ชอบกินเปลือกแอปเปิลรึ?
แบบนี้ก็ได้หรือ?
บรรดาเทียนตี้ตาโตอ้าปากค้าง คิดไม่ถึงเลยสักนิด แต่ละข้ออ้างของเต่าเซียนเสวียนอู่ช่าง…แปลกใหม่ไม่เหมือนใครเสียจริง!
ทว่าพวกเขาเองก็ตกตะลึงเหมือนกัน เปลือกแอปเปิลนั่นฉกาจถึงเพียงนั้นเชียว? ถึงขั้นทำให้เต่าเซียนเสวียนอู่ยอมกลับคำทั้งหมดที่ตนเคยกล่าว ยอมตบหน้าตัวเอง!
หรือเป็นดั่งที่มัจฉาสัตมายาว่า สิ่งนั้นช่วยให้เต่าเซียนเสวียนอู่อายุขัยเพิ่มขึ้นอีกหลายหมื่นปี
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เปลือกแอปเปิลนั่นไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง อยู่ในระดับน่าทึ่ง!
ต้องรู้ว่า เต่าเซียนเสวียนอู่มีขอบเขตพลังสูงส่งอย่างยิ่งยวด เหนือขั้นเทียนตี้ไปนมนาน โอสถเทียนตี้ยังไม่ส่งผลต่อเต่าเซียนเสวียนอู่ ไม่อาจเพิ่มอายุขัยของเต่าเซียนเสวียนอู่ได้
หากว่าเปลือกแอปเปิลเหล่านี้ช่วยเพิ่มอายุขัยเต่าเซียนเสวียนอู่ได้นับหมื่นปีจริง เปลือกแอปเปิลเหล่านั้นมีโอกาสเป็นเปลือกผลเซียนสูงมาก!
อนิจจา ก่อนนี้พวกเขาเดือดดาลเพราะลั่วสุ่ยใช้เปลือกแอปเปิลเป็นของกำนัลแทนคำขอโทษ กลับมิได้พินิจแอปเปิลเหล่านั้นให้ละเอียดดี ไม่รู้ว่าเปลือกแอปเปิลเหล่านั้นใช่เปลือกผลเซียนจริงหรือไม่
ลั่วสุ่ยและมัจฉาสัตมายาคิดไม่ถึงเช่นกันว่าเต่าเซียนเสวียนอู่จะเอ่ยวาจาเยี่ยงนี้ พวกเขาคิดในใจว่าขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด รู้ถ้อยคำ ‘กินเศษกินเลย’ มากกว่า!
“ผู้อาวุโสไม่โกรธแล้วใช่หรือไม่”
ลั่วสุ่ยถามยิ้ม ๆ คราวนี้เต่าเซียนเสวียนอู่คงหายโกรธได้แล้วกระมัง
“ไม่โกรธ ไม่โกรธ ข้าไฉนเลยจะถือสาเด็ก ๆ อย่างพวกเจ้ากันเล่า พวกเจ้าแค่ชอบตกปลามิใช่หรือ หาใช่เรื่องใหญ่ไม่ ไม่มีปัญหาเลย!”
เต่าชราหัวเราะเบา ๆ ไม่เหลือท่าทีเอาเรื่องสักนิด ปล่อยผ่านได้อย่างสิ้นเชิง
หน้าตาสำคัญเท่าชีวิตที่ไหน
เปลือกแอปเปิลเหล่านี้สุดยอดจริง ๆ หลังเขากลืนเปลือกแอปเปิลลงไป ก็รู้สึกได้ทันทีว่าขุมปราณชีวิตมหาศาลกำลังเวียนว่ายอยู่ในร่างกายของเขา เขาไม่เหลือความรู้สึกคล้ายอายุขัยกำลังเหือดแห้งละเหย กระปรี้กระเปร่าเป็นอย่างยิ่ง!
รอจนเขากลั่นพลังเหล่านี้ในกายได้หมดเมื่อใด เขาย่อมมีชีวิตต่อไปได้อีกหลายหมื่นปี หรืออาจนานยิ่งกว่านั้น!
“ผู้อาวุโสไม่โกรธก็ดีแล้ว”
ลั่วสุ่ยคลี่ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยต่อ “หนนี้ผู้น้อยผลีผลามมาหาผู้อาวุโส เพียงเพราะต้องการพบผู้อาวุโสและหารือด้วยนิดหน่อย…”
“เรื่องอันใด” เต่าชราถาม
“เรื่องนั้น…”
ใบหน้าลั่วสุ่ยฉายแววลำบากใจ เอ่ยขึ้นเสียงเบา “ผู้อาวุโส เราไปคุยกันที่อื่นดีหรือไม่”
นางต้องการพาตัวเต่าชราไป หมายจะให้เต่าชราไปเป็นเต่าดูเล่นในบ่อชมปลา ขืนกล่าวออกมาต่อหน้าธารกำนัล เกรงว่าเต่าชราต้องเสียหน้า
“เรื่องใดกันถึงต้องลึกลับเพียงนั้น ต้องไปพูดกันที่อื่นด้วยหรือ ไม่จำเป็น ข้าเชื่อใจพวกเขา! พวกเขาทุกคนล้วนควรค่าแก่การเชื่อใจของข้า เจ้ามีเรื่องใดว่ามาเลยเถิด!” เต่าชรากล่าว
หลังเอ่ยวาจาเหล่านี้ออกไป บรรดาเทียนตี้ซาบซึ้งใจเหลือคณา พวกเขารู้สึกกันหมดว่าไม่เสียแรงที่มาที่นี่ ลำพังวาจาของเต่าชราเหล่านี้ พวกเขาก็มาอย่างคุ้มค่าแล้ว!
“เรื่องนั้น…หาใช่เรื่องใหญ่อันใด เพียงแต่ผู้น้อยคิดว่าเราหารือกันตามลำพังดีกว่า” ลั่วสุ่ยเกลี้ยกล่อม
“มิใช่เรื่องใหญ่อันใดยิ่งไม่ต้องเลี่ยง เจ้าว่ามาได้เต็มที่”
เต่าชรากล่าวอีกครั้ง ยืนกรานให้ลั่วสุ่ยเอ่ยออกมาต่อหน้าทุกคน
ประเด็นสำคัญคือเขากลัวลั่วสุ่ยคิดไม่ซื่อ หารือเรื่องชั่วช้าสามานย์กับเขา เขากลัวตัวเองห้ามใจไม่อยู่ ยอมจำนนต่อลั่วสุ่ย แล้วดิ่งลงไปในความมืด
หากอีกฝ่ายมิได้นำเปลือกแอปเปิลออกมา เขาคงไม่ยืนกรานขนาดนี้ เขามั่นใจว่าหักห้ามใจตัวเองไหว ทว่า ในเมื่อลั่วสุ่ยนำเปลือกแอปเปิลออกมาได้ ย่อมนำสิ่งที่วิเศษวิโสยิ่งกว่านี้ออกมาได้ เขาไม่มั่นใจจริง ๆ ว่าสามารถหักห้ามตัวเองไหว
เพราะเหตุนี้ เขาจึงขอให้ลั่วสุ่ยเอ่ยออกมาต่อหน้าทุกคน มีบรรดาเทียนตี้อยู่ ต่อให้เขาห้ามใจตัวเองมิไหว บรรดาเทียนตี้ก็ต้องช่วยเขา และไม่ถลำลึกตกต่ำไปเพราะเหตุนี้
ถ้าหากลั่วสุ่ยมิได้ต้องการหารือเรื่องชั่วช้าสามานย์กับเขา ยิ่งมิใช่เรื่องใหญ่
ดั่งเช่นที่เขาว่า เขาเชื่อใจในเหล่าเทียนตี้ ไม่ว่าเรื่องใดก็พูดได้ทั้งนั้น
“ก็ได้”
เมื่อเห็นว่าเต่าชรายืนกราน ลั่วสุ่ยได้แต่เอ่ยออกมา “ข้าอยากพาผู้อาวุโสไปที่ที่หนึ่ง ที่นั่นมีบ่อน้ำอยู่แห่งหนึ่ง ข้าอยากให้ผู้อาวุโสไปใช้ชีวิตที่นั่น”
พูดจบ นางหยิบน้ำออกมาหนึ่งแก้ว พร้อมกล่าวต่อ “นี่คือน้ำจากบ่อนั้น”
น้ำในแก้วนั้นสุกสกาวแวววาว ซ้ำยังมีขุมปราณชีวิตอันน่าทึ่งไหลเวียนอยู่ สูงส่งมหัศจรรย์อย่างไม่ต้องสงสัย ต่อให้มิใช่น้ำอมตะก็แทบไม่ต่างกัน!
เพื่อรักษาหน้าตาของเต่าชรา ลั่วสุ่ยพยายามบอกทางอ้อมอย่างที่สุดแล้ว ทว่าเต่าชราและบรรดาเทียนตี้อยู่ระดับไหน?
แต่ละตนล้วนมีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนาน ประสบการณ์ล้นหลาม หลังพวกเขาได้ยินคำกล่าวของลั่วสุ่ย ก็เข้าใจความหมายในวาจาของลั่วสุ่ยทันที!
ให้เต่าเซียนเสวียนอู่ไปใช้ชีวิตในบ่อน้ำ…
เห็นชัด ๆ ว่าต้องการนำเต่าเซียนเสวียนอู่ไปเป็นสัตว์เลี้ยง!
พับผ่าสิ!
เลินเล่อเกินไป!
