686-690

ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่นิยายระบบ ก่อนที่จะรับฟังช่วยกดไลค์และกด subscribe เป็นกำลังใจด้วยนะครับ
นิยายเสียง อยู่ดีดีข้าก็เป็นเซียน
บทที่ 686ถึง 690


ฟังเรื่องราวของมันรึ?


เมื่อเจ้าหลวงได้ยินคำบอกของจ้าวแห่งรัตติกาล ก็พลันขมขื่นใจขึ้นมาในบัดดล


มันไม่อยากกล่าวถึง…เครื่องใช้ประจำวันเหล่านั้นอีกแล้ว!


ลำพังแค่คิดยังช้ำใจแทบแย่ ตรอมตรมเป็นที่สุด


ทว่าจ้าวแห่งรัตติกาลออกปากแล้ว มันไฉนเลยจะกล้าไม่เชื่อฟัง เล่าทุกอย่างให้ฟังแต่โดยดี มิกล้าปิดบังแม้แต่น้อย


เริ่มตั้งแต่หลิงอินพาเสี่ยวหยาบุกเข้ามาในนครพิศวงที่เขาสร้างขึ้น จนต่อมา มันหนีไปฝากตัวกับจ้าวตะเข้ และสุดท้ายได้ไปหาจ้าวหลาน เหตุการณ์ยิบย่อยที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นมันก็เล่าให้ฟังจนหมด


“เครื่องใช้ประจำวันจำนวนหนึ่งงั้นหรือ?”


จ้าวแห่งรัตติกาลหรี่ตาลงเล็กน้อย สนอกสนใจในเครื่องใช้ประจำวันที่เจ้าหลวงเล่าให้ฟังอย่างมาก


จากที่เจ้าหลวงกล่าวมา เครื่องใช้ประจำวันเหล่านี้ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง


ทว่าผู้ใดกันจะว่างขนาดประดิษฐ์เครื่องใช้ประจำวันเหล่านี้ขึ้นมา


ไม่ต้องคิดให้มากความก็รู้ว่า ผู้ที่ประดิษฐ์เครื่องใช้ประจำวันเหล่านี้ไม่ธรรมดาแน่นอน คงมีวัสดุหายากอยู่ล้นหลาม


เพราะอย่างนั้นถึงไม่เห็นวัสดุหายากเช่นนี้เป็นเรื่องใหญ่ รังสรรค์เครื่องใช้ประจำวันด้วยวัสดุเหล่านี้ได้โดยไม่คิดมาก ถือเสียว่าเป็นของเล่น


‘น่าสนใจ!’


มันคิดในใจ เริ่มหมายตาเจ้าของผู้อยู่เบื้องหลังเครื่องใช้ประจำวันเหล่านี้


ความจลาจลใกล้มาเยือน มันจะทำการใหญ่ สิ่งที่ขาดแคลนที่สุดก็คือยอดฝีมือ หากชักชวนเจ้าของผู้อยู่เบื้องหลังเครื่องใช้ประจำวันเหล่านี้มาได้ มันย่อมได้กำลังพลอันทรงพลังมาเพิ่มอีกหนึ่ง


‘แต่จะว่าไป เจ้าหลวงผู้นี้อาภัพยิ่งนัก สหายและพี่น้องที่ได้เจอกับมัน ต่างพบจุดจบน่าอนาถกันทั้งสิ้น…’


จ้าวแห่งรัตติกาลคิดขึ้นในใจอีกครั้ง ‘หากข้ารับมันไว้เป็นบุตรบุญธรรม จะอาภัพตามมัน โดนมันพาไปตกอับด้วยหรือไม่นะ’


บอกตามตรง ที่มันถามถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาของเจ้าหลวงนั้นเพียงถามไปอย่างนั้น ใช่ว่าห่วงใยอันใดในตัวเจ้าหลวง


หน้าเหมือนบุตรชายของมันที่ตายไปอย่างนั้นหรือ


มันมีบุตรชายที่ไหน!


มันมีเพียงบุตรสาวที่ตายไปแล้วเท่านั้น…


ที่ว่าหน้าเหมือนก็เป็นเพียงข้ออ้างของมันเท่านั้น


มันรับบุตรบุญธรรมด้วยข้ออ้างนี้มาหลายคนแล้ว


‘ไม่ต้องกลัว บุตรบุญธรรมที่ข้ารับไว้ ก็ไม่มีผู้ใดมีชีวิตรอดเช่นกัน!’


มันคิดในใจ มิได้เกรงกลัวว่าเจ้าหลวงจะนำพาความโชคร้ายมาให้


เพราะเชื่อว่าตัวมันนั้นดวงแข็ง เจ้าหลวงข่มดวงมันมิได้


อีกอย่าง ผู้ที่กลายมาเป็นบุตรบุญธรรมของมันต่างหากที่อาภัพ นั่นเป็นชะตากรรมที่ต้องตายแน่แล้ว


บรรดาบุตรบุญธรรมที่มันรับไว้ทั้งหมดล้วนเป็น ‘เครื่องมือ’ ของมัน ช่วยปฏิบัติภารกิจที่อันตรายถึงขีดสุดจนอาจไม่มีชีวิตรอดแทนมัน


อย่างเช่นเจ้าหลวง


มันรับเจ้าหลวงไว้เป็นบุตรบุญธรรม ก็เพื่อให้เจ้าหลวงไปสอดแนมที่ภพเซียน!


ภายภาคหน้าจะกลายเป็นกลียุค มันจำต้องแข็งแกร่งกว่านี้ จึงหมายตาภพเซียน คิดจะรุกรานยึดครองภพเซียน เปลี่ยนสิ่งมีชีวิตในนั้นให้กลายเป็นสมาชิกในนครพิศวงของมัน


ตำแหน่งภพเซียนนั้นหายากยิ่ง สิ่งมีชีวิตที่ทราบตำแหน่งนั้นมีเพียงหยิบมือ ทว่าสุดท้ายมันก็หาตำแหน่งภพเซียนเจอจนได้


เดิมมันคิดจะยกทัพเข้าไปทันที กลับพบว่ารอบนอกภพเซียนมีพลังบางอย่างปกคลุมไว้ มันไม่กล้าผลีผลาม คิดจะสอดแนมจนรู้ตื้นลึกหนาบางแล้วค่อยลงมือ


พอดีกับที่เจ้าหลวงมาถึง มันจึงคิดจะใช้อีกฝ่าย ต้องการส่งเจ้าหลวงไปสอดแนม!


“บุตรชายของข้า ประสบการณ์ของเจ้าชวนให้เศร้าโศกน้ำตาไหลเสียจริง! ไม่ได้การ บัดนี้ เจ้าเป็นบุตรบุญธรรมของข้าแล้ว บิดาบุญธรรมอย่างข้าไฉนเลยจะเพิกเฉยไหว”


จ้าวแห่งรัตติกาลตบบ่าเจ้าหลวง “วางใจเถิด พ่อจะจับเครื่องใช้ประจำวันเหล่านั้นมาให้เจ้าจัดการตามที่ต้องการ!”


“เราไม่ไปข้องแวะกับพวกมันแล้วได้หรือไม่”


เจ้าหลวงเอ่ยเสียงขึ้นจมูก มันผวาแล้วจริง ๆ


ต้องพ่ายแพ้ให้กับเจ้าพวกเครื่องใช้ประจำวันครั้งแล้วครั้งเล่า มันมีแผลใจไปหมดแล้ว ไม่อยากยุ่งเกี่ยวอันใดกับเหล่าเครื่องใช้ประจำวันอีก


“นี่เจ้าไม่เชื่อใจในพลังของพ่อหรือ” จ้าวแห่งรัตติกาลเอ่ยเสียงเข้ม


“เชื่อ เชื่อ!” เจ้าหลวงรีบบอก มิกล้าโต้แย้งอันใด


หากทำให้จ้าวแห่งรัตติกาลขุ่นเคืองจริง ๆ มันคงโดนบดขยี้ตายได้ง่าย ๆ


“เชื่อก็ดี”


จ้าวแห่งรัตติกาลหัวเราะ “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจ พ่อจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเอง เจ้าบำเพ็ญวิชาของตนให้ดีก็พอ ในฐานะบุตรบุญธรรมของพ่อ ขอบเขตพลังของเจ้าในตอนนี้ต่ำเกินไป พ่อหวังว่าเจ้าจะเก่งขึ้นได้ไว ๆ”


มันต้องการให้เจ้าหลวงไปสอดแนมที่ภพเซียนโดยด่วนที่สุด นครพิศวงใหญ่อื่น ๆ ก็มิได้ธรรมดา เกรงว่าคงเพ่งเล็งภพเซียนกันหมด ผู้ใดชักช้า อาจไม่เหลือแม้แต่เศษเล็กเศษน้อยที่ตกถึงท้อง


กลียุคใกล้มาเยือน ผู้ใดมีกองกำลังแกร่งกล้ากว่า ผู้นั้นย่อมได้เปรียบกว่า!


“ขอรับท่านพ่อบุญธรรม!”


เจ้าหลวงปีติยินดี ขอเพียงมันไม่ต้องไปก็พอ มันไม่ต้องการพบหน้าเครื่องใช้ประจำวันเหล่านั้นอีกแล้ว


ขณะเดียวกัน น้ำตาของมันหลั่งริน ซาบซึ้งใจเหลือแสน


เหมือนโชคหล่นทับมันอย่างแท้จริง ถึงได้พานพบบิดาบุญธรรมที่ดีกับมันถึงเพียงนี้!


ตอนนี้ มันเห็นจ้าวแห่งรัตติกาลเป็นเหมือนบิดาของมันจริง ๆ!


“ท่านพ่อบุญธรรม ไม่ว่าอนาคตเป็นเช่นไร ข้าจะติดตามท่านพ่อบุญธรรมตลอดไป อยู่ใต้บัญชาท่านพ่อบุญธรรม ไม่มีทางแปรใจเป็นอื่น!”


มันกล่าวต่อจ้าวแห่งรัตติกาลอย่างขึงขัง


“ดี ๆๆ! พ่อมีบุตรชายอย่างเจ้า พ่อดีใจมากจริง ๆ!”


จ้าวแห่งรัตติกาลตบบ่าเจ้าหลวงด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถิด สาย ๆ พ่อจะไปหา ช่วยวางแผนเพิ่มความแข็งแกร่งให้เจ้าอย่างเข้มงวด”


“ขอบคุณท่านพ่อบุญธรรม!”


เจ้าหลวงกล่าวขอบคุณจ้าวแห่งรัตติกาลรัว ท้ายที่สุดก็ไปจากที่นี่


หลังเจ้าหลวงออกไป จ้าวแห่งรัตติกาลก็เอ่ยขึ้นเบา ๆ “ฝูถูอยู่ที่ใด ออกมาพบข้า”


จากนั้น ลมหายใจต่อมา ร่างพิศวงร่างหนึ่งเหินเข้ามา คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าจ้าวแห่งรัตติกาลอย่างนอบน้อม


“ข้าขอสั่งให้เจ้าไปคัดเลือกกำลังพลมาจำนวนหนึ่ง ไปยังอาณาจักรอวี้ซวี พาตัวเครื่องใช้ประจำวัน รวมถึงเจ้าของผู้อยู่เบื้องหลังเครื่องใช้ประจำวันกลับมาพบข้า!”


