641-645

ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่นิยายระบบ ก่อนที่จะรับฟังช่วยกดไลค์และกด subscribe เป็นกำลังใจด้วยนะครับ
นิยายเสียง อยู่ดีดีข้าก็เป็นเซียน
บทที่ 641ถึง645


ภายในเมืองจิ่งเทียน


กลุ่มของหลี่จิ่วเต้าเดินวนอยู่หนึ่งรอบเต็ม ก่อนจะกลับไปที่รถลาก และออกจากเมืองจิ่งเทียนไป


เมืองจิ่งเทียนไม่เลวจริง ๆ อารยธรรมฝึกตนซึ่งมนุษย์ปุถุชนไม่อาจสัมผัสได้มีอยู่ทุกที่ หลี่จิ่วเต้าเปิดประสบการณ์ไม่น้อย ทว่าน่าเสียดาย เขาไม่เจอซี


เขาไม่ได้ถามไปทั่วว่ามีผู้ใดเคยพบซีหรือไม่ แม้ว่าเขาอยากจะเจอซีมากก็ตาม


ช่วงเวลาที่เขาได้ใช้ร่วมกับซี ซีมักมีความสุขอยู่เสมอ


แต่กระนั้น เขายังสัมผัสได้ถึงความเศร้าหมองของนางภายใต้ความสุขเหล่านั้น


โดยเฉพาะยามนางบอกลาเขา ความเศร้าเสียใจนั้นยิ่งเด่นชัด


ซีในยามนั้นเด็ดเดี่ยวถึงที่สุด ราวกับหลังจากกันคราวนี้ พวกเขาจะมิได้พานพบกันอีกทั้งชีวิต!


เขารับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า ซีแบกรับบางอย่างไว้บนบ่า!


และเพราะสิ่งที่อยู่บนบ่านาง นางจึงจำเป็นต้องบอกลาเขา มุ่งหน้าต่อไปตามลำพัง


ที่เขาไม่ได้ถามผู้ใดก็เพราะกลัวจะส่งผลกระทบต่อซี นำพาเหตุร้ายสู่นาง จนเกิดเรื่องไม่คาดคิดกับอีกฝ่าย


หากมิใช่ว่าคำนึงถึงเรื่องนั้น เขาย่อมต้องไปซักไซ้กับสิ่งมีชีวิตฝึกตนในเมืองให้ทั่วว่าพวกเขาเคยพบซีหรือไม่


และเขาจะทิ้งรูปวาดของนางไว้ในเมือง รวมถึงที่อยู่ของเขา เผื่อว่าวันหน้ามีสิ่งมีชีวิตฝึกตนใดรู้เบาะแสของนาง จะได้ไปหาเขาที่เมืองชิงซาน


เช่นนี้ย่อมเพิ่มโอกาสที่เขาจะได้พบซีอีกมาก


ไม่แน่ว่าซีอาจได้เห็นภาพวาดที่เขาทิ้งไว้ แล้วไปหาเขาที่เมืองชิงซานด้วยตนเอง


ทว่าน่าเสียดาย เขาไม่รู้เลยว่าซีแบกรับสิ่งใดไว้บนบ่า และไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วซีมีภารกิจอันใด จึงมิกล้าทิ้งข้อมูลของซีไว้สุ่มสี่สุ่มห้า


‘มีวาสนาพันลี้ยังได้พานพบ ไร้วาสนาอยู่ตรงข้ามยังมิได้เห็นหน้า…ข้าเชื่อว่าข้ากับซียังมีวาสนาต่อกัน สุดท้ายต้องได้พบกันอีกแน่!’


หลี่จิ่วเต้าครุ่นคิดด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม


จิ้งจอกขาวยังคงนอนนิ่งอยู่ตรงมุม มิได้แสดงท่าทีอันใดกับการกลับมาของพวกหลี่จิ่วเต้า


สีหน้าของนางยังคงเย็นชา ดูไม่เข้ากับที่นี่เป็นอย่างยิ่ง


หลี่จิ่วเต้ามิได้ถือสาเรื่องนั้น เขาดูออกว่าจิ้งจอกขาวยังต่อต้านตัวเขาอยู่บ้าง นี่มิใช่เรื่องใหญ่ ภายหลังย่อมดีขึ้นเอง


“ไปกันเถิด”


เขาวางจิ้งจอกน้อยสีแดงเพลิงลง ให้จิ้งจอกน้อยสีแดงเพลิงไปอยู่เป็นเพื่อนจิ้งจอกขาว


จิ้งจอกน้อยสีแดงเพลิงวิ่งเข้าไปอยู่ข้างกายจิ้งจอกขาว หัวเล็ก ๆ ของมันถูตัวจิ้งจอกขาวไปมาอย่างสนิทสนม พลันสีหน้าเย็นชาของจิ้งจอกขาวอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด


อีกด้าน เฟ่ยชงพาเซียวฮุ่ยมาที่นี่ ทันได้เห็นสัตว์อสูรทั้งเก้าลากรถออกจากเมืองจิ่งเทียนพอดี


“ใช้อสูรจ้าวสูงสุดเก้าตัวลากรถ บางทีหลี่จิ่วเต้าอาจอยู่ข้างในนั้น!”


เซียวฮุ่ยตาเป็นประกาย จับสัมผัสขอบเขตพลังของสัตว์อสูรทั้งเก้าได้ในทันที


ใช้อสูรจ้าวสูงสุดเก้าตัวลากรถ ต้องยิ่งใหญ่ขนาดไหนกัน ในพื้นที่เล็ก ๆ อย่างแดนบูรพาทิศเหยียนโจว มีผู้ยิ่งใหญ่ระดับนี้ที่ไหน


นางนึกถึงหลี่จิ่วเต้าขึ้นมาในบัดดล


“ให้ลงมือเลยหรือไม่” เซียวฮุ่ยปริปากถาม


เวลานี้นางสวามิภักดิ์อยู่ใต้บัญชาเฟ่ยชงอย่างสมบูรณ์ แต่ช่วยไม่ได้ หากนางไม่ยอมศิโรราบก็เท่านั้น เรื่องนี้นางไม่มีสิทธิ์ตัดสิน


“ยังก่อน!”


เฟ่ยชงมีสีหน้าเคร่งเครียด “แม้แต่ข้ายังจับสัมผัสมิได้ว่าภายในรถลากเป็นอย่างไร อย่าเพิ่งลงมือ”


เรื่องนี้เกินความคาดหมายของเขาไปหน่อย นึกไม่ถึงเลยสักนิด


เขาทรงพลังปานใด เป็นถึงจ้าวแห่งเซียนสูงสุด ไฉนถึงไม่สามารถล่วงรู้สถานการณ์ภายในรถลากได้


ทว่าความจริงเป็นเช่นนั้น


เขาคลี่แผ่ประสาทสัมผัสเซียนออกไปสืบค้น กลับไม่ได้ข้อมูลกลับมาสักนิด ประสาทสัมผัสเซียนของเขาเมื่อไปถึงที่นั่นเสมือนศิลายักษ์ที่จมดิ่งลงก้นมหาสมุทร หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่อาจสืบทราบเหตุการณ์ข้างในได้เลย!


ส่งผลให้เขามิกล้าบุ่มบ่ามลงมือ


“ตามไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”


เขาโบกมือ พลังนิรนามบางอย่างเข้าครอบคลุมเขาและเซียวฮุ่ย อำพรางพลังปราณของพวกเขาไว้มิดชิด ป้องกันมิให้ถูกเปิดเผย


สัตว์อสูรทั้งเก้าลากรถมุ่งหน้าต่อไปช้า ๆ ส่วนเฟ่ยชงและเซียวฮุ่ยตามหลังมาติด ๆ แต่พวกเขามิกล้าเข้าใกล้จนเกินไป กลัวจะถูกจับได้


ตกกลางคืน สัตว์อสูรทั้งเก้าหยุดลากรถ และหยุดอยู่ในเทือกเขาแห่งหนึ่ง


หลี่จิ่วเต้าเป็นผู้สั่งให้หยุดเอง


ชายหนุ่มกลัวว่าสัตว์อสูรทั้งเก้าต้องเดินทางต่อเนื่องแล้วจะเหนื่อย เพราะอย่างนั้นเมื่อถึงยามค่ำคืน จึงให้สัตว์อสูรทั้งเก้าได้หยุดพักผ่อนหนึ่งคืน กลางวันค่อยเดินทางต่อ


ทว่ามิมีผู้ใดออกมาจากข้างใน


ข้างในนั้น พวกหลี่จิ่วเต้ากำลังกินมื้อเย็นกันอยู่


พวกเขาสนทนาเฮฮา กินกันอย่างสุขสราญ ทั้งยังดื่มสุราไปไม่น้อย


แต่เฟ่ยชงและเซียวฮุ่ยซึ่งอยู่ด้านนอกไม่ได้ยินอะไรสักอย่าง พลังของรถลากปิดกั้นทุกสิ่ง


“ฮ่า ๆ ราตรีนี้งดงามนัก ข้าจะออกไปเดินเล่นเสียหน่อย พวกเจ้าพักผ่อนเถิด”


หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้ม ตั้งใจจะออกไปเดินเล่นข้างนอก


อันที่จริง เขามิได้ต้องการเดินทอดน่องชมทัศนียภาพยามราตรีในเทือกเขานี้


แต่เพียงต้องการสร่างเมาเท่านั้น


ทุกคนนั่งกินข้าวด้วยกัน ซ้ำยังมีความสุขปานนั้น ประกอบกับมีต้าเต๋อ เพื่อนตัวน้อยผู้ถูกจริตการดื่มสุรากับเขาอย่างยิ่ง เขาจึงดื่มไปไม่น้อย บัดนี้ฤทธิ์สุราเริ่มตีขึ้นหัวแล้ว


คราวก่อนที่เขาเมา เขาเข้าห้องผิดไปที่ห้องลั่วสุ่ย นอนทับลั่วสุ่ยตลอดคืน เช้ามายังมีปฏิกิริยาอย่างที่บุรุษพึงจะเป็นอีก อย่าให้พูดเลยว่ากระอักกระอ่วนเพียงใด


เขาไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ทำความผิดซ้ำซาก


มิหนำซ้ำ ครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงลั่วสุ่ย แต่ยังมีหลิงอิน เซี่ยเหยียน และพวกอันหลานเสวี่ย ขืนเขาเข้าห้องผิดไปที่ห้องของเซี่ยเหยียน หลิงอิน หรือว่าอันหลานเสวี่ย มิยิ่งกระอักกระอ่วนหรอกหรือ


เพราะเหตุนี้ เขาถึงอยากออกไปเดินเล่นข้างนอก ตากลมยามราตรีให้สร่างเสียหน่อย ป้องกันมิให้ตัวเองทำผิดอีก


“หลี่จิ่วเต้า!”


