นิยายเสียง อยู่ดีดีข้าก็เป็นเซียน
บทที่ 616ถึง620
เจ้าหลวงออกเดินทาง ทะลุทะลวงไปในอวกาศ
ว่าตามพลังอำนาจของพวกเขา แรงกดดันในอวกาศไม่มีผลต่อพวกเขาสักนิด
อาณาจักรอวี้ซวีมิได้อยู่ใกล้นครพิศวงที่จ้าวตะเข้พำนักเท่าใด ทว่าสำหรับพวกเขา ระยะห่างเท่านี้มิใช่เรื่องใหญ่ พวกเขาใช้เวลาไปไม่มากนัก
“จุดเริ่มต้นคืออาณาจักรอวี้ซวี!”
เจ้าหลวงหัวเราะเย็น ๆ ไปคราวนี้ เขาจักเปลี่ยนทั้งอาณาจักรอวี้ซวีเป็นนครพิศวงของเขา!
...
ดินแดนฝอ
เซียวฮุ่ยนำทัพสาวกทั้งสามเมืองของนางเดินทางจากดินแดนฮวงมาที่ดินแดนฝอ
“พลังความศรัทธาทรงอำนาจปานนี้เชียว!”
เซียวฮุ่ยตาลุกวาว นางมองเห็นได้ว่าพลังความศรัทธาที่ไหลเวียนอยู่ในดินแดนฝอทรงอำนาจน่าทึ่งเพียงใด ซ้ำยังบริสุทธิ์มากอีกด้วย
นางมีสาวกถึงสามเมืองที่เลื่อมใสในตัวนางกันทั้งสิ้น นำพาพลังความศรัทธามาให้นางมหาศาล
ทว่าเมื่อเทียบพลังความศรัทธาของนางกับพลังความศรัทธาในดินแดนฝอ ยังห่างชั้นกันอยู่มาก พลังความศรัทธาที่เกิดจากสาวกทั้งสามเมืองมิได้บริสุทธิ์เฉกเช่นพลังความศรัทธาในดินแดนฝอ เมื่อจิตใจไม่เที่ยงเต็มไปด้วยความคิดฟุ้งซ่าน ผลลัพธ์ย่อมด้อยลงไปมาก
ยิ่งพลังความศรัทธาในดินแดนฝอทรงอำนาจน่าทึ่งเพียงใด นางก็ยิ่งตื่นเต้นดีใจ
เพราะพลังความศรัทธานี้จะกลายเป็นของนางทั้งหมด!
พลังความศรัทธาอันบริสุทธิ์ปราศจากความคิดฟุ้งซ่าน ทั้งยังทรงอำนาจเยี่ยงนี้ หากได้ตกเป็นของนาง นางย่อมได้รับผลประโยชน์เป็นกอบเป็นกำ!
“อามิตาพุทธ ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่ดินแดนฝอ!”
“ผู้ใดมาเยือนล้วนถือเป็นแขก ดูทุกท่านคงเดินทางมาไกล เหน็ดเหนื่อยกันมามากใช่หรือไม่ หากทุกท่านไม่รังเกียจ มาพักในหมู่บ้านของเราได้”
คนในดินแดนฝอมีน้ำใจยินดีรับแขกเป็นอย่างมาก เห็นพวกเซียวฮุ่ยเดินทางมาไกล จึงยกน้ำอุ่นมาให้ เชื้อเชิญพวกเซียวฮุ่ยเข้าไปพักแรมในหมู่บ้านพวกเขา
“พระปัญญาพุทธเจ้าต่างหากคือพุทธเจ้าเพียงหนึ่งเดียว พระอมิตาภะพุทธเจ้าเป็นคนจอมปลอม พวกเรามาเพื่อบอกกล่าวเรื่องนี้แก่พวกเจ้า ศรัทธาพระปัญญาพุทธเจ้าต่างหากคือหนทางชอบธรรม!”
พระเก้าประทีปพุทธเจ้าเข้าไปเอ่ย ทั้งยังคำนับเซียวฮุ่ยอย่างนอบน้อมหนึ่งที สองมือประนมพลางกล่าว “ท่านผู้นี้ก็คือพระปัญญาพุทธเจ้า พุทธเจ้าที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวในกาลเวลาอันยาวนาน สาวกของพระปัญญาพุทธเจ้าจักมีชีวิตยืนยงเป็นนิรันดร์!”
“พวกเรามิได้ต่อต้านพระธรรมนิกายอื่น ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้ามาเผยแพร่ธรรมะในดินแดนฝอ”
“อามิตาพุทธ!”
คนเหล่านี้มิได้โต้แย้งพระเก้าประทีปพุทธเจ้า เพียงแต่ตอบยิ้ม ๆ
“ลองทอดสายตาไปทางเขาญาณดู วันนี้พวกเจ้าจะได้ประจักษ์ว่าผู้ใดคือพุทธเจ้าที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียว!”
เซียวฮุ่ยปรายตามองคนเหล่านี้ “ความเมตตาธรรมของพระอมิตาภะพุทธเจ้านั้นจอมปลอม วันนี้ ข้ามาที่นี่ก็เพื่อเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของเขา พวกเจ้าคอยดูให้ดีว่าโฉมหน้าที่แท้จริงของเขาเป็นอย่างไร!”
พูดจบ นางโบกมือไปมา พาสาวกทั้งสามเมืองเหินออกจากที่นี่ตรงไปที่เขาญาณ
“อามิตาพุทธ ขออนุญาตทวงถามทุกท่านสักคำว่ามาที่เขาญาณด้วยกิจอันใด”
ใต้ตีนเขาของเขาญาณ พระภิกษุผู้มีหน้าที่เฝ้าประตูเขา เอ่ยถามพวกเซียวฮุ่ย
“เผยแผ่หลักธรรมพระปัญญาพุทธเจ้า”
เซียวฮุ่ยเอ่ยเสียงเบา พลังอันมองไม่เห็นกระแทกใส่พระภิกษุผู้ทำหน้าที่เฝ้าประตูเขากระเด็นออกไปทันที
นางนำทัพสาวกทั้งสามเมืองขึ้นไปบนเขาญาณ!
ขบวนทัพยิ่งใหญ่เอิกเกริก สาวกสามเมืองที่นางพามาในคราวนี้มีจำนวนมหาศาล พร้อมยึดครองเขาญาณ แทนที่ทุกคนในพุทธศาสนา
ระหว่างทาง มียอดฝีมือพุทธศาสนาเข้ามาขวาง แต่ถูกกำราบลงในทันที ไม่อาจสกัดพวกเขาไว้ได้เลย
กำลังรบขั้นเทียนตี้ อยู่ในระดับที่บดขยี้ผู้คนที่นี่ได้อย่างแน่นอน
ภายในวิหารต้าสยง
พระสังฆราชมีสีหน้าเคร่งเครียด เขารับรู้เหตุการณ์ด้านนอกแล้ว เซียวฮุ่ยมิได้ปกปิดพลังปราณของตน เขารู้ดีว่าตนเองไม่อาจต้านทานคนผู้นี้ได้เลย
เขามิได้ลังเล รีบหยิบศาสตราสื่อสารออกมาติดต่อต้าเต๋อ
“ว่าอะไรนะ ไอ้เวรเก้าประทีปกลับมาอีกแล้วหรือ ซ้ำยังแห่กันมามากด้วย อามิ…ข้าต้าเต๋อฝอ ต้าเต๋อฝอผู้นี้ทนไม่ได้!”
เสียงของต้าเต๋อดังออกจากอีกฟากของศาสตราสื่อสาร
“อ้ายฉาน ไว้ข้าค่อยกลับมาคิดบัญชีกับเจ้า เวรเอ๊ย รังของข้าถูกผู้อื่นถล่ม!”
เสียงของต้าเต๋อดังขึ้นอีกครั้ง เขามิได้อยู่ที่ดินแดนฝอ หากแต่อยู่นอกดินแดนฝอกับอ้ายฉาน
พับผ่าสิ คราวก่อนต้าเต๋อโดนอ้ายฉานหลอกจนเกือบแย่ อ้ายฉานติดต่อหาต้าเต๋อให้ช่วยต่อกรกับสิ่งมีชีวิตนอกอาณาจักร ละจัดแจงสถานที่หนึ่งไว้ให้ต้าเต๋อ บอกต้าเต๋อว่าที่นี่มีเนื้อวิหคทองให้กิน ให้เขานำสุราไปเยอะ ๆ จะได้กินเนื้อวิหคทองเป็นกับแกล้ม
ต้าเต๋อมุ่งหน้าไปที่นั่นด้วยความตื่นเต้น ทั้งยังก่อไฟตั้งหม้อ ต้มน้ำจนเดือด รอเพียงครุฑทองลงมาอยู่ในหม้อ
ทว่าหลังจากครุฑทองที่ว่ามาถึง ต้าเต๋อก็ต้องอึ้งงัน กระทั่งสุราที่ดื่มลงไปแล้วก่อนหน้าต้องขย้อนออกมาจนหมด ที่มานั้นใช่ครุฑทองที่ไหน ล้วนเป็นซากศพน่าขยะแขยงถึงขีดสุด!