มันหันไปออกคำสั่งของร่างพิศวงนั้น หรือก็คือฝูถู


มันให้ความสำคัญต่อเจ้าของผู้อยู่เบื้องหลังเครื่องใช้ประจำวันเหล่านี้มาก มิได้สบประมาทหรือชะล่าใจแม้แต่น้อย


ฝูถูเป็นกำลังพลสำคัญตนหนึ่งในนครพิศวงของเขา พลังที่มีนั้นเทียบชั้นว่าที่จักรพรรดิเซียนได้เลย หากได้ยืมพลังพิศวงลางร้ายแล้วเปล่งอานุภาพเต็มเปี่ยม สามารถต่อสู้กับจักรพรรดิเซียนได้แน่นอน


“รอก่อน ข้าจักประทานกระถางมารคลั่งคลุมเวหาให้เจ้าด้วย นี่คือกระถางสัมฤทธิ์ที่ร่วงออกมาจากแดนกำเนิดพิศวงลางร้าย มีพลังล้นหลามไม่อาจวัดได้ อาวุธจักรพรรดิเซียนก็มิอาจเทียบเทียม!”


จ้าวแห่งรัตติกาลรู้สึกว่ายังไม่พอ เรียกกระถางสี่ขาขนาดเล็กออกมาอีกอัน แล้วส่งไปให้ฝูถู


กระถางสี่ขาขนาดเล็กนี้ใหญ่ไม่เท่าฝ่ามือด้วยซ้ำ ทว่าภายในกระถางมีพลังพิศวงลางร้ายลึกล้ำเกินหยั่งไหลเวียนอยู่ มองเพียงปราดเดียวก็ชวนให้อกสั่นขวัญแขวน สะท้านไปทั้งวิญญาณ


แน่นอนว่า ชื่อกระถางมารคลั่งคลุมเวหาเป็นชื่อที่จ้าวแห่งรัตติกาลตั้งขึ้นเอง มันไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วกระถางนี้มีนามว่าอันใด


“รับบัญชาท่านจ้าว!”


ฝูถูรับกระถางมารคลั่งคลุมเวหามา แล้วตอบเสียงนอบน้อม ก่อนจะไปจากที่นี่ รุดหน้าไปรวมกำลังพล เตรียมบุกไปยังอาณาจักรอวี้ซวี


“เหตุใดจู่ ๆ ข้าถึงสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาได้…”


หลังฝูถูไปแล้ว จ้าวแห่งรัตติกาลหัวใจกระตุกวูบอย่างแปลกประหลาด มันเอ่ยขึ้นอย่างอดมิได้ “เจ้าหลวงอะไรนั่นคงไม่ได้ข่มดวงข้าจริง ๆ กระมัง!”


แต่เพียงไม่นานมันก็ตั้งสติขึ้นได้ แล้วปัดตกความคิดนั้นไป


มันไฉนเลยจะถูกเจ้าหลวงข่มดวงเอา!


น่าขัน!


“หากฝูถูล้มเหลว อย่างมาก…ข้าก็ถอดใจ”


มันเอ่ยต่อในใจ แลดูไม่มั่นใจเท่าใด


เมื่อพลังสูงถึงระดับมันแล้ว ไม่ว่าลางสังหรณ์ใดก็มิใช่ว่าจะโผล่ออกมาพรวดพราด ที่มันเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นมา น่ากลัวว่าอาจเพราะจะมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นจริง ๆ


มันรู้สึกว่าควรวางแผนให้รัดกุม หากฝูถูที่มีกระถางมารคลั่งคลุมเวหาไปด้วยยังล้มเหลว มันก็ตัดสินใจว่าจะไม่ดึงดัน ล้มเลิกแผนการเกี่ยวกับพวกนั้น


...


ณ ดินแดนหยิน เหยียนโจว แดนทักษิณทิศ


เวลาผ่านไปพักใหญ่ สัตว์อสูรทั้งเก้าลากรถจนท่องไปทั่วแดนบูรพาทิศตามคำสั่งของหลี่จิ่วเต้า จนมาอยู่ในแดนทักษิณทิศซึ่งอยู่ข้างเคียงกัน


ระหว่างทาง สัตว์อสูรทั้งเก้าได้รับประโยชน์ไม่น้อย ขอบเขตพลังสูงขึ้นกว่าเก่ามาก บัดนี้ พวกมันทั้งหมดล้วนก้าวสู่ขอบเขตจักรพรรดิ กลายเป็นอสูรจักรพรรดิ!


คุณชายให้อาหารพวกมันอยู่บ่อย ๆ บางครั้งคุณชายก็จะบรรเลงเพลงฉินให้ฟังด้วย ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกมันอยากจะบรรลุช้ายังมิได้


ขอบเขตพลังของพวกเด็ก ๆ อย่างต้าเต๋อและอ้ายฉานก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีกในเวลานี้ พวกเขาต่างก้าวสู่ขั้นเทียนตี้ และต้าเต๋อกับอ้ายฉานยังได้เป็นอันดับหนึ่งของเพื่อน ๆ ที่ก้าวสู่ขอบเขตเซียนไปครึ่งขา อีกเพียงก้าวเดียวก็จะได้บรรลุเป็นเซียนแล้ว


อันหลานเสวี่ยก็ยกระดับพลังขึ้นมาก แม้จะยังไม่ถึงขั้นเทียนตี้ กระนั้นก็ก้าวสู่ขั้นตี้จวินแล้ว ห่างเพียงขั้นเดียวจากระดับเทียนตี้


เสี่ยวหยาและพี่ชายของนางก็พากันก้าวสู่ขั้นเทียนตี้แล้วเช่นกัน การได้อยู่กับคุณชายทุกคืนวันเช่นนี้ได้รับประโยชน์มหาศาลจริง ๆ มหาศาลจนพวกนางจินตนาการไม่ออก!


จิ้งจอกน้อยสีแดงเพลิงและจิ้งจอกขาวก็ยกระดับพลังได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน พวกนางสองตัว ตัวหนึ่งก้าวสู่ขอบเขตสูงสุด อีกตัวก้าวสู่ขอบเขตมหาจักรพรรดิ พวกนางสองตัวรู้สึกเหมือนฝันไป ดูมิใช่ความจริงจนพวกนางยากจะเชื่อได้ลง!


ก่อนหน้านี้ ขอบเขตพลังของพวกนางทั้งสองต่ำต้อยจนทนดูแทบมิได้ ไม่ถึงขอบเขตนักบุญด้วยซ้ำ


ส่วนลั่วสุ่ย เซี่ยเหยียน และหลิงอินสามคนยิ่งมีขอบเขตสูงขึ้นไปอีกในบัดนี้ เหนือขอบเขตเซียนขึ้นไปได้นานแล้ว


โดยขอบเขตพลังของลั่วสุ่ยนั้นสูงที่สุด ตีโค้งแซงขึ้นมาได้ บัดนี้ นางเป็นถึงราชันแห่งเซียนตนหนึ่งแล้ว!


ก่อนหน้านี้ หลิงอินคือผู้ที่มีขอบเขตพลังสูงที่สุดมาโดยตลอด แต่ถึงอย่างไร ลั่วสุ่ยก็อยู่เคียงข้างคุณชายอยู่ตลอด ทั้งพรสวรรค์ ทั้งพลังกายเนื้อ ล้วนอยู่ในระดับที่สมบูรณ์แบบเกินหยั่งไปแล้ว หลิงอินถูกแซงขึ้นไปได้


หลิงอินในตอนนี้เป็นจ้าวแห่งเซียนตนหนึ่ง


เซี่ยเหยียนมีขอบเขตพลังต่ำที่สุดมาแต่ไหนแต่ไรในบรรดาทั้งสามคน บัดนี้ก็ยังคงเดิม ไล่ตามลั่วสุ่ยและหลิงอินไม่ทัน


นางในตอนนี้เป็นเซียนสมบูรณ์ตนหนึ่ง


ขณะที่บรรลุเซียน พวกนางต่างทึ่งกันหมด ชักนำสสารนิรันดร์เข้าร่าง ไม่ถูกกาลเวลากัดกร่อนอีกต่อไป มีอายุขัยเป็นนิรันดร์ นี่ต่างหากที่เรียกว่า เซียนอย่างแท้จริง!


หากอยู่เป็นนิรันดร์มิได้ ต่อให้มีพลังระดับเซียนก็เท่านั้น ถือเป็นเซียนเทียม อย่างเช่นปลามังกร


ทว่ายามพวกนางบรรลุเซียน กลับมิได้รู้สึกถึงสสารนิรันดร์แต่อย่างใด


พวกนางรู้สึกถึงสสารที่อัศจรรย์กว่านั้น เหนือชั้นกว่าความนิรันดร์ แม้แต่สสารโกลาหลที่เป็นต้นกำเนิดของทุกสิ่งยังเทียบมิได้!


ในลานคุณชายมีหินโกลาหลอยู่ก้อนหนึ่ง พวกนางสัมผัสได้ว่าสสารชนิดนี้เมื่อเทียบกับสสารโกลาหลแล้วเป็นอย่างไร


‘นี่คือสสารที่คุณชายประทานให้!’


พวกนางต่างตระหนักดี


สสารที่อัศจรรย์ยิ่งกว่าสสารโกลาหลนี้ ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับคุณชาย!


สสารชนิดนี้มหัศจรรย์เกินไป เกินกว่าขอบเขตความรู้ของพวกลั่วสุ่ย นี่คือสสารใหม่เอี่ยม พวกนางไม่รู้เลยว่ามาจากที่ใด


ทว่าสิ่งที่พวกนางแน่ใจได้คือ ทั้งหมดนี้ต้องเกี่ยวข้องกับคุณชายแน่นอน มิฉะนั้น พวกนางไฉนเลยจะนำร่องสสารสูงส่งอัศจรรย์เยี่ยงนี้มาได้


เป็นไปมิได้เลย!


