536-540

บทที่ 536

ถือดียิ่ง!


คนรับใช้ผู้หนึ่งกลับกล้าตำหนิองค์หญิง!


ดูจากท่าทางแล้ว เห็นได้ชัดว่าหญิงชราไม่ได้ทำตัวไร้ความเคารพต่อชางเหยาเป็นครั้งแรก การปฏิบัติของนางต่อชางเหยาก่อนหน้านี้ก็คงไม่ค่อยจะดีนัก


มัจฉาสัตมายาขมวดคิ้วแน่นขึ้นกว่าเดิม หรือว่าจักรพรรดิชางจะถูกคนแทนที่จริง ๆ?


ไม่เช่นนั้นแล้ว จักรพรรดิชางจะปล่อยให้หญิงชราผู้นี้มาดูหมิ่นชางเหยาได้อย่างไร?


จักรพรรดิชางมีลูกสาวคนเดียวคือชางเหยา จักรพรรดิชางรักและเอ็นดูชางเหยาอย่างถึงที่สุด ไม่ยอมให้นางต้องทนทุกข์คับข้องใจสิ่งใดแม้แต่น้อย!


“พี่ชวน พี่ลั่วสุ่ย พวกท่านยังมั่วนิ่งเฉยอะไรอยู่ ไปเร็วเข้า! ข้า...ข้าขวางนางไว้ให้อยู่!”


ชางเหยาร้อนรนมากจนน้ำตาไหล นางพยายามยืนขวางเอาไว้อย่างสุดชีวิต ไม่ยอมให้หญิงชราผ่านไป


“องค์หญิง ท่านรนหาเรื่องเอง เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เคารพ!”


หญิงชราตะคอกออกมาอย่างเย็นชา บนร่างปรากฏแสงสว่างอันน่าหวาดกลัวออกมา พลังที่กระเพื่อมจากร่างน่าเกรงขาม ขอบเขตของนางไม่ต่ำเป็นถึงขั้นสูงสุดผู้หนึ่ง


นางยกมือข้างหนึ่งขึ้น ต้องการจะตบชางเหยา นางไม่มีความเคารพอันใดต่อองค์หญิงผู้นี้


“ไม่เคารพบ้านเจ้านะสิ!”


ทว่ามัจฉาสัตมายาชิงลงมือเสียก่อน เขาตบใบหน้าของหญิงชรา จนผู้ที่อยู่ในขั้นสูงสุดถึงกับลอยกระเด็นออกไป ฟันด้านหน้าหลุดออก กระอักเลือดจากปาก กระแทกเข้ากับกำแพงเมืองอย่างแรง


“มอบคำว่าไม่เคารพคืนให้เจ้า”


มัจฉาสัตมายาไม่หยุดเพียงแค่นั้น เขายื่นมือออกไปด้านหน้า เกิดพลังดูดหญิงชราจนคอเข้ามาอยู่ในมือของเขาทันที จากนั้นก็ตบหน้าหญิงชราอย่างแรงไม่หยุด


กล้าดีอย่างไรถึงคิดจะลงมือกับชางเหยา!


เขาไม่สามารถทนเห็นได้ ภายในใจเต็มไปด้วยเพลิงโทสะลุกโชน


เพียะ! เพียะ! เพียะ!


มือยังคงตบหญิงชราไม่หยุด ใบหน้าของหญิงชราถูกตบจนบูดเบี้ยว แม้ว่านางจะระเบิดพลังในร่างออกมาอย่างสุดความสามารถก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ พลังทั้งหมดถูกมัจฉายาสัตมายาระงับเอาไว้ จากนั้นก็ตบหญิงชราจนกรีดร้องออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า


“สุดยอด! พี่ชวนเป็นวีรบุรุษผู้ช่วยเหลือหญิงงามใช่หรือไม่?”


ชางเหยาเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้า ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้น


นางไม่สนใจเสียด้วยซ้ำว่าเหตุใดมัจฉาสัตมายาจึงแข็งแกร่งถึงปานนี้ นางรับรู้ได้แต่เพียงว่ามัจฉาสัตมายายืนหยัดเพื่อนาง


“อย่าเข้าใจผิดไป นี่ไม่เกี่ยวกับเจ้า ข้าแค่ไม่ชอบหน้าหญิงชราผู้นี้! นางน่าเกลียดเสียจนระคายตาของข้า” มัจฉาสัตมายาปฏิเสธ


เขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง กล่าวตามตรงอย่างมีเหตุผลแล้ว เขาควรจะรำคาญชางเหยา ทว่าเมื่อเห็นหญิงชรากำลังจะลงมือกับชางเหยา เขากลับไม่อาจทนดูได้ คิดเพียงแต่จะต้องจัดการหญิงชรา!


“พวกเจ้ายังมัวยืนบื้ออะไรอยู่! รีบเรียกคนมาเร็ว!”


หญิงชราตะโกนใส่ทหารอารักขาทั้งสองที่ตอนนี้กำลังตกใจกลัวจนตั่วแข็งทื่อ


พวกเขาจะไม่ตกใจกลัวได้อย่างไร?


หญิงชราผู้นี้เป็นคนข้างกายของจักรพรรดิชาง เป็นถึงขั้นสูงสุดแล้ว ทว่ายังถูกมัจฉาสัตมายาจับตัวเอาไว้ตบตี ไม่สามารถต่อสู้กลับได้แม้แต่น้อย ชวนให้พวกเขาตกใจกลัวอย่างยิ่ง


“ร...รับทราบ!”


ทหารทั้งสองได้สติกลับขึ้นมา พวกเขารีบหยิบแตรสัญญาณออกมาเตรียมเป่า เพื่อเรียกยอดฝีมือในเมืองให้มาที่นี่


แม้ว่าชางเหยาจะเป็นองค์หญิง แต่ตอนนี้หญิงชรามีฐานะสูงกว่ามาก จักรพรรดิชางให้ความสำคัญกับหญิงชรา ทำให้พวกเขาไม่กล้าขัดคำสั่งของนาง


ทว่าเมื่อเขาเพิ่งหยิบแตรสัญญาณออกมา พลันมีพลังแข็งแกร่งสายหนึ่งพุ่งเข้าใส่พวกเขาจนลอยกระเด็น แตรสัญญาณเองก็พลังทลายสิ้นภายใต้พลังนั้น


“ไม่ต้องเป่าหรอก เป่าไปก็ไร้ค่า สถานที่แห่งนี้ถูกข้าปิดผนึกเอาไว้แล้ว” ลั่วสุ่ยเอ่ยขึ้นมา


นางได้ปิดผนึกที่นี่เอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะไม่รั่วไหลออกไปด้านนอก ไม่มีผู้ใดสามารถรับรู้สิ่งใดได้


เกรงว่ากระทั่ง ‘จักรพรรดิชาง’ ก็ไม่อาจรับรู้สิ่งใดได้


นางไม่ต้องการให้เรื่องวุ่นวายใหญ่โตเกินไป


“พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรมาทำตัวกำเริบเสิบสานในแคว้นของเรา พวกเจ้าจะต้องตาย! จักรพรรดิชางไม่มีทางปล่อยพวกเจ้าไป เมื่อถึงยามนั้นข้าจะขอให้จักรพรรดิชางมอบตัวพวกเจ้าให้ข้า ข้าสัญญาเลยว่าจะทำให้เจ้ามีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย!”


หญิงชราแผดเสียงออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความโกรธ


หลังจากนั้นนางก็หันไปมองชางเหยา แล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้มเหยียดหยัน “องค์หญิง ท่านทำผิดครั้งใหญ่แล้ว ครั้งนี้แม้แต่ท่านก็หนีไม่พ้น! สบายใจได้ หลังจากนี้จักรพรรดิชางจะไม่ปล่อยท่านไปง่าย ๆ!”


นางไร้ความเกรงกลัว เนื่องจากคิดว่ามัจฉาสัตมายาไม่กล้าสังหารนาง อย่างไรเสียที่แห่งนี้ก็เป็นเมืองหลวงของแคว้นโบราณชางเยว่ จักรพรรดิชางก็ประทับอยู่ที่นี่ อีกทั้งนางยังได้รับความสำคัญจากจักรพรรดิชางเป็นอย่างมาก


“ยังจะกล้าข่มขู่อีกหรือ!?”


สีหน้าของมัจฉาสัตมายาเฉยชา ไม่กล่าวอะไรมากไปกว่านี้ เขาสังหารหญิงชราทิ้งทันที ก่อนจะโยนร่างของนางทิ้งไปอีกทาง


นิสัยใจคอของหญิงชรานั้นเลวร้ายเกินไป ไม่สามารถปล่อยเอาไว้ได้ ไม่เช่นนั้นจะกลับกลายมาเป็นปัญหาในอนาคต


“พี่ชวน พี่ลั่วสุ่ย พวกท่านยังไม่รีบจากไปอีก! แม้ว่าหญิงชราผู้ที่จะน่ารังเกียจสมควรถูกฆ่าจริง ๆ แต่ท่านพ่อก็ให้ความสำคัญกับนาง ตอนนี้นางตายลงที่นี่เสียแล้ว ไม่มีหนทางแก้ไขเรื่องนี้ได้ เสด็จพ่อในตอนนี้...ไม่อาจคุยด้วยดี ๆ ได้”


ชางเหยารีบกล่าวกับมัจฉาสัตมายาและลั่วสุ่ยด้วยความเร่งร้อน


จากนั้นนางก็หันไปกล่าวกับมัจฉาสัตมายา “ในอนาคตข้าจะไปหาพี่ชวนเอง ตอนนี้ข้าไม่สามารถไปได้ มีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเสด็จพ่อ ข้าต้องการจะอยู่ต่อเพื่อช่วยเสด็จพ่อ”


“ไม่มีปัญหา”


ลั่วสุ่ยตบไหล่ของชางเหยา “พวกเราจะไม่เป็นอะไร ปัญหาของเสด็จพ่อเจ้าก็จะถูกพวกเราแก้ไข”


นางสามารถมองเห็นความจริงของเรื่องนี้ได้ทะลุปรุโปร่งแล้ว ทั้งยังมั่นใจว่าสามารถแก้ปัญหาทั้งหมดเหล่านี้ได้


“จริงหรือ?” ชางเหยาอดถามขึ้นมาไม่ได้


มัจฉายาสัตมายาตอบกลับ “วางใจได้ หากพี่ลั่วสุ่ยกล่าวว่าทำได้ก็ต้องทำได้อย่างแน่นอน อีกทั้งพวกเราก็ไม่ได้เอาชีวิตของพวกเรามาล้อเล่น”


ชางเหยายังคงกังวลอยู่เล็กน้อย นางยังคงต้องการให้มัจฉาสัตมายาและลั่วสุ่ยจากไป ลั่วสุ่ยเห็นเช่นนั้นจึงพูดให้ความมั่นใจกับนาง


“ไม่เป็นไร ‘เสด็จพ่อ‘ ของเจ้ายังคงอยู่ในเมืองหลวง ทว่ากลับไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี่ เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ‘เสด็จพ่อ‘ ของเจ้าไม่สามารถทำอะไรพวกเราได้” ลั่วสุ่ยกล่าว


ชางเหยาลองตรองดู แล้วก็พบว่าเป็นเช่นนั้นจริง


ด้วยขอบเขตของเสด็จพ่อนาง เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นยังที่แห่งนี้ และถ้าหากเสด็จพ่อรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริง เสด็จพ่อจะไม่มีทางเพิกเฉยแต่จะยื่นมือเข้ามาจัดการอย่างแน่นอน


ทว่าจนกระทั่งถึงตอนนี้กลับยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวใดแม้แต่น้อย ไม่มีผู้ใดมาช่วยเหลือหญิงชราเลย แสดงให้เห็นว่าเสด็จพ่อของนางไม่รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ๆ!