ต้าเต๋อถึงเข้าใจว่าตัวเองถูกอ้ายฉานหลอกเอาเสียแล้ว!
หลังกลับจากที่นั่น ต้าเต๋อยิ่งคิดยิ่งโมโห พำนักในดินแดนฝอไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจไปคิดบัญชีกับอ้ายฉาน
ทว่าเขาเพิ่งมาถึงตัวอ้ายฉาน ไม่ทันได้สะสางกับนาง พระสังฆราชก็ติดต่อเขามาเสียก่อน
“รังถูกผู้อื่นถล่มหรือ ให้ช่วยหรือไม่” อ้ายฉานถาม
“ไม่ต้อง! ข้าจัดการเองได้!”
ต้าเต๋อออกเดินทางกลับเขาญาณ
อีกด้าน หลังพระสังฆราชจบบทสนทนากับต้าเต๋อ ก็ออกมาอยู่ด้านนอก
บรรดาพระโพธิสัตว์อย่างพระเวทโพธิสัตว์ก็ออกมาเช่นกัน ยืนอยู่ด้านหลังเขา ประจันหน้ากับพวกเซียวฮุ่ย
“อามิตาพุทธ พวกเจ้าคิดจะทำอันใด”
พระสังฆราชก้าวออกไปหนึ่งก้าว ปริปากถาม
“พวกเจ้ายังพอมีประโยชน์อยู่ ข้าจะปล่อยไปก่อน เพื่อช่วยข้าเผยแผ่หลักธรรมพระปัญญาพุทธเจ้า”
เซียวฮุ่ยชำเลืองพวกพระสังฆราช มิได้เห็นพวกพระสังฆราชอยู่ในสายตา
พวกพระสังฆราชยังมิได้ก้าวสู่ขอบเขตจักรพรรดิด้วยซ้ำ ยามอยู่ต่อหน้านางจึงต้องต่ำยิ่งกว่ามดปลวกเสียอีก
“หลักธรรมพระปัญญาพุทธเจ้าหรือ”
พระสังฆราชขมวดคิ้ว หมายความว่าอย่างไร เขาสัมผัสความเป็นพุทธะจากตัวเซียวฮุ่ยมิได้แม้แต่เศษเสี้ยว เซียวฮุ่ยบำเพ็ญธรรมเหมือนกันหรือ
เซียวฮุ่ยมิได้เอ่ยอันใดให้มากความ นางชี้นิ้วออกไป พวกพระสังฆราชถูกสะกดให้ตรึงติดกับที่ ไม่อาจขยับเขยื้อนได้
นี่มันขอบเขตอะไรกัน!
แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
พวกพระสังฆราชตะลึงกันหมด ตรึงพวกเขาได้ในนิ้วเดียว พลังเช่นนี้น่าพรั่นพรึงเหลือเกิน!
พวกเขากังวลใจนิดหน่อย ห่วงว่าต้าเต๋อกลับมาแล้วจะต่อกรกับเซียวฮุ่ยไหวหรือไม่
“ต้าเต๋อที่ว่า ตอนนี้มิได้อยู่ที่เขาญาณ เอาเถิด ไว้ค่อยจัดการเขา”
เซียวฮุ่ยคลี่แผ่พลังจิตปกคลุมได้ทั่วเขาญาณในทันที และจับสัมผัสต้าเต๋อไม่ได้
นางมิได้ใส่ใจมากนัก
สำหรับนาง ต้าเต๋อเป็นเพียงคนที่ต้องจัดการไปด้วยเท่านั้น หาใช่ศัตรูตัวฉกาจแต่อย่างใด
“พระพุทธรูปทองคำจากพลังความศรัทธา…”
เซียวฮุ่ยทอดสายตาไปที่พระพุทธรูปสลักทองคำบนลานกว้าง นี่คือพระพุทธรูปทองคำของพระอมิตาภะพุทธเจ้า นางมองเห็นว่าพลังความศรัทธาจากทั้งดินแดนฝอเข้ามารวมตัวกันบนพระพุทธรูปทองคำนี้ไม่ขาดสาย
“น่าสนใจ พระพุทธรูปทองคำบรรจุพลังความศรัทธาไว้มหาศาลจนก่อกำเนิดญาณขึ้นมาหรือนี่”
เซียวฮุ่ยเหยียดยิ้ม
พระพุทธรูปทองคำมีญาณหรือ
พวกพระสังฆราชไม่อาจเชื่อได้ลง ก่อนนี้พวกเขาไม่รู้เลยว่าพระพุทธรูปทองคำมีญาณ และพระพุทธรูปทองคำรูปนี้ก็ไม่เคยมีวี่แววก่อกำเนิด ‘ญาณ’ มาก่อน
เซียวฮุ่ยจ้องมองพระพุทธรูปทองคำรูปนั้น “ออกมาสิ ข้าต้องการให้เจ้าทำบางอย่าง”
นางชี้นิ้วออกไป ลำแสงสยดสยองพวยพุ่ง ถล่มใส่พระพุทธรูปทองคำ
แสงพุทธะเจิดจ้าส่องสว่างออกจากพระพุทธรูปทองคำในพริบตา ยับยั้งพลังจากนิ้วของเซียวฮุ่ย
“อามิตาพุทธ!”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากภายในพระพุทธรูปทองคำ มีญาณอยู่จริงหรือ!
พระพุทธรูปเปล่งแสง เจิดจ้าดุจดวงอาทิตย์ ส่องสะท้อนไปทั่วดินแดนฝอ
พระพุทธรูปทองคำของพระอมิตาภะพุทธเจ้าตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าดิน รัศมีพระพุทธทรงกลดมากมายปกคลุมอยู่ด้านหลัง ประหนึ่งว่ามีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งก็ไม่ปาน ไม่เหมือนเป็นเพียงพระพุทธรูปทองคำสักนิด มองเห็นกันทั่วทั้งดินแดนฝอ
“อามิตาพุทธ!”
“ข้าพระพุทธมีเมตตา!”
หลังสิ่งมีชีวิตดินแดนฝอได้เห็นพระพุทธรูปทองคำของพระอมิตาภะพุทธเจ้า ต่างประนมมือโดยไม่ลังเล ปากบริกรรมอามิตาพุทธ ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์ใดล้วนอยู่ในท่าทางเช่นนั้น
ความศรัทธาที่มีต่อพระอมิตาภะพุทธเจ้าในดินแดนฝอนั้นมิอาจสั่นคลอน สิ่งมีชีวิตทั้งปวงในดินแดนฝอล้วนศรัทธาต่อพระอมิตาภะพุทธเจ้า
ในสถานการณ์ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า พลังหลายสายทะยานขึ้นจากทั่วทุกสารทิศในดินแดนฝอ หลอมรวมเข้าด้วยกันประดุจมหาสมุทร แล้วหลั่งไหลเข้าไปในพระพุทธรูปทองคำของพระอมิตาภะพุทธเจ้า
ทันใดนั้น ประกายจากพระพุทธรูปทองคำของพระอมิตาภะพุทธเจ้าก็สว่างไสวขึ้นอีกหลายเท่า รัศมีพระพุทธทรงกลดที่ปกคลุมอยู่ด้านหลังก็ขยายตัวอีกหลายเท่า ใหญ่คับจนท้องฟ้าแทบแตก!
พลังที่ทะยานหลอมรวมจากทั่วทุกสารทิศนี้ คือพลังความศรัทธาที่สิ่งมีชีวิตในดินแดนฝอมีต่อพระอมิตาภะพุทธเจ้า
“เก่งพอตัวจริง ๆ สมกับเป็นผู้สรรค์สร้างพลังความศรัทธา ทั้งที่เป็นเพียงพระพุทธรูปทองคำ กลับมีบารมีเทียบเท่าเทียนตี้!”
เซียวฮุ่ยเอ่ยเสียงเบา ชื่นชมต่อพลังที่พระอมิตาภะพุทธเจ้าแสดงให้เห็น นี่เป็นเพียงพระพุทธรูปทองคำเท่านั้น หลังได้รับการเสริมพลังด้วยพลังความศรัทธา กลับมีบารมีเทียบเท่าเทียนตี้ ซ้ำยังอาจต่อสู้กับเทียนตี้สูงสุดได้ด้วย
นับว่าไม่ธรรมดาจริง ๆ ล้ำเลิศอย่างมาก
ต้องรู้ว่า สภาพแวดล้อมในยุคสมัยนี้เลวร้ายเพียงใด สสารฝึกฝนชั้นสูงแทบไม่มีอยู่ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการก่อกำเนิดกำลังรบระดับเทียนตี้สูงสุด กระทั่งกำลังรบมหาจักรพรรดิยังถือกำเนิดได้ยากมาก แทบเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ
พระพุทธรูปทองคำรูปหนึ่งกลับมีกำลังรบที่สามารถต่อสู้กับเทียนตี้สูงสุดได้ พระอมิตาภะพุทธเจ้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่จริง ๆ
“น่าเสียดาย เจ้ายังไม่พ้นจากความโง่เขลา”
นางสั่นศีรษะ มิได้ชื่นชมสิ่งที่พระอมิตาภะพุทธเจ้าแสดงให้เห็นอีกต่อไป หากแต่แฝงไว้ด้วยความดูแคลน
หลักธรรมความศรัทธาเช่นนี้ สมควรเผยแผ่ออกไปในวงกว้างถึงจะถูก พระอมิตาภะพุทธเจ้ากลับปิดกั้นตนเอง ห้ามมิให้สาวกพุทธศาสนาออกเผยแผ่พระธรรมนอกดินแดนฝอ พร้อมเอ่ยว่าสามพันวิถี สมควรเบ่งบานไปด้วยกัน กึกก้องกันถ้วนหน้า มิควรโดดเด่นแต่เพียงผู้เดียว
โง่เขลานัก!
