606-610

ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่นิยายระบบ ก่อนที่จะรับฟังช่วยกดไลค์และกด subscribe เป็นกำลังใจด้วยนะครับ
นิยายเสียง อยู่ดีดีข้าก็เป็นเซียน
บทที่ 606ถึง610

สายลมเบาบางโชยปะทะใบหน้า หลี่จิ่วเต้าเดินขนาบข้างลั่วสุ่ย พวกเขามิได้เที่ยวเล่นตามภูเขาลำธาร หากแต่เดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยตามรอบเมืองชิงซาน ทว่าความรู้สึกเช่นนี้ดียิ่ง หลี่จิ่วเต้าพึงใจอย่างมาก


เขารู้สึกดีกว่านอนเล่น ‘แท็บเล็ต’ บนเก้าอี้โยก


ช่วงนี้เขาเสพติด ‘แท็บเล็ต’ เกินไป เช่นนี้ไม่ดีเท่าใด ควรต้องลดเวลาเล่นลง มิฉะนั้นไม่เป็นผลดีต่อทั้งกายและใจ


อย่างเช่น ยามเขาอยู่ในโลกแท็บเล็ต เรียกฟ้าเรียกฝน เก่งกล้าสามารถไปเสียทุกอย่าง เป็นผู้บงการสรรพสิ่ง หลังออกจากโลกแท็บเล็ต เขากลับเกิดความรู้สึกเก่งกล้าสามารถทุกสิ่งออกมาเช่นกัน


ความรู้สึกเสมือนจริงนั้นลามมาอยู่ในชีวิตจริง เช่นนี้แย่แน่


นอกจากนี้ เขามักนอนนิ่งอยู่บนเก้าอี้โยก เล่นอยู่อย่างนั้นถึงหนึ่งวันเต็ม เป็นการไม่ดีต่อสุขภาพของเขาด้วย เขามิได้มีวินัยในตนเองดั่งเก่า


เขาต้องปรับปรุงตัว มิใช่ว่าเลิกเล่นแท็บเล็ต แต่ควรเล่นให้น้อยลง แบ่งเวลาให้สมเหตุสมผล ไม่ควรเสพติดเกินไปอยู่เช่นนี้


“ขอบคุณคุณชาย!”


ลั่วสุ่ยเอ่ยจากด้านข้าง ปลาบปลื้มใจอย่างยิ่งยวด นางไม่ชอบปลามังกรเหล่านั้นเช่นกัน เรียกได้ว่าชิงชังด้วยซ้ำ นางซึ่งพำนักอยู่ในลานเล็ก รู้ดีถึงพฤติกรรมของปลามังกรเหล่านั้น


หากเปรียบเทียบปลามังกรเหล่านั้นกับปลามังกรตัวก่อน นิสัยใจคอนั้นเหมือนกันอย่างกับแกะ และอาจเลวร้ายยิ่งกว่าด้วยซ้ำ พวกมันยโสโอหังเสียยิ่งกว่า สมแล้วที่สืบทอดสายพันธุ์เดียวกัน


เดิมนางยังคิดไม่ตก ด้วยพลังฝีมือระดับคุณชาย มีหรือจะไม่ทราบกมลสันดานของปลามังกรเหล่านั้น


แต่คุณชายไม่เพียงแต่เลี้ยงปลามังกรเหล่านั้นไว้ ซ้ำยังปฏิบัติต่อพวกมันเป็นอย่างดีในแต่ละวัน ใส่ใจสุด ๆ ใส่ใจกว่าปลาตัวอื่นมากนัก อาหารที่ให้ก็มากที่สุด


บัดนี้นางเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว


คุณชายเลี้ยงปลามังกรเหล่านั้นก็เพื่อนาง!


คิดแล้วที่คุณชายใส่ใจปลามังกรเหล่านั้น ก็เพื่อเลี้ยงพวกมันให้ดี จะได้อร่อยยิ่งขึ้น!


ท้ายที่สุด คุณชายก็ดีกับนางอย่างมาก คราวก่อนเห็นนางกินปลามังกรอย่างเอร็ดอร่อย คุณชายจึงจดจำเอาไว้ ปลามังกรที่ตกกลับมาตอนหลังก็เพื่อเป็นอาหารของนาง!


นางซาบซึ้งใจเหลือคณา แม้ว่าคุณชายมิได้เอ่ยให้มากความ กระนั้นทุกอย่างต่างอยู่ในการกระทำแล้ว มีความหมายกว่าเพียงถ้อยคำมากนัก


“ขอบคุณอันใด ไม่ต้องขอบคุณ”


หลี่จิ่วเต้าหัวเราะ “ปลามังกรในบ่อเป็นของเจ้าทั้งหมด หลังจากนี้ข้าจะตกปลามังกรมาเพิ่มอีก ชอบกินก็กิน กินให้หนำใจไปเลย!”


“ได้เลย ข้าขอรับรองว่าจะกินให้เกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่ก้าง!”


ลั่วสุ่ยเอ่ยกลั้วหัวเราะ อย่าให้พรรณาเลยว่างดงามชวนหลงใหลปานใด หลี่จิ่วเต้าเห็นแล้วต้องตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง


เขานึกในใจไปว่า ลั่วสุ่ยจำแลงกายเป็นมนุษย์ได้ตั้งนานแล้ว ไยเขายังต้านทานความงามของลั่วสุ่ยไม่อยู่ ลั่วสุ่ยเพริศพริ้งมากเกินไปจริง ๆ สิท่า ต่อให้อยู่ด้วยกันนานเพียงใด นางก็ยังงามจนมองไม่เบื่อ น่าหลงใหลดังเดิม


อากาศในสารทฤดูสดชื่นรื่นรมย์กำลังดี หลี่จิ่วเต้าและลั่วสุ่ยเดินท่องไปตามละแวกเมืองชิงซานต่ออีกพักหนึ่ง แล้วจึงเตรียมกลับ


ภายในลานเล็ก ปลามังกรทั้งหมดเดือดดาลจนแทบระเบิด


ผู้ใดกัน ดุดันเยี่ยงนั้น ก้านหลิวเพียงก้านเดียวที่หวดมา ก็ฟาดพวกมันกลับมาที่นี่ทั้งหมด!


“ไม่รู้หรือไรว่าเบื้องหลังพวกเรามีท่านบรรพจารย์เซียนอยู่”


“บัดซบ เช่นนี้ใช่หักหน้าเราที่ไหน เช่นนี้คือการหักหน้าท่านบรรพจารย์เซียนชัด ๆ!”


ปลามังกรทั้งหลายขุ่นข้องหมองใจ


ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วมาก พวกมันไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องใดขึ้น เห็นเพียงก้านหลิวก้านหนึ่งปรากฏออกมากลางอากาศ จากนั้น พวกมันก็ถูกฟาดกลับมากันถ้วนหน้า


“สหายแท็บเล็ต ท่านจะเพิกเฉยเช่นนี้ได้หรือ มีพวกมีตาหามีแววปฏิบัติกับเราเช่นนี้ ถือเป็นการไม่เคารพท่านบรรพจารย์เซียน เรื่องแบบนี้ให้ทนอย่างไรไหว การไม่เคารพท่านบรรพจารย์เซียนถือเป็นเรื่องใหญ่! สหายแท็บเล็ตโปรดออกโรงช่วยพวกเรา ลากเจ้าตัวสมควรตายนั่นออกมาให้เราด้วย!”


“ทุกท่าน พวกเราได้รับความเมตตาจากท่านบรรพจารย์เซียน มีคนลบหลู่ท่านบรรพจารย์เซียน ทุกท่านยังไม่สำแดงฤทธิ์เดช สั่งสอนเจ้าคนเดนตายนั่น ให้มันได้ประจักษ์ว่าบารมีของท่านบรรพจารย์เซียนนั้นมิอาจจาบจ้วงอีกหรือ!”


ปลามังกรทั้งหลายกระโจนตัวขึ้นลง เอ่ยกับของวิเศษทั้งหลายในลานกันเจื้อยแจ้ว หมายจะให้เหล่าของวิเศษออกหน้า สั่งสอนเจ้าคนที่ลงมือต่อพวกมัน


ทว่าของวิเศษในลานต่างเมินปลามังกรเหล่านี้ไป พวกมันล้วนชิงชังปลามังกรเหล่านี้ มิได้ลงมือสั่งสอนพวกมันให้เข็ดก็ดีเท่าไรแล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการเข้าไปช่วยเหลือปลามังกรเหล่านี้


“พวกเจ้า! เสียแรงที่ท่านบรรพจารย์ดีต่อพวกเจ้าเช่นนี้!”


“หลังท่านบรรพจารย์เซียนทราบเรื่อง ต้องผิดหวังในตัวพวกเจ้ามากเป็นแน่!”


“ถึงไม่มีพวกเจ้า พวกเราก็สามารถลากคอเจ้าคนเดนตายนั่นออกมาได้!”


ปลามังกรทั้งหลายโมโหเกินทน ไม่ยอมช่วยพวกมันงั้นหรือ รอให้พวกมันผงาดขึ้นก่อนเถอะ เมื่อนั้นพวกมันจะให้ของวิเศษเหล่านี้ได้เห็นดีกันแน่!


ตั้งแต่ต้นจนจบ จินซวี่เงียบเป็นเป่าสาก มิได้เอ่ยวาจาแม้เพียงประโยคเดียว


มันอัดอั้นตันใจเป็นอย่างมาก เทียบกับปลามังกรตัวอื่น ตัวมันนั้นน่าสังเวชที่สุด ถูกต้นหลิวเฆี่ยนจนยับเยินไปทั้งตัว วิญญาณแทบแหลกสลาย!