“พี่ลั่วสุ่ยแข็งแกร่งถึงขนาดนี้เชียวหรือ?”


นางมองไปที่ลั่วสุ่ยด้วยความชื่นชม ภายในใจเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง สามารถทำให้พ่อของนางไม่รับรู้เรื่องนี้ได้ พี่ลั่วสุ่ยแข็งแกร่งถึงเพียงใดกันแน่?


“พี่ลั่วสุ่ยได้โปรดช่วยเหลือเสด็จพ่อของข้าด้วย ได้โปรดทำให้เสด็จพ่อกลับมาเป็นเช่นเดิม!”


นางอ้อนวอนหวังว่าลั่วสุ่ยจะช่วยเหลือพ่อของนาง


“ไม่จำเป็นต้องขอร้อง อย่างไรเสียเจ้าก็มีความสัมพันธ์กับเสี่ยวชี ข้าย่อมต้องช่วยเหลือ” ลั่วสุ่ยยิ้ม


“พี่สาว อย่าได้เห็นด้วยกับนางเช่นนี้!”


สีหน้าของมัจฉาสัตมายาขมฝาด “ไม่มีความสัมพันธ์อันใด พวกเราสองคนเป็นเพียงแค่สหายธรรมดา!”


“ไม่มีความสัมพันธ์อย่างนั้นหรือ? ไม่มีความสัมพันธ์แล้วเหตุใดจึงเร่งร้อนช่วยชางเหยาขนาดนั้น?”


ลั่วสุ่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้ายังตอบสนองไม่ได้เร็วเท่าเจ้าเลย เจ้าลงมือก่อนที่ข้าจะทันได้ทำอะไรเสียอีก”


มัจฉาสัตมายาหุบปากเงียบทันที เขาไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าเหตุใดตนเองในยามนั้นจึงโกรธและโมโหเป็นอย่างมาก


หลังจากนั้น พวกเขาก็พากันเดินเข้าไปในเมือง


อาคารด้านในล้วนสูงตระหง่าน ทั้งยังให้ความรู้สึกขลังด้วยกลิ่นอายความเก่าแก่ ทัศนียภาพโดดเด่นไม่เหมือนที่อื่น


นอกจากอาคารเหล่านี้แล้ว ก็ยังมีทัศนียภาพที่สวยงามยิ่งกว่า


หญิงสาวงดงามแต่ละคนที่เดินอยู่บนถนนสวมใส่เสื้อผ้าบางและน้อยชิ้น ดวงตาของมัจฉาสัตมายาเกือบจะพร่ามัว ไม่รู้ควรจะมองไปทางใดดี


เขาพึมพำออกมาหนึ่งประโยค “ยังดีที่จักรพรรดิชางไม่ได้สั่งให้ผู้ฝึกตนหญิงทุกคนต้องสวมเสื้อผ้าเช่นนี้ ไม่เช่นนั้น หากเป็นหญิงชราสวมใส่คงจะทำร้ายสายตาเป็นอย่างมาก!”


“ฮึ่ม! พี่ชวน ท่านไม่ได้รับอนุญาตให้มองพวกนาง!”


เมื่อชางเหยาเห็นว่า สายตาของมัจฉาสัตมายามองดูผู้หญิงเหล่านั้นที่สวมเสื้อผ้าบางน้อยชิ้นบนถนน นางก็กระทืบเท้าด้วยความโกรธ


“ไม่มองพวกนาง แล้วให้มองที่เจ้าหรือ!” มัจฉาสัตมายาหันไปจับจ้องชางเหยา


ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางเปลี่ยนกลายเป็นสีแดง ก่อนเอ่ยออกมาเสียงแผ่ว “หากพี่ชวนต้องการจะเห็น ก็ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้...”


“ช่างมันเสีย! ข้าไม่ดูผู้ใดทั้งนั้น!”


มัจฉาสัตมายากล่าวออกมาหนึ่งประโยค ก่อนจะวิ่งหนีหายไปในพริบตา


ชางเหยาตกตะลึง ก่อนจะมองสำรวจร่างกายตัวเองที่ ‘เกินมาตรฐาน’ แล้วเอ่ยกับตัวเอง “หรือว่าข้าจะดูแย่จนเกินไป?”


“เจ้าไม่ได้แย่หรอก ทั้งยังดีมากด้วย อย่าได้คิดมากไป เขาเพียงแค่ไม่มีความกล้าเท่านั้นเอง” ลั่วสุ่ยกล่าว
บทที่ 537

ถนนหนทาง ‘ร่มรื่น’ ผู้ฝึกตนหญิงเฉิดฉัน ผิวขาวผ่องราวหิมะคอยกระตุ้นประสาทมองเห็น แคว้นโบราณชางเยว่เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง กลิ่นอายเก่าแก่ซึ่งเกิดจากสิ่งปลูกสร้างโบราณเสียหายรุนแรง จักรพรรดิชางผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรมและบารมี บัดนี้ตกต่ำถึงขั้นนี้แล้วหรือ?


มัจฉาสัตมายาไม่อาจเชื่อได้ลง และไม่อยากเชื่อด้วย เขานับถือจักรพรรดิชางจากใจจริง เคารพนับถือจักรพรรดิชางอย่างยิ่ง เขายอมเชื่อว่าจักรพรรดิชางผู้นี้มิใช่ตัวจริง ถูกสลับตัวไปยังเสียดีกว่า


แม้ว่าตามหลักแล้ว เรื่องนี้มีโอกาสเป็นไปได้ต่ำมาก


กลุ่มของพวกเขาเดินทะลุผ่านตรอกซอยมากมายอย่างรวดเร็ว แม้ว่ามัจฉาสัตมายาปากร้องปาว ๆ ว่าไม่ดู กระนั้นลูกตาก็ยังสอดส่ายไปทั่วอย่างอดมิได้ ที่สำคัญคือ ‘ทิวทัศน์’ บนถนนหนทางนั้นยวนตาเกินไป


ชอบดูหรือ


ชางเหยาครุ่นคิดในใจ รอให้มีโอกาสเหมาะเมื่อใด นางตั้งใจให้มัจฉาสัตมายาได้ดูจนพอ


ดูผู้ใดน่ะหรือ?


แน่นอนว่าดูนางอย่างไร


ตั้งแต่ที่นางได้พบมัจฉาสัตมายาครั้งแรก นางก็มีใจให้มัจฉาสัตมายา และต้องการเพียงมัจฉาสัตมายา ทั้งยังพยายามเพื่อการนี้มาโดยตลอด


‘ถึงเวลานั้น อย่างไรเจ้าก็ต้องมองข้า ไม่ว่าเต็มใจหรือไม่’


นางเอ่ยในใจอย่างดุดัน เริ่มวางกลยุทธ์


นางมิใช่คนขี้ขลาดหรือขี้อาย เพื่อให้ได้ครองคู่กับมัจฉาสัตมายา นางกล้าทำทุกสิ่ง


นับแต่ที่นางเป็นฝ่ายจีบมัจฉาสัตมายาก็พอมองนิสัยใจคอของนางออก นางมิใช่เด็กสาวอ้อนแอ้นเอียงอาย


ไม่นานนัก พวกเขาก็มาอยู่ที่พระราชวัง


พระราชวังโอ่อ่าสูงเสียดฟ้าประหนึ่งวังสวรรค์ กำแพงเมืองที่เต็มไปด้วยลวดลายตั้งตระหง่าน จารึกกาลเวลาที่เลยผ่าน


ลั่วสุ่ยลงมือ ผนึกพระราชวังไว้ทั้งหมด กลัวว่า ‘จักรพรรดิชาง’ ผู้นั้นจะหนีไปอีก


จากนั้น นางพามัจฉาสัตมายาและชางเหยาเหินเข้าไปในพระราชวัง โรยตัวลงมาหน้าตำหนักแห่งหนึ่งในพระราชวัง


ระหว่างนี้ ไม่มีสิ่งมีชีวิตตนใดจับพวกเขาได้ ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามีคนเข้ามาถึงภายในพระราชวังแล้ว


นี่แหละ ความแกร่งกล้าของลั่วสุ่ย ใช้พลังปกปิดการมีตัวตนของพวกเขา ต่อให้พวกเขาทะยานผ่านหน้าสิ่งมีชีวิตบางกลุ่ม พวกนั้นก็ไม่อาจรู้สึกถึงพวกเขาได้เลย


ชางเหยาอึ้งไปหมด คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าพี่ลั่วสุ่ยจะแข็งแกร่งปานนี้


เมื่อครู่พวกเขาเหินผ่านยอดฝีมือผู้หนึ่งในวัง เล่นเอานางใจหายใจคว่ำ อกสั่นขวัญแขวน กลัวเหลือเกินว่าจะถูกยอดฝีมือผู้นั้นจับได้


เขาเป็นถึงตี้จวินเฒ่า แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ตราบใดที่มิได้ประมือกับเทียนตี้ น้อยนักจะมีสิ่งมีชีวิตตนใดเป็นคู่ต่อสู้ของเขา


ทว่า ตี้จวินเฒ่าผู้นี้กลับเสมือนว่าตาบอด พวกเขาเหินผ่านหน้าตี้จวินเฒ่าผู้นี้ แต่ตี้จวินเฒ่าผู้นี้ไม่เห็นพวกเขาเลย ซ้ำยังไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของพวกเขาด้วย!


