531-535

บทที่ 531

จักรพรรดินีอายุยืน จักรพรรดินีอาภรณ์ขาว จักรพรรดินีเจวี๋ยเนี่ยน…


สมญานามจักรพรรดิของนางมีอยู่นานัปการ นางยังไม่รู้เลยว่าตกลงแล้วนางมีสมญานามจักรพรรดิเท่าไรกันแน่


นับแต่นางเลื่องชื่อขึ้นมาในยุคอนันตกาล นางทิ้งตำนานยิ่งใหญ่เรืองรองไว้มากมายเหลือเกิน ทว่า นางมิเคยทิ้งสมญานามจักรพรรดิและชื่อของนางไว้เลย นางมิได้ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงหรือผลประโยชน์ มิได้ใช้ชีวิตเพื่อไล่ตามสิ่งเหล่านี้ สมญานามจักรพรรดิ รวมถึงฉายามากมายล้วนเป็นผู้คนในใต้หล้าที่ตั้งให้นาง


‘บำเพ็ญเป็นเซียนหรือ…เหอะ ในอดีต ข้าทุ่มเททุกอย่างเพื่อการนี้รึ’


เมื่อมาถึงเบื้องหน้าวังเซียนซึ่งร่างวัยกลางคนนั้นพำนักอยู่ จักรพรรดินีชะงักกึก ดวงหน้างามวิไลไร้ที่ติเผยรอยยิ้มเย้ยหยันตนเอง พลางเอ่ยในใจ


นางมีความคิดในใจมากมาย ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังเข้ามาในภพเซียนล้วนไม่เหมือนกับที่นางเคยคิดเอาไว้


และเรื่องที่นางอยากทำก็ยังมิเคยได้ทำ…


นางสั่นศีรษะ หยุดยั้งความคิดมากมายในใจ ตอนนี้ยังมิใช่เวลามาคิดเรื่องเหล่านี้


นางโรยตัวลง เดินเท้าเข้าไปในวังเซียน ได้พบกับร่างวัยกลางคนร่างนั้น


เขาคือบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่องอาจ ดวงตาสองข้างลึกล้ำเกินหยั่ง ราวกับมองเห็นทุกอย่างในโลกหล้าได้อย่างทะลุปรุโปร่ง พลังปราณของเขาถูกเก็บงำเอาไว้ มิได้เผยออกมาแม้แต่น้อย กระนั้นยังสร้างแรงกดดันมหาศาลแก่ผู้อื่น


“ผู้นำตระกูล!”


จักรพรรดินีคำนับชายวัยกลางคน ที่นี่คือดินแดนตระกูลเซียว ซึ่งเป็นหนึ่งในเก้ามหาตระกูลแห่งภพเซียน และชายวัยกลางคนตรงหน้าผู้นี้ก็คือผู้นำตระกูลเซียว


ผู้นำตระกูลเซียวพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะหันมองจักรพรรดินีพลางกล่าว “เจ้าอยู่ที่ภพเซียนมานานแล้วใช่หรือไม่”


“ใช่แล้ว นานมาก”


จักรพรรดินีตอบ


ภพเซียนปราศจากกาลเวลา นางไม่รู้เหมือนกันว่านางอยู่ที่ภพเซียนมานานเท่าไรแล้ว


“ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ตระกูลเซียวของเราไม่เคยข่มเหงรังแกเจ้าเลยใช่หรือไม่!” ผู้นำตระกูลเซียนกล่าวต่อ


“ไม่เคย” จักรพรรดินีตอบอีกครั้ง


ว่าไปแล้ว ตระกูลเซียวมิเคยข่มเหงรังแกนางจริง ๆ ดีกับนางในทุก ๆ ด้าน แต่ก็เพียงเท่านั้น


นางไร้ซึ่งอิสรภาพเพื่ออยู่ในตระกูลเซียว จำต้องทำตามบัญชาผู้อื่น นางรับใช้ตระกูลเซียว อยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลเซียว


ทั้งหมดนี้ต้องย้อนไปถึงเมื่อครั้งนางเพิ่งมาเยือนภพเซียน…


ครานั้น นางมีชีวิตอยู่เป็นชาติภพที่สิบแล้ว และในที่สุด นางก็บรรลุอย่างยิ่งใหญ่ได้ในชาติภพที่สิบ ขอบเขตพลังก้าวสู่ขั้นที่คิดไม่ถึง


สิบชาติภพที่ผ่านมา นางเฝ้าค้นหาร่องรอยภพเซียนอยู่ตลอด เพราะนางรู้ดีว่า หากต้องการเป็นเซียน จำต้องเข้าไปในภพเซียนให้ได้


นอกจากภพเซียน สถานที่อื่นไม่มีสสารบรรลุเซียน หรือก็คือสสารอันเป็นนิรันดร์ เพราะฉะนั้น หากตั้งใจบรรลุเซียน จำต้องมาอยู่ที่ภพเซียนเท่านั้น


ความพยายามทั้งหมดของนาง ปะทุในชาติภพที่สิบ นางไม่เพียงแต่บรรลุอย่างยิ่งใหญ่ในชาติภพที่สิบ แต่ยังตามหาร่องรอยภพเซียนจนเจอในชาติภพที่สิบอีกด้วย


ทว่าภพเซียนมิได้เข้าไปง่าย ๆ


รอบ ๆ ภพเซียนมีพลังสยดสยองน่าหวาดหวั่นบางอย่างแผ่ปกคลุม หากคิดเข้าไปในภพเซียน จำต้องทะลุผ่านพลังสยดสยองน่าหวาดหวั่นนี้ไปให้ได้


นางปราดเปรื่องเป็นหนึ่ง เป็นที่น่าทึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ ซ้ำยังบรรลุอย่างยิ่งใหญ่เหนือขั้นเทียนตี้ จนมีพลังเกินจินตนาการ


อนิจจา แม้จะเป็นเช่นนั้น นางก็ไม่อาจทะลุผ่านพลังสยดสยองน่าหวาดหวั่นที่ปกคลุมภพเซียนอยู่เข้าไปได้


ทว่านางมิได้ยอมแพ้


นางฝึกฝนอยู่นอกภพเซียน จนมีชีวิตต่อไปได้อีกภพชาติ และในภพชาติที่สิบเอ็ดนี้ นางสำเร็จในที่สุด ทะลุผ่านพลังสยดสยองน่าหวาดหวั่นที่แผ่ปกคลุมภพเซียน เข้าไปด้านในได้สำเร็จ


หลังนางเข้าไปในภพเซียนแล้ว ก็ได้รับการยกระดับในพริบตา ถูกชะล้างโดยสสารนิรันดร์ ก้าวสู่ความเป็นเซียนสำเร็จ ซ้ำยังบรรลุเหนือขอบเขตเซียนขึ้นไปอีกด้วย!


และในจินตนาการของนาง ภพเซียนเป็นสถานที่สวยงาม อยู่เหนือทุกสิ่ง ปราศจากกิเลส ปราศจากการแก่งแย่ง นางสามารถทำสิ่งที่นางอยากทำลุล่วงได้ในภพเซียน


แต่ความเป็นจริงนั้นโหดร้ายอย่างยิ่ง ภพเซียนมิได้สวยงามอย่างที่นางคิด ภพเซียน…โกลาหลเป็นที่สุด!


