การจัดการต้าเต๋อและแทนที่พระอมิตาภะพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ต้องทำในอนาคต
สิ่งที่เซียวฮุ่ยต้องทำในตอนนี้คือการวางรากฐานของตนเอง และเปลี่ยนให้พุทธภูมิเก้าประทีปกลายเป็นแดนฝอของนาง
หลังจากนั้นนางก็ออกเดินทางพร้อมกับพระเก้าประทีปพุทธเจ้า เริ่มดำเนินแผนการ
…
ณ แดนหยิน เหยียนโจว บูรพาทิศ
เขาไท่หัว
มีนาวาล่องนภาลำหนึ่งปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า
“รวดเร็วยิ่งนัก!”
เสี่ยวหยาถอนหายใจออกมา อาณาจักรอวี้ซวีอยู่ห่างไกลจากที่นี่เป็นอย่างยิ่ง การที่พวกนางกลับมาถึงได้รวดเร็วเพียงนี้ เป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายของนาง พลังของกระจกโบราณช่างน่าตื่นตะลึงยิ่งนัก!
ก่อนหน้านี้นางกับหลิงอินต้องใช้เวลาไปพอสมควรในการเดินทางไปยังอาณาจักรอวี้ซวี
“เอาล่ะ เอาล่ะ หากพวกเจ้าต้องการความช่วยเหลือ เพียงแค่เรียกหาข้า ข้าพร้อมจะปรากฏตัวออกมาเสมอ!”
เสียงของกระจกโบราณดังขึ้น
มันไม่ธรรมดา ทั้งยังน่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง จะอาณาจักรนับหมื่นหรือแม้กระทั่งภพเซียน มันใช้เวลาเพียงแค่พริบตาเดียวก็ไปถึงโดยไม่ต้องคำนึงสถานที่และระยะทาง
แน่นอนว่าเดิมทีมันไม่ได้ทรงพลังถึงเพียงนี้ ทว่าหลังจากอยู่ในมือของหลี่จิ่วเต้าแล้ว มันก็แข็งแกร่งขึ้นมา ทั้งยังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่อาจจะจิตนาการได้
“ลั่วสุ่ย!”
ในขณะนั้นเอง ก็มีร่างหนึ่งทะยานออกจากด้านในสำนักไท่หัว มุ่งตรงไปหาลั่วสุ่ย
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจ้าไม่ให้ข้ากลับไปหาคุณชายด้วย ที่แท้เจ้าก็ไม่มีเจตนาดี วางแผนเอาไว้แต่แรก!”
ร่างนั้นกล่าวออกมาอย่างฉุนเฉียว
นางไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเซี่ยเหยียน ญาณสัมผัสของนางเองก็ทรงพลังเป็นอย่างมาก ทันทีที่นาวาล่องนภาปรากฏออกมานางก็สามารถสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ จึงรีบออกมาจากสำนักทันที
หลังจากเห็นลั่วสุ่ยแล้ว นางก็รู้สึกฉุนเฉียวขึ้นมา เพราะรู้มาจากหยวนอีว่าลั่วสุ่ยได้กลายเป็นผู้หญิงขอบคุณชายไปแล้วในคืนของวันที่กลับไปจากสำนักไท่หัว!
ยามนั้นนางกล่าวว่าจะกลับไปพร้อมลั่วสุ่ยด้วย แต่ลั่วสุ่ยยืนกรานปฏิเสธ ที่แท้ลั่วสุ่ยก็วางแผนเอาไว้นานแล้ว!
“ต่อหน้าคุณชาย ข้าจะสามารถวางแผนอะไรได้? อีกอย่างต่อให้วางแผนไว้แล้วจะสามารถซ่อนจากคุณชายได้เช่นไร? เซี่ยเหยียน เจ้าคิดมากไปเอง ทั้งหมดล้วนเป็นความต้องการของคุณชาย!”
ลั่วสุ่ยไม่ปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นต่อหน้าเซี่ยเหยียน นางกับเซี่ยเหยียนไม่ค่อยลงรอยกันมาตั้งแต่ต้น การได้เห็นเซี่ยเหยียนไม่มีความสุขเช่นนี้ นางจะปฏิเสธด้วยเหตุใด
ไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่
นางชอบจะได้เห็นเซี่ยเหยียนแสดงท่าทางฉุนเฉียวออกมา!
หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น เซี่ยเหยียนที่เดิมทียังคงฉุนเฉียวถึงกับนิ่งค้างจนตัวแข็ง
ใช่แล้ว ต่อหน้าคุณชาย ไม่มีสิ่งใดสามารถปิดบังซ่อนเร้นได้อย่างแน่นอน!
นางอึดอัดคับข้องใจเป็นอย่างมาก มากเสียจนพูดอะไรไม่ออก
“ไปกันเถอะเสี่ยวชี!”
เมื่อเห็นเซี่ยเหยียนนิ่งค้างไปแล้ว ลั่วสุ่ยก็เบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง นางเรียกมัจฉาสัตมายาให้ออกเดินทางจากเขาไท่หัวกลับไปยังเมืองชิงซานด้วยกัน
“อย่าไปฟังเรื่องไร้สาระของนาง ความจริงไม่มีเรื่องอะไร”
หลิงอินกล่าว “นางเพียงแค่ยั่วโมโหเจ้า ทว่าเจ้ายังมองไม่ออก!”
อย่างไรเสียเซี่ยเหยียนก็ยังเยาว์วัย แม้ว่าเทียบกับก่อนหน้านี้จะโตขึ้นมากแล้ว แต่ก็ยังคงไม่เพียงพออย่างเห็นได้ชัด ไม่เช่นนั้นนางคงไม่โดนยั่วโมโหเช่นนี้
เซี่ยเหยียนได้ฟังคำของหลิงอินแล้วก็หัวเราะออกมา นางเชื่อที่หลิงอินกล่าวมา
“ไป พวกเราเข้าไปคุยกันเถอะ ข้าต้องการความช่วยเหลือจากสำนักของเจ้า”
หลิงอิน เสี่ยวหยา และเซี่ยเหยียนพากันเดินเข้าไปในสำนักไท่หัว
หลังจากนั้นหลิงอินก็เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ให้เซี่ยเหยียนฟัง หวังว่าสำนักไท่หัวจะสามารถจัดหาสถานที่ดี ๆ สำหรับเผ่าจิ้งจอกสวรรค์
“ไม่มีปัญหา”
เซี่ยเหยียนเชิญเวิงอู๋โยวให้มาหา เวิงอู๋โยวเป็นบรรพชนของสำนักไท่หัว คุ้นเคยกับแดนบูรพาทิศมากกว่าเซี่ยเหยียน
“มีสถานที่ดี ๆ อยู่!”
เวิงอู๋โยวมีความเข้าใจในพื้นที่ของแดนบูรพาทิศเป็นอย่างดี เขาสามารถนึกสถานที่ตั้งถิ่นฐานอันเหมาะสมของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ได้อย่างรวดเร็ว
สำนักไท่หัวในตอนนี้เปี่ยมอำนาจอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ในแดนบูรพาทิศเท่านั้น ยังนับรวมทั่วทั้งเหยียนโจวด้วย
ก่อนหน้านี้สำนักไท่หัวยังคงต้องหาที่พึ่งพาอาศัย ทว่าตอนนี้สำนักไท่หัวไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผู้ใดแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงเซี่ยเหยียนที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก สมาชิกคนอื่น ๆ ในสำนักไท่หัวเองก็เติบโตขึ้นด้วยความรวดเร็ว ตอนนี้ความแข็งแกร่งโดยรวมของพวกเขานั้นมากเสียยิ่งกว่ากองกำลังใด ๆ ในเหยียนโจว
“ดียิ่ง!”
พวกหลิงอินตามเวิงอู๋โยวไปยังสถานที่แห่งนั้น ก่อนจะตั้งรกรากให้กับเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ นับว่าเป็นการตัดความกังวลอย่างหนึ่งของหลิงอินทิ้งไปได้
ชะตากรรมของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์น่าเศร้าเกินไป ทั้งหมดเป็นเพราะลักษณะตั้งแต่กำเนิดที่สามารถยั่วยวนเพศตรงข้ามได้มากไป ทำให้เผ่าจิ้งจอกสวรรค์มักถูกผู้ที่แข็งแกร่งกว่าจับตัวไปเสมอ ใช้ชีวิตทุกวันด้วยความหวาดกลัว
“หลังจากนี้พวกเจ้าก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว ข้าเองก็จะมาหาพวกเจ้าบ่อย ๆ!”
หลิงอินกับเสี่ยวหยากล่าวอำลาเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ จากนั้นพวกนางก็กลับไปยังเมืองชิงซาน
ฟ่านหยาเจ๋อพี่ชายของเสี่ยวหยาอยู่บนนาวาล่องนภาไม่ออกมาจนกระทั่งถึงเมืองชิงซาน
เขาพักฟื้นมาตลอดทาง เมื่อถึงเมืองชิงซานแล้วจึงค่อยออกมาจากด้านในนาวาล่องนภา
หลังจากเดินไปถึงข้างแม่น้ำสายเล็ก หลิงอินและเสี่ยวหยาก็พาเขาไปทักทายต้นหลิวและเจ้าก้อนหิน ก่อนจะเข้าไปยังเมืองชิงซาน
“พี่ชายทำความคุ้ยเคยกับสภาพแวดล้อมก่อนเถอะ อีกหลายวันถัดไปข้าค่อยพาท่านไปพบคุณชาย!”
