“พระอมิตาภะพุทธเจ้า!”
ขณะเดียวกัน พระอมิตาภะพุทธเจ้าท่องพระนามในใจ
มิใช่ว่าเขามองไม่เห็นต้าเต๋อ ตรงกันข้าม ตั้งแต่เขามาถึงที่นี่ ก็จำต้าเต๋อได้ในทันที และแน่ใจว่าต้าเต๋อคือสาวกในพุทธศาสนาของเขา!
เขาคุ้นเคยกับชุดจีวรที่ต้าเต๋อสวมใส่อยู่เป็นที่สุด นี่คือชุดจีวรที่ใช้เฉพาะในพุทธศาสนา สิ่งมีชีวตตนอื่นไม่มีทางมีมันในครอบครอง
ทว่าเขากลับมิได้เข้าไปทำความรู้จักกับต้าเต๋อ ไม่แม้แต่จะเหลียวมองต้าเต๋อ
ช่วยมิได้ เขาไม่ต้องการพลอยทำให้ต้าเต๋อต้องลำบากไปด้วย
เขาในยามนี้ อยู่ในการควบคุมของตระกูลกู่ เป็นหนึ่งในสมาชิกของตระกูลกู่ อยู่คนละฝ่ายกับต้าเต๋ออย่างไม่ต้องสงสัย
หากว่าเขาเข้าไปทำความรู้จักกับต้าเต๋อตอนนี้ จนสิ่งมีชีวิตตนอื่นรับรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับต้าเต๋อ เป็นไปได้ว่าตระกูลกู่จะใช้เขาเพื่อข่มขู่ต้าเต๋อ บีบบังคับให้ต้าเต๋อยอมเจรจากับพวกเขา
เขาไม่ต้องการให้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น
หากมิใช่อย่างนั้น เขาคงเข้าไปทำความรู้จักกับต้าเต๋อนานแล้ว เขาอยากรู้เหลือเกินว่าพุทธศาสนาที่เขาสร้างขึ้นมาเป็นอย่างไรบ้างในยามนี้…
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้สร้างพุทธศาสนา ย่อมห่วงใยในพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง
“บัดซบ พวกเขาทำอันใดกับพระอมิตาภะพุทธเจ้ากัน พวกเขาลบความทรงจำของท่านใช่หรือไม่”
ต้าเต๋อร้องลั่น “ข้าคือสาวกในพุทธศาสนาที่ท่านสร้างขึ้น ท่านจำมิได้แม้แต่พุทธศาสนาหรือ”
จากนั้น เขาเริ่มบริกรรมบทสวด หมายจะเรียกสติพระอมิตาภะพุทธเจ้าด้วยการนี้
“ข้าแด่รัตนตรัยอันเป็นที่พึ่ง ขอถวายกุศลทั้งปวงที่ข้าทำมา อุทิศให้กลายเป็นทุน นำข้าสู่การบรรลุผลด้วยเถิด”
ต้าเต๋อเอ่ยท่องออกมาเสียงดัง นี่คือบทสวดสำคัญแด่พระอมิตาภะพุทธเจ้า เขาคิดว่าจะสามารถใช้สิ่งนี้เพื่อปลุกพระอมิตภะพุทธเจ้าขึ้นจากความทรงจำที่ถูกปิดกั้นได้
พระอมิตาภะพุทธเจ้าปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาทันที คิดขึ้นมาในใจว่าเหตุใดเณรน้อยผู้นี้จึงยังไม่อาจตระหนักได้?
ตอนนี้ใช่เวลาสำหรับการพบพานและทำความรู้จักที่ใดกัน?
หากผู้อื่นรู้ว่าพวกเขามีความเกี่ยวข้องกัน สถานการณ์ก็จะยิ่งเลวร้าย!
เณรน้อยมองจุดนี้ไม่ออกเลยสักนิดจริงหรือ!
เขาลอบถอนหายใจอย่างหนักภายในใจ นี่หรือคือคนรุ่นใหม่จากพระพุทธศาสนาของเขา?
หากเป็นเช่นนี้จริง เขาก็รู้สึกเป็นห่วงอนาคตของพระพุทธศาสนาขึ้นมาแล้ว!
เณรน้อยผู้นี้ไม่ฉลาดเฉลียวเกินไปหรือไม่ ก่อนหน้านี้เขาเมินเฉยต่อเณรน้อย สิ่งนี้ยังแสดงออกไม่ชัดเจนอีกหรือ?
ทว่าเณรน้อยกลับท่องบทสวดออกมาเสียงดัง ราวกับกลัวว่าผู้อื่นจะไม่รู้ว่าพวกเขามีความเกี่ยวข้องต่อกัน...
เขาไว้อาลัยให้กับลั่วสุ่ยและคนอื่น ๆ อย่างเงียบ ๆ เป็นไปได้มากที่พวกเขาจะถูกต้าเต๋อขุดหลุมใส่เสียแล้ว
ผลก็ออกมาเป็นเช่นนั้นจริง เมื่อต้าเต๋อตะโกนบทสวดออกมาเสียงดัง สิ่งมีชีวิตจำนวนมากของภพเซียนก็หันมาจับจ้องทางเขา
ภายในใจของเขาถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกรอบ เห็นทีว่าจะหนีไม่รอดเสียแล้ว...
“พวกเจ้ารู้จักกันอย่างนั้นหรือ?”
ประมุขตระกูลกู่หันมามองพระอมิตภะพุทธเจ้าด้วยดวงตาเปล่งประกาย พร้อมเอ่ยถามพระอมิตภะพุทธเจ้า
กล่าวตามตรงแล้ว บทสวดที่ต้าเต๋อท่องออกมานั้น นางเองก็สามารถท่องได้เช่นกัน ทั้งยังไม่ใช่เพียงแค่นางเท่านั้น กระทั่งสมาชิกคนอื่น ๆ ในตระกู่เกือบทั้งหมดก็น่าจะท่องได้เช่นเดียวกัน
ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้พระอมิตภะพุทธเจ้าท่องสิ่งนี้ออกมาตลอดทั้งวัน พวกนางล้วนได้ฟังจนหูชา ติดอยู่ในหัวจนสามารถถึงขั้นท่องแบบย้อนกลับจากหลังไปหน้าได้เสียด้วยซ้ำ
“ไม่รู้จัก แต่เขาน่าจะเป็นศิษย์จากพระพุทธศาสนาของข้า”
พระอมิตาภะพุทธเจ้าเอ่ยเสียงเบา
พุทธศาสนาไม่พูดปด เขาไม่ต้องการโกหกและก็ไม่อาจโกหกได้
บทสวดที่ต้าเต๋อท่องออกมาเป็นหลักฐานแน่ชัด ไม่มีทางที่เขาจะไม่ข้องเกี่ยวอันใดกับเขา
“พุทธศาสนา? พุทธศาสนาที่เจ้าก่อตั้งน่ะหรือ?”
ดวงตาของประมุขตระกูลกู่เปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม นางเคยถามพระอมิตาภะพุทธเจ้าทำให้รู้เกี่ยวกับอดีตที่ผ่านมาของเขา
นางเป็นสาวงามอย่างถึงที่สุดผู้หนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย รูปร่างอวบอิ่มโดดเด่น บรรยากาศที่แผ่ออกมาเฉียบขาด ให้ความรู้สึกงดงามของผู้ใหญ่ ทุกท่วงท่ารอยยิ้มชวนให้ผู้คนหัวใจสั่นไหว
สิ่งที่สามารถสังเกตได้จากสายตาที่จับจ้องมายังร่างของนาง ยอดฝีมือวัยฉกรรจ์จำนวนมากมองมาบนร่างของนางด้วยสายตาเร่าร้อน
อันที่จริงแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่นางที่ดึงดูดสายตาจำนวนมาก สมาชิกทุกคนในตระกูลกู่ล้วนเปี่ยมด้วยเสน่ห์ ต่างก็เป็นหญิงงามล่มบ้านล่มเมือง
ตระกูลกู่ไม่มีบุรุษ!
