561-565

ก่อนรับฟังช่วยกดไลค์กด subscribe ด้วยนะครับ
บทที่ 561

เมืองชิงซานคึกคัก บนถนนหนทางมีผู้คนสัญจรไม่หยุด เต็มไปด้วยเสียงตะโกนขายของวุ่นวาย ทว่าก็เปี่ยมด้วยชีวิตชีวาและความสุข บนใบหน้าของทุกคนต่างเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใส


เสี่ยวหยาพาพี่ชายออกจากบ้านพร้อมกับหลิงอินเดินตามถนน มุ่งหน้าไปยังบ้านของคุณชาย


บนถนน ผู้คนในเมืองพากันทักทายหลิงอินและเสี่ยวหยาอย่างเป็นมิตร เห็นได้ชัดว่าต่างคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ด้านหลิงอินและเสี่ยวหยาก็ตอบรับกลับไปด้วยรอยยิ้ม


พี่ชายของเสี่ยวหยานั้นรู้สึกไม่คุ้นชินอยู่บ้าง เขาถูกจองจำอยู่ในนครพิศวงมานานเกินไป ทุกวันจมอยู่กับความมืดมิดทรมาน ตอนนี้รู้สึกได้ว่าอยู่ในเมืองที่พลุกพล่านเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ทำให้เขารู้สึกไม่คุ้นชินและอึดอัดเล็กน้อย


เสี่ยวหยาลอบถอนหายใจ รับรู้ได้ถึงความไม่คุ้นชินและอึดอัดของพี่ชาย นางจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าก่อนหน้านี้พี่ชายประสบกับความมืดมิดและทรมารมามากแค่ไหน


ประสบการณ์ที่เจ็บปวดและมืดมนอย่างถึงที่สุดนี้ ไม่สามารถลบเลือนไปได้ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาเพื่อค่อย ๆ ฟื้นกลับมาทีละนิด


“พี่ชาย เรื่องทุกอย่างล้วนผ่านไปแล้ว หลังจากนี้จะไม่เกิดเรื่องซ้ำเดิมขึ้นมาอีก เสี่ยวหยาจะคอยอยู่เคียงข้างพี่ชายเอง!”


นางกอดแขนของพี่ชายแน่นแล้วกล่าวออกมาอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะต้องใช้เวลายาวนานเพียงใด นางจะช่วยพี่ชายลบเลือนประสบการณ์อันเจ็บปวดและมืดมิด อยู่เคียงข้างจนพี่ชายฟื้นกลับคืนมาเป็นปกติอย่างแน่นอน


“ตกลง!” พี่ชายแย้มยิ้มกว้างให้เสี่ยวหยา


ใช่แล้ว ทุกอย่างล้วนผ่านไปแล้ว เขาควรจะมองออกไปด้านหน้า ก้าวออกมาจากประสบการณ์อันเจ็บปวดและมืดมิด ไม่อาจติดอยู่ภายในนั้นจนทำให้เสี่ยวหยาเป็นกังวลได้


ทว่าเรื่องราวทั้งหมดไม่ง่ายดายปานนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่จะกล่าวว่าอยากออกมาก็จะสามารถก้าวออกมาได้เลย...


หลังจากผ่านถนนมาหลายสาย พวกเขาก็มาถึงด้านหน้าลานเล็ก ๆ ของคุณชาย


หลิงอินก้าวขึ้นไปเคาะประตู ก่อนลั่วสุ่ยจะเป็นคนที่เปิดประตูให้


“หลิงอิน เสี่ยวหยา พวกเจ้ากลับมาแล้ว!”


ด้านในลาน หลี่จิ่วเต้าที่กำลังตัดแต่งใบไม้เอ่ยขึ้นมาหลังจากได้เห็นหลิงอินและเสี่ยวหยา เขาดีใจขึ้นมาในทันที เขาไม่ได้พบหลิงอินกับเสี่ยวหยามาหลายวัน ก่อนหน้านี้เขาเคยไปหาพวกนางถึงบ้านของหลิงอิน แต่ก็พบว่าพวกนางออกเดินทางไปยังบ้านเกิดของเสี่ยวหยาแล้ว


“คุณชาย!”


“คุณชาย!”


หลิงอินและเสี่ยวหยาคำนับทักทายตามลำดับ หลังจากนั้นเสี่ยวหยาก็แนะนำพี่ชายของนางให้คุณชายได้รู้จึก


“คำนับคุณชาย!”


พี่ชายของเสี่ยวหยาคำนับด้วยความสุภาพเป็นอย่างมาก ทว่าภายในใจก็เกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาเป็นอย่างมาก นี่คือผู้ที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึง สามารถรวบรวมวิญญาณของเสี่ยวหยาจากยุคก่อนกลับมาจากความตายได้อย่างนั้นหรือ?


เช่นนั้นแล้ว คุณชายจะต้องไม่ ‘ธรรมดา’ อย่างถึงที่สุด เขาเป็นได้เพียงคนตัวจ้อยที่ไม่อาจเทียบได้ จึงไม่อาจรับรู้ได้ถึงพลังบนร่างคุณชายได้แม้แต่น้อย ประหนึ่งคุณชายเป็นเพียงปุถุชนผู้หนึ่ง


ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความสั่นสะท้าน เขาคิดว่าตัวเองได้เห็น ‘โลก’ มามากแล้ว แต่เมื่อเข้ามายังด้านในลานของคุณชายแล้ว เขาก็สามารถตระหนักได้ว่า ‘โลก’ ของเขานั้นไม่อาจนับเป็นสิ่งใดได้ ทุกสิ่งในลานเล็ก ๆ ของคุณชายอยู่ห่างไกลเกินกว่าความรู้ความเข้าใจของเขาโดยสิ้นเชิง!


กลางลานมีบ่อน้ำอยู่ น้ำด้านในใสกระจ่าง ไหลเวียนด้วยขุมปราณชีวิตไพศาลเกินกว่าจะจินตนาการ นี่คือน้ำที่มาจากน้ำพุเซียนใช่หรือไม่?


ด้านในบ่อน้ำมีภูเขาจำลองอยู่ มันงดงามและเต็มไปด้วยความสง่า ละอองน้ำดั่งหมอกควันสร้างความรู้สึกพิเศษให้มากยิ่งขึ้น หัวใจของเขาถึงกับสั่นสะท้าน นี่...ดูเหมือนว่ามันจะมีลมหายใจโกลาหล


หรือว่านี่จะเป็นหินโกลาหลกัน!?


นอกจากนี้ด้านในบ่อน้ำยังมีเต่าชราตัวหนึ่งนอนอย่างเกียจคร้านบนขอบภูเขาจำลอง ดวงตาของเต่าคู่นั้นเปล่งประกายราวกับแสงเซียน ภายในลมหายใจมีอะไรพิเศษบางอย่างเพิ่มเข้ามา คล้ายว่าจะเป็นลมหายใจของเซียน หรือว่าผู้เฒ่าเต่าจะกลายเป็นเซียนแล้ว!?


เขาเคยเห็นผู้เฒ่าเต่ามาก่อนในช่วงระหว่างการดินทางออกจากอาณาจักรอวี้ซวีมายังอาณาจักรแห่งนี้ เขาสัมผัสได้แน่ชัดว่าแม้ผู้เฒ่าเต่าจะแข็งแกร่ง แต่ก็ยังไม่บรรลุถึงขั้นเซียน


แต่เมื่อดูจากในตอนนี้แล้ว มีความเป็นไปได้อย่างมากที่ผู้เฒ่าเต่าจะกลายเป็นเต่าเซียนขึ้นมาจริง ๆ แล้ว!


อะไรคือเซียน?


ตัวแทนของนิรันดร์ ไม่ถูกจำกัดด้วยอายุขัย!


เขาสัมผัสได้ถึงความเป็นนิรันดร์อันคลุมเครือจากร่างของผู้เฒ่าเต่า!


สิ่งนี้ทำให้เขาไม่คาดคิดเป็นอย่างมาก!


เพียงแค่สองวันคุณชายก็สามารถทำให้ผู้เฒ่าเต่ากลายเป็นเซียนได้!


“ภูเขาจำลอง...!”


เขาตกตะลึงขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากนึกได้ว่าลั่วสุ่ยเคยกล่าวว่าตนเองนำหินอัศจรรย์ก้อนหนึ่งกลับมาจากอาณาจักรอวี้ซวีเพื่อให้คุณชายได้ใช้แกะสลัก


ลั่วสุ่ยยังได้นำหินอัศจรรย์ก้อนนั้นออกมาให้พวกเขาดูด้วย


นี่...ภูเขาจำลองนี่เป็นไปได้หรือไม่ที่จะถูกแกะสลักจากหินอัศจรรย์ก้อนนั้น?


หากเป็นเช่นนั้นจริงก็นับเป็นเรื่องน่าตื่นตะลึงเกิดไปแล้ว!


ทุกสิ่งกำเนิดขึ้นมาจากความโกลาหล ดังนั้นมันย่อมต้องอยู่เหนือชั้นที่สุดอย่างแน่นอน เซียนเมื่อไปอยู่ต่อหน้าพลังโกลาหลก็ไม่อาจนับเป็นสิ่งใดได้ แตกต่างกันจนไม่อาจเปรียบเทียบได้


แม้ว่าหินอัศจรรย์ไม่ธรรมดา แต่มันก็ไม่ได้เป็นแม้กระทั่งศิลาเซียน


ทว่าเมื่อมาอยู่ในมือของคุณชายแล้ว หลังจากผ่านการแกะสลักกลับกลายเป็นหินโกลาหลที่เปี่ยมด้วยลมหายใจโกลาหล!


สวรรค์ ตัวตนของคุณชายคือผู้ใดกันแน่!?


แม้ว่าก่อนหน้านี้หลิงอินและเสี่ยวหยาจะบอกเล่าถึงทุกวิถีการอันสามารถฝ่าฝืนสวรรค์ของคุณชายให้ฟังแล้ว แต่จะเทียบกับการรับรู้เองได้อย่างไร!


หัวใจของเขาสั่นสะท้านอย่างมาก คุณชายจะต้องอยู่เหนือกว่าจักรพรรดิเซียนหรือบรรพจารย์เซียนอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นจะสามารถเปลี่ยนหินอัศจรรย์ให้กลายเป็นหินโกลาหลได้อย่างไร?