เสี่ยวหยากล่าวกับพี่ชายของนาง
นางไม่ได้ปิดบังอะไรกับพี่ชาย เล่าเรื่องราวทุกอย่างให้ฟัง พี่ชายของนางจึงรู้จักตัวตนของคุณชาย
“ตกลง!”
ฟ่านหยาเจ๋อพยักหน้า เขาเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านของหลิงอิน
อีกด้านหนึ่ง ลั่วสุ่ยกับมัจฉาสัตมายาก็พาผู้เฒ่าเต่ากลับไปยังลานเล็ก ๆ ของคุณชาย
พวกเขาออกมาจากสำนักไท่หัวก่อนผู้อื่น แต่ก็ไม่ได้ตรงกลับไปเมืองชิงซานทันที เพราะระหว่างทางลั่วสุ่ยและมัจฉาสัตมายาต้องบอกกล่าวสถาการณ์และข้อห้ามของคุณชายให้ผู้เฒ่าเต่าเสียก่อน
ผู้เฒ่าเต่าในตอนนี้ไม่ได้อยู่ในร่างเด็กหนุ่ม และก็ไม่ได้อยู่ในร่างเต่ายักษ์ขนาดมหึมา ทว่าเป็นเต่าชราที่ขนาดตัวใหญ่ปกติ
หลังจากมาถึงลานเล็ก ๆ แล้ว ผู้เฒ่าเต่าก็ต้องตกตะลึงเป็นอย่างมาก ทุกสิ่งที่อยู่ด้านในลานอยู่ห่างไกลจากความรู้ความเข้าใจยิ่ง ผู้เฒ่าเต่าถึงกับตะโกนออกมาในใจว่าภพเซียนก็คงไม่อาจเทียบเคียงได้!
“ขอบคุณทั้งสองท่าน ขอบคุณทั้งสองท่าน!”
ผู้เฒ่าเต่ารีบเอ่ยขอบคุณลั่วสุ่ยและมัจฉาสัตมายา มันรู้สึกขอบคุณจากใจจริง หากไม่ใช่ทั้งสองคนมันจะสามารถมาที่นี่ได้อย่างไร?
สำหรับมันแล้ว นี่นับเป็นโอกาสวาสนาครั้งใหญ่ที่สุด!
ลั่วสุ่ยตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ หลังจากนี้ท่านเพียงทำตัวดี ๆ กับคุณชายเท่านั้น”
ในตอนนี้คุณชายยังไม่กลับมาบ้าน
ใช่แล้ว หลี่จิ่วเต้ายังคงไม่กลับมาจากการเก็บสมุนไพร ทว่าตอนนี้เขาก็อยู่ระหว่างการเดินทางกลับแล้ว
“ไม่รู้ว่าเสี่ยวไป๋จะนำหินและเต่าแบบใดกลับมา”
ระหว่างทางกลับเมือง หลี่จิ่วเต้าพึมพำออกมาด้วยความคาดหวัง
เขาออกมาไม่ไกลจากเมืองชิงซานมากนัก เพียงแค่ครึ่งวันก็สามารถเดินทางกลับไปได้ ไม่รู้ว่าตอนนี้เสี่ยวไป๋กลับไปถึงแล้วหรือยัง
“ที่อยู่ของซีเอง...จะหาพบหรือไม่นะ?”
ชายหนุ่มถอนหายใจ คิดถึงซีขึ้นมาอีกครั้ง แม้จะรู้ดีว่าเป็นเรื่องยากสำหรับหยวนอีที่จะตามหาที่อยู่ของซี แต่เขาก็ยังคงหวังว่าหยวนอีจะสามารถสืบหาที่อยู่ของซีได้
สำหรับซีนั้น เขาไม่มีทางลืมลงไปได้ ซีมีตำแหน่งสำคัญอย่างยิ่งภายในใจของเขา
‘ไม่ต้องรีบร้อน อนาคตยังคงมีอีกยาวไกล หากมีวาสนา สุดท้ายสักวันก็ต้องได้พานพบอีกครั้ง!’
หลี่จิ่วเต้ากล่าวขึ้นมาในใจ เชื่อมั่นว่าตนเองจะต้องได้พบหน้าซีอีกครั้ง
บทที่ 552
หลี่จิ่วเต้าสัมผัสได้อยู่เสมอว่า วาสนาของเขากับซีไม่ได้สิ้นสุดลงที่การพานพบ และอาจได้พานพบกันอีกครั้งในสักวัน
“ข้าหานางไม่พบ แต่นางอาจเป็นฝ่ายกลับมาหาข้าเองก็ได้?”
ชายหนุ่มยิ้มออกมา ความเศร้าโศกอาวรณ์เล็กน้อยเลือนหายไป วันคืนเหล่านั้นยังคงตราตรึงอยู่ในใจของเขา ยามนั้นซีจากไปด้วยแววตาไม่เต็มใจอันเห็นได้อย่างชัดเจน ตัวเขานั้นไม่สามารถลืมซีได้ ซีเองก็ไม่อาจลืมเขาได้ใช่หรือไม่?
หลี่จิ่วเต้ารู้สึกว่าซีเองก็ไม่อาจลืมได้ เพียงแต่อาจมีเหตุผลบางอย่างทำให้ซีจำต้องจากไป ไม่ก็มีบางสิ่งที่นางจำเป็นต้องทำ
หลังจากซีจัดการเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ซีอาจหวนกลับมาหาเขา
‘ข้าจะต้องออกกำลังกายให้แข็งแรง ไม่อาจทำให้ซีผิดหวังได้ ขอแค่อย่าให้เมื่อซีกลับมาแล้วข้ากลายเป็นชายชราที่ไม่มีแม้แต่แรงจะลุกยืน’
เขาคิดขึ้นมาในใจ
ซีไม่เคยสำแดงพลังอะไรต่อหน้าเขา ทว่าเขาเองก็รู้ดีว่าซีไม่ได้เป็นเพียงปุถุชน ซีสามารถต่อกรกับเสือป่าอันดุร้ายได้ด้วยร่างกายอันบอบบาง เกรงว่าแม้ก่อนหน้านี้ซีจะยังไม่ได้เข้าสู่หนทางแห่งการฝึกตนมาก่อน ตอนนี้ก็ต้องเข้าไปอยู่บนเส้นทางนั้นเป็นที่เรียบร้อย
เมื่อนางกลับมาหา มีโอกาสอย่างมากที่รูปร่างหน้าตาจะไม่เปลี่ยนแปลง คงความเยาว์วัยเอาไว้ได้ ในขณะที่เขากลายเป็นชายชราผมหงอกขาวโพลน
“แม้ว่าข้าจะกลายเป็นชายชรา ก็ต้องเป็นชายชราที่หล่อเหลาและแข็งแรงที่สุด!”
หลี่จิ่วเต้ามั่นใจเป็นอย่างยิ่ง เขาฝึกมวยและออกกำลังกายเป็นประจำ ร่างกายแข็งแรงมาก นอกจากนี้เขายังเชี่ยวชาญด้านยา เขามั่นใจว่าเมื่อตนเองอายุหกสิบหรือเจ็ดสิบก็ยังสามารถรักษาสภาพของตนเองเอาไว้ให้เหมือนวัยกลางคนได้
ถนนกว้างใหญ่มุ่งตรงสู่เมืองชิงซาน เวลาล่วงเลยจนท้องฟ้าเปลี่ยนสีย่ำยาวเย็น หลี่จิ่วเต้าและเพื่อนร่วมทางที่ไปเก็บสมุนไพรต่างก็กลับไปยังเมืองชิงซาน
เขาอำลาเหล่าคนเก็บสมุนไพร กลับไปยังลานเล็ก ๆ ของตนเอง
“คุณชายกลับมาแล้ว!”
ลั่วสุ่ยเอ่ยทักทายขึ้นมาในทันที รอยยิ้มของนางประหนึ่งบุปผาแย้มบาง ดวงตาที่ทั้งบริสุทธิ์และห่วงหายิ่งทำให้ดูเปี่ยมเสน่ห์ สายลมพัดผ่านเรือนร่างงดงามนำพากลิ่นหอมล่องลอยมาด้วย
สิ่งนี้ทำให้หลี่จิ่วเต้ารู้สึกเคลิบเคลิ้มเล็กน้อย คิดกับตนเองว่าเมื่อคืนนั้นเหตุใดตนเองจึงนอนหลับเป็นตายเช่นนั้น? น่าเสียดายเกินไปแล้ว!
ปีศาจจำแลงมีเสน่ห์ดึงดูดผู้คนมากที่สุด!
ดูเหมือนเรื่องนั้นจะเป็นความจริง!
เสี่ยวไป๋หลังจากกลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว ก็มีความดึงดูดยั่วยวนมากเกินไป
“ข้ากลับมาแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะกลับมาเร็วกว่า”
หลี่จิ่วเต้ายิ้ม เมื่อครู่เป็นเพียงแค่ความคิดเรื่อยเปื่อย หากเขาไม่ได้หลับเป็นตาย ในคืนนั้นเขาคงไม่อาจนอนร่วมกับเสี่ยวไป๋
เขาจะต้องออกไปนอนที่อื่นอย่างแน่นอน
แม้ไม่อาจกล่าวได้ว่าตนเองเป็นสุถาพบุรุษ แต่เขาไม่มีทางทำสิ่งที่เอาเปรียบผู้อื่น คืนนั้นเสี่ยวไป๋ดื่มสุราจนเมา หากทำเช่นนั้นจริง เขาคงจะดูถูกตัวเองอย่างยิ่ง เพราะนั่นไม่ใช่ความสมัครใจของเสี่ยวไป๋
“อ๊ะ คุณชายนั่งลงก่อน!”