ประมาทไปแล้ว!
ใบหน้าเต่าชราคร่ำเครียด รู้สึกแย่เหลือแสน
มีเหตุการณ์เปลือกแอปเปิลก่อนหน้านี้แล้ว ทันทีที่ลั่วสุ่ยหยิบน้ำแก้วนั้นออกมา เขาและบรรดาเทียนตี้ก็พินิจพิเคราะห์น้ำแก้วนั้นอย่างละเอียด
และหลังจากพวกเขาได้พิจารณาแล้ว ก็ต้องตะลึงงันไปในบัดดล น้ำในแก้วใบนั้นสูงส่งมหัศจรรย์อย่างยิ่งยวด เกินกว่าทุกสิ่งที่พวกเขาเคยรับรู้ และพวกเขาผุดความคิดขึ้นมาทันทีว่านี่คือน้ำอมตะ!
หลังเต่าชราได้เห็นน้ำแก้วนี้ ก็ยอมจำนนในทันใด อยากตามลั่วสุ่ยไปด้วย
ไม่ต้องคิดไปมากกว่านี้ก็รู้ได้เลยว่าบ่อน้ำแห่งนั้นสูงส่งเหนือจินตนาการเพียงใด หากเขาได้ไปที่นั่นจริง จากนี้ไปคงมิต้องกังวลว่าอายุขัยจะหมดสิ้นอีก นอกจากนี้ ขอบเขตพลังของเขาก็คงบรรลุสูงขึ้นอีกหลายระดับ!
แม้ว่าเขาสัมผัสไม่ถึงสสารนิรันดร์ในน้ำนั้น กระนั้น เขาสัมผัสถึงสสารพิเศษบางอย่าง สสารระดับนี้คล้ายว่ามิได้ด้อยพลังไปกว่าสสารนิรันดร์เลย มิหนำซ้ำ เขายังรู้สึกได้ราง ๆ ว่าสสารชนิดนี้อาจทรงพลังยิ่งกว่าสสารนิรันดร์เสียอีก!
สิ่งนี้ยวนตายวนใจสำหรับเขามาก หลังเข้าไปในบ่อน้ำ เขาต้องบรรลุเป็นเซียนได้แน่ และกลายเป็นเต่าเซียนอย่างแท้จริง!
เพียงแต่…จะให้รับปากอย่างไรเล่า!?
เทียนตี้ทั้งหลายกำลังดูอยู่ ขืนรับปากง่าย ๆ แบบนี้ เขามิขายหน้าแย่หรือ!
ชั่วลมหายใจนี้ อย่าให้เขาพูดเลยว่าขมขื่นใจเพียงใด หากรู้อย่างนี้ ไยเขาต้องยืนกรานให้กล่าวต่อหน้าธารกำนัลด้วย หารือกันส่วนตัวมิดีกว่าหรือ!
นี่เขาขุดหลุมฝังตัวเองหรือนี่!
เทียนตี้ทั้งหลายฉลาดหลักแหลมกันทั้งนั้น เห็นเต่าเซียนเสวียนอู่ไม่พูดจา จึงรู้ดีว่าเต่าเซียนเสวียนอู่อยากตกลงจะแย่
ว่าไปแล้ว ผู้ใดไม่อยากเล่า
นี่คือวาสนาการเปลี่ยนแปลงสูงสุด!
โอกาสบรรลุเซียนอยู่ตรงหน้า ผู้ใดจะยอมทิ้งไปเล่า!
นี่ก็เพราะพวกเขาไม่มีโอกาสนี้ หากพวกเขามีด้วย ย่อมต้องตอบตกลงทันที!
“ใช้ชีวิตที่ไหนไม่สำคัญ สำคัญที่ผู้อาวุโสเต่าเซียนชื่นชอบการว่ายน้ำ คงอยากไปว่ายน้ำในบ่อน้ำแห่งนั้นใช่หรือไม่!”
“จริงสิ ผู้อาวุโสเต่าเซียนชื่นชอบการว่ายน้ำเป็นชีวิตจิตใจ ควรต้องไปว่ายที่บ่อน้ำนี้สักครา!”
เหล่าเทียนตี้พากันเอ่ยปาก
ให้ตายสิ!
แต่ละคนเรียนรู้ไวปานนี้เลยหรือ
มัจฉาสัตมายานิ่งอึ้ง นึกในใจว่าสมเป็นเหล่าเทียนตี้ นำความรู้มาใช้ได้รวดเร็วเช่นนี้!
“ทุกท่านรู้จักข้าดีจริง ๆ งานอดิเรกที่ข้าผู้นี้โปรดปรานที่สุดก็คือออกว่ายน้ำไปทั่วทุกที่!”
เต่าชราบอกกับเหล่าเทียนตี้ รู้ว่าเทียนตี้ทั้งหลายปูทางลงให้กับเขา
“ดีเลย!”
ลั่วสุ่ยคลี่ยิ้ม ดีใจอย่างยิ่งยวด นางจัดการเรียบร้อยทั้งหินอัศจรรย์และเต่าชรา นางกลับได้แล้ว
...
ขณะเดียวกัน นอกอาณาจักรอวี้ซวี ท่ามกลางอวกาศกว้างใหญ่ไพศาล
“คุณชายอยู่ที่อาณาจักรอวี้ซวีหรือ”
บนนาวาล่องนภา หลิงอินพึมพำกับตัวเองเสียงเบา
นางบังคับนาวาล่องนภาอยู่ ทันทีที่เข้าใกล้อาณาจักรอวี้ซวีก็สัมผัสได้ถึงพลังงานกล้าแกร่งน่าพรั่นพรึงอย่างไม่มีสิ่งใดทัดเทียม ขณะเดียวกัน ยังสัมผัสได้ถึงเจตจำนงมวยอันสูงส่งอีกด้วย
เป็นผลให้นางนึกถึงคุณชายขึ้นมาทันที!
“ไปเถิด เข้าไปดูหน่อย!”
นางมิได้ลังเล แล่นนาวาล่องนภาเข้าไปในอาณาจักรอวี้ซวี
บทที่ 547
ภายในอาณาจักรอวี้ซวี เต่าชราบอกลาเหล่าเทียนตี้ พร้อมทั้งส่งเหล่าเทียนตี้กลับ เขาเตรียมตัวตามลั่วสุ่ยและมัจฉาสัตมายาไป
“จริงสิ ทั้งสองรอข้าสักครู่ ข้าไปจัดการธุระ เดี๋ยวเดียวก็กลับ!”
เต่าชราบอกกับลั่วสุ่ยและมัจฉาสัตมายา มีคนกำลังรอเขาอยู่ เขาจะไปโดยไม่ร่ำลามิได้ โดยเฉพาะไปโดยไม่ร่ำลาสาวงาม
ใช่แล้ว ผู้ที่รอเขาอยู่ก็คือสาวงามผู้นั้น เขาบอกสาวงามว่าอีกไม่นานเขาจะกลับไป ขอให้สาวงามรอเขาอยู่ในเมือง
“ทุกอย่างเรียบร้อย”
ลั่วสุ่ยคลี่ยิ้มพึงใจ เบิกบานอารมณ์เป็นอย่างมาก เมื่อนำหินอัศจรรย์และเต่าชรากลับไปแล้ว คุณชายคงพอใจมากเลยกระมัง ถึงอย่างไร หินอัศจรรย์และเต่าชราก็ไม่เลวเลยทีเดียว
“ใช่แล้ว”
มัจฉาสัตมายาสุขใจมากเช่นกัน หนนี้เขาได้ตามกลับบ้าน แก้ไขปัญหาใหญ่ให้เผ่าพันธุ์ของตน จากนี้ไป เขาสบายใจได้แล้ว
และตอนนั้นเอง ท้องฟ้าพลันมืดมนลง นาวาล่องนภาลำหนึ่งปรากฏ บดบังดวงอาทิตย์บนนภา
หลิงอินและเสี่ยวหยาเหินออกจากนาวาล่องนภา หลิงอินสัมผัสได้ว่าที่นี่คือต้นตอพลังสยดสยองน่ากลัวเมื่อครู่ และเจตจำนงมวยสูงส่งนั้นก็แผ่ขยายออกจากที่แห่งนี้
“หลิงอิน เสี่ยวหยา พวกเจ้ามาได้อย่างไร!?”
เมื่อลั่วสุ่ยได้เห็นหลิงอินและเสี่ยวหยาก็ผงะไป นางคิดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบหลิงอินและเสี่ยวหยาในอาณาจักรอวี้ซวี
นางไม่รู้ว่าช่วงนี้หลิงอินและเสี่ยวหยาไปทำอันใด
มัจฉาสัตมายาคิดไม่ถึงเช่นกัน เขาทักทายหลิงอินและเสี่ยวหยาอย่างมีมารยาท
“สวัสดีพี่หลิงอิน สวัสดีพี่เสี่ยวหยา”
เขาตระหนักดีว่าหลิงอินและเสี่ยวหยาสำคัญต่อคุณชายอย่างไร เมื่ออยู่เบื้องหน้าหลิงอินและเสี่ยวหยา เปรียบเสมือนเด็กว่านอนสอนง่ายคนหนึ่ง
หลิงอินนั้นไม่ต้องพูดถึง ส่วนเสี่ยวหยาแม้จะมาทีหลัง ทว่าเป็นที่โปรดปรานของคุณชายสุด ๆ คุณชายชื่นชมเสี่ยวหยาไม่ขาดปาก ท่าทีคล้ายจะรับเสี่ยวหยาเป็นศิษย์
สรุปก็คือ ทั้งสองท่านนี้เก่งกาจกว่าเขามาก เขาทำตัวมีมารยาทเช่นนี้ย่อมไม่ผิดแน่นอน
“เอ่อ พวกเจ้าคือ?”