พลังโกลาหลนั้นอยู่เหนือกว่าเซียนอย่างสมบูรณ์ เป็นคนละชั้นโดยสิ้นเชิง กระทั่งจักรพรรดิเซียนและบรรพจารย์เซียนก็ไม่อาจทำเช่นนี้ได้


“ดี ดี ดี”


หลี่จิ่วเต้ายิ้มพร้อมพูดกับพี่ชายของเสี่ยวหยา “ไม่ต้องสุภาพถึงเพียงนั้น ถือเสียว่าที่นี่เป็นบ้านของเจ้าเอง”


สิ่งนี้ทำให้พี่ชายของเสี่ยวหยาปลื้มปริ่มเป็นอย่างมาก ทั้งยังทำให้ตื่นเต้นและมีความสุขอย่างถึงที่สุด


เขามีความสุขให้กับเสี่ยวหยา เขาตระหนักได้ว่าคุณชายพูดคำเหล่านี้ออกมากับเขาก็เป็นเพราะเสี่ยวหยา


นี่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเสี่ยวหยาได้รับความสำคัญมากแค่ไหน!


เสี่ยวหยาได้รับความสำคัญจากตัวตนที่อยู่เหนือจักรพรรดิเซียนและบรรพจารย์เซียนเช่นนี้ เขาจะไม่มีความสุขได้อย่างไร นับเป็นโอกาสและโชคครั้งใหญ่ของเสี่ยวหยา!


เขายินดีกับเสี่ยวหยาจากใจจริง!


“เย็นนี้ก็อยู่ทานข้าวกันก่อนเถอะ”


หลี่จิ่วเต้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “วันนี้จะให้พวกเจ้าได้ลิ้มลองบะหมี่มังกรจากบ้านเกิดของข้า”


เขาเกิดอยากกินบะหมี่ขึ้นมา


ในดาวเคราะห์สีฟ้า บะหมี่มังกรนั้นมีชื่อเสียงอย่างมาก มีคนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ชื่นชอบกินมัน


เขามักจะกินบะหมี่มังกรเสมอเมื่อครั้งตอนอยู่ที่ดาวเคราะห์สีฟ้า


“ตกลง!”


หลังจากฟังคำพูดของคุณชาย หลิงอิน และลั่วสุ่ยต่างก็ตั้งหน้าตั้งตารอ


บ้านเกิด!


นี่คือจุดสำคัญอย่างมาก!


พวกนางตระหนักได้ทันที ว่าวันนี้นับเป็นโชคดีของพวกนางแล้ว!


นอกจากนี้ ภายในใจของพวกนางยังเกิดความอยากรู้เป็นอย่างมาก อยากรู้ว่าบ้านเกิดของคุณชายนั้นคือที่ใด?


ก่อนหน้านี้พวกนางต่างนึกว่าบ้านเกิดคุณชายคือภพเซียน


แต่เมื่อคิดดูตอนนี้แล้ว กระทั่งภพเซียนก็ยังไม่คู่ควร


คุณชายจะต้องมาจากสถานที่ที่เหนือชั้นยิ่งกว่าภพเซียน!


แดนบรรพโกลาหลอย่างนั้นหรือ?


มีโอกาสเป็นไปได้!


พวกนางอดคิดขึ้นมาในใจไม่ได้ คุณชายเมื่ออยู่ในแดนบรรพโลกาลจะยังแข็งแกร่งเหนือชั้นยิ่งกว่าทุกสรรพสิ่งเหมือนเดิมเช่นนี้หรือไม่?


หรือว่าคนในแดนบรรพโกลาหล ทุกคนล้วนเป็นเช่นเดียวกับคุณชาย?


เรื่องเกี่ยวกับแดนบรรพโกลาหล พวกนางต่างก็รับรู้ว่าที่แห่งนั้นดำรงอยู่ในอาณาจักรแห่งนี้ ทั้งยังมีสัญญาณว่าจะปรากฏออกมา


บุ๋งบุ๋ง~


ด้านในบ่อน้ำ มัจฉาสัตมายามองดูด้วยตาปริบ ๆ มันกล่าวขึ้นในใจว่าเมื่อไหร่มันจะสามารถลิ้มลองอาหารบ้านเกิดฝีมือคุณชายได้บ้าง!


บะหมี่มังกร มันเองก็อยากกินด้วย!
บทที่ 562

ยังเหลือเวลา หลี่จิ่วเต้ามิได้รีบร้อนต้มบะหมี่ พวกเขาเข้ามานั่งที่ศาลา


ส่วนลั่วสุ่ยยกชาเข้ามา พร้อมรินให้คนละถ้วย


“อย่ามัววุ่นวายอยู่เลย เจ้ามานั่งด้วยกันเถิด”


หลี่จิ่วเต้าเอ่ยยิ้ม ๆ พึงพอใจในตัวลั่วสุ่ยขึ้นเรื่อย ๆ


“จริงสิ ลืมแนะนำให้พวกเจ้ารู้จัก”


หลี่จิ่วเต้าหันมองพวกหลิงอิน “นางคือลั่วสุ่ย หรือก็คือเสี่ยวไป๋ เป็นแมวน้อยสีขาวที่ข้าเคยเลี้ยง บัดนี้อยู่ในร่างมนุษย์แล้ว”


คุณชายกำลังแนะนำให้พวกนางรู้จักกันอย่างเป็นทางการหรือ


หลิงอินและเสี่ยวหยาคิดในใจ รู้สึกว่าคุณชายดีต่อลั่วสุ่ยจริง ๆ


พวกนางรู้ตัวตนของลั่วสุ่ยอยู่แล้ว และแน่นอนว่าคุณชายตระหนักถึงข้อนี้ดี


กระนั้นคุณชายก็ยังแนะนำให้พวกนางรู้จักกันอย่างเป็นทางการเยี่ยงนี้ บ่งบอกว่าคุณชายดีกับลั่วสุ่ยจริง ๆ ให้ความสำคัญกับลั่วสุ่ยมาก และประกาศให้พวกนางทราบว่าลั่วสุ่ยมิได้อยู่ในฐานะแมวเลี้ยงอีกแล้ว


พวกนางพากันทักทายลั่วสุ่ยยิ้ม ๆ และลั่วสุ่ยก็ตอบรับด้วยรอยยิ้มเช่นกัน


“ชอบอ่านหนังสือหรือ”


ระหว่างสนทนาสัพเพเหระ หลี่จิ่วเต้าได้รู้ว่าพี่ชายเสี่ยวหยาชอบการอ่านหนังสือที่สุด


เขาดูออกอยู่แล้ว พี่ชายเสี่ยวหยามีกลิ่นอายความเป็นบัณฑิตอยู่สูง ดูเหมือนผู้มีความรู้คนหนึ่ง


“ใช่แล้วคุณชาย”


พี่ชายเสี่ยวหยาตอบ สายตาทอประกายแห่งความทรงจำ


เขาชื่นชอบการอ่านหนังสือตั้งแต่ยังเยาว์ อนิจจา ภายหลังเกิดเรื่องกับบุพการีของเขา ตายลงด้วยอุบัติเหตุ เพื่อดูแลเสี่ยวหยา เขาล้มเลิกการเรียน ลาออกจากสถานศึกษา คอยทำงานรับใช้ผู้อื่นเพื่อเลี้ยงดูเสี่ยวหยา


และแม้ว่าต่อมา เขาจะถูกขายให้กับกองกำลังมืด ต้องรับใช้กองกำลังมืดด้วยชีวิต เขาก็มิเคยเลิกอ่านหนังสือ


ในหนังสือมีเรื่องราวมากมาย ชีวิตที่แตกต่างกันออกไป เขาถูกกองกำลังมืดควบคุม ไร้ซึ่งอิสรภาพ การอ่านหนังสือปลอบประโลมเขาได้ และยังช่วยให้จิตใจของเขาแข็งแกร่งขึ้น


“ข้ามีหนังสืออยู่จำนวนหนึ่ง รับรองว่าเจ้าไม่เคยอ่านแน่!”


หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้ม เอ่ยกับพี่ชายเสี่ยวหยา “ข้าจะไปหยิบหนังสือเหล่านั้นมาให้”


จากนั้นเขาก็ลุกเดินไปที่ห้องเก็บหนังสือ นำหนังสือมาจำนวนหนึ่ง


ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นหนังสือขึ้นชื่อในดาวเคราะห์สีฟ้า หลังมาอยู่ในโลกนี้ ยามเขาอยู่ว่าง ๆ จึงได้เขียนเรื่องราวในหนังสือเหล่านั้นออกมา


“เจ้าลองดูเถิด”


หลี่จิ่วเต้าวางหนังสือบนโต๊ะ บอกให้พี่ชายเสี่ยวหยาลองอ่านหนังสือเหล่านี้ดู ดูว่าพี่ชายเสี่ยวหยาชอบหรือไม่


“ขอบคุณคุณชาย!”


พี่ชายเสี่ยวหยาตอบเสียงตื้นตัน หนังสือที่คุณชายหยิบมาให้นั้นไฉนเลยจะเป็นหนังสือสามัญ เขาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาพลิกอ่าน


“หืม อยู่เหนือสามภพ ไม่อยู่ในห้าธาตุ ข้าซุนหงอคงมาแล้ว!”


เขาอ่านประโยคหนึ่งจากหนังสือ


“เรื่องนี้ข้ารู้จัก ตำนานไซอิ๋วใช่หรือไม่”


หลิงอินตาเป็นประกาย ฟังปราดเดียวก็รู้ว่านี่คือวจีติดปากของผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดิน


พี่ชายเสี่ยวหยาปิดหนังสือ ก็ได้เห็นคำว่า ‘ตำราไซอิ๋ว’ ที่เขียนอยู่บนปก จึงพยักหน้าพลางเอ่ย “ใช่แล้ว ตำนานไซอิ๋ว!”


“เล่มนี้ไม่เลวเลย คุ้มค่าแก่การอ่าน!”


หลิงอินกล่าว่จากใจจริง นางเคยได้ยินคุณชายเล่าตำนานไซอิ๋วมาก่อน หรรษาเป็นที่สุด!