ในสายตาของนาง การแข็งแกร่งขึ้นต่างหากคือความถูกต้อง เผยแผ่พลังความศรัทธาให้เจริญรุ่งเรือง เป็นที่ศรัทธาของสิ่งมีชีวิตทั้งปวงในใต้หล้าถึงจะถูก!
หากว่าพุทธศาสนาไม่ปิดกั้นตนเอง พลังความศรัทธาของพระอมิตาภะพุทธเจ้าคงขยายวงกว้างไปทั่วทั้งอาณาจักร พลังความศรัทธานี้ทรงอำนาจยิ่งนัก ได้รับประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย มีศักยภาพให้พัฒนามหาศาล ท่ามกลางอารยธรรมฝึกตนที่ตกต่ำลงนี้ ต้องบดขยี้วิชาฝึกฝนอื่นได้แน่นอน
พระอมิตาภะพุทธเจ้ามีโอกาสบรรลุขอบเขตได้สูงกว่านี้!
“อามิตาพุทธ!”
มีเสียงดังออกจากพระพุทธรูป ‘ญาณ’ ภายในตื่นขึ้น มันก่อกำเนิดจิตสำนึกออกมาได้นานแล้ว ทว่ามันมิเคยออกมากระทำการใด พระอมิตาภะพุทธเจ้าไม่อยู่แล้ว มันจึงรับภาระหน้าที่หล่อเลี้ยงคืน ช่วยให้สิ่งมีชีวิตอันเป็นสาวกของพระอมิตาภะพุทธเจ้าได้รับผลประโยชน์
หากมิใช่ว่ามีมันอยู่ ความสัมพันธ์ต่างฝ่ายต่างได้รับประโยชน์เช่นนี้คงขาดไปนานแล้ว
นี่ก็เป็นบ่วงกรรมอย่างหนึ่ง
พลังความศรัทธาจากทุกคนช่วยให้มันถือกำเนิด และมันก็คืนการหล่อเลี้ยงสู่ปวงชน!
“ข้าต้องการให้เจ้าเจิดจรัส ปฏิบัติหน้าที่สุดท้ายให้ดี”
เซียวฮุ่ยปริปาก “ข้าอยากให้เจ้าระเบิดพลังความศรัทธา ให้ดินแดนฝอต้องหลั่งเลือดกันบ้าง เปิดเผย ‘ความชั่วร้าย’ ของพระอมิตาภะพุทธเจ้า”
นี่คือแผนของนาง
นางต้องการให้สิ่งมีชีวิตในดินแดนฝอได้เห็น ‘ความชั่วร้าย’ ของพระอมิตาภะพุทธเจ้า แล้วนางค่อยลงมือ ปราบปรามพระอมิตาภะพุทธเจ้า เช่นนี้ นางก็จะกลายเป็น ‘ผู้กอบกู้’ ในสายตาสิ่งมีชีวิตดินแดนฝอทั้งหลาย ถึงครานั้น ความศรัทธาที่ปวงชนมีต่อพระอมิตาภะพุทธเจ้าก็จะพังทลาย จากนั้น นางเข้าแทนที่ และทุกคนก็จะหันมาศรัทธาในตัวนางแทน
“อามิตาพุทธ สีกาโปรดหยุดเพียงเท่านี้เถิด ข้าไม่มีทางทำเช่นนั้น”
พระพุทธรูปทองคำท่องพระนาม ปฏิเสธทันควัน
“เรื่องนั้นเจ้าไม่มีสิทธิ์ตัดสิน!”
เซียวฮุ่ยลงมือทันที ลำแสงนับล้านซึ่งเจิดจ้าแยงตายิ่งกว่าแสงพุทธะจากพระพุทธรูปทองคำพวยพุ่ง!
พระพุทธรูปทองคำฟาดฝ่ามือออกไป พลังความศรัทธานับคณาหลั่งไหล ถล่มใส่เซียวฮุ่ย
ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเซียวฮุ่ย ทั้งหมดนี้ไร้ซึ่งประโยชน์!
เซียวฮุ่ยเป็นตัวตนเหนือเซียน ซ้ำยังเหนือกว่ามากด้วย เซียนสมบูรณ์เมื่ออยู่ต่อหน้านางยังสู้มิได้ นางคือจ้าวแห่งเซียนตนหนึ่ง!
ต่อให้นางในตอนนี้ยังมิได้ฟื้นขอบเขตพลังกลับมาเต็มที่ อยู่แค่ขั้นเทียนตี้ กระนั้นก็ไม่อาจสบประมาทพลังฝีมือของนางได้ นางทรงพลังเกินว่าที่พระพุทธรูปทองคำจะต้านทานได้ไหว!
นางสำแดงวิชาจ้าวแห่งเซียน แสงเซียนห้อมล้อม ระเบิดรัวในห้วงอากาศ คลื่นแสงซัดสาดระลอกแล้วระลอกเล่า แฝงไว้ด้วยพลังล้นฟ้า เข้ากำราบพระพุทธรูปทองคำทันที!
พุทธสาวกในเขาญาณทั้งหมดตกตะลึง หวาดผวาอยู่เต็มหัวใจ ซ้ำยังแทบไม่อยากเชื่อ
นี่มันมหาวิชาระดับไหนกัน พวกเขารู้สึกถึงความต้อยต่ำ ระดับของปรมัตถ์วิชาที่แสดงออกมานั้น มิใช่ระดับที่พวกเขาเข้าใจได้!
พระพุทธรูปทองคำปะทุแสงพุทธะที่รุนแรงยิ่งขึ้น หมายจะทลายสถานการณ์ที่ถูกปราบปราม ทว่าทุกอย่างล้วนเปล่าประโยชน์ แสงพุทธะที่เพิ่งสว่างวาบถูกกำราบลงในพริบตา นั่นมิใช่พลังที่ต่อกรด้วยไหว!
สุดท้ายแล้ว มันเป็นเพียง ‘ญาณ’ ดวงหนึ่ง มิเคยฝึกฝนวิชาอาคมยิ่งใหญ่อันใด พลังที่เปล่งออกมาได้นั้นจึงมีจำกัด
หากมิใช่เช่นนั้น มันคงไม่พ่ายแพ้ย่อยยับปานนี้ อย่างน้อยก็ต้องดวลกับเซียวฮุ่ยได้สักสามสี่ยก
“สิ่งมีชีวิตนับล้านในดินแดนฝอมองอยู่ เริ่มการแสดงของเจ้าได้”
เซียวฮุ่ยเอ่ยปากเบา ๆ จิ้มนิ้วไปที่พระพุทธรูปทองคำของพระอมิตาภะพุทธเจ้า ลำแสงลำหนึ่งพวยพุ่งออกจากนิ้วของนาง เร็วทะลุขีดจำกัด!
พรวด!
พลังทั้งหมดของพระพุทธรูปทองคำถูกกำราบลง ลำแสงนั้นทิ่มแทงเข้าไปในหน้าผากพระพุทธรูปทองคำได้อย่างง่ายดาย
ชั่วพริบตานั้น พระพุทธรูปทองคำไม่มีแสงพุทธะสาดส่องออกมาอีก
‘ญาณ’ ด้านในอยู่ในการควบคุมของเซียวฮุ่ย!
ผ่านไปไม่นาน แสงพุทธะเอ่อล้นออกจากพระพุทธรูปทองคำอีกครั้ง ทว่าหนนี้ปราศจากความน่าเกรงขาม แต่แฝงไว้ด้วยความชั่วร้าย!
‘ญาณ’ ถูกควบคุม พลังความศรัทธาในเวลานี้มิได้หล่อเลี้ยงคืนอีกต่อไป เซียวฮุ่ยควบคุม ‘ญาณ’ ของพระพุทธรูปทองคำ และเริ่มดูดกลืนอย่างบ้าคลั่ง!
“อ๊าก ๆๆ!”
“อย่านะ!”
เสียงโหยหวนดังระงมไปทั่วดินแดนฝอ ปราณเลือนและขุมปราณชีวิตในตัวพวกเขาล้วนถูกพระพุทธรูปทองคำดูดกลืนไปอย่างรวดเร็ว!
หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาต้องตายกันหมด ไม่มีทางรอดได้เลย!