ลั่วสุ่ยเดินเข้าไปหาหลี่จิ่วเต้า ก่อนจะนำตะกร้าสมุนไพรของคุณชายไปเก็บอย่างเป็นธรรมชาติ
จากนั้นนางก็เข้าไปยังห้องครัวเพื่อรินชาร้อนมาหนึ่งถ้วยมอบให้กับหลี่จิ่วเต้า และเชิญให้คุณชายนั่งบนเก้าอี้ในลานเพื่อพักผ่อน
เพราะนี่คือลั่วสุ่ยจึงสามารถทำเช่นนี้ได้ หากเป็นผู้อื่นอย่าว่าแต่รินชาเลย กระทั่งหยิบจับสิ่งของในครัวก็ไม่อาจทำได้
หลี่จิ่วเต้านั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นก็ยกชาขึ้นจิบ
หลังจากเดินทางมาทั้งวัน เขาก็รู้สึกกระหายน้ำอยู่บ้าง
ชายหนุ่มมองที่ไปลั่วสุ่ย บนใบหน้าแย้มยิ้มด้วยความพึงพอใจ คิดกับตนเองว่าลั่วสุ่ยมีความเอาใจใส่ ยามนั้นที่เขารับเลี้ยงเสี่ยวไป๋ นับเป็นทางเลือกดีที่สุดเท่าที่เขาเคยเลือกมา
ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ยังไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย ว่าวันหนึ่งเสี่ยวไป๋จะแปลงร่างเป็นมนุษย์มาดูแลเขา สุดท้ายความหวังดีครั้งนั้นก็ได้รับการตอบแทน...
เจ้าแมวสีขาวเมื่อแปลงร่างเป็นมนุษย์งดงามมากถึงเพียงนี้ แล้วถ้าเป็นจิ้งจอกล่ะ?
เขาอดคิดขึ้นมาไม่ได้ หากเป็นจิ้งจอกที่แปลงร่างเป็นมนุษย์ขึ้นมา อาจงดงามน่าดึงดูดมากกว่านี้!
‘หากมีโอกาสพบจิ้งจอกไร้บ้านข้าจะนำมันมาเลี้ยง ไม่ใช่เพราะอยากเห็นจิ้งจอกน้อยแปลงร่างเป็นมนุษย์ แต่เพียงเพราะขนจิ้งจอกดูนุ่มลื่น น่าจะสบายยามได้ลูบ…’
หลี่จิ่วเต้ากล่าวในใจ
“คุณชาย ท่านลองมาดูหินที่ข้านำกลับมาด้วยว่าใช้ได้หรือไม่”
ลั่วสุ่ยหยิบหินอัศจรรย์ออกมาจากศาสตราบรรจุของ
หินอัศจรรย์นั้นสูงเกือบเท่าตัวคน ลวยลายธรรมชาติบนตัวมันทำให้เพียงแค่มองเช่นนี้ก็นับว่าสวยงามแล้ว
ดวงตาของหลี่จิ่วเต้าเป็นประกาย หินก้อนนี้ไม่เลวเลย หากใช้มันสลักเป็นภูเขา จะต้องสวยงามมากอย่างแน่นอน
“แล้วก็ยังมีเต่าตัวนี้”
ลั่วสุ่ยยกผู้เฒ่าเต่าขึ้นมาจากบ่อให้คุณชายได้ดู
กระดองบนหลังผู้เฒ่าเต่านั้นเป็นสีน้ำตาล มีทั้งหมดแปดสิบเอ็ดลาย ให้ความรู้สึกหนักแน่นแก่ผู้คน เห็นได้ชัดว่ามันมีอายุอยู่มายืนยาวแล้ว
“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม เหมือนกับที่ข้าต้องการไม่ผิด!”
หลี่จิ่วเต้าพอใจกับเต่าตัวนี้มาก เขาต้องการเลี้ยงเต่าชราตัวนี้ เต่าเป็นตัวแทนของความอายุยืนยาว การเลี้ยงไว้ที่บ้านไม่เพียงแต่มีความหมายดี เมื่อมองแล้วยังรู้สึกสบายอีกด้วย
ผู้เฒ่าเต่าเองก็มองไปที่หลี่จิ่วเต้า
นี่คือผู้ลึกล้ำจนไม่อาจหยั่งถึง อาจเป็นจักรพรรดิหรือบรรพจารย์ในหมู่เซียนอย่างนั้นหรือ?
มันสามารถสัมผัสอะไรได้ถึงความพิเศษ คนผู้นี้เหมือนกับปุถุชนทั่วไปผู้หนึ่ง
ท้องฟ้าเปลี่ยนสีเป็นยามราตรี หลี่จิ่วเต้าเข้านอนทันทีหลังอาหารเย็น
เช้าตรู่วันต่อมา ฟ้าเพิ่งจะสาง หลี่จิ่วเต้าก็ตื่นขึ้นมาเรียบร้อย
หินก็มีแล้ว เขาจึงอดใจรอที่จะแกะสลักภูเขาจำลองขึ้นมาไม่ไหว บ่อน้ำของเขาจะได้ยิ่งดูสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น!
แต่ทว่าเขาก็ไม่ได้ลงมืออย่างรีบร้อน
ชายหนุ่มนั่งบนเก้าอี้โยก ใช้นิ้วเลื่อน ‘แท็บเล็ต‘ ไปมา เขาจำได้ว่าครั้งล่าสุดได้บังเอิญเห็นหินที่มีรูปร่างสวยงามเป็นอย่างมากในโลกเสมือนจริง ความคิดอยากมีภูเขาจำลองประดับบ่อน้ำก็เกิดจากการได้เห็นหินก้อนนั้นด้วย
แต่ตอนนั้นเขาปัดนิ้วเร็วเกินไป ภาพที่เห็นในจอจึงเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เขาจึงได้แต่เพียงมองแวบเดียวไม่ได้สังเกตให้ละเอียด
เขาต้องการจะค้นหาหินก้อนนั้น แล้วจึงใช้เป็นแบบแกะสลักภูเขาจำลอง
…
บริเวณด้านนอกภพเซียน พลังอันน่าหวาดกลัวปั่นป่วนเดินพล่าน บางคราวถึงกับมีกฎเกณฑ์อันเหนือจินตนาการโผล่ออกมาเป็นครั้งคราว ชวนให้รู้สึกพรั่นพรึงอย่างถึงที่สุด!
ที่แห่งนี้ไม่รู้ว่ามีเซียนมากน้อยเพียงใดที่จบสิ้นชีวิตลงไป ในช่วงเวลาอันยาวนาน มักมีเซียนคิดต้องการออกจากภพเซียนไปอยู่อย่างสม่ำเสมอ แต่สุดท้ายพวกเขาเกือบทั้งหมดก็ต้องเผชิญจุดจบภายใต้พลังอันน่าสะพรึงกลัวนี้
รวมกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่ต้องตายลงไม่รู้เท่าไหร่เพื่อต้องการฝ่าเข้ามา คงมีจำนวนนับไม่ถ้วน
ในช่วงระยะเวลาอันยาวนาน ยังมีผู้โดดเด่นอีกจำนวนไม่น้อยที่ค้นพบสถานที่แห่งนี้ และต้องการจะข้ามาในภพเซียน ทว่าพวกเขาเกือบทั้งหมดล้วนจบสิ้นลงที่นี้ ไม่สามารถประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ภพเซียน
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
เสียงระเบิดอันน่าสะพรึงกลัวดังขึ้นเป็นระยะ มีร่างงดงามผู้หนึ่งกำลังต่อสู้ดิ้นรนอยู่ภายในนั้น พลังอันน่าหวาดเกรงรวมตัวกันกลายเป็นอสูรร้ายตัวแล้วตัวเล่าพุ่งเข้าใส่ร่างงดงามผู้นั้น!
สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสถานการณ์ของคนผู้นั้นไม่สู้ดีนัก เลือดไหลอาบร่างของนาง มีรอยแผลอยู่ทุกหนแห่ง แม้ผู้แข็งแกร่งเช่นนางจะสามารถฟื้นฟูบาดแผลให้หายไปได้ในพริบตา แต่ก็ตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบเป็นอย่างมาก!
“เป็นดั่งที่คาดไว้ หากคิดอยากออกไปย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายดาย...”
ร่างงามแย้มยิ้มอย่างเศร้าและอ้างว้าง นางพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจทำได้สำเร็จ นางยื้ออยู่ตรงนี้มาเป็นเวลานานพอสมควร ทว่าก็ยังไม่เห็นโอกาสจะออกไปได้
นางเคยทำลายฝ่าพลังนี้ได้สำเร็จมาก่อน แต่ในครั้งนั้นนับว่าเป็นความบังเอิญอย่างแท้จริง
และดูเหมือนว่าครั้งนี้นางจะไม่ได้โชคดีเช่นนั้น...