กระทั่งอสูรโบราณที่ตระกูลกู่เลี้ยงเอาไว้ก็ล้วนแต่เป็นเพศหญิง ไม่มีเพศชาย
เหตุใดตระกูลกู่จึงเป็นเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้แน่ชัด
ว่ากันว่าเป็นเพราะบรรพชนผู้หนึ่งของตระกูลได้รับความเจ็บปวดจากความรัก หลังจากนั้นจึงชิงชังบุรุษเพศ ทำให้ตระกูลกู่ไม่มีผู้ชายอยู่สักคน
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่ข่าวลือ เรื่องแท้จริงเป็นมาอย่างไร ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
ตระกูลกู่สืบทอดยืนยงมาอย่างยาวนาน เป็นหนึ่งในเก้ามหาตระกูลแห่งภพเซียน ไม่มีผู้ใดกล้าจะสืบสาวเรื่องราวของตระกูลกู่มากเกินไป การกระทำเช่นนั้นก็ไม่ต่างอันใดกับการแสวงหาหนทางตายให้ตนเอง
ยามนั้นเมื่อพระอมิตาภะพุทธเจ้าเข้าสู่ภพเซียน ทุกตระกูลทุกกองกำลังต่างพากันไปแย่งชิงคน ทั้งหมดล้วนคิดว่าตระกูลกู่จะไม่มา
อย่างไรเสียพระอมิตาภะพุทธเจ้าก็เป็นบุรุษเพศ
แต่เหนือจากความคาดคิดของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ตระกูลกู่มาเข้าร่วม อีกทั้งตระกูลกู่ยังต่อสู้ดุร้ายยิ่งกว่ากองกำลังใด ๆ ราวกับจำเป็นต้องเอาคนผู้นี้ไปให้ได้!
ในท้ายที่สุด ตระกูลกู่ก็สามารถคว้าตัวพระอมิตภะพุทธเจ้ากลับไปยังตระกูลกู่ได้
ยามนั้นกลายเป็นเรื่องดึงดูดความสนใจทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ ทั้งยังเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้ ว่าเหตุใดเพื่อพระอมิตาภะพุทธเจ้า ตระกูลกู่จังยอมทำเรื่องผิดวิสัยของตนเอง ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องสิ่งมีชีวิตภายนอกเหล่านั้นไม่เข้าใจเลย กระทั่งสมาชิกจำนวนมากของตระกูลกู่ก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ เหตุใดตระกูลตนจึงยอมทุ่มทุกอย่างเพื่อชิงตัวพระอมิตาภะพุทธเจ้ามา
“ใช่”
พระอมิตาภะพุทธเจ้าพยักหน้า เอ่ยตอบตามจริง
“เช่นนั้นแล้ว เขาก็เป็นสาวกของเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
สีหน้าของประมุขตระกูลกู่แปรเปลี่ยนเล็กน้อย
“ใช่”
พระอมิตาภะพุทธเจ้าพยักหน้าอีกครั้ง
หลังจากพระอมิตภะพุทธเจ้าตอบออกมาด้วยความสัตย์ เหล่าสมาชิกของตระกูลกู่ก็พากันมาล้อมรอบเกิดเป็นกลิ่นหอมกระจุกทั่วบริเวณ หญิงงามกลุ่มใหญ่พากันสนทนากับพระอมิตาภะพุทธเจ้า
“หากเขาเป็นศิษย์ของท่าน เช่นนั้นท่านก็เรียกเขามาหาเถิด!”
“มีความสัมพันธ์กันนับว่าเป็นเรื่องดี!”
“เห็นได้ชัดว่าเขาเคารพเลื่อมใสท่านเป็นอย่างมาก! ลองคิดดูสิ จะมีสาวกที่ไหนกันจะไม่เคารพเลื่อมใสบรรพจารย์ผู้ก่อตั้ง!”
เหล่าผู้ฝึกตนหญิงของตระกูลกู่พากันตื่นเต้น มีความสัมพันธ์ต่อกัน เห็นได้ชัดเจนว่าพวกนางมีข้อได้เปรียบอย่างไม่ต้องสงสัย!
อีกด้านหนึ่ง ต้าเต๋อกำลังท่องบทสวดอย่างตั้งใจ ทว่าเมื่อเขาได้เห็นฉากที่เกิดขึ้นกับพระอมิตาภะพุทธเจ้า ทั้งยังได้ฟังบทสนทนาเหล่านั้นแล้ว เขาก็แทบจะหัวคะมำลงพื้น บทสวดที่กำลังท่องออกมาก็เลือนหายไปจนหมดสิ้น
นี่มันอันใดกัน!
เดิมที เขาคิดว่าความทรงจำของพระอมิตาภะพุทธเจ้าถูกปิดกั้นเอาไว้จนลืมเลือนสิ้นทุกอย่าง ทว่าความจริงแล้วกลับต่างจากที่เขาคิดโดยสิ้นเชิง
เห็นได้ชัดว่า ความทรงจำของพระอมิตาภะพุทธเจ้ายังคงอยู่ดี!
“พระสัมมาสัมพุทธเจ้า! ท่านทำให้ข้าผิดหวังเป็นอย่างมาก! ท่าน ท่าน...ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร! ท่านหลงมัวเมากับความงาม จนไม่อาจหลุดพ้นออกมาได้!”
ต้าเต๋อส่ายหัว บนใบหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง
“ข้าก็คิดว่าเหตุใดท่านจึงทำเป็นไม่รู้จักกับข้ากัน? ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!”
เขาเอ่ยต่อด้วยดวงตาเปล่งประกาย “ทว่ากล่าวกันตามตรงแล้ว ข้าเองก็เข้าใจท่าน อย่างไรเสียการถูกล้อมรอบด้วยความงามมากมายถึงเพียงนั้น ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานได้ใช่หรือไม่? แม้ท่านยังไม่อาจต้านทานได้! แต่ก็ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธข้าเช่นนี้เลย!”
หลังจากนั้นเขาก็หยิบเนื้อย่างชิ้นใหญ่พร้อมทั้งไหสุราออกมา
เขากัดเนื้อย่างคำโต ตามด้วยสุราอึกใหญ่ ก่อนบ่นพึมพำออกมา “ท่านดูสิ ข้าเองก็ไม่ใช่ผู้เคร่งครัดในกฎเกณฑ์ ข้าเข้าใจได้ พวกเราแม้นับถือพระพุทธศาสนาแต่ก็ไม่ได้เคร่งครัดกฎเกณฑ์ตามตัวเหล่านั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านไม่ต้องละอายไป เพียงแค่ท่านยอมรับมันอย่างตรงไปตรงมา!”
“!!!”
หลังได้ฟังคำพูดของต้าเต๋อแล้ว พระอมิตาภะพุทธเจ้าก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หัวใจไม่อาจสงบนิ่งเช่นเคย ต้องการจะตรงไปหาต้าเต๋อแล้วทำการทุบตีสักหน!
อันใดคือการบอกว่าเขาหลงมัวเมาในความงาม จนไม่อาจหลุดพ้นออกมาได้?
นี่คือทางเลือกของเขาหรืออย่างไร?
เขาไม่มีทางเลือกตัดสินใจได้เองตั้งแต่แรกต่างหาก!
ยังมีอีก อันใดคือเอ่ยว่าถูกล้อมรอบด้วยความงามมากมายถึงเพียงนั้น ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานได้ แม้ท่านยังไม่อาจต้านทานได้!
เขายังไม่อาจต้านทานได้หรือ?
ความอดทนของเขานั้นยังคงอยู่ดี!
แม้นเป็นเรื่องจริงที่ผู้ฝึกตนหญิงทุกคนของตระกูลกู่ล้วนงดงามมีเสน่ห์ หากเป็นผู้ฝึกตนชายคนอื่นก็ยากจะสามารถอดทนข่มกลั้นได้
แต่หัวใจพระพุทธศาสนาของเขาแน่วแน่มั่นคง หลังจากอยู่ในตระกูลกู่มาอย่างยาวนาน หัวใจของเขาก็ยังคงสงบนิ่งดังเดิม ไม่เกิดระลอกคลื่นใด ๆ
เขาอุทิศหัวใจเพื่อพุทธะ ไม่มีกิเลสเข้ามาแผ้วพาน เหล่าผู้ฝึกตนหญิงแสนงดงามในตระกูลกู่ สำหรับเขาแล้วก็ไม่ได้เป็นอันใดไปมากกว่าโครงกระดูกสีชมพู ไม่มีแรงดึงดูดแต่อย่างใด
“นี่คือสาวกของพระพุทธศาสนาจริงหรือ?!”
พระอมิตาภะพุทธมองต้าเต๋อที่กำลังกัดเนื้อคำโตตามด้วยสุราอึกใหญ่ รวมทั้งวาจาของต้าเต๋อที่พูดออกมาแล้ว หัวใจที่เต็มไปด้วยพระพุทธก็เต้นกระหน่ำขึ้นมา เกิดระลอกอารมณ์คลื่นใหญ่สาดซัด!
นี่คือสภาพพระพุทธศาสนาของพวกเขาในปัจจุบันอย่างนั้นหรือ?!
สาวกพระพุทธศาสนาของเขาเสื่อมทรามลงจนถึงเพียงนี้เชียวหรือ?!