เสี่ยวหยาชะงัก จำมิได้ว่าเป็นลั่วสุ่ยและมัจฉาสัตมายา นางประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง สองคนนี้รู้ชื่อพวกนางได้อย่างไร
หลิงอินคลี่ยิ้ม อธิบายกับเสี่ยวหยา “นี่คือแมวน้อยสีขาวที่คุณชายเลี้ยงไว้ และนี่ก็คือมัจฉาสัตมายาที่คุณชายเลี้ยงไว้ในโอ่ง”
บัดนี้ ลั่วสุ่ยและมัจฉาสัตมายาอยู่ในร่างมนุษย์ทั้งคู่ เสี่ยวหยาจำมิได้นับว่าปกติ ตัวนางเองก็จำมิได้เช่นกัน ก่อนนี้ไม่เคยเห็นลั่วสุ่ยในร่างมนุษย์มาก่อน
ทว่าญาณสัมผัสของนางทรงพลังกว่า จึงจับสัมผัสพลังปราณในตัวลั่วสุ่ยและมัจฉาสัตมายาได้ จนล่วงรู้ตัวตนของลั่วสุ่ยและมัจฉาสัตมายา
“พวกเจ้าเองหรือ!”
เสี่ยวหยาถึงบางอ้อ มิน่า ลั่วสุ่ยกับมัจฉาสัตมายาถึงรู้จักพวกนาง
นางจำมัจฉาสัตมายาได้แม่น เมื่อครั้งพบกับมัจฉาสัตมายาคราแรก ก็รู้สึกว่ามัจฉาสัตมายาสวยงาม และน่าเอ็นดูมาก
“ยินดีด้วยจริง ๆ ตอนนี้เจ้าคงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกนำไปต้มกินอีกแล้วใช่หรือไม่”
นางเอ่ยกับมัจฉาสัตมายายิ้ม ๆ
มัจฉาสัตมายามาปรากฏตัวที่นี่ เห็นได้ชัดว่ามีฐานะต่างจากเมื่อก่อน มิใช่ ‘อาหารแมว’ อีกต่อไปแล้ว
“ไม่ต้องกังวลแล้ว! ข้าได้เข้าไปอยู่ในบ่อน้ำประดับแล้ว!”
มัจฉาสัตมายาตอบยิ้ม ๆ
“บ่อน้ำประดับหรือ”
หลิงอินหันมองลั่วสุ่ยและมัจฉาสัตมายา “ดูท่า หลังพวกเราออกมามีเรื่องราวเปลี่ยนแปลงไปมากมายทีเดียว!”
“ใช่แล้ว เปลี่ยนไปมาก! บัดนี้พี่ลั่วสุ่ยได้เป็นนายหญิงของลานเล็กแล้ว!”
มัจฉาสัตมายารีบบอก
ถึงอย่างไรเขาก็สนิทกับลั่วสุ่ยมากกว่า ถึงจงใจพูดให้หลิงอินได้ยิน
ลั่วสุ่ยถลึงตาใส่มัจฉาสัตมายา “เสี่ยวชี อย่าได้พูดเหลวไหล!”
“นายหญิง?”
เสี่ยวหยาผงะ ตากลมโตเบิกกว้าง จ้องมองมัจฉาสัตมายาด้วยความประหลาดใจพลางกล่าว “รีบเล่าให้ข้าฟังที เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่!”
หลิงอินหันมองมัจฉาสัตมายาด้วยความประหลาดใจอย่างมากเช่นกัน
พับผ่าสิ นี่นางเพิ่งออกมาได้นานเท่าไรเอง ลั่วสุ่ยได้เป็นนายหญิงของลานแล้วหรือนี่
ลั่วสุ่ยกลายเป็นผู้หญิงของคุณชายแล้วหรือ?
สีหน้าของนางชอบกลขึ้นมา นึกในใจว่าเซี่ยเหยียนคงร้องไห้ตาบวมไปแล้วกระมัง เซี่ยเหยียนมักชิงดีชิงเด่นกับนางเสมอ จนมองข้ามลั่วสุ่ย ไม่คิดเลยว่าลั่วสุ่ยจะได้เป็นนายหญิงของลาน!
“แหะ ๆ พวกท่านคงยังไม่รู้ คุณชายดีกับพี่ลั่วสุ่ยมาก คืนนั้นรัตติกาลย่ำกราย คุณชายทำตัวหวานชื่นถึงขีดสุด ท่านเตรียมอาหารค่ำสุดหรูไว้ให้พี่ลั่วสุ่ย โดยแยกปลามังกรเซียนตัวหนึ่งเป็นสามส่วน ส่วนหนึ่งนำไปตุ๋นน้ำแดง ส่วนหนึ่งนำไปนึ่ง ส่วนหนึ่งนำไปตุ๋นแกง เรียกได้ว่าพิถีพิถัน ตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง!”
มัจฉาสัตมายาสาธยายอย่างออกรส “ต่อมา คุณชายยังเตรียมเหล้าข้าวเหนียวหอมกรุ่นเลิศรส ร่วมดื่มกับพี่ลั่วสุ่ยใต้ค่ำคืน สุดท้าย คุณชายและพี่ลั่วสุ่ยกลับเข้าไปในห้องนอนคุณชายด้วยกัน…”
“นี่เจ้า!”
ลั่วสุ่ยหน้าดำคร่ำเครียด มัจฉาสัตมายาโม้เก่งเกินไปแล้ว!
ที่สำคัญ ครานั้นเคยเกิดเหตุการณ์คล้ายคลึงกันกับหลิงอิน ตอนนั้นนางยังตำหนิหลิงอินอยู่เลยว่าคิดมากเก่ง!
บัดนี้ได้มัจฉาสัตมายาเล่าแล้ว นางพลันกระอักกระอ่วนขึ้นมาเหลือคณา
“ดื่มจนเมาหรือ!”
หลิงอินมองลั่วสุ่ยยิ้ม ๆ อย่างนี้นี่เอง เช่นนั้นไม่มีอะไรหรอก
คุณชายไม่มีทางกระทำการไม่สมควรหลังเมา
นึกถึงเมื่อคราวนางร่วมดื่มสุรากับคุณชาย แล้ววันรุ่งขึ้น ตื่นขึ้นมาในห้องของคุณชาย ยังถูกลั่วสุ่ยดูแคลนอยู่เลย!
“ไม่เมา ดื่มกันกำลังพอดี คุณชาย…”
มัจฉาสัตมายาไม่รู้ว่าเคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับหลิงอินด้วย คราวนั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นที่เขาหยงหมิง หาใช่เรือนเล็กของคุณชาย
เขาทำท่าจะสาธยายอย่างออกรสต่อ ทว่าไม่รอให้เขาพูดจบ ก็ถูกลั่วสุ่ยขัดขึ้นเสียก่อน!
“หุบปาก!”
ลั่วสุ่ยยกมือเคาะหัวมัจฉาสัตมายา ก่อนจะรีบบอกกับหลิงอิน “อย่าไปฟังที่เขาพูดเหลวไหล ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น!”
ยังจะเล่าต่ออีก!?
ขืนเล่าต่อ นางมิอึดอัดตายหรือ!
หวนนึกถึงถ้อยคำที่นางเคยกล่าวต่อหลิงอิน โอ๊ย หน้านางร้อนผะผ่าวไปหมด!
ลั่วสุ่ยรู้สึกแย่เป็นที่สุด
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างไร สิ่งที่ข้าเล่าล้วนเป็นความจริง! ไม่เชื่อให้กระจกออกมาแถลงไข!”
มัจฉาสัตมายาเอ่ยอย่างน้อยใจ ไม่รู้อดีตของลั่วสุ่ยและหลิงอิน
เขาคิดในใจว่า นี่เขากำลังช่วยพี่ลั่วสุ่ยอยู่นะ เหตุใดพี่ลั่วสุ่ยต้องว่าเขาด้วย
ไม่สนแล้ว!
เขาร้องเรียกต่อ “กระจก กระจก เจ้ารีบออกมาแถลงไขให้ความเป็นธรรมที! ว่าสิ่งที่ข้าได้พูดไปนั้นจริงหรือไม่!”
พลันนั้น กระจกโบราณบานหนึ่งปรากฏออกมากลางอากาศ พร้อมกับมีเสียงดังออกจากข้างใน
“จริงสิ เรื่องในคืนนั้นพวกเรารู้กันหมด ทุกคนปฏิบัติต่อพี่ลั่วสุ่ยเสมือนนายหญิงมานานแล้ว!”
กระจกโบราณก็คือ ‘แท็บเล็ต’ มันจับตาดูสถานการณ์ด้านนี้อยู่ตลอดเวลา
“เห็นหรือไม่ ข้ามิได้โกหก!”
มัจฉาสัตมายากล่าวต่อ “นี่คือความจริง! ความจริงที่รับรู้โดยทั่วกัน!”
“จริงหรือ”
หลิงอินมองลั่วสุ่ยยิ้ม ๆ มิได้เอ่ยอันใดอีก
ลั่วสุ่ยกระอักกระอ่วนเหลือคณา เล่าเรื่องนี้ต่อหน้าผู้อื่นยังไม่เท่าไร เล่าต่อหน้าหลิงอิน นางอยากแทรกแผ่นดินหนีเสียจริง!