อสูรร้ายที่ควบแน่นขึ้นมาจากพลังอันน่าหวาดกลัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายของนางค่อย ๆ สิ้นแรง แสงเรืองรองรอบกายนางก็ค่อย ๆ หรี่ลงเรื่อย ๆ
“ข้า...จะต้องจบสิ้นลงที่นี่อย่างนั้นหรือ?”
โลหิตไหลลงจากปากนางไม่หยุด สภาพของนางน่าย่ำแย่เป็นอย่างมาก เรี่ยวแรงในการต่อต้านก็เริ่มสูญหายหมดสิ้นไปในการต่อสู้อันดุเดือด
นางทรงพลังไร้ผู้เทียบเคียงในยุคอนันตกาล ใช้ชีวิตท้าทายสวรรค์มาชาติภพแล้วชาติภพเล่า
สุดท้ายนางต้องมาตายในที่แห่งนี้หรือ!?
ใช่แล้ว นางคือจักรพรรดินีอนันตกาล ผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากประมุขตระกูลเซียวให้ออกจากภพเซียนไปตามหากล่องสี่เหลี่ยม
“ไม่!”
จักรพรรดินีระเบิดพลังออกมา ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและไม่ยินยอม นางไม่ต้องการจะจบสิ้นลงที่นี่ นางยังต้องการจะเป็นอิสระอีกครั้ง ขึ้นไปสู่จุดที่อยู่สูงกว่าเดิม คืนชีพอาจารย์กลับมาอีกครั้ง
นางเปล่งประกายเจิดจ้า สู้ยิบตาจนถึงวินาทีสุดท้าย จนกระทั่งเรี่ยวแรงในร่างกายของนางหมดลง ไม่อาจสู้ต่อไปได้
อสูรร้ายคำราม อ้าปากเปื้อนเลือดกระโจนเข้าใส่ นางต้องการมีชีวิตอยู่และสู้ต่อ แต่ทว่ากลับไม่อาจทำสิ่งใดได้
แม้กระทั่งจะขยับนิ้วก็ทำไม่ได้เสียด้วยซ้ำ...
นี่นับว่าเป็นเรื่องเลวร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่ออสูรร้ายรุมกัดเข้ามา นางจะต้องถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ จบชีวิตลงแน่นอน!
จักรพรรดินีที่เคยไร้พ่ายในยุคสมัยหนึ่ง สุดท้ายจะต้องมาจบสิ้นลงที่นี่อย่างนั้นหรือ!?
บทที่ 553
จักรพรรดินีเศร้าโศกไม่เต็มใจ ทว่าก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ นางสูญสิ้นเรี่ยวแรงทั้งหมด ไม่สามารถกระทั่งจะกระดิกนิ้วได้ เช่นนั้นแล้วนางยังจะสามารถต่อต้านอยู่ได้อย่างไร!?
“อาจารย์...”
หยาดน้ำตาไหลรินจากใบหน้าอันงดงามของนาง ทุกอย่างล้วนจบสิ้นกลายเป็นความว่างเปล่า นางกำลังจะตายเช่นเดียวกับอาจารย์ของตน...
เมื่ออสูรร้ายตนหนึ่งกระโจนเข้ามาพร้อมอ้าปากที่เปื้อนเลือดออกมา นางก็หลับตาลงอย่างหมดหนทาง นางยังคงปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่ออย่างแรงกล้า ทว่ามันก็เป็นเพียงฝันกลางวัน
“หืม!?”
พริบตานั้นเองนางก็รับรู้ได้ว่ามีสิ่งเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น ทุกสิ่งรอบตัวนางสงบลง พลังอันน่าหวาดกลัวก็คล้ายจะสลายหายไปหมดสิ้น
นางรีบลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็วด้วยความใคร่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
หลังจากนั้นนางก็ได้เห็นภาพที่ทำให้ตนเองตกตะลึงไปชั่วชีวิต!
ชายหนุ่มผู้หนึ่งท่าทางเรียบง่ายสมถะ นอกจากรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดพิเศษ ไม่แตกต่างอะไรไปจากปุถุชนทั่วไป
แต่หากชายหนุ่มเป็นปุถุชนจริง คงไม่อาจเยื้องย่างทีละก้าวบนจักรวาลหมื่นดาราเข้าสู่ภพเซียน!
สวรรค์!
นี่จะเป็นไปได้อย่างไร!?
ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความตกตะลึงสะท้านขวัญ ชายหนุ่มดูแล้วเป็นเพียง ‘ปุถุชน’ ผู้หนึ่ง ทั้งร่างกายไม่มีประกายแสงใด ทั้งยังไม่อาจสัมผัสพลังอะไรได้ แต่เมื่อเหยียบเท้าลงมาในภพเซียนแล้ว พลังอันน่าหวาดกลัวที่ปกคลุมรอบภพเซียนกลับหดหนีไม่มีแม้แต่พลังเล็กน้อยเล็ดรอดออกมา ราวกับตื่นตัว ‘ปุถุชน’ ผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง!
นางจะสามารถเชื่อลงได้อย่างไร!?
พึงรู้ว่า แม้กระทั่งตระกูลเซียวอันเป็นตระกูลใหญ่แห่งภพเซียนก็ไม่อาจทำสิ่งใดกับพลังที่ห่อหุ้มภพเซียนเอาไว้ได้ ไม่กล้าจะเข้าออกตามใจชอบและอาจตายภายใต้พลังอันน่าสะพรึงกลัวนี้!
ทว่าชายหนุ่มผู้นี้กลับสามารถเดินผ่านเข้าไปได้อย่างง่ายดาย โดยบนร่างกายไม่แผ่พลังอะไรแม้แต่น้อย พลังทั้งหมดที่ปกคลุมภพเซียนถอยหายไปในทันที ไม่กล้ากระทั่งจะโผล่ออกมา!
นี่...นี่มันน่าตื่นตะลึงเกิดไปแล้ว!
รูม่านตาของจักรพรรดินีหดแคบลง หัวใจของนางเต้นกระหน่ำจนแทบกระเด็นออกจากร่าง!
นางเองก็เป็นคนที่ผ่านร้อนหนาวมามาก ตระเวรทั่วทั้งภพเซียนมานาน ได้พบเจอผู้ทรงอำนาจมากมาย ทว่าเมื่อเทียบกับชายหนุ่มคนนี้แล้ว ผู้ทรงอำนาจที่นางพบเจอเป็นได้เพียงธุลี ไม่อาจเทียบชั้นได้แม้แต่น้อย!
นางหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด ขนบนร่างลุกชัน สั่นสะท้านจนถึงจิตวิญญาณอย่างไม่อาจควบคุมได้ ชายหนุ่มผู้นี้คือใครกัน? บรรลุไปถึงขอบเขตขั้นใดแล้ว!?
นางไม่กล้าคิด และก็ไม่อาจจินตนาการ ขอบเขตของชายหนุ่มผู้นี้จะต้องอยู่เหนือยิ่งกว่าจักรพรรดิเซียนหรือบรรพจารย์เซียนอย่างแน่นอน!
ชายหนุ่มเดินบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ก้าวเข้าไปยังภพเซียนทีละก้าว แต่ดูเหมือนว่าตัวเขาจะไม่ได้สังเกตเห็นนางเสียด้วยซ้ำ ไม่ปรายตามองมาทางนางแม้แต่น้อย
“จะมองข้าได้อย่างไร...ต่อหน้าตัวตนเช่นนี้ ข้านั้นไม่อาจเทียบได้แม้นผงธุลี!”
จักรพรรดินีหัวเราะเยาะตนเอง นางจะสามารถดึงดูดความสนใจของตัวตนเช่นนี้ได้อย่างไร นางอ่อนแอเสียจนไม่มีค่าให้กล่าวถึง
เมื่อชายหนุ่มเดินเข้าไปถึงด้านในภพเซียนแล้ว พลังอันน่าหวาดกลัวที่ปกคลุมภพเซียนเอาไว้ก็เริ่มฟื้นกลับคืนมา นางไม่กล้ารีรออีกไปต่อไป รีบพยุงร่างของตนเองไปจากที่นี่
ก่อนหน้านี้ช่วงพลังที่ปกคลุมภพเซียนหายไปจนหมดสิ้น ทำให้นางได้มีโอกาสพักหายใจและฟื้นตัวกลับมาเล็กน้อย ไม่เช่นนั้นนางคงไม่อาจเคลื่อนไหวได้แม้อยากหลบหนีเพียงใด!
ทว่าหลังจากนางเพิ่งหลบหนีออกไปได้ สติของนางก็เลือนหาย ร่างกายล่องลอยอยู่ในจักรวาลหมื่นดารา
ยังดีที่อย่างไรเสียขอบเขตของนางก็แข็งแกร่งเกินกว่าเซียนไปไกลแล้ว ร่างกายแข็งแกร่งเกินกว่าจินตนาการถึง หากเป็นสิ่งมีชีวิตอื่นที่ล่องลอยไปอย่างไร้สติเช่นนี้ ร่างกายคงไม่พ้นถูกพลังของจักรวาลหมื่นดาราบดขยี้ทิ้งอย่างแน่นอน
...
ณ เมืองชิงซาน
ณ บ่อน้ำในลานเล็ก ๆ ของหลี่จิ่วเต้า
“คุณชายจะต้องเป็นจักรพรรดิเซียนหรือบรรพจารย์เซียนอย่างแน่นอน!”