เพียงแต่พวกนางขอบเขตต่ำต้อยเกินไป ไม่อาจทราบถึงวิธีการของคุณชาย


พวกนางรู้สึกว่าหลังสสารอัศจรรย์นี้เข้าสู่ร่างกาย ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแตกต่างไปจากเดิม หากได้เจอะเจอกำลังรบระดับเดียวกันในภพเซียน พวกนางเอาชนะได้สบาย ๆ ไม่น่านำมาเทียบกันสักนิด


ทิวทัศน์ต่างแดน ให้อภิรมย์ไปอีกแบบ


หลี่จิ่วเต้ามองทัศนียภาพที่ไม่เหมือนกับเคย ๆ แล้วอารมณ์เบิกบานยิ่ง


“ด้านหน้ามีทะเลสาบ เราหยุดพักตรงนั้นกันเถิด”


เขาเห็นทะเลสาบขนาดใหญ่ข้างหน้า ด้านในต้องมีปลาอยู่จำนวนมาก จึงอยากไปตกปลา


ระยะหลังนี้เขาแทบไม่ได้ตกเลย ลั่วสุ่ยแทบจะไม่เหลือเสบียงอยู่แล้ว


ปลามังกรที่นำมาจากบ้านก็โดนกินไปนานแล้ว


เขาอยากตกปลามาตากแห้ง ให้ลั่วสุ่ยกินเป็นขนมระหว่างทาง


‘ไม่รู้ว่าที่นี่จะตกปลามังกรได้หรือไม่…’ หลี่จิ่วเต้าคิดในใจ


ลั่วสุ่ยกินปลาชนิดอื่นไม่มีความสุขเท่ากินปลามังกรอย่างเห็นได้ชัด ดูท่า นางคงชอบกินปลามังกรที่สุด


‘รู้อย่างนี้ น่าจะตกปลามังกรมาเยอะ ๆ จากเมืองชิงซาน…’ เขาคิดขึ้นในใจอีกครั้ง


ทว่าตอนนั้น เขามัวยุ่งอยู่กับการเก็บสัมภาระสำหรับเดินทางไกล ไม่มีเวลาตกปลาเท่าใด มิฉะนั้น เขาต้องตกปลามังกรมาให้ลั่วสุ่ยจนพอกินแน่


“อยู่ว่าง ๆ ไม่มีกระไรทำ ข้าสอนพวกเจ้าตกปลาดีกว่า”


ทันใดนั้น หลี่จิ่วเต้าก็คิดขึ้นมาได้ และหันไปบอกกับพวกต้าเต๋อ


การตกปลาช่วยขัดเกลาจิตใจผู้คน คงมีประโยชน์ต่อการฝึกฝนของพวกต้าเต๋อได้บ้าง เขาจึงอยากให้พวกต้าเต๋อเรียนรู้การตกปลาด้วย


“ได้เลย!”


“พวกเราอยากเรียน!”


พวกเด็ก ๆ อย่างต้าเต๋อพากันตอบรับยิ้ม ๆ


นี่เท่ากับได้เรียนรู้ฝีมือจากคุณชายเชียวนะ ย่อมต้องเป็นประโยชน์ต่อพวกเขามหาศาล พวกเขายินดีอย่างยิ่งที่จะเรียน


“เซี่ยเหยียน เจ้าต้องตั้งใจเรียนนะ เจ้าค่อนข้างอารมณ์ร้อน การตกปลาช่วยให้เจ้าอารมณ์เย็นลงได้บ้าง เป็นประโยชน์ต่อตัวเจ้าเช่นกัน” หลี่จิ่วเต้าบอกเซี่ยเหยียน


“หา”


ใบหน้างดงามของเซี่ยเหยียนขมขื่นลงในบัดดล ที่คุณชายว่ามานั้นไม่ผิด นางขาดความอดทนเช่นนั้นจริง ๆ ยากจะนั่งตกปลาอยู่นิ่ง ๆ


“ไปกันเถิด ข้าไปทำไม้ตกปลาให้พวกเจ้าก่อน”


ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม “ตอนเพิ่งมาถึง ข้าเป็นป่าไผ่สี่ฤดูอยู่แห่งหนึ่ง ข้าจะไปตัดไม้ไผ่จากที่นั่นมาทำเป็นไม้”


เขากล่าวต่อ “พวกเจ้าต่างมีพลังกับตัว ไปกลับแห่งหนใดย่อมสะดวก เรื่องเอ็นตกปลาขอมอบหมายให้เป็นหน้าที่พวกเจ้า ยิ่งแข็งแรงทนทานยิ่งดี จริงสิ ลั่วสุ่ยตามพวกเจ้าไปด้วยก็ได้ นางหัดตกปลากับข้ามานาน รู้ว่าเอ็นเช่นไรดีต่อการตกปลา”


“เจ้าค่ะ คุณชาย!” ลั่วสุ่ยตอบเสียงหวาน


“ฮ่า ๆ ถ้าอย่างนั้นเราแยกย้ายกันไปแล้วกัน รอข้าทำไม้ตกปลาเสร็จเมื่อใด เราค่อยไปตกปลาริมทะเลสาบด้วยกัน”


หลี่จิ่วเต้าลุกขึ้นจากไป ป่าไม้ม่วงแห่งนั้นมิได้ไกลจากที่นี่ ส่วนอุปกรณ์จำพวกขวาน เขาก็เก็บเข้าศาสตราบรรจุของไว้แล้ว


“พี่หญิงลั่วสุ่ย เราใช้สิ่งใดทำเป็นเอ็นตกปลาดี!”


หลังคุณชายไปแล้ว อ้ายฉานก็หันไปถามลั่วสุ่ย


“ข้าขอคิดดูก่อน…”


ลั่วสุ่ยขมวดคิ้วพลางกล่าว


“ใช้เอ็นมังกรสิ ข้าว่าใช้เอ็นมังกรดีกว่า!”


เวลานั้น จู้จื่อเอ่ยขึ้น “เอ็นตกปลาที่คุณชายใช้ก็ทำจากเอ็นมังกรมิใช่หรือ”


เขาเห็นเอ็นตกปลาบนไม้ของคุณชาย นึกถึงเอ็นมังกรขึ้นมา


“ไม่ดี มังกรหายสาบสูญไปนานแล้ว เราจะไปหามังกรจากไหน”


อันหลานเสวี่ยได้ยินแล้วส่ายหัวพลางกล่าว


“ใช่แล้ว”


ลั่วสุ่ยเอ่ย “อีกอย่าง ต่อให้ยังมีอยู่จริง ๆ พวกเราก็ไม่สามารถดึงเอ็นพวกมันออกมาตามใจชอบ! เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นดีกว่า”


“ไม่ต้องเปลี่ยน ใช้เอ็นมังกรนั่นแหละ!”


เวลานั้นเอง ‘แท็บเล็ต’ ลอยเข้ามาพร้อมกล่าว “ข้ารู้ว่าที่ใดมีเอ็นมังกร”


“หืม?”

ลั่วสุ่ยตาเป็นประกาย


“มิใช่ว่ามังกรไม่มีอยู่ เพียงแต่ไม่มีอยู่ในอาณาจักรนี้เท่านั้น พวกมันไปอยู่ในอาณาจักรอื่นนานแล้ว”


‘แท็บเล็ต’ กล่าว “พวกมันอยู่ในภพเซียน! ข้ารู้จักสถานที่แห่งหนึ่ง ที่นั่นเป็นสมรภูมิรบ มีมังกรที่ตายไปแล้วอยู่มากมาย เอ็นมังกรพวกมันก็ยังอยู่ นำออกมาได้”


“เช่นนี้ก็ได้!”


ลั่วสุ่ยคลี่ยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนเจ้าส่งพวกเราไปด้วย”


“ได้ แต่ข้าต้องเตือนพวกเจ้าก่อนว่า ที่นั่นอลหม่านมาก” ‘แท็บเล็ต’ กล่าว


จากนั้นมันส่องแสงไปทั่วร่าง หน้ากระจกมีภาพมากมายแวบผ่าน สุดท้ายหยุดนิ่งที่ภพเซียน


สมรภูมิรบที่มันว่านั้นอยู่ในภพเซียน


ที่นั่นเป็นสถานที่ซึ่งมีสสารนิรันดร์หนาแน่นที่สุดในภพเซียน เป็นเหมือนแดนแกนกลางของภพเซียน มีพลังบางอย่างคอยปกปักษ์รักษา โดยปกติอยู่ในสถานะปิดสนิทมาตลอด เปิดออกบ้างเป็นครั้งคราว


และทุกครั้งที่เปิดออก สิ่งมีชีวิตในภพเซียนจักเข้าไปทำศึกแย่งชิง ทุกสิ่งในนั้นล้วนสูงส่ง เป็นที่ล่อตาล่อใจของสิ่งมีชีวิตในภพเซียนทั้งปวง


นอกจากนี้ ภพเซียนอยู่ในสถานะปิดสนิทมาตลอด สสารฝึกตนทั้งหลายมีแต่จะยิ่งใช้ยิ่งน้อย ยิ่งขาดแคลน


โดยเฉพาะสสารนิรันดร์ ในภพเซียนเหลืออยู่เพียงน้อยนิด


เก้ามหาตระกูลแห่งภพเซียนผนึกกำลังกับเผ่าใหญ่ ลัทธิใหญ่อื่น ๆ หมายจะฆ่าล้างสิ่งมีชีวิตตนอื่นในภพเซียน เพื่อลดจำนวนประชากรในภพเซียน และเลี่ยงการสิ้นผลาญของสสารนิรันดร์


นอกจากนี้ พวกเขายังต้องการริดรอนสสารนิรันดร์ในตัวสิ่งมีชีวิตเหล่านี้อีกด้วย เพื่อให้พวกเขามีสสารนิรันดร์ใช้ต่อไป อยู่ยงคงกระพัน


อันที่จริง สสารนิรันดร์ในภพเซียนไม่ถือเป็นสสารนิรันดร์อย่างแท้จริงแล้ว พวกมันเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ไม่อาจอยู่ยงคงกระพันได้อีก


หากเป็นสสารนิรันดร์อย่างแท้จริงดั่งเช่นอดีต ย่อมต้องคงอยู่ไปตลอด ไม่ถูกสิ้นผลาญไปแต่อย่างใด เซียนที่ได้ดูดกลืนสสารนิรันดร์ไปแล้ว ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกกาลเวลากัดกร่อนอีก


ทว่าสสารนิรันดร์ในบัดนี้มิใช่เช่นนั้นแล้ว


จะว่าบัดนี้ก็ไม่ถูก นับแต่ความพิศวงลางร้ายปะทุออกมาในครานั้น สสารนิรันดร์นี้ก็เปลี่ยนไป คล้ายว่าสูญเสีย ‘พลัง’ บางอย่าง ไม่อาจคงอยู่ตลอดกาลได้จริง ๆ จะค่อย ๆ สูญสลายไปทีละน้อย


แม้ว่าการสูญสลายนี้เป็นไปอย่างเชื่องช้า มิได้ต่างไปจากความนิจนิรันดร์มาก กระนั้นก็ยังเสื่อมคลายลงไปอยู่ดี


ภพเซียนปิดผนึกตนเอง หนึ่งเพื่อมิให้ความพิศวงลางร้ายรุกราน สองเพื่อลดความเร็วในการสูญสลายของสสารนิรันดร์


พวกเขาพบว่า ตั้งแต่ภพเซียนปิดผนึกตนเอง สสารนิรันดร์ก็สูญสลายช้าลง และทันทีที่ไปจากภพเซียน ก็จะสูญสลายไวขึ้น