“หยุดเดี๋ยวนี้! พวกเจ้าคิดจะทำอันใดกันแน่!?”
“พวกเจ้าต้องการยึดครองเขาญาณ ปกครองพุทธศาสนาหรือ อาตมายกให้พวกเจ้า ยกให้พวกเจ้าทั้งหมด พวกเจ้าอย่าทำร้ายผู้บริสุทธิ์อีกเลย!”
พระสังฆราช พระเวทโพธิสัตว์ และพระโพธิสัตว์องค์อื่น ๆ ต่างน้ำตาไหลอาบ หวังให้เซียวฮุ่ยหยุดการกระทำ ไม่อาจทนเห็นสิ่งมีชีวิตมากมายในดินแดนฝอต้องจบชีวิตลงเพราะเหตุนี้
เซียวฮุ่ยยิ้มเย็น สีหน้าราบเรียบ “ไม่หลั่งเลือดบ้าง ย่อมไม่ประสบเคราะห์ภัยบ้าง ผู้คนไฉนเลยจะมองเห็น ‘ความเลว’ ของพระอมิตาภะพุทธเจ้า แล้วไฉนเลยจะเห็นความดีของข้า นี่คือขั้นตอนที่จำเป็นต้องเกิดขึ้น”
นางเร่งความเร็ว ต้องการลงมืออย่างอดรนทนไม่ไหว
“ไสหัวไปเสียไอ้เวรตะไล!”
เวลานั้นเอง เสียงก่นด่าเสียงหนึ่งดังออกจากห้วงอากาศ มิติบิดเบี้ยว
ต้าเต๋อกลับมาแล้ว!
ต้าเต๋อกลับมาแล้ว ใบหน้าเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
เขาได้ยินเสียงกรีดร้องครวญครางดังระงมไปทั่วดินแดนฝอ รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่สิ่งมีชีวิตในดินแดนฝอประสบ เขาปล่อยลูกประคำออกไปพวงหนึ่ง คงไว้เหนือหัวพระพุทธรูปทองคำ
แสงประกายมหาศาลสาดส่องลงมาจากลูกประคำ สะท้อนบนตัวพระพุทธรูปทองคำ ‘ญาณ’ ในพระพุทธรูปทองคำถูกสะกด พลังของเซียวฮุ่ยถูกขับไล่ออกไป
พลังที่เดิมดูดกลืนพลังขุมปราณชีวิตและเลือดลมของสิ่งมีชีวิตในดินแดนฝอถูกตัดสะบั้นไปด้วย เสียงครวญครางที่ดังระงมอยู่ในดินแดนฝอหายไป ความเจ็บปวดของสิ่งมีชีวิตในดินแดนฝอสิ้นสุดลง
“เจ้าคือต้าเต๋อผู้นั้นหรือ?”
เซียวฮุ่ยแหงนมองด้วยความคาดไม่ถึงนิดหน่อย ถึงขั้นขับไล่พลังของนางออกไปได้เลยหรือ ต้าเต๋อผู้นี้แข็งแกร่งกว่าที่นางคิดไว้
เด็กคนนี้ไม่เพียงแต่ได้รับการคุ้มครองจากวิถีสวรรค์ ทว่ายังมีของวิเศษทรงพลังในมืออีกด้วย!
ลูกประคำพวงนั้น แม้กระทั่งนางเองยังมองไม่ออก รู้สึกถึงภยันตราย!
ลูกประคำพวงนี้มีที่มาอย่างไรกันแน่?
สร้างโดยพระอมิตาภะพุทธเจ้าหรือ?
ไม่สิ!
นางปัดความคิดนั้นตกอย่างรวดเร็ว
พลังที่ไหลเวียนอยู่บนลูกประคำ แม้แต่ตัวนางเองยังอกสั่นขวัญผวา สิ่งนี้ย่อมมิได้สร้างโดยพระอมิตาภะพุทธเจ้า ต่อให้เป็นในภพเซียน ก็ถือเป็นของวิเศษพลังแกร่งกล้า มิใช่ของธรรมดา!
นางหวนนึกถึงหยวนอีขึ้นมาทันที นึกถึงสี่กระบี่ประหารเซียนในมือหยวนอี หรือว่าต้าเต๋อจะเป็นเหมือนกับหยวนอี มีผู้อยู่เบื้องหลัง ซ้ำยังเป็นคนเดียวกันอีกด้วย!?
ใช่แล้ว!
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังต้าเต๋อต้องเป็นคนเดียวกับที่อยู่เบื้องหลังหยวนอีแน่นอน เช่นนี้ถึงจะอธิบายได้ว่า เหตุใดต้าเต๋อถึงได้รับการคุ้มครองจากวิถีสวรรค์ ทั้งยังมีลูกประคำระดับนี้ในมือ!
วิถีสวรรค์ของอาณาจักรนี้ในยามนี้ยังอ่อนแออยู่มาก ด้วยพลังฝีมือของคนผู้นั้น สามารถออกคำสั่งกับวิถีสวรรค์ได้ง่ายดาย ส่วนการประทานลูกประคำระดับนี้แก่ต้าเต๋อนั้น ย่อมเป็นเรื่องง่ายดายไม่เหนือบ่ากว่าแรง
อย่างไรแล้ว คนผู้นั้นถึงขั้นมอบสี่กระบี่ประหารเซียนให้หยวนอีได้ด้วยซ้ำ!
จวบจนบัดนี้ นางยังนึกผวาอยู่บ้างยามนึกถึงสี่กระบี่ประหารเซียน หวาดกลัวเหลือคณา!
ถึงแม้หยวนอีมิเคยเอ่ยบอกชัดเจนว่ามีผู้อยู่เบื้องหลัง กระนั้นนางสามารถแน่ใจได้เลยว่า หยวนอีต้องมีผู้อยู่เบื้องหลังแน่นอน มิฉะนั้น ด้วยขอบเขตพลังของหยวนอี ไม่มีทางได้มาซึ่งสี่กระบี่ประหารเซียน และไม่มีทางเปล่งพลานุภาพเช่นนั้นออกจากสี่กระบี่ประหารเซียน!
“อามิ…ข้าต้าเต๋อฝอ ข้าพระพุทธไร้เกศา! ถูกต้องแล้ว ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าเจ้าก็คือท่านต้าเต๋อ พ่อทูนหัวของเจ้า!”
ดวงตาต้าเต๋อจ้องเซียวฮุ่ยเขม็งด้วยความขุ่นเคือง “บังอาจก่อการอุกฉกรรจ์ในถิ่นของท่านต้าเต๋อผู้นี้ ข้าว่าเจ้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วกระมัง!”
โชคดีที่เขากลับมาได้ทันเวลา มิฉะนั้น ทั้งดินแดนฝอมีหวังต้องประสบหายนะ ไม่รู้ต้องมีสิ่งมีชีวิตมากมายเพียงใดล้มหายตายจาก
“บังอาจนัก!”
พระเก้าประทีปพุทธเจ้าตวาดลั่น จ้องมองต้าเต๋อด้วยสายตาเคียดแค้น “ท่านผู้นี้คือพระปัญญาพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว เจ้าหัดระวังถ้อยคำเสียบ้าง!”
“พระพุทธเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียวกับผีน่ะสิ! ปราศจากการอนุญาตจากข้าต้าเต๋อฝอ ผู้ใดบังอาจขนานตนว่าเป็นพระพุทธเจ้า?”
ต้าเต๋อตวาดเสียงเย็น
“ยังโอหังได้อยู่อีกหรือ อีกเดี๋ยวพระปัญญาพุทธเจ้าจักสอนเจ้าให้รู้รสพระธรรมเอง!”
พระเก้าประทีปพุทธเจ้าต่อว่า มั่นใจในเซียวฮุ่ยเต็มเปี่ยม
“คิดไม่ถึง คิดไม่ถึงเลย คิดไม่ถึงว่าการมาเยือนครานี้จะได้รับผลประโยชน์มหาศาลเพียงนี้!”
เซียวฮุ่ยแหงนหน้าหัวเราะร่วน ก่อนที่เสียงหัวเราะนั้นจะชะงักงัน ดวงตาคู่นั้นคมกล้าน่าเกรงขาม เอ่ยขึ้นขณะจับจ้องต้าเต๋อ “ว่ามาสิ ผู้ใดอยู่เบื้องหลังเจ้า!”
นางเกือบถูกสี่กระบี่ประหารเซียนฆ่า ย่อมไม่มีทางรามือง่าย ๆ นางไม่เพียงแต่ไม่ปล่อยหยวนอีไว้ แต่จะไม่ปล่อยผู้ที่อยู่เบื้องหลังหยวนอีด้วย
เห็นได้ชัดว่าหยวนอีเป็นเพียงลูกไล่
พอดีเลย ครั้งนี้ นางได้พบต้าเต๋อผู้มีความเกี่ยวข้องกับคนเบื้องหลังหยวนอี นางจะจับกุมตัวต้าเต๋อ เพื่อล้วงสถานการณ์ของคนผู้นั้น!