ผู้เฒ่าเต่ากล่าวออกมาด้วยความตกตะลึงอย่างถึงที่สุด
เมื่อเห็นหลี่จิ่วเต้าครั้งแรก มันยังคงเกิดข้อสงสัยอยู่เล็กน้อยว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งถึงเพียงนั้นเชียวหรือ
อย่างไรเสียมันก็ไม่อาจรับรู้ได้ถึงพลังของหลี่จิ่วเต้าแม้แต่น้อย
ทว่าตอนนี้มันรู้แล้วว่าความสงสัยก่อนหน้านี้ของมันนั้นโง่เขลาถึงเพียงใด!
ตัวตนของคุณชายย่อมต้องเป็นจักรพรรดิเซียนหรือบรรพจารย์เซียน ไม่ก็สูงยิ่งกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ!
มันอยู่ในตำแหน่งเหมาะ เห็นภาพที่สะท้อนออกมาจากกระจกโบราณ
เพียงแค่คุณชายคิดก็ปรากฏร่างอวตารขึ้นที่ดินแดนแห่งหนึ่งในกระจกโบราณ
ดินแดนแห่งนั้นมหัศจรรย์ชวนตื่นตะลึงอย่างถึงที่สุด แสงเซียนส่องสว่างไปทุกหนแห่ง บางครั้งก็มีเซียนในตำนานเหินไปมาบนท้องนภา เป็นดินแดนที่อยู่เหนือชั้นขึ้นไปอย่างไม่อาจเปรียบเทียบได้
ความคิดแรกที่แล่นเข้ามาในหัวของมันบอกว่า นี่คือภพเซียน!
เนื่องจากมันสามารถรับรู้ได้ถึงลมหายใจอันเป็นนิรันดร์จากดินแดนแห่งนี้!
ใช่แล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงภาพที่กระจกโบราณฉายออกมา มันก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจนิรันดร์ที่ไหลเวียนในสถานที่แห่งนั้น
มันไม่ได้คิดว่าตนเองทรงพลังจนสามารถสัมผัสสิ่งต่าง ๆ ด้านในกระจกโบราณ มันตระหนักได้อย่างชัดเจน ว่าสาเหตุที่มันสามารถสัมผัสลมหายนิรันดร์ของดินแดนแห่งนั้นได้ ต้องเป็นเพราะคุณชายและกระจกโบราณอย่างแน่นอน
ไม่เช่นนั้นมันคงไม่อาจสัมผัสได้ถึงลมหายใจของดินแดนแห่งนั้นได้อย่างชัดเจน!
“คุณชายช่างทรงพลังยิ่งนัก!”
มันถอนหายใจออกมา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันในตอนนี้ตกใจจนเกิดความหวั่นไหวมากเท่าใด
เรื่องที่คุณชายสามารถไปยังภพเซียนได้ภายในพริบตาเดียวไม่ต้องไปกล่าวถึง มันยังเห็นว่าเมื่อร่างอวตารของคุณชายก้าวเข้าไปยังภพเซียน พลังอันน่าหวาดกลัวที่ปกคลุมภพเซียนอยู่ก็ถอยหนีหายไปทันที ไม่กล้าปล่อยแม้แต่เศษเสี้ยวพลังออกมาให้เห็น!
มันสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า พลังที่ปกคลุมภพเซียนเอาไว้น่าสะพรึงกลัวถึงเพียงใด หากเป็นมันที่ฝ่าเข้าไป เกรงว่ามันอาจถูกบดขยี้จนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่หลงเหลือสิ่งใดเอาไว้
มันยังรู้สึกอีกว่ากระทั่งเซียนที่แท้จริงก็ไม่อาจทำเช่นนี้ได้ คงถูกบดขยี้ทิ้งไม่ต่างอะไรจากมัน
ทว่าคุณชายเล่า?
นั่นเป็นเพียงร่างอวตารของคุณชายที่เดินเข้าไป พลังอันน่าหวาดกลัวที่ปกคลุมภพเซียนก็เป็นฝ่ายหวาดเกรงไม่อาจทำสิ่งใดได้แทน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าขอบเขตของคุณชายจะต้องลึกล้ำจนไม่อาจหยั่งถึง!
บุ๋งบุ๋ง~
“ไม่จำเป็นต้องตื่นตกใจเช่นนี้ ในวันข้างหน้าท่านสามารถเห็นฉากเช่นนี้ได้ทุกเมื่อ”
ด้านในบ่อน้ำ มีปลาตนหนึ่งว่ายไปด้านข้างผู้เฒ่าเต่าแล้วเอ่ยออกมา
พวกมันเห็นเรื่องน่าอัศจรรย์จนคุ้นชินไปนานแล้ว พวกมันเคยเห็นเรื่องน่าตื่นตะลึงมากมายของคุณชาย ทำให้รู้ซึ้งได้ว่าคุณชายทรงพลังเหนือชั้นมากเพียงใด
ผู้เฒ่าเต่ารู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย มันเป็นถึงผู้ที่ถูกเรียกนามว่าเต่าเซียน แต่กลับแสดงท่าทางตื่นตาตื่นใจเหมือนคนไม่เคยเห็นโลก จนต้องให้ปลาตัวน้อยมากล่าวปลอบเขาเช่นนี้
ทว่ามันเองก็ไม่รู้จะพูดสิ่งใดเหมือนกัน
มันไม่เคยเห็นวิธีการเช่นนี้มาก่อน!
มันตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก!
สิ่งนี้อยู่เหนือยิ่งกว่าความรู้ความเข้าใจของมันโดยสิ้นเชิง!
ใช่แล้ว ชายหนุ่มที่จักรพรรดินีเห็นก็คือร่างอวตารของหลี่จิ่วเต้า
เพียงแค่คิดเขาก็สามารถเข้าสู่ภพเซียนได้อย่างง่ายดายโดยไม่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวได้แม้แต่น้อย ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเขาได้เข้ามายังภพเซียนแล้ว
เขาก้าวไปด้านหน้าก่อนจะมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งในภพเซียน หินที่เขาตามหาเองก็อยู่ที่นั้น เขาต้องการสำรวจหินก้องนี้อย่างละเอียด
ที่แห่งนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นอาณาเขตของตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ทว่ามันก็ไม่เป็นอุปสรรคอันใดต่อหลี่จิ่วเต้า เขาสามารถมาถึงด้านหน้าก้อนหินได้อย่างง่ายดาย ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเขาเข้ามายังสถานที่แห่งนี้
“ไม่เลวเลย!”
หลี่จิ่วเต้าใช้มือสัมผัสหิน จดจำทุกรายละเอียดด้วยความระมัดระวัง เขาต้องการจะแกะสลักหินให้มีรูปร่างสมบูรณ์ ทำให้มันกลายเป็นภูเขาจำลองที่ดูดีที่สุด
เขาต้องการจะนำหินกลับมาด้วยจริง ๆ แต่ก็รู้ดีว่านั่นไม่อาจเป็นไปได้
ที่นี่เป็นเพียงโลกเสมือนจริงในแท็บเล็ต ไม่ใช่โลกจริงที่เขาอาศัยอยู่
ทว่าสิ่งที่หลี่จิ่วเต้าไม่รู้ก็คือ ‘จิตวิญญาณ’ ของหินก้อนนี้กำลังสั่นเทาด้วยความตื่นตกใจกลัวอย่างถึงที่สุด!
ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้เป็นใครกัน!?
‘จิตวิญญาณ’ ของก้อนหินเต็มไปด้วยความอกสั่นขวัญแขวน มันกวาดกลัวอย่างมาก มันสามารถรับรู้ได้ถึงความอันตรายาสุดขีดของหลี่จิ่วเต้า มันไม่สงสัยเลยหากจะบอกว่าชายผู้นี้สามารถสังหารมันได้อย่างง่ายดาย!
นี่เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากสัญชาตญาณของมัน ยิ่งเป็นหินบรรพกาลอย่างมันยิ่งแม่นยำเป็นอย่างมาก
มันหวาดกลัวเสียจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ พลังทั้งหมดถูกเก็บซ่อนเอาไว้ ไม่กล้าแสดงความอวดดีออกมาแม้แต่น้อย!
ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้มันไม่สามารถยั่วยุได้!
บทที่ 554
คนตรงหน้านี้คือผู้ใดกัน น่ากลัวเกินไปแล้ว!
มันเป็นถึงหินโกลาหล (ฮุ่นตุ้น) หินอันเก่าแก่ที่สุดในสรรพสิ่งทั่วใต้หล้า ฟ้าไม่อาจถล่ม ดินไม่อาจทลาย กาลเวลาไม่อาจทิ้งร่องรอย ไยจึงเกิดความรู้สึกอันตรายเช่นนี้ขึ้นมาได้
ฆ่ามันได้ในการตั้งจิตครั้งเดียว นี่คือความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจของมัน!
ผู้ที่ก้าวออกมาจากแดนบรรพโกลาหลอย่างนั้นหรือ!?