เซียวฮุ่ยในอดีตก็เป็นเช่นนั้น หลังออกจากภพเซียน สสารนิรันดร์ในกายก็ค่อย ๆ สลายหายไป


เพราะอย่างนั้น นับแต่แดนแกนกลางในภพเซียนเปิดออก สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในภพเซียนต่างกรูเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง เกิดการแย่งชิงไปทั่ว


พวกเขาอยู่มานานมาก มิมีผู้ใดต้องการละทิ้งชีวิตอันยืนยาวนี้ ต่างพยายามจะอยู่รอดต่อไป


พวกลั่วสุ่ยได้เห็นภาพในกระจกแล้ว อลหม่านมากจริง ๆ ในนั้นกำลังต่อสู้ดุเดือดกันไปทั่ว


พวกเขาได้เห็นศพมังกร ศพยังมิได้เน่าเปื่อย ราวกับเพิ่งตายไปหยก ๆ แต่ ‘แท็บเล็ต’ บอกพวกเขาว่า มังกรเหล่านี้ตายมามากว่าล้านปีแล้วเป็นอย่างน้อย


“ไปกันเถิด”


พวกลั่วสุ่ยมิได้ลังเล พากันเหินเข้าไปในกระจก


‘แท็บเล็ต’ นั้นอยู่เหนือจินตนาการจริง ๆ ภพเซียนห่างจากอาณาจักรนี้ต่างไม่รู้เท่าไร แต่สำหรับ ‘แท็บเล็ต’ ภพเซียนเสมือนว่าอยู่เพียงอีกด้านของกระจกเท่านั้น พวกลั่วสุ่ยเพิ่งเหินเข้ามาในกระจก ก็มาอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบในภพเซียนทันที


ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!


เสียงระเบิดอันน่ากลัวดังอยู่ทั่วสารทิศ คลื่นพลังสยดสยองถาโถม ทุกตารางนิ้วในสถานที่นี้มีการปะทะเกิดขึ้น สิ่งมีชีวิตทั้งปวงล้วนแย่งชิงกันสุดชีวิต


ทุกสิ่งในสถานที่นี้ ต่างมีสสารนิรันดร์ปกคลุมอยู่เต็มไปหมด หากได้มาในครอบครอง พวกเขาย่อมได้รับประโยชน์มหาศาล!


‘แท็บเล็ต’ ส่งพวกลั่วสุ่ยมาอยู่ที่ศพมังกร และขณะที่พวกเขามาถึง ที่นี่ได้มีสิ่งมีชีวิตจำนวนมากมารวมตัวกันแล้ว ต่างฝ่ายต่างต้องการชิงศพมังกรตัวนี้ไป


ศพมังกรตัวนี้นอนอยู่ที่นี่มานานนับล้านปี เท่ากับว่าถูกสสารนิรันดร์อันเข้มข้น ‘แช่’ มาล้านปี เลือดเนื้อทุกระเบียดนิ้วล้วนมีสสารนิรันดร์มหาศาลเกินหยั่งแฝงอยู่


และนี่ก็เป็นสาเหตุที่หลังผ่านไปล้านปี ศพมังกรตัวนี้ยังไม่เน่าเปื่อย ราวกับเพิ่งตายไปอย่างนั้น


“ถอยออกไป!”


“ไสหัวไปเสีย!”


“ที่นี่เป็นที่ที่พวกเจ้าเข้ามายุ่มย่ามได้รึ?!”


ยอดฝีมือจากมหาตระกูลเหินเข้ามาไม่น้อย พวกเขามาจากคนละฝ่าย และหมายตาศพมังกรกันถ้วนหน้า หมายจะขับไล่สิ่งมีชีวิตที่ทำศึกแย่งชิงอยู่ในที่นี้ออกไปให้หมด


ชั่วขณะนั้น สงครามที่โกลาหลยิ่งขึ้นปะทุอยู่ที่นี่


...


ขณะเดียวกัน ก้อนหินก็เพ่งเล็ง ‘แท็บเล็ต’


“สหายของข้า ไยเจ้าถึงแข็งแกร่งปานนี้!”


ก้อนหินเหินไปอยู่ข้างกาย ‘แท็บเล็ต’ พร้อมหัวเราะพลางกล่าวกับ ‘แท็บเล็ต’


“พี่หินพูดอันใดกัน อย่าล้อข้าเล่นหน่อยเลย หากเทียบกันจริง ๆ ข้าสู้พี่หินไม่ได้เลย! เพียงแค่เชี่ยวชาญด้านการรับส่งเท่านั้น”


‘แท็บเล็ต’ กล่าว


มันมองเห็นภาพการณ์ในทุกสถานที่ของใต้หล้านี้ และเคยเห็นภาพที่ต้นหลิวและก้อนหินออกโรงต่อสู้ รู้ดีว่าก้อนหินแข็งแกร่งปานใด


หากให้มันสู้กับก้อนหิน มันย่อมสู้ไม่ได้แน่ ห่างชั้นกันเกินไป


“เชี่ยวชาญเท่านี้ก็พอแล้ว!”


ก้อนหินบอก “เจ้าช่วยข้าสักอย่าง ช่วยส่งข้าไปที่ริมลำธารนอกเมืองชิงซาน ข้าอยากกลับไปเยี่ยมต้นหลิว”


จิตใจของมันเปลี่ยนแปลงไปจริง ๆ ไม่เรียกพี่หลิวแล้วด้วยซ้ำ หากแต่เรียกต้นหลิวทื่อ ๆ


ช่วยมิได้ ผู้ใดใช้ให้มันในตอนนี้แข็งแกร่งขึ้นเล่า!


ที่ว่ากลับไป มันแค่ไปเยี่ยมต้นหลิวที่ไหน มันต้องการให้ต้นหลิวยอมรับมันเป็นพี่!


เรียกมันว่า ‘พี่’!


หลังจากได้อยู่กับคุณชายทุกคืนวัน พลังของมันยกระดับขึ้นมาก มันรู้สึกว่ามันน่าจะกำราบต้นหลิวได้แล้ว!


“เรื่องนั้นหาใช่ปัญหา พี่หินก็ทำได้ง่ายดายนี่!”


‘แท็บเล็ต’ กล่าว


ด้วยพลังระดับก้อนหิน ตั้งจิตคราเดียวก็กลับไปถึงริมลำธารนอกเมืองชิงซานได้แล้ว


“ก็มีเจ้าอยู่นี่อย่างไร ข้าเลยคิดจะประหยัดแรง”


ก้อนหินเอ่ยยิ้ม ๆ


จนกระทั่งมันเห็นภาพ ‘แท็บเล็ต’ ส่งพวกลั่วสุ่ยออกไป ถึงคิดอยากกลับไปสักครา


มิฉะนั้น มันคงยังไม่คิดกลับไป คงรอติดตามคุณชายจนจบแล้วค่อยไปกำราบต้นหลิว


“ได้”


ภาพใน ‘แท็บเล็ต’ เปลี่ยนผันอย่างรวดเร็ว สับเปลี่ยนไปเป็นภาพริมธารนอกเมืองชิงซาน


ก้อนหินเหินเข้าไปอย่างทนรอมิไหว


‘ฮ่า ๆ จากนี้ไป ข้าจะได้เป็นพี่หินแล้ว! ข้าจะเล่าประสบการณ์ที่ข้าได้อยู่กับคุณชายด้วย ให้เจ้าต้นหลิวอิจฉาตายไปเลย!’ มันคิดในใจอย่างมีความสุข


ก้อนหินเหินเข้าไปในกระจก และมาอยู่ริมลำธารในฉับพลัน


“ทิวทัศน์ที่นี่ยังเป็นเช่นคราวก่อน ทว่าน่าเสียดาย เมื่อไม่มีข้าอยู่ ก็ออกจะเงียบเหงาไปหน่อย…”


น้ำเสียงก้อนหินเจือแววเสียดายยามกล่าว


ต้นหลิวยังคงฝังรากไว้ริมลำธาร ลำต้นดูสูงใหญ่ ใบไม้เขียวชอุ่มขึ้นดก


ก้อนหินตั้งใจกลับมาอวดเบ่งใส่มัน หวังดีประสงค์ร้ายหรือไร?


ทันทีที่ต้นหลิวได้ยินคำกล่าวของก้อนหิน มันก็รู้ได้เลยว่าก้อนหินไม่หวังดี


ไม่เรียกพี่หลิวด้วยซ้ำ เจ้านี่ชักจะเหลิงเกินไปแล้ว…


“เงียบเหงาหรือ ข้าไม่เห็นรู้สึกเช่นนั้น ทว่าไม่มีเจ้าอยู่ ก็เงียบลงจริง ๆ มิได้น่ารำคาญอย่างเก่า”


ต้นหลิวหาได้ไว้หน้าก้อนหิน มันกล่าวต่อ “เหตุใดถึงกลับมานี่ โดนคุณชายไล่มาหรือไร”


ก้อนหินโมโหแทบแย่ ต้นหลิวพูดจาอะไรกัน!


ทุกประโยคล้วนแดกดันมันทั้งสิ้น


ที่ว่าพอมันไม่อยู่ก็ไม่รู้สึกรำคาญหมายความอย่างไร


ไหนจะที่บอกว่าโดนคุณชายไล่กลับมาอีก


ทว่าเมื่อลองคิดดูแล้ว มันก็ไม่รู้สึกโกรธอีกต่อไป ต้นหลิวอิจฉาจนตาร้อนเท่านั้นแหละ!


“ขุ่นข้องหมองใจใช่หรือไม่ ข้ารู้ว่าคุณชายไม่พาเจ้าไปด้วย เจ้าเลยไม่พอใจ ไม่ชอบใจ ทว่าเราสองพี่น้องอยู่กันมาตั้งหลายปี ต่อให้เจ้าไม่พอใจ ไม่ชอบใจเพียงใด ก็ไม่ควรทำลายความสัมพันธ์ของเราสองพี่น้องมิใช่หรือ”


ก้อนหินกล่าว “เจ้าว่าจริงหรือไม่ น้องหลิว…ของข้า!”


น้อง…หลิว?!


เมื่อต้นหลิวได้ยินคำนี้ ก็หัวเราะออกมาในใจ


ดี!


ดีจริงเชียว!


เจ้าก้อนหินโง่เง่านี่คิดจะอวดดี หวังดีประสงค์ร้ายใส่มันให้ถึงที่สุดจริง ๆ!


ดูท่า เจ้าก้อนหินยกระดับพลังขึ้นไม่น้อยหลังได้ติดตามอยู่ข้างกายคุณชาย มิฉะนั้น ก้อนหินไฉนเลยจะกล้าหยิ่งผยองต่อหน้ามัน อวดอ้างตนเอง ซ้ำยังเรียกมันว่าน้อง…หลิว!


ไม่มีปัญหา!