“จริงหรือ”


เสี่ยวหยาเกิดความสนใจขึ้นมาบ้าง นางไม่เคยได้ยินคุณชายเล่าตำนานไซอิ๋วมาก่อน


พี่ชายเสี่ยวหยายื่นหนังสือไซอิ๋วให้เสี่ยวหยา แล้วหยิบหนังสืออีกเล่มขึ้นมา


“สหายโปรดรอก่อน ข้ามีเรื่องหารือกับสหาย!”


พี่ชายเสี่ยวหยาพลิกหน้าหนังสือ อ่านออกเสียง


“ตำนานสถาปนาเทวดา!”


หลิงอินตาเป็นประกายอีกครั้ง ฟังปราดเดียวก็รู้เช่นเดิม นี่คือวลีติดปากของเซินกงเป้าในเรื่องสถาปนาเทวดา


จะว่าไป วลีติดปากประโยคนี้ของเซินกงเป้า ไม่รู้ทำร้าย ‘สหาย’ ไปตั้งเท่าใด!


“เล่มนี้ก็ไม่เลว! แนะนำให้อ่านอย่างยิ่ง!”


นางกล่าวต่อ เคยได้ยินคุณชายเล่าตำนานสถาปนาเทวดาด้วย


“ได้!”


พี่ชายเสี่ยวหยาวาง ‘ตำนานสถาปนาเทวดา’ ลง แล้วหยิบขึ้นมาอีกเล่ม


“สุสานนานัปการในใต้หล้านี้ มิมีหลุมใดที่ข้าขุดไม่ได้ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นมหาจักรพรรดิ เซียนแห่งโลกมนุษย์ บรรพจารย์เต๋า อย่าได้แหยมกับข้า มิฉะนั้น หลังเจ้าตายไป ข้าจักขุดหลุมศพของเจ้า! และจะไม่ยอมปล่อยลูกหลานของเจ้าไป! รอจนลูกหลานเจ้าตายไปแล้ว ข้าจักให้ลูกหลานของข้าไปขุดหลุมศพพวกเจ้า!”


พี่ชายเสี่ยวหยาอ่านใจความท่อนหนึ่งในหนังสือแล้วต้องเบิกตากว้าง


สุดยอด!


มีวิธีข่มขู่ผู้อื่นเช่นนี้ด้วยหรือ!?


รอให้เจ้าตายก่อนแล้วค่อยไปขุดหลุมศพเจ้า!


ช่างเป็นคำขู่ที่ประหลาดทว่าองอาจ!


เขาพลิกอ่านด้านหลัง ยังมีอีกท่อนหนึ่ง


“เมื่อเจอสุนัขดำอย่าได้ใจอ่อน ต้องตีให้ตายในคราเดียว มิฉะนั้น ต้องถูกสุนัขดำกัดแน่ ซ้ำยังต้องถูกสุนัขดำช่วงชิงทุกสิ่งทุกอย่างไป! นับแต่โบราณกาล สุนัขดำนิสัยไม่ดีมาโดยตลอด!”


เขาอ่านไป นึกในใจไปว่าคนผู้นี้ต้องโกรธแค้นสุนัขดำอย่างมหันต์แน่ มิฉะนั้น ไยจึงเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาได้!


ชั่วขณะนั้น เขาสนอกสนใจในเนื้อหาหนังสือเล่มนี้เป็นอย่างมาก อยากรู้เหลือเกินว่าคนผู้นี้มีข้อพิพาทใดกับสุนัขดำ


เขาปิดหนังสือเล่มนั้น มองชื่อหนังสือซึ่งมีนามว่า ‘ตำนานอู๋เลี่ยงเทียนจุน’


‘ตำนานอู๋เลี่ยงเทียนจุน’ เขาพอเข้าใจแล้วว่าเหตุใดหนังสือเล่มนี้ถึงได้มีชื่อเช่นนี้ เพราะหลังเขาพลิกอ่านคร่าว ๆ ก็ได้เห็นประโยค ‘อู๋เลี่ยงเทียนจุน…เวรตะไล’!


คงเป็นวลีติดปากของตัวเอกหนังสือกระมัง


เขาวางหนังสือเล่มนั้น หยิบหนังสืออีกเล่มขึ้นมาพลิกอ่าน


“มีรุ่งเรือง มีตกต่ำ อย่าได้รังแกผู้เยาว์วัยเพราะความจน! ขอถอนหมั้น!”


เขาอ่านไปท่อนหนึ่งสั้น ๆ เพียงท่อนสั้น ๆ นี้ก็ทำให้เขาเลือดร้อนพลุ่งพล่าน จิตใจลุกโชนอย่างอดไม่ไหว


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นี่ต้องเป็นเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความระห่ำเลือดร้อนแน่นอน!


เขาปิดหนังสือเล่มนั้น หนังสือเล่มนั้นมีชื่อว่า ‘คัมภีร์เพลิงแผก’


“เรื่องพวกนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน!”


หลิงอินเพียงได้ฟังท่อนสั้น ๆ ในหนังสือที่พี่ชายเสี่ยวหยาอ่าน ก็รู้สึกอยากอ่านแทบทนไม่ไหว อยากรู้เหลือเกินว่าในหนังสือนั้นบอกเล่าเรื่องราวอันใดบ้าง


“ณ ทะเลแดนเหนือ มีมัจฉานามคุน ร่างใหญ่โตไม่รู้กี่พันลี้ หนึ่งคำกลืนมังกร หนึ่งคำกลืนพญาเผิง…”


พี่ชายเสี่ยวหยาหยิบหนังสือขึ้นมาอีกเล่ม และเริ่มอ่าน


เล่มนี้แตกต่างจากหนังสือก่อนหน้าทั้งหมด หนังสือเล่มนี้มีภาพวาดประกอบมากมาย เป็นภาพวาดของอสูรประหลาด ทิวทัศน์พิสดาร!


และข้อความที่เขาอ่านนั้น เป็นหมายเหตุใต้ภาพอันมีนามว่า ‘คุน’


สิ่งเหล่านี้คือสัตว์ประหลาดเช่นไรกัน?


แล้วภูเขาสายน้ำเหล่านี้คือที่ไหน?


เขาไม่เคยเห็นสัตว์ประหลาด และทิวทัศน์ในนี้เลย!


ทว่าเขาสัมผัสได้ว่าสัตว์ประหลาด ทิวทัศน์ภูเขาสายน้ำในหนังสือเล่มนี้ สูงส่งและน่ากลัวเป็นอย่างมาก!


แดนบรรพโกลาหลหรือ!?


เขาคิดในใจอย่างอดมิได้ เคยได้ยินหลิงอินและเสี่ยวหยาเล่าเรื่องแดนบรรพโกลาหลมาก่อน เขารู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้อาจบันทึกสัตว์ประหลาด และภูเขาสายน้ำในแดนบรรพโกลาหลก็เป็นได้!


จากนั้นเขาปิดหนังสือ หนังสือเล่มนี้มีนามว่า ‘คัมภีร์ซานไห่’


บุ๋งบุ๋ง!


มัจฉา?


คุน!?


ภายในบ่อน้ำ มัจฉาสัตมายาได้ยินถ้อยคำใน ‘คัมภีร์ซานไห่’ ที่พี่ชายเสี่ยวหยาอ่าน มันเต็มตื้นขึ้นมาทันใด


หนึ่งคำกลืนมังกร หนึ่งคำกลืนพญาเผิง!


นี่คือเป้าหมายสูงสุดในการวิวัฒนาการของเผ่ามัจฉาอย่างพวกมันหรือ!?


“ใช่แล้ว ต้องเป็นเช่นนั้นแน่! คุน คุน คุน…นี่คือเป้าหมายของข้า ข้าต้องวิวัฒนาเป็นคุนให้ได้!”


มันเอ่ยในใจ จ้องมองพี่ชายเสี่ยวหยาตาละห้อย อยากเห็นภาพคุนใน ‘คัมภีร์ซานไห่’ เหลือเกิน


มันอยากวิวัฒนาการเป็นคุนตัวหนึ่ง!
บทที่ 563

เล่มแล้วเล่มเล่า อ่านเพียงท่อนสั้น ๆ ก็ชวนให้ใฝ่ฝันถึงเหลือคณา ดึงดูดให้อ่านต่อไป หนังสือเหล่านี้ล้ำเลิศยิ่งนัก!


พี่ชายเสี่ยวหยาหันมองคุณชายด้วยความเลื่อมใส “หนังสือเหล่านี้เขียนโดยคุณชายหมดเลยหรือ สุดยอด!”


“ข้ามิได้เขียน”


หลี่จิ่วเต้าหัวเราะ พลางอธิบาย “ผู้ประพันธ์ของหนังสือเหล่านี้ล้วนเป็นคนในบ้านเกิดของข้า ข้าชอบอ่านหนังสือเหล่านี้มาก เมื่อมีเวลาว่าง จึงเขียนเนื้อหาหนังสือเหล่านี้ออกมา เพื่อให้สะดวกในยามต้องการอ่าน”


เขาเป็นคนซื่อตรง มิได้ปิดบังหลอกลวง ผู้ประพันธ์หนังสือเหล่านี้ล้วนเป็นคนจากดาวเคราะห์สีฟ้า มีชื่อเสียงโด่งดังในดาวเคราะห์สีฟ้า


“เจ้าชอบอ่านหรือไม่ หากชอบ เจ้านำกลับไปอ่านได้เลย” หลี่จิ่วเต้าบอก


“ชอบ! ชอบมาก! ขอบคุณคุณชาย!”


พี่ชายเสี่ยวหยารีบกล่าวขอบคุณคุณชายรัว ๆ สำหรับเขาหนังสือเหล่านี้ถือเป็นสมบัติวิเศษสูงสุด!


“ไม่ต้องเกรงใจถึงปานนั้น”


ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ พลางกล่าว “หนังสือช่วยกล่อมเกลาจิตใจ และช่วยให้คนเราได้มีประสบการณ์ในชีวิตที่แตกต่างออกไปตามเนื้อหาในหนังสือ การอ่านหนังสือนับเป็นเรื่องดีที่ควรหมั่นทำบ่อย ๆ!”


คุณชายกำลังช่วยให้พี่ชายก้าวออกจากความทรงจำของประสบการณ์อันมืดมนเลวร้ายหรือ


หลังเสี่ยวหยาได้ยินคำกล่าวของหลี่จิ่วเต้า ก็คิดขึ้นมาในใจทันที


กล่อมเกลาจิตใจ ช่วยให้มีประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างออกไป…


คุณชายช่วยให้พี่ชายของนางได้ก้าวออกจากความทรงจำของประสบการณ์อันมืดมนเลวร้ายผ่านหนังสือเหล่านี้เห็น ๆ!