ขณะนั้น ภายในใจของเขาพลันเกิดความรู้สึกมายมากจนไม่อาจบรรยายออกมา มือขวาอดยกขึ้นกุ่มศีรษะตนเองไม่ได้
“นี่คือบรรพจารย์พระพุทธศาสนาของเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
อีกด้านหนึ่ง อ้ายฉานผงะไปชั่วครู่ หลังจากมองไปที่พระอมิตาภะพุทธเจ้า ก็เลื่อนสายตามองไปทางต้าเต๋อ
นางทำสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะหันไปเอ่ยกับต้าเต๋อ “ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจ้าเป็นเช่นนี้! คานบนเอียง คานล่างย่อมไม่ตรง*[1] คานบนเบี้ยวเสียเช่นนี้ คานล่างอย่างเจ้าจะตรงได้อย่างไร!”
พระอมิตภะพุทธเจ้าได้ยินสิ่งที่อ้ายฉานเอ่ย
พลันหัวใจพุทธะที่เริ่มกลับมาสงบนิ่งแล้ว ได้พังทลายลงไปในทันที ทั้งยังมากเสียยิ่งกว่าตอนก่อนหน้า!
อันใดคือคานบนเอียง คานล่างย่อมไม่ตรง?
คานบนอย่างเขาตรงเป็นอย่างมาก!
เอียงตรงใดกัน!?
เขาแทบจะร้องไห้ออกมาอย่างไร้น้ำตา ไม่เคยคาดคิดจริง ๆ ว่าวันหนึ่งจะต้องมาโดนสาวกในพระพุทธศาสนาลากเข้าไปเกี่ยวข้อง ทำให้ได้รับการประเมินว่าเป็นคานบนที่เอียงทำคานลางเบี้ยวด้วย!
ความน่าเกรงขามและภูมิฐานที่สะสมมาทั้งชีวิตพังยับเยิน!
ในตอนนี้ เขาเกิดความคิดอยากจะกลับไปอย่างถึงที่สุด อยากกลับไปดูพระพุทธศาสนาที่ตนเองก่อตั้งขึ้น กลับไปดูว่าสาวกของพระพุทธศาสนาเป็นเช่นต้าเต๋อหมดหรือไม่!
ถ้าหากเป็นเหมือนต้าเต๋อไปเสียหมด เขาคงจะยุบพระพุทธศาสนาทิ้งในทันที!
“เจ้าจะรู้อันใด! นี่เรียกว่าอารมณ์ที่แท้จริง! พระพุทธศาสนาของข้าไม่เคยพูดถึงการเคร่งขัดกฎอันตายตัวเหล่านั้น ให้ความสนใจกับการฝึกฝนจิตใจให้ดี!”
ต้าเต๋อมองอ้ายฉาน หลังจากนั้นก็หันไปยิ้มให้กับพระอมิตาพุทธ “ใช่หรือไม่ท่านพระสัมมาสัมพุทธเจ้า?”
นี่มันอันใดกัน!
พระอมิตาภะพุทธเจ้ามีสีหน้ามืดครึ้ม ไม่คิดจะตอบรับคำพูดของต้าเต๋อ
พระพุทธศาสนาสอนเรื่องการฝึกฝนจิตใจนั้นไม่ผิด
แต่เพราะทุกคนต่างก็มีความคิดฟุ้งซ่านอยู่ภายในใจมากเกินไป พระพุทธศาสนาจึงมีกฎเกณฑ์มากมายเพื่อช่วยให้เหล่าสาวกขจัดความคิดฟุ้งซ่านในใจ ทำให้ประสบความสำเร็จเร็วยิ่งขึ้น
“ทุกคนล้วนเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้าเป็นศัตรูกันเช่นนี้ เจ้าสามารถมาที่นี่เพื่อสนทนากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเจ้าได้”
ประมุขตระกูลกู่ยิ้มจาง ๆ ขณะเอ่ยกับต้าเต๋อ
พระอมิตาภะพุทธเจ้าถอนหายใจอยู่ภายในใจ
เรื่องราวเป็นไปตามที่เขาคาดเอาไว้ไม่ผิด ประมุขตระกูลกู่ต้องการใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ระหว่างเขากับต้าเต๋อ
เขาคิดในใจว่าถึงต้าเต๋อจะไม่ฉลาดเฉลียวอันใดนัก แต่ก็ยังไม่โง่งมถึงขั้นเดินมาตรงนี้หรอกกระมัง?
ตราบใดที่ต้าเต๋อไม่มา ยังคงอยู่กับพวกลั่วสุ่ย ทุกอย่างก็ล้วนไม่มีอันใด
‘อย่างไรเสียเขาก็เป็นสาวกพระพุทธศาสนาของข้า แต่ข้ากลับไม่อาจปกป้องได้เลย…’
พระอมิตาภะพุทธเจ้าเอ่ยออกมาในใจ
เขาไม่มีวันยอมให้ตระกูลกู่ใช้เขาเพื่อคุกคามต้าเต๋อ ทั้งยังเตรียมพร้อมสำหรับกรณีเลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว เขาลอบตระเตรียมพลังในร่างกายของตนเองเอาไว้ หากไม่มีหนทางเลือกจริง ๆ เขาก็จะระเบิดตนเองเพื่อปกป้องต้าเต๋อ
ทว่าเขาไม่คาดคิดเลย ว่าต้าเต๋อจะเดินมาจริง ๆ!
“ได้!”
ต้าเต๋อไม่แม้กระทั่งจะหยุดคิด ตอบรับด้วยรอยยิ้มร่า จากนั้นก็ทะยานร่างมาหาพระอมิตาภะพุทธเจ้า
นี่มันเรื่องอันใดกัน!
มุมปากของพระอมิตภะพุทธเจ้ากระตุก ภายในใจคิดว่าสมองของคนผู้นี้ไม่ฉลาดเฉลียวถึงเพียงนี้เลยหรือ?
ต้าเต๋อกำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ยังกล้ามาที่นี่อีกหรือ
สวรรค์ ตอนนี้แม้เขาอยากจะปกป้องต้าเต๋ออย่างไรก็ทำไม่ได้แล้ว!
“ตกลง ตกลง วางใจได้ เจ้ารีบมาเถิด บรรพจารย์ของพระพุทธศาสนาเองก็อดใจที่จะได้คุยกับเจ้าไม่ไหวแล้ว!”
ประมุขตระกูลกู่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ดวงตาของผู้ฝึกตนคนอื่นในภพเซียนก็เปล่งประกายขึ้นมาเช่นเดียวกัน
พวกเขาเองก็คาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น!
ไม่มีผู้ใดคาดคิดเลยว่าต้าเต๋อจะกล้าพุ่งตรงเข้ามาเช่นนี้!
นี่มันดีเกินไปแล้ว!
หากต้าเต๋อมาถึงฝั่งพวกเขาแล้ว ต้าเต๋อจะต้องกลายเป็นเบี้ยในมือพวกเขาอย่างแน่นอน!
พวกเขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยถามกับลั่วสุ่ยอีกต่อไป สามารถรับรู้ข้อมูลที่ต้องการผ่านต้าเต๋อโดยตรง!
อย่างไรเสีย ดูแล้วสมองของต้าเต๋อนั้นออกจะไม่ค่อยเฉลียวฉลาดจริง ๆ!
“เฮ้อ!”
พระอมิตาภะพุทธเจ้าถอนหายใจออกมาอย่างหนัก เขาเตรียมจะก้าวออกไปด้านหน้าเพื่อหยุดยั้งไม่ให้ต้าเต๋อเข้ามา แต่กลับถูกประมุขตระกูลกู่เห็นเข้าเสียก่อน พลังมหาศาลพลันตกใส่ร่างของเขา ทำให้ไม่อาจขยับได้แม้แต่น้อย
กระทั่งพลังในร่างก็ล้วนถูกผนึกเอาไว้อย่างสมบูรณ์ แม้คิดจะระเบิดตนเองก็ทำไม่ได้
“เณรน้อยช่าง ‘ไร้เดียงสา’ เกินไปแล้ว!”
เขาถูกความ ‘ไร้เดียงสา’ ของต้าเต๋อทำให้อับจนคำพูดจริง ๆ!
[1] คานบนเอียง คานล่างย่อมไม่ตรง (上梁不正下梁歪) หมายถึง คนมีอำนาจมากกว่าทำไม่ดี คนที่อยู่เบื้องล่างก็ทำไม่ดีตามไปด้วย
พระอมิตาภะพุทธเจ้าปวดเศียรเวียนเกล้า เหตุใดจึงมีผู้ที่ ‘ไร้เดียงสา’ ถึงเพียงนี้อยู่ด้วย
เขารำพึงกับตนเองภายในใจว่า เหตุใดพวกลั่วสุ่ยจึงต้องพาต้าเต๋อมาที่นี่ด้วย!
นี่อาจเป็นจุดพลิกผันสถานการณ์ทั้งหมด
ความจริงแล้ว ต้าเต๋อเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย
เขายังมีลูกประคำที่คุณชายมอบให้ อีกทั้งพวกลั่วสุ่ยเองก็ยังอยู่ที่นี่ ดังนั้นจะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นกับเขาได้อย่างไร?