มันครุ่นคิดอย่างอดไม่ได้ ในยุคนี้ มีการดำรงอยู่ยิ่งใหญ่สยดสยองเกินหยั่งเยี่ยงนี้อยู่ที่ไหน นอกจากแดนบรรพโกลาหล
คราวนี้มันยิ่งมิกล้าเอ่ยวาจา เก็บงำพลังโดยสมบูรณ์ เปลือกนอกไร้ซึ่งประกายสว่างไสว ไม่เหลือลมปราณโกลาหลแม้แต่น้อย ดูไม่ต่างจากก้อนหินธรรมดา
มันกลัวผู้ที่ก้าวออกจากแดนบรรพโกลาหล ผู้อื่นไม่อาจแผ้วพานมันได้ ทว่าผู้ที่มาจากแดนบรรพโกลาหลไม่เหมือนกัน คนเช่นนี้ สามารถดูดกลืนพลังของมันไปเป็นของตัวเอง!
จะปกปิดได้หรือ
มันไม่มั่นใจเลย ได้แต่ภาวนาในใจไม่หยุดหย่อน ขออย่าให้รู้เลยว่ามันคือหินโกลาหล อย่าให้รู้เลยว่ามันคือหินโกลาหล…
แม้ว่าความเป็นไปได้นั้นต่ำมาก
อีกด้าน ภายในเมืองชิงซาน หลี่จิ่วเต้าลงมือแกะสลัก
เขาหยุดภาพในแท็บเล็ตไว้ที่หินโกลาหล ก่อนจะเริ่มใช้มีดสลักตามรูปทรงของหินโกลาหล
อย่างที่คิด ปฐพีต่างหาก คือปรมาจารย์การแกะสลักที่ยอดเยี่ยมที่สุด หินโกลาหลไม่เคยผ่านฝีมือมนุษย์มาแม้แต่น้อย รูปร่างตามธรรมชาติของมันวิจิตรงดงามอย่างที่สุด หลี่จิ่วเต้าไม่อาจชอบหินก้อนใดไปมากกว่านี้แล้ว
ฝีมือแกะสลักของเขาแตกฉาน เพียงจิตเดียว พินิจถึงรายละเอียดต่าง ๆ ของหินโกลาหลในแท็บเล็ต ผ่านไปไม่นาน เขาก็แกะสลักออกมาเป็นเค้าโครงได้แล้ว
“น่ากลัวเกินไปแล้วสำหรับเต่า!”
เต่าชราในบ่อน้ำตกใจจนหัวหด ยามคุณชายแกะสลัก ทุกอากัปกิริยาล้วนมีกฎระเบียบสูงส่งอย่างหามิได้ไหลเวียนอยู่ ราวกับสลักเข้าไปในเลือดเนื้อ ท่วงท่าโดยไม่ตั้งใจยังแฝงไว้ซึ่งพลังเหนือจินตนาการ!
มันไม่เคลือบแคลงเลยว่า หากพลังระดับนี้กระแทกกับตัวมัน มันคงตายในชั่วพริบตา ไม่มีโอกาสรอดแม้แต่น้อย
บุ๋งบุ๋ง~
ปลาในบ่อเข้ามาโหม่งเต่าชรา “บอกแล้วมิใช่หรือ ไม่ต้องทำเยี่ยงนี้ วันหน้าท่านต้องได้พบเห็นอีกมาก”
เต่าชรากระอักกระอ่วนถึงขีดสุด เหตุใดมันถึงถูก ‘เตือน’ เช่นนี้อีกแล้วเล่า!?
ท่าทางเขาแบบนี้ทำให้มันรู้สึกขายหน้า
ทว่ามันเองก็จนปัญญา มันอดไม่ไหวจริง ๆ!
เวลาล่วงเลยผ่านไปเรื่อย ๆ หินอัศจรรย์ค่อย ๆ ถูกหลี่จิ่วเต้าสลักให้มีหน้าตาอย่างหินโกลาหล
“เสร็จแล้ว!”
สุดท้าย หลี่จิ่วเต้าเก็บมีดสลักด้วยความพึงพอใจ หินอัศจรรย์มีหน้าตาเหมือนกับหินโกลาหลทุกประการ!
“คุณชายดื่มน้ำ!”
ลั่วสุ่ยมาแต่เช้า คอยปรนนิบัติอยู่ข้าง ๆ หลังเห็นคุณชายเก็บมีด ก็รีบยกน้ำเข้าไปให้
หลี่จิ่วเต้ารับแก้วน้ำมาจิบ ก่อนจะเอนกายลงบนเก้าอี้โยก ชื่นชมผลงานแกะสลักของเขา
ขณะเดียวกัน หินโกลาหลในภพเซียนเบิกบานเหลือแสน
เพราะคนตรงหน้าเมื่อครู่หายไปแล้ว!
“ฮ่า ๆ การภาวนาได้ผล คนผู้นั้นไม่รู้ว่าเป็นข้า!”
ญาณหินโกลาหลหัวเราะในใจไม่หยุด
มันคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าคนผู้นั้นจะไม่รู้สึกถึงมัน เพียงแต่มองนานนิดหน่อยแล้วก็ไป มันคิดว่าตนยากจะหนีรอดจากเคราะห์กรรมครั้งนี้ได้ ต้องถูกคนผู้นั้นดูดกลืนพลังทั้งหมดเสียแล้ว
“คงไม่ใช่กระมัง!”
ทว่าลมหายใจต่อมา มันก็ค้นพบว่ามันดีใจเร็วเกินไป!
ทันใดนั้น พลังสายหนึ่งปรากฏออกมากลางอากาศ ดูดกลืนทั้งญาณและพลังของมันไปจนสิ้น!
มันยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นก็ข้ามพ้นภพเซียน เดินทางผ่านจักรวาลกว้างใหญ่ มาอยู่ในลานเล็กของหลี่จิ่วเต้า!
ร่างหินของมันในภพเซียนยังอยู่ แต่กลับหมดสิ้นญาณและพลัง กลายเป็นหินธรรมดา
ญาณและพลังของมัน มาโผล่ในหินอัศจรรย์ที่ลานเล็กนี้ทั้งหมด!
หินอัศจรรย์ก้อนนี้กลายเป็นหินโกลาหล!
มันตกอกตกใจแทบแย่ หมดคำบรรยายอย่างแท้จริง คนผู้นี้ต้องมีขอบเขตพลังสูงส่งปานใด ความสามารถน่าพรั่นพรึงปานใด ถึงทำได้ขนาดนี้!?
อีกด้าน เต่าชราย้ำเตือนตนเองไม่หยุด พร่ำบอกตนเองว่าจากนี้ไปไม่ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น มันก็ต้องรักษาความสุขุมเอาไว้ ห้ามแสดงท่าทีประหนึ่งคนหลังเขาอีกเป็นอันขาด!
ทว่า มันเตือนตัวเองไม่ทันเสร็จ ก็ได้เห็นภาพนี้ อย่าให้พูดเลยว่าตกตะลึงเพียงใด มันยืดคอจนตรงแด่ว!
สวรรค์!
หลังคุณชายแกะสลักหินอัศจรรย์เรียบร้อย ก็ได้ดูดกลืนพลังหินโกลาหลทั้งหมดในภพเซียนเข้ามา จนกลายเป็นหินโกลาหลอย่างแท้จริง!
พลังปราณโกลาหลแผ่ขยาย หินอัศจรรย์ตรงหน้าสูงส่งวิเศษเหลือคณา มีพลังโกลาหลว่ายเวียนอยู่ภายใน อย่าให้พูดเลยว่าเต่าชราสะท้านปานใด!
รู้หรือไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนกำเนิดจากโกลาหล พลังของโกลาหลเหนือกว่าทุกสิ่ง คุณชายน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว หินอัศจรรย์ที่สลักขึ้นมาถึงกับสามารถดูดกลืนพลังโกลาหลเข้ามา กลายเป็นหินโกลาหลอย่างแท้จริง!
ต้องเป็นฝีมือระดับใดเชียว!?
เรียกได้ว่าอยู่เหนือทุกกฎเกณฑ์ ควบคุมทุกอย่างได้ตามใจ!
ยามนี้มันตื้นตันดีใจเป็นพิเศษ นึกขอบคุณลั่วสุ่ยและมัจฉาสัตมายาในใจไม่หยุด
ลั่วสุ่ยและมัจฉาสัตมายามีบุญคุณใหญ่หลวงต่อมันอย่างแท้จริง ที่พามันมาที่นี่ ให้มันได้ติดตามอยู่ข้างกายคุณชาย!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือวาสนาการเปลี่ยนแปลงสูงสุด ความสำเร็จของมันในวันหน้าเหนือความคาดหมายอย่างแน่นอน!
บรรลุเป็นเซียนสำหรับมัน ย่อมมิใช่เรื่องยากอีกต่อไป
บุ๋งบุ๋ง~
“ผู้เฒ่าเต่าอย่าทำเช่นนี้! ท่านเป็นอย่างนี้พวกเราตกใจกันแทบแย่! รู้สึกเหมือนคอท่านใกล้ขาดเต็มที!”
ปลาตัวหนึ่งกล่าวกับเต่าชรา
เต่าชราหัวเราะกระอักกระอ่วน มิได้พูดอันใดไปมากกว่านี้ มันเองก็จนปัญญา อดไม่ไหวจริง ๆ!
สุดท้าย หินอัศจรรย์ที่ถูกสลักเรียบร้อยได้ลั่วสุ่ยนำไปไว้ในบ่อน้ำ
“ไม่เลวเลยจริง ๆ…”
หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้ม พึงพอใจอย่างยิ่งยวด หลังมีเขามอลูกนี้ บ่อเชยชมดูงดงามมีระดับยิ่งขึ้นในพริบตา
...