นางซาบซึ้งในใจเหลือคณา มิน่าคุณชายถึงได้นำหนังสือเหล่านี้ออกมา!


คุณชายดีกับนางเหลือเกิน!


‘คุณชายใส่ใจหวังดีอย่างยิ่ง!’


หลิงอินกล่าวในใจ คิดเช่นกันว่าคุณชายใช้หนังสือเหล่านี้ในการช่วยพี่ชายเสี่ยวหยา คุณชายช่างตรึกตรองได้รอบคอบนัก!


นางสัมผัสได้เช่นกันว่าพี่ชายเสี่ยวหยาอ่อนไหวอยู่มาก ยังไม่อาจก้าวออกจากความทรงจำของประสบการณ์อันมืดมนเลวร้าย


หากคิดดูดี ๆ ไฉนเลยจะก้าวออกมาได้ง่าย ๆ


ถึงอย่างไร ประสบการณ์เลวร้ายมืดมนนั้นก็ยาวนานเป็นหนักหนา ผลกระทบที่เกิดขึ้นย่อมใหญ่หลวง


ทว่าในความคิดของนาง หลังพี่ชายเสี่ยวหยาได้อ่านหนังสือเหล่านี้ ได้ลิ้มรสประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างแล้ว พี่ชายเสี่ยวหยาคงก้าวออกจากความทรงจำของประสบการณ์อันมืดมนเลวร้ายได้ และฟื้นตัวเป็นปกติอย่างสมบูรณ์


จากนั้น พวกเขาสนทนาสัพเพเหระต่ออีกหน่อย หลี่จิ่วเต้าขอให้เสี่ยวหยาบรรเลงเพลงฉินให้เขาฟังสองบท เขาอยากเห็นว่าบัดนี้ ฝีมือบรรเลงฉินของเสี่ยวหยาพัฒนาขึ้นบ้างหรือไม่


“ใช้ฉินของข้าแล้วกัน”


หลี่จิ่วเต้าเห็นว่าเสี่ยวหยามิได้นำฉินมาด้วย จึงให้เสี่ยวหยาบรรเลงด้วยฉินของเขา


“ข้าไปหยิบฉินมาให้”


หลิงอินลุกขึ้น ไม่นานนักก็นำฉินของคุณชาย…อี๋อินมาและวางลงบนโต๊ะ


เสี่ยวหยาลูบไล้อี๋อินฉิน หัวใจตื้นตันเหลือคณา


นางรู้ว่าฉินเล่มนี้เลอค่าเพียงใด เทียบกับฉินปี้เทียนชางไห่ที่คุณชายมอบให้นางแล้ว ยังเลิศเลอวิเศษกว่ามากนัก


จากนั้นนางสงบจิตใจ ตั้งสมาธิ บรรเลงเพลงฉิน


ยามนี้นางต้องบรรเลงให้คุณชายฟัง ย่อมต้องบรรเลงลำนำที่ดีเยี่ยมที่สุด!


เพลงฉินไพเราะเสนาะหู นิ้วของเสี่ยวหยาเรียวยาวขาวนวล บรรเลงได้ยอดเยี่ยม หลี่จิ่วเต้าฟังแล้วยังพยักหน้าไม่หยุด พึงพอใจในตัวเสี่ยวหยามาก


‘นี่แหละคือพรสวรรค์!’ ลั่วสุ่ยคิดในใจอย่างอดไม่ได้


ภายใต้การชี้แนะของคุณชาย นางก็บรรเลงฉินเป็นแล้ว ทั้งยังก้าวหน้าว่องไวน่าเหลือเชื่อ กระนั้นเมื่อเทียบกับเสี่ยวหยา นางทอดถอนใจว่ามิอาจสู้ รู้ดีว่าห่างชั้นกันมากเพียงใด!


เสี่ยวหยาคือนักบรรเลงแต่กำเนิดอย่างแท้จริง นางได้ประจักษ์เห็นทุกสิ่ง รู้ว่าเสี่ยวหยาติดตามร่ำเรียนด้านฉินกับคุณชายได้ไม่นาน ความสำเร็จด้านฉินของเสี่ยวหยาในตอนนี้ อยู่ในจุดสูงส่งอย่างแท้จริง!


จากการคาดการณ์ของนาง ต่อให้เป็นเซียนฉินผู้บรรลุเซียนด้วยวิถีแห่งฉิน ลำพังความสามารถด้านฉินน่ากลัวว่ายังมิอาจเทียบเทียมเสี่ยวหยา


ความสามารถด้านฉินของเสี่ยวหยาสูงส่งยิ่งนัก!


“ไม่เลว ๆ!”


จบไปเพียงลำนำเดียว หลี่จิ่วเต้าก็เอ่ยชมเสี่ยวหยาไม่ขาดปาก ราวกับได้เห็นภาพเมื่อครั้งเขาเพิ่งหัดบรรเลงฉินจากตัวเสี่ยวหยา พรสวรรค์ด้านฉินของเสี่ยวหยาสูงมากจริง ๆ


“รอข้าสักเดี๋ยว”


เขาลุกขึ้น เดินเข้าไปในห้องเก็บหนังสือ แล้วนำหนังสือหนามากเล่มหนึ่งออกมา


“นี่คือสิ่งที่ข้าตกตะกอนได้จากการบรรเลงฉินทั้งหมด ข้างในมีบทเพลงฉินอยู่หลากหลาย วันนี้ขอมอบให้เจ้าทั้งหมด หวังว่าเจ้าจะก้าวหน้าได้กว่านี้!”


เขาเห็นแววในตัวเสี่ยวหยามากจริง ๆ นึกอยากรับเสี่ยวหยาเป็นศิษย์ขึ้นมาอีกครั้ง


ทว่าลงท้ายเขาก็ระงับความคิดนั้นไว้


รับศิษย์หรือไม่แตกต่างตรงไหน


เห็นได้ชัดว่ามิได้แตกต่างสักนิด


ในใจของเขา เขาเห็นเสี่ยวหยาเป็นลูกศิษย์แล้ว และเสี่ยวหยาก็ปฏิบัติต่อเขาดั่งเช่นอาจารย์อย่างเห็นได้ชัด รับเป็นศิษย์หรือไม่ เป็นเพียงพิธีการเท่านั้น


“ขอบคุณคุณชาย! เสี่ยวหยาจะพยายามฝึกการบรรเลงฉินให้ดี!”


เสี่ยวหยาบอกกับคุณชายด้วยท่าทางจริงจัง


ในใจของนาง คุณชายเปรียบเสมือนบุพาการีผู้ให้ชีวิตใหม่กับนาง และเป็นอาจารย์ของนางด้วย!


บุ๋งบุ๋ง~


ภายในบ่อน้ำ มัจฉาสัตมายาโผล่ขึ้นมาอีกครั้ง


มันมองเหตุการณ์ทุกอย่างด้วยตาละห้อย นึกในใจว่าเมื่อใดคุณชายจะหยิบคัมภีร์ความรู้ที่ตกตะกอนเล่มหนามาอยู่ตรงหน้ามัน แล้วมอบให้มันบ้าง!


ไม่ว่าจะเป็นความรู้ด้านใด มันเต็มใจรับไว้ทั้งหมด!


“มอบคัมภีร์ตุ๋นปลาให้เจ้า เจ้าจะรับไว้หรือไม่!”


เต่าชราเห็นสีหน้ามัจฉาสัตมายาก็รู้เลยว่ามัจฉาสัตมายาคิดสิ่งใดอยู่ มันส่งกระแสจิตให้มัจฉาสัตมายาจากด้านข้าง


บัดซบ!


เจ้าเต่าชราร้ายเงียบ!


มัจฉาสัตมายาถลึงตาใส่เต่าชราอย่างดุดัน เจ้าเต่าชราตัวนี้ช่างเลวร้ายยิ่งนัก!


อีกด้าน หลี่จิ่วเต้าสนทนาต่อกับพวกเสี่ยวหยาอยู่อีกพักใหญ่ แล้วจึงลุกออกจากศาลา เตรียมทำราเม็ง


เริ่มจากผสมแป้ง แล้วจึงนวดแป้ง


ระหว่างนี้ พี่ชายเสี่ยวหยาได้แต่อึ้งงัน


น่ากลัวเกินไปแล้ว!


คล้อยตามการนวดแป้งต่อไปของคุณชาย เขาเห็นกฎระเบียบสายแล้วสายเล่าปรากฏออกมา และถูกคุณชายนวดเข้าไปในแป้ง!


สิ่งเหล่านี้มิใช่กฎระเบียบธรรมดา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากฎระเบียบเหล่านี้มาจากที่ใด และเขาไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้คือกฎระเบียบของสิ่งใด กระนั้น เขารับรู้ได้อย่างชัดเจนว่ากฎระเบียบเหล่านี้สูงส่งวิเศษปานใด!


ถึงจะเคยไปเยือนอาณาจักรเก้าตอนบนมาแล้ว ได้สัมผัสกับกฎระเบียบในอาณาจักรเก้าตอนบน ทว่าเมื่อนำกฎระเบียบในอาณาจักรเก้าตอนบนมาเทียบกับกฎระเบียบในแป้งก้อนนั้น ไม่รู้ว่าห่างกันตั้งเท่าไร!


แม้กระทั่งกฎระเบียบในนครพิศวงที่เขาเคยอยู่มาก่อนยังเทียบชั้นมิได้เลย!


น่าสะพรึงชวนผวาเกินไปแล้ว!


ต้องรู้ว่านครพิศวงแห่งนั้นสยดสยองเป็นที่สุด เขารู้สึกว่าอาจเทียบชั้นได้กับภพเซียน กระนั้นสุดท้ายกลับเทียบไม่ได้เลย น่ากลัวยิ่งนัก!


“กฎระเบียบดึกดำบรรพ์ที่สุดในปฐพี!”


ภายในบ่อน้ำ ญาณหินโกลาหลในเขามอตะลึงเหลือคณา อดอุทานในใจมิได้


สวรรค์!


นี่มันได้เห็นสิ่งใดกัน!?


