646-650

ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่นิยายระบบ ก่อนที่จะรับฟังช่วยกดไลค์และกด subscribe เป็นกำลังใจด้วยนะครับ
นิยายเสียง อยู่ดีดีข้าก็เป็นเซียน
บทที่ 646ถึง650

ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าคำนับได้หรือไม่ ข้ากลัว...ว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้น!


นี่มันหมายความว่าอย่างไร?


จ้าวแห่งตงชิวขมวดคิ้วเล็กน้อย ซีกำลังบอกว่ากระทั่งบรรพจารย์ของตงชิวก็ไม่อาจพอให้นางคุกเข่าได้หรือ?


นางรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย ซีภาคภูมิใจในตนเองมากขนาดนั้นเชียวหรือ?


เป็นความจริงที่พรสวรรค์และศักยภาพแฝงของซีโดดเด่นชวนตื่นตะลึง แต่การมีลักษณะนิสัยเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องดีแต่อย่างใด...


เหล่าผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นก็ขมวดคิ้วเช่นกัน


ซียังไม่ทันจะเติบโตก็ยโสถึงเพียงนี้เสียแล้ว?


กระทั่งบรรพจารย์ตงชิวก็ไม่ต้องการจะคุกเข่าคำนับ?


บรรพจารย์ตงชิวเป็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มแรกที่ถือกำเนิดขึ้นมาในแดนบรรพโกลาหล เช่นเดียวกับเหล่าบรรพจารย์ของพวกเขา ทั้งบรรพจารย์ก่วงหลิง และบรรพจารย์ฉางเล่อเป็นต้น


กล่าวอย่างไม่เกินจริงแล้ว พวกเขาเป็นผู้ริเริ่มบุกเบิก มอบเมล็ดพันธุ์แห่งปัญหาให้กับพวกเขา ชี้แนะแนวทางการฝึกตน นำพวกเขาออกจากความมืดมิด


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อปราบปรามความพิศวงแล้ว พวกเขาต่างต่อสู้อยู่ในแนวหน้าแม้ต้องเสียสละอย่างมหาศาล กระทั่งจนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังคงอยู่ในสมรภูมิแห่งนั้น


นี่คือตัวตนที่สมควรได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากสิ่งมีชีวิตทั้งหมด!


เมื่อได้ยินซีกล่าววาจาไม่เคารพออกมาแล้ว อย่าว่าแต่ความรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเลย กระทั่งความโกรธก็ปรากฏขึ้นในใจ


ใช่แล้ว


ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้แดนบรรพโกลาหลก็ยังคงต่อสู้กับความพิศวง


พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าความพิศวงเหล่านี้มาจากที่ใด ไม่อาจสืบเสาะพบที่มา นี่นับเป็นพลังที่น่ากลัวอย่างยิ่ง เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย พวกเขาต่อสู้กับความพิศวงตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบจนถึงตอนนี้


อีกด้านหนึ่งของแดนบรรพโกลาหลกำลังมีสมรภูมิเพื่อปกป้องดินแดนเอาไว้จากความพิศวง


บรรพจารย์ตงชิว และคนอื่น ๆ กำลังต่อสู้อยู่ในสมรภูมิแห่งนั้นเพื่อหยุดยั้งการรุกรานของความพิศวง


“แม่นางไม่ควรทำเช่นนี้ บรรพจารย์ตงชิวนั้นควรแค่การเคารพ แม้ว่าในอนาคตเจ้าจะกลายเป็นบรรพจารย์เต๋า แต่เจ้าก็ยังจำเป็นเคารพเลื่อมใสตัวตนเหล่านี้!”


“ใช่แล้ว นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้!”


เหล่าผู้ยิ่งใหญ่เอ่ยกับซีด้วยความจริงจัง


“ลักษณะนิสัยเช่นนี้ไม่ดีเป็นอย่างมาก ส่งผลเสียต่อตัวเจ้าเอง ไม่เช่นนั้นแล้วแม้ว่าเจ้าจะมีคุณสมบัติที่จะกลายเป็นบรรพจารย์เต๋า แต่ในอนาคตหนทางที่จะบรรลุถึงขั้นนั้นจะยากเป็นอย่างยิ่ง!”


จ้าวแห่งตงชิวเอ่ยออกมาเสียงแข็ง


ซีถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้ง ไม่พูดอันใดออกมาอีก


คิดว่านางภาคภูมิใจในความสามารถของตนเองทำให้ดูแคลนบรรพจารย์ตงชิว จึงไม่ต้องการจะคุกเข่าคำนับอย่างนั้นหรือ?


ไม่ใช่!


นางไม่เคยมีความคิดเช่นนั้น


นี่เป็นเพราะภายในใจของนางเกิดความรู้สึกอย่างแรงกล้าขึ้นมาจริง ๆ หากนางคุกเข่าคำนับบรรพจารย์ตงชิวแล้วจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นจริง ๆ!


นางเพียงแค่ต้องการหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องอันใดขึ้น ดังนั้นนางจึงเอ่ยคำพูดก่อนหน้านี้ออกมา


สำหรับบรรพจารย์ตงชิวแล้ว นางไม่มีความรู้สึกไม่เคารพแม้แต่น้อยจริง ๆ


“โปรดอภัยให้ข้าที่ใช้วาจาผิดไป อาจเป็นเพราะภายในใจของข้ามีความกดดันมากเกินไป ทำให้พูดจาผิดพลั้ง ข้าย่อมจะคุกเข่าคำนับ!”


ซีกล่าวออกมาโดยไม่อธิบายสิ่งใดอีก


นางจะอธิบายได้อย่างไร?


บอกว่านางรู้สึกได้ว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ?


คำอธิบายเช่นนั้นยิ่งกล่าวก็ยิ่งเลวร้ายลง ทำให้สถานการณ์บานปลายขึ้น


“ไม่เป็นอันใด สามารถตระหนักความผิดรู้แก้ไขนับว่ายอดเยี่ยม พวกเราทำเช่นนี้ก็เพื่อผลประโยชน์ของตัวเจ้าเอง”


จ้าวแห่งตงชิวยิ้มบาง ๆ ไม่ได้กล่าวโทษอันใดกับซี


ก้าวข้ามถึงขั้นที่หนึ่งร้อยของบันไดสวรรค์ ย่อมถูกกำหนดให้กลายเป็นบรรพจารย์เต๋า ไม่แปลกที่รุ่นหนุ่มสาวจะเกิดความผยองจนควบคุมได้ยาก


ความจริงแล้ว อย่าว่าแต่คนหนุ่มสาวอย่างซีเลย หากเป็นตัวของนางเอง นางคงรู้สึกเกิดความผยองขึ้นในใจเช่นกัน


สามารถบรรลุเป็นบรรพจารย์เต๋าได้ ช่างเป็นเรื่องน่าตื่นตะลึงเกินไป


ซีไม่ต้องการจะคุกเข่าคำนับจริง ๆ แต่เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว แม้ว่านางไม่อยากคุกเข่าก็ไม่อาจทำได้


“หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรหนักหนา...” นางถอนหายใจในใจ


หลังจากนั้นนางก็ก้าวออกไปจนกระทั่งถึงเบื้องหน้าของรูปปั้นบรรพจารย์ตงชิว


นางมองไปยังรูปปั้นของบรรพจารย์ตงชิว ก่อนค่อย ๆ ย่อร่างของตนเองลงเพื่อคุกเข่าคำนับบรรพจารย์ตงชิว


ครืน!


พริบตานั้นเอง บนท้องนภาพลันเกิดเสียงอสนีบาต เมฆดำเคลื่อนตัว ขุมพลังที่เหนือเกินกว่าจะจินตนาการได้กระเพื่อมออกมา ทั่วทั้งดินแดนบรรพโกลาหลมืดมิดลงราวกับล่วงเข้ายามราตรี!


เปรี้ยง!


สายฟ้าสีทองพุ่งออกมาจากฟากฟ้าอันมืดมิด ผ่าใส่รูปปั้นบรรพจารย์ตงชิวโดยตรง!


“ไม่ดีแล้ว!”


สีหน้าของจ้าวแห่งตงชิวแปรเปลี่ยนในทันที นางเรียกใช้มหาวิชาโกลาหลรีบยับยั้งสายฟ้าสีทองโดยพลัน!


เหล่าผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นก็ลงมือพร้อมกันทันที ไม่มีการรั้งรอ พลังถูกปลดปล่อยออกมาร่วมกันปกป้องรูปปั้นของบรรพจารย์ตงชิว


พวกเขาทั้งหมดล้วนเคารพเลื่อมใสบรรพจารย์ตงชิวอย่างเต็มเปี่ยม ไม่มีทางยอมมองรูปปั้นของบรรพจารย์ตงชิวถูกทำลายไปกับตา!


พลังโกลาหลเคลื่อนไหว หลากหลายวิชาถูกสำแดงออกมาเพื่อยับยั้งสายฟ้าสีทอง ทว่าภายใต้สายฟ้าสีทอง วิชาเหล่านี้กลับยังมีกำลังไม่เพียงพอ!


สายฟ้าสีท้องนั้นมากด้วยอานุภาพอย่างถึงที่สุด เพียงแค่พริบตาเดียวมหาวิชาทั้งหมดก็พังทลาย โจมตีใส่รูปปั้นบรรพจารย์ตงชิวในทันที


เปรี้ยง!


เสียงระเบิดดังสนั่น รูปปั้นของบรรพจารย์ตงชิวแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ระเบิดออกจากกันเป็นชิ้น ๆ!


หลังจากนั้นเมฆดำบนฟ้าก็จางหายไป สายฟ้าที่แล่นไปมาก็เลือนลับ ทุกอย่างล้วนกลับคืนสู่สภาพเดิม ทั่วทั้งดินแดนกลับสู่ความสงบ


“นี่...เกิดอันใดขึ้น?!”


“เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้?”