ไม่มีทางอยู่แล้ว
แม้ว่าเข้าจะเข้าไปในส่วนลึกของภพเซียนก็ไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นกับเขาอยู่ดี
เณรน้อยทะยานร่างไปถึงตรงที่พระอมิตาภะพุทธเจ้าอยู่อย่างรวดเร็ว
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในภพเซียนต่างเดือดพล่าน พวกมันไม่คิดมาก่อนเลยว่าต้าเต๋อจะมาหาพวกเขาถึงที่จริง ๆ!
สำเร็จแล้ว!
พวกเขามีเบี้ยอยู่ในกำมือเรียบร้อยแล้ว!
พวกเขาต่างก็ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
พระอมิตาพุทธเห็นต้าเต๋อขยับเข้ามาพร้อมยิ้มให้เข้าก็พลันรู้สึกปวดหัว ท่าทางราวกับไม่รู้ผลของการมายังพื้นที่ตรงนี้อย่างสิ้นเชิง
“พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่น่าแปลกใจเลยที่ท่านไม่เคยกลับไปดูพระพุทธศาสนาแม้แต่น้อย ที่แท้ก็เพราะมีหญิงงามมากมายรายล้อม เช่นนั้นแล้วท่านจะทิ้งหญิงงามเหล่านี้แล้วกลับไปได้อย่างไร! เปลี่ยนเป็นข้าเองก็จะไม่กลับไปอย่างแน่นอน!”
ต้าเต๋อกล่าวพร้อมรอยยิ้มเริงร่า ที่แห่งนี้มีหญิงงามมากเกินไปแล้ว แค่มองเขาก็รู้สึกลายตา!
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังสมกับเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า!
มีหญิงงามมากมายถึงเพียงนี้ก็ยังสามารถต้านทานได้อย่างสมบูรณ์!
หัวใจพุทธของพระอมิตาพระพุทธเจ้านั่นมั่นคงมาโดยตลอด ไม่เกิดความผันผวนขึ้นอย่างง่ายดาย แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเณรน้อยผู้นี้ หัวใจพุทธอันมั่นคงของเขาก็ถูกท้าทายซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้อยากสงบใจก็ไม่อาจทำได้!
“พูดไร้สาระอันใดกัน!”
เขากัดฟันเอ่ยออกมา อดยกมือขึ้นมาเคาะหัวเล็ก ๆ แวววับของต้าเต๋อไม่ได้!
ต้าเต๋อนั้นไม่เหมือนสาวกของพระพุทธศาสนาสักนิด ท่าทางเหมือนกับเป็นเพียงแค่อันธพาลตัวน้อยคนหนึ่ง ไม่มีความเป็นพุทธสาวกอยู่เลย
ทว่าภายในใจของเขาก็มีเรื่องให้ต้องตื่นตะลึง
ต้าเต๋ออายุเพียงเท่าไหร่กันเชียว? เป็นเพียงแค่เด็กน้อยอายุไม่กี่ขวบปี แต่กลับก้าวเข้าสู่ขั้นเทียนตี้แล้ว อีกทั้งเขายังสามารถสัมผัสได้ว่า ต้าเต๋อนั้นมาถึงจุดสูงสุดของขั้นเทียนตี้แล้ว เท้าครึ่งหนึ่งเหยียบขึ้นมาบนขอบเขตเซียนเรียบร้อย!
กล่าวอย่างไม่เกินจริงเลย ต้าเต๋อในตอนนี้กลายเป็นครึ่งก้าวเซียนอย่างสมบูรณ์!
เขารู้สึกเหลือเชื่อสุด ๆ!
เด็กคนนี้อายุเพียงไม่เท่าไหร่ แม้จะเริ่มฝึกตนตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาก็ไม่อาจมาถึงขอบเขตที่สูงถึงเพียงนี้ได้!
จินตนาการไม่ออกจริง ๆ ว่าต้าเต๋อมาถึงขอบเขตนี้ได้อย่างไร!
ตู้ม!
ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงระเบิดอันน่าสะพรึงกลัวดังมาจากทางลั่วสุ่ยและลู่อู๋ การต่อสู้ตรงนั้นเกิดการพลิกผันครั้งใหญ่!
“อันใดกัน!”
“ลู่อู๋ถูกสยบลงแล้วจริง ๆ!”
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในภพเซียนมองไปทางลั่วสุ่ยและลู่อู๋ด้วยความไม่อยากจะเชื่อ พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าจะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น!
นั่นคือลู่อู๋เชียวนะ!
ไร้คู่ต่อกรในหมู่จักรพรรดิเซียนรุ่นใหม่ กระทั่งจักรพรรดิเซียนรุ่นเก่าบางคนยังไม่ใช่คู่มือ แต่ผลออกมากลับถูกสยบโดยราชันแห่งเซียนอย่างลั่วสุ่ย...
พวกเขาไม่อยากจะเชื่อ จะกล้าเชื่อลงได้อย่างไร!
ภายในใจของพวกเขาตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง อารมณ์มากมายหลากหลายยากจะบรรยาย ไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิงว่าเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
ก่อนหน้านี้ความสนใจทั้งหมดของพวกเขาเบนไปอยู่ที่ต้าเต๋อ ไม่เห็นว่าลู่อู๋ถูกลั่วสุ่ยสงบลงได้อย่างไร!
โฮกกกกก!
ลู่อู๋ส่งเสียงคำรามด้วยความกราดเกรี้ยว ดวงตาเป็นสีแดงฉาน มันถูกสยบลงได้อย่างไรกัน? มันไม่อาจยอมรับผลลัพธ์เช่นนี้ได้ พลังสายเลือดของมันระเบิดออกมาอย่างเต็มที่!
ขนาดร่างกายของมันขยายใหญ่ขึ้น ราวกับจะล้นทะลักทำให้ดินแดนแกนกลางพังทลายลง มันอ้าปากพ่นสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา ต้องการจะพลิกเปลี่ยนสถานการณ์!
อย่างไรก็ตาม เมื่อมาอยู่ภายใต้มวยไทเก๊กของลั่วสุ่ย ทุกอย่างล้วนไม่อาจนับเป็นสิ่งใดได้!
ลั่วสุ่ยฝึกมวยไทเก๊กจนถึงขีดสุดแล้ว หนึ่งหมัดชกออกพลันเกิดความสั่นสะเทือนด้วยวิถีเต๋าอันเหนือชั้น กฎเกณฑ์ของภพเซียนพังทลายลงภายในพริบตา
สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาถูกหมัดของลั่วสุ่ยชักนำ พลังอันรุนแรงดุร้ายที่อยู่ในสายฟ้าพลันสลายหายไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นพลังนุ่มนวลอย่างถึงที่สุด ไม่มีอำนาจในการทำล้ายล้างอีกต่อไป
ใบหน้าของลู่อู๋ทั้งดุร้ายทั้งอัดอั้นตันใจเป็นอย่างมาก
นี่มันวิชามวยอันใดกัน สามารถสลายพลังทั้งหมดไปจนสิ้นได้!
มันถูกสยบก็เพราะวิชามวยนี้ พอมันเข้าประมือ พลังทั้งหมดล้วนไม่อาจปะทุออกมาได้เลย ก่อนหน้านี้มันก็ถูกวิชามวยเล่นงานจนพลังหายไปสิ้น
“อย่าคิดว่าจะสยบข้าได้!”
ลู่อู๋ระเบิดพลังออกมาอีกรั้ง ในใจไม่เต็มใจจะพ่ายแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้จริง ๆ มันสำแดงวิชาลับสุดยอดออกมาอีกครั้ง หางทั้งเก้าที่อยู่ด้านหลังสาดประกายเจิดจ้า พลังมหาศาลสะท้านฟ้าแผ่ออกมา!
ตู้ม!
มันไม่ธรรมดาจริง ๆ ทรงพลังอย่างถึงที่สุด การปะทุพลังครั้งนี้ทำให้ทั้งดินแดนแกนกลางสั่นสะเทือนเล็กน้อย เสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่ว!
น่าเสียดาย ที่ครั้งนี้คู่มือของมันคือลั่วสุ่ยที่ไม่ธรรมดาเสียยิ่งกว่า!
ลั่วสุ่ยลอยอยู่กลางอากาศรายล้อมด้วยประกายแสงเซียนระยิบระยับ ทั้งแวววาวและสว่างพร่างพราย มวยไทเก๊กถูกแสดงออกมาจนถึงกระบวนท่าท้าย ๆ พริบตาเดียวกับที่ลู่อู๋ระเบิดพลังออกมา นางก็พุ่งเข้าไปประชิดย่นระยะห่างกับลู่อู๋
หลังจากเข้าประชิดแล้ว พลังของมวยไทเก๊กก็ห่อหุ้มร่างของลู่อู๋เอาไว้ ทำให้มันสูญเสียการควบคุมพลังทั้งหมด พลังของมันล้วนถูกมวยไทเก๊กสลายหายไปสิ้น!