เมื่อครั้งเกิดเรื่องเช่นนี้กับหลิงอิน นางเยาะเย้ยถากถางหลิงอินไปไม่น้อย!
“ความจริงอะไร! ข้าว่าเจ้าครั่นเนื้อครั่นตัวอยากโดนอัดใช่หรือไม่!”
ลั่วสุ่ยหิ้วคอมัจฉาสัตมายาขึ้นมาอัดเสียยกใหญ่ อัดจนมัจฉาสัตมายาร้องโหยหวน
ไม่ยุติธรรมกับเขาเอาเสียเลย
เขาช่วยพูดเข้าข้างพี่ลั่วสุ่ย พี่ลั่วสุ่ยยังจะอัดเขาอีกหรือ
เรื่องอะไรกัน!
มัจฉาสัตมายาอดสูในใจเหลือเกิน!
บทที่ 548
เต่าชรากลับมา ส่งสาวงามเข้าไปในลานเต๋าของเขา
เขากลับไปพบสาวงามหนนี้ ได้รู้ว่าสาวงามอยู่ตัวคนเดียว ไร้ที่พึ่งพิง จึงส่งตัวสาวงามกลับไปในลานเต๋าของเขา บอกให้สาวงามบำเพ็ญตนในลานเต๋าของเขาให้สบายใจ แล้วรอคอยการกลับมาของเขา
“วางใจเถิด ข้าจะกลับมา ถึงคราวนั้น เราสองคนจะครองคู่ไม่มีวันแยกจาก อิจฉาแต่ยวนยาง ไม่อิจฉาเซียน!”
เต่าชราร้องห่มร้องไห้โบกมือลาสาวงาม ประหนึ่งคู่รักวัยเยาว์ที่กำลังจะพลัดพรากจากกัน
ทว่าแท้จริงแล้ว เขาอายุอานามปาไปตั้งไม่รู้เท่าไร รูปลักษณ์เด็กหนุ่มในตอนนี้เป็นการตั้งใจจำแลงของเขา
“กลับมาแล้ว เราร่วมทางไปด้วยกันเถิด!”
ลั่วสุ่ยบอกกับหลิงอิน
นางเล่าทุกอย่างให้หลิงอินฟังแล้ว ขณะเดียวกัน หลิงอินก็เล่าทุกอย่างให้นางฟัง
พอดี พวกเขาสามารถกลับโดยใช้พลังจากกระจกโบราณ
เช่นนี้ประหยัดเวลาหลิงอินไปได้อีกมาก
มิฉะนั้น ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าใดหลิงอินจึงจะกลับไปถึง ถึงแม้นาวาล่องนภาล่องอวกาศได้รวดเร็ว กระนั้นระยะทางก็ห่างไกลเกินไป
“จริงสิ ไม่ต้องส่งพวกเรากลับไปที่เมืองชิงซาน บนนาวาล่องนภามีนารีจิ้งจอกสวรรค์อยู่หลายตน ข้าต้องหาบ้านให้พวกนางก่อน”
เวลานั้น หลิงอินเอ่ยขึ้น “ส่งพวกเราไปที่สำนักไท่หัวก็พอ”
นางคิดช่วยหาบ้านให้เผ่านารีจิ้งจอกสวรรค์ และแดนบูรพาทิศเหมาะสมที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย เช่นนี้สะดวกต่อการดูแลเผ่านารีจิ้งจอกสวรรค์สำหรับนางด้วย
และกับแดนบูรพาทิศ สำนักไท่หัวมีความรู้มากกว่านางอย่างไม่ต้องสงสัย นางตั้งใจไปที่สำนักไท่หัว เพื่อขอความช่วยเหลือจากสำนักไท่หัว ให้ช่วยหาถิ่นพำนักให้เผ่านารีจิ้งจอกสวรรค์
“ได้! เช่นนั้นส่งพวกเราไปที่สำนักไท่หัวด้วยเถิด แล้วเราค่อยเดินทางกลับจากสำนักไท่หัว” ลั่วสุ่ยบอก
จากนั้น พวกเขาก้าวขึ้นไปบนนาวาล่องสวรรค์พร้อมกัน
“ได้เลย!”
กระจกโบราณตอบ ก่อนจะรีดเร้นพลังบางอย่าง พลันนั้น นาวาล่องสวรรค์หายวับไปจากที่เดิม
ภายในนาวาล่องนภา เต่าชราได้เห็นนารีจิ้งจอกสวรรค์มากมาย ตาของมันแทบถลน!
นี่เขา…นี่เขามาถึงแดนสุขาวดีแล้วหรือ?
นารีจิ้งจอกสวรรค์เย้ายวนใจเป็นที่สุด เพียงคนเดียวก็ได้รับความหฤหรรษ์สูงสุด สวรรค์ ที่นี่มีจิ้งจอกนารีสวรรค์มากมายปานนี้ จะหฤหรรษ์เป็นกี่เท่ากันเชียว
“ขอปรึกษาด้วยหน่อยได้หรือไม่ ให้ข้าไปกับนารีจิ้งจอกสวรรค์เหล่านี้เถิด เต่าชราผู้นี้จะช่วยพวกนางสร้างถิ่นที่อยู่เอง!” เต่าชราร้องตะโกน
ทว่าลั่วสุ่ยและหลิงอินต่างไม่สนใจเต่าชรา
...
ณ ดินแดนฮวง
เมืองเก้าวิบัติ
เมืองนี้โกลาหลเป็นพิเศษ เหตุการณ์นองเลือดมีให้เห็นอยู่ทุกวี่วัน สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้ มิมีตนใดมีคุณธรรม ทั้งหมดล้วนโหดเหี้ยมอำมหิต!
ทว่า ณ สถานที่หนึ่งในเมืองนี้ สิ่งมีชีวิตในนั้นกลับ ‘สงบสุข’ กันเป็นอย่างยิ่ง ที่นี่ไม่มีเหตุการณ์นองเลือด สิ่งมีชีวิตทั้งหลายล้วนอยู่กันอย่างปรองดอง
“พระเก้าประทีปพุทธเจ้า มีจิตใจเมตตากรุณา โปรดสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์!”
“ข้าพระพุทธเก้าประทีป!”
สิ่งมีชีวิตมากมายในนั้นพากันท่องบทสวด หน้าตาเลื่อมใสเป็นที่สุด และโดยที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ลำแสงมากมายพุ่งออกจากสิ่งมีชีวิตผู้ท่องบทสวดเหล่านี้ไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง
ที่นี่คือพุทธภูมิที่สามเณรน้อย หรือก็คือพระเก้าประทีปพุทธเจ้าสรรสร้างขึ้นให้ตัวเอง สิ่งมีชีวิตในนั้นล้วนนับถือบูชาแต่เพียงเขา
และบทสวดที่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ได้ท่อง ก็เป็นบทสวดที่เขาแต่งขึ้นเอง
เขานั้นเปี่ยมด้วยความสามารถ มิฉะนั้นคงไม่ถูกขนานนามว่าเป็นที่สองรองจากพระอมิตาภะพุทธเจ้า เป็นตัวตนที่มีโอกาสได้อยู่ในระดับเดียวกับพระอมิตาภะพุทธเจ้า
นอกจากนี้ จากที่เขาฝ่าฝันจนมีถิ่นฐานของตนที่เมืองเก้าวิบัติอันวุ่นวายนี้ในเวลาสั้น ๆ ริเริ่มพุทธภูมิของตัวเขาเอง ซ้ำยังเห็นผลอย่างยิ่ง เท่านี้ก็พอดูออกว่าเขานั้นไม่ธรรมดาจริง ๆ ฉลาดหลักแหลม มากความสามารถ
“ไปเถิด ไปโปรดสิ่งมีชีวิตมากกว่านี้อีกหน่อย ขยายอาณาบริเวณพุทธภูมิของเรา”
สามเณรน้อยกระโจนตัวขึ้น หมายจะขึ้นขี่หมาป่าขาวตัวหนึ่ง ออกลุยเพื่อพุทธภูมิของเขา ขยายอาณาบริเวณพุทธภูมิของเขา รับสาวกผู้เลื่อมใสศรัทธาต่อเขาให้เพิ่มมากกว่านี้
ทว่าเรื่องที่เขาคิดไม่ถึงเลยก็คือ ขณะที่เขาเหินตัวกำลังจะขี่บนหลังหมาป่าขาว เขากลับถูกพลังสายหนึ่งดีดออกไป!
เขามิได้ตั้งตัวแม้แต่น้อย กระเด็นออกไปตกพื้นทันที ล้มชนิดหน้าคว่ำ!
“เจ้า!”
สามเณรน้อยคลานขึ้นจากพื้น ตวัดสายตามองหมาป่าขาวอย่างกราดเกรี้ยว เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังนั้นมาจากตัวหมาป่าขาว
เรื่องที่เขาไม่คิดไม่ฝัน เกินความคาดหมายไปมากก็คือ เหตุใดจู่ ๆ หมาป่าขาวถึงแข็งแกร่งขึ้นปานนี้
นอกจากนี้ เขาเคยท่องบทสวดอยู่ข้างกายหมาป่าขาวทุกคืนวัน ‘โปรด’ หมาป่าขาวจนยอมหันหน้าหาธรรม หมาป่าขาวควรอยู่ในโอวาทของเขามาแต่แรก ไม่ควรมีความคิดเป็นอื่นเลย!