เหล่าผู้ยิ่งใหญ่มองหน้ากันด้วยความตกตะลึง ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ


สายฟ้ามากจากที่ใดกัน?


เหตุใดจึงน่ากลัวถึงเพียงนี้?


แม้พวกเขาร่วมแรงกันก็ไม่อาจหยุดยั้งได้!


สิ่งที่น่าเหลือเชื่อยิ่งไปกว่านั้นคือ กระทั่งรูปปั้นของบรรพจารย์ตงชิวก็ไม่อาจต้านทานได้!


จะเป็นไปได้อย่างไร?!


บรรพจารย์ตงชิวเป็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มแรกที่ถือกำเนิดขึ้นมาในดินแดนบรรพโกลาหล ขอบเขตการฝึกฝนบรรลุถึงระดับล้ำลึกจนไม่อาจหยั่งรู้ได้ อย่างน้อยก็จะต้องเข้าใกล้บรรพจารย์เต๋าบรรพกาลอย่างแน่นอน!


ตัวตนเช่นนี้ แม้เป็นเพียงแค่รูปปั้นแต่ก็มีพลังอันยากจะจินตการถึงคอยปกป้อง ไม่มีทางถูกทำลายลงโดยง่าย


หากเป็นพวกเขา เกรงว่าต่อให้ใช้ฝีมือทั้งหมดรวมทั้งนำสมบัติโกลาหลทุกประเภทออกมาก็ยังไม่สามารถทำลายรูปปั้นของบรรพจารย์ตงชิวได้ ไม่อาจทะลวงกระทั่งพื้นผิวส่วนนอกสุดได้เสียด้วยซ้ำ!


ทว่ารูปปั้นของบรรพจารย์ตงชิวกลับถูกสายฟ้าสีทองโจมตีจนระเบิดออกโดยไม่อาจต้านทานได้แม้แต่น้อย สิ่งนี้อยู่นอกเหนือสามัญสำนึกของพวกเขาโดยสิ้นเชิง!


พริบตานั้นเอง พวกเขาทั้งหมดก็อดหันไปมองที่ซีพร้อมเพียงกัน ใบหน้าของพวกเขาแต่ละคนยิ่งแปลกพิลึกขึ้นเรื่อย ๆ!


พวกเขาสงสัยว่าเรื่องทั้งหมดนั้นเกี่ยวข้องกับซี


อย่างไรเสียก่อนหน้านี้ซีก็เอ่ยว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้น ตอนนี้ก็มีเรื่องเกิดขึ้นแล้วจริง ๆ พวกเขาคิดอย่างไรก็อดสงสัยซีไม่ได้!


“อย่ามองข้าเช่นนั้น ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร...”


ซีพูดขึ้นอย่างอับจนหนทาง


นางเองก็ฉงนเป็นอย่างมาก ไม่รู้จริง ๆ ว่าเหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น


เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ไม่พูดอันใด มองหน้ากันไปมา พวกเขาตัดสินใจร่วมมือกันคำนวณทำนายหาเรื่องราวความจริง


แต่เมื่อรวมพลังกันทำนายแล้ว ใบหน้าของพวกเขาพลันแปรเปลี่ยนสีในพริบตา ทุกคนรีบหยุดมือไม่กล้าทำนายต่อ


ใบหน้าของพวกเขาขาวซีด หอบหายใจหนัก จิตวิญญาณเกือบจะพังทลายลง


เพียงแค่เริ่มทำนายยังไม่ทันเต็มที พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันเหนือกว่าจินตนาการได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากพวกเขายังคงทำนายต่อไป จะต้องถูกกวาดล้างสิ้นในพริบตาเดียวอย่างแน่นอน!


‘นี่คือพลังของบรรพจารย์เต๋าหรือ? มีพลังจากที่ไหนสักแห่งอันเหนือยิ่งกว่าจินตนาการได้คอยคุ้มครองปกป้อง!’


จ้าวตงชิวคิดบางอย่างขึ้นมาได้จึงเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าจริงจัง


‘น่าจะเป็นเช่นนั้น!’


ใบหน้าของจ้าวแห่งฉางเล่อเคร่งขรึม “ขอบเขตบรรพจารย์เต๋า จ้าวแห่งโกลาหล บรรพจารย์แห่งมหาเต๋า เพิกเฉยต่อกฎเกณฑ์ทั้งปวง ขอบเขตไกลเกินกว่าที่เราจะสามารถจินตนาการถึง! บางทีอาจมีพลังขั้นสูงสุดที่ไม่อาจอธิบายได้คอยปกป้องนางเอาไว้อยู่!”


นางรู้สึกว่าความจริงควรเป็นเช่นนั้น


ซีมีทุนที่จะกลายเป็นบรรพจารย์เต๋า ฟ้าดินจึงส่งพลังที่ไม่รู้จักมาปกป้องคุ้มครองซี กระทั่งบรรพจารย์ตงชิวก็ไม่คู่ควรที่ซีจะคุกเข่าคำนับ ดังนั้นเมื่อซีจะคุกเข่าคำนับรูปปั้นบรรพจารย์ตงชิว จึงเกิดเป็นสายฟ้าสีทองผ่าลงมาเช่นนี้


นี่คือพลังจากเต๋าที่ลงมือปกป้องซี!


สายตาที่เขามองซีเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นทันที มีพลังเกราะวิถีคอยปกป้องเช่นนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าซีจะต้องกลายเป็นบรรพจารย์เต๋าบรรพกาลอย่างแน่นอน!


จ้าวแห่งตงชิวแย้มยิ้มพร้อมมองไปทางซีแล้วกล่าวออกมา “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่ใจเคารพก็พอ พวกเราไม่ยึดติดคร่ำครึกับกรอบประเพณี”


แม้ว่ารูปปั้นของบรรพจารย์ตงชิวจะถูกทำลาย แต่ก็ไม่สามารถกล่าวตำหนิซีที่มีพลังเกราะวิถีคอยคุ้มครองอยู่ได้ กล่าวตามจริงแล้วบนโลกหล้าก็ไม่มีผู้ใดสามารถให้บรรพจารย์เต๋าคุกเข่าคำนับได้


“ฮ่าฮ่า พิธีเข้าร่วมยังจำเป็นต้องดำเนินต่อไปใช่หรือไม่ เจ้าเป็นอาจารย์ของนางนี่? เช่นนั้นก็รับการคำนับจากนางในพิธีรับศิษย์สิ”


จ้าวแห่งฉางเล่อมองไปทางจ้าวแห่งตงชิวแล้วกล่าวออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ


“อย่าก่อเรื่อง!”


จ้าวแห่งตงชิวตื่นตกใจกลัวทันที


กระทั่งรูปปั้นบรรพจารย์ตงชิวก็ยังไม่อาจทนรับการคุกเข่าคำนับจากซีได้ หากซีคำนับนางจริง นางจะยังอยู่รอดปลอดภัยอีกหรือ?


ตู้ม!


ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงระเบิดดังลั่นมาจากตรงกลางของแดนบรรพโกลาหล!


ตามมาด้วยพลังน่าสะพรึงกลัวอันไร้ขอบเขตแผ่กระจายออกมาปกคลุมทั่วแดนบรรพโกลาหลในชั่วอึดใจ!


สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในแดนบรรพโกลาหลต่างรู้สึกใจหาย ประหนึ่งว่าวันโลกาวินาศได้มาเยือนถึงพวกเขาแล้ว!


สิ่งมีชีวิตจำนวนมากในแดนบรรพโกลาหลบหมอบลงบนพื้นไม่ได้ ทั้งร่างสั่นระริกสะท้านไปจนถึงจิตวิญญาณ ภายในใจพังทลายลง!


ความหวาดกลัวแผ่กระจายไปทั่วแดนบรรพโกลาหล!




ความตื่นตระหนก ความหวาดผวา ความรู้สึกเหล่านี้แผ่ซ่านเข้าไปในจิตใจของสิ่งมีชีวิตทุกตนในแดนบรรพโกลาหล


ไม่เว้นแม้กระทั่งบรรดาผู้เปี่ยมอำนาจ เมื่อคลื่นพลังสยดสยองเยี่ยงนี้ถาโถม พวกเขาถูกกระแทกอย่างหนักเช่นกัน หัวใจลนลานหวาดผวาถึงขีดสุด!


“สนามรบถูกทำลายได้หรือ?!”


“เป็นไปได้อย่างไร!”


พวกเขาฝืนข่มความตื่นกลัวหวาดผวาในใจ จ้องเขม็งไปยังที่มาของคลื่นพลังอันสยดสยองเช่นนี้ ที่นั่นเริ่มมีประกายพิศวงพราวระยับ พลังปราณอันมุ่งร้ายคืบคลาน!


นี่คือพลังพิศวงลางร้าย!


พวกเขาไม่อาจเชื่อได้ลง สนามรบถูกตีแตกพ่ายแล้วหรือ มิฉะนั้น เหตุใดพลังลางร้ายพิศวงถึงแทรกซึมเข้ามาในแดนบรรพโกลาหลได้!


ซีสั่นไปทั้งตัว นี่มันพลังอะไร


ยังมีพลังที่อันตรายต่อแดนบรรพโกลาหลอยู่อีกหรือ


ฟึ่บฟึ่บฟึ่บ!


ทันใดนั้น มีลำแสงเจิดจ้าทิ่มแทงออกจากที่นั่น พลังกฎวิถีมากมายโลดแล่น มีภาพสะท้อนปรากฏ ฉายให้เห็นภาพเหตุการณ์แล้วภาพเหตุการณ์เล่า


กำแพงเมืองสูงใหญ่ คูเมืองเก่าแก่ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าดิน ร่องรอยสงครามจากมีดดาบขวานค้อนปรากฏให้เห็นอยู่เต็มไปหมด ที่นี่คือแนวหน้าสุดของศึกรับมือความพิศวงลางร้าย!