เมื่อครั้งนางเพิ่งเข้ามาในภพเซียน ก็ประสบพบเจอกับจลาจล!


ไม่รู้ว่ามียอดฝีมือภพเซียนมากมายเท่าใดโจมตีใส่นางทันทีที่นางมาถึง!


การต่อสู้นั้นอยู่ในระดับที่นางจินตนาการไม่ถึง ภาพอันงดงามของภพเซียนแตกดับในพริบตา!


ยอดฝีมือแต่ละคนในภพเซียนต่างลงมืออย่างโหดเหี้ยม โลหิตเซียนกระเซ็นไปทั่ว ส่วนนางก็ได้เข้าใจว่าเซียนนั้นมิได้อยู่ยงคงกระพัน ไม่มีวันแตกดับจากศึกนั้น!


เซียนก็ตายได้เช่นกัน!


ที่ว่ามีสสารนิรันดร์ผสานร่างก็เพียงเพื่อให้ไม่อยู่ใต้ภาวะจำกัดของกาลเวลาอีก นอกจากเรื่องนั้น เซียนถูกฆ่าได้เช่นกัน


ศึกนั้นอเนจอนาถอย่างที่สุด ยอดฝีมือภพเซียนราวกับไม่เห็นชีวิตอยู่ในสายตา ทุกครั้งที่ลงมือล้วนเป็นกระบวนท่าพิฆาต ไม่ออมมือแม้แต่น้อย เซียนต้องแตกดับไปในศึกนั้นนับคณา


ท้ายที่สุด ตระกูลเซียวเป็นผู้ชนะ เอาชนะยอดฝีมือภพเซียนตนอื่นได้หมด


ครานั้น นางยังไม่รู้ว่าเหตุใดยอดฝีมือภพเซียนเหล่านี้ถึงต้องเข้าห้ำหั่นกันเพื่อแย่งชิงนาง


หลังเรื่องจบ นางถึงเข้าใจทุกอย่าง


ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะนางเข้ามายังภพเซียนจากภายนอก แตกต่างจากเซียนตนอื่นในภพเซียนอย่างสิ้นเชิง นางมีศักยภาพสูง สามารถเติบโตไปได้มากกว่าผู้อื่น!


ยอดฝีมือภพเซียนต่างหมายมั่นอยากชิงตัวนางไปอบรมบ่มเพาะเป็นพรรคพวกของตน


ครานั้น นางสิ้นหวังอย่างยิ่ง นางผู้ถูกขนานนามว่าปราดเปรื่องไร้ผู้ใดทัดเทียม เป็นถึงจักรพรรดินีอันดับหนึ่งแห่งยุคอนันตกาล เมื่อมาถึงภพเซียนและได้เผชิญกับเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ กลับไร้ซึ่งหนทาง


ห่างชั้นกันเกินไป นางมิใช่คู่ต่อสู้เลย ไม่ว่ายอดฝีมือภพเซียนตนไหนล้วนเอาชีวิตนางได้อย่างง่ายดาย


นางตามยอดฝีมือตระกูลเซียวไป กลายเป็นคนของตระกูลเซียว อยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลเซียว รับใช้ตระกูลเซียว สูญเสียอิสรภาพ


และนางเพิ่งได้รู้อย่างแจ่มแจ้งในภายหลังว่าภพเซียนวุ่นวายปานใด!


ภพเซียนไม่เหมือนกับที่นางคิดเลยสักนิดเดียว ที่นี่ไม่มีคำว่าสันติภาพ มีแต่เพียงการแก่งแย่งช่วงชิงนองเลือดอย่างไม่รู้จบสิ้น!


ทรัพยากรต่าง ๆ ในภพเซียนขาดแคลนอย่างยิ่ง รวมถึงสสารนิรันดร์ก็ด้วย การช่วงชิงทรัพยากรของกำลังแต่ละฝ่ายในภพเซียนเรียกได้ว่ารุนแรงถึงขีดสุด มีศึกชิงดุเดือดให้เห็นอยู่ทุกวี่วัน


ก่อนนี้ที่ยอดฝีมือทั้งหลายในภพเซียนห้ำหั่นกันอย่างหนักหน่วงเพื่อนางก็เพราะเหตุนี้ ในสายตายอดฝีมือทั้งหลายในภพเซียน นางถือเป็น ‘ทรัพยากร’ ชั้นดี ไม่ควรพลาดเด็ดขาด!


และนางได้พิสูจน์แล้วว่านั่นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง นางพัฒนาฝีมือในภพเซียนได้อย่างรวดเร็ว จนเหนือชั้นสิ่งมีชีวิตตนอื่นในภพเซียนไปไกล


นางแย่งชิงทรัพยากรมาให้ตระกูลเซียวได้มหาศาล ทำเช่นนั้นเรื่อยมาจนถึงวันนี้


“ยอดเยี่ยม”


ผู้นำตระกูลเซียวพยักหน้า “ตอนนี้ ข้ามีภารกิจหนึ่งให้เจ้าไปทำ”


“ท่านผู้นำตระกูลเชิญว่ามา”


จักรพรรดินีตอบ นึกแปลกใจอยู่มากเหมือนกันว่าผู้นำตระกูลมีเรื่องใดให้นางไปทำกันแน่


ปกติแล้ว ยามผู้นำตระกูลมีภารกิจมอบหมายให้นาง ก็เพียงแค่ส่งคนมาแจ้งนางเท่านั้น หาได้เคยเรียกนางเข้าพบด้วยตนเองเช่นนี้


เห็นได้ชัดว่า เรื่องที่ผู้นำตระกูลให้นางไปทำนั้นสำคัญยิ่ง


หรือว่ามีทรัพยากรล้ำค่าบางอย่างปรากฏออกมา


นางคิดในใจอย่างอดมิได้


“ข้าต้องการให้เจ้าออกไปข้างนอก นำของสิ่งหนึ่งกลับมา”


ผู้นำตระกูลเซียวกล่าว


หลังได้ยินถ้อยคำที่ผู้นำตระกูลเอ่ยมา คิ้วของจักรพรรดินีขมวดเล็กน้อย ถามขึ้น “ข้างนอกหรือ”


นางรู้สึกถึงความผิดปกติ ข้างนอกที่ว่านี้เกรงว่าไม่ธรรมดา


อย่างที่คิด วาจาต่อมาของผู้นำตระกูลทำให้คิ้วของนางขมวดมุ่นยิ่งขึ้น


ผู้นำตระกูลเซียนเอ่ย “ข้างนอกภพเซียน”


ข้างนอกภพเซียน!?


สีหน้าจักรพรรดินีเปลี่ยนไป ทุกถ้อยคำของผู้นำตระกูลเซียวล้วนอยู่เหนือการคาดการณ์ของนาง


หมายถึงข้างนอกภพเซียนหรือ!