ฟึ่บ!
มันถูกลั่วสุ่ยควบคุมอย่างสมบูรณ์ราวกับว่าวที่ทำได้เพียงลอยตามลมไป ลั่วสุ่ยดูแล้วตัวไม่ใหญ่ กำปั้นก็ยังดูอ่อนโยน แต่เมื่อหมัดนั้นตกลงบนร่างของมันแล้ว กลับน่ากลัวยิ่งกว่าการมีอสนีบาตฟาดใส่ร่างของมันเสียอีก ร่างกายของมันระเบิดออกทันที เศษเนื้อและเลือดปลิวว่อนกระจัดกระจาย น่าเวทนาเกินกว่าจะมองโดยตรง!
เสียงตู้มดังขึ้น ลั่วสุ่ยโจมตีใส่ร่างของลู่อู๋อีกครั้ง ร่างของมันปลิวกระเด็นออกไปทันที จากนั้นก็ระเบิดออกกลายเป็นเพียงกลุ่มหมอกละอองเลือด!
ใช้เวลานานพอสมควร ลู่อู๋จึงสามารถรวมร่างตนเองกลับมาใหม่ได้ แต่เห็นได้ชัดว่าไม่มีกำลังพอจะต่อสู้แล้ว ลมหายใจของมันอ่อนแรง สภาพย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง
“สบายยิ่งนัก!”
ลั่วสุ่ยยิ้ม รู้สึกเบิกบานสบายใจยามได้ปล่อยหมัด
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ร่ายมวยไทเก๊กจนจบในการต่อสู้ มันทำให้นางรู้สึกเบิกบานสบายใจเป็นอย่างมาก!
“แพ้...แพ้แล้ว!”
“จะน่ากลัวเกินไปแล้ว!”
สิ่งมีชีวิตในภพเซียนต่างพากันหวาดเกรงอย่างมาก ภายในใจเต็มไปด้วยความผวา เหงื่อเย็นหลั่งไหลออกมาเต็มแผ่นหลังจนเปียกชื้นบนเสื้อผ้า
เป็นไปได้อย่างไรกัน!
ราชันเซียนผู้หนึ่งกลับสามารถเอาชนะจักรพรรดิเซียนได้ แถมยังไม่ใช่จักรพรรดิเซียนธรรมดา หากพวกเขาไม่ได้เห็นด้วยตาของตนเองแล้ว เกรงว่าต่อให้ตีจนตายก็เชื่อไม่ลง!
อีกทั้ง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเห็นสิ่งเหล่านี้ด้วยตาของตนเอง แต่ก็ยังคงเชื่อไม่ลง เกิดความสงสัยว่าตนเองมองผิดหรือเป็นภาพลวงตาเสียด้วยซ้ำ!
ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้การต่อสู้ครั้งนี้ดูเหมือนฝันไม่สมจริงเช่นนี้กัน แม้ได้เห็นด้วยตาตนเองก็ไม่อาจเชื่อได้ลง!
จักรพรรดิเซียนอาวุโสจากตระกูลเซียวและกองกำลังอื่น ๆ ต่างมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก แววตาทอประกายแปลกประหลาด
พวกเขาเองก็ไม่คาดคิดว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นนี้ เดิมทีต้องการให้ลู่อู๋สำแดงศักดิ์ศรีภพเซียนออกมา สุดท้ายกลับไม่ได้ผล อีกทั้งลู่อู๋ยังถูกทุบตีอย่างน่าเวทนา!
นอกจากนี้แล้ว สิ่งนี้ยังทำให้พวกเขาสนใจพลังในร่างของลั่วสุ่ยมากยิ่งขึ้น รวมถึงวิชามวยนี่ด้วย ความโลภที่มีเพิ่มมากยิ่งขึ้น!
พวกเขากระจ่างแจ้งเป็นอย่างดี ว่าสาเหตุที่ทำให้ลั่วสุ่ยสามารถเอาชนะลู่อู๋ได้ ก็เพราะพลังในร่างของลั่วสุ่ย และวิชามวยที่นางใช้ออกมา!
พลังและวิชามวยเหล่านี้ต่างก็ไม่ธรรมดาเหนือชั้นเป็นอย่างยิ่ง!
พวกเขามองไปทางต้าเต๋อที่อยู่ทางฝั่งพวกเขา จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ยังดี ยังดีที่มีเด็ก ‘ไร้เดียงสา’ อย่างต้าเต๋ออยู่ พวกเขายังสามารถใช้ต้าเต๋อเพื่อเจรจากับลั่วสุ่ยได้
“ทุกท่านโปรดหลีกทาง ผลถูกตัดสินแล้ว ตามที่กล่าวกันไปก่อนหน้านี้ ศพมังกรตกเป็นของพวกข้าแล้ว”
ลั่วสุ่ยเอ่ยออกมาเสียงเรียบ
“พวกข้าพูดเช่นนั้นหรือ? ดูเหมือนจะไม่ได้พูดนะ!”
“ใช่แล้ว! เมื่อครู่เป็นลู่อู๋ที่เอ่ยคำเหล่านั้น มันไม่อาจเป็นตัวแทนของพวกข้าได้ มันสามารถพูดส่วนของมันเท่านั้น”
เหล่าจักรพรรดิเซียนอาวุโสพูดขึ้นมา
หลังจากนั้นจักรพรรดิเซียนตระกูลเซียวก็ไปยืนอยู่ด้านข้างต้าเต๋อ วางมือข้างหนึ่งลงบนไหล่ของต้าเต๋อพร้อมมองไปทางลั่วสุ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เพียงแค่ซากมังกรตัวหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด แม่นาง พวกเรามาพูดคุยกันดี ๆ เถิด ขอเพียงแค่สามารถเจรจากันได้ ศพมังกรนั่นไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใดเลย พวกแม่นางอยากได้มากเท่าไหร่ก็เอาไปได้เต็มที่!”
เขากล่าวกับลั่วสุ่ย
มือของเขายังวางอยู่บนไหล่ต้าเต๋อระหว่างคุยกับลั่วสุ่ย เจตนาข่มขู่ที่อยู่ด้านในนั้นสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนยิ่ง
เห็นได้ชัดว่าต้องการจะใช้ต้าเต๋อมาข่มขู่ลั่วสุ่ย
“ใช่แล้ว!”
จักรพรรดิเซียนอาวุโสตระกูลกู่เองก็เดินขึ้นมาเช่นเดียวกัน นางวางมือลงบนไหล่อีกข้างของต้าเต๋อ
จากนั้นนางก็เอ่ยต่อ “เจรจาได้ย่อมไม่ใช่ปัญหาใหญ่ หลังจากที่พวกเราพูดคุยเสร็จแล้ว พวกเราจะมอบศพมังกรทั้งหมดให้กับน้องชายตัวน้อยผู้นี้ จากนั้นค่อยปล่อยให้เขาเอาศพมังกรกลับไปให้”
คราวนี้นางเอ่ยถึงต้าเต๋อโดยตรง การข่มขู่ที่แสดงออกมาชัดเจนและหนักกว่าเป็นอย่างมาก
แม้ว่านางจะอายุไม่น้อยแล้ว แต่ก็ยังคงเปี่ยมเสน่ห์ ผิวก็ยังคงดีเป็นอย่างมาก เมื่อครั้งที่นางยังสาวจะต้องงดงามอย่างถึงที่สุดแน่นอน
“นี่มัน...ข้ารู้ว่าพวกท่านต้องการจะทำสิ่งใด ข้าเองก็ไม่คัดค้าน แต่พวกท่านเปลี่ยนคนที่มาจับไหล่ข้าดีหรือไม่?”
ต้าเต๋อไม่เกิดความกลัวเกรงขึ้นมาแม้แต่น้อย ทั้งยังเอ่ยร้องขอเรื่องเช่นนี้ออกมา
“เปลี่ยนเป็นสองคนตรงนั้นเถิด หากเป็นคนนั้นละก็ ข้าก็ยินดีเต็มใจให้ความร่วมมือเสียยิ่งกว่านี้!”
เขาชี้นิ้วไปยังผู้ฝึกตนหญิงสองคน พวกนางทั้งคู่มีรูปร่างเร่าร้อนเป็นอย่างมาก รูปลักษณ์เองก็โดดเด่น งดงามไร้ที่ติ
จักรพรรดิเซียนอาวุโสตระกูลกู่และจักรพรรดิเซียนอาวุโสตระกูลเซียวเมื่อได้ฟังคำพูดของต้าเต๋อแล้ว ก็ถลึงตาใส่ต้าเต๋อทันที
นี่มันเด็กอันใดกัน กระทั่งเวลาเช่นนี้ ภายในหัวยังสามารถคิดเรื่องแบบนี้ออกมาได้!