เบื้องหน้านั้น กระดูกขาวโพลนมีให้เห็นอยู่ทนโท่ ศพนอนเกลื่อนกลาด พสุธากลายเป็นสีแดงสด ที่นี่คือธรณีที่ถูกย้อมเป็นสีแดงด้วยโลหิต คือสมรภูมิที่เข่นฆ่ากันมาอย่างยาวนาน!


พลังพิศวงลางร้ายถูกกีดกันไว้นอกเมือง ที่นั่นถูกหมอกดำบดบัง มองไม่เห็นว่าเป็นอะไรกันแน่!


ทันใดนั้น มีร่างน่ากลัวมากมายพุ่งออกจากหมอกดำ ลมปราณของพวกมันแต่ละตัวล้วนประหวั่นพรั่นพรึง ขนพิศวงยาวปกคลุมทั้งตัว ความมุ่งร้ายแผ่ซ่านออกมา


พวกมันลงมือรุนแรง ทุกการโจมตีพอให้ทลายนภา ดาราแหลกเหลวได้ทั้งสิ้น พวกมันตั้งใจจะฝ่าเข้ามาในเมืองเก่าแก่นี้!


มีสิ่งมีชีวิตขอบเขตพลังลึกล้ำเกินหยั่งเช่นกันเหินออกจากเมืองเก่าแก่ เข้าต่อสู้ดุเดือดกับร่างพิศวงเหล่านี้!


“บรรพจารย์ตงชิว!”


นัยน์ตาซีไหวระริก จำสิ่งมีชีวิตตนหนึ่งที่เหินออกจากเมืองเก่าแก่ได้ เขาคือบรรพจารย์ตงชิว


ร่างอื่น ๆ ที่เหินออกจากเมืองเก่าแก่น่าพรั่นพรึงเฉกเช่นบรรพจารย์ตงชิว คิดแล้วคงเป็นบรรพจารย์ในพื้นที่อื่นของแดนบรรพโกลาหล


ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!


เสียงระเบิดดังต่อเนื่องจากที่นั่น ภายในหมอกดำ มีสิ่งมีชีวิตพิศวงลางร้ายบุกออกมาจำนวนมาก ยั้วเยี้ยอเนกอนันต์!


บรรดาผู้เปี่ยมอำนาจอย่างบรรพจารย์ตงชิวได้เห็นภาพนี้ต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก ความพิศวงลางร้ายคิดจะบุกโจมตีเต็มกำลังแล้วหรือ


สิ่งมีชีวิตพิศวงลางร้ายบุกออกมามหาศาล นี่คิดจะยกทัพมาทั้งหมดเลยหรือไร!


อีกด้าน มีสิ่งมีชีวิตจำนวนมากพุ่งออกจากเมืองเก่าแก่ เข้าห้ำหั่นกับสิ่งมีชีวิตพิศวงลางร้าย


พวกเขาไม่อาจทนมองสิ่งมีชีวิตพิศวงลางร้ายบุกโจมตีไปเฉย ๆ หากเป็นเช่นนั้นคงอันตรายยิ่ง อาจเป็นผลให้เมืองเก่าแก่แตกพ่าย


เมืองเก่าแก่นี้เป็นปราการด่านสุดท้ายของพวกเขา หากเมืองเก่าแก่แตกพ่าย สถานการณ์รังแต่จะยิ่งแย่


“อ๊ากกก! ข้าอยากบุกเข้าไปนัก!”


จ้าวแห่งตงชิวคำรามเสียงดังก้อง ดวงตาแดงก่ำ นางอยากปราดเข้าไปที่สนามรบ ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับสิ่งมีชีวิตในเมืองเก่าแก่ ร่วมต้านศึกกับสิ่งมีชีวิตพิศวงลางร้าย


ทว่านางยังมีหน้าที่อื่น มิอาจบุกไปที่สนามรบ


สิ่งมีชีวิตในเมืองเก่าแก่ล้วนมาจากแดนบรรพโกลาหล สสารโกลาหลอยู่เหนือทุกสิ่ง ไม่ถูกจำกัดด้วยกาลเวลา สิ่งมีชีวิตในแดนบรรพโกลาหลไม่มีอายุขัย ไม่มีวันตายเพราะความชรา


เหล่าสิ่งมีชีวิตที่มุ่งหน้าไปยังเมืองเก่าแก่ ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตจากยุคก่อนในแดนบรรพโกลาหล สิ่งมีชีวิตยุคนี้อย่างพวกจ้าวแห่งตงชิวต้องอยู่ในแดนบรรพโกลาหลเพื่ออบรบสั่งสอนสิ่งมีชีวิตแดนบรรพโกลาหลยุคใหม่


หลังจากสิ่งมีชีวิตแดนบรรพโกลาหลยุคใหม่ผงาดขึ้น พวกเขาจักเข้าร่วมศึกที่เมืองเก่าแก่


ภาพการณ์การต่อสู้ในสมรภูมิถูกฉายออกมาทั้งหมด บรรดาผู้เปี่ยมอำนาจอย่างจ้าวแห่งตงชิวเข้าใจขึ้นมาแล้วว่าเหตุใดถึงมีพลังพิศวงลางร้ายแทรกซึมเข้ามาในแดนบรรพโกลาหล


สงครามที่ความพิศวงโกลาหลก่อในครานี้เอิกเกริกอย่างยิ่ง เหนือกว่าในอดีตมากโข มิน่าถึงมีคลื่นพลังพิศวงลางร้ายหลั่งไหลเข้ามา


ตู้ม ตู้ม ตู้ม!


การต่อสู้ที่นั่นดุเดือดเกินไป เหล่าสิ่งมีชีวิตพิศวงลางร้ายคล้ายว่าคลุ้มคลั่ง ครั้งนี้ดุเดือดกว่าครั้งไหน ๆ ดูเหมือนต้องการให้ตายตกกันไปทั้งสองฝ่าย หมายมั่นจะบุกเข้ามาให้ได้!


“พวกเจ้าคิดจะทำอันใด!?”


เสียงหนึ่งดังออกมาจากภาพ เป็นเสียงของบรรพจารย์ตงชิว พวกเขาสู้ศึกกับความพิศวงลางร้ายมาไม่รู้นานเท่าไร มิเคยมีสถานการณ์เยี่ยงนี้เกิดขึ้นมาก่อน


เขาไม่เข้าใจอย่างยิ่ง


ถึงอย่างไร ด้วยกองกำลังของความพิศวงลางร้ายในตอนนี้ ไม่มีทางตีเมืองเก่าแก่แตก ไม่มีทางบุกเข้าไปได้ แต่ความพิศวงลางร้ายกลับไม่ยี่หระ ตั้งใจจะบุกทะลวงเข้าไปให้ได้ เขาคิดเรื่องนี้ไม่ตก


หรือว่าฝ่ายความพิศวงลางร้ายก่อกำเนิดพลังที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ขึ้นหรือ


เขาเริ่มหนักใจ รู้สึกว่าเป็นไปได้อย่างยิ่ง มิฉะนั้นความพิศวงลางร้ายไม่มีทางประพฤติเช่นนี้ เพราะนอกจากจะสูญเสียรุนแรงกันทั้งสองฝ่าย ไม่เกิดประโยชน์อื่นใดเลย


ด้านพิศวงลางร้ายมิได้ตอบกลับ พวกมันลงมือโหดเหี้ยมยิ่งขึ้น ไม่เหลือทางถอยให้แม้แต่น้อย หมายมั่นจะห้ำหั่นให้ถึงที่สุด!


และในตอนนั้นเอง ประกายพิศวงเจิดจ้าสยดสยองลำหนึ่งพวยพุ่งออกจากม่านหมอกสีดำ พร้อมด้วยพลังน่ากลัวเกินหยั่ง ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตทั้งปวงในเมืองเก่าแก่ต้องสะท้านใจ!


แต่เรื่องที่สิ่งมีชีวิตในเมืองเก่าแก่คิดไม่ถึงคือ ประกายพิศวงเจิดจ้านี้มิได้เล็งมาที่พวกเขา หากแต่เล็งไปที่เมืองเก่าแก่!


ลำแสงพิศวงนี้ว่องไวเป็นหนักหนา สิ่งมีชีวิตจากเมืองเก่าแก่ไม่ทันได้ตั้งตัว ลำแสงพิศวงนั้นก็ปราดไปถึงเมืองเก่าแก่แล้ว!


ตู้ม!


เสียงระเบิดดังสนั่น พลังป้องกันเมืองเก่าแก่ได้รับความเสียหาย แดนบรรพโกลาหลเบื้องหลังเผยออกมาให้เห็น!


“ตอนนี้แหละ!”


สิ่งมีชีวิตพิศวงตนหนึ่งผู้เป็นแม่ทัพยิ้มเย็น ผละออกจากคู่ต่อสู้ของมัน พุ่งตรงเข้าไปที่เมืองเก่าแก่อย่างรวดเร็ว และเข้าไปถึงแดนบรรพโกลาหล!


“กลับมาเดี๋ยวนี้!”


บรรพจารย์ตงชิวตวาดลั่น หมายจะไล่ล่าสิ่งมีชีวิตพิศวงตนนั้น แต่เพียงไม่นานก็ถูกขวางไว้ ไม่อาจตามต่อไปได้


สิ่งมีชีวิตจากเมืองเก่าแก่ตนอื่นก็เจอสถานการณ์เดียวกัน ถูกสิ่งมีชีวิตพิศวงลางร้ายเข้าขัดขวางสุดความสามารถ ไม่อาจผละออกไปได้


“พวกเจ้าคิดจะทำอันใดกันแน่!?”


บรรพจารย์ตงชิวคำรามกราดเกรี้ยว รับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากล เหมือนว่าสิ่งมีชีวิตพิศวงลางร้ายเหล่านี้ตั้งใจส่งแม่ทัพพิศวงตนนั้นเข้าไปในแดนบรรพโกลาหล!


ในแดนบรรพโกลาหลมีสิ่งใดกันแน่ สิ่งมีชีวิตพิศวงถึงต้องหมายตาเพียงนี้


“มิได้ทำอันใด แค่ฆ่าคนคนหนึ่งเท่านั้น! อีกเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว!”