นางคิดไม่ถึงจริง ๆ!
บทที่ 532

จักรพรรดินีจะคาดคิดได้อย่างไร ภพเซียนสามารถเข้าออกได้อย่างสะดวกที่ไหนกัน? ทุกครั้งที่เข้าออกล้วนต้องเดิมพันด้วยชีวิต และผู้ที่ล้มเหลวแทบทั้งหมดต่างก็ต้องสิ้นชีพลง!


งานในครั้งนี้ต้องออกไปด้านนอกภพเซียน!


นางประหลาดใจเป็นอย่างมาก ตระกูลเซียวต้องการจะทำสิ่งใดกันแน่?


“เจ้าเองก็มาจากด้านนอกภพเซียน ทั้งยังสามารถฝ่าเข้ามาได้อย่างประสบความสำเร็จ ย่อมต้องมีข้อได้เปรียบเหนือสมาชิกคนอื่น ๆ ดังนั้นข้าคิดว่าเจ้ามีโอกาสประสบความสำเร็จในการฝ่าออกไปมากกว่า”


ประมุขตระกูลเซียวกล่าวกับจักรพรรดินี


“…”


จักรพรรดินีไร้คำจะกล่าว แม้นางจะมาจากภายนอก สามารถทะลวงผ่านพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่ปกคลุมภพเซียนเข้ามาได้สำเร็จ แต่นั่นแทบไม่อาจนับเป็นข้อได้เปรียบ


พลังงานอันน่าสะพรึงกลัวนั้นเป็นสิ่งที่พิเศษอย่างยิ่ง เมื่อเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่ง มันก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ยิ่งทรงพลังมากเท่าใด ก็ยิ่งต้องเผชิญกับพลังที่ทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น


สำหรับนางย่อมต้องแตกต่างไปจากเดิมอยู่แล้ว นางแข็งแกร่งขึ้นเหนือกว่าตอนนั้นมาก หากต้องการออกไปอีกครั้ง ไม่รู้ว่าตัวของนางต้องเผชิญกับพลังรุนแรงแค่ไหน


ดังนั้นแล้ว ครั้งนี้นางก็เหมือนกับต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่รู้ ทุกอย่างล้วนไม่แน่นอน ไม่อาจนับได้ว่านางมีข้อได้เปรียบอันใดไปกว่าคนอื่น ๆ


หากนางฝ่าออกไปจริง ๆ ก็ยากจะคาดการณ์อะไรได้ ไม่รู้กระทั่งจะรอดตายหรือไม่


ประมุขตระกูลเซียวรู้ว่าจักรพรรดินีกำลังคิดสิ่งใดอยู่ เขาจึงอธิบายออกมา “เจ้าก็น่าจะรู้แจ้งดี ผู้ที่บรรลุเป็นเซียนในภพเซียน กับตัวเจ้าที่มาจากภายนอกแตกต่างกันเป็นอย่างมาก พวกเขาต่างก็อ่อนแอกว่าเจ้าในทุกด้าน นั่นเองก็เป็นเหตุผลให้ข้าเลือกที่จะส่งเจ้าไป”


สสารที่อยู่ในภพเซียนยอดเยี่ยมเกินไป สิ่งมีชีวิตภายในสามารถบรรลุขอบเขตการฝึกฝนได้อย่างง่ายได้ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับสิ่งมีชีวิตภายนอกภพเซียนที่ฝึกฝนจากสภาพย่ำแย่กว่าจนมาถึงจุดสูงสุดเช่นเดียวกันแล้ว คนที่ฝึกฝนในภพเซียนไม่อาจเปรียบเทียบได้จริง ๆ


อย่างไรเสียสภาพแวดล้อมภายนอกก็เลวร้ายจนเกินไป แทบไม่มีสสารให้ใช้ฝึกฝนในระดับสูง ผู้ที่สามารถบรรลุขอบเขตขั้นสูงได้แม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมขาดแคลนย่อมไม่ธรรมดาสามัญ ความสามารถรอบด้านชวนตื่นตะลึงเป็นพิเศษ


ดั่งเช่นจักรพรรดินี


นางเองก็มาจากภายนอก ดิ้นรนลำบากมาสิบเอ็ดชาติภพ ฝึกฝนทุกด้านจนถึงขีดสุด ทิ้งห่างจากสิ่งมีชีวิตในภพเซียน


นี่เป็นเหตุผลที่หลังจากนางบรรลุเป็นเซียนแล้ว นางก็สามารถพัฒนาความสามารถทุกด้านอย่างรวดเร็ว รากฐานแต่เดิมของนางนั้นดีเป็นอย่างยิ่ง ดีจนเปี่ยมล้นเกินไปเสียด้วยซ้ำ


พลังการต่อสู้ของนางยังนางเหนือชั้นกว่าสิ่งมีชีวิตในขอบเขตเดียวกันของภพเซียนเป็นอย่างมาก นางไม่เพียงแต่จะไร้ผู้ต้านในขอบเขตเดียวกัน ยังสามารถกระทั่งต่อสู้ข้ามขั้นจัดการกับสิ่งมีชีวิตที่ขอบเขตสูงกว่าได้


สภาพแวดล้อมภายนอกย้ำแย่และไม่มีสสารนิรันดร์แม้แต่น้อย การต้องมีชีวิตรอดให้อายุยืนยาวชาติภพแล้วชาติภพเล่า นับเป็นเรื่องลำบากยากเข็นอย่างยิ่ง นางผ่านอะไรมากมาย ค่อย ๆ ทลายขีดจำกัดขึ้นมาทีละอย่าง ๆ ทำให้นางไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ไม่สามารถนำสิ่งมีชีวิตใดก็ได้มาเปรียบเทียบ


ทว่าภายในภพเซียน นางไม่ใช่คนผู้เดียวที่มาจากภายนอก มีสิ่งมีชีวิตอีกจำนวนไม่น้อยที่มาจากภายนอกเหมือนกัน


สถานการณ์ของพวกเขาเหล่านั้นก็ล้วนแล้วแต่เหมือนกับนาง แต่ละคนล้วนแต่ไม่ธรรมดา เปี่ยมด้วยความอุตสาหะอย่างถึงที่สุด ก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดตนเองขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า


หากไม่ใช่เพราะโดดเด่นถึงขีดสุด พวกเขาคงไม่อาจเข้าสู่ภพเซียนได้


พลังที่ปกคลุมภพเซียนอยู่น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง หากไม่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดในทุกด้านย่อมไม่อาจทะลวงผ่านเข้ามาได้


หลังจากเข้าสู่ภพเซียนแล้ว แต่ละคนก็เผยความพิเศษนี้ออกมา อยู่เหนือชั้นยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นในภพเซียน ทุกคนล้วนโด่ดเด่นชวนตื่นตะลึง


นี่เองที่เป็นสาเหตุว่าทำไมทุกครั้งที่สิ่งมีชีวิตภายนอกทะลวงผ่านเข้ามายังภพเซียนได้ กองกำลังทรงอิทธิพลทุกฝ่ายในภพเซียนต่างก็พยายามต่อสู้แย่งชิง ศักยภาพของผู้มาจากภายนอกยอดเยี่ยมมากเกินไป ความสำเร็จที่พวกเขาจะสามารถบรรลุถึงในอนาคตไม่อาจคาดเดาได้


จักรพรรดินีเปิดปากถาม “ต้องการให้ข้านำสิ่งใดกลับมา?”