ภพเซียน
ดินแดนตระกูลเซียว
ภายในโถงใหญ่
“หินโกลาหลปรากฏออกมาอย่างน่าทึ่ง กองกำลังมากมายเข้าแย่งชิงแต่ยังไร้ผล สุดท้ายตระกูลเซียวเป็นฝ่ายได้ไป หากว่ากันด้วยความเก่งกาจ ตระกูลเซียวนั้นเก่งกาจที่สุด!”
“ใช่แล้ว”
ยอดฝีมือมากมายในโถงใหญ่เอ่ยกับผู้นำตระกูลเซียว
ใช่แล้ว จุดที่หินโกลาหลประทับก็คือดินแดนตระกูลเซียว
“แค่โชคดีเท่านั้น ไม่นับว่าเก่งกาจ ทุกท่านมีอันใดว่ามาได้เลย ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมเช่นนี้”
ผู้นำตระกูลเซียวหัวเราะ มิได้หลงระเริงเพราะความนอบน้อมที่ยอดฝีมือเหล่านี้มีต่อเขา
มหาตระกูลอื่นในภพเซียนมิได้ด้อยกำลังไปกว่าตระกูลเซียว พลังห่างกันไม่เท่าไร ที่แย่งชิงหินโกลาหลมาได้ เป็นความโชคดีมากกว่าจริง ๆ
ยอดฝีมือเหล่านี้ล้วนมีฐานะไม่ธรรมดา ต่างเป็นผู้นำมหาตระกูลต่าง ๆ หนนี้กลับมาด้วยกัน ย่อมต้องมีจุดประสงค์บางอย่าง…
และเขาพอเดาได้
ตามคาด ถ้อยคำต่อมาของบรรดาผู้นำตระกูลเป็นเหมือนที่เขาคาดไว้
“การแย่งชิงหินโกลาหลปิดฉากลงแล้ว พวกเราไม่มีความคิดเป็นอื่นต่อหินโกลาหลอีก ที่มาคราวนี้ พวกเราเพียงแค่อยากเชยชมหินโกลาหลสักครั้งเท่านั้น”
“ครานั้น ทุกคนเอาแต่แย่งชิง ยังไม่ทันได้ยลสภาพหินโกลาหลได้อย่างครบถ้วน หวังว่าพี่เซียวจะอนุญาตให้เราได้เชยชมสักครั้ง”
ผู้นำตระกูลทั้งหลายพากันเอ่ยบอก
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นถึงหินโกลาหล วิเศษสูงส่งเกินไป แม้ว่าพวกเขาแย่งหินโกลาหลมาไม่สำเร็จ กระนั้นก็ยังอาลัยอาวรณ์หินโกลาหลเป็นอย่างยิ่ง
สุดท้าย พวกเขาก็รวมพล เดินทางมายังตระกูลเซียว เพื่อขอยลหินโกลาหลสักครา
ผู้นำตระกูลเซียวเดาเรื่องนี้ได้อยู่แล้ว เขาคิดอยากปฏิเสธ ไม่ประสงค์ให้ผู้นำตระกูลเหล่านี้ได้เชยชม ทว่า เหล่าผู้นำตระกูลมากันพร้อมหน้า เขาไม่อาจไม่ไว้หน้ากันเกินไป
“ก็ได้ ในเมื่อทุกท่านอยากเห็นหินโกลาหล ก็ได้ เพียงแต่ทุกท่านเข้าไปดูเฉย ๆ คงมิได้…”
เขาเอ่ยยิ้ม ๆ อยากเก็บค่าเข้าชมสักนิดสักหน่อย
หากปล่อยให้ผู้นำตระกูลเหล่านี้เข้าไปดูเฉย ๆ เขาคงรู้สึกเสียเปรียบอย่างมหันต์!
บทที่ 555
บรรดาผู้นำมหาตระกูลทั้งหลายมากันพร้อมหน้า ไม่มีทางปฏิเสธได้ ผู้นำตระกูลเซียวตระหนักถึงจุดนี้ดี ทว่า เขาเองก็ไม่ต้องการเสียเปรียบ คิดจะเก็บค่าเข้าชม
“เรื่องนั้นสมควรแล้ว”
“ได้ ไม่มีปัญหา”
เหล่าผู้นำมหาตระกูลมิได้อิดออด มิได้มัววนกับปัญหานี้ หินโกลาหลมีความหมายใหญ่หลวง พวกเขารู้ว่าผู้นำตระกูลเซียวคงไม่ยอมให้พวกเขาเชยชมง่าย ๆ มิฉะนั้น พวกเขาคงไม่มากันพร้อมหน้า
“ตรงไปตรงมายิ่ง!”
ผู้นำตระกูลเซียวหัวเราะร่วน ก่อนจะเอ่ยต่อ “วิชาต้นของตระกูลเยี่ยเลื่องชื่อมาแต่โบราณกาล เป็นสุดยอดวิชาในภพเซียน ข้าเลื่อมใสในวิชาต้นตระกูลเยี่ยมานาน ไม่รู้ว่าพอจะมีโอกาสได้ยลคัมภีร์โบราณวิชาต้นของตระกูลเยี่ยหรือไม่ วางใจเถิด ข้าขอยลตำราเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น มิได้ต้องการอ่านครบทั้งหมด”
ผู้นำตระกูลเยี่ยหน้าตาโกรธเกรี้ยว คิดไม่ถึงว่าผู้นำตระกูลเซียวจะขอมากเยี่ยงนี้ ถึงกับขออ่านคัมภีร์โบราณวิชาต้นของพวกเขาตระกูลเยี่ย
วิชาต้นเป็นแก่นสำคัญของพวกเขาตระกูลเยี่ย เป็นรากฐานของตระกูล ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แม้กระทั่งในตระกูลเยี่ยของพวกเขาเอง ก็มิใช่ว่าสมาชิกทุกคนล้วนมีสิทธิ์บำเพ็ญ จำต้องเป็นผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์ฝึกฝน
ทว่าผู้นำตระกูลเซียวมิได้ขอมากจนเกินไป นับว่าหลักแหลมอยู่ที่ยังไว้หน้า เอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่าขออ่านคัมภีร์เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
หากคิดจะอ่านคัมภีร์โบราณวิชาต้นให้ครบทุกบทจริง เขาไม่มีทางตอบตกลง ทว่า หากต้องการอ่านคัมภีร์โบราณวิชาต้นเพียงส่วนหนึ่ง เขาพอเก็บไปพิจารณาได้
ท้ายที่สุด เขาพยักหน้าตกลง พร้อมเอ่ย “ได้”
คัมภีร์โบราณวิชาต้นบางส่วนแลกกับโอกาสเข้าชมหินโกลาหล ถือเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า ไม่นับว่าเสียเปรียบ
จากนั้นเขาเรียกกระดาษทองออกมาแผ่นหนึ่ง สลักคัมภีร์โบราณวิชาต้นลงไปบางส่วน แล้วยื่นให้ผู้นำตระกูลเซียว
หลังผู้นำตระกูลเซียวได้อ่าน กระดาษทองแผ่นนั้นก็ลุกไหม้ด้วยตัวเอง กลายเป็นธุลี อันตรธานหายไป
“จักรพรรดิเซียนเยี่ยเก่งกาจยิ่งนัก วิชาแก่นที่คิดค้นนั้นน่านับถือเหลือคณา”
ผู้นำตระกูลเซียวอุทานด้วยความสะท้อนใจ
วิชาต้นของตระกูลเยี่ยน่าทึ่งเป็นหนักหนา สะกดได้ทั้งผืนฟ้าแผ่นดิน เปลี่ยนแปลงสรรพสิ่งได้ทั้งปวง ซ้ำยังบิดเบือนโลกา รวบรวมพลังมหาศาลทั้งหลายมาเป็นกำลังของตน เรียกได้ว่าเป็นวิชาไร้เทียมทานอย่างแท้จริง!
ผู้นำตระกูลอื่นมิได้เอ่ยวาจา พวกเขารอข้อเรียกร้องจากผู้นำตระกูลเซียวอยู่ เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้ ผู้นำตระกูลเซียวคิดจะโขกสับพวกเขาอย่างหนัก
กระนั้นพวกเขาก็ไร้หนทางอื่น ได้แต่ยอมรับชะตากรรม ผู้ใดใช้ให้ตระกูลเซียวแย่งชิงหินโกลาหลไปได้เล่า มิหนำซ้ำ หินโกลาหลยังวิเศษสูงส่งถึงเพียงนั้น พวกเขาต่างอยากพินิจพิเคราะห์ให้ละเอียด
ตามคาด หลังจากนั้น ผู้นำตระกูลเซียวมีข้อเรียกร้องต่อพวกเขาทีละคน ล้วนเป็นข้อเรียกร้องยิ่งใหญ่สูงค่า ต่อให้พวกเขามีรากฐานลึกล้ำมั่นคง ก็ยังรู้สึกปวดใจไม่น้อย
“ข้าเฝ้าฝันถึงตาน้ำวิจิตรปรัมปราของตระกูลหลินมาโดยตลอด อยากลองลิ้มรสสักอึก ไม่รู้ว่าพี่หลินพอจะช่วยให้ข้าสมหวังได้หรือไม่”
“ตระกูลกู่มีกายเนื้อไร้เทียมทาน เป็นถึงสายเลือดอันดับหนึ่งในภพเซียน ไม่รู้ว่าพอจะยกโลหิตให้ข้าสักหยดได้หรือไม่”
“สหายชิงเหลียนร่ายรำได้งดงามเป็นหนึ่งในใต้หล้า อนิจจา ท่านไม่ยอมรำอีก ไม่รู้ว่าวันนี้ ข้าจะมีวาสนาได้เชยชมการร่ายรำของสหายชิงเหลียนสักบทเพลงหรือไม่”
…
ผู้นำตระกูลเซียวเอ่ยบอกข้อเรียกร้องต่อทุกคน เขาหลักแหลมยิ่ง แม้ว่าเรียกร้องในสิ่งที่ละลาบละล้วง กระนั้นยังไม่ถึงขั้นรับปากมิได้
ลงท้าย บรรดาผู้นำตระกูลต่างทำตามความต้องการของผู้นำตระกูลเซียว
“พี่เซียวใช้ได้นี่ พวกเราเองก็อยากเชยชมท่วงท่าร่ายรำของสหายชิงเหลียนเช่นกัน ท่านกลับปิดประตูดูอยู่คนเดียว ไม่ยอมให้พวกเราร่วมด้วย!”