สิ่งมีชีวิตพิศวงตนหนึ่งตอบด้วยรอยยิ้มเย็น ประวิงเวลาให้กับแม่ทัพพิศวงผู้นั้น ยื้อเหล่าสิ่งมีชีวิตจากเมืองเก่าแก่ไว้ทั้งหมด


ภายในแดนบรรพโกลาหล เหล่าผู้เปี่ยมอำนาจอย่างจ้าวแห่งตงชิวต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก มีระดับแม่ทัพของสิ่งมีชีวิตพิศวงบุกเข้ามาได้จริง ๆ!


สำหรับพวกเขา ถือเป็นภัยพิบัติอันตรายถึงชีวิต!


ต้องรู้ว่า พลังของแม่ทัพสิ่งมีชีวิตพิศวงตนนี้ทัดเทียมบรรพจารย์ตงชิว มิใช่ผู้ที่พวกเขารับมือไหว!


สิ่งมีชีวิตพิศวงลางร้ายตั้งใจตัดทางหนีทีไล่พวกเขา หมายจะล้างบางทุกชีวิตในแดนบรรพโกลาหลจนเกลี้ยงหรือ


“ฆ่า!”


“ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหยุดเขาให้ได้!”


เหล่าผู้เปี่ยมอำนาจมิได้ลังเล แม้ว่าพวกเขามิใช่คู่มือของแม่ทัพสิ่งมีชีวิตพิศวงตนนั้น กระนั้นพวกเขาก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อสกัดแม่ทัพสิ่งมีชีวิตพิศวงตนนี้ให้ได้!


“ไสหัวไป เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า!”


แม่ทัพสิ่งมีชีวิตพิศวงตนนั้นยิ้มเย็น แผ่พลังใส่เหล่าผู้เปี่ยมอำนาจจนต้องกระเด็น ปรี่เข้ามาอยู่ตรงหน้าซี


เป้าหมายของมันคือซีหรือนี่!



คลื่นพลังอันน่ากลัวซัดสาด แม่ทัพสิ่งมีชีวิตพิศวงยืนตระหง่านอยู่กลางอากาศ ดวงตาคู่นั้นจ้องซีเขม็ง ชัดเจนในเป้าหมายอย่างยิ่งว่ามาเพื่อซี


มันคือบรรพจารย์ฉื้อ หนึ่งในแกนนำฝ่ายพิศวงลางร้าย ตั้งใจมาที่นี่เพื่อฆ่าซี!


ซีก้าวขึ้นบันไดสวรรค์ได้ถึงร้อยขั้น สะเทือนถึงจุดกำเนิดที่แท้จริงของพวกมัน ที่นั่นมีคำสั่งลงมา ไม่ว่าต้องเสียอะไรไป ก็ต้องฆ่าซีให้ได้!


ใช่แล้ว


พวกมันมิใช่จุดกำเนิดที่แท้จริงของความพิศวงลางร้าย เป็นเพียงแขนงหนึ่งที่แตกย่อยออกมา


ลำแสงที่ทลายแนวป้องกันของเมืองเก่าแก่ก็มาจากจุดกำเนิด หากหวังพึ่งแต่เพียงพวกมัน ย่อมไม่อาจทลายแนวป้องกันของเมืองเก่าแก่ลงได้ ไม่สามารถบุกเข้ามาจนสำเร็จ


“ซี คุกเข่าคำนับมันเสีย!”


จ้าวแห่งตงชิวตะโกนบอกด้วยความร้อนใจ


ซีมีพลังเกราะวิถี นางต้องการให้ซีคุกเข่าคำนับบรรพจารย์ฉื้อ กระตุ้นพลังเกราะวิถีออกมาสังหารบรรพจารย์ฉื้อ


นี่เป็นวิธีเดียวของพวกเขา นอกจากนี้ พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นอีก


“ใช่แล้ว!”


“คุกเข่าคำนับมัน ขอให้มันอภัยให้!”


ผู้เปี่ยมอำนาจคนอื่นถึงบางอ้อเช่นกัน รีบร้อนตะโกนบอก


ไร้เดียงสาปานนี้เชียว?


บรรพจารย์ฉื้อหัวเราะ ผู้เปี่ยมอำนาจเหล่านี้คิดว่าหลังซีคุกเข่าคำนับมันแล้วมันจะปล่อยซีไปหรือ


เป็นไปได้อย่างไร!


การคุกเข่าคำนับซีหาได้มีความหมายสำคัญไม่


“อย่าฆ่าข้า ข้ายอมคุกเข่าคำนับเจ้า หวังว่าเจ้าจะยอมปล่อยข้าไป!”


อีกด้าน ซีก็รู้ตัวขึ้นมา มองบรรพจารย์ฉื้อด้วยทีท่าน่าสงสารพร้อมกล่าว


“ได้ เห็นเจ้าจริงใจเยี่ยงนี้ ข้าจะให้โอกาสเจ้าสักครา คุกเข่าเสีย หากคุกเข่าได้น่าดู ไม่แน่ข้าอาจยอมปล่อยเจ้าไปก็ได้”


บรรพจารย์ฉื้อหัวเราะร่วน มันชอบเห็นผู้อื่นขอร้องอ้อนวอนอย่างไร้ศักดิ์ศรี


แน่นอนว่า มันพูดไปอย่างนั้น ไม่มีทางปล่อยซีไปจริง ๆ ต่อให้ซีโขกพื้นจนศีรษะแตกก็ไม่มีทาง


คำสั่งจากแดนกำเนิด มันไฉนเลยจะกล้าไม่ทำตาม วันนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ปกป้องซีไว้ไม่ได้ ซีต้องจบชีวิตลงอย่างไม่ต้องสงสัย!


พูดจบ มันยื่นมือไพล่หลัง ยืนตระหง่านอยู่บนนภา รอซีคุกเข่าคำนับมัน


ทว่าเพียงไม่นาน แทบจะวินาทีต่อมา สีหน้าของมันก็เปลี่ยนไปอย่างมหันต์ ร่างทั้งร่างตึงเครียดขึ้นมา!


ซีเพิ่งโค้งตัวลงเท่านั้น คลื่นพลังอันน่ากลัวก็ปรากฏบนนภา!


ครืนคราน!


อสนีบาตสีทองมหึมาผ่าลงจากผืนฟ้า ถล่มบนตัวมัน ขนพิศวงตามตัวไหม้เกรียมมีควันโขมง


“บัด…ซบ นี่มันเรื่องอะไรกัน คุกเข่าเรียกสายฟ้าพิฆาตหรือ?!”


มันสบถยกใหญ่ โทสะคุกรุ่น เห็นได้ชัดว่าติดกับเสียแล้ว


สีหน้าซีเปลี่ยนไป คิดไม่ถึงว่าบรรพจารย์ฉื้อแข็งแกร่งปานนี้ อสนีบาตสีทองถล่มลงมาแล้วก็มิอาจปลิดชีพบรรพจารย์ฉื้อได้!


“รับการคุกเข่าคำนับจากข้าอีกสักครา!”


นางตะโกนลั่น โค้งมากขึ้นจนร่างทั้งร่างเอนลง


ครืน!


อสนีบาตสีทองผ่าลงจากฟ้าอีกครั้ง สยดสยองยิ่งกว่าครั้งก่อน!


บรรพจารย์ฉื้อถูกผ่าจนร่างหายไปครึ่งหนึ่ง เลือดโชกทั้งตัว สภาพน่าขนลุก!


แต่มันแข็งแกร่งมากจริง ๆ เอ่ยว่าแข็งแกร่งจนผิดมนุษย์มนาก็ไม่เกินไป แม้จะถูกฟ้าผ่ารุนแรง ทว่าพลังปราณมิได้ลดน้อยถอยลงแม้แต่น้อย ยังคงดุดันอย่างมาก


“แข็งแกร่งยิ่งนัก!”


เหล่าผู้เปี่ยมอำนาจสีหน้าเปลี่ยนไปในบัดดล กระทั่งพลังเกราะวิถีของซียังจัดการบรรพจารย์ฉื้อไม่ได้หรือ


แบบนี้แย่แน่!


ซีเองก็นึกไม่ถึง นางสูดปาก บรรพจารย์ฉื้อเป็นตัวอะไรกันแน่


ทว่า นางมิได้ยอมแพ้ นางไม่เชื่อว่าหากคุกเข่าต่อไปแล้วบรรพจารย์ฉื้อจะรอด!


“ข้าขอคุกเข่าอีก!”


“คุกเข่าอีก!”


“คุกเข่า ๆๆ!”


ซีตะโกนไม่หยุด เปลี่ยนลูกไม้คุกเข่าอย่างแพรวพราว


แน่นอนว่านางมิได้คุกเข่าลงไปจริง ๆ เพียงแต่ทำท่าทำทางไปอย่างนั้นเพื่อกระตุ้นพลังเกราะวิถีของนาง


ครืนคราน!


อสนีบาตสีทองผ่าลงมาจากฟ้าไม่หยุด ทวีความน่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ ถล่มใส่บรรพจารย์ฉื้อจนมันครวญครางด้วยความเจ็บปวด


“เลิกคุกเข่าทีเถิด ข้าคุกเข่าให้เจ้าแทนดีหรือไม่!”


บรรพจารย์ฉื้อร่ำไห้ น้ำตานองหน้า


มันแข็งแกร่งมากก็จริง กระนั้นก็ต้านฟ้าผ่าที่ถล่มลงมาระรัวปานนี้ไม่ไหว พลังปราณของมันเริ่มอ่อนแรงลง ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป มันต้องตายอยู่ที่นี่จริง ๆ!


เรื่องนี้สร้างความทุกข์ใจแก่มันเหลือคณา


มันไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันต้องพานพบเรื่องเยี่ยงนี้!


อนาถเกินไปแล้ว!