หลี่จิ่วเต้านวดแป้ง กลับนำร่องกฎระเบียบดึกดำบรรพ์ในฟ้าดินผืนนี้ออกมาได้หรือนี่!


เป็นไปได้อย่างไรกัน!?


มันไม่อาจเชื่อลงได้เลย หลังจากกาลเวลาอันยาวนานผ่านไป สิ่งแวดล้อมในปฐพีเปลี่ยนผันไปเรื่อย ๆ กฎระเบียบวิถีต่าง ๆ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ด้อยลงไปทุกยุคทุกสมัย


ไม่ว่าอยู่ที่ใด กฎระเบียบดึกดำบรรพ์ก็ไม่มีทางมีอยู่ ต้องเปลี่ยนผันอันตรธานไปตามกาลเวลา!


หลี่จิ่วเต้ากลับนำร่องกฎระเบียบดึกดำบรรพ์ที่สุดในฟ้าดินผืนนี้ออกมาได้อย่างง่ายดาย!


เรื่องนี้ทำให้มันตกใจสุด ๆ!
บทที่ 564

จะมิให้ญาณหินโกลาหลตกใจได้อย่างไร


กฎระเบียบดึกดำบรรพ์ที่ควรดับสูญไปกับกาลเวลาอันยาวนาน กลับถูกหลี่จิ่วเต้านำร่องออกมาได้อย่างง่ายดาย เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร?


หมายความว่า หลี่จิ่วเต้าอยู่เหนือพลังแห่งกาลเวลา ข้ามกลับไปยังยุคดึกดำบรรพ์ นำร่องกฎระเบียบในยุคดึกดำบรรพ์มายังยุคนี้!


สวรรค์ เขาต้องมีฝีมือความสามารถขนาดไหนกัน?


มันไม่เคยได้ยิน ไม่เคยพบเห็นมาก่อน!


น่ากลัวนัก ทั้งที่มันเห็นกับตาแล้วแท้ ๆ มันยังมิกล้าเลือกที่จะเชื่อ!


‘นี่คือบรรพาจารย์เต๋าแห่งโกลาหลหรือ!?’


มันเอ่ยในใจอย่างอดมิได้ ตะลึงเป็นอย่างยิ่ง หวนนึกถึงขอบเขตพลังอันเป็นตำนานในแดนบรรพโกลาหล


บรรพโกลาหลวิวัฒน์ทุกสิ่ง รวมถึงกฎแห่งมหาเต๋าก็วิวัฒนาออกจากบรรพโกลาหลด้วย


และบรรพจารย์เต๋าแห่งโกลาหลนั้น คือผู้ริเริ่มแห่งบรรพโกลาหล ผู้ริเริ่มแห่งมหาเต๋า สามารถเพิกเฉยต่อกฎระเบียบทั้งปวง ทำทุกสิ่งได้ตามใจชอบ


ขอบเขตระดับนั้นอยู่เหนือจินตนาการ ทลายทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งมีชีวิตในแดนบรรพโกลาหลล้วนอยากสำเร็จขอบเขตบรรพจารย์เต๋า ทว่าในกาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา ไม่เคยมีสิ่งมีชีวิตตนใดก้าวถึงขอบเขตนี้!


มันคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าวันหนึ่งมันจะได้เห็นการดำรงอยู่ระดับบรรพจารย์เต๋าโกลาหล!


มันตื่นเต้นมาก!


ต้องรู้ว่า แม้มันจะมาจากแดนบรรพโกลาหล แต่มันก็เป็นเพียงก้อนหินเล็ก ๆ ก้อนหนึ่งในแดนบรรพโกลาหลเท่านั้น ไม่ถือว่าสลักสำคัญอันใดในแดนบรรพโกลาหล


แต่แล้วมันซึ่งต้อยต่ำเพียงนั้น กลับได้พบคนระดับบรรพจารย์เต๋าโกลาหล จะมิให้มันตื่นเต้นได้อย่างไร!?


‘ฮ่า ๆ ข้าคิดว่าร่วงหล่นลงจากแดนบรรพโกลาหลเป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับข้า คิดไม่ถึงว่าจะเป็นวาสนาสูงสุดของข้า!’


มันหัวเราะในใจอย่างอดไม่ได้


ครานั้น มันร่วงหล่นลงจากแดนบรรพโกลาหล ล่องลอยอยู่ในอวกาศ สุดท้ายตกลงไปในอาณาจักรอวี้ซวี จนมันคิดว่าเป็นเรื่องโชคร้ายที่สุด


ถึงอย่างไร มันก็ต้องแยกจากแดนบรรพโกลาหลอันสูงส่งวิเศษ


แต่แล้วบัดนี้ มันไม่เหลือความคิดเช่นนั้นแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ มันรู้สึกโชคดีเป็นอย่างยิ่ง โชคดีที่มันร่วงหล่นจากแดนบรรพโกลาหล!


มิฉะนั้น มันไฉนเลยจะได้อยู่ข้างกายบรรพจารย์เต๋าโกลาหลท่านหนึ่ง


เป็นไปมิได้เลย!


“เกิดเรื่องกับแดนบรรพโกลาหล ต้องเกิดเรื่องแน่ ๆ…”


มันคิดในใจเงียบ ๆ


ถึงแม้มันจะมิรู้ว่าเกิดเรื่องใดในแดนบรรพโกลาหล ทว่ามันนั้นรู้ดี เกิดเรื่องในแดนบรรพโกลาหลจริง ๆ มีการเปลี่ยนแปลงจากเก่ามหาศาล


มิฉะนั้น มันคงไม่ร่วงหล่นลงจากแดนบรรพโกลาหล


รู้หรือไม่ สถานการณ์ในแดนบรรพโกลาหลนั้นพิเศษอย่างยิ่ง สิ่งมีชีวิตภายในนั้นทุกตน แม้กระทั่งผู้เปี่ยมอำนาจโกลาหลยังไม่อาจแยกตัวจากแดนบรรพโกลาหล แดนบรรพโกลาหลนั้นราวกับไม่มีชายแดน ไม่ว่าเดินอย่างไรก็ไม่อาจเดินออกจากแดนบรรพโกลาหลได้


ทว่ามันกลับร่วงหล่นจากแดนบรรพโกลาหล มันยังไม่รู้เลยว่าตนทำได้อย่างไร ครานั้น มีพายุพลังซัดสาดตัวมัน จากนั้น มันร่วงหล่นลงจากแดนบรรพโกลาหล ล่องลอยไปเรื่อยในอวกาศ


บ่งบอกว่าแดนบรรพโกลาหลเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ ไม่เหมือนเก่าอีกต่อไป!


“หลังจากนั้น ทุกคนเข้าออกได้ตามอำเภอใจหมดเลยใช่หรือไม่!?”


มันคิดอย่างอดมิได้ รู้สึกว่าแดนบรรพโกลาหลในภายหน้าคงทลายกฎที่ไม่อาจเข้าออกได้สำเร็จ กลายเป็นดินแดน ‘อิสระ’ เข้าออกได้อย่างเสรี


ทว่าเรื่องเหล่านี้สำหรับมันแล้วมิได้สำคัญอีกต่อไป


มันไม่สนว่าแดนบรรพโกลาหลกลายเป็นดินแดน ‘อิสระ’ แล้วหรือไม่ สิ่งมีชีวิตสามารถเข้าออกได้ตามใจหรือไม่ ถึงอย่างไรมันก็ไม่ไปไหนแล้ว มันขออยู่ในลานเล็กแห่งนี้ต่อ ขอติดตามอยู่ข้างกายบรรพจารย์เต๋าโกลาหลตลอดไป!


‘ฮ่าฮ่า ไม่แน่ว่าวันหน้าข้าอาจได้เป็นผู้เปี่ยมอำนาจโกลาหลด้วยก็ได้!’


มันคิดในใจอย่างหวานชื่น รู้สึกอนาคตของมันช่างสวยงาม การได้เป็นผู้เปี่ยมอำนาจโกลาหลใช่ว่าเป็นไปไม่ได้


ขณะเดียวกัน หลี่จิ่วเต้านวดแป้งเสร็จสิ้น กฎระเบียบดึกดำบรรพ์ในฟ้าดินถูกเขานวดเข้าไปในแป้งทั้งหมด


แม้พวกหลิงอินจะไม่รู้ว่า สิ่งเหล่านี้คือกฎระเบียบดึกดำบรรพ์ที่สุดในฟ้าดิน กระนั้นพวกเขารู้ดีว่ากฎระเบียบเหล่านี้วิเศษสูงส่งเพียงใด ราเม็งที่คุณชายต้มในคราวนี้ ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน คงต้องมหัศจรรย์อย่างที่สุด!


พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่า หลังพวกเขาได้กินราเม็งซึ่งผสมไปด้วยกฎระเบียบสูงส่งเช่นนี้แล้วจะได้ประโยชน์ขนาดไหน!


ทว่าเรื่องที่ไม่ต้องสงสัยเลยคือ พวกเขาต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหันต์ บอกลาตัวตนของพวกเขาในอดีตอย่างสิ้นเชิง!


หลังนวดแป้งเสร็จแล้ว ต่อมาคือการหมัก แป้งที่ผ่านการหมักจะเด้งและอร่อยยิ่งขึ้น และดึงเส้นบะหมี่ที่มีขนาดเท่ากันได้ง่ายยิ่งขึ้น


ช่วงหมักแป้ง หลี่จิ่วเต้ามิได้อยู่ว่าง ๆ เขาเปิด ‘ตู้เย็น’ หยิบเนื้ออสูรร้ายออกมา เริ่มปรุงเป็นเนื้อพะโล้


จะเห็นได้ว่า ยังมีเนื้อเหลือใน ‘ตู้เย็น’ อีกมาก ก่อนนี้พวกอ้ายฉานล่าอสูรร้ายกลับมาได้ไม่น้อย เหลืออีกมหาศาล


ราเม็งหนึ่งถ้วยนั้น เส้นบะหมี่สำคัญ หมูเคี่ยวก็สำคัญเช่นกัน วิถีมีดของหลี่จิ่วเต้าลื่นไหลดุจสายน้ำ ไม่นานนักก็หั่นเนื้ออสูร้ายชิ้นใหญ่เป็นเนื้อลูกเต๋าในขนาดเท่ากัน


จากนั้นเขาทำการตุ๋นเนื้อ


‘การได้ชมคุณชายทำอาหารก็เป็นวาสนาการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่เช่นกัน!’