“ใช่เขาจริงด้วย!”


เฟ่ยชงและเซียวฮุ่ยเร้นกายอยู่ในความมืดมาโดยตลอด หลังหลี่จิ่วเต้าลงจากรถลาก พวกเขาจำหลี่จิ่วเต้าได้ในปราดเดียว


“ต้าเต๋อจะอยู่ในรถลากคันนี้หรือไม่”


เซียวฮุ่ยเอ่ยกับเฟ่ยชงเสียงเบา นางรู้สึกว่าต้าเต๋อน่าจะอยู่กับหลี่จิ่วเต้า บางทีอาจอยู่ในรถลากคันนี้ด้วย


“เป็นไปได้!”


เฟ่ยชงพยักหน้า รู้สึกเช่นกันว่าต้าเต๋ออยู่ในรถลากคันนี้


“ถ้าอย่างนั้นพวกเราลงมือเลยดีหรือไม่”


เซียวฮุ่ยเอ่ย เสนอให้บุกเข้าไปในรถลาก ให้รู้กันไปเลยว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร


“ไม่ต้องรีบร้อน!”


เฟ่ยชงกล่าว “รถลากคันนี้พิลึกเกินไป กระทั่งข้ายังไม่มั่นใจว่าจะบุกเข้าไปภายในนั้นได้ รถลากคันนี้ถือเป็นยอดศาสตราชิ้นหนึ่งเช่นกัน!”


“พวกเขานำยอดศาสตรามากมายขนาดนี้มาจากที่ใดกัน!”


เซียวฮุ่ยเอ่ยขึ้นอย่างอดมิได้


สี่กระบี่ประหารเซียนของหยวนอี ลูกประคำของต้าเต๋อ รถลากในตอนนี้ นางคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าไปนำของเหล่านี้มาจากไหน


“ตัวการสำคัญอยู่ที่หลี่จิ่วเต้า!”


เฟ่ยชงหัวเราะเสียงเย็น “ในเมื่อหลี่จิ่วเต้าออกมาแล้ว พวกเราก็จับตัวเขาไว้ก่อนแล้วกัน!”


เขาไม่ได้คลี่แผ่ประสาทสัมผัสเซียนออกไปสืบค้นหลี่จิ่วเต้า เพราะกลัวจะแหวกหญ้าให้งูตื่น ตามการคาดการณ์ของเขา หลี่จิ่วเต้าต้องไม่ใช่ปุถุชนธรรมดาแน่นอน ขอบเขตพลังของเขาคงอยู่ในระดับสูงมาก


ก่อนหน้านี้ เขามิได้มองหลี่จิ่วเต้าเป็นศัตรูตัวฉกาจ ทว่าหลังได้เห็นรถลากคันนี้ เขาก็หยุดความคิดนั้น ให้ความสำคัญกับหลี่จิ่วเต้าขึ้นมาก ปฏิบัติต่อเขาดั่งศัตรูตัวฉกาจอย่างแท้จริง


“เจ้ารออยู่นี่ ข้าจะไปประมือกับหลี่จิ่วเต้าผู้นี้หน่อย!”


เฟ่ยชงเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็น


จากนั้น เขาก็มุ่งตรงไปประชิดตัวหลี่จิ่วเต้า



สายลมยามค่ำคืนหนาวเย็นนิดหน่อย หลี่จิ่วเต้าเดินอยู่ท่ามกลางขุนเขา พริบตาเดียวก็สร่างเมาขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่รู้สึกเมามากเช่นเดิม


อย่างที่คิด ลงมาเดินเล่นหน่อยเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง


ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม กลับไปคราวนี้ เขาไม่ต้องกังวลว่าจะเข้าห้องใครผิดอีกแล้ว


ฟึ่บ!


ประกายยะเยือกวาววับ ดาบยาวสีแดงฉานเล่มหนึ่งทะลวงออกมากลางอากาศ ฟาดฟันใส่หลี่จิ่วเต้า


เฟ่ยชงรอบคอบอย่างยิ่ง ไม่ได้ประมาทแม้แต่น้อย เขามองหลี่จิ่วเต้าเป็นศัตรูตัวฉกาจอย่างแท้จริง มิได้เผยตัวสู้กันซึ่งหน้า หากแต่เลือกวิธีลอบโจมตี!


ทว่ายามดาบยาวสีแดงฉานเล่มนั้นฟาดฟันมาเกือบถึงหลี่จิ่วเต้า กลับเกิดเสียงดัง ‘ปัง’ ดาบยาวสีแดงฉานเล่มนั้นระเบิดแหลกลาญ เศษดาบกระจัดกระจายเต็มพื้น


หลี่จิ่วเต้าได้ยินเสียงจึงหันกลับไปมอง เขารู้สึกตกใจนิดหน่อย


จู่ ๆ ก็มีดาบยาวสีแดงฉานเช่นนี้โผล่ออกมา เห็นได้ชัดว่ามีผู้ฝึกตนลงมือกับเขา!


‘โชคดีที่ข้าพกของวิเศษเหล่านั้นติดตัวมาด้วย!’


หลี่จิ่วเต้าสงบสติ ครุ่นคิดในใจ คาดการณ์ว่าคงเป็นของวิเศษในตัวเขาที่ช่วยเขาไว้ มิฉะนั้น ดาบยาวสีแดงฉานเล่มนั้นคงฟันโดนตัวเขาแล้วเป็นแน่


แม้ว่าเขามิใช่ผู้ฝึกตน ไม่เคยบำเพ็ญ เป็นเพียงปุถุชน กระนั้นเขาก็ไม่ใช่ปุถุชนธรรมดาแน่นอน


ครั้งหนึ่งเพื่อให้มีทักษะการต่อสู้ เขาห้ำหั่นกับสัตว์ป่าต่าง ๆ ในเขาชิงซานอยู่ทุกวี่วัน จิตใจจึงค่อนข้างเข้มแข็ง มิได้แตกตื่นลนลาน ทำตัวไม่ถูกยามประสบเคราะห์ภัย


‘นี่ข้าถูกหมายตาหรือนี่’


หลี่จิ่วเต้าหัวเราะในใจ วิเคราะห์สถานการณ์ด้วยความสุขุม


คิดแล้วเขาเป็นเพียงปุถุชนผู้หนึ่ง ไฉนเลยจะต้องให้ผู้ฝึกตนลอบโจมตีเขาอย่างนั้น


ทว่าก็นึกถึงของวิเศษในตัวขึ้นมาได้ฉับพลัน


เดิมเขาไม่มีความผิด หากแต่ผิดที่มีสมบัติในการครอบครอง เมื่อครั้งพวกเขาทำการแลกเปลี่ยนกับชายชรา คงถูกผู้ฝึกตนบางกลุ่มเพ่งเล็งไว้แล้ว


นี่จะมาฆ่าเขาชิงทรัพย์ชัด ๆ!


โลกแห่งการฝึกตนโหดร้ายมากอย่างที่คิด!


ฟึ่บ!


หลี่จิ่วเต้าตั้งจิต แหวนที่มือเปล่งแสง ธงฮุ่นหยวนปรากฏในมือ ร่างของเขาและธงฮุ่นหยวนพลันหายลับไป


แหวนนี้เขาซื้อจากชายชราเช่นกัน เป็นแหวนบรรจุของ จากที่ชายชรากล่าวมา นี่คือยอดศาสตราจากยุคอนันตกาล สามารถบรรจุได้ทุกสิ่งในใต้หล้านี้


น่าเสียดาย แม้ว่าจะเขามีสมบัติในตัวมาก ทว่าอย่างไรก็มิใช่ผู้ฝึกตน ไม่รู้ว่าศัตรูอยู่แห่งหนใด เพราะเหตุนี้ เขาถึงเลือกใช้ธงฮุ่นหยวนอำพรางร่างของตนในทันที


เช่นนี้ อย่างน้อยศัตรูก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน เขาปลอดภัยขึ้นอีกมาก


ธงฮุ่นหยวนไม่เพียงแต่อำพรางตนได้ ทั้งยังสามารถทะลวงห้วงมิติ เขาสามารถใช้พลังจากธงฮุ่นหยวนกลับไปถึงรถลากทันที ให้เซี่ยเหยียนจัดการศัตรูที่เร้นกายในมุมมืด


ทว่าเขามิได้ทำเช่นนั้น


ด้านหนึ่งเพราะศัตรูในมุมมืดอาจหนีไปได้ ถึงอย่างไรไวแค่ไหนก็ยังต้องใช้เวลา ขืนศัตรูฉวยโอกาสนี้หนีไปคงไม่รู้จะไปไล่ตามที่ไหน


อีกด้านเพราะ ตัวเขาอยากลองปะทะศึกกับศัตรูในมุมมืดดูสักตั้ง!


เขายังมิเคยต่อสู้กับผู้ฝึกตนมาก่อน!


ความรู้สึกนี้ส่งผลให้หลี่จิ่วเต้าเลือดร้อนขึ้นมาทันที เขาอยากลองยืมพลังจากของวิเศษเหล่านี้เพื่อดูว่าพอจะประมือกับผู้ฝึกตนได้หรือไม่


ถึงอย่างไรก็มีธงฮุ่นหยวนอยู่ เขาล่าถอยได้ทุกเมื่อ!


บวกกับพวกเซี่ยเหยียนอยู่ไม่ไกล เขาไม่มีทางเป็นอะไรไป


ตนจะหวังพึ่งคนอื่นอยู่ตลอดไม่ได้ ต้องมีช่วงเวลาที่ต้องอยู่ตามลำพังบ้าง อย่างเช่นยามนี้ ก็ควรจะเรียนรู้วิธีต่อสู้กับผู้ฝึกตนสักหน่อย!


อีกด้าน หลังจากร่างของหลี่จิ่วเต้าอันตรธานหายไป ขนของเฟ่ยชงก็ลุกชันไปทั้งตัว หัวใจหวาดผวาเหลือแสน!


เขาหนาวสะท้านไปทั้งตัว ประหวั่นพรั่นพรึงเป็นอย่างยิ่ง หลี่จิ่วเต้าหายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาแผ่ประสาทสัมผัสจ้าวแห่งเซียนของตนถึงขีดสุด ก็ยังจับสัมผัสร่องรอยหลี่จิ่วเต้าไม่ได้เลยสักนิด ราวกับหลี่จิ่วเต้าไม่เคยปรากฏตัวออกมา!