ฝีมือระดับนี้น่ากลัวจริง ๆ!


นางจินตนาการไม่ออกเลยว่าพี่ลั่วสุ่ยอยู่ในขอบเขตใดกันแน่!


เทียนตี้หรือ?


ไม่!


นางรู้สึกว่าพี่ลั่วสุ่ยมิใช่แค่เทียนตี้ อาจแข็งแกร่งยิ่งกว่าเทียนตี้เสียอีก!


นาทีนี้ นางยิ่งมั่นใจขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งตื่นเต้นดีใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย มีพี่ลั่วสุ่ยผู้แข็งแกร่งเยี่ยงนี้ออกโรง ปัญหาของเสด็จพ่อนางอาจแก้ไขได้จริง ๆ!


ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!


ขณะที่พวกลั่วสุ่ยเพิ่งโรยตัวลงมาถึงตำหนักแห่งนี้ ร่างมากมายพุ่งออกจากมุมมืด ยามนี้ ลั่วสุ่ยมิได้ใช้พลังที่คอยอำพรางตัวตนพวกเขาอีก จากคำบอกเล่าของชางเหยา จักรพรรดิชางอยู่ในตำหนักแห่งนี้ ที่นี่คือวังหลังของจักรพรรดิชาง


“องค์หญิง ท่านคิดจะทำอันใดพ่ะย่ะค่ะ! เหตุใดจู่ ๆ ถึงพาคนมาที่นี่!?”


ผู้เฒ่าคิ้วยาวสีแดงคนหนึ่งเดินนำอยู่ข้างหน้า เอ่ยด้วยคิ้วขมวดมุ่น


สีหน้าเขาเคร่งขรึมเป็นพิเศษ ซ้ำยังเจือไว้ด้วยความไม่เชื่อใจอย่างมาก เหตุการณ์นี้กะทันหันเกินไป พวกลั่วสุ่ยราวกับปรากฏตัวออกมากลางอากาศ ก่อนนี้หาได้มีพลังปราณใด ๆ เผยออกมา และปราศจากวี่แวว เขาสัมผัสมิได้เลย!


เป็นไปได้อย่างไรกัน!?


ขอบเขตพลังของเขานั้นสูงส่ง แตะถึงปรมัตถ์แห่งขั้นเทียนตี้แล้ว ห่างจากขั้นเทียนตี้อย่างแท้จริงเพียงก้าวเดียวเท่านั้น เขาเป็นถึงครึ่งก้าวเทียนตี้ จะไม่รู้สึกถึงร่องรอยเลยสักนิดได้อย่างไร?


แต่ไม่ว่าเขาเชื่อหรือไม่ ความจริงเป็นเช่นนั้น พวกลั่วสุ่ยปรากฏตัวออกมาตรงหน้าเขาจริง ๆ


หากมิใช่เช่นนั้น เขาไม่มีทางจริงจังเยี่ยงนี้ เด็กรุ่นหลังไม่กี่คนเท่านั้น จำเป็นไฉนที่เขาต้องออกโรงเช่นนี้


“บอกให้ ‘จักรพรรดิชาง’ ออกมาเสีย”


ลั่วสุ่ยกล่าว แน่ใจแล้วว่า ‘จักรพรรดิชาง’ ประทับอยู่ในตำหนักนี้


มิใช่ว่านางรับรู้ได้จากญาณสัมผัส หากแต่เป็นเพราะว่า ‘จักรพรรดิชาง’ สร้างเสียงดังไม่น้อยอยู่ข้างใน นางได้ยินเสียงน่าขยะแขยงไม่น้อย


“เจ้าเป็นใครกัน!?”


ดวงตาผู้เฒ่าคิ้วแดงหรี่ลง เล็งเห็นความสำคัญของลั่วสุ่ยยิ่งขึ้น ลั่วสุ่ยให้ความรู้สึกอันตรายถึงขีดสุดสำหรับเขา!


เป็นอันตรายที่อาจคร่าชีวิตเขาได้!


เรื่องนี้สร้างความเหลือเชื่อแก่เขาอย่างมาก ลั่วสุ่ยผู้เยาว์วัยเยี่ยงนี้ เป็นตัวอันตรายต่อชีวิตเขาได้เชียวหรือ


“แค่นำถ้อยคำนี้ไปบอกก็พอ”


ลั่วสุ่ยมิได้เอ่ยอันใดไปมากกว่านี้ ลงมือทันที


นางยื่นฝ่ามือผุดผ่องวาววามดั่งหยกออกไป ระหว่างนิ้วทั้งห้ามีพลังน่าประหวั่นพรั่นพรึงไหลเวียน กฎระเบียบชวนหวาดหวั่นอย่างยิ่งยวดกระเพื่อมขึ้นลงรอบมือเนียนของหญิงสาว


นางฟาดฝ่ามือเข้าไป สร้างความสั่นสะเทือนเลือนลั่น พลังท่วมท้นนภานั้นไร้เทียมทาน แม้ว่าผู้เฒ่าคิ้วแดงเป็นถึงครึ่งก้าวเทียนตี้ แม้ว่าคนอื่น ๆ ล้วนอยู่เหนือขั้นตี้จวินขึ้นไป แต่ก็ยังมิไหว ถูกกำราบได้ด้วยฝ่ามือนี้ในพริบตา พลังทั้งหมดในตัวถูกผนึก


“อะไรกัน!”


“เจ้า!”


พวกผู้เฒ่าคิ้วแดงมีหน้าตาผวา ตกตะลึงในใจเป็นอย่างมาก


ต้องเป็นพลังสยดสยองปานใดกัน!?


ฝ่ามือเดียวที่ฟาดลงมา สามารถผนึกพลังทั้งหมดในตัวพวกเขาได้ น่ากลัวเกินไปแล้ว!


เทียนตี้!


ไม่สิ!


นี่คือเทียนตี้ชั้นเลิศ!


เทียนตี้ธรรมดาไม่มีทางน่าพรั่นพรึงได้เพียงนี้!


นางทำได้อย่างไร?


พวกเขามองจ้องลั่วสุ่ย อย่างไรก็เชื่อไม่ลงเลยว่าลั่วสุ่ยซึ่งมีลมปราณเยาว์วัยเยี่ยงนี้ กลับเป็นถึงเทียนตี้ชั้นเลิศ


สวรรค์!


ต้องมีความสามารถวิปริตฝืนสวรรค์ปานใดถึงบรรลุเป็นเทียนตี้ชั้นเลิศได้ในวัยเยาว์เช่นนี้!?


พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด!


ชั่วพริบตานั้น พวกเขาสั่นเทิ้มไปทั้งดวงวิญญาณ อย่าให้พูดเลยว่าในใจนั้นหวาดกลัวเพียงใด


“ไปส่งข่าวได้แล้ว”


ลั่วสุ่ยเอ่ยอีกครั้ง สั่งให้ผู้เฒ่าคิ้วแดงเข้าไปส่งข่าว


นางคิดในใจว่า ‘จักรพรรดิชาง’ ผู้นี้ชะล่าใจเสียจริง เมื่อครั้งมาถึงตำหนักแห่งนี้ นางจงใจเลิกอำพรางพลังทุกคน ก็เพื่อให้ ‘จักรพรรดิชาง’ รับรู้ถึงการมาของพวกเขา เพื่อให้ ‘จักรพรรดิชาง’ เป็นฝ่ายออกจากตำหนักด้วยตัวเอง ป้องกันมิให้พวกเขาต้องได้ยลภาพที่ไม่ควรเห็นในตำหนัก


ทว่า ‘จักรพรรดิชาง’ ด้านในนั้นหาได้แยแสไม่ แม้กระทั่งยามนางปล่อยพลังกำราบผู้เฒ่าคิ้วแดงและคนอื่น ๆ ‘จักรพรรดิชาง’ ด้านในก็ยังไม่สนใจ


ที่เกินไปกว่านั้นคือ ‘จักรพรรดิชาง’ ด้านในดูจะออกท่าออกทางมากกว่าเดิม ‘เสพสุข’ อยู่ด้านในรุนแรงกว่าเดิม เสียงครางกระดากหูรุนแรงยิ่งกว่าเมื่อครู่เสียอีก!


ไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาสักนิดเลยหรือนี่…


“ฝ่าบาท…”


ผู้เฒ่าคิ้วแดงมิกล้าลังเล รีบวิ่งเข้าไปในตำหนัก ส่งเสียงเรียกจักรพรรดิชาง


ทว่าจักรพรรดิชางยังไม่ยอมออกมา ยังคง ‘เสพสุข’ อย่างสำราญอยู่ภายใน


ลั่วสุ่ยตวาดเสียงเย็น “เจ้าก้อนหินเฮงซวย คิดจะทำอันใด!? รีบไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเจ้า ข้ารู้ทุกอย่างจนแจ่มแจ้งแต่แรกแล้ว!”


ก้อนหินเฮงซวย?


ชางเหยาผงะ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดพี่ลั่วสุ่ยถึงพูดเช่นนี้


“แปลงกายจากหินอัศจรรย์ก้อนนั้นหรือ!?”


นัยน์ตามัจฉาสัตมายาหรี่ลง เชื่อมโยงก้อนหินเฮงซวยที่ลั่วสุ่ยตะโกนออกไป กับหินอัศจรรย์ที่จุติลงจากน่านฟ้า


“เจ้าเป็นใคร!?”