ไฉนยามนี้ถึงลงไม้ลงมือกับเขา
“เจ้าคนเดนตาย ป่านนี้แล้วยังคิดขี่ข้าอยู่อีกหรือ!?”
หมาป่าขาวแยกเขี้ยว เนตรหมาป่าทอประกายดุดัน ท่าทางนั้นราวกับต้องการกลืนกินสามเณรน้อยเข้าไปทั้งเป็น!
เมื่อเอ่ยถึงคำว่า ‘ขี่’ ร่างของหมาป่าขาวสะดุ้งอย่างเห็นได้ชัด
นางหวนนึกถึงหนึ่งร้อยรอบในอดีต หนึ่งร้อยรอบเชียวนะ!
นางผู้เป็นตัวตนระดับเหนือเซียน กลับถูกอสูรหมูอัปลักษณ์ต่ำชั้นสุด ๆ ตัวหนึ่งกดลงเตียง เล่นสนุกอยู่หนึ่งวันเต็ม ทำสถิติไปเกินกว่าหนึ่งร้อยรอบ ตอนนี้นางแค่คิดยังรู้สึกทนไม่ไหว โมโหจนอกจะระเบิด!
ที่สำคัญ หลังหลุดออกจากอสูรหมู นางยังถูกสามเณรน้อย ‘ขี่’ อยู่ใต้ตัวตลอด แม้ว่าการ ‘ขี่’ นี้ต่างจากการขี่นั้น กระนั้นก็สร้างความอัปยศให้นางอย่างเหลือแสน ทนไม่ไหวอีก!
ใช่แล้ว นางมิใช่ใครอื่น เซียวฮุ่ยที่หนีไปได้นั่นเอง!
ครานั้น สภาพของนางย่ำแย่ถึงขีดสุด ต้องมาอยู่ในร่างอสูรหมาป่าขาวตนนี้อย่างหมดทางเลือก ผลกลับกลายเป็นต้องประสบเคราะห์ร้ายอย่างที่นางไม่เคยพานพบมาก่อน!
ทว่าบัดนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว!
ช่วงเวลาที่ผ่านมา นางเริ่มฟื้นตัวขึ้นมา มิใช่ตอนที่ไม่มีเรี่ยวแรงขัดขืนอีกต่อไป!
ถึงอย่างไรนางก็เคยเป็นการดำรงอยู่ที่เหนือชั้นกว่าเซียน แม้ว่าก่อนนี้จะบาดเจ็บสาหัส ทว่านางก็ยังฟื้นตัวได้ทีละนิดอย่างรวดเร็ว!
วิชาอภินิหารและคัมภีร์ซึ่งอยู่ในการครอบครองของนางสูงส่งมหัศจรรย์เป็นหนักหนา!
หากมิใช่เช่นนี้ นางไม่มีทางฟื้นตัวได้บ้างในเวลาอันสั้นแค่นี้
แน่นอนว่านางยังฟื้นตัวไม่สมบูรณ์ หากนางคิดจะฟื้นตัวโดยสมบูรณ์ ย่อมต้องใช้เวลาไม่น้อย
นางอาจไม่มีทางคืนกลับสู่ช่วงทรงพลังที่สุดอีกแล้วก็ได้
อาการบาดเจ็บของนางฉกรรจ์เกินไป ร้ายแรงจนสึกกร่อนไปถึงแหล่งกำเนิดพลังของนาง หากนางต้องการคืนพลังสมบูรณ์ ย่อมมิใช่เรื่องง่าย
แต่ถึงแม้นางยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ กระนั้นจัดการกับสามเณรน้อยในตอนนี้มิใช่ปัญหาแม้แต่น้อย!
“หมายความว่าอย่างไร!?”
สามเณรน้อยขมวดคิ้ว เอ่ยถามเซียวฮุ่ย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเซียวฮุ่ยถึงทำเช่นนี้กับเขา
“ข้าไม่ดีกับเจ้าหรือ ข้ารับเจ้ามาเป็นสัตว์พาหนะ ถ่ายทอดบทสวดให้เจ้าทุกวี่วัน จนเจ้าแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ บัดนี้เจ้ากลับคิดต่อกรกับข้า เป็นปฏิปักษ์กับข้าอย่างนั้นหรือ?” เขาถามเซียวฮุ่ย
“ถุย! เจ้าเห็นทั้งหมดนั่นเป็นเหมือนพรอันประเสริฐที่เจ้าประทานแก่ข้าหรือ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร! ริอ่านให้ข้าถือการเป็นสัตว์พาหนะของเจ้าเป็นเกียรติยศ!?”
เซียวฮุ่ยจิตสังหารพลุ่งพล่าน เอ่ยด้วยเสียงเย็นยะเยือก “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร!?”
หลังสามเณรน้อยได้ยินคำกล่าวของเซียวฮุ่ย ก็หัวเราะออกมาทันที
“เจ้าได้เป็นสัตว์พาหนะให้ข้า ย่อมเป็นเกียรติยศสูงสุดของเจ้า!”
เขาหันมองเซียวฮุ่ยพลางกล่าว “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”
นี่เซียวฮุ่ยคิดจะประชันภูมิหลังกับเขาอย่างนั้นหรือ
เขานึกขัน
เซียวฮุ่ยน่ะหรือจะสู้เขาได้?
บทที่ 549
สามเณรนึกขันอย่างยิ่ง จากที่อสูรหมาป่าขาวว่ามา คล้ายว่ามันมีภูมิหลังที่มาที่ไปอันลึกล้ำยิ่งใหญ่
ทว่า เขาเองก็เป็นเช่นนั้น
ดูเผิน ๆ เขาเป็นเพียงเด็กน้อยอายุไม่เท่าไร แต่ความจริงแล้ว เขาเป็นถึงองค์พระโบราณ องค์พระโบราณไร้เทียมทานในยุคโบราณ ว่ากันด้วยความสำเร็จทางพุทธศาสนาและขอบเขตพลัง เขาเป็นรองเพียงพระอมิตาภะพุทธเจ้า!
เขาซึ่งอยู่ในระดับนี้ ใช่ผู้ที่อสูรหมาป่าขาวเทียบได้ที่ไหน!?
น่าขันตายชัก
“เอาสิ พูดให้ข้าฟังที ดูสิว่าข้าจะตกใจหรือไม่”
เซียวฮุ่ยหัวเราะเช่นกัน อย่าว่าแต่สามเณรน้อยมีภูมิหลังยิ่งใหญ่เกรียงไกรเลย ต่อให้สามเณรเป็นถึงเซียน ก็ไม่อาจทัดเทียมนางได้
นางเป็นถึงยอดฝีมือตระกูลเซียว เซียนสามัญทั่วไปมิได้มีความหมายแต่อย่างใดเมื่ออยู่ต่อหน้านาง นางปลิดชีพได้ง่ายดาย
“ข้าคือองค์พระโบราณแห่งยุคโบราณ พระเก้าประทีปพุทธเจ้า!”
สามเณรน้อยมีสีหน้าเย่อยิ่งทระนง “ยุคโบราณ ยุคอนันตกาล ยุคบรรพกาล ยุคปัจจุบัน ข้ามีชีวิตมาถึงสามยุคสมัย จนกระทั่งมาถึงยุคนี้ ผู้ได้ทำเช่นนี้ได้บ้าง ตอนนี้เจ้าคงเข้าใจแล้วใช่หรือไม่ว่า การได้ติดตามอยู่ข้างกายข้า เป็นสัตว์พาหนะของข้า เป็นเรื่องโชคดีเพียงใดสำหรับเจ้า!”
พูดกันตามตรง เขานั้นเก่งกาจอย่างแท้จริง
ไม่ต้องกล่าวถึงวิธีหรือพลังแบบพิเศษที่สิ่งมีชีวิตในเก้าแดนต้องห้าม หรือแม้กระทั่งอาณาจักรอื่นใช้ในการยืดอายุขัย ลำพังสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรนี้ที่สามารถมีชีวิตอยู่มาถึงสามยุคสมัยนั้นน้อยมากจริง ๆ ยอดเยี่ยมวิเศษอย่างอย่าง!
เซียวฮุ่ยหัวเราะ “องค์พระโบราณจากยุคโบราณหรือ เก่งแค่ไหนเชียว…บรรลุเซียนแล้วหรือยัง”
“ดื้อด้านไม่ยอมฟัง!”
สามเณรน้อยตวาด คิ้วขมวดมุ่น เดิมเขาคิดว่าหากเผยตัวตนไป เซียวฮุ่ยต้องตกตะลึง หารู้ไม่ว่าเซียวฮุ่ยจะเอ่ยวาจาเช่นนี้!
บรรลุเซียนหรือยัง?
ประโยคนี้ทำให้เขารู้สึกแย่เป็นอย่างมาก เซียนบรรลุกันง่าย ๆ ที่ไหน นับแต่โบราณกาล ไม่เคยมีสิ่งมีชีวิตตนใดได้บรรลุเป็นเซียนมาก่อน!
เซียวฮุ่ยจงใจถากถางเขาชัด ๆ!