การสูญเสียร่องรอยศัตรูไปอย่างสิ้นเชิง นับเป็นเรื่องร้ายแรงที่สุดในการต่อสู้ เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าหลี่จิ่วเต้าจะบุกออกมาตอนไหน สถานการณ์แบบนี้เขาเป็นรองเกินไป!


เขามิได้ลังเล หันหลังคิดจะหนีไปจากที่นี่ทันที หลี่จิ่วเต้าน่ากลัวกว่าที่เขาคิดเสียอีก เขาไม่กล้าสู้ต่อแล้ว!


นี่ก็เพราะเขาออกจากภพเซียนเร็วเกินไป


หากว่าเขาออกจากภพเซียนช้ากว่านี้หน่อย ยามนั้นเขาก็จะได้พบหลี่จิ่วเต้าและคงได้กลัวจนขี้หดตดหาย


หลี่จิ่วเต้าเคยออกอาละวาดในภพเซียนมาก่อน จักรพรรดิเซียนทั้งสิบเจ็ดออกโรงกันพร้อมหน้ายังไม่ไหว มีค่าเพียงธุลีเมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่จิ่วเต้า หากว่าเฟ่ยชงได้รู้เรื่องนี้ ให้ตายอย่างไรเขาก็มิกล้าหมายหัวหลี่จิ่วเต้า


ครืน!


แต่ในตอนนั้นเอง เสียงฟ้าร้องดังครืนครานอยู่บนนภา ก่อนที่เม็ดฝนจะสาดลงมาอย่างบ้าคลั่งในบริเวณนี้


หลี่จิ่วเต้าเรียกใช้ไข่มุกคุมวารี!


เขาไม่รู้ตำแหน่งที่แน่ชัดของศัตรู จึงคิดใช้หยาดฝนไล่ต้อนศัตรูให้เผยตัว


เฟ่ยชงถูกบีบบังคับให้ออกมา ไม่เหลือที่ให้หนีอีกต่อไป เขาเรียกโล่เซียนออกมาบดบังไว้เหนือหัว กีดขวางเม็ดฝนที่ตกลงมา!


“เกิดอันใดขึ้น!”


“คุณชายออกโรงหรือ?!”


ภายในรถลาก พวกเซี่ยเหยียนรับรู้ได้ถึงคลื่นพลังด้านนอก แต่ละคนรีบเหินออกจากรถลาก มุ่งหน้าไปหาคุณชาย


ส่วนเซียวฮุ่ยหนีไปนานแล้ว


แม้ว่านางจะอยู่รอที่นั่น ทว่านางก็คอยจับตาดูสถานการณ์ด้านเฟ่ยชงอยู่ตลอด ทันทีที่เห็นร่างของหลี่จิ่วเต้าหายลับไป ก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ดีแล้ว เฟ่ยชงอาจถึงคราวจบเห่ ด้วยเหตุนี้ นางจึงหนีไปโดยไม่ลังเล!


ซ่า!


ฝนสาดลงมา เฟ่ยชงป้องกันด้วยโล่เซียนก็ไม่ไหว เม็ดฝนกระทบโล่เซียน เพียงเสี้ยวพริบตา โล่เซียนก็มีรูพรุน ปัดป้องฝนที่สาดลงมาไม่ได้อีกต่อไป!


หลี่จิ่วเต้าเป็นใครกันแน่!


เฟ่ยชงว้าวุ่นใจเป็นหนักหนา รู้สึกแย่เป็นที่สุด เขาคิดไม่ถึงเลยว่าในอาณาจักรนี้จะยังมีตัวตนที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงถึงเพียงนี้ดำรงอยู่!


นี่คือโล่จ้าวแห่งเซียนที่ตีขึ้นด้วยสมบัติวิเศษนานัปการ โล่จ้าวแห่งเซียนที่จ้าวแห่งเซียนสูงสุดผนึกกำลังยังไม่อาจทลาย!


บัดนี้กลับเปราะบางถึงเพียงนี้ ป้องกันเม็ดฝนยังมิได้ เขาแทบคุมสติไม่อยู่


“ออกมาแล้ว!”


หลี่จิ่วเต้าสายตาเย็นเยียบ ลงมือเด็ดขาด ยกมือเรียกพัดห้าเพลิงเจ็ดวิหคออกมา โหมกระหน่ำไปทางเฟ่ยชง


ก่อนหน้านี้ที่เขาได้ฝึกทักษะการต่อสู้ เคยห้ำหั่นกับสัตว์ป่าหลากหลายสายพันธุ์ รู้ดีว่าการต่อสู้ไม่ควรยืดเยื้อ และไม่ควรละล้าละลัง ควรต้องตัดสินใจแน่วแน่ ไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายแม้แต่น้อย มิฉะนั้น ตนเองอาจต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบมหันต์!


ภาพวิหคทั้งเจ็ดพุ่งทะยานปรากฏ เปลวเพลิงห้าสีพวยพุ่ง สีหน้าเฟ่ยชงซีดเผือดลงในพริบตา!


“ไม่!”


เขาร้องลั่นด้วยความหวาดกลัว สายตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง


รู้สึกได้ถึงพลังสยดสยองที่แฝงไว้ในเปลวเพลิงห้าสีนี้ ไม่สงสัยเลยว่า ต่อให้จักรพรรดิเซียนจุติ ก็ต้องสลายเป็นจุณเมื่อเผชิญกับเปลวเพลิงห้าสีเช่นนี้!


เฟ่ยชงร่ำไห้ออกมา อยากบอกเหลือเกินว่า เขามีค่าตรงไหนให้จัดการด้วยพลังเช่นนี้ ประเมินเขาสูงเกินไปแล้ว!


อนิจจา เปลวเพลิงห้าสีพุ่งปราดมาอยู่ตรงหน้าเขาในพริบตาเดียว เฟ่ยชงถูกเผาจนสิ้นซากในเสี้ยวอึดใจ ไม่เหลือแม้แต่ผงขี้เถ้า


จ้าวแห่งเซียนสูงสุดตนหนึ่ง ดับสูญลงทั้งอย่างนี้!


‘หืม?! ปวกเปียกเกินไปแล้ว!’


หลี่จิ่วเต้าคิดในใจอย่างอดไม่ได้ เผยร่างออกมา


เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าการต่อสู้จะจบไวเช่นนี้ และคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเฟ่ยชงจะอ่อนแอปานนี้ เพิ่งได้ใช้พัดห้าเพลิงเจ็ดวิหค เฟ่ยชงก็ถูกจัดการเสียแล้ว


‘หรือว่าพัดห้าเพลิงเจ็ดวิหคจะทรงพลังเกินไป’


หลี่จิ่วเต้ามองพัดห้าเพลิงเจ็ดวิหคในมือ แล้วคิดในใจอีกครั้ง


‘ใช้ได้!’


ไม่ว่าอย่างไร เขาก็พึงพอใจในศึกนี้มาก นี่คือการต่อสู้ครั้งแรกระหว่างเขากับผู้ฝึกตน ซ้ำเขายังเผด็จศึกได้สบาย ๆ


ระดับความน่ากลัวของผู้ฝึกตนในใจเขาลดลงไปไม่น้อย


‘หลังจากนี้ก็สามารถต่อสู้จริง ๆ ได้บ่อย ๆ แล้ว!’


เขาคิดในใจ เริ่มตั้งตารอโอกาสที่จะปะทะศึกผู้ฝึกตนให้มากกว่านี้ในภายหน้า


ศึกวันนี้ เป็นการเปิดประตูสู่โลกใบใหม่ให้กับหลี่จิ่วเต้าอย่างแท้จริง!


ในอดีต ผู้ฝึกตนในใจเขาเป็นตัวตนระดับสูงส่ง ไม่อาจต้านทานได้ ทว่าบัดนี้ ด้วยร่างปุถุชนนี้ เขาก็สามารถสังหารผู้ฝึกตนได้แล้วเหมือนกัน เป็นผลให้ความเข้าใจที่เขามีต่อผู้ฝึกตนเปลี่ยนไปอย่างมาก


ที่แท้ผู้ฝึกตนก็ใช่ว่าฆ่าไม่ได้เสียหน่อย!


‘ใช้ได้นี่!’


หลี่จิ่วเต้าหัวเราะ บอกตัวเองในใจ


สำหรับเขา วันนี้เป็นวันที่มีความหมายอย่างยิ่งยวด เขาก็ฆ่าผู้ฝึกตนได้เหมือนกัน บ่งบอกว่าวันหน้าหากเขาได้พบซี ไม่แน่อาจได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับซี ช่วยแบ่งเบาภาระของนาง


‘บังอาจลงมือกับคุณชาย!’


‘รนหาที่ตายจริง ๆ!’


หลิงอิน ลั่วสุ่ยพากันคิดในใจ ริอ่านลงมือกับคุณชาย รนหาที่ตายก็ไม่ต้องทำถึงขั้นนี้กระมัง!


‘พักผ่อน ๆ!’


หลี่จิ่วเต้ามีความสุขมาก เดินกลับไปยังรถลากด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม เข้านอนด้วยความปีติ


...


ภายในเอกภพ


เจ้าหลวงทะลุทะลวงผ่านหมู่ดาราอย่างรวดเร็ว เขาดูดกลืนสสารพิศวงในนครพิศวงของจ้าวตะเข้ไปจนเกลี้ยง เป็นผลให้พลังของเขาเพิ่มพูน มิใช่กำลังรบระดับกึ่งเซียน หากแต่กลายเป็นกำลังรบระดับเซียน


ขนพิศวงบนตัวเขาก็เปลี่ยนแปลงไป เดิมเคยมีขนสีเขียว บัดนี้เปลี่ยนเป็นขนสีเทาแล้ว


ซ้ำยังมีขนสีเทาจำนวนไม่น้อยกลายเป็นสีดำ


ในนครพิศวงของจ้าวตะเข้มีสสารพิศวงอยู่มหาศาล เขาดูดกลืนไปทั้งหมด หากหลอมรวมเข้าด้วยกันได้เมื่อใด เขาย่อมมีกำลังรบระดับเซียนสมบูรณ์ ขนยาวทั้งตัวแปรเปลี่ยนเป็นขนสีดำสนิท ทรงพลังเทียบเท่าจ้าวตะเข้!


“สหายของข้า เจ้าวางใจเถิด ข้าจะให้พี่ใหญ่แก้แค้นแทนเราแน่นอน!”