ตอนนี้มันไม่ต้องการทำสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่ต้องการเอ่ยคำใดทั้งสิ้น เพียงแต่นอนแน่นิ่งอยู่ในบ่อ


“ก้านหลิว…นึกออกแล้ว! ต้องเป็นฝีมือต้นหลิวริมลำธารแน่! มันเห็นว่าพวกเราได้เข้ามาในลานของท่านบรรพจารย์เซียน ตัวมันกลับได้แต่ปักรากอยู่ข้างนอก คงนึกไม่พอใจขึ้นมา ถึงลอบทำร้ายพวกเรา!”


“เจ้าต้นหลิวเฮงซวยทักทายพวกเรา ทว่าสุดท้ายถูกพวกเราหมางเมิน คงเพราะเหตุนี้เป็นแน่ ถึงได้เคียดแค้นเราในใจ แล้วลงมือกับพวกเรา!”


เหล่าปลามังกรนึกถึงต้นหลิว ยิ่งตรึกตรองยิ่งรู้สึกว่าผู้ที่ลงมือกับพวกมันก็คือต้นหลิว พวกมันโกรธจนอกแทบระเบิด หากมิใช่ว่าพวกมันมิได้ตั้งตัว มีหรือจะปราชัยแก่ต้นหลิว?


“เรื่องนี้ไม่ควรจบลงเท่านี้ พี่จินซวี่ ไปกันเถิด ไปฟันก้านหลิวของต้นหลิวนั่นให้สิ้นซาก!”


ปลามังกรตัวหนึ่งร้องเรียกให้จินซวี่ออกปฏิบัติการกับพวกมัน


“อย่า อย่าพาข้าไปด้วย!”


จินซวี่ได้ยินชื่อต้นหลิว สะดุ้งโหยงขึ้นมาฉับพลันด้วยความผวา


พับผ่าสิ ยังคิดจะไปอีกหรือ?


ขืนไปอีกได้ไม่รอดแน่!


ต้นหลิวดุร้ายเกินไป!


“พี่จินซวี่เป็นอันใดไป พวกเราไปกันพร้อมหน้า ยังต้องกลัวเจ้าต้นหลิวนั่นอีกหรือ”


ปลามังกรตัวหนึ่งถามด้วยความฉงน ไม่เข้าใจว่าจินซวี่เกรงกลัวสิ่งใด


“ไม่เอา ค่อยว่ากันวันหลังแล้วกัน!”


จินซวี่กลัวจนมุดลงไปอยู่ก้นบ่อ ไม่กล้าแม้แต่จะโผล่หัว มันมิกล้าออกไปหาต้นหลิวอีกแล้ว


มัจฉาสัตมายาหัวเราะในใจ มันรู้ดีว่าเกิดอันใดขึ้น จินซวี่คงโดนต้นหลิวเล่นงานมาอย่างหนักแน่นอน


มันอยากจะหัวเราะ เหตุใดถึงกล้าไปยุ่งกับต้นหลิวได้เล่า


มันสงสัยมากว่าต้นหลิวคือผู้ใต้บัญชาของคุณชายที่แข็งแกร่งที่สุด การไปยุ่งกับต้นหลิวมิต่างจากหาเรื่องใส่ตัว!


“ท่านไม่ไป พวกเราไปเอง!”


“ไป!”


ปลามังกรที่เหลือแน่วแน่ในเป้าหมาย ตั้งใจออกไปแก้แค้นต้นหลิวเสียเดี๋ยวนี้


“กลับมาให้หมด!”


เวลานั้น เสียงตวาดเย็นดังออกมาจากเขามอโกลาหล ก่อนที่พลังสายหนึ่งจะจับตัวปลามังกรทั้งหมดกลับเข้าไปในบ่อ


มันสัมผัสได้ว่าคุณชายจะกลับมาแล้ว ไฉนเลยจะยอมให้เหล่าปลามังกรออกไปในเวลานี้


ก่อนนี้เหล่าปลามังกรจะก่อเรื่องอย่างไรก็ช่าง มันคร้านจะสน!


ทว่าหากเกี่ยวพันถึงคุณชาย มันไม่มีทางนิ่งดูดาย!


แม้ว่ามันเป็นเพียงหินธรรมดาก้อนหนึ่งในแดนบรรพโกลาหล กระนั้นก็เกินกว่าที่ปลามังกรเหล่านี้จะเทียบได้ไหว กำราบเหล่าปลามังกรลงได้อย่างง่ายดาย


ปลามังกรทั้งหลายโกรธแค้นอย่างมาก พวกมันมิเคยยุ่มย่ามกับหินโกลาหล เหตุใดหินโกลาหลถึงปฏิบัติต่อพวกมันเช่นนี้


พวกมันจำหินโกลาหลไว้ ภายหน้า พวกมันจักให้หินโกลาหลชดใช้!


ผ่านไปเพียงไม่นาน หลี่จิ่วเต้าและลั่วสุ่ยก็กลับถึงลาน


หลังหลี่จิ่วเต้ากลับมาถึง ก็หยิบอาหารปลาเข้ามาป้อนเหล่าปลามังกร อย่าให้พูดเลยว่าใส่ใจพวกปลามังกรเพียงใด


“กินให้อร่อย กินเยอะ ๆ ยิ่งตัวโตกว่านี้ได้ก็ยิ่งดี”


หลี่จิ่วเต้าเอ่ยยิ้ม ๆ

ปลามังกรทั้งหลายกินกันอย่างจุใจ กระทั่งจินซวี่ยังว่ายขึ้นจากก้นบ่อ ไม่เหลือเค้าเซื่องซึมอย่างเก่า มันกินอย่างเอร็ดอร่อยด้วย!


ท้ายที่สุด คุณชายก็ใส่ใจพวกมันเป็นอย่างมาก หาใช่ต้นหลิวอะไรนั่นสามารถเทียบได้!


‘เจ้าต้นหลิวเส็งเคร็ง รอก่อนเถิด อีกไม่นาน ข้าจะให้เจ้าได้เห็นดี ให้เจ้าได้ชดใช้!’


มันเอ่ยในใจอย่างแค้นเคือง โตจนป่านนี้ มันมิเคยต้องอัปยศอดสู อเนจอนาถเช่นนั้นมาก่อน ต้นหลิวคือผู้ที่เขาจงเกลียดจงชังที่สุด มันขอสาบานว่าจะล้างแค้นให้ได้!


ปลามังกรที่เหลือต่างเย่อหยิ่งทะนงขึ้นเพราะความใส่ใจที่ท่านบรรพจารย์มีต่อพวกมันเช่นกัน พวกมันบางตัวถึงขั้นกระโดดขึ้นไปบนเขามอโกลาหล เพื่อท้าทายเขามอโกลาหลเป็นนัย


หินโกลาหลอันใดกัน ในสถานการณ์ที่ท่านบรรพจารย์เซียนใส่ใจพวกมันปานนี้ ภายหน้า พวกมันย่อมต้องแข็งแกร่งกว่า ถึงคราวนั้น พวกมันจักสามารถกำราบหินโกลาหลได้อย่างง่ายดาย


ญาณหินโกลาหลโมโหสุดขีด ปลามังกรเหล่านี้จองหองยิ่งนัก น่ารังเกียจเหลือเกิน!


หลังให้อาหารปลามังกรเสร็จ หลี่จิ่วเต้ามิได้รีบร้อนนำปลาไปปรุง ยังมีเวลา เขาเริ่มสอนลั่วสุ่ยดีดฉินวาดภาพ


จนกระทั่งฟ้าเริ่มมืดลง หลี่จิ่วเต้าถึงเริ่มเตรียมการ


หนก่อนตุ๋นต้มนึ่ง หนนี้เขาเตรียมย่างปลาให้ลั่วสุ่ยกิน


แน่นอนว่ามิได้มีเพียงปลาย่างเท่านั้น ปลามังกรตัวไม่เล็ก หากทำเป็นปลาย่างอย่างเดียวออกจะสิ้นเปลืองไปหน่อย คราวก่อนปลาหนึ่งตัวกินได้สามแบบ คราวนี้เขาตั้งใจกินให้ถึงห้าแบบ ปลดล็อกวิธีกินให้ลั่วสุ่ยได้กินหลากหลายมากกว่านี้


ฟืนก่อเป็นไฟ กลิ่นถ่านผลไม้โชยชาย ยังมิได้ทันได้ย่างปลา ลำพังกลิ่นหอมจากถ่านผลไม้ก็ชวนให้ทนไม่ไหว ความอยากอาหารถูกกระตุ้นออกมาหมด


มุมปากมัจฉาสัตมายามีน้ำลายไหลย้อย เนื้อย่าง มันอยากกินที่สุดเลย!


เหล่าปลาเหลือบมองมัจฉาสัตมายาด้วยความดูแคลน โดยเฉพาะจินซวี่ สายตาที่ทอดมองมัจฉาสัตมายานั้นเต็มไปด้วยความเย้ยหยันดูถูก


ความหมายนั้นชัดเจน อย่างเจ้าน่ะหรืออยากกินเนื้อย่าง ฝันไปเถอะ!


มัจฉาสัตมายาเห็นสายตาจินซวี่แล้วตะขิดตะขวงเป็นนักหนา ต้นหลิวคงยังสั่งสอนเขาไม่พอสิท่า ดูจากท่าทางผยองนั้นแล้ว สุนัขคงเลิกกินขี้มิได้จริง ๆ!