ผู้นำตระกูลท่านหนึ่งเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
เมื่อคราวผู้นำตระกูลเซียวเอ่ยขอให้สหายชิงเหลียนร่ายรำ พวกเขาทุกคนล้วนตื่นเต้นกันอย่างมาก นึกอยากร่วมชมด้วยกัน
ทว่า ผู้นำตระกูลเซียวกลับพาสหายชิงเหลียนไปยังมุมหนึ่ง ไม่ให้โอกาสพวกเขาได้ดูชม
“ฮ่า ๆ”
ผู้นำตระกูลเซียวหัวเราะ “หากทุกท่านอยากดู เจรจากับสหายชิงเหลียนด้วยตัวเองได้ตามสบาย ข้าอุตส่าห์มีโอกาสนี้แล้ว ย่อมต้องเก็บไว้ชื่นชมตามลำพัง!”
เขาดื่มน้ำจากตาน้ำวิจิตรปรัมปรา เชยชมการร่ายรำของผู้นำตระกูลชิงเหลียน เกษมสำราญยิ่ง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่เขาเคยอยากทำที่สุด
“อย่ามัวพูดมากอยู่ รีบพาพวกเราไปดูหินโกลาหลได้แล้ว!”
ผู้นำตระกูลชิงเหลียนมีสีหน้าเย็นยะเยือก น้ำเสียงฉายชัดถึงความเย็นชา วันนี้นางถูกบีบบังคับให้ร่ายรำ สร้างความโมโหให้นางอย่างยิ่ง หากมิใช่เพื่อหินโกลาหล นางไม่มีทางยอม!
“รีบไปเถิด!”
“อย่ามัวนอกเรื่อง!”
ผู้นำตระกูลท่านอื่นเร่งเร้าเช่นกัน พวกเขาจ่ายไปสมราคาแล้ว ไม่ต้องการเสียเวลาไปมากกว่านี้แม้แต่น้อย พวกเขาอยากไปชมหินโกลาหลเดี๋ยวนี้
สรรพสิ่งล้วนถือกำเนิดขึ้นจากโกลาหล หินโกลาหลย่อมน่าทึ่งสะท้านโลกันตร์อย่างแน่นอน พวกเขาอยากพินิจพิเคราะห์หินโกลาหลให้ละเอียด ดูว่ามีประโยชน์ให้เก็บเกี่ยวบ้างหรือไม่
“ได้ ๆๆ ข้าจะพาทุกท่านไปเดี๋ยวนี้”
ผู้นำตระกูลเซียวคลี่ยิ้มพึงใจ จบเรื่องนี้แล้ว เขามิได้เสียเปรียบแม้แต่น้อย หรืออาจพูดได้ว่ากำไรล้นหลามด้วยซ้ำ
พลังโกลาหลนั้นสูงส่งเกินไป ไฉนเลยจะรู้แจ้งได้ง่ายเยี่ยงนั้น
ตั้งแต่เขามีหินโกลาหลในครอบครอง จวบจนบัดนี้เขายังไม่อาจรู้แจ้งถึงสิ่งใด
จากนั้น เขานำทางเหล่าผู้นำตระกูลมุ่งหน้าไปยังสถานที่กักเก็บหินโกลาหล
หินโกลาหลล้ำค่ายิ่งนัก เขาเก็บหินโกลาหลไว้ในส่วนลึกของตระกูลเซียว ที่นั่นมีบรรพจารย์โบราณแห่งตระกูลเซียวของพวกเขาหลับใหลอยู่ อีกทั้งยังมีผนึกสยดสยองมากมาย ไม่มีทางเกิดเรื่องไม่คาดคิด!
ไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงที่นั่น
ผู้นำตระกูลเซียวพาเหล่าผู้นำตระกูลทั้งหลายข้ามผ่านชั้นผนึกมากมาย จนกระทั่งถึงสถานที่ซึ่งกักเก็บหินโกลาหลไว้
ที่นี่เป็นตำหนักเก่าแก่แห่งหนึ่ง ปราศจากหลังคา ทว่าท้องฟ้าเหนือสถานที่แห่งนี้มีค่ายกลโบราณลึกล้ำเกินหยั่งกางไว้ หากมีผู้ใดบุกรุก แม้กระทั่งผู้นำมหาตระกูลเหล่านี้ก็ไม่อาจต้านไหว ต้องจบชีวิตลงภายใต้ค่ายกลโบราณนี้
และหินโกลาหลตั้งวางอยู่ตรงกึ่งกลางของตำหนักเก่าแก่
“ทุกท่านดูเอาเถิด เชยชมได้ตามสบาย ไม่ต้องเกรงแม้แต่น้อย”
ผู้นำตระกูลเซียวคลี่ยิ้ม ท่าทางใจกว้างเป็นอย่างมาก
ยังต้องให้ผู้นำตระกูลเซียวคอยบอกอีกหรือ
หลังมาอยู่ที่นี่ ผู้นำตระกูลทั้งหลายรีบก้าวเท้าไปยังหินโกลาหล พวกเขาจ่ายราคาไปสูงลิ่วกว่าจะได้มาที่นี่ แน่นอนว่าต้องพินิจให้ดี มิฉะนั้น ไม่คุ้มค่าราคาที่พวกเขาจ่ายไป!
ทว่าหลังพวกเขาได้มาอยู่ตรงหินโกลาหล ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปในบัดดล ต่างคนต่างสบตากัน
“นี่คือหินโกลาหลหรือ”
ผู้นำตระกูลท่านหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงชอบกล
ผู้นำตระกูลเซียวยืนอยู่ด้านหลังพวกเขา หัวเราะออกมาเบา ๆ พลางเอ่ย “เป็นอันใดไป น่าตื่นตะลึงเกินไปหรือ นี่ต้องเป็นหินโกลาหลอยู่แล้ว หินโกลาหลของแท้แน่นอน หินโกลาหลที่ก่อนนี้พวกเราแย่งชิงกันสุดชีวิตอย่างไร”
“จริงรึ?”
เหล่าผู้นำตระกูลมองหน้ากันอีกครั้ง จากนั้น ก็พิจารณา ‘หินโกลาหล’ ตรงหน้านี้อย่างละเอียดอีกครั้ง
บางทีอาจเพราะ ‘หินโกลาหล’ ก้อนนี้วิเศษสูงส่งเกินไป ขอบเขตพลังของพวกเขายังสูงไม่พอ ถึงสัมผัสความมหัศจรรย์ของ ‘หินโกลาหล’ ก้อนนี้มิได้
ใช่แล้ว ตั้งแต่พวกเขามาอยู่เบื้องหน้า ‘หินโกลาหล’ ก็อึ้งกันไปนิดหน่อย พวกเขาไม่อาจจับสัมผัสถึงความวิเศษของ ‘หินโกลาหล’ ตรงหน้าก้อนนี้ได้เลย ‘หินโกลาหล’ ไม่เห็นแตกต่างจากก้อนหินธรรมดาสักนิด!
เพราะเหตุนี้ สีหน้าเมื่อครู่ของพวกเขาถึงได้แปลกประหลาดชอบกล
แต่ไม่นานนัก พวกเขาก็มีสีหน้าประหลาดยิ่งขึ้น
พินิจและจับสัมผัสมาหลายวิธีก็ยังไม่รู้สึกถึงความมหัศจรรย์ของ ‘หินโกลาหล’ ได้เลยแม้แต่จุดเดียว!
ผู้นำตระกูลท่านหนึ่งเอื้อมมือไปแตะ ‘หินโกลาหล’ ก่อนจะบีบนิ้วเล็กน้อยด้วยสีหน้าเคลือบแคลง
ผลปรากฏว่า จุดที่เขาบีบแหลกเป็นผุยผง!
“ท่านบอกว่านี่คือหินโกลาหลหรือ!?”
เขาหันกลับไปมองผู้นำตระกูลเซียวด้วยความกราดเกรี้ยว โมโหจนแทบบ้า สิ่งนี้จะเป็นหินโกลาหลได้อย่างไร
เห็นพวกเขาเป็นคนโง่หรือไรถึงตบตากันเช่นนี้!?