เขาเอ่ยด้วยดวงตาวาวโรจน์ ลืมไปเสียสนิทว่าจ้าวตะเข้ถูกเขากลบหลุมฝังแท้ ๆ เขาโบ้ยความแค้นทั้งหมดไปที่มัจฉาสัตมายา และของวิเศษต่าง ๆ


ผ่านไปไม่นาน เจ้าหลวงเข้าสู่ระบบดวงดาวกว้างใหญ่อีกแห่ง ที่นี่ไม่มีดาวดวงอื่นนอกจากดาวมโหฬาร ณ ใจกลาง


ที่นี่คือที่ตั้งนครพิศวงของพี่ใหญ่เขา!


แน่นอนว่า พี่ใหญ่ผู้นี้เขาเรียกเองฝ่ายเดียว พี่ใหญ่ที่ว่าจะยอมรับเขาหรือไม่ยังไม่แน่


“พี่ใหญ่ น้องมาหาท่านแล้ว!”


เขาร้องเรียกเสียงดัง หยุดชะงักที่ชายขอบระบบดวงดาวแห่งนี้ มิกล้าบุกเข้าไปโดยพลการ


ดาวมโหฬารดวงนี้มีขนยาวสีฟ้าอันน่าพิศวงงอกอยู่เต็มไปหมด สสารพิศวงที่นี่มีความบริสุทธิ์สูง และยังมีจำนวนมากกว่า จนดาวดวงนี้ติดเชื้อไปด้วย มีพลังมากล้นเกินหยั่ง เขามิกล้าฝ่าเข้าไปแม้แต่น้อย กลัวจะถูกโจมตี


ขนยาวสีฟ้าพลิ้วไสว นี่คือสสารพิศวงลางร้ายที่มีระดับสูงกว่าสีดำ แม้ว่าพลังของเขาเพิ่มทวีคูณ กระนั้นเมื่ออยู่ภายใต้พลังพิศวงลางร้ายสีฟ้าเช่นนี้ ยังคงปวกเปียกต้านไม่ได้แม้แต่การโจมตีเดียว ไม่อาจเทียบกันได้เลย คงได้ถูกสังหารในชั่วพริบตา!


เขาไม่อยากถูกฆ่าก่อนได้พบพี่ใหญ่


แม้ว่าพวกเขาโอบกอดความพิศวงลางร้ายด้วยกันทั้งหมด ทว่าแต่ละนครพิศวงนั้นมิได้สมัครสมานนัก ต่างฝ่ายต่างตั้งตัวเป็นปรปักษ์ต่อกัน ส่วนใหญ่แล้วล้วนต้องการกลืนกินนครพิศวงแห่งอื่นเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ฝ่ายตนเอง


“เจ้าหลวงหรือ”


เสียงหนึ่งดังออกมาจากดวงดาว จากนั้น ลำแสงสีฟ้าพิศวงลำหนึ่งพวยพุ่งเข้ามา ด้านในห่อหุ้มสิ่งมีชีวิตพิศวงลางร้ายที่มีขนสีฟ้างอกอยู่เต็มกายตนหนึ่ง


ผู้นี้ก็คือพี่ใหญ่ที่เจ้าหลวงกล่าวถึง


เห็นได้ชัดว่า เขายังไม่ลืมเจ้าหลวง หลังได้ยินเสียงอีกฝ่ายก็ก้าวออกมาในทันที


“พี่ใหญ่!”


ทันทีที่เจ้าหลวงได้พบพี่ใหญ่ก็ร่ำไห้โศกา


“ข้า…อนาถเหลือเกิน! จ้าวตะเข้ก็ด้วย!”


เขาร้องไห้บอกเล่าประสบการณ์น่าสังเวชของเขาและจ้าวตะเข้ ทั้งยังนำทุกอย่างที่เขากวาดล้างจากนครพิศวงของจ้าวตะเข้ออกมา


‘ทาส’ ทั้งหมดนั้นก็ถูกเขาปล่อยออกมาทั้งหมด!


“ข้ามาคราวนี้ ก็เพื่อขอสมัครเป็นพรรคพวกพี่ใหญ่!”


เขาร่ำไห้ไม่หยุด พร้อมกล่าวต่อ “พวกเราอนาถกันมากจริง ๆ พี่ใหญ่โปรดผดุงความเป็นธรรมเพื่อเรา แก้แค้นแทนเราด้วย!”


“พวกเจ้าทั้งสองเป็นคนที่ข้าเห็นมาตั้งแต่เด็ก รักใคร่กลมเกลียวกันดั่งพี่น้อง เจ้ามาหาข้า จะเรียกว่าสมัครเป็นพรรคพวกได้อย่างไร ดินแดนของข้าก็คือบ้านของเจ้า!”


จ้าวหลานผู้เป็นพี่ใหญ่เอ่ย “เจ้านำของเหล่านี้มาเพื่อเหตุใด ห่างเหินกับข้าปานนั้นเชียว เอาเถิด นี่คือน้ำใจจากเจ้า หากข้าไม่รับ จะไปหักหาญน้ำใจเจ้าเปล่า ๆ” เขาโบกมือ เก็บทุกอย่างเข้ากรุ


“วางใจเถิด ข้าต้องผดุงความเป็นธรรมให้พวกเจ้าแน่ และล้างแค้นแทนพวกเจ้า!” เขาตบบ่าเจ้าหลวงพร้อมเอ่ยบอก


“ขอบคุณพี่ใหญ่!” เจ้าหลวงกล่าวขอบคุณเสียงรัว


“ข้าจะไปเรียกรวมพลเดี๋ยวนี้ บุกไปยังอาณาจักรอวี้ซวีพร้อมเจ้า ช่วยล้างแค้นแทนพวกเจ้า!” พี่ใหญ่เอ่ย


เขาใคร่สนใจในเหล่าของวิเศษที่เจ้าหลวงได้เอ่ยมามาก และยิ่งสนใจในตัวบุคคลผู้อาจอยู่เบื้องหลังของวิเศษเหล่านี้


หากเขากำราบผู้อยู่เบื้องหลังของวิเศษเหล่านั้นได้ พลังอำนาจนครพิศวงของเขาย่อมต้องคูณทวี


สงครามใหญ่จวนจะปะทุ นี่คือโอกาสแสดงตน นครพิศวงทั้งหลายต่างรอคอยวันนั้น และพยายามเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับนครพิศวงของตนเอง


...


ภายในแดนบรรพโกลาหล


ซีมาถึงตำหนักตงชิว


ตำหนักตงชิวกว้างใหญ่โอ่อ่า วิหารโบราณมากมายสูงตระหง่านเหนือเมฆ กฎแห่งโกลาหลลึกล้ำถักทอประสาน ยิ่งใหญ่ดุดัน ราวกับกำลังก้มมองแดนบรรพโกลาหลทั้งผืน


‘เก้ามหาตระกูลในภพเซียนไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าตำหนักตงชิว!’ ซีสะท้อนใจอย่างอดไม่ได้


แข็งแกร่งเกินไปแล้ว ตำหนักตงชิวสมเป็นกองกำลังชั้นนำในแดนบรรพโกลาหล กระทั่งลูกศิษย์ผู้มีหน้าที่เฝ้ายามยังไม่อาจสบประมาทได้ แต่ละคนล้วนเป็นถึงจ้าวแห่งเซียน!


นางสัมผัสได้ว่าลูกศิษย์เหล่านี้ไม่ธรรมดา ปราณโกลาหลไหลเวียนอยู่ทั่วร่าง จึงไม่เคลือบแคลงเลยว่า หากส่งลูกศิษย์เหล่านี้ไปยังภพเซียน ไม่ว่าศิษย์คนใดล้วนสามารถกำราบจ้าวแห่งเซียนสูงสุด หรืออาจถึงขั้นกำราบราชันแห่งเซียนซึ่งอยู่เหนือจ้าวแห่งเซียนได้!


พลังโกลาหลนี้อัศจรรย์อย่างยิ่ง อยู่เหนือสรรพสิ่งทั้งปวง มิใช่สิ่งที่พลังเซียนจะเทียบได้ ต่อให้อยู่ในขอบเขตเดียวกัน ก็ยังห่างชั้นกันมากโข มิอาจทัดเทียมกันได้เลย


ตำหนักตงชิวรับศิษย์หนึ่งหมื่นปีหน นางโชคดีไม่น้อย ทันระยะหมื่นปีพอดี


สิ่งมีชีวิตที่มาเข้าร่วมการสอบคัดเลือกของตำหนักตงชิวไม่รู้ว่ามีตั้งเท่าไหร่ ยั้วเยี้ยเรียงรายอเนกอนันต์ หลังซีได้เห็นก็ยิ่งสะท้อนใจเข้าไปใหญ่


สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ล้วนแล้วน่าทึ่ง ขอบเขตสูงส่งกันถ้วนหน้า จ้าวแห่งเซียนมีให้เห็นอยู่เกลื่อนกลาด ราชันแห่งเซียนยิ่งเยอะจนนับไม่หมด กระทั้งยอดเซียน เซียนจวินซึ่งอยู่เหนือราชันแห่งเซียนยังมากันไม่น้อย!


‘สมเป็นแดนบรรพโกลาหล!’


ซีคิดในใจอย่างอดไม่ได้


ขอบเขตสูงปานนี้ ทว่าอายุกลับไม่เท่าไหร่ สิ่งมีชีวิตที่เดินทางมาที่นี่ล้วนอายุยังน้อย เปี่ยมไปด้วยพลังเยาว์วัย นี่ก็เพราะเป็นแดนบรรพโกลาหล ถึงบ่มเพาะสิ่งมีชีวิตสะท้านโลกันตร์ออกมาได้มากมายเพียงนี้ หากเป็นในภพเซียน ไม่มีทางเป็นจริงได้เลย!


ต้องรู้ว่าในภพเซียน ผู้ที่สามารถบรรลุเป็นจ้าวแห่งเซียนตั้งแต่ยังเยาว์วัยนับว่าโดดเด่นไม่ธรรมดาแล้ว ส่วนราชันแห่งเซียนซึ่งอยู่เหนือขั้นจ้าวแห่งเซียนนั้นไม่เคยมีมาก่อน!