ในที่สุด ก็มีเสียงตอบรับจากด้านในตำหนัก


จากนั้น ร่างซึ่งมีพลังปราณสยดสยองล้อมรอบเหินออกจากด้านใน


ทั้งตัวเขามีเพียงผ้าปูเตียงที่พันไว้ ผมขาวโพลน ดูอายุมากแล้ว ทว่าลมปราณของเขากลับมิได้ชราภาพแม้แต่น้อย ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม ดูคล้ายคุณปู่ผู้ใจดี แต่สายตาของเขาหาได้มีคุณธรรมไม่ เปี่ยมไปด้วยความมุ่งร้าย


เขาก็คือ ‘จักรพรรดิชาง’ หรือก็คือก้อนหินเฮงซวยที่ลั่วสุ่ยว่า


ถูกต้อง


คนผู้นี้มิใช่ ‘จักรพรรดิชาง’ ตัวจริง หากแต่แปลงกายจากหินอัศจรรย์ ก่อนนี้ที่ลั่วสุ่ยแผ่ญาณสัมผัสออกไปก็ล่วงรู้ทุกอย่าง สัมผัสได้ถึงร่างจริงของ ‘จักรพรรดิชาง’ ผู้นี้


ส่วนจักรพรรดิชางตัวจริง ลั่วสุ่ยสัมผัสได้เช่นกัน เขายังไม่ตาย ถูกกำราบคุมขังไว้ในส่วนลึกของตำหนักนี้


“เจ้ากำเนิดญาณออกมาได้ หรือแต่เดิมนั้นเจ้ามีญาณอยู่แล้ว”


ลั่วสุ่ยทอดมอง ‘จักรพรรดิชาง’ คิดไม่ถึงอยู่นิดหน่อย


เมื่อคราวมัจฉาสัตมายากล่าวถึงหินอัศจรรย์ก้อนนี้ มิได้เล่าว่าภายในหินอัศจรรย์มีญาณอยู่ และนางก็เข้าใจว่าหินอัศจรรย์ก้อนนั้นมิมีญาณ


ผลปรากฏว่า ในหินอัศจรรย์ก้อนนั้นไม่เพียงแต่มีญาณ ซ้ำร้ายยังแปลงกายเป็นจักรพรรดิชาง ก่อกรรมทำเข็ญอยู่ในแคว้นโบราณชางเยว่ เรื่องนี้เหนือการคาดหมายของนางไปหน่อย


“เจ้าเป็นใครกันแน่!?”


สายตา ‘จักรพรรดิชาง’ จับจ้องลั่วสุ่ยเขม็ง สีหน้าเคร่งเครียด เอ่ยถามลั่วสุ่ยอีกครั้ง


เขาคิดไม่ถึงเลยว่าลั่วสุ่ยจะมองทะลุถึงปูมหลังของเขา!


เรื่องนี้เป็นที่เหลือเชื่อสำหรับเขา


รู้หรือไม่ แม้นเขามิเคยฟื้นกำลังกลับมาได้เต็มที่ กระนั้นพลังที่เขาครอบครองในยามนี้ก็ยังแกร่งกล้าเป็นที่สุด ต่อให้เป็นเทียนตี้ชั้นเลิศ ก็ใช่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขา


ทว่าลั่วสุ่ยเพิ่งมาถึงที่นี่ก็จับปูมหลังของเขาได้ เป็นเรื่องที่เขาคิดไม่ถึงเลย เหนือการคาดหมายของเขาไปมาก


“พี่ลั่วสุ่ย ท่านหมายความว่าเขาแปลงกายจากหินอัศจรรย์ก้อนนั้นในแคว้นของเราหรือ!?”


ชางเหยาตาโต นางค่อย ๆ เข้าใจขึ้นมา


“ถูกต้อง”


ลั่วสุ่ยพยักหน้า “เขาแปลงกายจากหินก้อนนั้น มิใช่เสด็จพ่อของเจ้า เสด็จพ่อของเจ้าถูกเขาจองจำไว้ในส่วนลึกของตำหนัก”


“อะไรนะ!”


ชางเหยาสั่นไปทั้งตัว นางคิดไม่ถึงเลยว่าความจริงจะเป็นเยี่ยงนี้!


นางจะคิดถึงได้อย่างไรกัน


ในกาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา พวกเขาไม่เคยค้นพบเลยว่ามีญาณอยู่ในหินอัศจรรย์ และบัดนี้ หินอัศจรรย์ก้อนนี้กำราบเสด็จพ่อของนาง แปลงกายให้อยู่ในรูปลักษณ์เสด็จพ่อของนาง ทั้งหมดนี้มหัศจรรย์เกินไปแล้ว!


“ข้าก็ว่า ต่อให้เสด็จพ่อมีนิสัยเปลี่ยนไปอย่างไรก็ไม่มีทางถึงขั้นนี้!”


จากนั้น นางเอ่ยขึ้นด้วยความเต็มตื้น


“ที่แท้เป็นเจ้าก้อนหินเฮงซวยนี่ที่คอยทำชั่ว! เจ้าสมควรตายนัก บังอาจทำลายชื่อเสียงจักรพรรดิชาง ทำอะไรตามอำเภอใจในแคว้นโบราณชางเยว่!”


มัจฉาสัตมายาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันขณะเอ่ยกับ ‘จักรพรรดิชาง’


“สมควรตายรึ เจ้าคิดสิ่งใดอยู่! การที่ข้าปลอมตัวเป็นเขา ถือเป็นเกียรติของเขา! เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร มาจากที่ใด!?”


‘จักรพรรดิชาง’ ตวาดเสียงเย็น ต่อให้อาณาจักรอวี้ซวีเป็นถึงหนึ่งในอาณาจักรเก้าตอนบน ในสายตาเขาก็เท่านั้น ถือเป็น ‘อาณาจักรเล็ก ๆ’ อันแสนกระจอก


และจักรพรรดิชางก็เช่นกัน ไร้ค่าอย่างยิ่งในสายตาเขา ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง
บทที่ 538

‘จักรพรรดิชาง’ เชิดศีรษะขึ้น หน้าตาโอหัง เตรียมเล่าภูมิหลังที่มาที่ไปของเขา เอาให้พวกลั่วสุ่ยต้องตกตะลึง


ทว่าประโยคเดียวของลั่วสุ่ยทำให้เขาสลดลงในบัดดล


“ก็แค่มาจากภพเซียนเทียมมิใช่หรือ น่าลำพองตรงไหน?” ลั่วสุ่ยเอ่ยเสียงเรียบ


เมื่อครั้งนางจับสัมผัสร่างจริงของ ‘จักรพรรดิชาง’ ได้ ก็รู้สึกคุ้นเคยขึ้นมา บัดนี้ นางได้สัมผัสถึงร่างจริงของ ‘จักรพรรดิชาง’ อีกครั้ง ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าความรู้สึกคุ้นเคยนี้มาจากไหน


ร่างเดิมของ ‘จักรพรรดิชาง’ มีพลังปราณเหมือนกับปลามังกรตัวนั้น!


บ่งบอกว่า ร่างจริงของ ‘จักรพรรดิชาง’ มาจากที่เดียวกับปลามังกร ซึ่งก็คือภพเซียนเทียม!


“เจ้ารู้ได้อย่างไร!?”


‘จักรพรรดิชาง’ ทั้งคิดไม่ถึง ทั้งเจ็บใจเคียดแค้น


เดิมเขาตั้งใจเล่าประวัติความเป็นมาของตนอย่างละเอียด เพื่อข่มขวัญสิ่งมีชีวิตอาณาจักรระดับล่างอย่างพวกลั่วสุ่ย สุดท้าย ประโยคเดียวของลั่วสุ่ยเปิดโปงปูมหลังของเขาหมด อย่าให้พูดเลยว่ารู้สึกแย่ปานใด!


นอกจากนี้ เขาตะลึงอย่างมากอีกด้วยว่าลั่วสุ่ยทราบปูมหลังของเขาได้อย่างไร


ชั่วขณะนั้น จิตใจของเขาเคร่งเครียดขึ้นอย่างยิ่ง ไม่เหลือท่าทีดูแคลนอย่างก่อน ลั่วสุ่ยไม่ธรรมดายิ่งกว่าที่เขาคิดไว้อีก นางล่วงรู้อะไรหลายอย่างเหลือเกิน!


“พลังปราณของเซียนเทียม เจ้าคงเป็นหินเซียนเทียมที่ร่วงหล่นจากภพเซียนเทียมใช่หรือไม่”


ลั่วสุ่ยเอ่ยด้วยสายตาวาววาม


“หินเซียนเทียมอันใด! ข้าคือหินเซียนแท้จริง! อีกอย่าง ที่นั่นคือภพเซียนอย่างถ่องแท้ หาใช่ภพเซียนเทียม!”


‘จักรพรรดิชาง’ ตวาดเสียงกราดเกรี้ยว


ในดินแดนพวกเขา ไม่เคยเอ่ยถึงคำว่า ‘เทียม’ พวกเขามองว่า ดินแดนของพวกเขาคือภพเซียนอย่างถ่องแท้ และพวกเขาก็คือเซียนตัวจริง!


“หลอกคนกันเองเท่านั้น เซียนตัวจริง ภพเซียนอย่างถ่องแท้กระไร พวกเจ้าดำรงตนเป็นนิจนิรันดร์ เมินเฉยต่อกาลเวลาได้หรือ ก็แค่มีชีวิตอยู่ได้นานกว่าเท่านั้นเอง”


ลั่วสุ่ยกล่าว


เวลานั้น มัจฉาสัตมายาเสริมขึ้นหนึ่งประโยคจากด้านข้าง “พี่ลั่วสุ่ย ท่านพูดไม่ถูก นี่หาใช่หลอกคนกันเองไม่ หากแต่เป็นหลอกหินกันเองต่างหาก!”


“จริงด้วย ข้าพูดผิดไป” ลั่วสุ่ยหัวเราะ


หลัง ‘จักรพรรดิชาง’ ได้ฟังคำกล่าวนี้ โทสะพลันลุกโชนอยู่ในทรวงอก


“อยากตายรึ!”


เขาลงมือทันที ฟาดฝ่ามือไปหาลั่วสุ่ย ลั่วสุ่ยมิได้ตั้งรับฝ่ามือนี้ แต่เอี้ยวตัวกระโจนขึ้นฟ้า นางไม่ต้องการให้แคว้นโบราณแห่งนี้ได้รับความเสียหาย


“บรรลุขีดจำกัดสูงสุดในใต้หล้า มิใช่เซียนแล้วจะเป็นอันใดอีก”


‘จักรพรรดิชาง’ ทะยานตัวขึ้น บุกโจมตีลั่วสุ่ย แต่ไหนแต่ไร พวกเขามองว่าพวกตนคือเซียน ว่ากันว่า การดำรงตนเป็นนิจนิรันดร์ของเซียนเป็นเพียงจินตนาการของผู้ฝึกตนเท่านั้น ไม่อาจยึดถือเป็นความจริง


ตัวเขาไม่ธรรมดาจริง ๆ พลังแกร่งกล้าเป็นที่สุด พริบตาที่ลงมือ พลังสยดสยองทะลักทะลวง เหนือกว่าขั้นเทียนตี้ไกลโข


ทว่าลั่วสุ่ยมิได้หวาดหวั่นแม้แต่น้อย นางทอดมอง ‘จักรพรรดิชาง’ ซึ่งกำลังบุกเข้ามาขณะเอ่ย “หวังว่าเจ้าจะช่วยให้ข้าได้ต่อยมวยไทเก๊กจนจบชุด”


จากนั้น นางเหยียดแขนเหยียดขา เริ่มออกลวดลายมวยไทเก๊ก


เมื่อนางต่อยมวยไทเก๊กออกไป กฎระเบียบสูงส่งอย่างหามิได้ปรากฏ ขณะเดียวกัน ยังมีภาพหยินหยางโผล่ให้เห็นเป็นครั้งคราว


‘จักรพรรดิชาง’ บุกเข้ามา ทรงพลังกล้าแกร่งกว่ามู่ขุยมากนัก เขาสามารถต่อกรกับมวยไทเก๊กของลั่วสุ่ยได้หลายกระบวนท่าทีเดียว


ทว่าเขาทำได้เพียงเท่านั้น ได้เพียงแต่ต่อกรด้วยไม่กี่กระบวนท่า หลังจากนั้น เขาก็สู้ไม่ไหวอีกต่อไป ถูกกำราบโดยกฎระเบียบสูงส่งอย่างหามิได้ที่สำแดงออกจากมวยไทเก๊ก ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ตามใจนึก กลายเป็นฝ่ายถูกจู่โจม!