“บาปหนอ บาป!”
พระอมิตาภะพุทธเจ้าทนมองต่อไปไม่ได้ ภายในใจรีบท่องบทสวดขึ้นมาอย่างเงียบงัน หัวใจพุทธะของเขาถูกสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงอีกครั้งแล้ว!
“เปลี่ยนคนเถิด ถูกท่านทั้งสองข่มขู่เช่นนี้ ข้านั้นไม่สบายใจจริง ๆ คนหนึ่งก็เป็นชายชรา อีกคนก็...อืม ข้าไม่พูดดีกว่า ท่านน่าจะรู้ดี!”
ต้าเต๋อหันไปเอ่ยพร้อมหันไปมองจักรพรรดิเซียนอาวุโสตระกูลเซียว หลังจากนั้นก็หันไปมองจักรพรรดิเซียนอาวุโสตระกูลกู่
จักรพรรดิเซียนอาวุโสตระกูลเซียวไม่ได้รู้สึกอันใด แต่จักรพรรดิเซียนอาวุโสตระกูลกู่โกรธมากจนแทบจะระเบิดโทสะออกมาด้วยคำพูดของต้าเต๋อ
แม้ต้าเต๋อจะกล่าวไม่จบ แต่นางจะไม่รู้เลยหรือว่าต้าเต๋อต้องการจะพูดสิ่งใดต่อ!
...หญิงชรา!
ต้าเต๋อต้องการจะเรียกนางว่าเป็นหญิงชรา!
เจ้าเด็กน่าตายนี่ นางต้องการจะฉีกต้าเต๋อออกเป็นชิ้น ๆ น่าเกลียดเกิดไปแล้ว จะมีคนต่ำทรามเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!
“เจ้าหุบปากไปเสีย! หากกล้าพูดอีกละก็ ข้าจะตัดลิ้นของเจ้าทิ้ง!”
นางอดเอ่ยขึ้นมากับต้าเต๋อด้วยความดุร้ายไม่ได้
หลังจากนั้นนางก็ไม่สนใจต้าเต๋ออีกเลย ยิ่งมองต้าเต๋อภายในใจของนางก็ยิ่งรู้สึกแย่ ต้องการจะลงมือทำให้ต้าเต๋อกลายเป็นเพียงก้อนเนื้อ!
“ยังจะไม่คิดเจรจากันอีกหรือ?”
นางหันไปกล่าวกับลั่วสุ่ย “น้อยชายผู้นี้ยังรอให้เจ้ามาหาอยู่ตรงนี้!”
“ข้าขอร้องท่าน รีบฆ่าเขาเสียประเดี๋ยวนี้เลย อย่าได้มัวรีรอ อืม ฆ่าทิ้งเสียตอนนี้ อย่าได้ลังเลแม้แต่น้อย!”
อ้ายฉานตะโกนมาจากอีกฝั่ง “เจ้าโล้นตรงนั้นช่างไม่คู่ควร ท่านช่วยฆ่าเขาแทนพวกข้าที นอกจากนี้พวกเรายังต้องขอบคุณพวกท่านเสียด้วยซ้ำ!”
“???”
จักรพรรดิเซียนอาวุโสตระกูลกู่ตกตะลึงนิ่งค้าง
สถานการณ์นี้มันอันใดกัน!
เหตุใดจึงไม่เหมือนที่นางคิดเอาไว้?
ตกตะลึงนิ่งค้าง ทั่วบริเวณล้วนเต็มไปด้วยความตกตะลึง!
ผู้อาวุโสจักรพรรดิเซียนตระกูลกู่ชะงักค้าง ผู้อาวุโสจักรพรรดิเซียนจากกองกำลังอื่น ๆ เองก็ชะงักค้างไปเล็กน้อยเช่นเดียวกัน
สถานการณ์...ไม่ควรดำเนินไปเช่นนี้สิ!
ต้าเต๋อเป็นสหายกับพวกลั่วสุ่ย ตอนนี้ชีวิตของต้าเต๋ออยู่ในกำมือของพวกเขา พวกลั่วสุ่ยไม่ควรเอ่ยวาจาออกมาอย่างไร้ความกลัวเกรงเช่นนี้ แต่ต้องวิตกกังวลและยอมเจรจากับพวกเขา
ทว่าตอนนี้กลับเกิดเรื่องอันใดขึ้น?
อ้ายฉานกลับตะโกนยั่วยุให้พวกเขาสังหารต้าเต๋อ!
มีเรื่องเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ...พวกเขาจับผิดไป!
‘แสร้งปล่อยเพื่อจับ! จะต้องเล่นแง่ใส่พวกเราโดยการแสร้งปล่อยเพื่อจับอย่างแน่นอน!’
‘คิดจะหลอกลวงพวกเราอย่างนั้นหรือ?’
จักรพรรดิเซียนอาวุโสเอ่ยเยาะเย้ยภายในใจ พวกเขาไม่เชื่อว่าอ้ายฉานต้องการให้พวกเขาสังหารต้าเต๋อตามคำพูดจริง ๆ
จะเป็นไปได้อย่างไร!
ถึงกลับมาที่นี่ด้วยกัน ความสัมพันธ์จะย่ำแย่ถึงปานนั้นได้อย่างไร?
ถึงแม้ต้าเต๋อผู้นี้จะเป็นที่เกลียดชังของคนอื่น แต่ก็จะต้องไม่เกลียดชังถึงระดับนี้อย่างแน่นอน
“แม่นางน้อยระวังคำพูดของเจ้าเสีย! ไม่อย่างนั้น หากบังเอิญเผลอทำสหายเจ้าได้เลือดคงแย่ไม่น้อย”
จักรพรรดิเซียนอาวุโสตระกูลเซียวเอ่ย “ไม่นานมานี้ข้ามีปัญหาเกี่ยวการฝึกฝนเล็กน้อย มือข้างนี้มักจะควบคุมไม่ค่อยได้เสียด้วยสิ ตอนนี้มือของเขาก็เริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่ได้แล้ว”
เมื่อเขาพูด มือข้างที่วางบนไหล่ของต้าเต๋อก็เริ่มสั่นขึ้นมา พลังที่ไม่อาจอธิบายได้หลั่งไหลออกมาเป็นระยะ ๆ
นี่เป็นการข่มขู่อย่างไม่ต้องสงสัย
น่าเสียดายที่อ้ายฉานก็ยังคงไม่สนใจ
“นี่ ท่านจะลงมือไม่ลงมือ! ข้าบอกให้ท่านฆ่าเขาเสียเลย มัวลีลาอันใดอยู่กัน? หรือว่าแก่จนอ่อนแอถึงขั้นสังหารคนไม่ได้แล้ว?”
อ้ายฉานตะโกนต่อ “เช่นนั้นก็เปลี่ยนคนอายุน้อยกว่ามาสังหารเขาทิ้งเสีย! อย่าเอาแต่พูด ไม่ลงมือทำเสียที ไม่เช่นนั้นข้าจะดูแคลนท่านแล้วนะ!”
นี่มันอันใดกัน!
ใบหน้าจักรพรรดิเซียนอาวุโสแปรเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มทันที
อ้ายฉานผู้นี้ดูเหมือนไม่ได้ขู่ขวัญเล่นละครตบตาหรือเล่นอุบายแสร้งปล่อยเพื่อจับแต่อย่างใด ดูจากท่าทางของนางแล้วราวกับตั้งหน้าตั้งตารอให้ต้าเต๋อตายจริง ๆ!
เขาพูดไม่ออก อดเหลือบไปมองทางต้าเต๋อไม่ได้ คนผู้นี้เป็นตัวอันใดกัน ขนาดพวกเดียวกันก็ต้องการจะสังหารเขา!
“อามิ...ต้าเต๋อฝอ! ข้าพระพุทธผู้ไร้เกศา! อ้ายฉานเจ้าช่างใจร้ายยิ่งนัก ต้องการให้ข้าตาย! ข้าโกรธเจ้าแล้ว!”
ต้าเต๋อมองไปทางอ้ายฉานแล้วตะโกนออกมา “อ้ายฉานเจ้าพูดเช่นนี้แล้ว ครั้งหน้าหากเจ้าตกอยู่ในอันตราย ข้าก็จะไม่ช่วยเหลือเจ้า ทั้งยังจะช่วยซ้ำเติมด้วย!”
“เจ้าโล้นน้อย เจ้าพูดผิดแล้ว ไม่ใช่แค่พี่อ้ายฉานที่อยากเห็นเจ้าตาย พวกข้าเองก็อยากเห็นเจ้าตายเช่นกัน!”