“เจ้าไม่มีสิทธิ์รู้!”
ต้าเต๋อมิได้เอ่ยอันใดไปมากกว่านี้ เขาลงมือทันที ลูกประคำเปล่งแสงเจิดจ้า ถล่มใส่เซียวฮุ่ย
“รนหาที่ตาย!”
เซียวฮุ่ยแค่นเสียงเย็น ประสบการณ์ถูกหยวนอีสั่งสอนอย่างรุนแรงผุดขึ้นในใจ บัดนี้ ลำพังแค่ต้าเต๋อยังคิดสั่งสอนนางอีกหรือ
นางบันดาลโทสะ ออกท่ารุนแรง เรียกวิชาเซียนออกมา บุกโจมตีไปข้างหน้า
ลูกประคำนั้นไม่ธรรมดา นางมิได้ออมมือแต่อย่างใด รับมืออย่างจริงจังด้วยการใช้พลังทั้งหมดที่มีทันที!
ทว่านางประเมินลูกประคำพวงนั้นต่ำเกินไปจริง ๆ
หลงคิดว่าลูกประคำพวงนี้มีอำนาจมิสู้สี่กระบี่ประหารเซียน หารู้ไม่ เมื่อเทียบกับสี่กระบี่ประหารเซียนแล้ว ลูกประคำนี้รังแต่จะทรงพลังยิ่งกว่า!
ลูกประคำเปล่งแสงเจิดจ้า ส่องสว่างไปทั่วดินแดนฝอ พระพุทธรูปยักษ์ทองคำองค์แล้วองค์เล่าปรากฏ ทั้งหมดล้วนเป็นต้าเต๋อ!
นี่คือลูกประคำที่คุณชายสรรสร้างขึ้นเพื่อต้าเต๋อด้วยตนเอง!
วิชาเซียนที่เซียวฮุ่ยใช้พังทลายไม่เป็นท่าในบัดดล มิใช่พลังระดับเดียวกันเลย เซียวฮุ่ยกระเด็นออกไป กระอักเลือดไม่หยุด!
“อะไรกัน!”
เซียวฮุ่ยไม่อาจทำใจเชื่อได้ลง ความหวาดกลัวคืบคลานเข้ามาในจิตใจของนาง
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังต้าเต๋อและหยวนอีเป็นใครกันแน่ ไฉนถึงสยดสยองน่ากลัวได้ถึงเพียงนี้!?
ก่อนหน้านี้มีสี่กระบี่ประหารเซียน ต่อมามีลูกประคำพวงนี้ ของวิเศษชิ้นแล้วชิ้นเล่า ท่านผู้นั้นมีของวิเศษในมือมากขนาดไหนกัน ถึงได้มอบให้คนอื่นง่าย ๆ เช่นนี้!?
“หา?”
พระเก้าประทีปพุทธเจ้าอึ้งงันไปในบัดดล
นี่มัน…อะไรกัน!
เดิมที เขาคาดหวังให้เซียวฮุ่ยแก้แค้นแทนเขา สุดท้ายเซียวฮุ่ยกลับแพ้ยับเยินปานนี้ ทันทีที่ปะทะก็หมดสภาพกองลงพื้น ความห่างชั้นนั้นอย่าให้สาธยายเลยว่ามากมายเท่าใด!
เขามิได้ลังเล คิดหนีไปจากที่นี่ทันที ขืนไม่หนี เขาต้องมีจุดจบอเนจอนาถอย่างแน่นอน!
เซียวฮุ่ยเหินหนีไปทันที อนิจจา ทั้งนางทั้งพระเก้าประทีปพุทธเจ้าไม่อาจหนีไปไหนได้เลย พลังของลูกประคำพันธนาการเซียวฮุ่ยและพระเก้าประทีปพุทธเจ้าในเสี้ยวพริบตา
รวมถึงสิ่งมีชีวิตทั้งสามเมืองที่ติดตามเซียวฮุ่ยมา ล้วนถูกพันธนาการไว้ที่นี่ทั้งสิ้น
“อามิ…ข้าต้าเต๋อฝอ ข้าพระพุทธมีเมตตา หาได้เคยเข่นฆ่าเอาชีวิต แม้ว่าพวกเจ้านั่นชั่วช้า ทว่าข้าต้าเต๋อฝอตัดสินใจให้โอกาสพวกเจ้าสักครั้ง”
ต้าเต๋อเอ่ย “จากนี้ไปจงอยู่ที่เขาญาณ สวดคัมภีร์พระธรรมวันละหนึ่งร้อยรอบ ปรับปรุงตัวใหม่ได้เมื่อใดค่อยว่ากัน!”
หนึ่งร้อยรอบ!
เซียวฮุ่ยอยากจะบ้า เหตุใดนางถึงหนีไม่พ้นคำสาปหนึ่งร้อยรอบเสียที
ได้ยินคำว่าหนึ่งร้อยรอบอีกแล้ว!
...
ณ เมืองชิงซาน
ภายในลานเล็กของหลี่จิ่วเต้า
“เสี่ยวไป๋ เจ้าไปหาเซี่ยเหยียน บอกว่าข้ามีธุระ”
หลี่จิ่วเต้าบอกลั่วสุ่ย
ก่อนหน้านี้เขาปวดใจโดยไม่ทราบสาเหตุ คล้ายว่าเกิดเรื่องกับซี เขาไม่อยากรอต่อไปแล้ว อยากไปตามหาซีด้วยตนเอง!
ต่อให้ต้องหาจนทั่วทั้งโลกนี้ ก็ต้องหาซีให้เจอจงได้!
ทว่าถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นโลกของผู้ฝึกตน ตัวเขาเป็นเพียงปุถุชน ไฉนเลยจะหาให้ทั่วทั้งหล้าได้ น่ากลัวว่าต่อให้เขาเดินจนตายกันไปข้าง ยังออกจากอาณาจักรเพียงหนึ่งแห่งในโลกนี้มิได้
เขานึกถึงเซี่ยเหยียน นึกถึงรถลากคันนั้น นึกถึงสัตว์อสูรลากรถทั้งเก้าตัวขึ้นมา หากให้อสูรเก้าตัวนั้นลากรถพาเขาไป ที่เขาอยากไปให้ทั่วทั้งโลกนั้นเห็นจะมิใช่ปัญหาใหญ่
“ได้!”
ลั่วสุ่ยพยักหน้า ออกจากลานเล็ก มุ่งหน้าไปหาเซี่ยเหยียน
หลังลั่วสุ่ยไปแล้ว หลี่จิ่วเต้าก็กลับมาที่ห้องและเก็บสัมภาระ
ระยะเวลาของการเดินทางครั้งนี้ย่อมมิได้สั้น ๆ เขาควรต้องเตรียมตัวให้ดี มิติภายในรถลากมีขนาดกว้างขวาง เขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะมีสัมภาระมากไป
ต่อให้เขาขนไปทั้งลานเล็ก ก็ยังไม่เป็นปัญหาแม้แต่น้อย
“คุณชายทำกระไร”
“ดูจากท่าทางของคุณชาย คงเตรียมตัวออกเดินทางไกลกระมัง!”
“ข้าเองก็อยากติดตามคุณชายออกเดินทางไกล ไม่รู้คุณชายจะพาไปด้วยหรือไม่!”
ของวิเศษในลานพากันคิดในใจ
พวกมันเห็นคุณชายห่อสัมภาระเสียยกใหญ่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเตรียมออกเดินทาง พวกมันล้วนอยากติดตามอยู่ข้างกายคุณชาย ออกเดินทางไกลเคียงข้างคุณชาย!
“ข้าจะมีส่วนด้วยหรือไม่…”
มัจฉาสัตมายาเอ่ยตาละห้อย
เพิ่งเคยเห็นคุณชายเก็บสัมภาระห่อใหญ่อย่างนี้เป็นครั้งแรก สงสัยว่าคุณชายคงมิได้กลับมาที่นี่อีกนาน
มิฉะนั้น ไม่มีทางที่คุณชายจะหอบสัมภาระห่อใหญ่ขนาดนี้
มันไม่อยากถูกทิ้งไว้ในลานเล็ก ซ้ำยังอยากตามไปด้วย!
ผ่านไปไม่นาน ลั่วสุ่ยก็กลับมา เซี่ยเหยียนตามมาอยู่ด้านหลังลั่วสุ่ย
หลี่จิ่วเต้าก้าวออกจากห้อง
“คุณชายต้องการพบข้าหรือ”
หลังเห็นคุณชายก้าวออกจากห้อง เซี่ยเหยียนก็รีบก้าวเข้าไป เอ่ยทักทายคุณชาย
หลี่จิ่วเต้าพยักหน้ากับเซี่ยเหยียน “อืม ข้ามีธุระไหว้วานเจ้าหน่อย”
“มีเรื่องใดคุณชายโปรดว่ามาได้เลย!”