กล่าวตามตรงแล้ว นางไม่อยากไปเลย งานในครั้งนี้มีโอกาสอย่างมากที่นางจะไม่สามารถกลับมาได้...


ทว่านางเองก็กระจ่างแจ้ง ว่าตัวนางนั้นไม่มีสิทธิ์เลือก


ตระกูลเซียวลงผนึกไว้ในร่างของนาง สามารถควบคุมความเป็นตายของนางได้ งานในครั้งนี้อย่างไรนางก็ต้องไป แม้ไม่อยากไปก็ต้องไป


นางไม่มีอิสระเป็นของตนเอง


“เป็นกล่องสี่เหลี่ยมหนึ่งกล่อง เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ว่ามีสิ่งใดอยู่ภายใน เจ้าเพียงแค่ต้องนำเอากล่องนั้นกลับมาให้ได้”


ประมุขตระกูลเซียวกล่าว “หากเจ้าสามารถนำกล่องนั่นกลับมาได้ ข้า...จะคืนอิสระให้กับเจ้า ถอนผนึกที่อยู่ในร่างของเจ้าออก”


คืนอิสระ ถอนผนึกออก!


ร่างกายของจักรพรรดินีสั่นสะท้านเล็กน้อย แม้ว่าจิตใจของนางจะเข้มแข็งเพียงใด หลังจากได้ยินคำพูดของประมุขตระกูลเซียวแล้ว หัวใจของนางก็ยังอดเกิดการหวั่นไหวไม่ได้


อิสระ!


นางไม่รู้ว่าตนเองโหยหาสิ่งนี้มานานเพียงใด นางต้องการอิสระภาพกลับคืนมา แต่ความแข็งแกร่งของตระกูลเซียวนั้นมากเกินไปทำให้นางไม่อาจมองเห็นความหวังใดแม้แต่น้อย


นี่เป็นถึงหนึ่งในเก้าตระกูลใหญ่ของภพเซียน ภูมิหลังลึกล้ำเกินกว่าจินตนาการถึง แม้ว่านางจะมีพรสวรรค์อันน่าทึ่งเป็นอย่างมาก ทว่าก็ไม่อาจมองเห็นความหวังใด


เป็นเรื่องยากที่จะได้รับอิสระจากตระกูลเซียวด้วยพลังของตัวนางเอง หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นไปไม่ได้เสียด้วยซ้ำ


ตระกูลใหญ่ไม่อาจสั่นคลอนได้ด้วยคนเพียงคนเดียว


ไม่ว่าคนผู้นั้นจะน่าตื่นตะลึงหรือทรงพลังแค่ไหน ก็ไม่อาจทำได้


ทว่าตอนนี้ประมุขตระกูลเซียวกลับเสนอที่จะคืนอิสระภาพให้นาง ภายในใจของนางจะไม่เกิดความหวั่นไหวขึ้นมาได้อย่างไร?


สิ่งนี้ทำให้นางมองเห็นความหวัง!


แม้ความหวังนั้นจะริบหรี่เป็นอย่างมาก เนื่องจากหากนางต้องการจะนำกล่องกลับมา นางจะต้องฝ่าออกและเข้าภพเซียนอย่างละหนึ่งครั้ง เพียงแค่ครั้งเดียวนางยังคิดว่าไม่อาจสามารถฝ่าออกไปได้สำเร็จ นับประสาอะไรกับการฝ่าเข้ามาอีกครั้ง


นอกจากนี้นางยังตื่นตกใจเป็นอย่างมาก


สิ่งที่อยู่ด้านในกล่องนั้นคืออะไรกัน ประมุขตระกูลเซียวจึงได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก กระทั่งยื่นข้อเสนอเช่นนี้ให้กับนางโดยไม่ลังเล


ทั้งที่ตระกูลเซียวไม่มีทางจะปล่อยนางไปง่าย ๆ...


“ก่อนหน้านี้มีสมาชิกของตระกูลออกไปค้นหากล่องสี่เหลี่ยมนี้ ทว่าจนถึงยามนี้ก็ยังคงไม่กลับมา ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร หากเจ้าสามารถออกไปได้สำเร็จก็สามารถลองตามหาพวกเขาได้เช่นกัน จากนั้นก็สอบถามสถานการณ์เพิ่มเติมจากพวกเขา”


ประมุขตระกูลเซียวบอกเล่าสถานการณ์ออกมา เขากล่าวว่ากล่องสี่เหลี่ยมถูกซีนำออกไป หากซียังไม่ตาย กล่องสี่เหลี่ยมนั้นก็ควรอยู่ในมือของนาง สมาชิกในตระกูลที่ออกไปก็เพราะไล่ตามซีไป


น่าเสียดาย พลังที่ปกคลุมภพเซียนเอาไว้ทำให้เขาไม่อาจติดต่อกับสมาชิกตระกูลเหล่านั้นได้ จึงไม่รู้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้เป็นเช่นใดแล้ว


“เร็ว ๆ นี้ตระกูลอื่นก็เริ่มเคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะสามารถสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ระวังตัวไว้ด้วย เจ้าอาจจะพบพวกเขาด้านนอก” ประมุขตระกูลเซียวกล่าวต่อ


เขาตัดสินใจส่งจักรพรรดินีออกไปเพราะตระกูลอื่น ๆ ก็เริ่มเคลื่อนไหวเมื่อไม่นานมานี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะสามารถสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง


ไม่เช่นนั้นแล้ว เขาคงไม่ต้องการจะส่งจักรพรรดินีออกไป


จักรพรรดินีมีศักยภาพยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก สามารถทำหลายอย่างให้ตระกูลเซียวได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการจะเสียนางไปโดยง่าย


ทว่าของในกล่องนั่นสำคัญเป็นอย่างมาก ไม่อาจปล่อยให้ตระกูลอื่นได้ไป เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องส่งจักรพรรดินีไป


ตระกูลอื่น...


กลุ่มกองกำลังที่ตระกูลเซียวให้ความสำคัญ ย่อมต้องหมายถึงตระกูลใหญ่อื่น ๆ อยู่แล้ว


จักรพรรดินีเริ่มตระหนักได้ถึงความสำคัญของกล่องสี่เหลี่ยมได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ตระกูลใหญ่ต่างก็ส่งคนออกไปตามหาอย่างไม่กลัวการสูญเสีย สิ่งที่อยู่ภายในกล่องจะต้องน่าตื่นตะลึงถึงที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย!


“เข้าใจแล้ว”


จักรพรรดินีพยักหน้า ก่อนจะออกจากวังเซียนกลับไปยังที่พักของตนเอง เตรียมข้าวของสำหรับการออกจากภพเซียน


“ก่อนหน้านี้ข้าไร้เดียงสามากเกินไป หลงเชื่อว่าเซียนล้วนทำได้ทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ทำได้ หารู้ไม่ว่าเซียนไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย...”