ปัง! ปัง! ปัง!


เขาได้รับแรงกระแทกอย่างหนัก ซ้ำยังมีสีหน้าเหลือเชื่อขึ้นเรื่อย ๆ


มวยที่ดู ‘นุ่มนวล’ ถึงเพียงนั้น พลังที่ปะทุออกมากลับน่าประหวั่นพรั่นพรึงถึงขีดสุด จนเขาต้านไม่ไหว ตั้งรับมิได้!


นี่มันมวยอันใดกัน?


เขาตะลึงอย่างยิ่ง มวยไทเก๊กที่ลั่วสุ่ยต่อยออกมามหัศจรรย์เกินไป เหนือกว่าทุกวิชาอภินิหารที่เขาเคยรับรู้


เขาคำรามเสียงยาว มิกล้าต่อสู้กับลั่วสุ่ยด้วยรูปร่างนี้อีก เขาคืนกลับร่างเดิม เป็นหินอัศจรรย์ก้อนนั้นจริงด้วย


จากนั้น เขามีศีรษะหิน มือหิน ขาหินงอกออกมา


“ฆ่า!”


หลังคืนกลับร่างเดิม สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยประกายแห่งความมั่นใจ ร่างจริงของเขาแข็งแกร่งทนทานไร้ใดเปรียบ ไม่มีทางถูกทลายลงง่าย ๆ


ในส่วนนี้ ลำพังเศษหินที่เขาสะบัดออกไปยังนำไปหลอมเป็นศาสตราเทียนตี้ชั้นเลิศได้ นับเป็นการพิสูจน์ให้เห็นแล้วอย่างสิ้นเชิง!


ทว่า เขายังประเมินตัวเองสูงไป ประเมินมวยไทเก๊กของลั่วสุ่ยต่ำไป


ภายใต้มวยไทเก๊กที่ลั่วสุ่ยต่อยออกมา เขาไม่อาจแผลงฤทธิ์ได้เลย การป้องกันแข็งแกร่งนั้นราวกับไม่มีอยู่ ทุกหมัดที่ลั่วสุ่ยต่อยออกมาสามารถสร้างความเสียหายให้เขาอย่างสาหัส


“ไม่ได้ ๆ ขืนต่อยต่อไป เจ้าได้แหลกลาญแน่”


เวลานั้นเอง ลั่วสุ่ยรามือ หยุดวิชามวยไทเก๊ก


นางมิกล้าสู้ต่อ ขืนสำแดงมวยไทเก๊กไปมากกว่านี้ พลานุภาพรังแต่จะยิ่งน่ากลัวสยดสยอง นางกลัวจะอัดหินอัศจรรย์จนแหลกลาญ


นางตั้งใจนำหินก้อนนี้กลับไปให้คุณชายใช้สลักเป็นเขามอ


หลังหินอัศจรรย์ได้ยินวาจาของลั่วสุ่ย ก็พิโรธเหลือแสน


นี่เป็นการเหยียดยามเขาโดยไม่ปิดบัง!


กระนั้นเขาไม่อาจโต้เถียงได้เลย เพราะหากสู้กันเช่นนี้ต่อไปจริง ๆ เขาอาจถูกมวยไทเก๊กของลั่วสุ่ยอัดจนแหลกลาญก็ได้


ฟึ่บ!


แสงประกายวูบไหว ลั่วสุ่ยขัดสมาธิบนนภา ฉินยาวเล่มหนึ่งปรากฏตรงหน้านาง นางบรรเลงลำนำ เสียงฉินไพเราะเสนาะหูเจือไว้ด้วยพลังเกินหยั่งแผ่ซ่านออกมา คลี่ปกคลุมหินอัศจรรย์ไว้ภายใน


ต่อมา มีลำแสงพุ่งออกจากหน้าผากขาวนวลเนียนของลั่วสุ่ย ทิ่มแทงไปหาหินอัศจรรย์!


นางต้องการสังหารญาณของหินอัศจรรย์!


ญาณชั่วร้ายเช่นนี้เก็บไว้มิได้เด็ดขาด


นางไม่ยอมให้ญาณชั่วร้ายเช่นนี้เข้าไปในลานเล็กของคุณชาย ญาณในหินอัศจรรย์ไม่ควรค่า!


“คิดจะสังหารญาณของข้ารึ!?”


หินอัศจรรย์มิได้เกรงกลัว หากแต่หัวเราะออกมา “เหตุใดเจ้าถึงคิดเหมือนข้าเลยเล่า!”


เสียงดังฟึ่บ มีลำแสงพุ่งออกจากหน้าผากของเขาเช่นกัน ญาณหินของเขานั่นเอง มันพุ่งเข้าสังหารร่างย่อวิญญาณของลั่วสุ่ย


ใช่แล้ว เดิมทีเขาตั้งใจเรียกญาณหินออกมาประมือกับลั่วสุ่ย


ฝีมือทรงพลังที่สุดของเขามิใช่ร่างหิน หากแต่เป็นญาณหิน!


ญาณหินของเขาแข็งแกร่งอย่างมหันต์ เหนือกว่าวิชาและพลังด้านอื่นของเขา เขาเคยกินหญ้าวิญญาณต้นหนึ่งในภพเซียน เป็นหญ้าวิญญาณขั้นเซียน และเขาก็ถูกไล่ล่าสังหารอย่างโหดร้ายเพราะเหตุนี้ ถึงจำต้องหนีออกจากภพเซียน


แน่นอนว่า ภพเซียนและหญ้าเซียนที่ว่า เป็นเพียงในความคิดของเขาเท่านั้น แท้จริงแล้วคือภพเซียนเทียม และหญ้าเซียนเทียม


ครานั้น หญ้าวิญญาณขั้นเซียนต้นนี้เพิ่งปรากฏสู่โลก ตกอยู่ในการครอบครองของเขา ทว่าเขาเองก็ถูกยอดฝีมือทั้งหลายตามล่าเพราะเหตุนี้


เขาเกือบถูกสังหาร ด้วยความโชคดีถึงหนีรอดออกมาได้ จนตกมาอยู่ในอาณาจักรอวี้ซวี


ยามนั้น เขาบาดเจ็บสาหัสสากรรจ์ เหลือญาณหินอยู่เพียงเสี้ยวเดียว และนั่นก็เพราะหญ้าวิญญาณที่เขากินไปก่อนหน้าเสริมความแข็งแกร่งให้กับญาณหิน มิฉะนั้น แม้แต่ญาณหินเสี้ยวนี้เขาก็คงรักษาไว้มิได้


อย่างที่เขาว่ากันจริง ๆ สัตว์ยอมตายเพราะอาหาร มนุษย์ยอมตายเพราะสมบัติ เมื่อครั้งเขายังอยู่ที่ภพเซียน ทำมิดีมิร้ายนางเซียนไปตั้งเท่าไรยังมิเคยถูกไล่ล่าขนาดนี้ เพียงเพราะเขาได้หญ้าวิญญาณมาในครอบครอง ก็ต้องถูกไล่ล่าจากคนทั้งแดนดิน ทุกคนล้วนต้องการฆ่าเขา เพื่อให้ได้มาซึ่งหญ้าวิญญาณ


และเมื่ออยู่ในอาณาจักรอวี้ซวี ผ่านการฟื้นพลังปรับร่างกายมาอย่างยาวนาน ในที่สุดเขาก็ค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับมา ญาณหินกลืนคืนสภาพเดิมช้า ๆ


หลังกลับสภาพเดิมได้แล้ว เขาก็ไม่ยอมอยู่เฉยอีก


เขากำราบจักรพรรดิชาง จำแลงกายเป็นจักรพรรดิชาง สวมรอยเป็นจักรพรรดิชาง ใช้ชีวิตในแคว้นโบราณชางเยว่ด้วยความเกษมสำราญ


ขนาดที่เขาไม่อยากกลับไปด้วยซ้ำ


กลับไปเพื่ออะไร?


แม้ว่านางเซียนในภพเซียนเทียมนั้นยอดเยี่ยมกว่า ทว่าอันตรายก็มากกว่าเช่นกัน ด้วยความสามารถเพียงเท่านี้ของเขา ไม่อาจเป็นใหญ่ในภพเซียนเทียมได้เลย มิสู้อยู่ต่อในอาณาจักรอวี้ซวี


เขายังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ก็สามารถทำตามอำเภอใจในอาณาจักรอวี้ซวีได้แล้ว หากพลังเขากลับคืนมาเมื่อใด เขาคงไร้เทียมทานอย่างแท้จริงในอาณาจักรอวี้ซวี!


ถึงเวลานั้น เขาอยากทำสิ่งใดในอาณาจักรอวี้ซวีก็ได้ และบางที เขาสามารถทำอะไรก็ได้ในอาณาจักรทั้งปวง มิดียิ่งกว่าเดิมอีกหรือ?


ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรอวี้ซวี หรืออาณาจักรทั้งปวง ทรัพยากรการฝึกตนล้วนต่ำชั้นเกินไป ไม่อาจเทียบเคียงภพเซียนเทียมได้เลย ขอบเขตพลังของเขาก็อาจชะงักงันไม่ก้าวหน้าเพราะเหตุนี้ ไม่สามารถบรรลุขึ้นไปได้อีก


ทว่าเขามิได้ใส่ใจมากนัก คิดไปว่าชะงักงันก็ชะงักงันเถิด ขอให้เขาได้หนำใจก่อนแล้วค่อยว่ากัน


ถึงอย่างไรเขายังเหลืออายุขัยอีกมาก สาแก่ใจเมื่อใดค่อยกลับไปยังภพเซียนเทียมก็ได้


ทว่ายังไม่ทันได้เกษมสำราญในแคว้นโบราณชางเยว่นานเท่าใด ลั่วสุ่ยก็มาเยือน ที่สำคัญยังมาเยือนในช่วงเปรมปรีดิ์ที่สุดที่เขากำลัง ‘สู้ศึกใหญ่’ กับจักรพรรดินีอวี้เซีย รวมถึงผู้ฝึกตนหญิงคนอื่น ๆ!