หลังจุดถ่านผลไม้ติดแล้ว หลี่จิ่วเต้าลุกมาอยู่ข้างบ่อน้ำ จ้องมองปลามังกรทั้งหลาย สายตาเปี่ยมไปด้วยความพึงพอใจ


เหล่าปลามังกรยิ่งปีติเข้าไปใหญ่ ปัดป่ายหางด้วยความเริงร่า ดูเอาเถิดว่าท่านบรรพจารย์เซียนโปรดปรานพวกมันเพียงใด ต้องมาเชยชมพวกมันอยู่บ่อย ๆ มิได้คิดเป็นอื่นใดเลย


หลี่จิ่วเต้าย่อเข่าลง ยื่นมือลงไปในบ่อน้ำ เหล่าปลามังกรพากันว่ายเข้ามาทันที หมุนวนอยู่รอบฝ่ามือหลี่จิ่วเต้า


พวกมันยินดีปรีดาคูณทวี ท่านบรรพจารย์เซียนโปรดปรานพวกมันยิ่งนัก ดูสิ ท่านบรรพจารย์เซียนยื่นมือเข้ามาหยอกเย้าพวกมันด้วย


ซ่า!


หลี่จิ่วเต้าเอื้อมมือไปจับปลามังกรตัวหนึ่ง และนำขึ้นจากบ่อน้ำ


‘ฮ่า ๆ นี่ท่านบรรพจารย์เซียนจะพาข้าไปกินเนื้อย่างหรือ’


จินซวี่หัวเราะร่วนในใจ คิดว่าท่านบรรพจารย์เซียนตั้งใจพามันไปกินเนื้อย่าง!


สายตาที่ท่านบรรพจารย์เซียนทอดมองพวกมันช่างอ่อนโยนเสียนี่กระไร มันโชคดีเหลือเกิน ได้รับเลือกโดนท่านบรรพจารย์เซียน ได้รับเกียรติอันสูงส่งเช่นนี้!


“อิจฉาจริง!”


“เหตุใดถึงไม่ใช่ข้า!”


ปลามังกรตัวอื่นในบ่อต่างมองจินซวี่ด้วยความอิจฉา พวกมันมิได้คิดเป็นอื่น เข้าใจว่าจินซวี่ถูกท่านบรรพจารย์เซียนรับเลือกไปกินเนื้อย่าง


จินซวี่ปรายตามองมัจฉาสัตมายา อย่าให้เอ่ยเลยว่าสายตานั้นโอหังปานใด ซ้ำร้ายมันยังชำเลืองมองหินโกลาหลอีกด้วย ราวกับต้องการบอกว่า เจ้าหินเส็งเคร็ง เจ้าโอหังอะไร เจ้ามีโอกาสได้กินเนื้อย่างของท่านบรรพจารย์เซียนที่ไหน


แม้ว่าการกินเนื้อย่างจะมิได้หมายความว่าก้าวพรวดเดียวสู่จุดสูงสุด ทว่าความหมายนั้นใหญ่หลวงนัก เป็นการสะท้อนให้เห็นว่ามันสำคัญขึ้นไปอีกก้าวในใจท่านบรรพจารย์เซียน!


วันนี้ได้กินเนื้อย่าง เช่นนั้นพรุ่งนี้คงได้นั่งเสมอคุณชาย ร่วมดื่มชาด้วยกัน!


ทว่าไม่นานนักมันก็ต้องตาค้าง


สถานการณ์เริ่มไม่ใช่อย่างที่คิด เหตุใดท่านบรรพจารย์เซียนถึงพามันเข้ามาในครัว?


เวรเอ๊ย!


เนื้อย่างที่ว่า คงมิใช่ว่าย่างเนื้อของมันกระมัง!?


ไม่หรอกกระมัง!


มันคิดว่าจะได้กินเนื้อย่าง ท้ายที่สุด มันกลับกลายเป็นผู้ที่ถูกย่างเสียเอง!?


ไม่เอานะ!


มันร่ำไห้ออกมาในบัดดล เมื่อครู่ยังลอบลำพองในใจ คิดว่าตนได้รับวาสนาสูงสุด!


ยังคิดอยู่ว่าวันนี้ได้กินเนื้อย่าง พรุ่งนี้คงได้นั่งดื่มชาเสมอท่านบรรพจารย์เซียน!


มัน…มันอยู่ไม่ถึงวันพรุ่งนี้ด้วยซ้ำ!


เสียงดังตุบ มันถูกโยนลงเขียง และเห็นท่านบรรพจารย์เซียนชักมีดเล่มหนึ่งออกจากด้านข้าง


นี่ต้องการลงมือกับมันแล้วหรือ!


มันร้อนรนขึ้นมาทันที ไม่มีแก่จิตแก่ใจสนใจสิ่งใดอีก ไม่คำนึงถึงข้อห้ามของท่านบรรพจารย์เซียนอีก มันรีดเร้นพลังในกาย หมายจะกระโดดลงจากเขียง ไม่ต้องการตายไปทั้งอย่างนี้


ทว่ามันยังไม่ทันได้รีดเร้น ก็รู้สึกถึงพลังสายหนึ่งโถมทับใส่มัน พันธนาการมันไว้บนเขียงอย่างแน่นหนา ไม่อาจรีดเร้นพลังในกายได้เลย


มันอยากปริปากเอ่ยวาจายังมิได้!


“อยู่เฉย ๆ!”


คลื่นพลังจิตถ่ายทอดเข้าไปในหัวจินซวี่ คลื่นนั้นมาจากเขียง พลังที่พันธนาการจินซวี่ไว้หลั่งไหลออกจากเขียงนั่นเอง


เขียงนี้กล้าแกร่งอย่างแท้จริง รวมถึงเครื่องครัว มีดเล่มต่าง ๆ ในครัวล้วนเป็นเช่นนี้ นี่คืออุปกรณ์ที่หลี่จิ่วเต้าได้ใช้บ่อย ๆ ขอบเขตจึงสูงถึงระดับที่ลึกล้ำเกินหยั่ง


หลี่จิ่วเต้าเริ่มลงมือ ฝีมีดลื่นไหลดั่งมวลเมฆา ดุจสายธาร ไม่นานนักก็ทำความสะอาดปลามังกรเรียบร้อย วิญญาณของจินซวี่สลายไปอย่างสิ้นเชิง ตายเสียสนิท


เขาเริ่มจากการแล่เนื้อปลาส่วนที่นุ่มที่สุดออกมาเป็นชิ้น ๆ วางเรียงในจาน ทำเป็นปลาดิบ


นี่คือการกินแบบที่หนึ่ง


ชายหนุ่มได้ผสมน้ำจิ้มสำหรับปลาดิบไว้เรียบร้อย โดยมีส่วนประกอบจากซีอิ๊วและวาซาบิที่เขาปรุงขึ้นเองเป็นหลัก


จากนั้น หลี่จิ่วเต้าก็แล่เนื้อปลาส่วนหนึ่งออกมา ผสมกับผงแป้ง ไข่ไก่ เกลือ พริกไทย และเครื่องปรุงอื่น ๆ คนให้เข้ากัน แล้วจึงนำลงไปทอดในกระทะ ปรุงออกมาเป็นปลาม้วนทอด


นี่คือการกินแบบที่สอง


การกินแบบที่สามคือปลาอบสุรา ปรุงโดยสุราที่เขาหมักเอง


แกงปลานั้นรสชาติดีเลิศเป็นที่สุด หนนี้เขาปรุงแกงปลาด้วยเช่นเดิม ทว่าแตกต่างจากแกงปลาคราวก่อน หนนี้เขาใส่เต้าหู้อ่อนลงไป กลายเป็นแกงเต้าหู้ปลา


นี่คือการกินแบบที่สี่


ที่เหลือคือการกินแบบที่ห้า นั่นคือนำมาย่าง


“สวรรค์!”


“นี่มัน…!”


ภายในบ่อน้ำ ปลามังกรที่เหลือหวาดผวาจนสติหลุดลอย ปลาหนึ่งตัวกินถึงห้าแบบเชียวหรือ!


พวกมันอกสั่นขวัญแขวน ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง นี่มันเรื่องอันใดกัน! ท่านบรรพจารย์เซียนโปรดปรานพวกมันมากมิใช่หรือ เหตุใดถึงต้องฆ่าพวกมันด้วย


หรือที่ท่านบรรพจารย์เซียนทำดีกับพวกมันมาตลอดล้วนเป็นเรื่องโป้ปด


“อย่างที่คิด ปลาต้องเลี้ยงให้ดีก่อนแล้วค่อยกิน เนื้อปลาคราวนี้ดีกว่าคราวก่อนมากนัก!”


หลี่จิ่วเต้ายกเนื้อปลาที่เหลือเข้ามาในลาน พร้อมเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เตรียมทำการปิ้ง


“อะไรกัน!”


“ความจริงเป็นเช่นนี้หรอกหรือ!”


ปลามังกรที่เหลือได้ยินวาจาของท่านบรรพจารย์เซียนแล้วพลันรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า หัวใจแหลกสลาย!