เมื่อมาถึงปลายขอบภพเซียน จักรพรรดินีก็หยุดพร้อมถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา


นางกลายเป็นเซียนไม่ใช่เพื่อตัวนางเอง แต่เพื่ออาจารย์ของนาง


ผู้ที่นำพานางเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกฝน ทั้งยังเป็นผู้อยู่เคียงข้างนางยามเติบโตจนกลายเป็นจักรพรรดินี!


ความสำเร็จของนางในวันนี้ ทุกสิ่งล้วนเกี่ยวข้องกับอาจารย์


ในโลกทั่วไปแล้ว เทียนตี้คือจุดสูงสุด ไม่มีหนทางให้ก้าวเดินอีก


นางเองก็เช่นกัน หลังจากบรรลุขั้นเทียนตี้ ก็ไม่อาจมองเห็นหนทางให้เดินต่อ


ยามนั้นอาจารย์ของนางยังอยู่ แม้อายุขัยจะเหลืออยู่น้อยนิด ทว่าในมือก็ยังมีโอสถเทียนตี้ ทำให้มีหนทางอยู่รอดต่อไปได้


แต่อาจารย์ของนางไม่ได้ใช้โอสถเทียนตี้กับตัวเอง เลือกจะทิ้งโอสถเทียนตี้เอาไว้ให้นาง


“ข้ามีชีวิตต่อไปก็ไร้ความหมาย ไม่อาจกลายเป็นเซียนได้ ทว่าเจ้านั้นแตกต่าง เจ้ามีคุณสมบัติมากพอจะกลายเป็นเซียนได้ ในอนาคตก็จงตั้งปณิธานกลายเป็นเซียนและเข้าสู่ภพเซียน!” นี่คือสิ่งที่อาจารย์ของนางกล่าวออกมา


หลังจากนั้นอาจารย์ก็สละชีวิตเพื่อเปิดหนทางเดินให้กับนาง สร้างโอกาสให้นางได้ก้าวข้าม มองเห็นเส้นทางเดินหลังจากขั้นเทียนตี้


โอกาสครั้งนั้นสำคัญมากสำหรับนาง อีกทั้งยังเป็นเหตุผลให้นางสามารถมีชีวิตได้ชาติแล้วชาติเล่า!


ดอกไม้ยังอยู่ ทว่าน่าเสียดาย ที่คนไปเก็บดอกไม้เป็นเพื่อนนางไม่อยู่แล้ว...


เมื่อใดก็ตามที่พบดอกไม้แปลกประหลาด นางก็จะนำกลับมา ไม่ได้ให้ตัวเอง แต่เพื่อมอบให้กับอาจารย์ วันใดเมื่ออาจารย์หวนกลับมาจะได้เห็นดอกไม้เหล่านี้


นางยังจำช่วงเวลาที่ได้ใช้กับอาจารย์ได้ ยามว่างนางมักจะไปเก็บดอกไม้กับอาจารย์ ทำให้ผู้พบเห็นบ่อย ๆ เรียกขานว่าเซียนเก็บบุปผา


ชาติแล้วชาติเล่า นางผ่านวันคืนมานับไม่ถ้วน จนสามารถทำลายขีดจำกัด ก้าวเดินสู่ถนนสายใหม่เส้นแล้วเส้นเล่า ทั้งหมดเป็นเพราะความศรัทธาในหัวใจนาง!


นางต้องการจะกลายเป็นเซียน ต้องการจะฝืนหยินหยาง นำอาจารย์กลับมาจากความตาย นางต้องการจะไปเก็บดอกไม้กับอาจารย์อีกครั้ง!


ทว่าหลังจากกลายเป็นเซียนก็ตระหนักได้ว่าทุกอย่างเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝัน เซียนไม่ได้มีอำนาจดลบันดาลได้ทุกสิ่ง เซียนไม่สามารถฝืนหยินหยางนำคนกลับมาจากความตายได้...


นางยังได้รู้อีกว่า แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของภพเซียนก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ไม่สามารถฝืนความเป็นตายได้


ความเป็นความตาย และหยินหยาง ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้แม้แต่น้อย


ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไร้หนทางนำอาจารย์กลับมาจากความตาย


เมื่อได้รู้ว่าตนเองไม่สามารถพบกับอาจารย์อีก ไม่สามารถเก็บดอกไม้กับอาจารย์ได้ ความศรัทธาที่อยู่ในหัวใจนางก็พังทลายลง นางจึงใช้นามตนเองว่าเจวี๋ยเนี่ยน*[1]


“ไม่! ข้ายังอยากเจออาจารย์อีกครั้ง ข้ายังอยากไปเก็บดอกไม้กับอาจารย์! ในเมื่อไม่มีผู้ใดสามารถทำได้ เช่นนั้นข้าก็จะฝ่าฟันขึ้นไปจนกลายเป็นผู้ที่สามารถทำได้!”


ดวงตาของนางกลับมาเปล่งประกาย ความศรัทธาก่อเกิดขึ้นมาในใจอีกครั้ง


ไม่ว่าการเดินทางครั้งนี้จะอันตรายและยากเย็นเพียงไร นางก็ต้องทำให้สำเร็จ นางไม่สามารถล้มเหลว นางยังอยากจะไปเก็บดอกไม้กับอาจารย์


นางยังต้องการจะให้อาจารย์ได้ชมดอกไม้ที่นางเก็บเอาไว้ให้ด้วย!


หลังจากนั้น นางก็ก้าวเดินออกไปด้วยความมุ่งมั่น ออกจากภพเซียน เข้าไปในพลังปั่นป่วนเดือดพล่านที่ล้อมรอบภพเซียนเอาไว้


“ไม่มีอะไรสามารถหยุดข้าได้ ข้าต้องการจะก้าวให้สูงขึ้นไปยิ่งขึ้น สามารถดลบันดาลทุกสิ่ง ฝืนหยินหยาง ฟื้นคืนชีวิตของอาจารย์!”


ดวงตาของนางเปล่งประกาย คำพูดดังก้องกังวาน ความศรัทธาในใจเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ นางก้าวไปด้านหน้าอย่างมุ่งมั่น อาภรณ์สีขาวพลิ้วไสว หมายมั่นจะผ่านพลังอันน่าสะพรึงกลัวนี้ไป!


“อาจารย์ท่านรอข้าก่อน!”


นางสำแดงวิชาเซียน ทั่วทั้งร่างเปล่งประกายด้วยแสงเซียนนับไม่ถ้วน ไร้ซึ่งความหวาดกลัวอยากถอยหนี!



[1] เจวี๋ยเนี่ยน (绝念) หมายถึง หมดหวัง/สิ้นหวัง
บทที่ 533

ณ อาณาจักรอวี้ซวี


ทะเลเหนือ


หลังจากที่พ่อแม่มัจฉาสัตมายากินแอปเปิลเข้าไปแล้ว พวกเขาก็ฟื้นฟูตัวเองกลับมาอย่างรวดเร็ว เกล็ดปลาและเส้นเอ็นเกิดขึ้นมาใหม่


กระทั่งสายเลือดของพวกเขายังได้รับการปรับปรุง สายเลือดของเขาได้รับการย้อนกลับ ไม่แตกต่างอะไรไปจากสายเลือดของบรรพบุรุษ เหนือชั้นยิ่งกว่าสมาชิกในเผ่ามัจฉาสัตมายาผู้อื่นไปไกลลิบ


“น่าอัศจรรย์เหลือเกิน!”