“ยังไม่รีบ ไปสนทนากันด้านโน้นเถิด” หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้ม เข้าไปนั่งในศาลาพร้อมเซี่ยเหยียน
หลังนั่งลงแล้ว หลี่จิ่วเต้าก็ถามเซี่ยเหยียนว่า “เซี่ยเหยียนเอ๋ย สำนักไท่หัวของเราในตอนนี้มีศักยภาพเช่นไร วาจามีน้ำหนักในอาณาจักรแห่งนี้หรือไม่”
หมายความ…ว่าอย่างไร
เซี่ยเหยียนฉงนใจเป็นหนักหนา เหตุใดจู่ ๆ คุณชายถึงถามว่าสำนักไท่หัวมีศักยภาพอย่างไร
นางตอบ “ไม่มีปัญหา มีน้ำหนักแน่นอน!”
ต่อหน้าคุณชาย นางมิกล้าปิดบัง
วันนี้ไม่เหมือนวันเก่า บัดนี้ วาจาของสำนักไท่หัวมีน้ำหนักแน่นอน และมีอิทธิพลต่อทั้งอาณาจักรด้วย
คุณชายประทานภาพวาดล้ำค่าใบหนึ่งแก่ท่านเวิงอู๋โยว…ภาพวาดเขาไท่หัว ผู้เฒ่าเวิงเก็บภาพวาดล้ำค่านั้นไว้ในสำนักไท่หัว
ภาพวาดล้ำค่านี้ไม่เพียงแต่แฝงไว้ซึ่งจังหวะแห่งเต๋าสูงส่ง และวิชาอภินิหาร ทั้งยังเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมฝึกตนของสำนักไท่หัวให้ดีขึ้นอย่างมาก จนทั้งสำนักไท่หัวกลายเป็นพื้นที่ล้ำค่าสำหรับการฝึกฝน!
ยามลูกศิษย์สำนักไท่หัวฝึกฝน ได้ผลเกินความทุ่มเทนั้นยังเป็นเพียงผลพลอยได้เล็กน้อย ฝึกฝนหนึ่งวัน ได้ผลเทียบเท่าฝึกฝนหลายปี โดยเฉพาะภายใต้การปกคลุมของภาพวาดล้ำค่านั้น ลูกศิษย์ทั้งหลายยิ่งบรรลุวิถีได้ง่ายขึ้น ก้าวหน้าได้รวดเร็วอย่างยิ่งยวด!
บัดนี้ ภายในสำนักไท่หัวมีผู้อาวุโสหลายท่านบรรลุขอบเขต ก้าวสู่ระดับนักบุญ ส่วนบรรพชนสำนักไท่หัวอย่างเวิงอู๋โยวนั้นยิ่งบรรลุได้รวดเร็วขึ้นไปใหญ่!
เวิงอู๋โยวได้คลุกคลีกับคุณชาย เคยดื่มชาเซียนของคุณชาย ประกอบกับฝึกฝนใต้ภาพวาดล้ำค่านั้นทั้งวันทั้งคืน ทำให้เวิงอู๋โยวในเวลานี้ ก้าวสู่ขอบเขตจักรพรรดิ กลายเป็นจักรพรรดิตนหนึ่งไปแล้ว!
ด้วยศักยภาพพลังที่สำนักไท่หัวมีในตอนนี้ แค่มีน้ำหนักในอาณาจักรแห่งนี้ที่ไหน เรียกได้ว่ามีอำนาจเบ็ดเสร็จ!
สำนักเมฆาลับฟ้าในเวลานี้ก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน
โจวตงของสำนักเคยคลุกคลีกับคุณชายเช่นกัน ได้รับผลประโยชน์ใหญ่หลวง แม้ว่าบัดนี้จะยังมิได้ก้าวสู่ขอบเขตจักรพรรดิ กระนั้นก็เอื้อมถึงแล้ว ยามนี้เป็นว่าที่จักรพรรดิตนหนึ่ง
“วาจามีน้ำหนักก็เพียงพอแล้ว”
หลี่จิ่วเต้าหัวเราะ เริ่มสบายใจขึ้นมา
มีประโยคนี้ของเซี่ยเหยียน การออกเดินทางทั่วโลกของเขาในครานี้ยิ่งปลอดภัยเข้าไปใหญ่
เขากลัวแต่ว่าสำนักไท่หัวปกป้องพวกเขามิได้ เช่นนั้นรังแต่จะยิ่งทวีความอันตราย
ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นอาณาจักรฝึกตนแห่งหนึ่ง มีผู้ฝึกตนอยู่มากมาย ซ้ำยังมีผู้ฝึกตนนิสัยแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย บางทีผิดใจเพียงประโยคเดียวก็ชักกระบี่ห้ำหั่นก็มี
มิหนำซ้ำ โลกนี้ยังมีสัตว์อสูรดุร้ายมากมาย โหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง หากปราศจากหลักประกัน คงไม่อาจออกเดินทางได้ง่าย ๆ
“เจ้าในตอนนี้ทรงพลังกล้าแกร่งมากใช่หรือไม่”
หลี่จิ่วเต้าทอดมองเซี่ยเหยียน เอ่ยขึ้นยิ้ม ๆ
เขาเคยเห็นเซี่ยเหยียนลงไม้ลงมือ เมื่อคราวออกล่องเรือบนทะเลสาบ เซี่ยเหยียนออกโรงอย่างแข็งกร้าว เก่งกาจไม่ใช่เล่น
“พอใช้ได้ แข็งแกร่งขึ้นกว่าเก่าหลายเท่า!” เซี่ยเหยียนตอบ
แข็งแกร่งขึ้นกว่าเก่าหลายเท่าหรือ?
หลังหลี่จิ่วเต้าได้ยินประโยคนี้ ก็ยิ่งสบายใจขึ้น
ก่อนหน้านี้นางก็แข็งแกร่งมากแล้ว บัดนี้ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นอีกหลายเท่า ประกอบกับภูมิหลังอย่างสำนักไท่หัว เขายังมีเรื่องใดให้ไม่สบายใจอีก
เขาสบายใจอย่างยิ่งยวด!
การเดินทางท่องโลกในครานี้ เขาสามารถไปได้อย่างรื่นอารมณ์!
“ช่วงนี้พอมีเวลาหรือไม่ อยากออกเดินทางกับข้าไปยังที่ต่าง ๆ หรือไม่”
หลี่จิ่วเต้าเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม เชื้อเชิญเซี่ยเหยียนร่วมออกเดินทางท่องโลกกับเขา
“มี ๆๆ!”
เซี่ยเหยียนตอบทันควัน “ข้ามีเวลาเหลือเฟือ!”
“ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน อาจต้องใช้เวลานาน เจ้าแน่ใจหรือว่ามีเวลามากพอ”
หลี่จิ่วเต้าเอ่ย “ข้าตั้งใจเดินทางให้ทั่วอาณาจักรนี้”
เดินทางให้ทั่วอาณาจักรนี้!
คุณชายตั้งใจทำการใหญ่แล้วหรือ
ก่อนนี้คุณชายมิค่อยได้ไปไหนนัก ประทับแต่ในเมืองชิงซานอยู่ตลอด
เซี่ยเหยียนคิดในใจ ตระหนักถึงความร้ายแรงได้ทันที
“ย่อมพอ ไม่มีปัญหาแน่นอน!”
เซี่ยเหยียนรีบบอก
ไม่ว่าคุณชายต้องการทำสิ่งใด นางจะติดตามอยู่ข้างกายคุณชายไปตลอด ไม่มีทางโอดครวญหรือแปรพักตร์!
“ดี!”
หลี่จิ่วเต้าพยักหน้า “รถลากคันนั้น รวมทั้งสัตว์อสูรเหล่านั้นยังอยู่หรือไม่ หากยังอยู่ ถึงเวลา พวกเราสามารถใช้รถลากคันนั้นเดินทาง”
บอกตามตรง เขาชอบรถลากคันนั้นมากจริง ๆ ภายในสบายไปเสียทุกอย่าง ทั้งยังมีที่ว่างกว้างขวาง เสมือนโลกเล็ก ๆ ใบหนึ่ง
“อยู่ ๆ!” เซี่ยเหยียนตอบ
“เช่นนั้นก็ดี พวกเราออกเดินทางด้วยรถลากคันนั้น”
หลี่จิ่วเต้ากล่าว “เจ้าไปนำรถลากคันนั้นมาเสีย จริงสิ หากอสูรเหล่านั้นจำแลงกายได้ ให้พวกมันแปลงกายเป็นม้าธรรมดา จะได้ไม่ทำให้ผู้คนในเมืองตกใจ”
เขาอยากให้เซี่ยเหยียนนำรถลากคันนั้นมาก่อน หนนี้ต้องออกเดินทางเป็นเวลานาน ของที่เขาอยากพกไปด้วยมีอยู่นานัปการ จึงอยากนำไปเก็บไว้ในรถลากก่อน
“ไม่มีปัญหา ข้าจะไปนำรถลากมาเดี๋ยวนี้”
เซี่ยเหยียนบอก นางอำลาคุณชาย และออกจากลานเล็ก เดินทางกลับไปยังสำนักไท่หัว
ทั้งรถลากและสัตว์อสูรเหล่านั้น ล้วนอยู่ในสำนักไท่หัวมาโดยตลอด
“ได้เป็นสัตว์พาหนะให้คุณชายอีกแล้วหรือ”
“ดีเลย ๆ!”