พวกมันหรือก็ทึกทักเอาว่าท่านบรรพจารย์เซียนชื่นชอบพวกมัน เพราะเห็นแก่พรสวรรค์ของพวกมัน คิดอยากบ่มเพาะสอนสั่งพวกมัน หารู้ไม่ ที่ท่านบรรพจารย์เซียนใส่ใจพวกมันปานนั้น ดีกับพวกมันปานนั้น ล้วนเป็นเพราะต้องการทำให้พวกมันอร่อยยิ่งขึ้น!


พวกมันเป็นเพียงเรื่องขำขันมาตั้งแต่แรก!


ก่อนหน้านี้พวกมันยังยโสโอหังถึงเพียงนั้น ดูถูกผู้อื่นไปทั่ว ที่แท้นับแต่แรกเริ่ม พวกมันเป็นเพียงตัวตลกเท่านั้น!


“ข้าคืออาหารของลั่วสุ่ยหรือ!?”


ปลามังกรเพศเมียตอนนั้นยิ่งรับไม่ได้ใหญ่ มันสบประมาทลั่วสุ่ย เห็นว่าท้ายที่สุดมันต้องได้แทนที่อีกฝ่าย ยืนเคียงข้างคุณชาย


ผลสุดท้าย มันกลับเทียบลั่วสุ่ยไม่ได้เลย มันเป็นเพียงอาหารของอีกฝ่ายมาตั้งแต่แรก!


“ไม่!”


มันยอมรับมิได้ ทำท่าจะกระโดดออกจากบ่อน้ำ ไปพูดกับท่านบรรพจารย์เซียนให้รู้เรื่อง


ปลามังกรตัวอื่นรับไม่ได้เช่นกัน พากันทำท่าจะกระโดดออกจากบ่อน้ำ ไม่เต็มใจตกเป็นอาหารของลั่วสุ่ย


“เสียสติกันไปแล้วหรือ อยู่เฉย ๆ กันให้หมด!”


ญาณหินโกลาหลแค่นเสียงเย็น ปราณโกลาหลซัดสาดออกไป กำราบปลามังกรไว้ทั้งหมด พร้อมสะกดพลังของปลามังกรเหล่านี้ไว้


บังอาจคิดจาบจ้วงคุณชายเชียวหรือ?


จะให้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร


มันไม่มีทางยอมเด็ดขาด!

ปลาหนึ่งตัวกินได้ห้าแบบ!


ลั่วสุ่ยตาค้าง หากรวมกับการกินอีกสามแบบเมื่อคราวก่อน รวมเป็นทั้งหมดแปดแบบแล้ว คุณชายรู้วิธีกินปลากี่แบบกันแน่


คุณชายเก่งกาจยิ่งนัก!


นอกจากนี้ นางรู้สึกมีความอบอุ่นแล่นสู่หัวใจ ซาบซึ้งขึ้นมาเหลือคณา คุณชายใส่ใจกันมากจริง ๆ มิฉะนั้นไยคุณชายต้องปรุงอาหารตั้งหลายอย่างด้วย


ปลาหนึ่งตัวปรุงเป็นอาหารได้ห้ารายการ แต่ละรายการล้วนมีรสชาติแตกต่าง คุณชายดีกับนางมากจริง ๆ!


“อยากดื่มสักหน่อยหรือไม่”


หลี่จิ่วเต้าเอ่ยถาม ของเลิศรสมากมายเยี่ยงนี้ ไม่ดื่มสักหน่อยคงน่าเสียดายแย่


ทว่าเหมือนเขานึกบางสิ่งขึ้นได้ ก่อนจะรีบเอ่ยต่อท้ายอีกประโยค “ดื่มส่วนดื่ม กลางค่ำกลางคืนห้ามมามุดเตียงข้าอีก!”


ใบหน้าขาวเนียนของลั่วสุ่ยแดงเถือก เรื่องนั้น…เป็นเพราะความเคยชินนี่นา!


“ไม่แล้ว ข้าขอรับประกัน!”


นางเอ่ยด้วยแก้มแดงระเรื่อ ครานี้ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่มุดเข้าไปอีก


“เช่นนั้นก็ดี”


หลี่จิ่วเต้าลุกไปหยิบสุรามาหนึ่งกาจากห้องครัว รินให้ทั้งเขาและลั่วสุ่ย “เอ้า ดื่มเสีย คุณชายจะย่างปลาให้เจ้า”


เขาชนแก้วกับลั่วสุ่ย ก่อนจะลุกไปย่างปลาต่อ เพราะยังไม่สุกดี


“อยากกินจังเลย อยากกิน…”


ภายในบ่อน้ำ มัจฉาสัตมายาน้ำลายสอ บอกตามตรง นับแต่ได้มาอยู่ในลานเล็ก มันไม่เคยได้กินอาหารฝีมือคุณชายสักคำ


บัดนี้ มันอยากกินแม้ในยามหลับฝัน!


มอ~


ลูกวัวน้อยสะบัดหางวัว ยืนพิงกำแพง มองปลาซึ่งถูกปรุงทั้งห้าแบบ แล้วก้มมองกองหญ้าใต้เท้า ชั่วขณะนั้น พลันรู้สึกว่าหญ้านี่รสชาติมิได้หอมหวานอีกต่อไป


มันหมอบราบกับพื้น ร้องเสียงไร้เรี่ยวแรง มันก็อยากกินเนื้อย่าง อยากได้ลองกินปลาที่ปรุงถึงห้าแบบ!


“ลูกเอ๋ย พวกเราคือสัตว์กินหญ้า เจ้าต้องจำข้อนี้ไว้!”


บิดาลูกวัวน้อยรีบบอก


ทว่ายามมันพูดจายังต้องกลืนน้ำลายอย่างอดไม่ได้ หอมเกินไปแล้ว! สัตว์กินพืชเวรตะไลเอ๊ย หากว่าเลือกได้ มันไม่ขอเป็นสัตว์กินพืชอีก มันขอเป็นสัตว์กินเนื้อ!


‘นายหญิงของลานเล็กแห่งนี้เชียวนะ!’


‘ขนาดนี้ยังมิใช่ แล้วผู้ใดจะเป็นได้อีก’


ของวิเศษในลานพากันคิดในใจ ยิ่งมั่นใจขึ้นว่าลั่วสุ่ยคือนายหญิงในอนาคต


เริ่มจากปรุงปลาหนึ่งตัวด้วยสามกรรมวิธี ต่อมา ปรุงปลาหนึ่งตัวด้วยห้ากรรมวิธี เปลี่ยนลูกไม้ปรุงปลาให้ลั่วสุ่ยไปเรื่อย ๆ คุณชายใส่ใจลั่วสุ่ยยิ่งนัก ผู้อื่นไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากคุณชาย!


คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง ดาราพร่างพราวทั่วฟ้า เป็นรัตติกาลอันงดงาม หลี่จิ่วเต้าดื่มอย่างหนำใจ ลั่วสุ่ยก็ดื่มไปไม่น้อย


พวกเขาเมากันทั้งคู่ ลั่วสุ่ยเกิดความสนอกสนใจ ร่ายรำว่อนไหวอยู่ด้านข้าง ส่วนหลี่จิ่วเต้ายกฉินอี๋อินออกมา บรรเลงเคล้าคลอลั่วสุ่ย


เสียงฉินดังขึ้น เริ่มแรกใสกังวานดั่งหยก ประหนึ่งสายน้ำหลั่งไหลแผ่วเบา ต่อมาเริ่มเป็นเสียงครวญ ประหนึ่งมังกรคำราม และคล้ายว่าเชื่อมประสานฟ้าดิน ทะลุผ่านปริภูมิเวลาแสนยาวนาน ถือเป็นลำนำอันน่าทึ่ง เป็นบทเพลงชิ้นเยี่ยม!


ดวงดาราซึ่งประดับประดาบนท้องฟ้าคล้ายว่ามีชีวิตขึ้นมา โลดแล่นตามไปด้วย ซ้ำแสงดาวยังสว่างขึ้นอีกหลายระดับ พากันทาบทับลงบนตัวลั่วสุ่ย ขับให้ลั่วสุ่ยดูสูงส่งไร้มลทินคูณทวี เฉิดฉันพราวเสน่ห์คูณทวี!


นอกจากนี้ ยังมีภาพสะท้อนมากมายฉายลงบนพื้นจากท้องนภา ทั้งหมดล้วนเป็นภาพสะท้อนร่างเซียนอันงดงาม รูปร่างอรชร ร่ายรำตามจังหวะของลั่วสุ่ยอยู่ด้านหลัง เต้นประกอบเป็นฉากหลังเพื่อลั่วสุ่ย!


การร่ายรำของนางสะท้านไปจนถึงดวงดาราเชียวหรือ


แสงดาวทั่วท้องนภาสะท้อนทาบทับบนตัวนางทั้งสิ้น…


งดงามเหลือเกิน!


วันนี้หลี่จิ่วเต้าดื่มมากเป็นพิเศษ จนบัดนี้เริ่มเมามากแล้ว หลังได้เห็นดวงดาราทั่วท้องนภาทาบทับลงบนตัวลั่วสุ่ยทั้งหมด ก็รู้สึกเพียงว่าลั่วสุ่ยมีโฉมสะคราญที่สุดในปฐพี


ส่วนภาพสะท้อนร่างเซียนที่ฉายอยู่เบื้องหลังลั่วสุ่ย หลี่จิ่วเต้ามองไม่เห็นแม้แต่น้อย


“!!!”


ญาณหินโกลาหลต้องตาโตด้วยความทึ่ง คุณชายแค่เพียงไม่ลงมือเท่านั้น หากได้ลงมือเมื่อใด เป็นต้องสะเทือนเลือนลั่น!