บิดาของมัจฉาสัตมายาอดกล่าวขึ้นมาไม่ได้ “ในร่างของข้ายังมีพลังมหาศาลจนไม่อาจจินตนาการได้อยู่อีก สายเลือดเทียบเท่าบรรพบุรุษไม่ใช่จุดสิ้นสุด ข้ารู้สึกว่าหากกลั่นพลังในร่างแล้ว สายเลือดของข้าจะพัฒนาขึ้นเหนือยิ่งไปกว่าสายเลือดของบรรพบุรุษ!”


“ท่านพ่อ ไม่ใช่แค่เพียงรู้สึก แต่เป็นความจริงอย่างแน่นอน!”


มัจฉาสัตมายากล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม นี่คือแอปเปิลที่คุณชายปลูกขึ้นมา ประสิทธิผลจะธรรมดาได้อย่างไร?


เขายังรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก ในอนาคตความสำเร็จของพ่อแม่เขาจะไม่มีวันอยู่ในระดับต่ำ เทียนตี้อาจไม่ใช่จุดสิ้นสุดของพ่อแม่เขาเสียด้วยซ้ำ


มัจฉาสัตมายาคุยกับพ่อแม่เป็นเวลานาน บอกให้พวกเขาได้รู้ว่าตนเองประสบโชควาสนาครั้งใหญ่ พ่อกับแม่ไม่จำเป็นต้องกังวลอีกต่อไป ทว่าเขาไม่ได้พูดรายละเอียดอะไรมากนัก ตัวเขาย่อมไม่มีทางกล้าพูดอะไรเกี่ยวกับคุณชาย


ท้ายที่สุดเขากับลั่วสุ่ยก็ออกเดินทาง จากทะเลเหนือไป


“พวกเราจะไปแคว้นโบราณชางเยว่กันก่อน! ที่นั่นอยู่ห่างออกไปไม่ไกล” มัจฉาสัตมายากล่าว


“ได้”


ลั่วสุ่ยพยักหน้า ก่อนมุ่งไปยังแคว้นโบราณชางเยว่พรัอมกับมัจฉาสัตมายา


ณ แคว้นโบราณชางเยว่


นี่คือแคว้นเก่าแก่ที่สุดของอาณาจักรอวี้ซวี สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน กล่าวกันว่าสามารถตรวจสอบพบได้ตั้งแต่ช่วงก่อตั้งแรกเริ่มของอาณาจักรอวี้ซวี ภูมิหลังลึกลับเกินหยั่งถึง


เทียบกับตระกูลมัจฉาสัตมายาแล้ว แคว้นโบราณชางเยว่ถือได้ว่าแข็งแกร่งกว่า เป็นขุมกำลังที่สูงขึ้นไปอีกขั้น นับได้ว่าเป็นกองกำลังโบราณที่แท้จริงของอาณาจักรอวี้ซวี


ในตอนที่มีก้อนหินอัศจรรย์ร่วงลงมาจากท้องฟ้า ภายในอาณาจักรอวี้ซวีเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ ดึงดูดกองกำลังนับไม่ถ้วนเข้ามาแย่งชิง กล่าวได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่สามารถสะเทือนฟ้าดิน ดุเดือดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้


ท้ายที่สุดแคว้นโบราณชางเยว่ก็สามารถยึดหินอัศจรรย์เอาไว้ได้ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแคว้นโบราณชางเยว่


หากแคว้นโบราณชางเยว่แข็งแกร่งไม่เพียงพอ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถรักษาหินอัศจรรย์เอาไว้ได้ภายใต้การแย่งชิงของกองกำลังมากมาย


ใช้เวลาเพียงไม่นาน พวกเขาก็มาถึงแคว้นโบราณชางเยว่ เบื้องหน้าของพวกเขาปรากฏแคว้นโบราณอันกว้างใหญ่ไพศาล


แคว้นโบราณรุ่งโรจน์กว้างใหญ่ พระราชวังตั้งตระหง่าน พื้นที่ใหญ่โตจนไม่อาจคาดคะเน ยิ่งใหญ่ตระการตาเป็นอย่างมาก


พวกเขาลอยลงมายังพื้น ทำตัวมีมารยาท ไม่ลอยตรงเข้าไปในแคว้นโบราณ


หากลอยตรงเข้าไปในแคว้นโบราณเลย ก็นับว่าเป็นการเสียมารยาทมากเกินไป


“มีบางสิ่งไม่ถูกต้อง...”


มัจฉาสัตมายาขมวดคิ้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามายังแคว้นโบราณชางเยว่ สถานที่แห่งนี้ดูแตกต่างจากแคว้นโบราณชางเยว่ที่เขาเคยมาก่อนหน้าอย่างมาก


สภาพแวดล้อมที่นี่ย่ำแย่กว่าเดิม รัศมีฟ้าดินเบาบางลงอย่างมาก พลังที่ใช้ในการฝึกฝนก็น้อยลงเช่นเดียวกัน


“มีบางอย่างไม่ถูกต้อง”


ลั่วสุ่ยเองก็สังเกตเห็นเช่นเดียวกัน คิ้วของนางเลิกขึ้นเล็กน้อย


แม้ว่านางจะไม่เคยมาแคว้นโบราณชางเยว่ แต่ก็เคยได้ยินมัจฉาสัตมายาบอกเล่าว่าแคว้นโบราณชางเยว่แข็งแกร่งรุ่งโรจน์เพียงใด จัดได้ว่าเป็นกองกำลังชั้นบนสุดของอาณาจักรอวี้ซวีอย่างแน่นอน


แคว้นโบราณชางเยว่ที่แข็งแกร่งถึงขั้นนี้ จะต้องตั้งอยู่ในสถานที่อันพิเศษและเหนือชั้นอย่างแน่นอน รัศมีฟ้าดินและสสารสำหรับการฝึกฝนก็จะต้องสูงกว่าที่อื่นด้วย


ทว่าสภาพแวดล้อมที่นี้กลับไม่ดีเท่าไหร่นัก อย่าว่าแต่แคว้นโบราณชางเยว่เลย เกรงว่ากองกำลังชั้นสองรองลงมาก็ไม่มาตั้งรกรากที่นี่


รัศมีฟ้าดินและสสารบ่มเพาะที่นี่เบาบางเกินไป ไม่เหมาะสมที่จะฝึกฝนเป็นอย่างยิ่ง


“ข้ามาผิดที่หรือ?”


มัจฉาสัตมายาเกาหัวด้วยความสับสน ดวงตาของเขากวาดมองแคว้นโบราณไปมา


น่าแปลกใจเสียจริง เขาจำได้ว่าแคว้นโบราณชางเยว่มีรัศมีฟ้าดินและสสารฝึกฝนอยู่เปี่ยมล้นจนแทบจะสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เหตุใดเวลาล่วงผ่านไปไม่นาน แคว้นโบราณชางเยว่จึงเลวร้ายลงถึงเพียงนี้?