เช่นนั้นมันจะประชันกับก้อนหินสักครา


“ก้อนหิน เจ้ารู้สึกว่าเปลือกหินของเจ้าแข็งพอ ต้านทานการหวดจากก้านหลิวของข้าได้แล้วใช่หรือไม่”


ต้นหลิวเอ่ยเสียงเรียบ


“ไม่แข็งก็โดนเจ้าหวดจนแข็งแล้ว!”


ก้อนหินเอ่ยเสียงโกรธเคือง ท่าทางเคียดแค้น “เจ้าลองว่ามา เมื่อครั้งเราสองอยู่ด้วยกัน มีวันไหนที่เจ้าไม่หวดข้าบ้าง หวดข้าอยู่ทุกวี่วัน เจ้านี่ก็เหลือเกิน ทำลงไปได้อย่างไร!”


ยิ่งคิดมันยิ่งอัดอั้นตันใจ ต้นหลิวหวดมันทุกวัน หวดจนมันเจ็บปวดเหลือแสน ร้าวรานไปถึงทรวง!


ทว่ายังดี มีอยู่ช่วงหนึ่งที่มันไม่โดนหวด


นั่นเป็นช่วงเวลาเดียวที่มันรู้สึกสุขสันต์


มิใช่ว่าต้นหลิวเปลี่ยนนิสัย รู้จักสงสารมัน แต่เพราะช่วงนั้นมีคนแทนที่มัน ต้นหลิวไม่หวดมัน ไปหวดคนผู้นั้นแทนโดยเฉพาะ


ใช่แล้ว เจ้าคนโชคร้ายนั่นก็คือตงฟางเวิ่น


บัดนี้มันมาคิดดูแล้ว มันกับตงฟางเวิ่นนับว่าเจ็บปวดจากเรื่องเดียวกันโดยแท้!


‘เรียกตงฟางเวิ่นมาแก้แค้นด้วยดีหรือไม่’ ก้อนหินคิดในใจ


“พี่หิน ข้าสนับสนุนท่าน! ล้มล้างเผด็จการ ต่อต้านการข่มเหงรังแก! ต้นหลิวไม่หวดพี่หินก็มาหวดข้า โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!”


คิดสิ่งใดได้สิ่งนั้นจริง ๆ เมื่อครู่ก้อนหินยังคิดอยู่ว่าควรเรียกตงฟางเวิ่นมาแก้แค้นด้วยกันดีหรือไม่ ตงฟางเวิ่นก็มาที่นี่พอดี


ตงฟางเวิ่นตั้งใจมาทำความเคารพต้นหลิว ไม่มาทำความเคารพต้นหลิวบ่อย ๆ เขารู้สึกไม่สบายใจ เขามาทำความเคารพต้นหลิวทุกสองสามวัน


และเขามาครั้งนี้ ก็พอดีกับที่ก้อนหินกลับมา และกำลังท้าทายต้นหลิว


ต้นหลิวกับก้อนหินอยู่ด้วยกันมาตลอด เขารู้สึกว่าพลังก้อนหินกับต้นหลิวคงห่างกันไม่มาก และหลังจากนั้น ก้อนหินได้ออกเดินทางกับคุณชาย เมื่อกลับมาก็กล้าท้าทายต้นหลิว ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าก้อนหินคงได้รับประโยชน์มหาศาล พลังยกระดับแบบก้าวกระโดด


มิฉะนั้น ก้อนหินไม่มีทางกล้าท้าทายต้นหลิว


แม้ว่าก้อนหินก็ทำไม่ดีกับเขา รังแกเขาไว้ไม่น้อย ทว่า หากเขาไม่อยู่ฝ่ายเดียวกับก้อนหิน เขาคงไม่ได้ล้างแค้นเลยแม้แต่น้อย!


อยู่ฝ่ายเดียวกับก้อนหิน อย่างน้อยก็ได้ติดตามก้อนหิน ล้างแค้นต้นหลิวที่เคยรังแกเขาไว้!


เพราะอย่างนั้น เขาจึงเลือกอยู่ข้างก้อนหินอย่างเด็ดขาด ปราบปรามต้นหลิวด้วยกัน


ส่วนเรื่องนั่งบนภูดูเสือกัด ปล่อยให้ทั้งสองฝ่ายห้ำหั่นกันแล้วค่อยตักตวงผลประโยชน์นั้น เขาไม่แม้แต่จะคิด


ด้วยระดับพลังของต้นหลิวและก้อนหิน ต่อให้สู้กันจนบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย เขาก็ไม่มีทางได้อะไรจากการนี้ เรื่องจะฉวยโอกาสที่บาดเจ็บทั้งสองฝ่ายแล้วจัดการทั้งต้นหลิวและก้อนหิน เท่ากับรนหาที่ตาย หาเรื่องให้ตัวเองถูกเหยียบย่ำ!


“ใช่แล้ว! ต้นหลิวนี่ระยำจริง ๆ ข้ายังทนดูมิได้ เหตุใดถึงต้องหวดพี่หินของข้าอยู่ตลอด เรื่องอะไรพี่หินของข้าต้องต้อยต่ำกว่าต้นหลิวด้วย?!”


เวลานั้นเอง จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงก็มาถึง


เขากลับจากแดนสังสารวัฏแล้ว มานี่เพื่อเยี่ยมเยียนคุณชาย และมาเห็นภาพก้อนหินท้าทายต้นหลิวพอดี เขาจึงเข้าร่วมในบัดดล ทั้งยังเลือกอยู่ข้างก้อนหิน


ก่อนนี้เขาได้ยินบทสนทนาระหว่างก้อนหินและต้นหลิว แม้ไม่กี่ประโยค กระนั้นเขาก็เข้าใจแจ่มแจ้ง


ดูเหมือนต้นหลิวถูกทิ้งไว้ที่นี่ คุณชายพาเพียงก้อนหินไป บัดนี้ก้อนหินกลับมาแล้ว จึงตัดสินใจแก้แค้นต้นหลิวที่เคยหวดมันบ่อย ๆ


เช่นนี้ได้เรื่องแน่!


ก้อนหินไม่เหมือนกับเขา


ก่อนหน้านี้เขาเคยกลับมาล้างแค้นถึงสองครั้ง ที่เขาเคยถูกต้นหลิวและก้อนหินรุมซ้อม สุดท้ายเขาล้มเหลว ถูกต้นหลิวและก้อนหินซ้ำหนักกว่าเดิม


ทว่านั่นเพราะเขายังไม่รู้จักพลังของต้นหลิวและก้อนหินอย่างถ่องแท้ สองครั้งนั้น เขาคิดไปอย่างไร้เดียงสาว่า ตัวเองแข็งแกร่งกว่าต้นหลิวและก้อนหินจริง ๆ ถึงได้เสียเปรียบมหันต์กับต้นหลิวและก้อนหินถึงสองครั้ง


ก้อนหินนั้นไม่เหมือนกัน


อีกฝ่ายอยู่กับต้นหลิวทุกวัน คิดแล้วต้องรู้ดีว่าขอบเขตพลังของต้นหลิวนั้นเป็นเช่นไร ที่ก้อนหินกล้ากลับมาท้าทายต้นหลิวเยี่ยงนี้ เห็นได้ชัดว่ามั่นใจเต็มร้อยว่าสามารถกำราบต้นหลิวได้


เขาไม่อยู่ข้างเดียวกับก้อนหินจะให้อยู่ข้างเดียวกับผู้ใดเล่า


อีกอย่าง เขาก็คิดไม่ต่างจากตงฟางเวิ่นนัก เขาไม่ชอบทั้งต้นหลิวทั้งก้อนหิน คิดอยากกำราบทั้งคู่ จับหวดให้เข็ดหลาบ


ทว่าความคิดที่อยากกำราบทั้งต้นหลิวและก้อนหินด้วยกันนั้นออกจะเกินจริงไปหน่อย แทบเป็นไปไม่ได้เลย แก้แค้นตนใดได้ ก็เอาตนนั้นก่อน


หากพลาดโอกาสนี้ไป เป็นไปได้ว่าเขาจะมิได้ล้างแค้นผู้ใดเลย!


น่าสนใจดีนี่…


ต้นหลิวหัวเราะในใจดังขึ้นไปอีก กระโดดออกมาหมดเลยหรือ!


ใช้ได้ ใช้ได้!


พอดีเลย ขอจัดการทีเดียว!


“ดี ๆๆ!”


ก้อนหินมองตงฟางเวิ่นและจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลง พึงพอใจกับท่าทีของพวกเขามาก


“น้องหลิวของข้า เห็นหรือไม่ เจ้าเป็นที่โกรธแค้นของปวงชนแล้ว!”


จากนั้น มันบอกกับต้นหลิว “ผู้สำเร็จมีกำลังหนุนมาก ผู้ล้มเหลวมีกำลังหนุนน้อย! น้องหลิวของข้า ความผิดที่เจ้าก่อไว้ในอดีตมากเกินไป ถึงเวลาชดใช้ให้กับความผิดที่เจ้าเคยก่อแล้ว!”


“อ๋อ อย่างนั้นหรอกหรือ”


ต้นหลิวหัวเราะเบา ๆ “ด้วยสายสัมพันธ์ตลอดหลายปีของเรา เจ้าลงมือกับข้าได้ลงคอเชียวหรือ ซ้ำยังพาพวกเขาสองคนมารุมข้า”


ได้ยินวาจานี้ของต้นหลิว ตงฟางเวิ่นกับจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงพลันสะดุ้งโหยง


ก้อนหินจะยอมสมานฉันท์กับต้นหลิวมิได้เด็ดขาด หากสมานฉันท์ พวกเขาสองคนได้ซวยแน่!


บัดซบ เจ้าเฒ่าชั่วร้ายอย่างต้นหลิวกับก้อนหิน ‘วางเบ็ดหลอกล่อ’ อยู่หรือไร จงใจวางกับดักลวงพวกเขา รอพวกเขามาติดเบ็ดอยู่หรือนี่!?


ทันใดนั้น พวกเขาคิดเช่นนี้ขึ้นในใจ พลันกลัวขึ้นมาอย่างเหลือแสน


หากเป็นเช่นนี้จริง พวกเขาจะโง่ดักดานเกินไปแล้ว!


ไม่ได้ ๆ ต่อไปนี้ เรื่องราวระหว่างต้นหลิวและก้อนหิน พวกเขาจะไม่เข้ามายุ่งด้วยอีกเด็ดขาด!


‘เด็กละอ่อน’ อย่างพวกเขาสองคน แค่ต้นหลิวและก้อนหินลวงพวกเขาด้วยกับดักง่าย ๆ พวกเขาก็อาจไม่เหลือแม้แต่เศษกระดูก


แต่ยังดี ถ้อยคำต่อมาของก้อนหินช่วยให้พวกเขาสบายใจได้


“แหม น้องหลิวของข้า เจ้ากลัวหรือ อ้างความสัมพันธ์ขึ้นมาเชียวหรือ เหอะ ๆ ข้าไม่หลงกลหรอก! ก่อนหน้านี้ที่เจ้าหวดข้า ไม่เห็นเอ่ยถึงสายสัมพันธ์ระหว่างเราสอง?!”