มันได้เห็นกระไรกันนี่!?


ภาพสะท้อนร่างเซียนที่จุติลงมานั้น ล้วนมาจากแดนบรรพโกลาหลทั้งสิ้น!


แม้ว่ามันเป็นเพียงก้อนหินเล็ก ๆ ธรรมดาในแดนบรรพโกลาหล กระนั้นมันก็ยังจำได้ว่าเจ้าของภาพสะท้อนร่างเซียนเหล่านี้เป็นของผู้ใด!

นั่นเพราะเจ้าของภาพสะท้อนร่างเซียนเหล่านี้เลื่องชื่ออย่างยิ่งในแดนบรรพโกลาหล!


จ้าวแห่งตงชิว จ้าวแห่งก่วงหลิง จ้าวแห่งฉางเล่อ จ้าวแห่งอี๋หยวน…


สวรรค์ คนเหล่านี้ล้วนเป็นบุคคลมหาอำนาจในแดนบรรพโกลาหล เป็นสตรีผู้เป็นจ้าวแห่งดินแดน ปกครองควบคุมทุกสิ่ง!


โดยปกติ หากต้องการพบสตรีผู้ทรงอำนาจเหล่านี้ในแดนบรรพโกลาหล ยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์ หากต้องการพบสตรีผู้ทรงอำนาจเหล่านี้อย่างพร้อมหน้าพร้อมตานั้นยิ่งไม่ต้องคิด ไม่มีทางเป็นจริงได้แน่!


แต่บัดนี้ เหล่าสตรีผู้ทรงอำนาจในแดนบรรพโกลาหลไม่เพียงแต่สะท้อนภาพฉายลงมาด้วยกัน ซ้ำยังร่ายรำประกอบฉากหลังให้ลั่วสุ่ยอีกด้วย!!!


อย่าให้เอ่ยเลยว่าเป็นภาพน่าสะท้านปานใด!


ภาพฉายของเหล่าสตรีผู้ทรงอำนาจแห่งแดนบรรพโกลาหลสะท้อนลงมาด้วยกัน ร่ายรำประกอบฉากหลังให้ลั่วสุ่ย หากมิใช่ว่ามันได้ประจักษ์กับตาตัวเอง ให้ตายมันก็เชื่อไม่ลง!


มันไม่เคลือบแคลงเลยว่า หากภาพนี้รู้ไปถึงแดนบรรพโกลาหล สิ่งมีชีวิตในแดนบรรพโกลาหลทั้งหมดเป็นต้องอ้าปากจนกรามค้างด้วยความตะลึงแน่!


สตรีผู้ทรงอำนาจทั้งหลายเหล่านี้ ล้วนเป็นบุคคลระดับสูงเกินจินตนาการ ทว่ากลับฉายภาพสะท้อนลงมาเพื่อร่ายรำประกอบเป็นฉากหลังลั่วสุ่ย เรื่องแบบนี้เหมือนฝันเกินไป น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!


นี่หรือคือฝีมือของท่านบรรพจารย์เต๋าโกลาหล


ฉกาจเหลือเกิน!


ชั่วขณะนั้น ความเลื่อมใสที่มันมีต่อคุณชายทวีคูณยิ่งขึ้น!


“ฮ่า ๆ หากมิได้คุณชาย ข้าไฉนเลยจะมีโอกาสได้พบสตรีผู้ทรงอำนาจมากมายปานนี้! ซ้ำยังได้เห็นสตรีผู้ทรงอำนาจเหล่านี้ร่ายรำอีกด้วย!”


ญาณหินโกลาหลคิดในใจด้วยความเปรมปรีดิ์


ตอนนี้มันอยากกลับไปที่แดนบรรพโกลาหลเหลือเกิน กลับไปถามสิ่งมีชีวิตตนอื่นในแดนบรรพโกลาหลว่า เจ้าเคยเห็นสตรีผู้ทรงอำนาจร่ายรำหรือไม่ ข้าเคยเห็นแล้ว!


ซ้ำยังมิใช่แค่ท่านเดียวด้วย!


เรื่องนี้พอให้เขาคุยโวไปทั้งชาติ!


หลังจบไปหนึ่งบทเพลง ลั่วสุ่ยหยุดลง ภาพสะท้อนร่างเซียนเหล่านั้นก็อันตรธานหายไป


ส่วนเจ้าของภาพสะท้อนร่างเซียนเหล่านั้น บรรดาสตรีผู้ทรงอำนาจ ล้วนมีสีหน้างุนงง


เกิดอันใดขึ้น?


พวกนางเพียงแต่ได้ยินลำนำฉินบทหนึ่ง จากนั้น ร่างกายพลันร่ายรำออกมาอย่างควบคุมมิได้ จนกระทั่งลำนำฉินหยุดลง พวกนางถึงหยุดได้


นี่มันเรื่องอันใดกัน!


สีหน้าพวกนางเคร่งเครียดกันถ้วนหน้า ด้วยขอบเขตพลังของพวกนาง ไฉนเลยจะพบเจอเรื่องราวเช่นนี้ได้


เพลงฉินลำนำเดียวก็เป็นผลให้พวกนางต้องร่ายรำตามอย่างควบคุมตนเองมิได้ ไม่อาจหักห้ามร่างกายได้เลย นั่นมันเพลงฉินกระไร!?


น่ากลัวเกินไปแล้ว!


“อย่างที่คิด ก่อนเกิดจลาจล ต้องมีเหตุการณ์เกินควบคุมเกิดขึ้นฉับพลันเช่นนี้!”


สตรีผู้ทรงอำนาจนางหนึ่งถอนหายใจ ดวงหน้างามสะพรั่งไร้ใดเปรียบ นางคือจ้าวแห่งก่วงหลิง ปกครองแดนก่วงหลิง นางมิได้ทอดถอนใจเช่นนี้มาไม่รู้นานเท่าใด ทว่าช่วงนี้นางกลับถอนหายใจอยู่เรื่อย


สาเหตุนั้นมิใช่อื่นใด ล้วนเป็นเพราะช่วงนี้แดนบรรพโกลาหลไม่สงบอย่างยิ่ง ทุกอย่างที่เคยเป็น จักเปลี่ยนผันไปในที่สุด…


นี่มิใช่เรื่องดีอันใด


มิใช่เรื่องดีสำหรับสิ่งมีชีวิตแดนบรรพโกลาหลอย่างพวกเขา และมิใช่เรื่องดีสำหรับสิ่งมีชีวิตนอกแดนบรรพโกลาหลเช่นกัน…


ภยันตรายใกล้เปิดฉากแล้ว!


อีกด้าน หลังจบไปแล้วหนึ่งลำนำ หนึ่งการร่ายรำ หลี่จิ่วเต้าและลั่วสุ่ยดื่มกันอย่างหนำใจต่ออีกหลายจอก วันนี้พวกเขาทั้งคู่ต่างอยู่ในอารมณ์ชื่นมื่น จึงดื่มกันมากกว่าปกติ หลี่จิ่วเต้าก็เพิ่งเคยเมามายเยี่ยงนี้เป็นครั้งแรก


“กลับไปนอนเถิด จำไว้ คืนนี้ห้ามมุดเตียงข้าอีก!”


หลี่จิ่วเต้าตัวโอนเอนขณะเอ่ยกับลั่วสุ่ย


“ได้…ได้เจ้าค่ะ คุณชาย!”


ลั่วสุ่ยตอบเสียงขาดห้วง


นอนในห้องตัวเอง นอนในห้องตัวเอง ต้องนอนในห้องตัวเองให้ได้!


ลั่วสุ่ยพร่ำบอกตนเองในใจไม่หยุด เดินตัวเอนไหวกลับมาถึงห้องของตน


หลังกลับมาถึงห้อง นางก็ล้มตัวหลับไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียง


หลี่จิ่วเต้ามิได้กลับห้องนอนของเขา หากแต่ไปเข้าห้องน้ำ ก่อนจะเดินตัวโอนเอนออกมา เตรียมตัวเข้านอน


ทว่าเขากลับเข้าห้องผิด ไปอยู่ในห้องของลั่วสุ่ย!


ชายหนุ่มทิ้งตัวลงบนเตียง รู้สึกว่าเหตุใดวันนี้เตียงถึงนุ่มปานนี้?


นุ่มเกินไปแล้ว เขารู้สึกเหมือนนอนอยู่บนกองฟองน้ำ!


“ยามเมาคงมีอาการเช่นนี้กระมัง…”


เขาพึมพำหนึ่งเสียง พลิกตัวอีกด้าน พลันรู้สึกสบายยิ่งกว่าเดิม ข้างใต้นุ่มนิ่มเสียจนเหมือนเขาจะละลายเข้าไป!


ความรู้สึกเช่นนี้อย่าให้เอ่ยเลยว่าเปรมปรีดิ์ปานใด เขาถึงขั้นคลี่ยิ้มโดยไม่รู้ตัว

รุ่งเช้า


“เมื่อคืนหลับไม่สนิทเอาเสียเลย เมื่อยเหลือเกิน ราวกับถูกบางอย่างกดทับทั้งคืน…”


ลั่วสุ่ยลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย เบ้ปากน้อย ๆ พลางกล่าว


เมื่อคืนนั้นอย่าให้เอ่ยเลยว่านางเมื่อยล้าเพียงใด ราวกับถูกบางอย่างทับไว้ ไม่สามารถแม้แต่จะพลิกตัว นอนหลับไม่สนิทเลยสักนิด


“เอ๋?”