ครั้งสุดท้ายที่เขามา ก็เพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่ปี


เวลาเพียงไม่กี่ปี สภาพแวดล้อมจะสามารถเปลี่ยนเป็นเลวร้ายถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?


เขาไม่อยากจะเชื่อ สงสัยว่าตนเองมาผิดที่หรือไม่


“ถูกแล้ว! ที่นี่คือแคว้นโบราณชางเยว่!”


มัจฉาสัตมายามองแล้วมองเล่า เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ข้อผิดพลาดอันใด อาคารบ้านเรือนในแคว้นโบราณชางเยว่เหมือนกับในความทรงจำของเขาทุกประการ


“ไป พวกเราเข้าไปดูด้านในเถอะ”


ลั่วสุ่ยกล่าว ก่อนจะเดินเข้ายังแคว้นโบราณชางเยว่พร้อมกับมัจฉาสัตมายา


ประตูใหญ่ของแคว้นโบราณชางเยว่เปิดกว้าง มันใหญ่โตประหนึ่งประตูสวรรค์ ทว่ากลับมีสิ่งมีชีวิตเดินทางสัญจรอยู่น้อยนิด


“นี่มันผิดปกติยิ่งนัก...”


มัจฉาสัตมายาเอ่ยเสียงแผ่ว


แคว้นโบราณชางเยว่รุ่งโรจน์ใหญ่โต มักจะมีสิ่งมีชีวิตจำนวนมากเข้าไปยังแคว้นโบราณชางเยว่เพื่อค้าขายเที่ยวชม ทุกวันเต็มไปด้วยความคึกคัก มีผู้หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย


ทว่าตอนนี้กลับเงียบเหงาเป็นอย่างยิ่ง มีเพียงสิ่งมีชีวิตจำนวนน้อยนิด นับเป็นเรื่องแปลกประหลาดอย่างยิ่ง!


นอกจากนี้ที่แตกต่างไปจากเดิมคือ ตอนนี้ดูเหมือนว่าแคว้นโบราณชางเยว่จะไม่สามารถเข้าไปได้โดยง่าย


หากเป็นแคว้นโบราณชางเยว่ในอดีต ทหารอารักขาจะไม่หยุดอะไร ปล่อยให้สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ เข้าออกได้ตามสะดวก


ทว่าตอนนี้สิ่งมีชีวิตหลายตนเบื้องหน้าต้องการจะเข้าไปด้านในเมือง กลับถูกทหารอารักขาหยุดเอาไว้ คล้ายกับจะถูกห้ามไม่ให้เข้าไป สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจึงได้แต่เดินกลับอย่างคอตก


“มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในแคว้นโบราณชางเยว่หรือไม่?”


มัจฉาสัตมายาอดพูดขึ้นมาไม่ได้


สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรมลง อีกทั้งยังยากที่จะเข้าไปในแคว้นโบราณชางเยว่ เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นภายในแคว้นโบราณชางเยว่!


“แต่ถ้าหากพวกเราไม่สามารถเข้าไปได้เล่า?” ลั่วสุ่ยขมวดคิ้ว


กล่าวตามตรงแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของนาง ไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้งนางได้ นางสามารถเข้าไปได้ทุกที่ที่นางต้องการ


ทว่านางจะไม่เริ่มใช้ความรุนแรงก่อน


แม้ว่านางจะถูกดึงดูดความสนใจด้วยหินอัศจรรย์ในแคว้นโบราณชางเยว่ นึกอยากจะนำกลับไปให้คุณชายแกะสลัก แต่นางจะไม่มีทางใช้พลังบีบบังคับเพื่อนำของมาเด็ดขาด


นางมาที่นี่เพื่อเจรากับแคว้นโบราณชางเยว่ เพื่อดูว่าแคว้นโบราณชางเยว่สามารถมอบหินอัศจรรย์ให้นางได้หรือไม่


หากไม่เต็มใจมอบให้ นางก็ไม่คิดบังคับ จะล้มเลิกและเปลี่ยนเป้าหมายใหม่


“ไม่มีปัญหาพี่สาว ข้าเป็นผู้โดดเด่นแห่งเผ่ามัจฉาสัตมายา ย่อมต้องผ่านเข้าไปได้อย่างไม่มีปัญหา แคว้นโบราณชางเยว่ยังต้องให้หน้าเผ่ามัจฉาสัตมายาบ้าง”


มัจฉาสัตมายากล่าวพร้อมตบหน้าอกตนเอง


แม้ว่าแคว้นโบราณชางเยว่จะเป็นกองกำลังลำดับต้น แต่เผ่ามัจฉาสัตมายาก็ไม่ได้อ่อนแอ ยิ่งไปกว่านั้นเผ่ามัจฉาสัตมายาของพวกเขานับได้ว่ามีความสัมพันธ์อันดีกับแคว้นโบราณชางเยว่มาโดยตลอด สนิทชิดเชื้อกันเป็นอย่างยิ่ง น่าจะสามารถผ่านเข้าไปได้


ลั่วสุ่ยพยักหน้า “ตกลง เป็นหน้าที่เจ้าแล้ว”


“พี่สาวคอยดูได้เลย!” มัจฉาสัตมายาเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจ


จากนั้นทั้งสองก็พากันเดินไปที่ประตูสูงใหญ่


“หยุด!”


ทันทีที่พวกเขามาถึงประตู ทหารอารักขาสองคนก็หยุดพวกเขาเอาไว้


“สวัสดีทั้งสองท่าน ข้ามาจากเผ่ามัจฉาสัตมายามีนามว่ามู่ชวน มีความสัมพันธ์อันดีกับองค์หญิงชางเหยาแห่งแคว้นโบราณชางเยว่”


มัจฉาสัตมายาพูดด้วยรอยยิ้ม


เมื่อทหารอารักขาได้ยินคำว่าเผ่ามัจฉาสัตมายา ดวงตาของพวกเขาก็สว่างขึ้นทันใด


ภายในใจของมัจฉาสัตมายาลอบยกยิ้มยามเห็นดวงตาของทหารอารักขา


เขามองไปที่พี่ลั่วสุ่ย ราวกับกำลังพูดว่า ดูสิ พี่สาว ข้าพูดไม่ผิด พวกเขายังต้องไว้หน้าเผ่ามัจฉาสัตมายาอยู่!


ลั่วสุ่ยแย้มยิ้มจาง ๆ รู้สึกว่าเรื่องที่หวังไว้มีโอกาสประสบความสำเร็จ


“เผ่ามัจฉาสัตมายา อืม สามารถเข้าไปได้”


ทหารอารักขาผู้หนึ่งเอ่ยออกมา


“ขอบคุณทั้งสองท่าน”


มัจฉาสัตมายาหัวเราะ แล้วหันไปพูดกับลั่วสุ่ย “พี่สาว พวกเราเข้าไปกันเถอะ”


จากนั้นเขาก็เตรียมจะเดินเข้าไปพร้อมกับลั่วสุ่ย


“อย่าพึ่งรีบร้อน พวกเรายังพูดไม่จบเลย!”