“โง่เง่าด้อยปัญญา คิดแล้วเจ้าคงเป็นตัวละครต่ำต้อย ไม่เข้าใจว่าองค์พระโบราณในยุคโบราณนั้นมีความหมายอย่างไร!” เขาตวาดต่อ
“ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าองค์พระโบราณในยุคโบราณนั้นมีความหมายอย่างไร…”
เซียวฮุ่ยปรายตามองสามเณรน้อย “ข้าขอถามเพียงประโยคเดียว เก่งกาจสู้เซียนได้หรือไม่”
“เจ้าเอ่ยถึงเซียนอยู่หลายครา หมายความว่าอย่างไร เจ้าเป็นเซียนอย่างนั้นหรือ”
สามเณรน้อยยิ้มเย็น อย่างเซียวฮุ่ยยังบังอาจถากถางเขาอีกหรือ?
“เซียน…ข้ามิใช่จริง ๆ นั่นแหละ” เซียวฮุ่ยเอ่ย
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้ามิใช่เซียน ต้องให้เจ้าพรรณาอีกหรือ”
สามเณรน้อยทอดมองเซียวฮุ่ย หรือเซียวฮุ่ยไม่เข้าใจถ้อยคำประชด เข้าใจว่าเขาพูดจากใจจริงว่าเซียวฮุ่ยอาจเป็นเซียน?
น่าขันยิ่งนัก!
“ข้ามิใช่เซียน แต่ข้าอยู่เหนือเซียนไปนานแล้ว!”
เซียวฮุ่ยปริปาก เอ่ยขึ้น “ต่อหน้าข้า เซียนมิได้มีค่าอันใด เปรียบดั่งธุลี ข้าพลิกตัวคราเดียวก็ฆ่าได้!”
โม้เก่งปานนี้เชียว!?
สามเณรน้อยนึกในใจว่า เขาคิดจริง ๆ ว่าเซียวฮุ่ยมีภูมิหลังน่ากลัวไม่ธรรมดา ที่แท้เซียวฮุ่ยแค่สติไม่ดีหรอกหรือนี่!
“ใช่แล้ว เจ้าเก่งที่สุด เซียนยังสู้เจ้ามิได้ เสมือนธุลีเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้า ทว่าข้าสงสัยนัก คนองอาจเช่นเจ้า ไยจึงถูกอสูรหมู…หนึ่งร้อยรอบเชียว”
สามเณรน้อยเอ่ยอย่างนึกขัน “อสูรหมูมาหาข้าตั้งหลายครา เอ่ยว่าอยากหนึ่งร้อยรอบกับเจ้าอีก แต่ถูกข้าห้ามไว้ ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะไม่รู้ผิดชอบชั่วดีเช่นนี้ ฝันเฟื่องเพ้อเจ้อ เอาเถิด อสูรหมูอัดอั้นมานานเยี่ยงนี้ ได้เวลาระบายความต้องการออกมาแล้ว ข้าคิดว่าหนนี้ อสูรหมูคงทำได้ถึงหนึ่งพันรอบเลยกระมัง”
สามเณรน้อยไม่กล่าวถึงเรื่องนี้ยังดี พอกล่าวถึงเรื่องนี้ เซียวฮุ่ยเดือดดาลขึ้นไปใหญ่ อกแทบระเบิดอยู่ตรงนั้น!
นี่ต้องเป็นจุดด่างพร้อยใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตมนุษย์ ไม่สิ ชีวิตเซียนของนาง!
นางลงมือทันที พลังแกร่งกล้าซัดสาดออกไป ถล่มใส่สามเณรน้อย
สามเณรน้อยไม่ธรรมดา ทีแรก เขาฟื้นพลังจนมาอยู่ในขอบเขตสูงสุดแล้ว ต่อมาเขาบาดเจ็บสาหัสเพราะต้าเต๋อ รากฐานทั้งหมดถูกทำลายจนป่นปี้
แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงองค์พระโบราณในยุคโบราณ มีฝีมืออยู่พอสมควร ประกอบกับเมืองเก้าวิบัตินี้โกลาหลวุ่นวาย เขาจึงได้ดูดกลืนแก่นโลหิตของสิ่งมีชีวิตมากมาย ผนวกกับพลังศรัทธา เขาถึงผ่านมาได้ อีกทั้งบรรลุขอบเขตขึ้นมาได้อีกครั้ง
บัดนี้ เขาอยู่ในขอบเขตนักบุญแล้ว!
ทว่าเมื่อเทียบกับเซียวฮุ่ย เขายังห่างชั้นอีกมาก หลังพลังเซียวฮุ่ยถล่มลงมา เขาถูกกำราบในพริบตา ไม่มีเรี่ยวแรงขัดขืนแม้แต่น้อย!
เซียวฮุ่ยเหนือชั้นกว่าเซียนไปนานแล้ว ขอเพียงไม่ตาย นางสามารถฟื้นตัวได้เร็วจนน่าทึ่ง!
“หนึ่งร้อยรอบใช่หรือไม่ หะ หนึ่งร้อยรอบ!”
เซียวฮุ่ยหิ้วคอสามเณรน้อยขึ้นมาซ้อมอย่างหนัก ตบหน้าสามเณรน้อยไม่หยุดหย่อน จนใบหน้าสามเณรน้อยบิดเบี้ยวผิดรูปผิดร่าง!
“ยังจะกล้าพูดอีกหรือไม่ หนึ่งพันรอบใช่หรือไม่ หะ หนึ่งพันรอบ!”
“มีหน้าอวดอ้างความเป็นองค์พระโบราณจากยุคโบราณกับข้าอีกหรือ!”
“ต่อให้เจ้าเป็นองค์พระเซียนก็เท่านั้น!”
อย่าให้พูดเลยว่าเซียวฮุ่ยโมโหเพียงใด นางระบายความกราดเกรี้ยวในช่วงที่ผ่านออกมาทั้งหมด หวดสามเณรน้อยจนเจ็บเจียนตาย!
สามเณรน้อยทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง เดิมเขาคิดว่าตัวเองพบสัตว์พาหนะอันเหมาะสมแล้ว หารู้ไม่ว่าเป็นแม่ทูนหัวผู้ไม่อาจแหยม!
เขาโชคร้ายเกินไปแล้ว ทันทีที่สถานการณ์เริ่มเป็นไปในทางที่ดีขึ้น เขาก็ต้องพานพบการเปลี่ยนแปลงเยี่ยงนี้
หากรู้อย่างนี้แต่แรก มิสู้ให้เขาเชือดเซียวฮุ่ยไปเลยตั้งแต่ครานั้น!
“ฮูหยิน เจ้าทำกระไรอยู่ เจ้าปฏิบัติต่อองค์พระโบราณเช่นนี้ได้อย่างไร!”
สุ้มเสียงทางนี้ดังมาก อสูรหมูจึงพุ่งเข้าไปจากข้างนอก เมื่อเขาได้เห็นเซียวฮุ่ยหิ้วคอสามเณรน้อยขึ้นมาซ้อม ก็นิ่งค้างไปในบัดดล!
“เจ้ามาได้พอดี!”
หลังเซียวฮุ่ยหันมาเห็นอสูรหมู ดวงตาแทบพ่นไฟ อยากจะตบอสูรหมูให้ตายในฝ่ามือเดียว
นางเป็นถึงตัวตนผู้เหนือเซียน เคยต้องอดสูเยี่ยงนี้ที่ไหน?
ต้องถูกอสูรหมูตัวหนึ่งทับอยู่บนเตียง ทำกันถึงหนึ่งร้อยรอบ!
นางไม่รู้ว่าตัวเองพิโรธปานใด!
ทว่าลงท้ายนางก็กลั้นเอาไว้ มิได้ตบอสูรหมูตายในฝ่ามือเดียว เช่นนั้นอสูรหมูตัวนี้คงสบายเกินไป!
นางชี้นิ้วออกไป พลันนั้น มีประกายเจิดจ้าพุ่งเข้าไปในร่างของอสูรหมู สะกดพลังทั้งหมดในตัวอสูรหมูไว้
“ฮูหยิน เจ้าคิดจะทำอันใด”
อสูรหมูตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง ยังคิดว่าเซียวฮุ่ยคือฮูหยินของเขาในอดีต เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดบัดนี้ฮูหยินของเขาถึงแข็งแกร่งได้ขนาดนี้
“มิได้ทำอันใด เจ้าชอบหนึ่งร้อยรอบมิใช่หรือ! ครานี้เราเล่นกันให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม หนึ่งพันรอบไปเลย!”
เซียวฮุ่ยทอดมองอสูรหมู รอยยิ้มละไมประดับอยู่บนใบหน้า
“ที่แท้ฮูหยินอยากได้หนึ่งพันรอบหรอกหรือ เรื่องนั้นง่ายนิดเดียว ไม่จำเป็นต้องสะกดพลังของข้า!”
อสูรหมูหัวเราะ
“ไม่สะกดพลังเจ้าไว้ ข้ากลัวเจ้าไม่ยอมอย่างไรเล่า”
เซียวฮุ่ยหัวเราะ “ครั้งนี้ข้าจะให้พวกเจ้าสองคนได้สนุกกันเต็มที่ เขาอยู่บน เจ้าอยู่ล่าง ไม่ถึงหนี่งพันรอบเราจะไม่หยุด”
“อะไรนะ? เราสอง…คน!?”
อสูรหมูตกใจแทบแย่ เกือบร้องไห้ออกมา “ฮูหยิน เจ้าล้อข้าเล่นใช่หรือไม่!”
ซ้ำยังเป็นเขาที่อยู่ล่าง สามเณรน้อยอยู่บน นี่คิดจะให้สามเณรน้อยขืนใจเขาหรือ!?
“ไม่นะ! ข้า…ยังเป็นร่างพรหมจรรย์อยู่เลย! พี่สาว พี่เซียน ท่านปล่อยข้าไปเถิด!”