เมื่อนางลืมตา ก็ต้องตกใจในบัดดล อ้าปากกว้างเสียจนยัดไข่ไก่เข้าไปได้ทั้งลูก


หัวใจของนางเต้นโครมคราม ดัง ‘ตึกตัก’ ไม่หยุด ราวกับกำลังรัวกลอง


เรือนร่างของนางแดงเถือกตั้งแต่ฝ่าเท้าขึ้นมา ใบหน้าร้อนผะผ่าว ประหนึ่งน้ำที่ถูกต้มจนเดือด


คุณ…คุณชายนอนทับนางไว้หรือนี่!


‘แย่แล้ว แย่แล้ว!’


นางร้อนใจจนอยากร่ำไห้ คล้ายเด็กสาวที่กระทำความผิด ภายในใจลนลานเป็นนักหนา


เมื่อคืน คุณชายกำชับแล้วกำชับเล่า ห้ามมิให้นางกระทำตนอย่างคราวก่อน คลานขึ้นเตียงคุณชายตอนดึก มุดเข้าไปในผ้าห่มคุณชาย


ให้ตาย เมื่อคืนนางยังรับคำเต็มปาก ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ทำตนเหมือนคราวก่อน!


ทว่าดูจากเหตุการณ์ตรงหน้า นางหาได้ควบคุมตัวเองได้ไม่ นางคลานขึ้นเตียงคุณชายอีกครั้ง และมุดเข้ามาในผ้าห่มคุณชาย!


“ข้าจะอธิบายกับคุณชายอย่างไรได้!”


นางกลั้นเสียง มิกล้าพูดจาเสียงดัง กลัวจะทำให้คุณชายตื่น ท่าทางทำสิ่งใดไม่ถูกนั้นน่ารักไม่หยอก


ทว่าพริบตาเดียวนางก็ต้องสับสนมึนงง


ห้อง…ห้องนี้เหมือนว่าเป็นห้องของนางเองนะ?


นางรีบหันมองรอบ ๆ แล้วหันกลับมามองเตียง ที่นี่คือห้องของนาง เตียงของนาง!


คุณชายอยู่ในห้องของนาง!


ไม่กระมัง!


คุณชายลอบเข้ามาในห้องนางยามดึก ขึ้นมาบนเตียงนาง แล้วทับนาง…ไว้ใต้ร่าง!


มิน่า เมื่อคืนนางถึงรู้สึกหลับไม่สนิท ที่แท้นางถูกคุณชายทับไว้ทั้งคืนเลยหรือ!


เวลานี้ สีหน้าของนางน่าดูชมทีเดียว


คุณชายกำชับนักกำชับหนา มิให้นางลอบเข้าห้องคุณชายยามดึกอีก ทว่าคุณชายกลับเข้ามาในห้องนางเอง…


นางนึกขันอย่างยิ่ง แต่ก็รู้ดีว่าคุณชายมิได้เจตนา เมื่อคืนคุณชายคงเมา เข้าผิดจนมาอยู่ในห้องนาง เมื่อคืน นอกจากทับบนตัวนาง คุณชายก็มิได้ทำอย่างอื่นอีก


อาภรณ์ยังอยู่ครบ…


นางจ้องมองคุณชาย พบว่าคุณชายหลับสนิท ซ้ำยังมีรอยยิ้มประดับใบหน้า นางอดทนไม่ขยับ ไม่ต้องการทำให้คุณชายตื่น


คุณชายเก่งกล้าสามารถปานใด ไฉนเลยจะเมาสุราได้ง่าย ๆ นางทอดถอนใจ นึกสงสารคุณชายนิดหน่อย


ยิ่งมีความสามารถ ความรับผิดชอบก็ยิ่งมาก คิดแล้วคุณชายคงมีความกังวลในใจ กังวลในเรื่องใหญ่เกินจินตนาการ ถึงได้ดื่มจนเมามาย


คุณชายคงคิดผ่อนคลายด้วยการดื่มสุรา หลับสนิทโดยไม่ต้องนึกถึงเรื่องใด…


เห็นรอยยิ้มหวานละมุนบนใบหน้าคุณชายแล้ว ลั่วสุ่ยยิ่งสงสารเข้าไปใหญ่ คุณชายมิได้หลับสนิทมานานเท่าไหร่แล้ว มิฉะนั้น เหตุใดแค่หลับนอนถึงยังยิ้มอย่างสุขสันต์เช่นนี้?


เห็นได้ชัดว่าคุณชายมิได้หลับสนิทมาพักใหญ่แล้ว


นางนิ่งไม่ไหวติงอยู่อย่างนั้น มองคุณชายนอนหลับฝันหวานอยู่บนตัวนาง


จนกระทั่งผ่านไปนานนม พระอาทิตย์ลอยโด่ง คุณชายถึงเริ่มขยับตัว ตื่นขึ้นมา


“ในที่สุดคุณชายก็ตื่นแล้ว!”


ลั่วสุ่ยโล่งอก นับแต่นางตื่นจวบจนบัดนี้ อย่าให้พรรณาเลยว่านางทรมานเพียงใด


คุณชายนอนทับบนตัวนาง จะมิให้นางทรมานได้อย่างไร ซ้ำหัวใจยังถูกตัณหาครอบงำ ทุกข์ทนมากยิ่ง!


นี่ยังดีที่คุณชายตื่นแล้ว หากมิใช่เช่นนั้น นางไม่อาจรับประกันได้ว่าจะไม่ทำอันใดลงไป!


หลี่จิ่วเต้าผู้ตื่นขึ้นมา เห็นลั่วสุ่ยทันทีที่ลืมตา เขาเข้าใจทุกสิ่งในบัดดล เข้าใจว่าเหตุใดเตียงถึงให้ความรู้สึกนุ่มนวลเช่นนั้น


จะมิให้นุ่มได้อย่างไร?


เขานอนทับบนตัวลั่วสุ่ย!


เสียงดังฟิ้ว เขารีบเด้งตัวลงจากเตียง แบบนี้ไม่งามเอาเสียเลย นี่เขานอนทับลั่วสุ่ยตลอดคืนเลยหรือ?


บาปกรรมแท้ ๆ!


ดื่มสุรามากไปไม่ดีจริง ๆ เมื่อคืนลั่วสุ่ยรับปากเขาเป็นมั่นเป็นเหมาะ จะไม่ลอบเข้าไปในห้องเขาอีก ทว่าเมื่อได้เมาแล้ว ย่อมควบคุมตัวเองไม่อยู่ นี่อย่างไร ลั่วสุ่ยเข้ามาในห้องเขาอีกแล้ว


ไม่สิ เหมือนว่าที่นี่มิใช่…ห้องของเขา!


เขาอ้าปากจะเอ่ยบางอย่าง กลับพบว่าที่นี่มิใช่ห้องของเขา หากแต่เป็นห้องของลั่วสุ่ย!


“!!!”


ชั่วขณะนั้น อย่าให้เอ่ยเลยว่าเขากระอักกระอ่วนเพียงใด มิใช่ลั่วสุ่ยที่เข้าห้องของเขา หากแต่เป็นเขาที่เข้าห้องของลั่วสุ่ย ขึ้นมาบนเตียงของลั่วสุ่ย!


ลั่วสุ่ยทำได้ตามที่รับปาก แต่เขา…เขาทำมิได้!


นึกถึงวาจาที่เขาได้กล่าวกับลั่วสุ่ยเมื่อคืนแล้ว พลันรู้สึกอับอายเกินทน เขายังมีหน้าไปว่าลั่วสุ่ยอีกหรือ!


“คือว่า…ข้าดื่มจนเมา เจ้าคงเข้าใจใช่หรือไม่”


เขากัดฟันเอ่ยออกไป รู้สึกผิดจากใจจริง เขาไม่เคยทำตัวเช่นนี้มาก่อนเลย!


ลั่วสุ่ยกลั้นไม่ไหว ขำ ‘พรืด’ ออกมา เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นคุณชายในสภาพนี้


ผู้ใดเล่าจะคิด คุณชายผู้สูงส่งจะมีมุมเช่นนี้ด้วย


นางเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มร่า “เข้าใจ ๆ เป็นเพราะฤทธิ์สุรา!”


หลี่จิ่วเต้ารู้สึกร้อนไปทั้งหน้า ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ต่อ เขารีบเอ่ย “หิวแล้วใช่หรือไม่ รีบลุกไปล้างหน้าล้างตาเสีย ข้าจะไปทำอาหาร!”


พูดจบ เขาก็รีบร้อนออกจากห้องลั่วสุ่ย ให้ความรู้สึกเหมือน ‘หนีหัวซุกหัวซุน’ อยู่นิดหน่อย


“คุณชายเอ๋ยคุณชาย!”


ลั่วสุ่ยหัวเราะออกมาอย่างอดมิได้อีกครั้ง ผู้ที่ทำให้คุณชายต้อง ‘หนีหัวซุกหัวซุน’ เช่นนี้ ในอาณาจักรทั้งปวง จักรวาลอันกว้างใหญ่ เห็นทีคงมีแต่นางผู้เดียวกระมัง!


นางรู้สึกว่าเช่นนี้ดียิ่ง บอกไม่ถูกว่าตรงไหนที่ดี ทว่า นางรู้สึกคล้ายสนิทชิดเชื้อกับคุณชายขึ้นไปอีกก้าว


“ฮิฮิ ลุกไปล้างหน้าล้างตา แล้วก็กินข้าว!”