พี่ชายเสี่ยวหยาคิดในใจอย่างอดไม่ได้


เมื่อครู่คราวคุณชายหั่นเนื้อ จังหวะแห่งเต๋าก่อเกิด แฝงไว้ด้วยปรมัตถ์วิถีมีดเกินหยั่ง เขาไม่เคลือบแคลงเลยว่า หากตรัสรู้จากสิ่งนี้ จนรู้แจ้งถึงวิถีมีด ย่อมต้องบดขยี้วิถีมีดขั้นเซียนได้อย่างง่ายดายแน่!


เขาอุทานด้วยความตะลึงไม่หยุดหย่อน นี่หรือคือขอบเขตพลังของคุณชาย?


ต่อให้คุณชายมิได้ตั้งใจแสดงวิถีมีด กระนั้นยามเขาตวัดอีโต้ ยังมีจังหวะแห่งเต๋าซึ่งก่อเกิดขึ้นเอง และปรมัตภ์แห่งวิถีมีดแผ่ออกมา


หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง กลิ่นหอมของเนื้อโชยชายออกจากห้องครัว ตลบอบอวลไปทั่วลานเล็ก


พี่ชายเสี่ยวหยากลืนน้ำลายอย่างอดไม่ไหว หลิงอิน ลั่วสุ่ย เสี่ยวหยาก็เช่นกัน สามารถได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของพวกนาง


แม้ว่าหลิงอิน ลั่วสุ่ย และเสี่ยวหยามิได้เพิ่งเคยได้กลิ่นหอมเนื้อตุ๋นครั้งแรก ซ้ำยังเคยกินอยู่หลายหน กระนั้นพวกนางก็ยังเป็นเหมือนคราวแรก ดื่มดำไปในกลิ่นหอมของเนื้อในพริบตา ความตะกละถูกกระตุ้นออกมาอย่างสิ้นเชิง


มอ~


ภายในลานเล็กข้างเคียง ลูกวัวน้อยส่งเสียงร้อง น้ำลายหยดลงจากปากที่อ้ากว้างลงบนพื้น เปียกชุ่มไปแถบใหญ่


“ท่านแม่ เหตุใดพวกเราต้องเกิดมากินหญ้าด้วย เหตุใดถึงไม่อาจเกิดมากินเนื้อ! ข้าก็อยากกินเนื้อ!”


ลูกวัวน้อยอยากกินถึงขีดสุด หากพวกมันเกิดมากินเนื้อได้ คุณชายคงไม่เอาแต่ป้อนหญ้าให้พวกมัน มันคงได้กินเนื้อที่คุณชายตุ๋น


ถึงแม้หญ้าที่คุณชายให้พวกมันกินนั้นวิเศษอย่างยิ่ง รสชาติเยี่ยมยอด ทว่าสิ่งที่ไม่อาจครอบครองย่อมสะกิดใจอยู่เสมอ ทุกครั้งที่คุณชายเริ่มตุ๋นเนื้อ มันรู้สึกอยากกินสักชิ้นอย่างยิ่งยวด


“ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน! เหตุใดพวกเราถึงมิใช่สัตว์กินเนื้อ!”


แม่ของลูกวัวน้อยอยากกินมากเช่นกัน น้ำลายหยดลงจากปากเหมือนกับมัน


บุ๋งบุ๋ง~


ภายในบ่อน้ำ เนตรของมัจฉาสัตมายากวาดมองปลาตัวอื่นอย่างเจ้าเล่ห์ ปลาเหล่านั้นกลัวจนหลบไปอยู่ในมุมหนึ่งของบ่อน้ำ อยู่ให้ห่างจากมัจฉาสัตมายา


สุดท้าย เนตรมรกตของมัจฉาสัตมายาจับจ้องอยู่ที่เต่าชรา จนเต่าชราขนลุกขนพอง


เต่าชรากางกรงเล็บเต่าออกไป ตบ ‘เพียะ’ เข้าที่หัวของมัจฉาสัตมายา สบถก่นด่า “เจ้าคงมิใช่ว่าอยากกินข้ากระมัง!?”


เนตรปลามรกตเล็ก ๆ นั่นราวกับอยากจะกลืนกินมันเข้าไปทั้งเป็น


“ขออภัย กลั้นมิไหวจริง ๆ อยากกินเนื้อขึ้นมา”


มัจฉาสัตมายารีบขอโทษขอโพย กลิ่นหอมของเนื้อทำให้มันอยากกินเนื้อ อยากตุ๋นปลาตัวอื่นรวมถึงเต่าชราในบ่อให้หมด!


ผ่านไปอีกระยะ กลิ่นหอมของเนื้อทวีคูณ รุนแรงยิ่งขึ้น เห็นได้ชัดว่าใกล้สุกแล้ว หลี่จิ่วเต้าหันมองแป้ง พบว่าแป้งก็หมักได้ที่แล้ว


เขาตั้งหม้อต้มน้ำ ก่อนจะเริ่มนวดแป้งอีกครั้ง หลังนวดแป้งเสร็จ เขาเริ่มยืดแป้ง ดึงแป้งที่เป็นก้อนให้กลายเป็นเส้นบะหมี่


เริ่มแรก บะหมี่มีเส้นใหญ่อย่างยิ่ง ทว่าหลังจากหลี่จิ่วเต้ายืดเส้นดึงเส้นไปเรื่อย ๆ บะหมี่เริ่มมีเส้นเล็กลง


หลังน้ำเดือด หลี่จิ่วเต้าโยนเส้นบะหมี่ที่ยืดเสร็จแล้วลงไปในหม้อ เพื่อทำการต้ม


เนื้อพะโล้ก็ตุ๋นเสร็จแล้วเช่นกัน


หลี่จิ่วเต้าตักเส้นบะหมี่เข้าไปในถ้วย แล้วราดด้วยเนื้อพะโล้ ทั้งยังตักเนื้อช้อนใหญ่ราดลงบนบะหมี่อีกด้วย


เขาจำได้ดีว่า เมื่อคราวกินราเม็งที่ดาวเคราะห์สีฟ้า เชาต้องหวังให้ทางร้านให้เนื้อเขาเยอะ ๆ ทุกครั้งไป แต่ทุกครั้งต้องจบลงด้วยความผิดหวัง ไม่เคยได้เนื้อเยอะเลย!


บัดนี้ เขาปรุงด้วยตัวเอง อย่างไรก็ต้องใส่เนื้อให้มาก!


“ลองชิมรสชาติดูว่าเป็นอย่างไร!”


หลังหลี่จิ่วเต้ายกราเม็งมาที่โต๊ะ ก็แบ่งให้คนละหนึ่งถ้วย ก่อนจะเอ่ยยิ้ม ๆ


“ได้!”


พวกลั่วสุ่ยเริ่มกิน แต่ละคนอร่อยไปกับมันอย่างยิ่งยวด เส้นบะหมี่นุ่มเด้งน่าเคี้ยว ชิ้นเนื้อกินแล้วหอมกรุ่นมิรู้วาย ลำพังคำว่าอร่อยพอให้นิยามที่ไหน!


บะหมี่แต่ละเส้นล้วนมีกฎระเบียบดึกดำบรรพ์แฝงไว้ หลังลงไปถึงท้อง พวกเขารู้สึกได้ว่ากฎระเบียบดึกดำบรรพ์นี้หลอมละลายเข้าไปในร่างพวกเขาอย่างสมบูรณ์!


พวกเขามีร่างระเบียบกันแล้ว!


ใช่แล้ว ร่างระเบียบ!


ตัวพวกเขาเองคือกฎระเบียบ ซ้ำยังเป็นกฎระเบียบสูงส่งวิเศษที่สุด พลังและกฎระเบียบในปฐพีนี้ล้วนเป็นของพวกเขา รับคำสั่งจากพวกเขา!


สำหรับพวกเขา นี่คือผลประโยชน์สูงสุด!


พวกเขาได้บอกลาอดีตอย่างแท้จริง ยามนี้ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ด้วยร่างระเบียบดึกดำบรรพ์นี้ ต่อให้พวกเขาไม่บำเพ็ญวิชาใด ๆ ก็สามารถดูดกลืนสสารฝึกฝนในปฐพีนี้อย่างรวดเร็ว เสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวพวกเขา รวมถึงขอบเขตพลัง!


หากพวกเขารีดเร้นวิชา ย่อมดูดกลืนได้เร็วยิ่งขึ้น และสิ่งสำคัญที่สุดคือ พวกเขาไม่ต้องกลัว ‘ตัวแตก’!


ร่างระเบียบดึกดำบรรพ์ช่วยให้พวกเขากลั่นสสารฝึกฝนที่ดูดกลืนเข้าร่างกายได้อย่างรวดเร็ว เปลี่ยนให้กลายเป็นพลังของตัวพวกเขาเอง!


นอกจากนี้ ร่างระเบียบดึกดำบรรพ์นี้ยังช่วยให้พวกเขาได้เปรียบระหว่างต่อสู้กับศัตรู!


พวกเขาสามารถออกคำสั่งบงการกฎระเบียบในฟ้าดินนี้ วาจาเดียวตัดการเชื่อมต่อระหว่างศัตรูและกฎระเบียบ สำหรับศัตรู ถือเป็นความวิบัติอย่างไม่ต้องสงสัย


ตัดการจากกฎระเบียบ หมายความว่าพลังอาคมของศัตรูถูกตัดขาดไปด้วย ไม่อาจใช้พลังอาคมได้อีก!


“คุณชายก็คือคุณชาย!”


“นี่เป็นเพียงราเม็งถ้วยหนึ่งเท่านั้น!”


พวกเขาต่างสะท้านใจเหลือแสน ราเม็งถ้วยเดียว คุณชายก็มอบความสามารถที่แทบจะไร้เทียมทานแก่พวกเขา ช่างน่าเหลือเชื่อเป็นที่สุด!


บุ๋งบุ๋ง~


“ขอข้ากินด้วยสักคำได้หรือไม่ แค่ซดน้ำสักคำก็ยังดี!”


มัจฉาสัตมายาอยากกินจนน้ำลายไหลไม่หยุด มองตาละห้อย นึกในใจว่าเมื่อใดมันจะได้ซดราเม็งบ้างเล่า!