และยอดเซียน เซียนจวินนั้น อย่าว่าแต่คนวัยเยาว์เลย กระทั่งวัยกลางคน วัยชรา ยังมิสู้จะมีกี่คนได้บรรลุถึง


‘หากมิใช่ว่าข้าได้พบวาสนาการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ร่างกายเปลี่ยนไปถึงแก่น ข้าคงไม่อาจแม้แต่จะคิดเข้าตำหนักตงชิว!’ ซีเอ่ยในใจ


ก่อนร่างกายของนางเปลี่ยนแปลงไปถึงแก่น นางหาได้มีความโดดเด่นไม่ ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตตนใดในสถานที่แห่งนี้ต่างสามารถเล่นงานนางได้ง่ายดาย นางแตะไม่ถึงเงื่อนไขต่ำสุดของตำหนักตงชิวด้วยซ้ำ


ทว่าบัดนี้แตกต่างออกไป


บัดนี้ ต่อให้สิ่งมีชีวิตในที่นี้น่าทึ่งสะท้านโลกันตร์กันถ้วนหน้า นางก็มั่นใจว่าสามารถดวลกันได้สักตั้ง!


เหง่งหง่าง!


เวลานั้นเอง เสียงระฆังดังขึ้น ร่างที่มีอายุหลายร่างเหินออกจากตำหนักตงชิว มีทั้งบุรุษและสตรี ต่างเป็นผู้อาวุโสซึ่งรับหน้าที่ดูแลการสอบคัดเลือกในครั้งนี้


“บันไดสวรรค์โกลาหลเชื่อมต่อสู่ประตูตำหนัก นี่คือเนื้อหาการสอบของพวกเจ้า ผู้ที่ก้าวขึ้นไปได้สิบขั้น สามารถเข้าตำหนักนอกของตำหนักตงชิวได้ ผู้ที่ก้าวขึ้นไปถึงยี่สิบขั้น สามารถเข้าตำหนักในของตำหนักตงชิวได้ ส่วนผู้ที่ก้าวขึ้นไปถึงห้าสิบขั้น จะได้เป็นหัวหน้าศิษย์ของวังต่าง ๆ ได้รับการอบรบสั่งสอนอย่างดี!”


ผู้อาวุโสท่านหนึ่งประกาศเนื้อหาการสอบคัดเลือก


สิ้นเสียงของเขา ห้วงมิติพลันบิดเบี้ยว ม่านหมอกโกลาหลแผ่ขยาย แสงมงคลนับล้านปรากฏ บันไดสวรรค์อันกว้างใหญ่ไพศาลปรากฏออกมาฉับพลัน ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าดิน


สิ่งมีชีวิตตนหนึ่งลองนับดู พบว่ารวมแล้วทั้งหมดหนึ่งร้อยขั้น


“หากว่าผ่านไปได้ทั้งหนึ่งร้อยขั้นจะเป็นอย่างไร”


เขาถามเสียงดัง ท่าทางมั่นใจสุด ๆ ยังไม่พึงพอใจในบันไดห้าสิบขั้น คิดจะผ่านไปให้ได้ทั้งหนึ่งร้อยขั้น


และเขามีสิทธิ์ทำเช่นนั้น ขอบเขตพลังของเขาสูงลิ่ว อยู่เหนือยอดเซียน เป็นถึงเซียนจวินท่านหนึ่ง!


“ผ่านไปได้ทั้งหนึ่งร้อยขั้นหรือ”


ผู้อาวุโสท่านนั้นหัวเราะ “คนวัยเยาว์กล้าคิดเช่นนี้นับเป็นเรื่องดี แต่อย่าคิดให้เกินกำลังนัก นับแต่ตำหนักตงชิวถือกำเนิด มิเคยมีผู้ใดผ่านบันไดไปได้ทั้งหนึ่งร้อยขั้นมาก่อน ประมุขตำหนักในอดีตของตำหนักตงชิว อย่างดีที่สุดก็ผ่านไปได้เพียงหกสิบแปดขั้นเท่านั้น”


“ยากขนาดนั้นเชียว?!”


เซียนจวินหนุ่มตกตะลึง ประมุขตำหนักตงชิวทั้งหลายในอดีตล้วนเป็นผู้กุมอำนาจใหญ่ในแดนบรรพโกลาหล ถึงอย่างนั้นสถิติสูงสุดยังอยู่แค่หกสิบแปดขั้น เขารึยังคิดจะผ่านให้ได้ทั้งหนึ่งร้อยขั้น นับว่าเพ้อเจ้อสิ้นดี ไม่รู้จักสำเหนียกตนเอง!


“ข้าขอพูดเช่นนี้แล้วกัน หากผ่านหกสิบขั้น เจ้าจะได้เป็นศิษย์สายตรงของประมุขตำหนัก มีโอกาสได้เป็นประมุขตำหนักคนต่อไป!”


ผู้อาวุโสกล่าว “ทว่าหลายแสนปีที่ผ่านมา มิเคยมีผู้ใดผ่านมาเกินหกสิบขั้น ตำแหน่งศิษย์สายตรงของประมุขตำหนักจึงยังว่างมาถึงป่านนี้”


เขากล่าวต่อ “อย่าเพิ่งมองการณ์ไกลไป ผ่านให้ได้ยี่สิบขั้นก่อนเป็นพอ หลังได้เป็นศิษย์ตำหนักใน ความสำเร็จของพวกเจ้าในวันหน้าก็เกินกว่าที่จะจินตนาการถึงแล้ว!”


จากนั้น เขาอธิบายอย่างละเอียดต่ออีกหน่อย


“บันไดสวรรค์โกลาหลทดสอบพรสวรรค์และศักยภาพของพวกเจ้า มีเพียงผู้ผ่านเกณฑ์เท่านั้น จึงจะข้ามผ่านบันไดสวรรค์ขึ้นไปได้ หากว่าพรสวรรค์และศักยภาพต่างไม่พอ ต่อให้ขอบเขตพลังสูงปานใดก็เปล่าประโยชน์ ไม่อาจก้าวผ่านไปถึงบันไดขั้นถัดไป”


ผู้อาวุโสบอก


เหง่งหง่าง!


เสียงระฆังดังขึ้นอีกครั้ง ผู้อาวุโสตำหนักตงชิวประกาศเริ่มการสอบคัดเลือก


แม้จะมีสิ่งมีชีวิตเข้าร่วมการสอบคัดเลือกเป็นจำนวนมาก ทว่าบันไดสวรรค์โกลาหลกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต เมื่ออยู่เบื้องหน้าบันไดสวรรค์โกลาหล สิ่งมีชีวิตทั้งหลายต่างกระจิริดดุจมดปลวก เข้าร่วมการสอบคัดเลือกได้พร้อมกัน


สิ้นเสียงผู้อาวุโสตำหนักตงชิว สิ่งมีชีวิตผู้เข้าร่วมการสอบคัดเลือกเคลื่อนไหวกันทั้งหมด บุกไปยังบันไดสวรรค์โกลาหล


“ข้าขอดูหน่อยเถิด ด้วยพลังกายเนื้อของข้าในยามนี้ จะผ่านไปได้ถึงขั้นไหน!”


ซีดวงตาเป็นประกาย เคลื่อนไหวตัวพุ่งไปทางบันไดสวรรค์โกลาหลเช่นกัน


“ต้นอ่อนดี ๆ มีไม่น้อย แต่คงมิมีผู้ใดผ่านไปได้เกินหกสิบขั้นอยู่ดี”


ผู้อาวุโสท่านหนึ่งว่าไปตามประสบการณ์ที่ผ่านมา


เขารับผิดชอบด้านการสอบคัดเลือกมาโดยตลอด เรียกได้ว่าประสบการณ์โชกโชน โดยปกติ การคาดการณ์ของเขาไม่มีผิดเพี้ยน แม่นยำเป็นอย่างยิ่ง



บันไดสวรรค์โกลาหลสูงเสียดหมู่เมฆ ทั้งร้อยขั้นขาวสะอาดไร้มลทินดุจหยกขาว


สามารถสังเกตเห็นกฎแห่งโกลาหลพลุ่งพล่านต่างกันไปตามแต่ละขั้น บันไดสวรรค์แห่งนี้ไม่ได้ถูกสร้างโดยตำหนักตงชิว แต่มันปรากฏออกมาจากใจกลางโกลาหล คุณประโยชน์มากเกินบรรยาย มูลค่าไม่สามารถจินตนาการถึง


พวกเขาเริ่มทำการศึกษามันตั้งแต่ได้รับมา ทว่าบันไดสวรรค์นั้นน่าอัศจรรย์เกินไป นอกจากการใช้ทดสอบพรสวรรค์และศักยภาพแฝงแล้ว พวกเขาไม่อาจค้นพบสิ่งอื่นใดได้อีก


นี่ไม่ได้หมายความว่าบันไดสวรรค์ไม่มีความสามารถอื่น พวกเขาต่างแน่ใจว่าบันไดสวรรค์ยังคงมีประโยชน์อื่นอีก และประโยชน์นั้นก็จะต้องชวนตื่นตะลึงอย่างถึงที่สุด ทว่าน่าเสียดายที่ระดับของพวกเขานั้นไม่มากพอจะค้นพบมันออกมาได้


สิ่งของจากใจกลางโกลาหลไม่มีทางจะธรรมดาสามัญ!


เมื่อการทดสอบเริ่มขึ้น สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนต่างพุ่งตรงขึ้นไปยังบันไดสวรรค์โกลาหล ฉากนี้ชวนให้รู้สึกหวั่นไหวเป็นอย่างยิ่ง ทุกคนต่างล้วนเป็นผู้โดดเด่นในตระกูลของตนเอง แต่ในวันนี้ พวกเขาต่างมารวมตัวกันเพื่อแย่งชิงกันเข้าสู่ตำหนักตงชิว!


น่าเสียดาย บันไดสวรรค์โกลาหลไม่อาจปีนป่ายขึ้นไปได้อย่างง่ายดาย สิ่งมีชีวิตจำนวนมากถูกดีดออกไปตั้งแต่ยังไม่ทันจะก้าวขึ้นไปบนขั้นแรก


เป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง กระทั่งเหล่าผู้โดดเด่นของตระกูลทั้งหลายก็ไม่อาจทำได้โดยง่าย เฉพาะผู้ที่มีพรสวรรค์และศักยภาพแฝงระดับสูงเท่านั้นจึงจะสามารถเดินขึ้นไปบนบันไดสวรรค์โกลาหลได้


“ดูข้าเสีย!”


เซียนที่เป็นผู้เอ่ยคำถามก่อนหน้านี้เริ่มลงมือ เขากระโจนขึ้นไปทีละก้าวทีละก้าว ทิ้งสิ่งมีชีวิตจำนวนมากเอาไว้เบื้องหลัง


เขาสามารถบรรลุกลายเป็นเซียนจวินได้ตั้งแต่อายุยังน้อย นับว่าไม่ง่ายดาย พรสวรรค์และศักยภาพนับว่าไม่ธรรมอย่างยิ่ง


เขาขึ้นไปถึงขั้นที่ยี่สิบอย่างรวดเร็ว ไม่รู้สึกถึงความกดดันแม้แต่น้อย อีกทั้งยังสามารถขึ้นไปต่อได้โดยไม่มีทีท่าว่าจะช้าลง


คนอื่น ๆ ที่มีพรสวรรค์และศักยภาพแฝงอันน่าตื่นตะลึงก็เริ่มลงมือ เผยให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน!