สามเณรน้อยร่ำไห้ออกมา โขกศีรษะขอความเมตตาจากเซียวฮุ่ย
เซียวฮุ่ยหันมองสามเณรน้อย “เจ้าชื่นชอบการขี่มิใช่หรือ หนนี้เจ้าได้ขี่จนพอใจแน่! ข้าต้องขอบคุณเจ้า ขอบคุณเจ้าที่เอ่ยถึงหนึ่งพันรอบ มิฉะนั้น พวกเจ้าเองก็คงแค่ร้อยรอบเท่านั้น ความสนุกหายไปมากทีเดียว”
หลังได้ยินวาจาของเซียวฮุ่ย สามเณรน้อยสำนึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง อยากตบปากตัวเองให้ตาย!
ไยเขาต้องปากมากด้วย!
ไม่ได้นะ เขายังเป็นร่างพรหมจรรย์อยู่ ไม่เคยแตะต้องสตรีมาก่อน บัดนี้พรหมจรรย์ของเขาต้องเสียให้กับอสูรหมูอย่างนั้นหรือ!?
แค่คิดเขายังรู้สึกรับไม่ไหว รีบขอความเมตตาจากเซียวฮุ่ยอีกครั้ง
อนิจจา เซียวฮุ่ยไม่ให้โอกาสนี้กับเขา
เซียวฮุ่ยชี้นิ้วออกไป พลันนั้น มีประกายพุ่งเข้าไปในวิญญาณสามเณรน้อย จากนั้น สายตาสามเณรน้อยเปลี่ยนไป ร่างกายเริ่มร้อนรุ่มขึ้นมา
ในสายตาสามเณรน้อย อสูรหมูกลายเป็นสตรีโฉมสะคราญ!
เขาร้องเสียงหลง อดทนกับความร้อนรุ่มในใจไม่ไหวอีกต่อไป พุ่งปราดเข้าไปหาอสูรหมู
“หนึ่งพันรอบไปเลยหนึ่งพันรอบ…พวกเจ้าเล่นให้สนุก”
เซียวฮุ่ยคลี่ยิ้มพึงใจ ก่อนจะไปจากที่นี่
บทที่ 550
เซียวฮุ่ยเดินออกมาด้านนอก ก่อนที่ร่างของหมาป่าขาวจะระเบิดออก ร่างนี้ถูกอสูรหมูทำให้แปดเปื้อนไปแล้ว นางจะไม่ใช้มันอีกต่อไป
นางสร้างร่างเนื้อบริสุทธิ์ของตนเองขึ้นมาด้วยวิชาลับบางอย่าง เพียงไม่นานร่างของนางก็ก่อตัวขึ้นมาเป็นหญิงสาวเยาว์วัยที่มีผิวพรรณงดงาม
นี่คือรูปลักษณ์ของนางในตอนที่เป็นสาว
เซียวฮุ่ยยกมือข้างหนึ่งขึ้น ใช้พลังสร้างเก้าอี้โยกขึ้นมาตัวหนึ่ง ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนฟังเสียงร้องโหยหวนราวกับหมูถูกเชือดที่ดังออกมาจากภายใน รอยยิ้มกว้างปรากฏบนหน้าของนาง
อสูรหมูต้องประสบกับความเจ็บปวดเดียวกับที่นางพานพบในเวลานั้น ทำให้นางเบิกบานใจเป็นอย่างมาก ทั้งยังสบายใจเป็นอย่างยิ่ง นางมีความสุขยิ่งกว่าตอนที่นางได้กลายเป็นเซียนเสียอีก!
นางชื่นชมตัวเองเป็นอย่างมากที่สามารถนึกความคิดดี ๆ เช่นนี้ออกมาได้ เดิมทีนางวางแผนจะหาแม่สุกรมาให้อสูรหมู แต่ว่าแม่สุกรจะดีเท่าพระเก้าประทีปพุทธเจ้าได้อย่างไร?
นี่คือพระเก้าประทีปพุทธเจ้าเชียวนะ!
ด้านในอสูรหมูเอาแต่ร้องออกมาไม่หยุด มันไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะต้องมีวันที่มันจะมาลงเอยเช่นนี้!
เดิมทีเมื่อพระเก้าประทีปพุทธเจ้าพุ่งเข้าใส่ มันไม่ได้หวาดกลัวอะไรมากมาย อย่างไรเสียพระเก้าประทีปพุทธเจ้าก็เป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง แม้มันจะถูกบังคับให้อยู่เบื้องล่างก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่อย่างใด
ทว่ามันก็ไม่ได้คาดคิดว่าหลังจากพระเก้าประทีปพุทธเก้าผลักมันลงไปแล้ว ร่างกายก็เปลี่ยนเป็นวัยหนุ่มอย่างรวดเร็ว!
ตอนนั้นมันเจ็บเป็นอย่างมาก เจ็บจนอย่างจะตายไปเสีย!
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เมื่อทุกอย่างจบสิ้นลง หลังจากผ่านครบหนึ่งพันครั้ง ร่างของพระเก้าประทีปพุทธเจ้าก็เปลี่ยนร่างกลับเป็นเด็กอีกครั้ง ดวงตาที่หมองมัวก็กลับมาแจ่มชัด
“กู่ฝอ...หลังจากนี้ข้ากลายเป็นคนของท่านแล้ว อะ ไม่สิ หลังจากนี้ข้ากลายเป็นหมูของท่านแล้ว ท่านจะต้องรับผิดชอบข้า!”
อสูรหมูร้องไห้ขณะเอ่ยกับพระเก้าประทีปพุทธเจ้า
พระเก้าประทีปพุทธเจ้าอึดอัดคับข้องใจเป็นอย่างยิ่ง หลังจากได้ยินถ้อยคำของอสูรหมูก็พลันระเบิดความโกรธออกมาทันที!
“รับผิดชอบมารดาเจ้าเถอะ!”
เขาสบถด่า ก่อนจะตบอสูรหมูจนตายภายในครั้งเดียว!
บารมีที่สั่งสมมาตั้งแต่อดีตชาติสมัยโบราณ จนถึงตอนนี้พังทลายลงไปหมดเพราะอสูรหมูตนนี้ หากมันเป็นสตรีเพศก็แล้วไปเถอะ...
แต่นี่มันเป็นหมูเพศชายตนหนึ่ง!
เขาน้ำตาไหลออกมาด้วยความเจ็บปวด หากเป็นครั้งเดียวก็แล้วไปเถอะ แต่นี่เขากลับต้องทำเป็นพันครั้ง...
ในตอนนี้เขาอยากจะแขวนคอฆ่าตัวตายจริง ๆ!
“เสร็จเรียบร้อยแล้วหรือ?”
ในตอนนั้นเองเสียงของเซียวฮุ่ยก็ดังมาจากด้านนอก
พระเก้าประทีปพุทธเจ้าตัวสั่นสะท้าน ก่อนรีบวิ่งออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว ลงไปคุกเข่าต่อหน้าเซียวฮุ่ย “เป็นข้าที่ตามืดบอด มองไม่ออกว่าท่านแข็งแกร่งมากเพียงไร ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!”
ต้องประสบกับความอัปยศอดสูเช่นนี้ เขาก็เกิดความคิดอยากตายขึ้นมา แต่หากต้องตายจริง เขาก็ไม่ยินยอม ยังคงอยากมีชีวิตอยู่ต่อ
“วางใจได้ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะสังหารเจ้า อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้”
เซียวฮุ่ยกล่าวอย่างไม่แยแส
หลังจากผ่านพันครั้ง ความโกรธภายในใจของนางก็สลายหายไปมากแล้ว
การเก็บพระเก้าประทีปพุทธเจ้าเอาไว้มีประโยชน์มากกว่าการสังหารทิ้ง
นางเกิดความสนใจในพลังศรัทธาที่พระเก้าประทีปพุทธเจ้ารวบรวมเป็นอย่างมาก พลังศรัทธานี้ไม่ได้อ่อนแอ ทั้งยังสามารถช่วยเหลือนางในการฟื้นฟูตัวเองได้เป็นอย่างดี
แม้ว่าตอนนี้นางจะสามารถฟื้นฟูตนเองได้รวดเร็วมาก ความแข็งแกร่งก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่นี่ก็เป็นเพียงแค่ช่วงแรกเท่านั้น
หลังจากไปถึงขอบเขตจักรพรรดิแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะรักษาความเร็วในการฟื้นตัวเอาไว้เท่านี้ อย่างไรเสียนางก็บาดเจ็บไปจนถึงรากฐาน
เดิมทีนางยังกลัดกลุ้มว่าจะฟื้นฟูตนเองในช่วงหลังอย่างไรดี ทว่าเมื่อนางได้เห็นพลังศรัทธาที่พระเก้าประทีปพุทธเจ้ารวบรวมมาก็เกิดความสนใจขึ้นเป็นอย่างมาก พลังชนิดนี้พิเศษไม่เหมือนกับพลังอื่น ๆ หากมองลึกลงไปแล้วจะพบว่ามันน่าตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก
“ขอบคุณท่านเซียน!”
พระเก้าประทีบพุทธเจ้ารีบเอ่ยขอบคุณ แม้ว่าเซียวฮุ่ยจะไม่ได้ปล่อยเขาไปอย่างสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของชีวิตตนในตอนนี้
“เรียกข้าว่านายท่าน!”