เลือดสาดกระเซ็น เนื้อตัวมันไม่มีชิ้นส่วนไหนคงสภาพสมบูรณ์ โดนผ่าจนเละไปถึงกระดูก นี่ยังดีที่เป็นมันผู้แกร่งกล้า หากเป็นผู้อื่นที่อ่อนแอกว่ามัน ป่านนี้คงตายไปนานแล้ว!


“เป็นไปได้อย่างไร! เจ้าอยากให้ข้าคุกเข่านักมิใช่หรือ วันนี้ ข้าจะคุกเข่าให้พอ!”


ซีเคลื่อนไหวร่างกายมากยิ่งขึ้น อสนีบาตที่ผ่าลงมาก็ทวีความน่ากลัว ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่หยุดไม่หย่อน


ตู้ม!


ร่างของบรรพจารย์ฉื้อแหลกลาญ กลายเป็นหมอกเลือด ทว่าอย่างไรมันนั้นก็ไม่ธรรมดา หลอมร่างใหม่ขึ้นมาได้ท่ามกลางหมอกเลือด


บัดซบ!


เอาแต่พูด ไม่เห็นทำจริงสักอย่าง!


ซีเอ่ยว่าจะคุกเข่า จนบัดนี้ยังมิได้คุกเข่าลงไปจริง ๆ สักครา!


บรรพจารย์ฉื้อก่นด่าในใจไม่หยุด เหตุไฉนมันถึงซวยปานนี้ หากรู้อย่างนี้แต่แรก มันคงไม่รับภารกิจนี้ ปล่อยให้สิ่งมีชีวิตพิศวงตนอื่นรับหน้าที่แทนไปแล้ว!


นอกจากนี้ มันก็ถึงบางอ้อ ไม่แปลกที่ซีสร้างความแตกตื่นให้กับแดนกำเนิดพิศวงได้ จนแดนกำเนิดพิศวงออกคำสั่งประหารซีให้ได้ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไร!


ซีผู้นี้พิลึกจริง ๆ เป็นพวกผิดแผก ไม่อาจคาดคะเนด้วยหลักการปกติ!


“อยากหนีก็ไม่ได้!”


มันร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวดยิ่งขึ้น จะหนียังทำไม่ได้ สายฟ้าผ่าลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า มันขยับเขยื้อนไม่ได้เลย!


พรวด! พรวด! พรวด!


หมอกเลือดทะยาน ร่างของมันระเบิดแหลกลาญอีกครั้ง แม้ว่ามันหลอมร่างขึ้นมาใหม่ กระนั้นพลังปราณของมันก็อ่อนแรงลงถึงขีดสุด!


“ระยำเอ๊ย! นี่มันพลังอะไรกัน?!”


มันร้องไห้ไม่หยุด อารมณ์หม่นหมองถึงขีดสุด มันรับรู้ถึงความตายที่กำลังคืบคลาน หากถูกผ่าใส่อีกเพียงครั้งเดียว มันต้องตายลงอย่างสิ้นเชิง!


มันไม่อาจเชื่อได้ลงเลย!


มันแข็งแกร่งขนาดไหน ใกล้บรรลุขอบเขตบรรพจารย์เต๋าเต็มที ทว่ามันกลับต้านได้ไม่ถึงสามครั้ง หลอมร่างใหม่เพียงสองครั้งก็รู้สึกอันตรายถึงชีวิต!


“ได้แล้ว ๆ!”


“ฆ่าเขาเสีย!”


บรรดาผู้เปี่ยมอำนาจยินดีปรีดาเหลือล้น ดวงตาเปล่งประกาย


บรรพจารย์ฉื้อเป็นคนใหญ่คนโตคนหนึ่งจากฝ่ายพิศวงลางร้าย หากสังหารบรรพจารย์ฉื้อลงได้ ย่อมต้องสร้างความเสียหายให้ฝ่ายพิศวงลางร้ายได้อย่างมหาศาล และช่วยทุ่นแรงให้กับฝ่ายพวกเขาได้มาก


ทว่าเวลานั้นเอง ลำแสงพิศวงลำหนึ่งพุ่งออกมาจากห้วงอากาศ เปี่ยมไปด้วยพลังปราณลางร้าย แทรกซึมเข้าไปในร่างของบรรพจารย์ฉื้อ


ชั่วพริบตานั้น พลังปราณบรรพจารย์ฉื้อเปลี่ยนไปมหันต์ พุ่งพรวดอย่างบ้าคลั่ง ร่างทั้งร่างขยายใหญ่ขึ้นจนมโหฬาร ราวกับทำให้ท้องฟ้าแตกออกได้ทุกเมื่อ!


บาดแผลของมันหายหมดสิ้น เมื่อลืมตาขึ้น ลำแสงน่ากลัวพวยพุ่งทะลวงนภา!


อสนีบาตสีทองถล่ม มันคว้าเข้ามาในมือ ก่อนจะอ้าปากกลืนอสนีบาตสีทองเข้าไป


ซีตกตะลึง คิดไม่ถึงเลยว่าบรรพจารย์ฉื้อจะแข็งแกร่งขึ้นจนน่าประหวั่นพรั่นพรึงถึงเพียงนี้


นางเร่งความเร็ว เรียกอสนีบาตลงมามากขึ้น!


ครืน!


อสนีบาตสีทองมากมายนับไม่ถ้วนหลอมรวมอยู่ด้วยกัน ประดุจน้ำตกสายฟ้า ถล่มลงมาด้วยความน่ากลัวเหลือแสน ภาพการณ์ชวนผวา!


“เปล่าประโยชน์!”


บรรพจารย์ฉื้อยิ้มเย็น ยืนอยู่ที่เดิม มิได้เคลื่อนไหวแต่อย่างใด มั่นใจถึงขีดสุด!


ลำแสงที่พุ่งเข้ามาในร่างมันเมื่อครู่ เป็นพลังจากแดนกำเนิดพิศวง พลังของมันทวีคูณขึ้นไปหลายเท่า ไม่ต้องพะวงการโจมตีจากอสนีบาตอีกต่อไป!


น้ำตกสายฟ้าหลั่งไหล ห้วงมิติระเบิดแหลกลาญ ทั่วทั้งแดนบรรพโกลาหลสั่นสะเทือนไม่หยุด ทว่าบรรพจารย์ฉื้อกลับไม่มีรอยขีดข่วนใด ๆ ต้านทานสายฟ้าได้ทั้งหมด


“นี่มัน!”


“จบสิ้นแล้ว!”


เหล่าผู้เปี่ยมอำนาจได้เห็นภาพนี้แล้ว ตาแทบถลน บรรพจารย์ฉื้อในยามนี้สยดสยองยิ่งนัก พลังเกราะวิถีของซีไม่ส่งผลใด ๆ ต่อบรรพจารย์ฉื้อ!


“เอ่ยว่าคุกเข่าอยู่ตั้งนานแต่กลับไม่ยอมคุกเข่าลงไปเสียที หนนี้ ข้าจะให้เจ้าได้คุกเข่าจริง ๆ!”


บรรพจารย์ฉื้อหันมองซี สายตาเปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้น “ข้าไม่สนว่าเจ้าผิดเพี้ยนจากผู้อื่นอย่างไร วันนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ปกป้องเจ้าไม่ได้ ข้าจะให้เจ้าตายไปทั้งที่คุกเข่าอยู่!”


มันกระทืบเท้าเบา ๆ ทันใดนั้น พสุธาภูผาสั่นไหว พลังพิศวงอันน่ากลัวแผ่ซ่าน มันกลายเป็นเหมือนผู้กุมอำนาจเพียงตนเดียว ควบคุมได้ทุกอย่าง!


เดิมทีซีนั้นหวาดกลัวเหลือแสน ทว่าไม่นานนัก ความหวาดกลัวนี้ก็จางหายไป


นางสงบลง


“เจ้าพูดจริงหรือ”


นางเงยหน้าช้า ๆ ทอดสายตามองบรรพจารย์ฉื้อ ความรู้สึกหนึ่งปรากฏในใจ หากบรรพจารย์ฉื้อกล้าลงมือสังหารนางจริง ๆ บรรพจารย์ฉื้อย่อมต้องตายไร้ที่ฝัง!


ยามความรู้สึกนี้ปรากฏ ตัวนางเองยังตกตะลึงไปไม่น้อย


บรรพจารย์ฉื้อในตอนนี้น่าพรั่นพรึงถึงเพียงนี้ ไฉนเลยจะมีพลังอันใดทำให้บรรพจารย์ฉื้อตายอย่างไร้ที่ฝังได้อีก


นางเชื่อได้ยากจริง ๆ


ทว่าความรู้สึกเช่นนั้นในใจยังคงรุนแรง นางไม่มีทางมีอันเป็นไป ผู้ที่ต้องมีอันเป็นไปมีเพียงบรรพจารย์ฉื้อเท่านั้น


“ยังจะมัวเล่นละครกับข้าอยู่อีกหรือ?!”


บรรพจารย์ฉื้อพิโรธ มือใหญ่ข้างหนึ่งฟาดเข้าไป “จงคุกเข่ารับความตายเสีย!”



ฝ่ามือมโหฬารข้างหนึ่งพาดผ่านนภา ขนยาวพิศวงงอกเงยเต็มกาย บรรพจารย์ฉื้อบันดาลโทสะ ถูกยั่วยุด้วยท่าทีสงบของซี


มันกดฝ่ามือลงมา ประหนึ่งท้องฟ้าถล่มลง คลื่นพลังน่ากลัวซัดสาด มันต้องการให้ซีตายในท่าคุกเข่า!


ทันใดนั้น มันมีลางในใจ ฝ่ามือหยุดชะงักโดยไม่รู้ตัว ดวงตาคู่นั้นจ้องมองไปยังที่หนึ่งด้วยความคร่ำเครียด


ที่นั่นมิมีสิ่งใด ทุกอย่างอยู่ในความสงบ ทว่าในใจมันกลับมีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่า ที่นั่นคล้ายจะมีพลังสยดสยองบางอย่างปรากฏ!