อย่าให้พูดเลยว่าเขาโมโหเพียงใด อยากฆ่าลั่วสุ่ยเพียงใด!


และหากผู้เฒ่าคิ้วแดงและคนอื่น ๆ ซึ่งมีหน้าที่เฝ้ายามนอกตำหนักได้ล่วงรู้ความคิดในใจของเขา คงต้องเอ่ยว่า ‘จักรพรรดิชาง’ เอ๋ย หมายความว่าอย่างไร ที่ว่ามาในช่วงเปรมปรีดิ์ที่สุดของท่าน ท่านมีช่วงเวลาใดไม่เปรมปรีดิ์บ้าง ท่านหาได้เคยหยุดไม่!


ญาณหินบุกสังหาร แกร่งกล้าอย่างยิ่ง วิญญาณเทียนตี้ชั้นเลิศเมื่ออยู่เบื้องหน้าญาณหินก็เป็นเพียงเศษสวะ ห่างชั้นกันไกลโข พลังของญาณหินอยู่ในขั้นกึ่งเซียนแล้วแน่ ๆ!


“แข็งแกร่งมากจริง ๆ”


อีกด้าน ร่างย่อวิญญาณของลั่วสุ่ยส่งเสียง มิได้เป็นฝ่ายได้เปรียบในศึกดวลวิญญาณกับญาณหิน


ทว่านางมิใช่ฝ่ายได้เปรียบเพียงเท่านั้น นี่ถือเป็นการต่อสู้อย่างทัดเทียม และมิเคยเป็นฝ่ายเสียเปรียบ


“เจ้าเป็นใครกันแน่!”


ญาณหินตื่นตระหนก ผลลัพธ์เยี่ยงนี้เหนือความคาดหมายของเขาไปมาก


เดิมเขาคิดว่า หลังญาณหินบุกโจมตีออกไป เขาสามารถสังหารร่างย่อวิญญาณของลั่วสุ่ยได้แน่นอน ทว่า คล้อยตามการต่อสู้ที่ดำเนินต่อ เขารู้ดีว่าการนี้ยากเย็นเพียงใด!


เขาเปล่งพลังเต็มสูบแล้ว กระนั้นยังไม่อาจกำราบลั่วสุ่ย ทำได้เพียงสู้กับลั่วสุ่ยด้วยฝีมือทัดเทียม สำหรับเขา เรื่องนี้ท่าไม่ดีสุด ๆ!


เพราะเขามิเคยรู้สึกว่าพลังของร่างย่อวิญญาณฝ่ายลั่วสุ่ยลดทอนลงเลย เขายังสัมผัสได้อีกว่าร่างย่อวิญญาณของฝ่ายลั่วสุ่ยค่อย ๆ เพิ่มพูนพลังขึ้น หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาต้องถูกกำจัดอย่างแน่นอน!


เป็นไปได้อย่างไรกัน!?


ปราศจากทรัพยากรฝึกตนสูงชั้น ลั่วสุ่ยบำเพ็ญอย่างไรให้อยู่ในระดับนี้!?


เขาไม่อาจเชื่อได้เลย!


“ฆ่า!”


อีกด้าน ร่างย่อวิญญาณของลั่วสุ่ยเปล่งพลัง คลื่นปราณและพลังที่สยดสยองยิ่งขึ้นปะทุออกมา สำแดงกระบวนท่าพิฆาตต่อญาณหิน เตรียมขจัดญาณหินให้สิ้นซาก


ญาณหินเปล่งพลังสูงสุดออกมาแล้ว แต่นางไม่เคยใช้พลังทั้งหมดของตน นั่นก็เพราะอยากเห็นว่าความสามารถในศึกวิญญาณของนางในตอนนี้เป็นอย่างไรกันแน่


และบัดนี้ ญาณหินไม่เหลือพลังให้ใช้อีก นางไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับญาณหินต่อ ขจัดทิ้งเสียก็พอ
บทที่ 539

เสียงฉินฮึกเหิม คลื่นแสงซัดสาดออกมาดวงแล้วดวงเล่า ลั่วสุ่ยได้รับการชี้แนะด้านฉินจากคุณชายเช่นกัน ก้าวหน้าด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ และฉินที่นางกำลังบรรเลงอยู่นี้ ก็ได้หลี่จิ่วเต้าประดิษฐ์ขึ้นด้วยตัวเองเพื่อมอบให้นาง


ร่างย่อวิญญาณของนางเปล่งแสง การโจมตีดุดันขึ้นเรื่อย ๆ เพลงฉินเสริมความแข็งแกร่งให้กับพลังวิญญาณของนาง ขณะเดียวกันยังตัดทอนพลังวิญญาณของญาณหินลงไปมากอีกด้วย


ญาณหินอยากหนี เพราะไม่เห็นโอกาสชนะเลยสักนิด ระดับความห่างชั้นยิ่งขยายออกในตอนนี้ เขาไม่อาจต่อกรด้วยได้เลย


เขารู้สึกแย่เป็นที่สุด เหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้?


สำหรับภพที่เขาอยู่ อาณาจักรอื่นล้วนเป็นอาณาจักรชั้นต่ำ ทรัพยากรการฝึกฝนไม่อาจเทียบชั้นได้กับอาณาจักรที่เขาอยู่ได้เลย เขาควรเกรียงไกรไร้เทียมทานถึงจะถูก เหตุใดบัดนี้แค่เด็กรุ่นหลังคนหนึ่งยังน่าพรั่นพรึงถึงเพียงนี้!?


เขาพยายามหนีไปที่ร่างหิน คิดจะหนีเข้าไปในร่าง แล้วค่อยหนีไปจากที่นี่


มิใช่ว่าเขาตัดใจทิ้งร่างหินไม่ลง หากแต่เพราะว่าเขาต้องกลับเข้าไปอยู่ในร่างหินเท่านั้นถึงจะหนีพ้น ลำพังพลังวิญญาณของญาณหิน เขาไม่มีทางหนีไปไหนได้เลย


ทว่า เขาคิดมากเกินไป ขณะที่เขากำลังจะหนีเข้าร่างหินได้ ร่างย่อวิญญาณของลั่วสุ่ยบุกเข้ามา ดุดันไร้ใดเปรียบ ทลายญาณหินของเขาลง สังหารเขาลงอย่างสิ้นเชิง!


ตุบ!


ร่างหินของเขาร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า แรงดิ่งมหาศาลกระแทกจนพื้นดินเป็นหลุมลึก กระนั้นร่างหินของเขากลับไม่มีรอยขีดข่วน ไม่มีแม้แต่เศษหินแตกกระเด็นออกมา


ทั้งหมดปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในแคว้นโบราณชางเยว่ต่างตาค้างกันหมด ลั่วสุ่ยคือใครกัน นางเซียนท่านหนึ่งหรือ?


แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!


พวกเขาสั่นสะท้านไปทั้งดวงวิญญาณ ตื้นตันอย่างไม่ทราบสาเหตุ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่ง พวกเขาจะได้เห็นการต่อสู้เช่นนี้ น่าทึ่งยิ่งนัก!


ประกายแสงวูบไหว ลั่วสุ่ยโรยตัวลงจากผืนฟ้า เจิดจรัสไร้มลทิน สูงส่งบริสุทธิ์ เสมือนนางเซียนผู้อยู่เหนือโลกีย์อย่างแท้จริง


หลังลงมาถึงพื้น นางลงมือ ลบล้างผนึกที่สะกดจักรพรรดิชางด้วยพลังอันแข็งแกร่ง ก่อนจะห่อหุ้มตัวจักรพรรดิชางด้วยพลังนุ่มนวล แล้วพาจักรพรรดิชางออกมา


“เสด็จพ่อ!”


ชางเหยารีบวิ่งเข้าไปประคองจักรพรรดิชาง จักรพรรดิชางดูไม่ดีเอาเสียเลย พลังปราณอ่อนแรงถึงขีดสุด เขาถูกญาณหินดูดพลังไปมหาศาล


ที่สิ่งแวดล้อมในแคว้นโบราณชางเยว่เลวร้ายลง พลังปราณในปฐพีรวมถึงทรัพยากรฝึกฝนหายไปจำนวนมากล้วนเกี่ยวข้องกับญาณหิน ถูกญาณหินดูดกลืนไปหมด


แม้กระทั่งคลังสมบัติในแคว้นโบราณชางเยว่ยังว่างเปล่า สมบัติวิเศษมหาศาลถูกญาณหินดูดกลืนพลังไปหมดเช่นกัน


“นี่มัน…?”


จักรพรรดิชางถูกสะกดไว้ในส่วนลึกของตำหนัก ซ้ำยังอยู่ในสภาวะไม่สู้ดีนัก เขาไม่รู้เลยว่าข้างนอกนั่นเกิดเรื่องอันใดขึ้นบ้าง และไม่รู้ว่าญาณหินสวมรอยเป็นเขาแล้วก่อเรื่องชั่วช้าอันใดลงไปบ้าง


ชางเหยาอธิบายทุกอย่างด้วยความว่องไว ทว่ามิได้เล่าละเอียดมากนัก นางกลัวว่าหากเสด็จพ่อของนางได้รู้ทุกการกระทำของญาณหินแล้วจะรับมิไหว ในส่วนวีรกรรมของญาณหินที่สวมรอยเป็นเสด็จพ่อของเขา นางเอ่ยถึงเพียงผ่าน ๆ เท่านั้น


แต่แล้วในตอนนั้นเอง จักรพรรดินีอวี้เซีย และผู้ฝึกตนหญิงอื่น ๆ เดินโซซัดโซเซ พยุงกันและกันออกจากตำหนัก


สภาพพวกนางย่ำแย่เป็นที่สุด ราวกับเมื่อครู่เพิ่งผ่านศึกใหญ่ชี้ชะตามาอย่างนั้น แต่ละคนดูอ่อนเปลี้ยเพลียแรง สายตาล่องลอยไร้จุดหมาย


“ที่แท้เป็นเจ้าหินเฮงซวยก้อนนี้นี่เอง! มิน่า ทำกันทั้งวันทั้งคืนอยู่ร่วมเดือนยังไม่จบไม่สิ้น ไม่มีวี่แววหยุดยั้ง! ไม่มีสิ่งใดออกจากร่างกายของเขา แล้วจะจบสิ้นได้อย่างไร”


จักรพรรดินีอวี้เซียเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เอ่ยอย่างเคียดแค้น


ระยำนัก นางเป็นถึงเทียนตี้หญิง ยังถูกทำให้อยู่ในสภาพนี้ อิดโรยอ่อนระโหยถึงขีดสุด ไม่ต้องคิดให้มากความยังรู้ว่านางผ่านความทรมานมาใหญ่หลวงเพียงใด


“เจ้าก้อนหินเฮงซวย!!!”