หลังเซี่ยเหยียนอธิบายสถานการณ์ให้สัตว์อสูรทั้งเก้าตัวฟัง อย่าให้เอ่ยเลยว่าพวกมันตื่นเต้นดีใจปานใด นับแต่พวกมันได้ลากรถพาคุณชายไปเยือนเขาหยงหมิงคราวก่อน ก็นึกอยากลากรถเป็นพาหนะให้คุณชายเรื่อยมา
น่าเสียดาย จวบจนบัดนี้คุณชายยังมิได้เรียกใช้งานพวกมัน
พวกมันนึกผิดหวังอยู่มาก นึกว่าคุณชายหลงลืมพวกมันไปเสียแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถิด จริงสิ รอบนี้ต้องพาพวกเจ้าเข้าเมือง ไปยังลานเล็กของคุณชาย คุณชายมีรับสั่งให้พวกเจ้าแปลงกายเป็นม้าธรรมดา เพื่อให้ชาวบ้านในเมืองมิต้องตกใจ”
เซี่ยเหยียนกล่าว
“ไปลานเล็กของคุณชายหรือ!?”
“พวกเราจำแลงได้เดี๋ยวนี้เลย!”
หลังได้ยินคำกล่าวของเซี่ยเหยียน สัตว์อสูรทั้งเก้าเต็มตื้นขึ้นไปใหญ่ พวกมันได้ยินมานานว่าลานเล็กของคุณชายอัศจรรย์ถึงขีดสุด อนิจจา ยังมิเคยได้ไปเยือน
เมื่อคราวลากรถให้คุณชายคราวก่อน คุณชายสั่งให้พวกมันหยุดรออยู่นอกเมืองชิงซาน อย่าว่าแต่เข้าไปในลานเล็กคุณชายเลย กระทั่งเมืองชิงซานยังมิมีโอกาสไปเยือน
จากนั้น พวกมันแปลงกายเป็นม้าอย่างรวดเร็ว มีทั้งม้าขาว ม้าน้ำตาล และสีอื่น ๆ
“ไปกันเถิด”
เซี่ยเหยียนเอ่ย พาสัตว์อสูรทั้งเก้ากลับเมืองชิงซาน คุณชายยังรออยู่
ผ่านไปเพียงไม่นาน พวกเขาก็มาอยู่นอกเมืองชิงซาน
เซี่ยเหยียนพาสัตว์อสูรทั้งเก้าทักทายต้นหลิวและก้อนหิน
“คุณชายจะออกเดินทางอีกแล้วหรือ”
ต้นหลิวเห็นรถลาก จำได้ว่าเมื่อครั้งคุณชายออกเดินทางคราวก่อนก็นั่งรถลากคันนี้
“ใช่แล้ว คุณชายตั้งใจท่องไปทั่วทั้งอาณาจักร!”
เซี่ยเหยียนตอบ
“ท่องไปทั่วทั้งอาณาจักรเชียวหรือ!”
ก้อนหินเอ่ยด้วยความอิจฉาสุด ๆ “ข้าก็อยากไปด้วยเหมือนกัน!”
สถานที่ที่มันเคยไปนั้นมีจำกัด อย่าว่าแต่ทั้งอาณาจักรนี้เลย ลำพังแดนบูรพาทิศ มันยังมิเคยได้ไปไหนมากนัก แทบตั้งอยู่ที่ริมลำธารตลอดมา
การเดินทางท่องอาณาจักรเยี่ยงนี้ มันอยากไปด้วยจากใจจริง!
“คิดอะไรอยู่! คุณชายจะพาก้อนหินเส็งเคร็งอย่างเจ้าไปทำอะไร!”
ต้นหลิวหวดก้านหลิวกระแทกก้อนหิน “ต่อให้คุณชายจะพาไป ก็ต้องพาข้าไป! ข้ามีประโยชน์กว่าเจ้ามากนัก ช่วยบดบังฟ้าฝนให้คุณชายได้!”
“ก็จริง พี่หลิว ท่านเก่งกาจกว่าข้ามากนัก!”
ก้อนหินหัวเราะ มันสู้ต้นหลิวมิได้จริง ๆ ห่างชั้นกับต้นหลิวเป็นวา
ทว่ามันก็ยังอยากออกท่องอาณาจักรกับคุณชายอยู่ดี!
เซี่ยเหยียนพาสัตว์อสูรทั้งเก้าบอกลาต้นหลิวและก้อนหิน ก่อนจะเข้าไปในเมือง
สัตว์อสูรทั้งเก้าจำแลงกายเป็นเหมือนม้าธรรมดา ดูจากด้านนอก รถลากคันนี้เรียบง่ายธรรมดา มิได้เป็นแปลกตาแต่อย่างใด
“สวัสดีแม่นางเซี่ยเหยียน!”
“มาหาคุณชายหลี่อีกแล้วหรือ!”
ชาวบ้านในเมืองพากันทักทายนางอย่างสนิทสนม เจ้าตัวเองก็ตอบกลับชาวบ้านเหล่านี้ด้วยรอยยิ้มกว้าง
เซี่ยเหยียนมาหาคุณชายในเมืองชิงซานบ่อย ๆ จึงสนิทสนมกับชาวบ้านในเมืองมานาน
ชาวบ้านในเมืองสะท้อนใจอย่างอดมิได้ คุณชายหลี่นี่สุดยอดจริง ๆ กระทั่งผู้ฝึกตนยังเกรงอกเกรงใจคุณชาย นอบน้อมมีมารยาทนัก!
พวกเขารู้ดีว่า พวกเขาเองมีผลพลอยได้จากบารมีของคุณชายหลี่ มิฉะนั้น อย่างพวกเขามีหรือจะสามารถพานพบผู้ฝึกตนบุคลิกไม่ธรรมดาอย่างเซี่ยเหยียนทุกวัน
ซ้ำแล้วนางยังสนทนากับพวกเขาอย่างมีมารยาท
ทั้งหมดนี้เป็นไปไม่ได้เลย!
เซี่ยเหยียนเดินทะลุผ่านถนนหนทาง นำทัพสัตว์อสูรทั้งเก้ามายังลานเล็กคุณชาย
“คุณชาย ข้ากลับมาแล้ว!”
เซี่ยเหยียนก้าวเข้าไปด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม สัตว์อสูรทั้งเก้าลากรถเข้ามาในลานเล็กด้วย
นี่หรือคือลานเล็กของคุณชาย
เปรียบดั่งแดนวิมานจริง ๆ ด้วย!
ถุย!
เปรียบดั่งแดนวิมานที่ไหน!
ที่นี่คือแดนวิมานอย่างแท้จริง!
สัตว์อสูรทั้งเก้าต่างสะท้านในใจ ทุกสิ่งที่อยู่ในการมองเห็นพวกมันล้วนเกินความนึกคิดพวกมันไปมาก
แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วพวกมันจะไม่รู้จัก แต่ก็ยังสัมผัสถึงความสูงส่งวิเศษนั้นได้ เหนือกว่าที่พวกมันจะจินตนาการออก!
ก่อนมา สัตว์อสูรทั้งเก้าเพ้อฝันถึงลานเล็กของคุณชายไปต่าง ๆ นานา เพ้อฝันว่าลานเล็กของคุณชายล้ำเลิศเพียงใด
ทว่าหลังมาถึงที่นี่ พวกมันถึงได้ตระหนักว่าความรู้ประสบการณ์ของพวกมันนั้นต่ำต้อยเพียงใด ลานเล็กของคุณชายในจินตนาการพวกมันนับว่าสุดยอดมากแล้ว แต่เมื่อเทียบกับลานเล็กของจริง ต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่อาจทัดเทียมได้เลย!
“สวรรค์…หญ้าพวกนั้น เป็นโอสถจักรพรรดิหมดเลยหรือ คุณชายกลับใช้เป็นอาหารวัว! ซ้ำดูแล้ววัวเหล่านั้นยัง…กินจนเบื่อ ไม่อยากกินเท่าไหร่แล้วด้วย”
“เปรียบเทียบกับผู้อื่นรังแต่จะสร้างความอัดอั้นตันใจแก่ตน! ไม่สิ เปรียบเทียบกับอสูรตัวอื่นรังแต่จะสร้างความอัดอั้นตันใจแก่ตน พวกเจ้ากินจนเบื่อ ไม่อยากกินแล้ว แต่พวกเราอยากกินนี่!”
สัตว์อสูรทั้งเก้าเห็นอสูรฟ้าชิงหนิวสี่ตัวในลานด้านข้างมีท่าทีกินโอสถจักรพรรดิจนเบื่อ ไม่ต้องการกินอีกต่อไป พลันรู้สึกอิจฉาอย่างสุดซึ้ง อยากแลกเปลี่ยนสถานะกับอสูรฟ้าชิงหนิวสี่ตัวนี้อย่างยิ่งยวด!