ตู้ม!


ห้วงมิติระเบิดแหลกลาญ พายุโหมกระหน่ำอยู่ในปฐพี กฎระเบียบเหนือจินตนาการโลดแล่น บรรพจารย์ฉื้อสังหรณ์ใจไม่ผิด ที่นั่นมีพลังสยดสยองปรากฏขึ้นจริง!


มันจริงจังมาก มิกล้าชะล่าใจแม้แต่น้อย คลื่นพลังที่ส่งมาจากที่นั่น แม้แต่ตัวมันยังรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน!


เรื่องนี้น่าเหลือเชื่อนัก และยากที่มันจะเชื่อได้ลง


กำลังรบของมันในตอนนี้เพิ่มพูนเป็นเท่าตัว ทัดเทียมกำลังรบระดับบรรพจารย์เต๋าได้แน่นอน ไฉนถึงยังขวัญเสียได้ปานนี้


แต่ความจริงเป็นอย่างนั้น พลังจากที่นั่งทำให้หัวใจของมันเต้นรัวเร็ว รู้สึกหวาดผวา


“ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นตัวอะไร! บังอาจขวางทางข้า ไม่ว่าสิ่งใดจักต้องแตกดับด้วยกันทั้งสิ้น!”


มันตวาดเสียงเย็น สร้างขวัญกำลังใจให้ตนเอง


ลำแสงจากแดนกำเนิดพิศวงทำให้รู้เลยว่า ทางแดนกำเนิดคอยเฝ้ามองสถานการณ์ด้านนี้อยู่ตลอด


บ่งบอกว่ามันมีกำลังเสริมอันทรงพลังอยู่!


แดนกำเนิดย่อมต้องให้ความช่วยเหลือมัน!


คิดมาถึงนี่ มันเริ่มใจเย็นลง ไม่รู้สึกกลัวอีกต่อไป


เบื้องหลังของมันคือทั้งแดนกำเนิดพิศวงที่คอยหนุน มันยังต้องกลัวเกรงสิ่งใดอีก


พลังนี้จะแกร่งกล้าเพียงใด ก็ไม่มีทางแกร่งกล้าไปกว่าแดนกำเนิดพิศวง


เป็นไปได้อย่างไรกัน!


แดนกำเนิดพิศวงที่แท้จริงเป็นสถานที่ที่จินตนาการไม่ออก พลังระดับบรรพจารย์เต๋ามิได้ยิ่งใหญ่แต่อย่างใด แม้กระทั่งมันก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปยังแดนกำเนิดพิศวงที่แท้จริง ที่นั่นลึกลับเป็นพิเศษ มันก็รู้เรื่องมาไม่มาก


เสียงดังฟึ่บ มันยกมือเรียกหอกยาวพิศวงเล่มหนึ่ง และเกราะพิศวงอีกหลายชุดสวมทับบนตัว เพิ่มความปลอดภัย


ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!


เสียงระเบิดดังสะท้อนไปทั่วฟ้าดิน ที่นั่นมีภาพการณ์ชวนผวายิ่งกว่าปรากฏ ลำแสงนับล้านพวยพุ่ง กลบแสงสว่างทั้งมวล พลังเหนือจินตนาการโลดแล่นอยู่ภายใน เห็นแล้วชวนให้ชาไปทั้งหนังศีรษะ สั่นสะท้านไปถึงวิญญาณ!


จากนั้น ภาพร่างเลือนรางร่างหนึ่งก้าวออกมา


คล้ายว่ามันถูกถักทอประสานขึ้นด้วยกฎระเบียบต่าง ๆ มิมีรูปโฉมเด่นชัด หลังมันก้าวออกมา ทั้งแดนบรรพโกลาหลสั่นสะเทือนรุนแรง กฎแห่งโกลาหลถูกมันเหยียบย่ำอยู่ใต้เท้า!


เหล่าผู้เปี่ยมอำนาจอย่างจ้าวแห่งตงชิวทอดมองภาพร่างนั้น หัวใจสั่นสะท้านอย่างหนัก


ท่านผู้นี้เป็นใครกัน?!


พวกเขารู้สึกถึงความต่ำต้อยอย่างใหญ่หลวง เมื่ออยู่เบื้องหน้าท่านผู้นี้ พวกเขาเป็นเพียงธุลียังมิได้


“เจ้า…”


ซีมองภาพร่างเลือนรางนั้น ความรู้สึกพิเศษบางอย่างปรากฏในใจ


นางรู้สึกคุ้นเคยกับภาพร่างเลือนรางนี้มาก คล้ายว่าเป็นคนคุ้นเคยของนาง เคยใกล้ชิดสนิทกับนาง


“ข้าคิดอะไรอยู่”


นางสั่นศีรษะ รู้สึกว่าตัวเองช่างเพ้อเจ้อเก่งยิ่งนัก


ผู้ยิ่งใหญ่ระดับนี้ นางไม่เคยพบเห็นด้วยซ้ำ ไฉนเลยจะใกล้ชิดสนิทกันได้


นางคิดมากเกินไปแล้ว…


“ฆ่า!”


บรรพจารย์ฉื้อสีหน้าเย็นชา พริบตาที่ภาพร่างเลือนรางนั้นปรากฏ มันก็บุกสังหารเข้าไป!


หอกยาวพิศวงมีปราณลางร้ายแผ่ซ่านออกมาอย่างหนาแน่น ตวัดออกไปพร้อมด้วยอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต!


วูบ!


ภาพร่างเลือนรางนั้นฟาดฝ่ามือออกไปเบา ๆ หอกยาวพิศวงแหลกลาญในพริบตา เศษซากระจายเกลื่อนพื้น!


“!!!”


ม่านตาบรรพจารย์ฉื้อหดแคบลงอย่างแรง ตกตะลึงเหลือคณา พลังอะไรกันนี่ หอกยาวเล่มนี้ไม่อาจต้านทานได้แม้แต่การโจมตีเดียวเชียวหรือ


มันถอยหลังอย่างรวดเร็ว สำแดงมหาวิชาออกไปวิชาแล้ววิชาเล่า พลังพิศวงอันน่ากลัวคลี่แผ่ออกไปจนมืดฟ้ามัวดิน เสียงระเบิดดังไม่หยุดหย่อน สถานที่หลายแห่งเหลือเพียงซากปรักหักพัง สสารโกลาหลทลายจนหมด!


ภาพร่างเลือนรางก้าวไปข้างหน้า ฟ้าดินสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ กระทั่งสิ่งมีชีวิตพิศวงลางร้ายด้านสมรภูมิยังได้รับแรงกระเทือนมหาศาล สิ่งมีชีวิตพิศวงลางร้ายมากมายร่างกายแหลกลาญ กลายเป็นเพียงหมอกเลือด!


“ถอย ๆๆ!”


“ถอยเร็ว!”


ด้านสมรภูมิ สิ่งมีชีวิตพิศวงลางร้ายตกตะลึงกันทั้งหมด พวกมันล่าถอยอย่างรวดเร็ว มิกล้าสู้รบกันต่อ


ภาพร่างเลือนรางนั้นน่ากลัวเกินไป พวกมันรู้สึกว่า หากภาพร่างเลือนรางนั้นย่ำเท้าเข้ามา พวกมันต่างต้องตายกันหมด สลายกลายเป็นจุณ!


“ส่งกองหนุนมาสิ!”


บรรพจารย์ฉื้อร้องไห้ออกมาอย่างไม่เอาไหน ความผวาคืบคลานเข้ามาในใจ ตัวสั่นเหมือนเจ้าเข้า หลังภาพร่างเลือนรางเริ่มเคลื่อนไหว มันรู้สึกว่าพลังสยดสยองไร้ที่สิ้นสุดเช่นนั้นเล็งเป้ามาที่มัน สองเท้าของมันขยับเขยื้อนไม่ได้เลยสักนิด!


มันร้องหากำลังหนุนจากแดนกำเนิดพิศวง ส่วนมันเองเรียกเกราะออกมาอีกหลายสิบชั้นอย่างรวดเร็ว แล้วสวมใส่บนตัว


ตึง ตึง ตึง!


ภาพร่างเลือนรางนั้นก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน ฟ้าดินสะเทือน ห้วงมิติสะท้านรุนแรง มันอยู่เหนือทุกสิ่ง มหาเต๋ายังต้องส่งเสียงกู่ร้องอยู่ใต้เท้าของมัน


“แม่เจ้า!”


บรรพจารย์ฉื้อร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม ทุกก้าวที่ภาพร่างเลือนรางย่ำออกมาเหมือนว่าย่ำลงในหัวใจของมัน มันไม่เหลือสติอีก สายตาทอประกายสิ้นหวัง


เวลานั้นเอง ห้วงอากาศเบื้องหลังมันสะเทือนรุนแรง หลุมดำมหึมาปรากฏ พลังพิศวงลางร้ายอันน่ากลัวโลดแล่นอยู่ภายใน กองหนุนที่บรรพจารย์ฉื้อต้องการมาแล้ว!


“เจ้าโดนเอาตายแน่!”


บรรพจารย์ฉื้อมั่นอกมั่นใจขึ้นมาในบัดดล หัวเราะร่วนอย่างบ้าคลั่ง มันรู้สึกได้ว่ากองหนุนในครานี้ทรงพลังยิ่งขึ้น มันไม่เหลือความสิ้นหวังอย่างเก่า นัยน์ตาวาวโรจน์ แข็งกร้าวเก่งกล้าขึ้นมา!


มันมั่นใจว่าสามารถต่อสู้กับภาพร่างเลือนรางได้!


ตึง!


ภาพร่างเลือนรางก้าวเท้า เท้าที่ย่ำลงมา ส่งผลให้หลุมดำระเบิดแหลกลาญในบัดดล พลังพิศวงลางร้ายในนั้นถูกลบล้างไปจนสิ้น!


“น่ากลัวขนาดนี้เชียว!?”