“ใช่แล้ว ๆ! จะว่าไปแล้ว พวกท่านที่อยู่ตรงนั้นมัวรออันใดอยู่ ไม่ลงมือเสียที! พวกท่านเห็นเจ้าโล้นน้อยนั่นแล้วไม่รู้สึกรำคาญบ้างหรือ! รีบตบ ๆ เขาให้ตายเสีย!”
จู้จื่อและเด็กคนอื่น ๆ ต่างก็ตะโกนออกมาพร้อมกัน
พวกเขาเล่นกับอ้ายฉานมาตั้งแต่เด็กจนโต ย่อมต้องเข้าข้างอ้ายฉานเป็นธรรมดา
นี่มันอันใดกัน!
เหล่าจักรพรรดิเซียนอาวุโสหลายคนต่างตกอยู่ในความยุ่งเหยิง การข่มขู่ในครั้งนี้ของพวกเขาดูเหมือน...จะไม่ได้ผล?
“เด็กน้อยเหล่านั้นล้วนไม่รู้ความ แม่นางเล่า ท่านคิดเห็นเช่นไร?”
จักรพรรดิเซียนอาวุโสเบนสายตาไปหาลั่วสุ่ย ภายในใจคิดว่าอ้ายฉานกับเด็กคนอื่น ๆ อาจขัดแย้งกับต้าเต๋อ ทำให้ไม่สนใจความเป็นตายของต้าเต๋อ แต่ผู้ใหญ่อย่างลั่วสุ่ยไม่น่าจะทำตัวไม่สนใจความเป็นตายของต้าเต๋อได้!
อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคิดผิดอีกครั้ง
“ไม่มีการเจรจาอันใดทั้งนั้น พวกเจ้าเอ่ยอยากสังหาร ก็จงสังหารเสีย”
ลั่วสุ่ยเอ่ยเสียงเรียบ
นางอยู่ข้างกายคุณชายมาโดยตลอด รู้ดีเป็นอย่างยิ่งว่าคุณชายมองต้าเต๋อในแง่ดีถึงเพียงใด ทั้งยังเคยเอ่ยออกมาหลายครั้งว่า ในอนาคตต้าเต๋อจะต้องเติบโตขึ้นมาเป็น ‘ฝอ’ ที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน
ตัวตนของคุณชายคือสิ่งใด หนึ่งคำกำหนดความเป็นตาย หนึ่งคำเพิกเฉยต่อกาลและมิติ หนึ่งคำฟ้าดินสดับรับฟัง เช่นนั้นแล้วจักรพรรดิเซียนอาวุโสตระกูลเซียวจะสามารถสังหารต้าเต๋อได้อย่างไร...
นางไม่ได้กล่าวเกินจริงแต่อย่างใด แม้จักรพรรดิเซียนอาวุโสตระกูลเซียวจะผลาญแก่นกำเนิดชีวิตของตนเอง ก็ยังไม่อาจทำร้ายต้าเต๋อได้
นางไม่มีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของต้าเต๋อเลยแม้แต่น้อย
กลับกัน หากเหล่าจักรพรรดิเซียนอาวุโสเหล่านี้ต้องการจะลงมือสังหารต้าเต๋อจริง ๆ จักพรรดิเซียนอาวุโสเหล่านี้เกรงว่าจะต้องประสบกับการสูญเสียครั้งใหญ่เสียเอง
“หยุดเถิด พวกเจ้าข่มขู่พวกข้าเช่นนี้ไม่ได้หรอก”
หลิงอินเองก็ทะยานขึ้นมาด้านข้างลั่วสุ่ย มองไปทางจักรพรรดิเซียนอาวุโสตระกูลเซียวด้วยความสงบนิ่ง
“เป็นเช่นนั้นจริง”
เซี่ยเหยียนเองก็ตามมาพร้อมกล่าวอย่างเรียบเฉย
“นี่มัน...ไม่ได้ผลจริงหรือ!?”
เส้นเลือดบนหน้าผากของจักรพรรดิเซียนอาวุโสตระกูลเซียวกระตุก ภายในใจเต็มไปด้วยโทสะ
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ตอนต้าเต๋อทะยานมาหาพวกเขา ไม่มีผู้ใดพยายามห้ามหรือรั้งต้าเต๋อเอาไว้ เพราะพวกลั่วสุ่ยไม่มีผู้ใดเลยที่เป็นห่วงความเป็นตายของต้าเต๋อ!
เขามองต้าเต๋ออย่างเกลียดชัง หัวใจและปอดราวกับใกล้จะระเบิดออกมา
เดิมทีคิดว่าต้าเต๋อจะกลายมาเป็นเบี้ยในมือพวกเขา สามารถใช้เป็นไพ่ตายได้ แต่ความจริงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย เห็นได้ชัดว่าต้าเต๋อเป็นเพียงผู้ที่ถูกทอดทิ้ง ไม่มีประโยชน์อันใดแม้แต่น้อย!
“สัตว์โลกย่อมทุกขัง สัตว์โลกย่อมทุกขัง เฮ้อ!”
พระอมิตาภะพุทธเจ้าถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พลางท่องออกมา ต้าเต๋อถูกทิ้งเช่นนี้ ย่อมนับเป็นทุกขัง สร้างความเศร้าโศกเป็นอย่างยิ่ง
สีหน้าท่าทางของจักรพรรดิเซียนอาวุโสคนอื่น ๆ ก็แปลกประหลาดเป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน
อ้ายฉานและเด็กคนอื่นพอว่า ไม่สนใจชีวิตของต้าเต๋อก็แล้วไปเถิด สามารถเข้าใจได้ว่าพวกนางยังเด็กนัก แต่ลั่วสุ่ยกับผู้ใหญ่คนอื่น ๆ ยังคงพูดเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าต้าเต๋อไม่มีค่าแต่อย่างใด...
แผนการของพวกเขาที่จะนำต้าเต๋อมาใช้ข่มขู่ไม่สำเร็จ ทั้งยังล้มเหลวไม่เป็นท่า
“เจ้าดูเสียว่าตนเองเป็นสิ่งใดกันแน่? ทุกคนล้วนเกลียดชังเจ้า ต่างต้องการใช้เจ้าตายเร็วยิ่งขึ้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออันใดกัน!”
จักรพรรดิเซียนอาวุโสตระกูลเซียวยิ่งมองต้าเต๋อก็ยิ่งโกรธมากขึ้นจนต้องสบถสาปแช่งออกมา
“ไร้สาระ!”
ต้าเต๋อถลึงตาจ้องกลับไปยังจักรพรรดิเซียนอาวุโสตระกูลเซียว “ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ยังเด็กยิ่งกว่าตาแก่อย่างเจ้า! อย่างไรเสียข้าก็ยังอยู่ในช่วงวสันตฤดู*[1]!”
อยู่ในช่วงวสันตฤดู?
ช่วงวสันตฤดูบ้าบออันใดกัน!
เด็กน้อยที่ไม่มีผมแม้สักเส้น จะเอาวสันตฤดูมาจากที่ใดกัน!
หลังจากได้ยินคำพูดของต้าเต๋อ จักรพรรดิเซียนอาวุโสตระกูลเซียวก็พลันโกรธยิ่งกว่าเดิม
เขายกมือที่จับไหล่ต้าเต๋อขึ้นมาตบไปที่หัวโล้น ๆ ทันที!
“ข้าจะทำกุศลโดยการส่งเจ้าไปตามทางเดินเอง จะได้กำจัดความรำคาญให้ทุกคน!”
เขายิ้มเหยียดหยัน ฝ่ามือนั้นเต็มไปด้วยประกายแสงน่าหวาดกลัว หากเขาตบโดนหัวต้าเต๋อเข้าจริง ๆ ต้าเต๋อจะต้องกลายเป็นก้อนเนื้ออย่างแน่นอน!
ระหว่างนี้ เขายังลอบสังเกตการเคลื่อนไหวของพวกลั่วสุ่ย
เขายังไม่อยากเชื่อว่าพวกลั่วสุ่ยจะไม่สนใจความเป็นตายของต้าเต๋อจริง ๆ!
เหล่าจักรพรรดิเซียนคนอื่น ๆ ก็ต่างพากันมองดูด้วยสายตาเย็นชา พวกเขาเองก็ให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของพวกลั่วสุ่ย ไม่สนใจจริง ๆ หรือ? พวกเขาไม่เชื่อ!
“หยุด!”
พระอมิตาภะพุทธเจ้าตะโกนออกมา เขาต้องการเข้าไปหยุดยั้ง ทว่ายังไม่ทันได้เคลื่อนไหว ก็มีพลังระเบิดออกมากักขังเขาเอาไว้ อย่าว่าแต่จะลงมือเลย กระทั่งพูดเขาก็ทำไม่ได้!