สิ่งมีชีวิตจำนวนมากยังคงดิ้นรนอยู่ที่บันไดสิบขั้นแรก แต่มีบางคนกระโจนผ่านบันไดขั้นที่สามสิบไปเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังไม่มีแนวโน้มจะหยุดลง!


“ข้ามีนามว่าจิ้นเฟิง!”


มีเสียงตะโกนดังขึ้นจากคนแรกที่ไปถึงบันไดขั้นห้าสิบ เขายืนตระหง่านอยู่ด้านบน ความสามารถโดดเด่นไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง!


เขาคือบุตรแห่งสวรรค์เซียนจวินผู้นั้น เสียงร้องตะโกนยกย่องดังขึ้น ชื่อจิ้นเฟิงดังก้องไปทั่วพื้นที่!


คนแรกที่สามารถไปถึงขั้นที่ห้าสิบได้ จะไม่ทำให้ผู้คนฮือฮาได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ไม่สามารถปืนไปได้ถึงสิบขั้นเสียด้วยซ้ำ


“เป้าหมายของข้าคือขั้นที่หกสิบ!”


ร่างของเขาเปล่งแสง ดวงตาเป็นประกายด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ปรารถนาจะกลายเป็นศิษย์สายตรงของประมุขตำหนัก


จากนั้นเขาก็เริ่มเคลื่อนไหวต่อปีนป่ายสูงขึ้นไป


น่าเสียดาย หลังจากที่เขาขึ้นไปถึงขั้นที่ห้าสิบสาม เขาก็ต้องเผชิญกับแรงต่อต้านอย่างมหาศาล ไม่ว่าจะทำเช่นไรเขาก็ไม่อาจก้าวขึ้นไปสูงกว่าเดิมได้


“อ๊ากกก!”


เขาคำรามขึ้นฟ้า ไม่เต็มใจจะหยุดอยู่ในขั้นนี้ ปะทุพลังออกมาสุดขีด ต้องการจะก้าวขึ้นไปอีกขั้น


แต่ทว่าหลังจากชั้นที่สามสิบขึ้นไป แต่ละขั้นล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ข้อกำหนดเกี่ยวกับพรสวรรค์และศักยภาพแฝงเพิ่มสูงขึ้น หากไม่มีคุณสมบัติจริง ย่อมไม่อาจก้าวข้ามไปได้อย่างเด็ดขาด!


เปรียะ! พรวด!


ร่างกายของเขาปริแตก หยาดเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว แต่ถึงเป็นเช่นนั้นเขาก็ยังไม่อาจก้าวขึ้นไปยังขั้นที่ห้าสิบสี่ได้


นี่คือขั้นสูงสุดของเขาแล้ว เขาไม่สามารถขึ้นไปสูงได้มากกว่านี้


หลังจากนั้นก็มีบุตรแห่งสวรรค์อีกผู้หนึ่งก้าวขึ้นมาถึงขั้นที่ห้าสิบ แต่เขานั้นไม่แข็งแกร่งเท่าจิ้นเฟิง ยามก้าวขึ้นมาที่ขั้นห้าสิบสองก็เผชิญแรงต่อต้านอย่างมากจนไม่สามารถก้าวขึ้นไปอีก


“ข้าจะต้องก้าวไปให้ถึงขั้นที่หกสิบ!”


มีเด็กสาวผู้หนึ่งรำพึงออกมาอย่างแผ่วเบา บนร่างเปล่งประกายด้วยความมั่นใจ นางมีทั้งสองอย่างเหนือกว่าจิ้นเฟิง ทว่าน่าเสียดายที่ขั้นหกสิบยังเป็นเพียงความฝัน นางก้าวไปหยุดบนขึ้นที่ห้าสิบหก


ลำบากยากเย็น!


ลำบากยากเย็นเกินไปแล้ว!


บันไดขั้นที่หกสิบทำให้ผู้คนสิ้นหวัง มองแล้วไร้ความหวังที่จะสามารถก้าวไปถึง!


ทว่าในตอนนั้นเอง ก็มีร่างงดงามปรากฏขึ้นมาต่อหน้าสิ่งมีชีวิตทั้งหมด นางคือซีที่เพิ่งก้าวมาถึงขั้นที่ห้าสิบ


นี่คือผู้ใดกัน?


สิ่งมีชีวิตทั้งหมดต่างจับจ้องไปที่ซี นางดูไม่ได้เปล่งประกายเท่ากับบุตรแห่งสวรรค์อย่างจิ้นเฟิง ขอบเขตเองก็ไม่ได้สูง ห่างไกลเกินกว่าจะเปรียบเทียบกับจิ้นเฟิงได้ ทว่าผู้ที่ดูธรรมดาสามัญอย่างซีกลับสามารถก้าวมาถึงขั้นที่ห้าสิบได้!


ก้าวแล้วก้าวเล่า ซีไม่เคยหยุดนิ่ง นางรู้สึกเบาสบาย ราวกับไม่เผชิญกับความกดดันใด ๆ ของบันไดสวรรค์ คล้ายเดินย่างก้าวขึ้นไปบนบันไดธรรมดา


“ขั้นห้าสิบแปด ขั้นห้าสิบเก้า!”


“สวรรค์ ขั้นที่หกสิบแล้ว! นางก้าวไปถึงขั้นที่หกสิบแล้ว!”


สิ่งมีชีวิตทั้งหมดต่างส่งเสียงตะโกนเซ็งแซ่ ปรากฏผู้แรกที่สามารถก้าวไปถึงขั้นที่หกสิบแล้ว สิ่งนี้มีความหมายสำคัญเป็นอย่างยิ่ง หมายความว่าซีจะกลายเป็นศิษย์สายตรงของประมุขตำหนัก นับได้ว่ามีคุณสมบัติจะกลายเป็นประมุขตำหนักคนต่อไป!


“ปะ...ปรากฏออกมาแล้ว!”


ผู้อาวุโสตำหนักตงชิวตกตะลึงพรึงเพริด ถ้อยคำที่เอ่ยออกมาตะกุกตะกัก สีหน้าแสดงความเหลือเชื่อ!


กาวขึ้นไปถึงขั้นหกสิบ นับว่ามีพรสวรรค์และศักยภาพที่กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแดนบรรพโกลาหล!


ตึก ตึก ตึก!


เหล่าผู้ชนเงียบสงัด ทุกสายตาจับจ้องไปบนร่างของซี สีหน้าของนางยังคงสงบนิ่ง หลังจากถึงขั้นที่หกสิบแล้วนางก็ยังคงก้าวเดินต่อไป!


เสียงฝีเท้าซีที่เหยียบลงขั้นบันได้ดังกึงก้องให้ทุกคนได้ยินชัด!


“ขั้นที่เจ็ดสิบ!”


ดวงตาของผู้อาวุโสแทบจะถลนออกมา ร่างกายของเขาเกร็งขึ้น สถิติเดิมที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ตำหนักตงชิวถูกทำลาย สถิติสูงสุดครั้งใหม่ปรากฏขึ้น!


ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!


ขณะนั้นเอง ส่วนลึกของตำหนักตงชิวปรากฏเส้นแสงหลายเส้นพุ่งผ่านท้องฟ้าตรงเข้ามา จ้าวแห่งตงชิวและยอดฝีมือแห่งตำหนักตงชิวต่างมาที่นี่ด้วยความตื่นตะลึง


พวกเขาทั้งหมดมองซีด้วยความไม่อยากจะเชื่อ สามารถก้าวไปถึงขั้นเจ็ดสิบได้ นับว่าพรสวรรค์และศักยภาพแฝงของซีนั้นน่าอัศจรรย์อย่างแท้จริง เมื่อซีเติบใหญ่ขึ้นจะต้องสามารถสยบผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหมดของแดนบรรพโกลาหลได้!


“เจ็ดสิบห้า เจ็ดสิบหก!”


“เป็นไปได้อย่างไร?!”


พวกเขาร้องออกมาอย่างตกตะลึง หัวใจแทบจะกระโจนออกจากร่าง ซียังคงเดินขึ้นไปไม่หยุด ราวกับไม่พบแรงกดดันใด ๆ ประหนึ่งเดินบนพื้นดินธรรมดา จะต้องมีพรสวรรค์และศักยภาพแฝงเพียงใดจึงจะสามารถทำเช่นนี้ได้!


ครืน!


มีเสียงดังสนั่นดังขึ้นมาจากความว่างเปล่า ร่างของผู้ยิ่งใหญ่คนอื่น ๆ ในแดนบรรพโกลาหลปรากฏตัวขึ้นมา ซีนั้นโดดเด่นสะท้านฟ้า ทำให้พวกเขาตกตะลึงเช่นเดียวกัน


พวกเขาตื่นตะลึงจนไม่รู้จะเอ่ยคำใด รู้ดีว่าการที่นางสามารถเดินขึ้นไปบนบันไดสวรรค์หลายขั้นถึงเพียงนี้หมายความว่าอย่างไร!


หากไม่เกิดเรื่องนอกเหนือจากความคาดหมาย อนาคตของซีถูกกำหนดให้แซงหน้าพวกเขาไปไกล กระทั่งเป็นแผ่นรองเท้าให้ซีพวกเขายังไม่อาจจะเป็นได้!


พวกเขาเองก็เคยมาที่ตำหนักตงชิวเพื่อทดสอบพรสวรรค์และศักยภาพแฝงของตนเองกับบันไดสวรรค์โกลาหล ในหมู่พวกเขาความสำเร็จสูงสุดที่ทำได้คือขั้นหกสิบเจ็ดเท่านั้น ซีนับว่าเหนือกว่าพวกเขามากเกินไป!


“เจ็ดสิบเก้า แปดสิบ!”


“นี่ นี่ นี่...!”


พวกเขาตื่นตะลึงจนพูดไม่ออก ซีสามารถขึ้นไปยังขั้นที่แปดสิบได้จริง ๆ สิ่งที่ทำลายความรู้ความเข้าใจของพวกเขาไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาต่างไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะมีผู้สามารถก้าวไปถึงขั้นที่แปดสิบได้!