บรรพจารย์ฉื้ออึ้งงัน คนผู้นี้เป็นใครกัน? น่าพรั่นพรึงเกินไปแล้ว! พลังหนุนจากแดนกำเนิดพิศวงถูกลบล้างได้ทันทีเชียวหรือ!


“บังอาจนัก!”


เสียงตวาดเย็นยะเยือกดังออกมากลางอากาศ แดนกำเนิดพิศวงทาบทับลงบนแดนบรรพโกลาหล ร่างน่าประหวั่นพรั่นพรึงร่างหนึ่งพุ่งออกมา!


มันน่ากลัวถึงขีดสุด พลังปราณที่แผ่ขยายออกมาโดยมิได้ตั้งใจเป็นผลให้ผืนฟ้าทั้งผืนระเบิดแหลกเหลว กลายเป็นซากปรักหักพังอย่างสิ้นเชิง พริบตาที่มันลืมตาขึ้น ลำธารกาลเวลาอันยาวนานพังครืน พลังปริภูมิเวลาอันยุ่งเหยิงบดขยี้ทุกอย่างจนแหลกลาญ!


ชั่วขณะนั้น มันจุติลงมาบนแดนบรรพโกลาหล แรงกดดันอันสยดสยองแผ่ปกคลุมไปทั่วปฐพี สิ่งมีชีวิตทั้งปวงในแดนบรรพโกลาหลถูกกดทับกับพื้น ร่างกายร้าวราน เลือดไหลไม่หยุด!


สิ่งมีชีวิตในเมืองเก่าแก่ก็ไม่ได้รับการยกเว้น เหล่าบรรพจารย์จากแดนต่าง ๆ อย่างบรรพจารย์ตงชิวก็ถูกกดทับกับพื้น หายใจยังไม่ออก วิญญาณใกล้แตกดับเต็มที!


“ต้นบรรพจารย์เสวี่ยเทียน!”


“ต้นบรรพจารย์!”


สิ่งมีชีวิตฝ่ายพิศวงลางร้ายเดือดพล่าน ท่านผู้นี้เป็นถึงต้นบรรพจารย์ หนึ่งในผู้ให้กำเนิดพลังพิศวงลางร้าย มีต้นบรรพจารย์ระดับนี้ออกโรง ย่อมต้องบดขยี้ได้ทุกสิ่ง!


พลังพิศวงลางร้ายอันน่ากลัวแผ่ซ่านอยู่ตามตัวของมัน หนาแน่นขนาดที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มันน่ากลัวเกินไป มิมีสิ่งใดเข้าใกล้มันได้ ทุกอย่างต้องถูกพลังพิศวงลางร้ายฉีกเป็นชิ้น ๆ!


ดูไม่ออกว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใด นิยามมิได้ ตามตัวมีขนยาวพิศวงปกคลุมอยู่เช่นกัน ทว่าจุดที่แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตพิศวงลางร้ายอื่น ๆ คือ สีของขนยาวพิศวงตามตัวของมันไม่คงที่ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา


“แหลกเหลวไปเสีย!”


เสียงของต้นบรรพจารย์เสวี่ยเทียนเย็นเยียบเสียดกระดูก จนสิ่งมีชีวิตมากมายนับไม่ถ้วนรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงแห่งความตาย คล้ายเป็นเสียงแห่งการปลิดชีพ สยดสยองยิ่งนัก!


เสียงดังตู้ม มันฟาดฝ่ามือเข้าไป วางตัวอย่างผู้เหนือกว่า หมายจะบดขยี้ภาพร่างเลือนรางนี้ด้วยฝ่ามือเดียว


ทว่า ภาพร่างเลือนรางนั้นเพียงแค่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเบา ๆ เท่านั้น พลังของต้นบรรพจารย์เสวี่ยเทียนถูกลิดรอนไปในพริบตา จากนั้น แรงดูดรุนแรงปรากฏ ดูดกลืนตัวต้นบรรพจารย์เสวี่ยเทียนเข้ามา


ภาพร่างเลือนรางนั้นชูนิ้วออกมาสองนิ้ว บีบเข้าหากันเบา ๆ


ต้นบรรพจารย์เสวี่ยเทียนผู้เป็นหนึ่งในผู้ก่อกำเนิดความพิศวงถูกบีบเป็นผุยผง มลายหายไปอย่างสิ้นเชิง!


นี่คือภาพร่างไร้เทียมทาน!


สะเทือนเลือนลั่นกันถ้วนหน้า!


ภาพนี้สร้างความสะท้านให้กับสิ่งมีชีวิตทั้งปวง สิ่งมีชีวิตในแดนบรรพโกลาหล สิ่งมีชีวิตเมืองเก่าแก่ รวมถึง…สิ่งมีชีวิตฝ่ายพิศวงลางร้าย!


น่ากลัวเกินไปแล้ว เป็นไปได้อย่างไรกัน ต้นบรรพจารย์เสวี่ยเทียนถูกบีบให้ตายง่าย ๆ เสมือนมดตัวหนึ่งอย่างนั้น พวกเขาไม่เคยฝันถึงภาพเหตุการณ์เช่นนี้เลยสักครั้ง


หนึ่งในผู้ก่อกำเนิดความพิศวง ตัวเองคือลางร้าย มีพลังสูงส่งเกินหยั่ง เหนือขอบเขตความเข้าใจทั้งปวง ตายอย่างน่าอเนจอนาถ ตายอย่างง่ายดาย เล่าให้ผู้อื่นฟังคงมิมีใครเชื่อ เหนือธรรมชาติเกินไป!


สิ่งมีชีวิตทั้งปวงหันมองภาพร่างเลือนรางนั้นด้วยสีหน้าเหม่อลอย นี่เป็นเพียงภาพร่างหนึ่งเท่านั้น ถักทอประสานด้วยกฎระเบียบอันบริสุทธิ์ ไม่ถือเป็นร่างแยกด้วยซ้ำ หากเป็นร่างจริง จะน่าประหวั่นพรั่นพรึงถึงเพียงใด!?


“คุ้นเคยยิ่งนัก เหมือนเคยอยู่เคียงกันมาแล้วเนิ่นนาน…”


ซีพึมพำกับตัวเองเสียงเบา สงสัยใคร่รู้จากใจจริง นางยิ่งได้มองภาพร่างเลือนรางนั้นยิ่งรู้สึกคุ้นเคย ราวกับเป็นคนในครอบครัวที่นางสนิทสนมเป็นอย่างดี


ทว่าเป็นไปได้อย่างไรกัน


นางไฉนเลยจะได้คลุกคลีกับตัวตนระดับนี้?


แค่คิดก็ไม่มีทางเป็นจริง


“เขาคือผู้ที่ช่วยข้า และเปลี่ยนแปลงร่างกายของข้าไปถึงแก่นหรือ”


นางคิดไปในใจ รู้สึกว่านี่แหละคือความจริง นางจ้องมองภาพร่างเลือนรางนั้นพลางพึมพำ “เพราะเหตุใด ข้ามีอันใดควรค่าให้ช่วยเหลือ ทั้งยังมอบวาสนาการเปลี่ยนแปลงกับพลังป้องกันเช่นนี้ให้”


น่าเสียดาย ภาพร่างเลือนรางนั้นมิได้ให้คำตอบนาง ร่างของมันค่อย ๆ หายไป ทุกอย่างคืนสู่ความสงบ ร่องรอยทั้งหมดอันตรธาน ราวกับไม่เคยปรากฏออกมาตั้งแต่ต้น


เหล่าบรรพจารย์ในแดนต่าง ๆ อย่างบรรพจารย์ตงชิวรีบร้อนกลับมายังแดนบรรพโกลาหล อยากทราบถึงตื้นลึกหนาบางและภูมิหลังของซี ส่วนสิ่งมีชีวิตพิศวงลางร้ายฝ่ายนั้นกลัวหัวหดจนล่าถอยกันไปหมดแล้ว ไม่คิดใคร่ครวญให้มากก็รู้ว่าสิ่งมีชีวิตพิศวงลางร้ายมิกล้าทำการใดอีกในช่วงระยะสั้น ๆ นี้


“ท่านบรรพจารย์!”


จ้าวแห่งตงชิวนามตงเยียนเข้ารวมตัวกับบรรพจารย์ตงชิวทันที และรายงานสถานการณ์ของซีให้บรรพจารย์ตงชิวทราบ


หลังบรรพจารย์ตงชิวได้ยินว่าตงเยียนสั่งให้ซีคุกเข่าคำนับรูปปั้นของเขา เขาก็ตกตะลึงจนเด้งตัวขึ้นมา ถลึงตามองตงเยียน อย่าให้เอ่ยเลยว่าสายตาพิลึกปานใด


ให้ตายสิ นี่กลัวเขาอายุยืนไปหรือไร ถึงให้ซีซึ่งมีท่านผู้นั้นคอยปกปักษ์รักษาคุกเข่าคำนับเขา ดีที่ท่านผู้นั้นมิได้ถือสาหาความมากนัก เพียงแต่ผ่ารูปปั้นเขาจนแหลกลาญเท่านั้น หากท่านผู้นั้นคิดเอาความจริง ๆ เขาต้องติดร่างแหไปด้วยแน่ ร่างจริงยังต้องถูกผ่าจนแหลกลาญไปด้วย!


“ไม่ต้อง ต่อแต่นี้ไปให้งดเว้นระเบียบข้อนี้ ห้ามมิให้ผู้ใดคุกเข่าคำนับอีก!”


บรรพจารย์ตงชิวเอ่ยอย่างนึกกลัว


จากนั้น เขาเสริมอีกประโยค “ไม่สิ หลังจากนี้ ห้ามตั้งรูปปั้นของข้าอีก เอ่อ รูปวาดก็มิได้! ข้ายังอยากอยู่ให้นานกว่านี้หน่อย!”


“รีบปลดรูปปั้นและรูปวาดของข้าเสีย!”