บอกตามตรง ใช่ว่าอสูรฟ้าชิงหนิวสี่ตัวนี้กินจนเบื่อ หากแต่เพราะพวกมันอยากกินอาหารโอชะฝีมือคุณชายมากกว่า อาหารเหล่านั้นลำพังกลิ่นก็ชวนให้กระหายเหลือแสน อยากเคี้ยวสักคำ คราวได้กินโอสถจักรพรรดิเหล่านี้ต่อ รสชาติจึงจืดจางลงไปมากเป็นธรรมดา
“กลับมาเร็วเพียงนี้เชียวหรือ ไม่เลว ๆ”
หลี่จิ่วเต้าหัวเราะ เซี่ยเหยียนว่องไวยิ่งนัก นี่เพิ่งผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเค่อ นางก็กลับมาแล้ว
และรูปลักษณ์อาชาที่สัตว์อสูรทั้งเก้าจำแลงมาก็เป็นที่พึงใจของเขามาก
ไม่เอิกเกริก ไม่เป็นที่สะดุดตา!
เช่นนี้ย่อมเป็นการดีที่สุด!
เขารู้ดีว่ายิ่งเอิกเกริกยิ่งโชคร้าย จุดจบของคนโอ้อวดมักน่าสังเวช
“ถึงคราวออกเดินทางให้คงสภาพนี้ไว้ รูปลักษณ์อาชานั้นดูดียิ่ง!”
หลี่จิ่วเต้ากล่าวต่อ
“ได้ ไม่มีปัญหา!”
เซี่ยเหยียนพยักหน้า รู้ว่าคุณชายมิชอบให้ประเจิดประเจ้อ มิชอบให้เป็นที่โดดเด่น
หากคุณชายชอบทำตัวโดดเด่น ชื่อเสียงคงเลื่องลือไปทั่วหล้าแล้ว!
ไม่สิ!
คงกระฉ่อนไปทั้งเอกภพ เป็นที่รู้จักของอาณาจักรทั้งปวง!
“จริงสิ เซี่ยเหยียน เจ้าไปถามอ้ายฉานและพวกเด็ก ๆ ทีว่ามีเวลาหรือไม่ หากว่ามีเวลา ให้พวกเขามาหาข้า แล้วออกเดินทางด้วยกัน”
หลี่จิ่วเต้านึกถึงเด็ก ๆ อย่างพวกอ้ายฉาน
อ่านตำรานับหมื่น มิสู้เดินทางหมื่นลี้ แม้นเขามิเคยฝึกตน กระนั้นคิดแล้วสัจธรรมการฝึกตนคงเป็นเช่นนี้กระมัง การบำเพ็ญเพียงอย่างเดียวมิสู้ออกเคี่ยวกรำเพิ่มประสบการณ์
เขาเคยบอกพวกอ้ายฉานอย่างนี้แล้ว
หนนี้ เขาตั้งใจเดินทางไปทั่วโลก ถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับเด็ก ๆ เขาอยากพาพวกอ้ายฉานไปด้วย
เซี่ยเหยียนมีภูมิหลัง มีความสามารถ เป็นหลักประกันให้การออกเดินทางครานี้ พวกอ้ายฉานออกเดินทางฝึกฝนด้วยกันนับเป็นเรื่องดีเยี่ยม
“ได้!” เซี่ยเหยียนพยักหน้า
“เจ้าเด็กต้าเต๋อก็ไม่เลว เจ้าถือโอกาสถามต้าเต๋อด้วย หากมีเวลา ก็พามาด้วยกัน”
หลี่จิ่วเต้านึกถึงเณรหัวโล้นต้าเต๋อ
ต้าเต๋อถูกใจเขามาก การบำเพ็ญธรรมนั้นบำเพ็ญที่จิตใจ หาใช่ศีลข้อห้ามซึ่งเป็นเพียงเปลือกนอก ต้าเต๋อมีหัวใจธรรม ซ้ำยังไม่จำกัดตนเองด้วยศีลข้อห้ามทั้งหลายในพุทธศาสนา นับว่าเยี่ยมยอดยิ่ง
ฮ่า ๆ แน่นอนว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือเขาดื่มสุรากับต้าเต๋อได้หนำใจที่สุด เทียบกับคนอื่น ๆ ต้าเต๋อคอแข็งมาก
หนทางยาวไกล มีผู้ร่วมดื่มสุราก็นับว่าไม่เลว!
“ไม่มีปัญหา หลังข้าไปหาพวกอ้ายฉานแล้ว จะเลยไปถามต้าเต๋อด้วย” เซี่ยเหยียนตอบ
“จริงสิ ออกเดินทางครานี้ ไม่รู้จะได้กลับมาเมื่อใด ลานเล็กแห่งนี้ต้องมีคนคอยดูแล เซี่ยเหยียน เจ้าช่วยหาใครสักคนมาทำความสะอาดลานเล็กบ่อย ๆ ได้หรือไม่” หลี่จิ่วเต้าเอ่ย
เซี่ยเหยียนครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยตอบ “เสี่ยวหลาน นางกำนัลของข้าบำเพ็ญตนอยู่ในสำนักไท่หัวมาตลอด ให้นางช่วยทำความสะอาดลานเล็กได้”
นางเชื่อใจเสี่ยวหลานมาก ซ้ำคุณชายยังเคยพบเสี่ยวหลาน อีกทั้งประทานจี้หยกคุ้มกายให้เสี่ยวหลาน คิดแล้ว คุณชายก็คงเชื่อใจเสี่ยวหลานมากเช่นกัน ให้เสี่ยวหลานรับหน้าที่ทำความสะอาดลานเล็ก นับว่าเหมาะสมยิ่งนัก
“อืม ได้”
หลี่จิ่วเต้ารู้จักเสี่ยวหลาน ถูกชะตากับเสี่ยวหลานไม่น้อย
เขาเอ่ยต่อ “เจ้าไปเถิด ข้าจะรอพวกเจ้าในลาน”
“ได้เลยคุณชาย!”
เซี่ยเหยียนบอกลาคุณชาย ก่อนจะออกจากลานเล็ก ตรงไปส่งข่าวให้พวกอ้ายฉานและต้าเต๋อ
“มาเถิด เสี่ยวไป๋ เราขนของขึ้นไปไว้บนรถกัน” หลี่จิ่วเต้าบอกลั่วสุ่ย
“ได้เลยคุณชาย!”
ลั่วสุ่ยเก็บข้าวเก็บของกับคุณชายด้วยรอยยิ้มร่า
ที่ว่างภายในรถลากกว้างขวาง หลี่จิ่วเต้าแทบขนไปหมดลานเล็ก นำไปด้วยทั้งฉิน พู่กัน กระดานหมากล้อม และสิ่งของอื่น ๆ ของเขา
แน่นอนว่า เครื่องครัวในห้องครัวนั้น เขามิได้ตกหล่นแม้แต่ชิ้นเดียว
ในฐานะผู้ที่พิถีพิถันด้านการกิน สิ่งเหล่านี้คือของจำเป็นต้องพกไปด้วย
ไม่ว่าจะเป็น ‘ตู้เย็น’ ‘แท็บเล็ต’ เขามิได้ทิ้งไว้ที่นี่สักชิ้น ติดไปด้วยทั้งหมด
ถึงอย่างไรพกไปก็มิได้ลำบากอะไร อีกทั้งไม่กินที่
“ยอดไปเลย ได้ท่องอาณาจักรพร้อมคุณชาย!”
“ดียิ่งนัก! ในที่สุดก็จะได้ออกไปดูโลกภายนอกแล้ว!”
ของวิเศษที่ถูกพาไปด้วยต่างตื่นเต้นดีใจ มีพวกมันจำนวนไม่น้อยที่ไม่เคยออกจากลานเล็กมาก่อน ใฝ่ฝันถึงโลกภายนอกเป็นหนักหนา อยากรู้อยากเห็นอย่างยิ่ง!
“แย่แล้ว แย่แล้ว…ดูท่า ข้าคงไม่ได้ไปด้วยแล้ว!”
ข้างกำแพง ญาณจอบเซียนน้ำตาไหลพราก มันก็อยากตามคุณชายออกไป แต่ดูแล้ว มันคงมิได้อยู่ในขอบข่ายการพิจารณาของคุณชาย
“...”
อีกด้าน อสูรฟ้าชิงหนิวเฒ่าสัมผัสถึงความโศกเศร้าของญาณจอบเซียน รู้ว่าญาณจอบเซียนเสียใจเรื่องใด
มันนึกในใจไปว่า จอบเซียน ท่านช่างกล้าคิด ไยคุณชายต้องพาท่านไปด้วย หรือออกไปข้างนอกแล้วยังต้องพรวนดินหรือไร
คิดอันใดอยู่!
ความคิดเช่นนี้ไม่ควรมีตั้งแต่ต้น!
“ข้าอยากตาย!”
มัจฉาสัตมายาร่ำไห้เช่นกัน
ดูจากสถานการณ์ มันก็คงไม่อยู่ในข่ายการพิจารณาของคุณชายด้วย