ต่อให้เป็นราเม็งเพียงเส้นเดียว หรือน้ำเพียงคำเดียว มันก็พอใจแล้ว!
บทที่ 565

กฎระเบียบดึกดำบรรพ์เข้าร่าง สำเร็จร่างระเบียบ นี่คือต้นทุนแห่งความไร้เทียมทาน รู้เลยว่า หลังพวกหลิงอินสำเร็จร่างระเบียบจนสมบูรณ์เมื่อใด พวกเขาย่อมไร้เทียมทาน กวาดล้างได้ทุกสิ่ง!


แน่นอนว่า ร่างระเบียบของพวกเขาในยามนี้ยังมิสู้จะสมบูรณ์เท่าใด ไม่ทันได้ผสานเป็นหนึ่งกับกายเนื้อพวกเขาอย่างสมบูรณ์ ยังต้องใช้เวลาอยู่


หลี่จิ่วเต้าซดราเม็งไปพลาง สนทนาสัพเพเหระกับพวกหลิงอินไปพลาง จบอาหารค่ำมื้อนี้ไปท่ามกลางเสียงหัวเราะ


สุดท้าย หลิงอิน เสี่ยวหยา และพี่ชายเสี่ยวหยาบอกลา พร้อมกลับออกไป


หลังกลับถึงบ้านหลิงอิน พี่ชายเสี่ยวหยาหยิบหนังสือที่นำกลับมาจากบ้านคุณชายออกมาอย่างทนรอมิไหว พลิกอ่านเนื้อหา


หนังสือแต่ละเล่มล้วนน่าทึ่งจนสะท้านโลกันตร์ พี่ชายเสี่ยวหยาพลิกอ่านไปมา จนกลายเป็นเหมือนตัวเอกในนิทาน เข้ามาอยู่ในโลกหนังสืออันกว้างใหญ่ไพศาล เดินเหินอยู่ภายในนั้น!


เล่มแล้วเล่มเล่า แต่ละเล่มล้วนมีโลกไพศาลที่ต่างออกไป พี่ชายเสี่ยวหยาก้าวเดินในโลกหนังสือที่แตกต่างกันไป สัมผัสประสบการณ์ ‘ชีวิต’ ที่แตกต่างกันไป จิตใจของเขา หทัยเต๋าของเขา ล้วนยกระดับอย่างรวดเร็ว!


เขาสัมผัสได้ถึงการบรรลุยกระดับของหทัยเต๋า จากขอบเขตสูงสุดไปยังขอบเขตจักรพรรดิ แล้วจากขอบเขตจักรพรรดิไปยังขอบเขตเทียนตี้ บรรลุไวยิ่ง จนท้ายที่สุด เขารู้สึกเหมือนตัวเองมี ‘หทัยเซียน’ แล้วในตอนนี้!


นี่คือระดับจิตใจอันเหนือกว่าขอบเขตเทียนตี้ เขาตรัสรู้เต๋าได้ในพริบตา เข้าสู่สภาวะที่สูงยิ่งขึ้น วิชาอภินิหารซับซ้อนล้ำลึกทั้งหลาย ต่างง่ายดายขึ้นเมื่ออยู่ในสภาวะนี้ มิได้เหลือความยากแม้แต่น้อย!


แม้กระทั่งวิชาเทียนตี้ก็เช่นกัน ง่ายลงในพริบตา!


เขาเคยฝึกฝนวิชาเทียนตี้อยู่แขนงหนึ่ง ทว่าฝึกไม่ถึงช่วงปลาย เพราะยากลำบากเกินไป เขาไม่อาจเข้าใจรู้แจ้งได้


บัดนี้ เขาหวนนึกถึงวิชาเทียนตี้แขนงนั้น เหลือความยากอยู่ที่ไหน เขาจับใจความสำคัญของปรมัตถ์ได้อย่างง่ายดาย ง่ายเสียจนเสมือนเป็นการกินข้าวดื่มน้ำเท่านั้น


เขารู้สึกว่าระดับจิตใจเช่นนี้เป็นไปได้ว่าจะเป็นจิตตานุภาพแห่งเซียน!


‘ขอบคุณคุณชาย!’


เขากล่าวขอบคุณคุณชายในใจอย่างขึงขัง


หลังได้สัมผัสประสบการณ์ของชีวิตในหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่า เขารู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง หวนรำลึกถึงประสบการณ์เลวร้ายมืดมนที่ถูกความพิศวงเข้าพัวพัน ความรู้สึกของเขาเรียบนิ่งดั่งน้ำนิ่ง ปราศจากความสั่นไหว มิได้ถลำลึกอยู่ในนั้นจนไม่อาจก้าวข้ามพ้นมา


สำหรับเขา นี่คือบุญคุณใหญ่หลวง!


หากไม่อาจก้าวออกจากความทรงจำเลวร้ายมืดมนนั้น เป็นไปได้ว่าเขาอาจถลำลึกลงไปเรื่อย ๆ จนท้ายที่สุดกลายเป็นอย่างไร เขาเองยังไม่อาจแน่ใจ ไม่อาจควบคุม


เขาขอบคุณคุณชายเหลือเกิน ช่วยให้เขาบอกลาประสบการณ์เลวร้ายมืดมนนั้นได้อย่างสิ้นเชิง ก้าวหน้าสู่แสงสว่างได้อย่างแท้จริง!


...


ภายในจักรวาลอันมืดมิด ‘ศพ’ ยับเยินร่างพรุนศพหนึ่งลอยละล่อง นางมีบาดแผลเต็มกาย เรือนร่างผิดรูป โลหิตสกปรกเปรอะเปื้อนอยู่เต็มหน้า


ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น โลหิตเหล่านั้นก็ยากจะปกปิดความงามของนาง ดูออกว่านางมีโฉมสะคราญ พริ้มเพราไม่เป็นรองผู้ใด


ทันใดนั้น ขนตายาวเป็นแพของนางกระดิก จากนั้น ลำแสงเจิดจ้ามากมายพวยพุ่งออกจากทั่วร่าง ส่องสว่างไปทั้งจักรวาล!


นางมิใช่ ‘ศพ’ นางยังมีชีวิตอยู่!


จากนั้น พลันเห็นว่าตัวนางมีปราณเซียนแผ่ซ่าน ปราณชีวิตล้นหลามน่าทึ่งขยายออกไป ส่วนที่ขาดหายไปจากเรือนร่างของนางเริ่มมีเลือดเนื้อใหม่งอกออกมาอย่างรวดเร็วโดยมีแสงเซียนห้อมล้อม ขาวนวลเนียนผ่องยิ่งกว่าผิวเด็กแรกเกิดเสียอีก!


นางลืมตาขึ้น ประกายเซียนสองลำทะลุออกไปในอวกาศ พลังปราณของนางน่าประหวั่นพรั่นพรึงเป็นที่สุด ดวงดาวทั่วทั้งจักรวาลสั่นไหวอย่างรุนแรงตามการขึ้นลงของลมหายใจนาง!


“มิใช่ฝัน มิใช่ภาพมายา ทั้งหมดคือเรื่องจริงหรือนี่!”


ริมฝีปากแดงชาดของนางเปิดออกเล็กน้อย จากที่เคยมีสายตาสับสน ก็ค่อย ๆ เด็ดเดี่ยวขึ้น


สุดท้าย นางลุกยืน แสงเซียนเวียนว่ายรายล้อม สูงส่งบริสุทธิ์


นางคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่า ภาพที่เคยเห็นนอกขอบแดนภพเซียนจะเป็นความจริง!


เด็กหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งดูภายนอก ‘ธรรมดาดาษดื่น’ แท้จริงแล้ว มิรู้ว่าน่ากลัวเพียงใดเดินผ่านชั้นบรรยากาศด้านบน พลังสยดสยองน่ากลัวรอบนอกเขตแดนภพเซียนล้วนตื่นกลัวจนหดหนีกลับไปในทันที!


เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อสำหรับนางอย่างยิ่ง จนนางเคยเข้าใจว่าเป็นเพียงความฝัน เป็นภาพมายาที่นางสร้างขึ้นเพราะปรารถนาจะอยู่รอดภายใต้พลังอันสยดสยองน่ากลัวนั้น


บัดนี้ นางได้สติสมบูรณ์ ตระหนักถึงทุกอย่าง ภาพที่นางได้เห็นมิใช่ความฝัน มิใช่ภาพมายา หากแต่เกิดขึ้นจริง ๆ!


เด็กหนุ่มผู้นั้นมีตัวตนอยู่จริง ๆ นางก็ยังรอดอยู่จริง ๆ เดินออกจากพลังอันสยดสยองน่ากลัวนั้นได้แล้ว!


“คนผู้นั้นเป็นใครกันแน่!”


นางยังนึกหวาดผวาอยู่ไม่น้อย จนบัดนี้เมื่อนึกย้อนกลับไป หนังศีรษะยังชาวาบ น่ากลัวเกินไปแล้ว เด็กหนุ่มผู้นั้นขอบเขตพลังอยู่ระดับใดกัน!?


นางมิกล้าจินตนาการ และจินตนาการไม่ออก


นางก็คือจักรพรรดินีอนันตกาล หลังจากล่องลอยอยู่ในอวกาศมาสักพัก ก็ฟื้นสภาพจากอาการบาดเจ็บสาหัส


นี่คือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของนาง แม้ว่าบาดเจ็บหนักหนา จนจิตสำนึกตกสู่ห้วงนิทรา กระนั้นยังมีพลังคอยโคจรอยู่ในร่างกาย ซ่อมแซมส่วนสึกหรอด้วยตัวเอง


หลังจากผ่านไปแล้วเนิ่นนาน นางถึงสงบจิตใจลงได้


“ไปเถิด ไปทำภารกิจของข้าให้สำเร็จ กอบกู้อิสรภาพของข้า มุ่งบรรลุสู่ขอบเขตสูงขึ้น!”