ทว่าสิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับจักรพรรดิเซียนอาวุโสทั้งหลายก็คือ พวกลั่วสุ่ยนั้นยังคงไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างใด!
อ้ายฉานกับพวกเด็ก ๆ ยังตบมือร้องว่าดีเสียด้วยซ้ำ!
ต้าเต๋อได้รับความชื่นชอบเอ็นดูจากคุณชายเป็นอย่างมาก กระทั่งเอ่ยปากเป็นพรปกป้องเขาเอาไว้ เช่นนั้นแล้ว จักรพรรดิเซียนตระกูลเซียวจะสังหารต้าเต๋อได้อย่างไร?
เหอ เหอ เกรงว่ากระทั่งยอดฝีมือสูงสุดในแดนบรรพโกลาหลก็ยังไม่สามารถแตะต้องต้าเต๋อได้!
อ้ายฉานและเด็กคนอื่น ๆ ก็ตระหนักได้ถึงจุดนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นพวกเขาจึงเฉยเมยเป็นอย่างมาก
หากไม่ได้เป็นเช่นนี้ พวกอ้ายฉานก็คงไม่แสดงท่าทางแบบนี้ แม้อ้ายฉานกับต้าเต๋อจะไม่ถูกกัน แต่ก็ล้วนเป็นแค่การทะเลาะกันตามประสามิตรภาพอันดีงามระหว่างเด็ก ๆ ถ้าหากชีวิตของต้าเต๋อตกอยู่ในอันตรายจริง ๆ อย่างไรเสียอ้ายฉานก็จะต้องเข้าไปช่วยต้าเต๋อแบบไม่คิดชีวิตตัวเอง
พวกลั่วสุ่ยเองก็เช่นเดียวกัน!
ฟังดูแล้วเหมือนเป็นเรื่องล้อเล่น แต่ถ้าหากมีใครคนใดในหมู่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับอันตรายระดับความเป็นตายจริง พวกเขาก็พร้อมเข้าไปช่วยเหลืออย่างไม่คิดชีวิต นับได้ว่าพวกเขาต่างมีความสัมพันธ์ระดับที่สามารถมอบความเป็นตายให้กันได้!
‘ข้าไม่เชื่อว่าจะไม่ลงมือช่วยเหลือจริง ๆ’
จักรพรรดิเซียนผู้อาวุโสคิดขึ้นมาอย่างเย้ยหยัน เขาคิดว่าพวกลั่วสุ่ยเพียงแค่กำลัง ‘เล่นพนัน’ กับพวกเขาอยู่ เขารู้สึกว่าพวกลั่วสุ่ยไม่ได้ไร้เยื่อใยถึงเพียงนั้น!
และขอเพียงแค่พวกลั่วสุ่ยเอ่ยปาก พวกเขาก็จะมีช่องท่างในการเจรจา!
มือของเขาเปี่ยมด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัวค่อย ๆ เคลื่อนเข้าหาหัวของต้าเต๋อ
ทว่าเมื่อมือของเขากำลังจะสัมผัสโดนหัวของต้าเต๋อ ก็พลันเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้น!
ตู้ม!
ความว่างเปล่าพลันเกิดแรงสะเทือนหนัก กฎเกณฑ์อันเกินกว่าจะคิดจินตนาการถึงพุ่งออกมาจากบนท้องฟ้าเหนือพวกเขา ทำให้ดินแดนแกนกลางเดือดพล่านขึ้นทันที เสียงระเบิดดังสะเทือนเลือนลั่นทั่วท้องนภา!
ภาพอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้เกิดขึ้นที่ดินแดนแกนกลาง ก่อนจะแผ่กระจายไปทั่วภพเซียนอย่างรวดเร็ว ปกคลุมทั่วทั้งภพเซียนในพริบตาเดียว!
แรงกดดันอย่างถึงที่สุดกระเพื่อมออกมาระลอกแล้วระลอกเล่า สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในภพเซียนต่างตื่นตกใจหวาดผวา พากันทรุดลงไปกับพื้นอย่างไม่อาจต้านทาน!
จักรพรรดิเซียนอาวุโสเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ขนบนร่างกายของพวกเขาลุกชัน ภายในใจสัมผัสได้ถึงความอันตรายเป็นอย่างยิ่ง!
“เหตุใดจึงรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง...”
ประมุขตระกูลเซียวสั่นสะท้านไปทั้งตัว เขารู้สึกว่าฉากที่พบเห็นนั้นช่างดูคุ้นเคยอยู่บ้าง!
ความรู้สึกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงกับเขาเท่านั้น จักรพรรดิเซียนอาวุโสคนอื่น ๆ เองก็รู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้างเช่นเดียวกัน
ในไม่ช้า พวกเขาก็เข้าใจว่าความรู้สึกคุ้นเคยนี้มาจากที่ใด
เหนือศีรษะของพวกเขาขึ้นไป ปรากฏแหล่งกำเนิดของพลังกดดันมหาศาล ที่ตรงนั้นมีเงาร่างหนึ่งค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นมา
นี่คือร่างอันคลุมเครือที่สร้างขึ้นมาจากกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ทันทีที่ปรากฏขึ้นก็แผ่ลมหายใจสูงสุดออกมา ชวนให้หัวใจสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว ไม่อาจหาญกล้าเข้าไปยั่วยุแม้แต่น้อย!
“เป็นคนผู้นั้น!”
“พวกเขาเกี่ยวข้องกับคนผู้นั้นหรือ?!”
จักรพรรดิเซียนอาวุโสทั้งหมดต่างหวาดกลัว แม้ร่างจะพร่าเลือนไม่อาจเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจน แต่พวกเขาก็สามารถจำได้ตั้งแต่แวบแรกที่เห็น นี่คือตัวตนที่ไร้ผู้เทียบเคียง กระทั่งจักรพรรดิเซียนก็เป็นเพียงแค่เศษธุลีเบื้องหน้าของคนผู้นี้ เพียงแค่หนึ่งวาจาก็ทำให้พลังทั้งหมดของจักรพรรดิเซียนสูญสิ้นลงได้!
พวกเขาต่างรีบพากันหนีด้วยความอลหม่านอย่างไร้ความลังเล ถ้าหากรู้ตั้งแต่แรกว่าพวกลั่วสุ่ยเกี่ยวข้องกับคนผู้นั้น แม้ว่าพวกเขาจะถูกตีจนตายก็ไม่กล้าตีพวกลั่วสุ่ยกลับโดยเด็ดขาด
อันที่จริงพวกเขาควรจะคิดถึงเรื่องนี้ได้ตั้งนานแล้ว พลังในร่างกายของลั่วสุ่ยนั้นเหนือชั้นไม่ธรรมดา ห่างไกลจากนิรันดร์เป็นอย่างยิ่ง พลังเช่นนี้จะสามารถปรากฏขึ้นโดยบังเอิญได้อย่างไร พวกเขาควรจะคิดเรื่องนี้ให้ได้เร็วกว่านี้!
พวกเขาต่างหนีอย่างสุดชีวิต ทว่าน่าเสียดาย ภายใต้เงื้อมมือของเงาพร่าเลือนนี้ พวกเขาหนีให้ตายอย่างไรก็ไร้ประโยชน์!
เพียงแค่ร่างพร่าเลือนย่ำเท้าลงอย่างแผ่วเบา พลังอันไร้ขอบเขตก็ถูกปลดปล่อยออกมาทันที ไล่ตามเหล่าจักรพรรดิเซียนทั้งหมดไป!
เผละ!
เลือดสาดกระเซ็นทุกหนแห่ง ไม่มีจักรพรรดิเซียนอาวุโสผู้ใดรอดพ้น ร่างกายต่างระเบิดออกกลายเป็นหมอกละอองโลหิต
ต้องใช้เวลานานเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาจึงสามารถรวบรวมร่างกายขึ้นมาใหม่ได้
อีกทั้งลมหายใจของพวกเขาก็อ่อนแอลงเป็นอย่างมาก ถึงขั้นบาดเจ็บสาหัส!
หลังจากนั้นทุกอย่างก็เลือนหายไปกลับสู่ความสงบ กฎเกณฑ์ทั้งหมดถอยกลับ ร่างที่เลือนรางก็จางหายไป
ความตื่นตะหนกปรากฏขึ้นในใจของสิ่งมีชีวิตทุกตนในภพเซียน!
[1] วสันตฤดู (当春) หมายถึง ช่วงวัยที่ความรักผลิบาน เทียบแล้วก็ประมาณเป็นช่วงวัยแรกรุ่น
ฟังจบแล้วถ้าใครอยากสนับสนุนช่องโดเนท ให้ช่องของเราเดินหน้าต่อได้เร็วขึ้น หรืออยากขอนิยาย
ช่องทางสนับสนุนช่องอยู่ใต้ลิงค์คลิปชั่นนะครับ