หลังจักรพรรดิชางได้ฟังวาจาของเทียนตี้อวี้เซีย ไฉนเลยจะไม่รู้ว่าญาณหินสวมรอยเป็นเขาแล้วกระทำการใดลงไปบ้าง เขาเดือดดาลอย่างมาก กิตติศัพท์ที่เขาสั่งสมมาทั้งชีวิต ป่นปี้จนสิ้นเพราะญาณหินตนนี้


เขาทนไม่ไหว กระอักเลือดออกมา สภาพของเขาย่ำแย่มาก ซ้ำยังได้รับความกระเทือนทางอารมณ์อย่างหนัก จนแทบเป็นลมสิ้นใจ


ชางเหยารีบถ่ายทอดพลังเข้าไปในร่างกายเสด็จพ่อของนาง เพื่อรักษาความเสถียรทางลมปราณของเสด็จพ่อไว้


ลั่วสุ่ยก้าวเข้ามา ยื่นแอปเปิลลูกหนึ่งให้จักรพรรดิชาง ให้จักรพรรดิชางกินเข้าไปแล้วทำการกลั่นพลังภายใน


“นี่มัน…เลอค่าเกินไป!”


เป็นตายร้ายดีอย่างไรจักรพรรดิชางก็ไม่ยอมรับไว้ ขุมปราณชีวิตบนแอปเปื้ลรุนแรงยิ่ง เหนือชั้นกว่าโอสถเทียนตี้อย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งยังอาจเป็นถึงผลเซียนอีกด้วย


“ได้ท่านยื่นมือเข้าช่วย ข้าถึงไม่ถึงคราวสิ้นชีพ แคว้นโบราณชางเยว่ของเราก็ไม่ถึงคราวล่มสลาย ข้าไฉนเลยจะรับของล้ำค่าเยี่ยงนี้ของท่านไว้อีก


“นี่มิใช่การมอบให้ หากแต่เป็นการแลกเปลี่ยน ข้าอยากแลกหินก้อนนี้ด้วยแอปเปิลก้อนนี้ ได้หรือไม่”


จักรพรรดิชางไม่ยอมรับไว้เสียที ลั่วสุ่ยหมดทางเลือก ได้แต่เอ่ยเช่นนี้


นางสัมผัสได้ว่าจักรพรรดิชางบาดเจ็บสาหัส ถูกหินอัศจรรย์ดูดพลังไปมหาศาล บัดนี้แม้นชีวิตมิได้แขวนอยู่บนเส้นด้าย กระนั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันมากนัก ต่อให้ไม่ต้องแลกเปลี่ยนกับหินอัศจรรย์ นางก็ยังจะหยิบแอปเปิลออกมาช่วยรักษาจักรพรรดิชาง นางไม่มีทางมองข้ามผู้ตกระกำลำบากโดยไม่ช่วยเหลือ


“หินนี้ท่านเอาไปได้เลย แต่ผลเซียนลูกนี้ข้าไม่อาจรับไว้ได้จริง ๆ”


จักรพรรดิชางยืนกราน บุญคุณที่ลั่วสุ่ยมีต่อเขา รวมถึงทั้งแคว้นโบราณชางเยว่สูงส่งยิ่งนัก ต่อให้ต้องยกหินอัศจรรย์นี้ให้ลั่วสุ่ยเฉย ๆ ก็นับว่าสมควรแล้ว เขาไม่คิดแลกเปลี่ยนสิ่งใดกับลั่วสุ่ย


“หากเป็นเช่นนี้ ข้าคงไม่อาจนำหินนี้ไปได้…”

ลั่วสุ่ยสั่นศีรษะพลางเอ่ย สุดท้าย ด้วยการยืนกรานจากนาง จักรพรรดิชางยอมรับแอปเปิลไว้ ส่วนนางก็เก็บหินอัศจรรย์ไป


“พวกเราไปกันเถิด”


มัจฉาสัตมายาบอกกับลั่วสุ่ย ก่อนจะชิงเผ่นไปก่อน เขาพบว่าสายตาที่ชางเหยามองเขามิสู้จะปกติเท่าใด ราวกับกำลังวางแผนบางอย่าง!


“พี่ชายชวน ไยท่านถึงวิ่งเร็วปานนั้น!”


ชางเหยาโมโหจนกระทืบเท้า นางคิดไว้แล้วว่าจะรั้งให้มัจฉาสัตมายาและพี่ลั่วสุ่ยอยู่กินข้าวด้วยกันที่นี่ แล้วถึงยามกินข้าว ค่อยผสม ‘บางอย่าง’ ลงไปในข้าวของมัจฉาสัตมายา


ทว่ามัจฉาสัตมายาไม่ให้โอกาสนางได้ทำเช่นนั้น เขาวิ่งหนีไปโดยไม่หันหลังกลับ


“จากนี้ไปยังมีโอกาสอีกมาก ไม่ต้องรีบร้อน”


ลั่วสุ่ยเอ่ยยิ้ม ๆ บอกลาชางเหยาและจักรพรรดิชาง ตามมัจฉาสัตมายาไป


ได้วัสดุหินไว้ให้คุณชายสลักหินมอแล้ว เวลานี้ขาดเพียงเต่าชราตัวนั้น พวกเขาเร่งรีบเดินทางต่อ มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เต่าชราพำนักอยู่


...


ณ ดินแดนฝอ


ภายในน่านน้ำทะเลเรียบนิ่งปราศจากเกลียวคลื่นแห่งหนึ่ง ที่นี่คือทะเลทุกข์ เป็นสถานที่ต้องห้ามแห่งหนึ่งในดินแดนฝอ แม้กระทั่งแสงแห่งพระอมิตาภะพุทธเจ้ายังมิเคยส่องลงมาที่นี่


ที่นี่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง มีสัตว์ประหลาดไร้นามอาศัยอยู่ มีไอหมอกสีดำปกคลุมอยู่ตลอดปี ทั้งอึมครึมทั้งน่าผวา


“อยู่ที่ไหนกันแน่ ข้าตามหาไปทั่วทั้งสามมหาดินแดนแล้ว…”


หญิงสาวงดงามดุจนางเซียนสวรรค์ โฉมสะคราญดวงหน้าไร้มลทิน พลังปราณวิเศษสูงส่งผู้หนึ่ง ยืนตระหง่านอยู่บนทะเลทุกข์ พึมพำเสียงเบากับตัวเอง


ใต้เท้าของนาง สัตว์ประหลาดทุกตัวในทะเลทุกข์มิกล้าโผล่หัว พวกมันรู้ดีกว่าหญิงสาวผู้นี้น่าประหวั่นพรั่นพรึงเพียงใด


แม้กระทั่งจ้าวของพวกมัน ยังต้านหญิงสาวผู้นี้มิได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว ถูกสังหารในเสี้ยววินาที


“หรือว่าจะอยู่ในดินแดนนั้น” หญิงสาวคิดไปอย่างอดมิได้


ครานั้น นางถูกไล่ล่าอย่างโหดร้าย แม้ว่าสุดท้ายนางรอดออกมาได้ กระนั้นก็แยกจากสิ่งที่นางพกติดตัวมา นับแต่นางตื่นขึ้น ก็ตามหาของสิ่งนี้อยู่ตลอด น่าเสียดายที่ยังมิเคยหาเจอ


ไม่มีแม้แต่มีเบาะแสสักนิด


และนางมิใช่ใครอื่น นางคือซี ผู้หนีลงมาจากภพเซียนนั่นเอง!
บทที่ 540

นึกย้อนไปถึงอดีต จวบจนบัดนี้ซียังนึกผวาในใจ จู่ ๆ หายนะก็บังเกิดแก่ตระกูลของนาง ยอดฝีมือตระกูลเซียวเสมือนปีศาจร้ายที่คลานออกจากอเวจี เลือดเย็นไร้ความเป็นธรรม ฆ่าล้างคนในตระกูลของนาง โลหิตย้อมดินแดนตระกูลของนางเป็นสีแดงฉาน


นั่นเป็นการสังหารหมู่ที่พวกเขาไม่อาจต้านทานได้ ท่านปู่ทวดที่นางเคารพรักมากที่สุด แล้วยังเป็นผู้มีฝีมือแกร่งกล้าที่สุดของตระกูลนาง ถูกสังหารในเสี้ยวพริบตาที่ออกสู้ศึก


ค่ายกลใหญ่พิทักษ์ตระกูลของนางเปราะบางราวกระดาษ ถูกยอดฝีมือตระกูลเซียวทลายป่นปี้ในพริบตา นางยังจำได้ว่า วันนั้นเสียงร้องไห้ดังระงมอยู่ทั่วดินแดนของตระกูล


นางเห็นกับตาว่า เด็กทารกแรกเกิดในดินแดนของนาง ผู้ยังนอนอยู่ในเปล ถูกยอดฝีมือตระกูลเซียวเหยียบศีรษะจนแหลกเหลว


นางเห็นกับตาว่า ท่านอา ท่านปู่ที่รักใคร่เอ็นดูนาง ล้มลงทีละคนใต้ดาบสังหารของยอดฝีมือตระกูลเซียว วิญญาณแหลกสลาย!


นางเห็นกับตาว่า เด็กรุ่นเยาว์ในตระกูลของนาง ถูกยอดฝีมือตระกูลเซียวสังหารจนสิ้นในดาบเดียวประดุจมดปลวก!