นางปลื้มปริ่มอย่างยิ่งยวด รู้สึกว่าวันนี้ช่างเป็นวันอันแสนวิเศษ ดูท่าหลังจากนี้ต้องหมั่นดื่มสุราบ่อย ๆ เช่นนี้นางถึงได้ใกล้ชิดคุณชายขึ้นเรื่อย ๆ สนิทกันมากขึ้นเรื่อย ๆ!


จากนั้น นางเดินออกจากห้องด้วยท่วงท่างดงาม


ฟันธงแล้ว!


ไม่เหลือข้อกังขาใดอีก!


ดูสีหน้าลั่วสุ่ยเถิดว่าปีติยินดีปานใด รอยยิ้มเบิกบานกว่าคราวก่อนมากนัก คิดแล้วเมื่อคืนคงสุขสมอารมณ์หมายกับคุณชายไปแล้วสิท่า!


ของวิเศษต่าง ๆ ในลานพากันคิดไป แน่ใจในฐานะนายหญิงแห่งลานของลั่วสุ่ยแล้ว!


“ประเสริฐ!”


มัจฉาสัตมายายิ่งดีใจเข้าไปใหญ่ นึกยินดีกับพี่ลั่วสุ่ย นอกจากนี้ มันยังคิดในใจว่า พี่ลั่วสุ่ยได้เป็นผู้หญิงของคุณชาย นายหญิงของลาน หมายความว่ามันจะได้กินอาหารเลิศรสฝีมือคุณชายแล้วใช่หรือไม่


ได้กลิ่นอาหารเลิศรสกระตุ้นความอยากอาหารอยู่ทุกวี่วัน แต่กลับไม่ได้กินแม้แต่คำเดียว ได้เพียงดมกลิ่นเท่านั้น อย่าให้พูดเลยว่าทรมานปานใด!


เอ่ยโดยไม่เกินจริงเลยว่า มันแทบจะใช้ชีวิตอยู่ในความเจ็บปวดทุกข์ทนอยู่ทุกวัน!


เมื่อใดกัน มันถึงมีโอกาสได้กินอาหารเลิศรสฝีมือคุณชาย!


...


ภายในจักรวาลอันกว้างใหญ่ ท่ามกลางระบบดวงดาวไพศาลแห่งหนึ่ง ที่นี่มีบรรยากาศหนาวเหน็บน่ากลัว สายลมสยดสยองพัดผ่าน กลายเป็นพายุอวกาศ ม้วนดวงดารามากมายเข้าไปบดจนละเอียด!


ณ จุดกึ่งกลางของระบบดวงดาว มีดาวมโหฬารอยู่ดวงหนึ่ง ให้ความรู้สึกไม่เป็นมงคลนัก พลังพิศวงไหลเวียนอยู่ภายใน หากมองดูดี ๆ จะเห็นว่าดาวดวงนี้มีขนยาวชวนน่าขนลุกสีต่าง ๆ งอกอยู่เต็มไปหมด!


ดวงดาวยังมีขนงอกด้วยหรือนี่!


ภาพนี้น่าพรั่นพรึงเกินไป!


“สุดยอด ถึงกับพัฒนานครภูมิมาได้ถึงระดับนี้ ไม่ให้นับถืออย่างไรไหว!”


ภายในระบบดวงดาวแห่งนี้ สิ่งมีชีวิตตนหนึ่งเอ่ยเสียงสะท้อนใจอย่างแท้จริง มันนับถือเหลือเกิน ที่นี่ทรงพลังกว่านครพิศวงของมันเป็นหนักหนา มิได้เหนือชั้นกว่าเพียงระดับเดียว!


ความพิศวงลางร้ายกัดกร่อนอวกาศผืนนี้จนสิ้น จนเกิดการวิวัฒนาการ เกิดเป็น ‘จิตสำนึก’ ออกมา ระดับนี้เกินกว่าที่เขาเคยรับรู้


ในความเข้าใจของมัน มีเพียงสิ่งมีชีวิตเท่านั้นถึงจะเข้า ‘โอบกอด’ กับความพิศวงลางร้ายได้ จนนำไปสู่การกลืนกิน ทว่าที่นี่ แม้กระทั่งวัตถุไร้ชีวิตยังสามารถ ‘โอบกอด’ จนนำไปสู่การกลืนกิน ช่างเป็นระดับที่สูงส่งยิ่งนัก เกินกว่าความเข้าใจของมัน


ใช่แล้ว มันก็คือเจ้าหลวง สิ่งมีชีวิตผู้กักขังพี่ชายของเสี่ยวหยา มันหนีมาอยู่ที่นี่
ความพิศวงซัดสาด ลางร้ายคืบคลาน อย่างไรเสียที่นี่ก็ต่างจากนครพิศวง มีสสารพิศวงความบริสุทธิ์สูงโลดแล่น ปกคลุมผืนดินทุกระเบียดนิ้ว ทรงพลังกว่านครพิศวงเป็นหนักหนา ที่นั่นไม่อาจแผ่ปกคลุมได้ครบถ้วน อย่างมากก็ปกคลุมได้เพียงสองในสามส่วน


ไม่แปลกที่สามารถระบาดกันไปทั้งระบบดวงดาว จนมีขนงอกกันถ้วนหน้า สสารพิศวงที่นี่มีมวลหนาแน่นซ้ำยังบริสุทธิ์กว่า ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง


ขนสีแดง ขนสีขาว ขนสีเขียว…


สีของขนนั้นบ่งบอกถึงความบริสุทธิ์ของสสารพิศวง ขนสีแดงมีความบริสุทธิ์น้อยที่สุด พลังพิศวงลางร้ายที่รับได้ก็อ่อนแรงที่สุด


นครพิศวงแห่งนั้นมีแต่สิ่งมีชีวิตขนแดงเป็นส่วนใหญ่


แต่ที่นี่ แทบไม่เห็นสิ่งมีชีวิตขนแดงด้วยซ้ำ อย่างต่ำที่สุดคือสิ่งมีชีวิตขนขาว ที่มีมากที่สุดเห็นจะเป็นสิ่งมีชีวิตขนเขียวต่าง ๆ


เจ้าหลวงคือหนึ่งในผู้ที่มีขนสีเขียวตามตัว ในฐานะผู้กุมบังเหียนแห่งนครพิศวง เมื่ออยู่ที่นี่ เขากลับไม่มีความสำคัญแต่อย่างใด สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งกว่ามีอยู่ถมเถ มันเป็นเพียงพวกสามัญเท่านั้น


“ข้าไม่เก่งหรอก เพียงแต่โอบกอดความพิศวงและลางร้ายก่อนเจ้าไปหนึ่งก้าวเท่านั้น หากมิใช่เช่นนั้น ข้าไม่มีทางสู้เจ้าได้”


ข้างกายเจ้าหลวง มีสัตว์ประหลาดตัวมโหฬาร หน้าตาพิลึกพิลั่น ร่างจระเข้ มีใบหน้าสามหน้า แผ่นหลังมีหนามกระดูกเน่าเปื่อย ทั้งเนื้อทั้งตัวปกคลุมไปด้วยขนยาวสีดำพิศวง


ร่างจระเข้สามใบหน้า ทั้งสามใบหน้านั้นล้วนมิใช่ใบหน้าปกติ หากแต่เป็นหนึ่งใบหน้ามนุษย์ที่แยกออกเป็นสามหน้า ดวงตาและหูสองข้างยึดครองซ้ายขวากันข้างละหนึ่ง ปากและจมูกยึดครองใบหน้าตรงกลาง


ส่วนร่างจระเข้นั้นก็มิใช่ร่างจระเข้ปกติ ปราศจากเกล็ด ปราศจากผิวหนัง ขนสีดำพิศวงนี้งอกออกจากเลือดเนื้อโดยตรง ชวนให้ขวัญผวาเป็นที่สุด


นี่คือ ‘อาการข้างเคียง’ ที่หลงเหลือจากการโอบกอดความพิศวงลางร้าย เดิมมันเป็นมนุษย์หล่อเหลาสง่างาม หลังได้โอบกอดความพิศวงแล้ว ถึงกลายเป็นสภาพเช่นนี้


ผู้ที่ถูกความพิศวงลางร้ายกัดกร่อน จักเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ไม่มีทางรักษาความปกติไว้ต่อไป


ขนสีดำ สสารพิศวงลางร้ายนี้สะท้อนให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ที่เหนือกว่าขนสีเขียวถึงสองขั้น พลังพิศวงลางร้ายที่มีนั้นก็เป็นสองเท่าของขนสีเขียว


มันเรียกขานตนว่าจ้าวตะเข้


“อย่าพูดเช่นนั้น ไม่ว่าเรื่องใดล้วนไม่มีคำว่าถ้า เจ้านั่นแหละที่แข็งแกร่งกว่า!”


เจ้าหลวงส่ายหน้า “ความลังเลในอดีต ขีดชะตาผลลัพธ์ เจ้าถูกกำหนดให้แข็งแกร่งกว่าข้า ข้าต้องถูกทิ้งไว้ด้านหลัง”


“อย่าพูดเช่นนั้น เจ้ายังมีโอกาส ยังพุ่งทะยานได้สูงกว่านี้!”


จ้าวตะเข้หันมองเจ้าหลวง สายตาเปี่ยมไปด้วยความนึกเสียดาย มันเอ่ยท่าทางขึงขัง “ยังไม่ถึงเวลา ข้าจะช่วยเจ้าเอง!”