น้ำเสียงของนางแน่วแน่ ย่างกรายคราเดียวไม่รู้ก้าวพ้นดวงดาวไปตั้งเท่าไร นางต้องไปตามหาซี นำสิ่งที่ตระกูลเซียวต้องการกลับมา เพื่อแลกกับอิสรภาพของนาง


หากไร้ซึ่งอิสรภาพ อยู่ใต้บัญชาผู้อื่น นางไม่มีทางบรรลุสู่ขอบเขตสูงขึ้น และไม่มีทางคืนชีพอาจารย์ของนางกลับมา


ดอกไม้ยังอยู่ ทว่าผู้ที่คอยเด็ดบุปผาเป็นเพื่อนนางกลับไม่อยู่แล้ว…


นางต้องเปลี่ยนแปลงตอนจบนี้!


นางต้องการให้อยู่ทั้งคน ทั้งบุปผา!


...

ภายในจักรวาลกว้างใหญ่ไพศาล ท่ามกลางอาณาจักรมากมายซึ่งไม่เป็นที่รู้จัก ทว่าเก่าแก่ทรงพลังอย่างยิ่งยวด คึกคักไม่น้อยหน้ากันแม้แต่น้อย และเดือดดาลไม่น้อยหน้ากันแม้แต่น้อย


“ถูกสิ่งมีชีวิตท้องถิ่นกำราบไว้ได้รึ ซ้ำยังเป็นการกำราบแบบบดขยี้ น่าขายหน้าเกินไปแล้ว!”


“หากเป็นสิ่งมีชีวิตท้องถิ่นในยุคโบราณยังไม่เท่าใด สิ่งมีชีวิตท้องถิ่นในยุคสมัยนี้มีความสามารถที่ไหน ต้อยต่ำยิ่งกว่ามดปลวกด้วยซ้ำ ยังกล้าร่างกฎ จำกัดพวกเราอีกหรือ!?”


“สิ่งมีชีวิตท้องถิ่นอันต่ำต้อยไร้ความเจริญริอ่านเป็นปรปักษ์กับเรา คิดกระไรอยู่! พวกเขาต้องหลั่งเลือดแห่งความสำนึกเสียใจ!”


...


เสียงเยียบเย็นดังออกจากอาณาจักรเก่าแก่เหล่านั้น พวกเขาพากันออกเดินทาง ก้าวสู่เส้นทางที่เชื่อมตรงกับอาณาจักรนั้น มุ่งหน้าไปที่นั่น


ฐานทัพของพวกเขาในอาณาจักรนั้นถูกพวกตงฟางเวิ่นบุกทะลวงเข้าไป ต่อมาถูกเมิ่งจีผนึกเส้นทาง พวกเขารู้สึกถึงการท้าทาย แต่ละคนจิตสังหารรุนแรงไม่แพ้กัน


ไปเยือนครานี้ พวกเขาย่อมไม่ยอมจบอย่างสันติ จักก่อการเข่นฆ่าห้ำหั่นให้ได้


“ถูกคนทรยศคนหนึ่งโจมตีจนไม่อาจขัดขืน พวกเจ้าทำหน้าที่กันอย่างไร? อย่างที่คิด สิ่งแวดล้อมสงบสุขรังแต่จะทำให้พวกเจ้าไม่ได้เรื่องขึ้นเรื่อย ๆ…”


เสียงแค่นจมูกเย็น ๆ ดังออกจากอาณาจักรฮวงเฉวียน เจ้าแห่งอาณาจักรนั้นไม่พอใจเป็นอย่างมาก


พวกเขาเป็นใครกัน?


พวกเขาคือเพชรฆาตในรัตติกาล คือฝันร้ายของสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรทั้งปวง สิ่งมีชีวิตที่พวกเขาหมายหัว มิมีตนใดรอด!


เอ่ยอย่างไม่เกินจริง พวกเขาคือนักล่าแห่งอาณาจักรทั้งปวง สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรทั้งปวงคือเหยื่อของพวกเขา!


และสมาชิกของพวกเขาในอาณาจักรนั้น กลับไร้น้ำยาถึงเพียงนี้ ถูกคนทรยศผู้หนึ่งฝ่าเข้าไปถึงฐานหลัก กวาดล้างข้อมูลไปนับคณา ซ้ำยังถูกสะกดเส้นทางอีกด้วย!


เจ้าแห่งอาณาจักรไม่พอใจอย่างยิ่ง!


“บุกเข้าไป ศักดิ์ศรีของอาณาจักรฮวงเฉวียนไม่ยอมให้ผู้ใดหยามเหยียด!”


เจ้าแห่งอาณาจักรแค่นเสียงเย็น นำทัพด้วยตนเอง กรีธาสู่อาณาจักรนั้น


...


ผ่านไปอีกหลายวัน จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงนำกองกำลังที่ระดับสูงแห่งแดนสังสารวัฏเตรียมไว้สำหรับเขาไปตามเส้นทางสังสารวัฏ และมาถึงจุดสิ้นสุด


“หืม เกิดอะไรขึ้น?”


จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงขมวดคิ้ว พวกเขาประสบปัญหา ทางเข้าเส้นทางด้านนี้ถูกพลังบางอย่างผนึกไว้!


นี่มันเรื่องอะไรกัน


ผู้ใดผนึกเส้นทางสังสารวัฏเส้นนี้กัน?


ก่อนนี้เขาไม่รู้มาก่อนว่าเส้นทางสังสารวัฏถูกผนึก และไม่รู้ว่าเส้นทางเชื่อมโลกภายนอกในอาณาจักรนั้นถูกผนึกไปแล้วทั้งสิ้น


ก่อนหน้านี้ แดนสังสารวัฏทำศึกกับอาณาจักรเก้าแดนต้องห้ามอยู่ตลอด รับข่าวสารไม่ทันท่วงที มีเหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้นโดยพวกเขาไม่รู้


“พลังผนึกนี้ไม่ธรรมดา กระนั้นมิได้เกินกำลังข้า!”


จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงลงมือ เรียกกระดานหมากล้อมออกมา สำแดงตาเดินหมากล้อมที่คุณชายเคยชี้แนะ ใช้พลังตาเดินในการทลายผนึกนี้


เขาต้องไปพบคุณชาย ไฉนเลยจะยอมให้ผนึกนี้เข้ามาขวาง


แต่ว่ากันตามตรง พลังผนึกนี้สุดยอดยิ่งนัก หลังเขาสำแดงพลังตาเดินออกมาแล้ว กลับไม่อาจทลายผนึกนี้ในทันที


‘จนป่านนี้ ในอาณาจักรนั้นยังมียอดฝีมือระดับนี้อยู่อีกหรือ’ เขาคิดในใจอย่างอดไม่ได้


ด้วยระดับฝีมือวิถีหมากล้อมของเขาในยามนี้ เมื่อได้สำแดงตาเดินที่คุณชายชี้แนะ แม้กระทั่งเทียนตี้ยังมิใช่คู่ต่อสู้ เขาไม่อาจทลายผนึกนี้ในทันที เป็นที่ตะลึงสำหรับเขาอย่างยิ่ง


สิ่งแวดล้อมในอาณาจักรนั้นเลวร้ายปานนี้ เหตุใดถึงยังมียอดฝีมือระดับนี้ถือกำเนิดขึ้นมาได้?


“หรือจะเกี่ยวข้องกับคุณชาย!”


เขายั้งมือในบัดดล เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นในใจ


สิ่งแวดล้อมเลวร้ายเยี่ยงนี้ โดยสถานการณ์ทั่วไป ยากจะมียอดฝีมือระดับนี้ถือกำเนิดขึ้น ทว่า คุณชายอยู่ในอาณาจักรนั้น เป็นไปได้ว่ายอดฝีมือระดับนี้เป็นผู้ที่คุณชายอบรมสั่งสอน


‘คงมิใช่ คุณชายรู้ว่าข้าอยู่ในแดนสังสารวัฏ ไม่จำเป็นต้องผนึกเส้นทางที่เชื่อมกับแดนสังสารวัฏ ถึงอย่างไร ข้าก็มียศมีบรรดาศักดิ์ในแดนสังสารวัฏ!’ เขาคิดในใจ


มีเขาคอยรับใช้คุณชายอยู่ที่แดนสังสารวัฏ การผนึกเส้นทางสังสารวัฏเส้นนี้หาได้มีความจำเป็นไม่ มิหนำซ้ำ แม้ว่าผนึกนี้จะทรงพลัง กระนั้นก็มิได้เท่าไร ไม่เป็นประโยชน์มากนัก


อย่าว่าแต่สมาชิกระดับสูงในแดนสังสารวัฏเลย แม้แต่เขาในตอนนี้ยังสามารถทลายผนึกนี้ได้ ผนึกนี้ออกจะปวกเปียกไปหน่อย เขารู้สึกว่าคงมิได้เกี่ยวข้องกับคุณชาย


“คงเป็นฝีมือสิ่งมีชีวิตจากเก้าแดนต้องห้าม!”


ดวงตาของเขาลุกวาว นึกถึงเก้าแดนต้องห้าม


เบื้องหลังเก้าแดนต้องห้ามคืออาณาจักรเก้าแดนต้องห้าม เป็นไปได้ว่าอาณาจักรต้องห้ามออกคำสั่งต่อเก้าแดนต้องห้าม สั่งให้เก้าแดนต้องห้ามผนึกเส้นทางสังสารวัฏเส้นนี้ เพื่อป้องกันมิให้สมาชิกแดนสังสารวัฏเข้ามา


ความเป็นไปได้นี้สูงนัก!


หากคุณชายต้องการผนึกเส้นทางสังสารวัฏ ผนึกนั้นย่อมมิอาจทลาย เพราะอย่างนั้น เขาจึงยิ่งมั่นใจว่าเป็นฝีมือเก้าแดนต้องห้าม


คิดมาถึงนี่ เขาลงมือต่อ เข้าจู่โจมด้วยพลังตาเดินหมากล้อม


แม้ว่าผนึกนั้นทรงพลัง ทว่าไม่อาจกีดขวางเขาได้ ใช้เวลาเพียงไม่นาน ผนึกนี้ก็ถูกเขาทลายออก


ขณะเดียวกัน เมิ่งจีรับรู้ได้ในทันทีว่าด้านแดนสังสารวัฏมีบางอย่างผิดปกติ


เขารีบติดต่อตงฟางเวิ่น และบอกเล่าเหตุการณ์นี้กับตงฟางเวิ่น


“คนจากแดนสังสารวัฏมาหรือ? ดี ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”


ตงฟางเวิ่นตอบ ก่อนจะรุดหน้ามาอย่างรวดเร็ว