“เป็น...เป็นไปไม่ได้! ยังจะเดินขึ้นต่ออีกหรือ?!”


“บันไดสวรรค์โกลาหลมีปัญหาใดหรือไม่? เหตุใดนางจึงเดินได้อย่างง่ายดาย!”


เหล่าผู้ยิ่งใหญ่อดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้ พวกเขาเกิดความสงสัยขึ้นอย่างจริงจังว่าเกิดปัญหาใดกับบันไดสวรรค์โกลาหลหรือไม่ ช่างน่าเหลือเชื่อที่ซียังคงไม่หยุดก้าวขึ้นไป ทั้งยังดูเหมือนไม่มีแรงกดดันใด ๆ!


หากไม่เห็นด้วยตาตัวเอง ต่อให้ตายพวกเขาก็ไม่เชื่อ!


สีหน้าของซีเรียบเฉยสงบนิ่ง ไม่มีท่าทางว่ากำลังเผชิญกับแรงต่อต้านแต่อย่างใด ราวกับบันไดสวรรค์โกลาหลเบื้องหน้าไม่ต่างอันใดกับบันไดธรรมดา


นางก้าวผ่านไปถึงขั้นที่เก้าสิบอย่างง่ายดาย!


“ขั้นที่เก้าสิบ!”


“เหตุใดพรสวรรค์และศักยภาพแฝนของนางจึงผิดปกติถึงเพียงนี้?!”


เหล่าผู้ชมส่งเสียงฮือฮาออกมาทันที เกรงว่าแม้พวกเขาเห็นซีสามารถเดินไปถึงขั้นเก้าสิบด้วยดวงตาของตัวเอง แต่ภายในใจของพวกเขาก็ไม่อาจเชื่อได้ลง


ขั้นที่เก้าสิบ ช่างเหมือนฝันเกินไป น่าเหลือเชื่อเกินไป!


“ยัง...ยังขึ้นไปได้อีก!”


“นาง...นางต้องการจะขึ้นไปสูงสุดอย่างนั้นหรือ?!”


ร่างของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่สั่นสะท้านไปจนถึงจิตวิญญาณ ซีต้องการจะขึ้นไปถึงจุดสูงสุดก้าวขึ้นไปเหยียบบันไดสวรรค์ขั้นที่ร้อยจริง ๆ หรือ?!


ลมหายใจของพวกเขาล้วนไม่เป็นจังหวะ หากซีสามารถขึ้นไปถึงขั้นสูงสุดเหยียบขึ้นไปยังบันไดสวรรค์ขั้นที่หนึ่งร้อยจริง ซีอาจมีความสามารถมากพอที่จะทำลายกฎเกณฑ์ทั้งหมดและกลายเป็นบรรพจารย์เต๋าโกลาหล!


นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาล้วนไม่กล้าจะฝันถึง!



ขึ้นสู่ขั้นที่เก้าสิบ นี่พรสวรรค์และศักยภาพแฝงสูงเพียงใดกัน?


เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ต่างไม่กล้าคาดเดา พวกเขาแต่ละคนล้วนเป็นอัจฉริยะ สั่นสะเทือนอดีตเปล่งประกายจนถึงปัจจุบัน ทุกคนล้วนประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ แต่เมื่อเทียบกับซีแล้ว พวกเขาต่างชัดมากเกินไปจนไม่อาจวัดได้ พรสวรรค์และศักยภาพแฝงของซีอยู่เหนือชั้นจนสามารถบดขยี้พวกเขาได้!


หลังจากถึงขั้นที่เก้าสิบ ซีก็ยังคงไม่หยุดยั้ง ตอนนี้นางกลายเป็นจุดรวมความสนใจของทุกสายตา ซีที่เดิมทีไม่โดดเด่นแต่อย่างใด ยามนี้กลับกลายเป็นที่เจิดจรัสเปล่งประกายยิ่งกว่าผู้ใด!


ก้าวแล้วก้าวเล่า นางยังคงดูราวกับไร้แรงกดดันดั่งเดิม ไม่เคยมีชะงักแม้กระทั่งครึ่งก้าว ขึ้นไปจุดสูงสุดได้อย่างง่ายดาย บรรลุถึงขั้นที่หนึ่งร้อย!


“สำ...สำเร็จแล้ว?!”


“มีผู้อาจบรรลุกลายเป็นบรรพจารย์เต๋ากำเนิดขึ้นแล้ว!!!”


เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ตื่นตะลึงอย่างถึงที่สุด พวกเขากำลังได้เห็นการกำเนิดของบรรพจารย์เต๋าผู้หนึ่งอย่างนั้นหรือ?


ก้าวถึงบันไดสวรรค์ขั้นที่หนึ่งร้อยได้ พรสวรรค์และศักยภาพแฝงชวนให้น่าตกตะลึงเกินไปจริง ๆ กระทั่งพวกเขายังไม่อาจผ่านขั้นที่เจ็ดสิบไปได้เสียด้วยซ้ำ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่ซีจะกลายเป็นบรรพจารย์เต๋า!


“ข้าไม่เชื่อ! จะต้องมีปัญหาบางอย่างกับบันไดสวรรค์โกลาหลแน่!”


มีผู้ยิ่งใหญ่กล่าวออกมา คนผู้นั้นคือจ้าวแห่งก่วงหลิง


นางเยือกเย็นสง่างาม ดวงตางดงามลึกล้ำอย่างถึงที่สุด แม้ว่านางจะเห็นเรื่องราวทั้งหมดด้วยตาของตนเอง แต่นางก็ไม่อาจเชื่อได้ลง


หลังจากนั้นนางก็ทะยานขึ้นไปยังบันได้สวรรค์โกลาหลโดยตรง เตรียมจะทดสอบด้วยตัวเองว่าเกิดปัญหาอันใดขึ้นกับบันไดสวรรค์โกลาหลหรือไม่


“ข้าก็จะไปด้วย!”


“จะต้องมีปัญหาบางอย่างแน่นอน!”


มีผู้ยิ่งใหญ่อีกสองสามคนมุ่งตรงมาที่บันไดสวรรค์โกลาหล เพื่อทดสอบด้วยตนเอง


พวกเขาเองก็ไม่อาจเชื่อได้ลง เกิดความสงสัยขึ้นมาว่าอาจมีปัญหาเกี่ยวกับบันไดสวรรค์โกลาหล


อีกด้านหนึ่ง ประมุขตำหนักตงชิวมองเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างเงียบงัน ไม่ได้เข้าไปหยุดยั้งแต่อย่างใด


หากเป็นตามปกติ นางคงหยุดยั้งอีกฝ่ายเอาไว้นานแล้ว นี่คือการทดสอบรับคนเข้าตำหนักตงชิวของนาง จะปล่อยให้คนอื่นมาสร้างความวุ่นวายได้อย่างไร?


ต่อให้พวกเขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่เหมือนกัน นางก็ไม่มีทางยอมปล่อยไป


ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนปกติ นางเองก็ไม่อยากจะเชื่อเรื่องนี้ เกิดความสงสัยว่าบันไดสวรรค์โกลาหลมีปัญหาเช่นเดียวกัน จึงยินยอมปล่อยให้ผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นได้ลองทดสอบ


เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ที่มุ่งสู่บันไดสวรรค์โกลาหลต่างแข็งแกร่งอย่างแท้จริง ล้วนอยู่ในแนวหน้าของแดนบรรพโกลาหล ขอบเขตล้ำลึกเกินจะหยั่งถึง


ทว่าต่อหน้าบันไดสวรรค์โกลาหล พลังอันใดก็ล้วนไร้ค่า พลังจากพวกเขาก้าวเข้าไปสู่ขั้นที่หกสิบ พวกเขาก็ต่างติดอยู่ ทำเช่นไรก็ไม่อาจก้าวไปถึงขั้นที่เจ็ดสิบได้


พวกเขาปะทุพลังทั้งหมดออกมา ต้องการใช้พลังอันแข็งแกร่งทะลวงขึ้นไปยังขั้นที่สูงขึ้น ทว่าทุกอย่างล้วนเปล่าประโยชน์ไม่อาจได้ผลแม้แต่น้อย!


ต่อหน้าบันไดสวรรค์โกลาหล ทุกอย่างล้วนเท่าเทียม ขอบเขตและการฝึกฝนล้วนไม่เกี่ยวข้อง มีเพียงพรสวรรค์และศักยภาพแฝงเท่านั้นที่ทำให้ก้าวขึ้นไปยังขั้นที่สูงขึ้นได้


“ไม่...ไม่มีปัญหาอันใด!”


“นางขึ้นไปสูงสุดได้ด้วยพรสวรรค์และศักยภาพแฝงของนางเอง!”


ใบหน้าของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่แปรเปลี่ยนอย่างมาก ตอนนี้พวกเขาไม่สงสัยอีกแล้ว ซีมีความสามารถพอที่จะกลายเป็นบรรพจารย์เต๋าจริง ๆ!


“เป็นดาราดวงใหม่!”


“บรรพจารย์เต๋าในอนาคต!”


เสียงฮือฮาดังไปทั่วฟ้าดิน สิ่งมีชีวิตทั้งหมดต่างร้องอุทานอย่างตกตะลึง สายตาที่มองไปยังซีเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง


เดิมทีในแววตาของพวกเขาต่างมีความสงสัยกังขา แต่หลังจากที่เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ทดสอบด้วยตนเองแล้ว ในแววตาของพวกเขาก็ไม่มีความสงสัยเหลืออยู่อีกต่อไป!


“แม่นางท่านนี้ ข้าขอเชิญท่านด้วยความจริงใจไปยังตำหนักก่วงหลิง ขอเพียงแค่ตกลงเข้าร่วมกับตำหนักก่วงหลิงของพวกเรา ไม่ว่าต้องการสิ่งใดข้าย่อมทำให้สมความปรารถนา!”


จ้าวแห่งก่วงหลิงมองปทางซีอย่างจริงใจแล้วเอ่ยชวนออกมา


“มาที่วังฉางเล่อของพวกเขา ทรัพยากรทั้งหมดล้วนถึงมือของเจ้า!”


“ไม่ต้องพูดแล้ว ขอเพียงแค่เข้าร่วมเจ้าก็จะกลายเป็นจ้าวแห่งสำนักอี๋หยวน!”