นางในยามนั้น ร้องไห้จนลำคอแหบแห้ง ร้องไห้จนไม่เหลือเสียง นางอยากออกมาเข่นฆ่าศัตรู อยากปกป้องผู้ร่วมตระกูลของนางด้วยชีวิต


แต่กลับถูกบิดาห้ามไว้ บิดาของนางยื่นกล่องสี่เหลี่ยมใบหนึ่งให้นาง กล่าวว่าเป็นของสำคัญอย่างยิ่งยวด ห้ามมิให้เกิดอะไรขึ้นกับมันเด็ดขาด สั่งให้นางฉวยโอกาสที่ยอดฝีมือตระกูลเซียวยังบุกมาไม่ถึงตรงนี้ รีบไปจากที่นี่เสีย


บิดาสั่งให้ผู้อาวุโสสามสี่คนพานางออกไป ส่วนตัวของบิดาบุกออกไปสังหารศัตรูโดยไม่หันกลับมามอง ภาพสุดท้ายที่นางได้เห็นขณะไปจากดินแดนตระกูลกับเหล่าผู้อาวุโส คือบิดาของนางถูกยอดฝีมือตระกูลเซียวคนแล้วคนเหล่ารุมสับฟันจนตาย!


ครานั้นนางแทบเสียสติ เพราะเหตุใด? เพราะเหตุใดตระกูลของนางถึงต้องประสบเคราะห์ร้ายเยี่ยงนี้!!!


นางไม่รู้ว่าสิ่งใดอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมนี้ แต่ดูเหมือนว่าตระกูลของนางคาดการณ์ไว้แล้วว่าวันนี้ต้องมาถึง และเตรียมการไว้แต่แรก มีเส้นทางที่เชื่อมต่อกับชายแดนภพเซียน


ผู้อาวุโสทั้งหลายพานางไปที่เส้นทางนั้น แล้วมาอยู่ที่ชายแดนภพเซียนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะออกจากภพเซียนโดยไม่หันกลับไปมอง


ด้านนอกภพเซียนมีพลังสยดสยองน่ากลัวปกคลุมอยู่ ไม่ว่าผู้ใดเข้าออกล้วนต้องถูกพลังสยดสยองน่ากลัวนั้นจู่โจม คนมากมายจบชีวิตด้วยพลังสยดสยองน่ากลัวนี้


ทว่าพวกเขากลับไม่เป็นอันใด พลังสยดสยองน่ากลัวนั้นมิได้จู่โจมพวกเขาเลย พวกเขาหนีออกจากภพเซียนสำเร็จ


และหนีเอาชีวิตรอดมาเรื่อย ๆ จนมาอยู่ในอาณาจักรแห่งนี้


แต่ไม่รอให้พวกเขาได้หายใจหายคอ ก็มียอดฝีมือตระกูลเซียวไล่ล่าเข้ามา


นางจำได้ว่ายอดฝีมือตระกูลเซียวผู้นั้นมีนามว่าเซียวฮุ่ย!


ยังดีที่เซียวฮุ่ยได้รับบาดเจ็บมาอย่างหนักจากพลังสยดสยองน่ากลัวขณะข้ามผ่านภพเซียน สภาพมิสู้ดีนัก


แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น เซียวฮุ่ยยังคงแข็งแกร่งอย่างมาก ดุดันเหลือร้าย แม้ว่าลงท้ายนางหนีไปได้ ทว่า บรรดาผู้อาวุโสจากตระกูลของนางล้วนตายด้วยมือเซียวฮุ่ยทั้งสิ้น กล่องสี่เหลี่ยมก็แยกจากนางไป ไม่รู้ไปอยู่ที่ใด


ครานั้น นางบาดเจ็บสาหัสเจียนตาย ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใดถึงค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมา


และนางได้พบกับหลี่จิ่วเต้าในตอนนั้น


เมื่อครั้งนางเพิ่งได้สติ พลังยังมิได้กลับคืน จึงสร้างเรือนไผ่หลังเล็กไว้บนเขา รอจนพลังฟื้นกลับมาทั้งหมดแล้วค่อยไปตามหากล่องสี่เหลี่ยม


นางพบหลี่จิ่วเต้าซึ่งนอนหมดสติอยู่ในเขาโดยบังเอิญขณะออกล่าสัตว์ นางมีจิตใจอารี จึงพาหลี่จิ่วเต้ากลับไปยังเรือนไผ่หลังเล็ก


เดิมคิดว่ามิใช่เรื่องใหญ่ คิดว่าเป็นการช่วยชีวิตคนปกติ วันหน้า นางคงมิได้เกี่ยวข้องกับหลี่จิ่วเต้าอีก


ทว่าเรื่องที่นางคิดไม่ถึงเลยคือ หลี่จิ่วเต้ากลายมามีความสำคัญอย่างมากในใจของนาง!


ตัวนางเองยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ ระหว่างที่ได้อยู่ร่วมกับหลี่จิ่วเต้า อีกฝ่ายค่อย ๆ สำคัญสำหรับนางขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งท้ายที่สุด นางเกิดความคิดอยากจะใช้ชีวิตกับเขาตลอดไปในเรือนไผ่หลังเล็กแห่งนี้!


อาจเพราะยามนางได้อยู่กับหลี่จิ่วเต้ารู้สึกผ่อนคลาย หลี่จิ่วเต้าทำให้นางหัวเราะได้เสมอ ช่วยให้นางลืมเลือนเหตุการณ์เลวร้ายเหล่านั้น และอาจเพราะนางมิเคยใช้ชีวิตร่วมกับคนต่างเพศเช่นนี้มาก่อน ปราศจากผลประโยชน์ ปราศจากสิ่งอื่นใด เพียงแต่มีความชอบตรงกันเท่านั้น เพียงแต่ถูกชะตากันเท่านั้น


นางพบว่า ยิ่งนานวันยิ่งไม่สามารถทำใจจากเขามาได้ ยิ่งนานวันยิ่งอยากอยู่ด้วยกันกับเขาตราบชั่วนาน


นางถึงขั้นไม่อยากออกตามหากล่องสี่เหลี่ยมด้วยซ้ำ ถึงขั้นไม่อยากออกล้างแค้นด้วยซ้ำ เพียงแต่อยากครองคู่กับหลี่จิ่วเต้าเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ


ครานั้น หลังนางเกิดความคิดเช่นนี้ก็ตกอกตกใจ


ท่านพ่อและผู้ร่วมตระกูลปกป้องตระกูลเซียวด้วยชีวิต เพียงเพื่อให้นางได้นำกล่องสี่เหลี่ยมนั้นออกมา นางจะไม่ไปตามหากล่องสี่เหลี่ยมที่แยกจากนางไปได้อย่างไร


นอกจากนี้ ตระกูลของนางทั้งตระกูลถูกตระกูลเซียวสังหารจนสิ้น รวมถึงบิดามารดาของนาง นางจะลืมเลือนเรื่องราวเหล่านี้ได้เยี่ยงไร จะครองคู่กับหลี่จิ่วเต้าเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ได้เยี่ยงไร


นางทำมิได้!


นางต้องหากล่องสี่เหลี่ยมให้เจอ ต้องแก้แค้นให้กับท่านพ่อ และผู้ร่วมตระกูล นางต้องทำให้ตระกูลเซียวชดใช้!


ลงท้าย นางแข็งใจบอกลาหลี่จิ่วเต้า เพราะกลัวว่าหากอยู่กับหลี่จิ่วเต้าต่อไป นางจะยิ่งถลำลึก ยิ่งไม่ต้องการแยกจากกับหลี่จิ่วเต้า…


นางบอกหลี่จิ่วเต้าว่านางกำลังจะออกเดินทางไกล วันหน้าคงมิได้พบกันอีกแล้ว ทั้งยังบอกให้เขาไม่ต้องคิดถึงนาง ถือเสียว่านางเป็นเพียงทางผ่านที่แวะเข้ามาในชีวิตเขาสั้น ๆ หากเป็นไปได้ นางหวังให้หลี่จิ่วเต้าลืมนางเสีย


ครานั้น ซีเอ่ยวาจาด้วยความเด็ดเดี่ยว และไร้เยื่อใยอย่างมาก บอกหลี่จิ่วเต้าว่าพวกเขาทั้งสองมิได้อยู่บนเส้นทางเดียวกัน หากเอาแต่ห่วงหากันและกัน รังแต่จะสร้างความเศร้าโศกเสียใจเปล่า ๆ


เพราะฉะนั้น นางหวังว่าหลี่จิ่วเต้าจะลืมนางได้


หลังกล่าวทุกอย่างออกไป หญิงสาวก็จากไปโดยไม่หันกลับไปมอง นางมิกล้าอยู่ต่อแม้เพียงเสี้ยวอึดใจ มิกล้าแม้แต่จะปรายตามองเขาด้วยซ้ำ


น้ำตารื้นขึ้นมาในดวงตาของนาง ขืนหันกลับไป ขืนมองเขานานกว่านี้ น้ำตาของนางคงต้องรินไหล และสุดท้ายคงสูญเสียความกล้าในการบอกลาหลี่จิ่วเต้า


การจากลาครั้งนี้ นางรู้ดีว่าเป็นการจากกันตลอดกาล


นางต้องไปแก้แค้น ต้องเข้าต่อกรกับตระกูลเซียว เป็นไปได้สูงว่านางอาจไม่มีวันกลับมาอีก…


ต่อให้กลับมาได้ เวลานั้นก็คงผ่านไปหลายชั่วอายุคนแล้ว น่ากลัวว่าต่อให้สรรพสิ่งยังคงเดิม แต่คนคงเปลี่ยนไปหมดแล้ว…


“ข้าจะเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ขืนยังเป็นแบบนี้อยู่ ข้าคงทำการใดไม่สำเร็จ!


ซีปริปาก นางไม่อาจมุ่งหน้าต่อไปพร้อมกับความคิดถึงที่มีต่อหลี่จิ่วเต้า เช่นนี้คงส่งผลกระทบต่อนางอย่างมาก


ตระกูลเซียวแข็งแกร่งปานใด พวกเขาเป็นถึงหนึ่งในเก้ามหาตระกูลในภพเซียน หากนางตั้งใจแก้แค้น จำต้องแข็งแกร่งให้มากกว่านี้!


และหากยังเก็บความคิดถึงเขาไว้ในใจ หทัยเต๋าของนางคงไม่อาจสงบได้เสียที ยากที่จะก้าวหน้าในการฝึกตนไปมากกว่านี้!


เช่นเดียวกัน ความต้องการแก้แค้นของนางจะกลายเป็นเพียงความฝันลม ๆ แล้ง ๆ


นางต้องการตัดความทรงจำที่เกี่ยวกับหลี่จิ่วเต้า ต้องการให้ตัวเองไร้ความห่วงหา เช่นนี้ถึงจะก้าวต่อไปได้สูงขึ้น ไกลขึ้น และถึงมีโอกาสล้างเลือดแค้นในตัวนางได้!


หยาดน้ำตาหลั่งรินลงจากหางตาของซีอย่างไร้สุ้มเสียง


เรื่องราวในใต้หล้านี้ มักไม่เป็นไปดั่งหวัง...