“ยกเลิกการคุกเข่าคำนับทั้งหมด!”


บรรพจารย์แดนอื่นอยู่ที่นี่ด้วย หลังรับรู้สถานการณ์ พวกเขาแต่ละคนต่างเหมือนกระต่ายตื่นตูม รีบออกคำสั่งเหมือน ๆ กันลงไป


นี่มิใช่เรื่องเล่น ๆ ไม่แน่อาจเอาชีวิตพวกเขาได้จริง ๆ


“ท่านอาจารย์!”


ซีเดินเข้ามา เรียกตงเยียนว่าท่านอาจารย์อย่างนอบน้อม


“ท่านผู้นี้คือท่านบรรพจารย์ใช่หรือไม่”


นางหันมองบรรพจารย์ตงชิว ร้องเรียกเสียงเคารพ “คารวะท่านบรรพจารย์”


ครืน!


ท้องฟ้าที่เคยสงบพลันมีเสียงฟ้าร้องดังสนั่น ตงเยียนและบรรพจารย์ตงชิวต่างตกตะลึง กลัวจนวิญญาณแทบออกจากร่าง!


“อย่า!”


ตงเยียนและบรรพจารย์ตงชิวรีบปฏิเสธ มิกล้าให้ซีขานสรรพนามเรียกนี้


ท้องฟ้ากลับมาสงบอีกครั้ง อสนีบาตสีทองที่เคยหลอมรวมไว้หายไป


พวกเขาโล่งอก นึกในใจว่าท่านผู้นั้นคงมิใช่ว่าอยู่ในสัมพันธ์อย่างคนรักกับซีหรอกกระมัง มิฉะนั้น เหตุใดถึงอ่อนไหวเช่นนี้


ถึงอย่างไร หากท่านผู้นั้นเป็นคนรักของซีจริง ๆ แล้วพวกเขาขานสรรพนามเรียกของซี วันหน้าท่านผู้นั้นมิต้องเรียกขานพวกเขาว่าท่านอาจารย์ และท่านบรรพจารย์ด้วยหรือ?


บ่วงกรรมที่เกี่ยวข้องนี้ใหญ่หลวงนัก มิใช่เรื่องที่พวกเขาจะรับไหว


ส่วนที่ว่าท่านผู้นั้นใช่อาจารย์ของซีหรือไม่นั้น พวกเขารู้สึกว่าไม่น่าใช่ ภาพร่างนั้นดูแล้วยังวัยเยาว์อยู่มาก มีอาจารย์ศิษย์เช่นนี้ที่ไหน สัมพันธ์คู่รักมีความเป็นไปได้สูงกว่า


“ไม่ต้องเรียกเราว่าท่านอาจารย์และท่านบรรพจารย์ เจ้าอยู่ฝึกฝนในตำหนักตงชิวของเราก็พอ” บรรพจารย์ตงชิวกล่าว


ซีพยักหน้า “ก็ได้”


พวกเขาพาซีกลับไปยังตำหนักตงชิว หลังจัดแจงเรื่องของซีเรียบร้อย ตงเยียนและบรรพจารย์ตงชิวออกมาด้านนอก


“ท่านบรรพจารย์ ซีมีท่านผู้นั้นคอยปกปักษ์รักษา พวกเราพาซีไปหาพวกพิศวงลางร้ายเลยได้หรือไม่ ให้ท่านผู้นั้นล้างบางความพิศวงลางร้ายให้สิ้นซาก” ตงเยียนเอ่ย


ความพิศวงลางร้ายเป็นภัยร้ายรุนแรงที่สุดสำหรับพวกเขามาโดยตลอด นางได้ตระหนักถึงพลังของท่านผู้นั้น หากพาซีไปด้วย พิศวงลางร้ายทั้งปวงย่อมต้องถูกเก็บกวาดจนสิ้น


“คิดอะไรอยู่! ความคิดเช่นนี้ของเจ้าอันตรายยิ่งนัก! จงจำไว้ว่าภายหลังห้ามมีความคิดเช่นนี้อีก!”


บรรพจารย์ตงชิวผวากับวาจาของตงเยียน จนต่อว่าเสียงดัง “เจ้ากล้าดีอย่างไร ถึงริอ่านคิดหลอกใช้ท่านผู้นั้น!”


ตงเยียนคิดได้ หน้าซีดเผือดในบัดดล เม็ดเหงื่อเท่าถั่วหลั่งริน เอ่ยด้วยตัวสั่นเทา “เป็นความผิดของข้า เป็นความผิดของข้า ข้ามิกล้าคิดเช่นนี้อีกแล้ว!”


“เรื่องราวทุกอย่างจงปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ห้ามคิดหลอกใช้ซีหรือท่านผู้นั้นเด็ดขาด ทำเช่นนั้นเท่ากับ…รนหาที่ตาย!”


บรรพจารย์ตงชิวเอ่ยเสียงขึงขัง


...


บนธรณีสีเทาที่ลอยอยู่เงียบ ๆ ในส่วนลึกของอวกาศ โลหิตพ่นออกมาไม่หยุด ประหนึ่งตาน้ำพุมากมาย อย่าให้เอ่ยเลยว่าภาพที่เห็นนั้นชวนผวาปานใด


ที่นี่เต็มไปด้วยความพิศวงลางร้าย เข้มข้นจนน่ากลัว เสียงถอนหายใจดังมาจากส่วนลึก ทั้งจักรวาลรวนเรตามเสียงถอนหายใจนี้


ต้นบรรพจารย์เสวี่ยเทียนตายแล้ว สิ่งมีชีวิตทุกตนในที่นี้ตะลึงกันหมด พวกมันตื่นขึ้นทีละตน แต่ละตนล้วนมิอาจให้คำนิยามได้ ขนยาวหนาเป็นชั้นปกคลุมทั้งกาย


“นั่นมันผู้ใดกัน เหตุใดถึงปรากฏตัวในจักรวาลโกลาหลผืนนั้น ไม่ควรเกิดเรื่องเช่นนี้เลย!”


สิ่งมีชีวิตตนหนึ่งส่งเสียง มันคือต้นบรรพจารย์เช่นกัน สสารพิศวงลางร้ายในตัวหนาแน่นจนเกินจินตนาการ


มันเป็นหนึ่งในผู้ก่อกำเนิดความพิศวงลางร้าย


“หัวใจโกลาหลในจักรวาลโกลาหลผืนนั้นต่ำต้อยปานใด ถูกกำหนดขีดจำกัดไว้นานแล้ว มิอาจทลายได้ ไม่ควรมีกำลังรบระดับนั้นถือกำเนิดขึ้นได้เลย”


สิ่งมีชีวิตอีกตนส่งเสียง เป็นหนึ่งในผู้ก่อกำเนิดเช่นกัน


สรรพสิ่งล้วนวิวัฒนาจากความโกลาหล อาณาจักรทั้งปวง สิ่งมีชีวิตนับล้าน ต่างพัฒนาขึ้นจากความโกลาหล และขีดจำกัดสูงสุดถูกลิขิตไว้แต่แรก ไม่มีทางเหนือไปกว่านั้น


“มาจากจักรวาลโกลาหลแห่งอื่นหรือ”


พวกมันสนทนากันต่อ ได้ข้อมูลอันน่าสะพรึงว่า นอกจักรวาลโกลาหลยังมีอาณาจักรอื่น และพวกมันเองก็อยู่นอกความโกลาหล


ภายในความโกลาหลล้วนมีหัวใจแกนกลาง นั่นคือหัวใจโกลาหล จุดกำเนิดพลังทุกอย่าง และคือตัวการสำคัญในการวิวัฒนาเป็นสรรพสิ่งกับอาณาจักรทั้งปวง


ความพิศวงลางร้ายยึดครองจักรวาลโกลาหลเช่นนี้ไว้ได้หนึ่ง


หัวใจโกลาหลของจักรวาลโกลาหลที่พวกมันอยู่นั้นทรงพลังเป็นพิเศษ พลังแกร่งกล้าอย่างยิ่งยวด ด้วยเหตุนี้ พวกมันถึงแกร่งกล้าได้ปานนี้


และจักรวาลโกลาหลที่แขนงย่อยของพวกมันอยู่ จากที่พวกเขาสืบมา พลังของหัวใจโกลาหลมีจำกัด เทียบมิได้กับจักรวาลโกลาหลที่พวกมันอยู่เลย เพราะอย่างนั้น หลังมีกำลังรบระดับนั้นปรากฏ พวกมันถึงตกตะลึงด้วยความคิดไม่ถึง


“พวกเรายังต้องลุยต่อหรือไม่ ดูแล้วเจ้านั่นจัดการได้ยากยิ่ง…”


ต้นบรรพจารย์ตนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา


ต้นบรรพจารย์เสวี่ยเทียนถูกบดขยี้จนร่างกายแหลกเหลวง่ายดาย นี่ใช่แค่ต่อกรด้วยยากที่ไหน เรียกว่าต่อกรด้วยมิได้เลยต่างหาก


“กลัวอะไร ต้องลุยต่ออยู่แล้ว!”


ต้นบรรพจารย์อีกตนยิ้มเย็น “ต่อให้เขาแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่มีทางเป็นคู่มือของเรา อย่าลืมว่าสิ่งใดอยู่เบื้องหลังของเรา! พวกเรามีแรงสนับสนุนจากเทวโลก!”


“ถูกต้อง!”


“พวกเรามิมีสิ่งใดต้องเกรงกลัว!”


ต้นบรรพจารย์ตนอื่นหัวเราะเสียงเย็น จักรวาลโกลาหลผืนนั้นต้องตกเป็นของพวกมันในที่สุด ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจขัดขวาง!


พวกมันได้สัมผัสกับเทวโลกแล้ว!


เทวโลกเชียวนะ นั่นคืออาณาจักรที่อยู่เหนือจักรวาลโกลาหลทั้งปวง


ต้องรู้ว่า หัวใจโกลาหลทุกดวงล้วนร่วงหล่นลงจากเทวโลก!