ก้อนหินไม่คิดสมานฉันท์


วันนี้มันจะกำราบต้นหลิวให้อยู่หมัด จนต้นหลิวต้องเรียกมันว่าพี่หิน หากไม่ได้ล้างแค้นในอดีตที่ต้นหลิวเคยหวดมัน มันไม่มีทางยอมเลิกราแน่


“นี่ ก้อนหิน ไม่มีโอกาสเจรจากันเลยหรือ” ต้นหลิวแสร้งถอนหายใจ


“ก่อนนี้ที่เจ้าหวดข้า เคยเจรจากับข้าบ้างหรือไม่”


ก้อนหินกล่าว “อยากเจรจาหรือ ไม่มีทาง!”


เหมือนมันคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงเสริมอีกประโยค


“อย่าว่าแต่ทางเลย ประตูหน้าต่างก็ไม่มี!”


มันมั่นใจเต็มร้อย แน่วแน่ในการกำราบต้นหลิว



“ไม่ให้โอกาสกันสักนิดเลยหรือ”


ต้นหลิวเอ่ย “ก้อนหินเอ๋ย ครั้งนี้เจ้าจะโหดเหี้ยมกับข้าจนถึงที่สุดหรือ”


“ยังจะเรียกก้อนหินอยู่อีก เรียกพี่หินสักคำไม่ได้เลยรึ”


ก้อนหินเอ่ยเสียงเหี้ยมเกรียม “น้องหลิว เจ้าไม่ต้องคิดอันใดให้มากความ วันนี้พวกเรามีหนี้แค้นต้องสะสาง ไม่มีอันใดต้องพูดกันอีกแล้ว!”


“ก็ได้”


ต้นหลิวถอนหายใจ “ก้อนหิน เจ้าว่าอย่างนี้เองนะ…”


“ใช่ ข้าว่าอย่างนี้เอง!”


ก้อนหินตอบเสียงราบเรียบ “แต่หากน้องหลิวยอมโอนอ่อนแต่โดยดี นับแต่นี้ไปให้เรียกข้าว่าพี่หิน วันนี้ข้าจะยั้งมือบ้าง ลงโทษเจ้าอย่างพอเหมาะพอควร”


“...”


ต้นหลิวหมดคำบรรยาย เจ้าก้อนหินนี่ช่างมั่นหน้าเสียจริง


“เจ้าอย่ายั้งมือเลย ลงมือให้เต็มที่เถิด”


มันบอกออกไปตรง ๆ


“ยังจะปากแข็งอยู่อีก! วันนี้ข้าขอดูหน่อยเถิดว่า ปากเจ้าแข็งกว่า หรือก้อนหินอย่างข้าแข็งกว่า!”


ทันใดนั้น ก้อนหินก็พุ่งเข้าไปจู่โจม ลำแสงเจิดจ้านับล้านเปล่งออกมารอบตัว เจิดจรัสแยงตาเป็นที่สุด แรงกดดันมหาศาลถูกปลดปล่อยออกมา อย่าให้เอ่ยเลยว่าดุดันน่ากลัวปานใด


ตงฟางเวิ่นและจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงรีบหลบไปอยู่ด้านหนึ่ง การต่อสู้นี้หาใช่ระดับที่พวกเขาเข้าไปแทรกแซงได้ ยังดีที่พวกเขามีสิ่งที่คุณชายประทานให้ติดตัว ช่วยกีดขวางแรงกดดันที่ก้อนหินเปล่งออกมา มิฉะนั้น พวกเขาไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะชมศึกนี้ด้วยซ้ำ


ม่านแสงม่านหนึ่งก่อตัวขึ้นตามธรรมชาติ ปกคลุมบริเวณนี้ไว้ ดูจากภายนอก ที่นี่สงบดังเดิม มิมีสิ่งใดผิดเพี้ยนไปจากเดิม และไม่มีแรงกดดันหรือคลื่นพลังอันใดรั่วไหลออกไป


พลังของม่านแสงมาจากทั้งต้นหลิวและก้อนหิน พวกมันทั้งสองใจตรงกันมาก ต่างค้ำจุนม่านแสงไว้คนละครึ่ง


ไม่ว่าพวกมันทั้งสองทะเลาะกันอย่างไร ก็ไม่มีทางทำลายสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ และยิ่งไม่มีทางทำร้ายคนในเมืองชิงซาน


ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!


เสียงระเบิดสะเทือนแก้วหูดังออกมา ตงฟางเวิ่นและจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงเกือบหูดับกันทั้งคู่ ก้อนหินน่ากลัวมากจริง ๆ พลังที่เปล่งออกมานั้น แม้แต่พวกเขาที่มีของประทานจากคุณชายติดตัวยังได้รับผลกระทบเบาบาง


นี่มันขอบเขตระดับใดกัน!?


พวกเขาดูไม่ออกเลย!


ก้อนหินบุกโจมตี กฎระเบียบเกินหยั่งทะยานสูง น่าพรั่นพรึงกว่าเมื่อครั้งก้อนหินลงมือกับพวกเขาสองคนมากนัก กฎระเบียบที่พุ่งทะยานอยู่นั้น พวกเขารู้สึกได้เลยว่ายิ่งใหญ่สูงส่ง เทียบไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยว และยิ่งไม่เข้าใจในกฎระเบียบเช่นนี้ ทั้งหมดนี้เกินขอบเขตความเข้าใจของพวกเขาไปไกลแล้ว!


เสียงดังฟึ่บ ต้นหลิวเอนไหว ลำแสงมากมายพวยพุ่ง ก้านหลิวก้านหนึ่งหวดไปหาก้อนหิน


ตู้ม!


หารู้ไม่ ก้านหลิวที่ไม่เคยพ่ายแพ้ผู้ใด กลับเสียท่าในครานี้ ต้องถูกก้อนหินส่งแรงกระเทือนจนกระเด็นออกไป ซ้ำยังมีใบหลิวปลิดปลิวลงมาอีกหลายใบ


“อ้อ ใช้ได้นี่ มิน่าถึงกล้าลงมือกับข้าแล้ว…”


ต้นหลิวหัวเราะเบา ๆ อึ้งอยู่นิดหน่อย ก้อนหินติดตามคุณชายออกไประยะหนึ่ง และเติบโตขึ้นมากอย่างแท้จริง พลังเหนือชั้นกว่าเก่ามาก


“แค่ใช้ได้ที่ไหน! วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้เห็นความสุดยอดของพี่หิน!”


ก้อนหินฮึกเหิมพร้อมสู้ ใบหลิวไม่กี่ใบที่ปลิดปลิวลงมาเมื่อครู่เพิ่มขวัญกำลังใจให้มันอย่างมาก ในอดีต อย่าว่าแต่ส่งแรงกระเทือนจนใบไม้หลุดเลย ลำพังจะทำให้ต้นหลิวสะเทือนบ้างยังทำมิได้


นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดียิ่ง!


มันจู่โจมต่อ ที่ลงมือไปก่อนหน้านี้ยังมิได้เปล่งอานุภาพทั้งหมด พลังที่ยังกักเก็บไว้แข็งแกร่งเหลือคณา


เสียงกู่ร้องดังขึ้นไม่หยุด มันมีร่างกายงอกออกมา มีศีรษะงอกออกมา กลายเป็นมนุษย์หินยักษ์ ทุกอิริยาบถล้วนมีสายฟ้าแลบแปลบปลาบ พลังที่แผ่ซ่านออกมาชวนให้ประหวั่นพรั่นพรึง ผวาเหลือแสน!


แสงเซียนส่องออกมาจากทั่วร่างกายของมัน ราวกับธารช้างเผือกธารแล้วธารเล่า เจิดจ้าแยงตา มันเริ่มลงมือ ปลดปล่อยพลังเต็มรูปแบบ ตงฟางเวิ่นและจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงที่ดูอยู่สะท้านใจเป็นหนักหนา!


ธารปริภูมิเวลาไหลหลาก เมื่อมาถึงที่นี่ก็ขาดสะบั้น ไม่มีพลังใดสามารถฝ่าก้อนหินไปได้


“น้องหลิว เจ้าไม่ได้ขยับไปที่อื่นมานานเท่าไหร่แล้ว ข้าจะช่วยเจ้าเอง ช่วยย้ายที่ให้เจ้า!”


ก้อนหินอ้ามือหินยักษ์ออก อักขระลึกลับรายล้อมอยู่ระหว่างนิ้วทั้งห้าของมัน เป็นอักขระที่เกิดจากพลังสูงส่งอย่างหามิได้ แม้แต่พลังโกลาหลยังต้านไม่อยู่ สามารถถูกลบล้างในพริบตา!


“เหอะ”


ต้นหลิวแค่นเสียงเย็น ก้านหลิวทั้งหมดรวมนับร้อยก้านออกโรงพร้อมเพรียง ทุกก้านต่างเปรียบเสมือนมังกรฟ้า ดุดันมิมีผู้ใดทัดเทียม!


ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!


ก้านหลิวนับร้อยปะทะกับมือหินยักษ์ของก้อนหิน ประหนึ่งนภากระแทกเข้าหากัน เกิดการระเบิดใหญ่อยู่หลายครา ตงฟางเวิ่นและจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงก็ได้รับแรงสะเทือนไม่น้อย ร่างของพวกเขาทั้งสองต่างถูกกระเทือนจนต้องถอยกรูดออกไป


ที่นั่นเจิดจรัสเกินไป แสงสว่างท่วมท้นทุกสิ่ง อักขระลึกลับทรงพลังเกินหยั่งสองชนิดจากต้นหลิวและก้อนหินปะทะกัน ก่อนจะระเบิด


ตงฟางเวิ่นและจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงเงยหน้ามอง นึกอยากรู้ว่าผลจากการปะทะนั้นเป็นอย่างไร ทว่าพวกเขาทำไม่ได้เลย ทันทีที่สายตาทอดมองเข้าไปก็ต้องเบนกลับ ภาพการณ์ตรงนั้นมิใช่สิ่งที่ให้พวกเขาเห็นได้!


หลังแสงสว่างถดถอย ตงฟางเวิ่นและจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงถึงได้เห็นภาพการณ์ที่นั่น พวกเขาเห็นว่า มือหินยักษ์ของก้อนหินเต็มไปด้วยรอยร้าว คืบคลานออกไปอย่างรวดเร็วราวกับใยแมงมุม


ด้านต้นหลิวก็มิได้ไร้รอยขีดข่วน ใบหลิวร่วงโรยลงมาจำนวนมาก


ก้อนหินระงับรอยร้าวที่มือ ก่อนจะชักดาบหินมหึมาเล่มหนึ่งออกมาแล้วฟันออกไป เสมือนมาจากห้วงมิติโบราณเก่าแก่ พื้นที่นี้เดือดพล่านขึ้นในบัดดล อักขระกฎระเบียบมากมายปริแตกออก!