เจ้าหลวงยิ้มร่า “ต้องหวังพึ่งเจ้าจริง ๆ หากมิใช่เราเคยมีสายใยมาก่อน น่ากลัวว่าตอนนี้ข้าคงไม่มีโอกาสได้พบเจ้าด้วยซ้ำ…”


ก่อนกาลเวลาอันแสนยาวนานเริ่มต้น คราวพวกมันยังมิได้โอบกอดความพิศวงลางร้าย เคยเป็นสหายรู้ใจที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมาก่อน เคยเคียงคู่ฝ่าฟันผ่านอันตรายมานานัปการ


หากมิใช่เช่นนั้น ด้วยความสำเร็จระดับจ้าวตะเข้ในยามนี้ มันไม่มีทางได้คลุกคลีด้วย


“มัวพูดมากอะไร ข้าช่วยระดมกำลังพลให้เจ้า ช่วยให้เจ้าได้พิชิตระบบดวงดาวสักแห่ง ให้เจ้าได้บ่มเพาะ ‘ทาส’ ขึ้นมาใหม่!”


จ้าวตะเข้กล่าว “เราสองผนึกกำลัง วันหน้าย่อมประสบผลสำเร็จ ถึงคราวนั้น ‘ต้าเหริน’ ย่อมต้องจุติลงมาเพื่อตกรางวัลให้ หลังเจ้าผ่านพิธีบรรพชาแล้ว ย่อมต้องก้าวหน้ารุ่งโรจน์ขึ้นแน่!”


มันนึกเสียดายแทนเจ้าหลวงจากใจจริง


เจ้าหลวงมีพรสวรรค์สูงกว่าเขามากนัก ก่อนโอบกอดความพิศวงและลางร้าย เคยมีความสำเร็จเหนือชั้นกว่าเขาไปมาก หากมิใช่ว่าคราวที่ความพิศวงลางร้ายปะทุ เจ้าหลวงเกิดความลังเล มิได้เข้าโอบกอดความพิศวงลางร้ายในทันที ไม่มีทางที่เจ้าหลวงจะอยู่ในสภาพยับเยินเช่นนี้ คงต้องแข็งแกร่งกว่าเขาสักหนึ่งถึงสองระดับ


ครานั้น มันมิได้ลังเล พุ่งเข้าโอบกอดความพิศวงลางร้ายในบัดดล แม้นไม่ได้รับสสารพิศวงลางร้ายบริสุทธิ์สูงสุด กระนั้นก็ได้รับสสารพิศวงลางร้ายบริสุทธิ์ระดับกลาง จนสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้


ยิ่งโอบกอดความพิศวงลางร้ายช้า ความบริสุทธิ์ของสสารพิศวงลางร้ายที่ได้รับก็ยิ่งต่ำ


เจ้าหลวงถูกทิ้งท้ายเพราะเหตุนี้


หลังได้ยินคำกล่าวของจ้าวตะเข้ เจ้าหลวงดวงตาลุกวาว มันเอ่ยขึ้น “เจ้าเคยพบ ‘ต้าเหริน’ หรือยัง”


‘ต้าเหริน’ คือสรรพนามที่พวกมันใช้กล่าวขานถึงสิ่งนั้น ส่วน ‘ต้าเหริน’ มีรูปลักษณ์อย่างไร มีภูมิหลังที่มาที่ไปอย่างไร เจ้าหลวงไม่ทราบเลยสักนิด


มันรู้เพียงว่า ความพิศวงลางร้ายถูกแพร่สะพัดออกมาโดย ‘ต้าเหริน’ และ ‘ต้าเหริน’ นี้มิได้มีเพียงผู้เดียว หากแต่มีอยู่มากล้น


“ไม่เคย”


จ้าวตะเข้ส่ายหัว “ไฉนเลยจะได้พบง่าย ๆ หากข้าได้พบ ข้าคงไม่มีขนสีดำเช่นนี้หรอก”


หากได้พบจริง ๆ ความบริสุทธิ์ของสสารพิศวงและลางร้ายที่ได้รับย่อมสูงส่ง มันอาจได้มีขนเจ็ดสีซึ่งเป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์สูงสุดก็ได้


“ก็จริง”


เจ้าหลวงพยักหน้า ผู้ได้พบ ‘ต้าเหริน’ คงยืนอยู่บนยอดสูงสุดของพวกมันแล้วกระมัง


“ลงมือเถิด รีบเร่งลงมือ จะได้บ่มเพาะ ‘ทาส’ ออกมาเยอะ ๆ ได้เร็วขึ้น และพิชิตระบบดวงดาวได้ในเวลาอันสั้นที่สุด!”


จ้าวตะเข้เอ่ย “เวลานั้น จะว่ามากแท้จริงก็ไม่มาก สงครามใหญ่ใกล้ปะทุเต็มแก่ แดนบรรพโกลาหลจะกลายเป็นสมรภูมิ ศึกนี้คงอันตรายเหลือแสน มีเพียงมี ‘ทาส’ มากพอ พวกเราจึงจะแสดงผลงานได้ดีขึ้น”


“ได้”


เจ้าหลวงกล่าว “ที่ข้ามาหาเจ้า แท้จริงได้วางแผนไว้แล้ว ต่อให้เจ้าไม่ช่วยข้า ข้าก็จะหน้าด้านตื๊อให้เจ้าช่วยข้า ข้าตั้งใจพิชิตอาณาจักรอวี้ซวี ที่นั่นเป็นอาณาจักรระดับค่อนข้างสูงในอาณาจักรทั้งปวง แม้ว่ายึดครองทั้งอาณาจักรนั้นมีความลำบากอยู่บ้าง ทว่าข้าในเวลานี้หมดสิ้นแล้วทุกสิ่ง จะเล่นก็ต้องเดิมพันให้ใหญ่”


“เจ้ามีแผนก็ดีแล้ว”


จ้าวตะเข้พยักหน้า “อาณาจักรอวี้ซวีแบ่งแยกดินแดนออกจากอาณาจักรนั้น เคยเป็นอวี้ซวีโจวมาก่อน มีของติดตัวออกจากอาณาจักรนั้นมาบ้างไม่มากก็น้อย ข้ายังสงสัยอีกด้วยว่า อาจมีพวกตาเฒ่าที่ยังไม่ตาย แม้นไม่มีสสารนิรันดร์ ไม่อาจอยู่ยงคงกระพัน กระนั้นตาเฒ่าพวกนี้ย่อมสามารถคิดหาวิธีอื่นที่ยืดอายุขัยออกไปได้ มิได้ตายง่าย ๆ เยี่ยงนั้น”


มันกล่าวต่อ “ทว่ามิใช่เรื่องใหญ่ มีข้าคอยช่วยเจ้า ยึดครองอาณาจักรอวี้ซวีไม่มีปัญหาแน่”


“ฮ่า ๆ รู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่ปัญหาสำหรับเจ้า ข้าถึงได้มาหาเจ้าอย่างไรเล่า” เจ้าหลวงหัวเราะ


“ข้าจะไประดมไพร่พลให้เจ้าเดี๋ยวนี้ รับรองว่าเจ้าไปแล้ว สามารถพิชิตอาณาจักรอวี้ซวีได้อย่างง่ายดาย!”


จ้าวตะเข้บอก พร้อมสนับสนุนเจ้าหลวงด้วยกำลังทั้งหมด


...


ณ ดินแดนฮวง


ภายในเมืองบางแห่ง


บนธารน้ำแข็งมองไม่เห็นที่สิ้นสุด หิมะคลี่ปกคลุมทุกสิ่ง ที่นี่หนาวเสียดกระดูก แม้กระทั่งระดับนักบุญ มหาจักรพรรดิมาที่นี่ ก็ทนความเหน็บหนาวขนาดนี้ไม่ไหว ต้องแข็งตายในพริบตา!


กระทั่งเทียนตี้ยังไม่อาจอยู่ที่นี่ได้นาน หากอยู่นานเกินไปต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!


ที่นี่คือแดนร้างเหมันต์ เป็นดินแดนรกร้างว่างเปล่าอย่างแท้จริง ภายในดินแดนแห่งนี้ ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตและพืชพรรณใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิต หรือพืชพรรณชนิดใด ล้วนดำรงชีพในดินแดนแห่งนี้ได้ยาก


ทว่าดินแดนรกร้างเช่นนี้ กลับมีหญิงสาวโฉมสะคราญนางหนึ่งก้าวเดินอยู่ภายใน ซ้ำยังเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ทิ้งรอยเท้าของนางไว้บนกองหิมะชั้นหนา


หากผู้อื่นได้เห็นภาพนี้ คงต้องอึ้งจนกรามค้าง หญิงสาวผู้นี้คือใคร เหตุใดถึงน่ากลัวปานนี้


ดินแดนรกร้างที่แม้แต่เทียนตี้ยังมิอาจอยู่ได้นาน หญิงสาวกลับไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ ความหนาวเย็นไม่อาจทำอันตรายหญิงสาวได้เลย!


“น่าจะใช่ที่นี่…”


หญิงสาวพึมพำกับตัวเองเสียงเบา นางคือซีนั่นเอง


นางพอทราบสถานการณ์ของแดนบรรพโกลาหลมาบ้าง หากประสงค์เข้าไปในแดนบรรพโกลาหล จำต้องมาเสี่ยงโชคดูที่นี่


มิฉะนั้น คงได้แต่รอให้แดนบรรพโกลาหลปรากฏออกมาด้วยตนเอง