เซียวฮุ่ยพูดอย่างไม่แยแส
“ตามที่นายท่านต้องการ!”
พระเก้าประทีปพุทธเจ้ารีบเปลี่ยนคำเรียกทันที
เซียวฮุ่ยพยักหน้าน้อย ๆ จากนั้นก็มองพินิจไปทางพระเก้าประทีปพุทธเจ้า
“เจ้ามีความสามารถพิเศษเป็นอย่างยิ่ง พลังศรัทธานี่เป็นสิ่งที่เจ้าสร้างขึ้นมาอย่างนั้นหรือ?”
นางถามพระเก้าประทีปพุทธเจ้า ตัวนางไม่รับรู้ประวัติของพุทธศาสนาแม้แต่น้อย
นางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพระอมิตาภะพุทธเจ้าเสียด้วยซ้ำ นางเข้าใจไปว่าพระพุทธศาสนามีต้นกำเนิดมาจากพระเก้าประทีปพุทธเจ้า พลังศรัทธานี้เองก็เช่นกัน
“ไม่ใช่!”
พระเก้าประทีปพุทธเจ้าตอบกลับอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเขาต้องการจะยอมรับเรื่องทั้งหมดนี้ไว้เอง แต่ก็ไม่กล้าที่จะโกหกต่อหน้าเซียวฮุ่ย
เขาเล่าทุกสิ่งออกมา บอกทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาและพระอมิตาภะพุทธเจ้าให้เซียวฮุ่ยฟัง
“พระอมิตาภะพุทธเจ้า?”
เซียวฮุ่ยทวนคำอีกครั้ง “เป็นคนผู้นี้หรือ”
หลังจากฟังสิ่งที่พระเก้าประทีปพุทธเจ้าเล่าแล้ว นางก็ชื่นชมพระอมิตาภะพุทธเจ้าขึ้นมาเล็กน้อย สร้างพลังศรัทธาขึ้นมาเพื่อให้ทั้งผู้ศรัทธาและผู้ถูกศรัทธาได้รับประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย นับว่าพระอมิตาภะพุทธเจ้าไม่ธรรมดาเลย ถึงกับเปิดหนทางการใช้พลังแบบใหม่ได้
ส่วนการที่พระเก้าประทีปพุทธเจ้าทำการปรับเปลี่ยนให้พลังศรัทธาเอื้อประโยชน์เพียงฝ่ายตน ทำให้นางรู้สึกเย้ยหยันเป็นอย่างยิ่ง วิธีการเช่นนี้ไม่อาจเดินไปได้ไกลมากนัก สิ่งที่สามารถเก็บเกี่ยวได้มีอยู่อย่างจำกัด
เทียบกับพระอมิตาภะพุทธเจ้าแล้ว พระเก้าประทีบพุทธเจ้ายังห่างไกลอยู่มากนัก
“จะว่าไป ครั้งหนึ่งเคยมีคนมาจากด้านนอก กล่าวว่าตนเป็นพระเข้ามาในภพเซียน ทำให้เกิดการแย่งชิงกันของกองกำลังจำนวนมาก สุดท้ายก็ถูกตระกูลเยี่ยคว้าไปได้...”
เซียวฮุ่ยหรี่ตาลง นึกถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในภพเซียน ที่ด้านในภพเซียนไม่มีพระ ดังนั้นผู้ที่เรียกตนเองว่าเป็นพระก็น่าจะเป็นพระอมิตาภะพุทธเจ้า
“ไม่รู้ว่าเขาจะยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ หากรู้ตั้งแต่แรกคงจะต้องต่อสู้แย่งชิงอย่างเต็มที่ ไม่ปล่อยให้ตระกูลเยี่ยได้ตัวไป!”
นางกล่าวออกมาอย่างนึกเสียดาย
หากพระอมิตาภะพุทธเจ้าได้รับการปลูกฝัง มีโอกาสอย่างมากที่เขาจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในภพเซียน และทำให้ตระกูลเซียวแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ตระกูลเยี่ย
ตระกูลเยี่ยเองก็เป็นตระกูลใหญ่ของภพเซียนเหมือนกับตระกูลเซียว ถือว่าเป็นผู้ที่ยืนอยู่จุดสูงสุดของภพเซียน
พระเก้าประทีปพุทธเจ้าที่อยู่ด้านข้างไม่กล้าพูดสิ่งใด เป็นไปได้หรือไม่ที่เซียวฮุ่ยจะมาจากภพเซียนจริง ๆ? ส่วนพระอมิตาภะพุทธเจ้าเองก็กลายเป็นเซียนได้เข้าสู่ภพเซียน?
“ตามที่เจ้ากล่าวมา ในแดนฝอพลังศรัทธาแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ ทั้งยังเชี่ยวชาญในการใช้มากยิ่งกว่า?”
เซียวฮุ่ยถามพระเก้าประทีปพุทธเจ้า
“ใช่แล้ว พลังศรัทธาในแดนฝอมีอยู่มากมายมหาศาล ที่แห่งนั้นเป็นแหล่งกำเนิดของพุทธศาสนา ความศรัทธาหยั่งรากลึก เมื่อเทียบกับที่อื่นแล้ว ที่แห่งนั้นพลังศรัทธาบริสุทธิ์และหนาแน่นกว่า ถ้าหากครอบครองมันได้ จะต้องได้รับผลการเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่อย่างแน่นอน!” พระเก้าประทีปพุทธเจ้าพูด
เขาสร้างพุทธภูมิเก้าประทีปขึ้นมาก็เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการเข้าโจมตีแดนฝอ แดนฝอนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก หากสามารถพิชิตก็จะได้รับผลประโยชน์มหาศาล
“ดี!”
ดวงตาของเซียวฮุ่ยเป็นประกาย “เช่นนั้นก็ไปยึดแดนฝอเสีย จากนั้นก็แทนที่พระอมิตาภะพุทธเจ้า ข้าจะกลายมาเป็นพุทธเจ้าคนใหม่!”
นี่อาจเป็นหนทางเดียวที่นางจะสามารถฟื้นฟูตนเองได้อย่างรวดเร็ว นางต้องการยึดครองแดนฝอ แทนที่พระอมิตาภะพุทธเจ้า รับพลังศรัทธาอันบริสุทธิ์จำนวนมากมา
“ตกลง! ข้าจะช่วยเหลือนายท่านอย่างสุดความสามารถที่มี!”
พระเก้าประทีปพุทธเจ้ากล่าวขึ้นมาทันที
ทว่าภายในใจของเขากลับรู้สึกขมฝาดเป็นอย่างมาก
ความปรารถนาของเขาคือการได้แทนที่พระอมิตาภะพุทธเจ้า ไม่ต้องการเป็นลำดับที่สองอีกต่อไป ทว่าตอนนี้เซียวฮุ่ยกลับโผล่มา และยังต้องการแทนที่พระอมิตาภะพุทธเจ้า...
เขายังคงต้องเป็นลำดับที่สองต่อไป!
แต่ลำดับที่สองก็ลำดับที่สอง อย่างไรก็ดีกว่าตาย!
เขาได้แต่ปลอบตัวเองในใจ
“หลังจากนี้ข้าจะสอนวิชาบางอย่างให้กับเจ้า จะได้ช่วยให้เจ้าฟื้นตัวขึ้นมา เพื่อให้สามารถรวบรวมดินแดนแห่งนี้ได้เร็วยิ่งขึ้น วางรากฐานของพวกเราให้มั่นคง หลังจากนั้นค่อยเปิดฉากโจมตีแดนฝอ!”
ดวงตาของเซียวฮุ่ยเป็นประกาย
“ขอบคุณนายท่าน!”
พระเก้าประทีปพุทธเจ้ากล่าวขอบคุณด้วยความตื่นเต้น
“ทว่าที่แดนฝอมีตัวยุ่งยากอยู่เล็กน้อย เดิมทีข้ากับคนผู้นั้นเป็นคนคนเดียวกัน ทว่าตอนนี้กลับแยกจากกัน ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงได้รับการคุ้มครองจากวิถีสวรรค์ ยากยิ่งที่จะรับมือ และนี่ก็เป็นเหตุผลให้ข้าหนีมาตั้งหลักอยู่ที่แห่งนี้ด้วย!”
จากนั้นเขาก็เล่าทุกอย่างเกี่ยวกับต้าเต๋อออกมา
คนอื่น ๆ ในแดนฝอล้วนรับมือไม่อยาก ทว่าต้าเต๋อนั้นยากยิ่งที่จะรับมือ
“การคุ้มครองจากวิถีสวรรค์?”
เซียวฮุ่ยส่งเสียงหัวเราะออกมา “วิถีสวรรค์ของฟ้าดินที่พังทลายเช่นนี้จะมีพลังขนาดไหนกันเชียว ไม่จำเป็นต้องกังวลไป หลังจากที่เราลงมือ ต้าเต๋อผู้นั้นจะต้องถูกจัดการได้อย่างแน่นอน”
นางไม่ใส่ใจต้าเต๋อที่รับการคุ้มครองจากวิถีสวรรค์
เป็นดั่งเช่นที่นางกล่าว ฟ้าดินที่นี่ไม่ได้เป็นดั่งช่วงแรกเริ่ม ดังนั้นแล้วการคุ้มครองจากวิถีสวรรค์ย่อมไม่อาจสร้างความยุ่งยากให้กับนาง
หลังจากที่นางฟื้นตัวแล้ว นางจะต้องสามารถจัดการต้าเต๋อได้อย่างแน่นอน