นี่ต้องเป็นดาบที่สะท้านโลกันตร์ได้แน่ ตงฟางเวิ่นและจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงไม่นึกสงสัยเลย หากว่าดาบนี้ฟาดฟันใส่ด้านนอกนั่น น่ากลัวว่าแม้กระทั่งแดนบรรพโกลาหลก็คงยั้งไม่อยู่ ล่มสลายในดาบเดียว ไม่มีอยู่อีกต่อไป!


ก้อนหินโหดเหี้ยมขึ้น ปะทุพลังทั้งหมด หมายจะตัดสินแพ้ชนะในดาบเดียว!


เวลานั้นเอง ม่านแสงมากมายพวยพุ่งจากด้านต้นหลิว ก้านหลิวทั้งหลายตวัดร่ายรำขึ้นอีกครั้ง


ปัง!


ก้านหลิวก้านหนึ่งพุ่งปะทะดาบหินเล่มนั้นอย่างรวดเร็ว ภาพเหลือเชื่อปรากฏ ดาบหินที่แฝงไว้ด้วยพลังทั้งหมดของก้อนหินแหลกลาญในพริบตา เศษหินกระจัดกระจายเต็มพื้น!


“อะ…ไรกัน!”


ก้อนหินตกใจแทบแย่ ร่างหินมโหฬารของมั่นสั่นสะท้าน เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้? ต้นหลิวซ่อนพลังของตน! พลังที่มีเหนือกว่าที่มันคาดการณ์ไว้!


ซ่า!


ใบหลิวที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้นลอยขึ้นหมด เปล่งประกายระยิบระยับ กลับไปงอกเงยบนก้านหลิวอีกครั้ง ตอนนี้ ต้นหลิวปะทุแสงยิ่งใหญ่ จังหวะแห่งเต๋าสูงส่งไหลเวียน สูงส่งเหนือชั้น ราวกับเป็นผู้ปกครองแห่งปวงวิญญาณ!


“ต้นหลิว เจ้าหลอกลวงข้า!”


ก้อนหินคำรามกราดเกรี้ยว โมโหจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว


บัดซบ!


เจ้าต้นหลิวจอมหลอกลวงนี่ หลอกได้หลอกดี!


มันอยู่กับต้นหลิวมาตั้งนาน กลับไม่รู้เลยว่าพลังที่แท้จริงของต้นหลิวเป็นเช่นไร อีกฝ่ายปิดบังมันมาตลอด!


“หมายความว่าอย่างไรที่ว่าหลอกเจ้า”


ต้นหลิวเอ่ยเสียงเบา “ข้าเป็นห่วงเจ้า เมตตาเจ้า ไม่อยากทำร้ายจิตใจของเจ้าเกินไป ถึงอย่างไรพวกเราก็เริ่มฝึกตนมาด้วยกัน หากห่างชั้นกันเกินไป ข้ากลัวเจ้าจะรับไม่ไหว”


ใช่แล้ว มันจงใจซ่อนพลังที่แท้จริงของตนไว้ตลอด


ประโยคหนึ่งว่าไว้ อาจารย์สอนเพียงแนวทาง ความสำเร็จอยู่ที่ตัวบุคคล เทียบกับมันแล้ว ก้อนหินอ่อนด้อยกว่ามาก มันไปถึงระดับสูงส่ง มีพลังเหนือจินตนาการได้นานแล้ว


“อ๊ากกก ข้าทรมานใจนัก โคตรจะ…ทรมานเลยโว้ย!”


พูดเช่นนี้มิสู้ไม่พูด หลังพูดจบ ก้อนหินรู้สึกบีบรัดหัวใจ แม้ว่ามันนั้นจะไม่มีหัวใจก็ตาม…


“ไม่ต้องทรมานใจไป เพราะ…หลังจากนี้เจ้าจะทรมานกว่านี้อีก!”


ต้นหลิวหัวเราะ ก้านหลิวก้านหนึ่งพุ่งเข้าไป มัดก้อนหินไว้ในเสี้ยวพริบตา แล้วจับห้อยกลับหัว


ก้อนหินดิ้นรนสุดชีวิต กลับมิอาจสลัดออกไปได้เลย ก้านหลิวตรึงมันไว้อย่างแน่นหนา


“พี่หลิว…เรื่องนี้เราลืมมันไปได้หรือไม่ ถือเสียว่าไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นได้หรือไม่”


ก้อนหินร่ำไห้เอ่ยกับต้นหลิว


“ก้อนหินเอ๋ย เมื่อครู่ข้าเพิ่งถามเจ้าว่า ให้โอกาสข้าได้เจรจาสักครั้งได้หรือไม่ เจ้าบอกว่าไม่มีทาง อืม ไม่มีแม้แต่ประตูหน้าต่าง”


ต้นหลิวกล่าว “ก้อนหิน เจ้าว่าข้าจะลืมเรื่องนี้ ทำเสียว่าไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นได้หรือไม่”


“ข้าว่าได้” ก้อนหินตอบเสียงอึดอัด


“ได้รึ”


ต้นหลิวเกือบสะอึกเพราะความไร้ยางอายของก้อนหิน ก้อนหินกล้าพูดได้ทุกอย่างจริง ๆ!


มันมิได้เอ่ยวาจาใดอีก หากแต่แสดงเจตจำนงของตนด้วยการกระทำ ก้านหลิวอีกก้านหวดเข้าไป จนก้อนหินต้องร้องโหยหวน


“ลืมข้าเถิด ลืมข้าเถิด…”


“ถือเสียว่าข้าไม่อยู่ ถือเสียว่าข้าไม่อยู่…”


ขณะเดียวกัน ตงฟางเวิ่นและจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงกลัวจนหัวใจแทบหยุดเต้น


พวกเขาภาวนาในใจไม่หยุด หวังว่าต้นหลิวจะลืมการมีอยู่ของพวกเขาทั้งสอง


ต้นหลิวน่าครั่นคร้ามเกินไป พลังลึกล้ำเกินหยั่งอย่างแท้จริง!


และในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็ก่นด่าก้อนหินในใจไม่หยุด


อะไรกัน เจ้าก้อนหินเส็งเคร็งนี่โง่เกินไปแล้ว อยู่กับต้นหลิวมาตั้งนาน กลับยังไม่รู้ถึงภูมิหลังที่แท้จริงของต้นหลิวอีก!


แล้วยังกล้ากลับมาหือกับต้นหลิว!


มีผู้ใดไม่เข้าท่าเท่าก้อนหินอีกหรือไม่


พวกเขาเองก็โง่เขลานัก ถึงได้เลือกอยู่ข้างเดียวกับก้อนหิน ตอนนี้ พวกเขาอยากตบตัวเองฉาดใหญ่ให้ตาย ๆ ไปจริง ๆ อย่าให้เอ่ยเลยว่าสำนึกเสียใจเพียงใด


“พวกเจ้าอยู่ในแนวรบเดียวกัน เช่นนั้นก็มาด้วยกันเถอะ…”


ต้นหลิวย่อมไม่มีทางลืมตงฟางเวิ่นกับจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลง ก้านหลิวสองก้านพุ่งออกไป จับตงฟางเวิ่นและจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงสองคนห้อยหัวเช่นกัน


มันไม่มีทางยอมปล่อยเจ้าสามคนนี้ไปง่าย ๆ แน่!


ก้อนหิน ตงฟางเวิ่น จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงถูกต้นหลิวมัดห้อยหัวอยู่ด้วยกัน


“พี่หลิว น้องคนนี้สำนึกผิดแล้ว ให้บทเรียนนิดหน่อยก็พอแล้วกระมัง!”


ก้อนหินตะโกนบอก


“อืม เจ้าเอ่ยปากแล้ว ข้าก็ให้บทเรียนเจ้านิดหน่อยเป็นพอ”


ต้นหลิวคลี่ยิ้มเบาบาง แม้จะเอ่ยเช่นนั้น แต่กลับมิได้ออกแรงน้อยลงแม้แต่น้อย ซ้ำยังเพิ่มแรงเข้าไปอีก หวดจนก้อนหินมีเศษหินกระเด็นกระดอนออกจากตัว เป็นหลุมเป็นบ่อไม่เหลือส่วนไหนดูสมบูรณ์เลยสักนิด


“พี่หลิว! ข้าสำนึกผิดแล้วจริง ๆ ท่านปล่อยข้าไปเถิด!”


ก้อนหินร้องห่มร้องไห้ ถูกทรมานแสนสาหัส ก้านหลิวหวดแรงเหลือเกิน ทุกครั้งที่หวดลงมาเสมือนหวดกระแทกเข้าที่ใจของมัน เจ็บปวดอย่างยิ่งยวด!


เมื่ออยู่ต่อหน้าต้นหลิว พลังอันแข็งแกร่งของมันราวกับไม่มีอยู่ การหวดของต้นหลิวกระแทกลงตรงส่วนลึกของดวงวิญญาณมัน ทุกการหวดล้วนเจ็บปวดจนรวดร้าวไปทั้งใจ มันโหยหวนไม่หยุด


อีกด้าน ตงฟางเวิ่นและจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงกลัวจนปัสสาวะแทบราด


กล้าแกร่งดั่งก้อนหินยังทนการหวดของต้นหลิวไม่ไหว แล้วพวกเขาจะทนได้หรือ


ยาก!


“พี่หลิว ท่านดูเอาเถิด ข้าอายุมากแล้ว ทนความรุนแรงขนาดนี้ไม่ไหวจริง ๆ! พี่หลิวหวดข้าน้อยกว่าหน่อยได้หรือไม่”


ตงฟางเวิ่นเอ่ยอย่างน่าสงสาร


“เจ้าเรียกข้าว่าพี่หลิว ซ้ำยังเอ่ยว่าอายุมาก เป็นไปได้ที่ไหน! ข้ายังอ่อนเยาว์ถึงเพียงนี้ ในฐานะน้องชายของข้า เจ้าต้องร่างกายบึกบึนยิ่งกว่าข้าสิ”


ต้นหลิวส่งเสียง ก้านหลิวก้านหนึ่งพุ่งออกไป หวดตงฟางเวิ่นดัง ‘เพียะ ๆๆ’ ตงฟางเวิ่นเจ็บจนใบหน้าเหยเก ทนไม่ไหวแล้ว!


ผิดแผน ผิดแผนจริง ๆ!


ตงฟางเวิ่นสำนึกเสียใจแทบแย่ รู้อย่างนี้เขาคงไม่เรียกพี่หลิวแล้ว!


“น้องต้นหลิว ข้าชราภาพแล้วจริง ๆ ถูกทำร้ายแค่นิด ๆ หน่อย ๆ ร่างข้าคงบุบสลายเป็นแน่! ตาเฒ่าอย่างข้าทนการทรมานไม่ได้จริง ๆ!”


จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงได้บทเรียนจากตงฟางเวิ่น อ้าปากเรียกน้อง คราวนี้คงไม่มีปัญหาแล้วกระมัง


บ้าเอ๊ย แบบนี้ไม่ถูก!


จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงได้สติ ก็หน้าเขียวไปหมด เขา…เขาเรียกต้นหลิวว่าน้อง มิเท่ากับหาเรื่องโดนอัดหรือไร?


“น้องหรือ ถ้าอย่างนั้น เจ้าคงแข็งแกร่งกว่าข้า…ถึงอย่างไร ในโลกแห่งการฝึกตนนี้ ผู้ใดแข็งแกร่ง ผู้นั้นเป็นอาวุโส”


ต้นหลิวกล่าว “ถ้าอย่างนั้นยิ่งไม่เป็นปัญหา ผู้อาวุโสทรงพลังปานนั้น ข้าย่อมต้องดูแลเป็นพิเศษถึงจะถูก”


พูดจบ ก้านหลิวทั้งหมดบนต้นตวัดร่ายรำขึ้นมา หวดไปยังจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงอย่างพร้อมเพรียง


“บัด…ซบ!”


จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงกลัวจนปัสสาวะแทบราด ก้อนหลินกับตงฟางเวิ่นถูกหวดด้วยก้านหลิวเพียงก้านเดียว เขากลับต้องโดนก้านหลิวทั้งหมดเลยหรือ!


สวรรค์ นี่จะให้เขาตายหรืออย่างไร!


เขาเป็นลมไปในบัดดล!


“เลิกแสร้งทำไขสือเสียที!”


ต้นหลิวตำหนิเสียงเข้ม เก็บก้านหลิวที่เหลือกลับไป เหลือก้านหลิวที่หวดจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงเพียงก้านเดียว


มันแค่ขู่จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงไปอย่างนั้น


“อ๊ากกก!”


ไม่นานนัก ที่นี่ก็มีเสียงโหยหวนดังขึ้นเป็นระลอก ก้อนหิน ตงฟางเวิ่น จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงต่างคร่ำครวญได้อนาถไม่แพ้กัน เพราะต้นหลิวหวดเจ็บเหลือเกิน!


หลังจากสั่งสอนได้พอประมาณแล้ว ต้นหลิวเก็บก้านกลับไป


“กลับไปเสีย หลังจากนี้เจ้ายังต้องติดตามคุณชายไปอีกระยะ ยินดีให้เจ้ากลับมาแก้แค้นทุกเมื่อ”


ต้นหลิวบอกกับก้อนหินด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม


“มิกล้า มิกล้า!”


ก้อนหินรีบบอก


ทว่าแม้ปากมันจะเอ่ยไปเช่นนั้น ในใจกลับมิได้คิดดั่งที่เอ่ย


‘ข้ามิกล้ารึ? คราวหน้าข้าก็ยังกล้าเหมือนเดิม!’


ก้อนหินคิดในใจอย่างเหี้ยมเกรียม


กลับมาคราวหน้า มันจักให้ต้นหลิวต้องชดใช้เป็นสองเท่า!


มันต้องอยู่กับคุณชายต่ออีกยาว จึงไม่เชื่อว่าถึงครานั้น มันจะยังมิใช่คู่มือของต้นหลิว!


“ลาก่อนพี่หลิว!”


ก้อนหินบอกลาต้นหลิวยิ้ม ๆ หน้ากระจก ‘แท็บเล็ต’ ปรากฏออกมาทันที


‘แท็บเล็ต’ ที่มองดูอยู่ขำจนแทบบ้า มันเคยเห็นต้นหลิวออกโรงมาหลายครา รู้ดีแก่ใจว่าต้นหลิวสุดยอดเพียงใด ยามได้เห็นก้อนหินหือกับต้นหลิว ก็คาดการณ์ไว้แล้วว่าก้อนหินจะพบจุดจบเช่นนี้


อย่างที่คิด ก้อนหินถูกจัดการจนยับเยิน!


และเรื่องที่ทำให้มันนึกขันกว่าเดิมคือ ระหว่างทางยังมีผู้อื่นเต็มใจกระโดดเข้ามาให้เล่นงานด้วยตนเอง ซ้ำยังมีถึงสองคนด้วยกัน!


ตงฟางเวิ่นและจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงเป็นคนโชคร้ายกันทั้งคู่!


หลังหน้ากระจกปรากฏออกมา ก้อนหินก็ไปจากที่นี่โดยไม่หันกลับมามอง ก่อนจะไปยังรถลาก


ตงฟางเวิ่นและจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงอยู่ต่อ ‘อยู่คุย’ เป็นเพื่อนต้นหลิว


...


ภพเซียน


ในดินแดนแกนกลางที่เปิดออกแล้ว


เก้ามหาตระกูลแห่งเผ่ามนุษย์ และลัทธิใหญ่ เผ่าอสูรอื่น ๆ เริ่มทำการกวาดล้างสำนักเล็ก ๆ สิ่งมีชีวิตที่ไร้ภูมิหลัง


พวกเขาตั้งใจยึดครองดินแดนนี้ มิให้สิ่งมีชีวิตตนอื่นได้ยุ่มย่ามกับวาสนาการเปลี่ยนแปลงของที่นี่


ศึกอลหม่านที่ศพมังกรก็ยุติลงแล้ว สิ่งมีชีวิตอ่อนแอต่างถูกตีจนยอมถอย ผู้ที่เหลืออยู่ในที่นี้ต่างเป็นยอดฝีมือจากมหาตระกูล มีภูมิหลังน่าพรั่นพรึงกันทั้งสิ้น


“พวกเจ้ายังไม่ไปอีก มัวรออะไรที่นี่”


ยอดฝีมือคนหนึ่งหันมองพวกลั่วสุ่ยด้วยสายตาเย็นเยียบ


เขามาจากพรรคกระบี่เซียน เป็นหนึ่งในลัทธิใหญ่สุดของภพเซียน เรืองอำนาจไม่แพ้เก้ามหาตระกูล


“รอนำศพมังกรนี้ไปด้วย”


อ้ายฉานกะพริบตาปริบ ๆ พลางกล่าว “ไม่อย่างนั้นพวกท่านคิดว่าเราอยู่ที่นี่ต่อเพื่อการใดเล่า เพื่อดูพวกท่านสู้กันหรืออย่างไร”


“บังอาจนัก!”


ยอดฝีมือพรรคกระบี่เซียนตวาดเสียงเย็น กระบี่เซียนจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งประกายสยดสยองอยู่ด้านหลัง พุ่งไปสังหารอ้ายฉาน


เด็กเมื่อวานซืนอายุไม่กี่ขวบปี เขาไม่เห็นอยู่ในสายตาจริง ๆ ส่วนถ้อยคำเหล่านั้นของอ้ายฉาน เขายิ่งไม่คิดเก็บมาใส่ใจ


เขายังไม่ถึงขั้นต้องถือสาหาความกับเด็กตัวเล็ก ๆ


ที่ลงมือ ก็เพราะต้องการหยั่งเชิงระดับพลังของพวกอ้ายฉาน


พวกอ้ายฉานกล้าอยู่ต่อในสถานที่นี้ ย่อมไม่ธรรมดา คงมีไพ่ตายบางอย่างอยู่ในมือ เขามิได้สบประมาทเด็กพวกนี้ หรือชะล่าใจเพราะอีกฝ่ายมีขอบเขตพลังไม่เท่าเขา


เสียงดังฟึ่บ ลั่วสุ่ยเหินออกมา คนทั้งคนสูงส่งไร้ผู้ใดทัดเทียม มือเรียวขาวผ่องของนางสะบัดเบา ๆ ทันใดนั้น ก็ขจัดกระบี่เซียนของพวกเขาที่ฟาดฟันเข้ามาไปได้ทั้งหมด!


“หืม!?”


เมื่อบรรดายอดฝีมือพรรคกระบี่เซียนได้เห็นภาพนี้ นัยน์ตาพลันหรี่ลงฉับพลัน


อย่างที่คิด เขาคาดไว้ไม่ผิด พวกลั่วสุ่ยไม่ธรรมดาจริง ๆ ด้วย!


เรื่องอื่นไม่ต้องกล่าวถึง ลำพังลั่วสุ่ยคนเดียวก็น่าทึ่งจนเขาคาดไม่ถึงแล้ว!


ลั่วสุ่ยเป็นเพียงราชันแห่งเซียนตนหนึ่งเท่านั้น ส่วนเขาอยู่ในขั้นยอดเซียน ซึ่งเหนือกว่าราชันแห่งเซียน!


มิหนำซ้ำ เขายังมิใช่ยอดเซียนธรรมดา หากแต่เป็นผู้ที่บำเพ็ญขั้นยอดเซียนจนบริบูรณ์ เป็นถึงยอดเซียนระดับสูงสุด


แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น การโจมตีของเขาก็ยังถูกลั่วสุ่ยลบล้างได้ในการโบกมือเพียงครั้งเดียว จะมิให้เขาตะลึงได้อย่างไร!


นอกจากนี้ ผู้ที่ตะลึงมิได้มีเพียงเขาเท่านั้น ยอดฝีมืออื่น ๆ ในที่นี้ต่างเพ่งมองลั่วสุ่ย สายตาเปี่ยมไปด้วยความตะลึง


“น่าสนใจดีนี่!”


“พวกเราเก็บกวาดพื้นที่กันดีกว่า!”


เสียงของยอดฝีมือเหล่านี้เยียบเย็น ตัดสินใจร่วมมือกำจัดพวกลั่วสุ่ยออกไปจากที่นี่ก่อน


การช่วงชิงถูกจำกัดไว้แค่ระหว่างมหาตระกูลอย่างพวกเขากับลัทธิใหญ่ สิ่งมีชีวิตตนอื่นไม่เป็นที่ยอมรับจากพวกเขา ไม่มีสิทธิ์ได้แตะต้องวาสนาการเปลี่ยนแปลงของที่นี่


ต่อให้ลั่วสุ่ยแสดงความสามารถที่ไม่ธรรมดาออกมา พวกเขาก็ไม่มีทางยอม ไม่อนุญาตให้ลั่วสุ่ยนำศพมังกรนี้ไปด้วย


ชั่วพริบตานั้น พลังปราณสยดสยองหลั่งไหลออกจากตัวพวกเขากันถ้วนหน้า เปล่งแสงเจิดจรัสแยงตา!


พวกเขาเตรียมลงมือกันแล้ว!

ฟังจบแล้วถ้าใครอยากสนับสนุนช่องโดเนท ให้ช่องของเราเดินหน้าต่อได้เร็วขึ้น หรืออยากขอนิยาย
ช่องทางสนับสนุนช่องอยู่ใต้ลิงค์คลิปชั่นนะครับ