เหล่าผู้ยิ่งใหญ่เอ่ยชวนซีให้เข้าร่วมอย่างบ้าคลั่ง คำมั่นที่ให้ยิ่งเล่นใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ


พวกเขาไม่เพียงแต่พยายามช่วงชิงตัวซีมาเพื่อกองกำลังที่อยู่เบื้องหลัง แต่ยังเพื่อตัวของพวกเขาเองด้วย


หากซีสามารถกลายเป็นบรรพจารย์เต๋าได้ พวกเขาเองก็จะได้รับอานิสงค์ไปด้วย สามารถทะลวงขึ้นไปยังขอบเขตที่สูงกว่า แข็งแกร่งยิ่งไปกว่าเดิม!


ชิ้ง!


ประกายแสงวาบผ่าน จ้าวแห่งตงชิวชักกระบี่ยาวออกมาชี้ตรงไปทางผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น


“ทุกท่านชักจะเกินเลยไปแล้ว!”


จ้าวแห่งตงชิวมองไปทางเหล่าผู้ยิ่งใหญ่พร้อมเอ่ยออกมาเสียงดัง “นี่คือการทดสอบของตำหนักตงชิว!”


นางจะยอมปล่อยซีไปได้อย่างไร?


ไม่มีทางอย่างแน่นอน!


แม้ว่าฟ้าจะทลายดินจะถล่ม นางก็จะไม่ยอมปล่อยซีไปอย่างแน่นอน!


“ทุกท่านโปรดกลับไปเถิด!”


นางเอ่ยไล่แขกทันที ไม่ปล่อยให้เหล่าผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้รั้งอยู่ที่นี่อีก นางกลัวจริง ๆ ว่าซีจะถูกผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ฉกตัวไป


“ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น! ให้นางตัดสินใจด้วยตัวเองเถิด!”


“ทรัพยากรใช้ฝึกฝนเพื่อบรรลุบรรพจารย์เต๋า ตำหนักตงชิงสามารถแบกรับได้หรือ? มาที่วังฉางเล่อของพวกเราเถิด!”


เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ต่างมีท่าทีแน่วแน่ ไม่มีผู้ใดยอมถอยกลับไป


พวกเขาจะถอยได้อย่างไร?


ขอบเขตของพวกเขาสูงเกินไป ยากยิ่งที่จะทะลวงขึ้นไปยิ่ง พวกเขามองไม่เห็นความหวังที่จะก้าวหน้าขึ้นแม้แต่น้อย


อาจกล่าวได้ว่าซีนับเป็นความหวังของพวกเขา!


“คิดสิ่งใดอยู่กัน ถึงกับจะปล้นคนจากตำหนักตงชิวของข้า พวกเจ้าดูแคลนตำหนักตงชิวเกินไปแล้ว!”


จ้าวแห่งตงชิวตะโกนออกมาเสียงดัง บนร่างปรากฏกลิ่นอายพร้อมต่อสู้ ผนึกทั้งหมดในตำหนักตงชิวถูกยกเลิกจนไม่เหลือสิ่งใดไว้!


ผู้อาวุโสทั้งหมดของตำหนักตงชิวก็เรียกระดมกำลังอย่างเต็มที่ เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ครั้งใหญ่!


“นี่...ให้ข้าพูดอะไรสักหน่อยได้หรือไม่?”


ขณะนั้นเองซีก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา


การต่อสู้ครั้งใหญ่กำลังจะปะทุขึ้น นางไม่ต้องการเห็นฉากดังกล่าวเกิดขึ้นจริง ๆ จึงต้องการจะหยุดยั้งเอาไว้


“พูดออกมาเถิด!”


“พวกเราล้วนฟังอยู่!”


เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหมดหันมามอง ท่าทีของพวกเขาที่มีต่อซีนั้นดีเป็นอย่างยิ่ง


“ข้ายังต้องการเข้าร่วมตำหนักตงชิว” ซีกล่าว


นางเข้าร่วมการทดสอบของตำหนักตงชิว หากหันหลังจากไปเข้าร่วมกับกองกำลังอื่น นางก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม


“ดี ดี ดี!”


จ้าวแห่งตงชิวหัวเราะออกมาเสียงดัง จากนั้นก็พูดกับซี “เจ้าวางใจได้ ทรัพยากรทั้งหมดของตำหนักตงชิวล้วนเป็นของเจ้า รับประกันได้เลยว่าเจ้าจะต้องเติบโตอย่างรวดเร็ว!”


นางเอ่ยต่อ “มามามา ตอนนี้พวกเราเริ่มพิธีการเข้าร่วมกันเถิด!”


นางไม่ต้องการจะรอข้า กลัวว่าหลังจากนี้จะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นอีก หลังจากที่ซีเข้าร่วมกับตำหนักตงชิวอย่างเป็นทางการแล้ว นางจึงจะสามารถวางใจได้


“ตกลง!”


ซีพยักหน้าก่อนกระโดดลงมาจากบันไดสวรรค์โกลาหล


“แม่นาง ข้าหวังว่าเจ้าจะคิดให้ทบทวนดูให้ดี!”


“ใช่แล้ว แดนบรรพโกลาหลมีกฎเกณฑ์ หลังจากเข้าร่วมแล้วก็จะไม่สามารถเข้าร่วมกองกำลังอื่นเพื่อฝึกฝนได้อีก ไม่เช่นนั้นจะต้องเผชิญโทษทัณฑ์จากแดนบรรพโกลาหล”


เหล่าผู้ยิ่งใหญ่เอ่ยเตือน


แดนบรรพโกลาหลแตกต่างกับอาณาจักรแห่งอื่น ที่แห่งนี้มีกฎเกณฑ์แตกต่างจากอาณาจักรอื่นไม่ว่าจะเป็นนิกายเล็กใหญ่เพียงใด เมื่อเข้าร่วมแล้วก็จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ไม่เช่นนั้นจะต้องเผชิญหน้ากับการลงทัณฑ์


“ไม่จำเป็นต้องทบทวน ขอบคุณทุกท่านที่หวังดี!”


ซีเอ่ยตอบกลับเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ได้ด้วยความสุภาพ


ตำหนักตงชิวนั้นอยู่ในแนวหน้า กองกำลังอื่น ๆ ของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ไม่ห่างอันใดไปจากตำหนักตงชิวนัก ไม่ว่านางจะไปที่ใดก็ล้วนเหมือนกันไม่แตกต่าง


“ไป ไป ไป!”


จ้าวแห่งตงชิวยิ้มแล้วจับมือของซี พานางเข้าไปยังตำหนักตงชิวเพื่อทำพิธีเข้าร่วม


พิธีเข้าร่วมเป็นสิ่งที่จำเป็น


ด้านในแดนบรรพโกลาหล ไม่ว่าจะเป็นนิกายเล็กหรือใหญ่ หากต้องการจะเข้าร่วมกองกำลัง ก็จำเป็นต้องผ่านพิธีเข้าร่วม


“เอาล่ะ พวกเราไปชมพิธีเข้าร่วมกันเถิด!”


“ขอแสดงความยินดีกับตำหนักตงชิวด้วย!”


ด้วยการตอบกลับอย่างชัดเจนของซี ทำให้ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ไม่แสดงท่าทีคิดช่วงชิงอีก ต่างพากันส่งคำอวยพรให้กับตำหนักตงชิว


ไม่ใช่พวกเขาไม่คิดแย่งชิง แต่เพราะพวกเขาไม่สามารถทำได้


ซีได้เอ่ยออกมาอย่างชัดเจนแล้ว หากพวกเขายังดึงดันต่อ เกรงว่าจะทิ้งความประทับใจไม่ดีไว้ให้กับซี ทำให้ซีเกิดความขุ่นเคืองขึ้นมา


พวกเขาไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น ยังคงหวังว่าในอนาคตจะได้รับคำแนะนำจากซี


หลังจากนั้นพวกเขาก็ตามเข้าไปยังตำหนักตงชิว แอบเตรียมของขวัญเอาไว้ รอจนซีเข้าร่วมตำหนักตงชิวเรียบร้อยแล้ว พวกเขาค่อยนำของขวัญออกมามอบให้ เพื่อสร้างความประทับใจกับซี


หากรับไม่ได้ก็ทำลายทิ้งเสีย นี่เป็นวิธีคิดของอาณาจักรแห่งอื่น ภายในใจของพวกเขาต่างไม่มีความคิดเช่นนั้น


พวกเขาต่างต้องการให้ซีเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและปลอดภัย ไม่ว่าซีจะเลือกฝึกฝนที่ใดก็ตาม


ในอนาคตพวกเขาอาจช่วยสนับสนุนซีเสียด้วยซ้ำ ในแดนบรรพโกลาหลนั้นมีการต่อสู้แย่งชิงอยู่ไม่มาก พวกเขาต้องการเพียงแค่ให้ซีเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว


เพียงไม่นาน จ้าวแห่งตงชิวก็พาซีมาถึงลานกว้างของตำหนักตงชิว


ณ ที่แห่งนี้มีรูปปั้นมนุษย์ขนาดใหญ่ให้ความรู้สึกเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง จนทำให้คนอดรู้สึกต้องการจะก้มลงกราบไม่ได้


และความจริงก็เป็นเช่นนั้น


เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ที่ตามเข้ามาต่างพากันโค้งคำนับรูปปั้นด้วยความเคารพ


จ้าวแห่งตงชิวเอ่ยอธิบายที่มาของรูปปั้นให้กับซี “นี่คือบรรพจารย์ตำหนักตงชิวของพวกเรา นับเป็นสิ่งมีชีวิตแรกของตงชิวที่วิวัฒนาการขึ้นมา เผยแพร่สั่งสอนวิชาให้กับพวกเรา บุกเบิกเส้นทางการฝึกฝน เหล่าศิษย์ทั้งหมดของตำหนักตงชิว เมื่อเข้าร่วมย่อมต้องคุกเข่าคำนับบรรพจารย์ตงชิว!”


ซีพยักหน้า “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น”


คุกเข่าคำนับบรรพจารย์ของสำนัก ไม่ว่าที่ใดก็สมควรจะทำเช่นนั้น


“นี่...ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าคำนับได้หรือไม่ ข้ากลัว...ว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้น!”


ทว่าเมื่อกำลังจะคุกเข่าคำนับ จู่ ๆ นางก็เอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหัน


ไม่ใช่ว่านางเสแสร้งแต่อย่างใด ทว่าภายในใจกลับบังเกิดความรู้สึกเช่นนี้รุนแรงเป็นอย่างมาก นางรู้สึกว่าหากนางคุกเข่าคำนับ ก็จะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับรูปปั้น!


ซีไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าเหตุใดตนเองจึงเกิดความรู้สึกเช่นนี้


แต่ทว่าภายในใจของนางก็เกิดความรู้สึกเช่นนี้ขึ้นมาจริง ๆ!