ทหารอารักขาทั้งสองรีบหยุดมัจฉาสัตมายากับลั่วสุ่ยเอาไว้


“สามารถเข้าไปได้ แต่พวกเจ้าต้องจ่ายค่าเข้าเมือง เผ่ามัจฉาสัตมายาหรือ เป็นเผ่าใหญ่ ค่าเข้าเมืองย่อมต้องไม่น้อย คิดแล้วเป็นจำนวนหนึ่งแสนหินเทวะ”


ทหารอารักขาคนหนึ่งกล่าว


อะไรนะ!?


ค่าเข้าเมือง?


ทั้งยังเป็นจำนวนถึงหนึ่งแสนหินเทวะ?


ใบหน้าของมัจฉาสัตมายามืดครึ้มลงทันที นี่มันอะไรกัน!


เหตุใดเขาจึงไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าแคว้นโบราณชางเยว่ต้องจ่ายค่าเข้าเมืองด้วย!


อีกทั้งจากคำพูดของทหารผู้นี้แล้ว ดูเหมือนว่ายิ่งเป็นเผ่าใหญ่อย่างเผ่ามัจฉาสัตมายายิ่งต้องเสียค่าเข้าเมืองมากขึ้น!


สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนในทันทีอย่างไม่อาจควบคุมได้


ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งจะตบหน้าอกตนเองกล่าวกับพี่ลั่วสุ่ยว่า แคว้นโบราณชางเยว่ต้องให้หน้าเผ่ามัจฉาสัตมายาบ้าง จะต้องปล่อยให้เข้าไปอย่างแน่นอน!


แม้ว่าตอนนี้จะสามารถเข้าไปได้ แต่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเผ่ามัจฉาสัตมายาของเขา!


ไม่สิ นับว่ามีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ หากไม่ใช่เพราะเผ่ามัจฉาสัตมายา พวกเขาก็ไม่ต้องเสียค่าเข้าเมืองมากเพียงนี้!


บัดซบ หากไม่พูดถึงเผ่ามัจฉาสัตมายาอาจจะดีกว่านี้!


ต่อให้ต้องจ่ายค่าเข้าเมืองก็จ่ายน้อยกว่านี้!


ตอนนี้เขารู้สึกขายหน้าเป็นอย่างมาก ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงเห่อร้อนเล็กน้อย


“เผ่ามัจฉาสัตมายาเลยนะ เผ่ามัจฉายาสัตมายาแห่งทะเลเหนือ! พวกเจ้าทั้งสองคนผิดพลาดอะไรหรือไม่?”


เขากัดฟันถามออกมา คิดว่าทหารอารักขาทั้งสองจะต้องทำอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน


แม้สิ่งมีชีวิตอื่นจะต้องจ่ายค่าเข้าเมือง แต่เขาที่มาจากเผ่ามัจฉาสัตมายายังต้องจ่ายด้วยอีกหรือ? ความสัมพันธ์ของเผ่ามัจฉาสัตมายาและแคว้นโบราณชางเยว่นั้นแน่นแฟ้นถึงเพียงนี้


“ใช่แล้วน้องชาย เผ่ามัจฉาสัตมายาแห่งทะเลเหนือ ข้าดูผิดไปจริง ๆ!” ทหารอีกคนกล่าวขึ้นมา


ฟังสิ่งที่ทหารกล่าวขึ้นมาแล้ว สีหน้าของมัจฉาสัตมายาก็อ่อนลง


ใช่แล้ว จะต้องเป็นข้อผิดพลาดอย่างแน่นอน เผ่ามัจฉาสัตมายายังต้องจ่ายค่าเข้าเมืองด้วยเหตุใด!


“ควรจะต้องจ่ายห้าแสนหินเทวะต่างหาก!”


ทหารคนนั้นกล่าวต่อ “เผ่ามัจฉาสัตมายาแห่งทะเลเหนือ หนึ่งในเผ่าเรืองอำนาจของอาณาจักรอวี้ซวี มีหินเทวะอยู่มากมาย จะเรียกเก็บเพียงแค่นั้นได้อย่างไร!”


บัดซบ!


นี่มันอะไรกัน!


มัจฉาสัตมายาใกล้จะเป็นบ้าเต็มที เหตุใดจึงยังขึ้นราคาอีก?


“ใช่แล้ว เผ่าเรืองอำนาจแห่งอาณาจักรอวี้ซวีย่อมไม่ขาดแคลนหินเทวะ เช่นนั้นสักหนึ่งล้านหินเทวะแล้วกัน”


ทหารอีกพูด


“ใช่แล้ว ต้องหนึ่งล้านหินเทวะ”


ค่าเข้าเมืองไม่ตายตัว ทหารทั้งสองเรียกเก็บตามอารมณ์ จึงเปลี่ยนค่าเข้าเมืองของมัจฉาสัตมายาอย่างตามใจ


“หนึ่งล้านหินเทวะ? พวกเจ้าบ้าไปแล้วหรืออย่าไร?”


มัจฉาสัตมายาเอ่ยออกมาอย่างไม่อาจอดกลั้น


เพียงแค่ค่าเข้าเมืองก็เรียกเก็บถึงหนึ่งล้านหินเทวะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!


“พอใจเสียเถอะ ยังดีที่เจ้ามากับผู้ฝึกตนหญิง หากมากับผู้ชายแบบเจ้า ก็ต้องจ่ายสองล้านหินเทวะ หนึ่งล้านหินเทวะเป็นเพียงค่าเข้าเมืองของเจ้า”


ทหารอีกคนพูดต่อ “จักรพรรดิชางกล่าวเอาไว้ว่า ผู้ชายต้องเสียค่าเข้าเมือง ส่วนผู้หญิงขึ้นอยู่กับรูปลักษณ์ หากงดงามก็ไม่ต้อง คนที่ผู้ข้าง ๆ เจ้านับว่างดงามเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่ต้องจ่ายค่าเข้าเมือง”


อะไรกัน!


มัจฉาสัตมายาเกิดความสงสัยว่าตนเองได้ยินผิดไป สีหน้าของเขาแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง


ผู้ชายต้องเสียค่าเข้าเมือง ส่วนผู้หญิงขอแค่สวยก็สามารถเข้าเมืองได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าเข้า


ช่างฉาบฉวยอะไรเช่นนี้ เลือกปฏิบัติกันด้วยเพศอย่างนั้นหรือ!?
บทที่ 534

มัจฉาสัตมายาแสดงสีหน้าแปลกประหลาด ไม่เคยพบเจอเรื่องเช่นนี้มาก่อน


เรียกเก็บค่าเข้าเมืองก็แล้วไปเถอะ แต่เหตุใดจึงต้องเลือกปฏิบัติด้วยเพศกัน?


จักรพรรดิชางกำลังคิดทำสิ่งใดอยู่!?


ไม่น่าแปลกใจเลยที่แคว้นโบราณชางเยว่เงียบเหงาถึงเพียงนี้ ไม่มีสิ่งมีชีวิตเข้าออก ผู้ใดจะกล้ามาที่นี่กัน ราคาเข้าเมืองไม่กำหนดให้แน่ ทั้งยังขึ้นราคาไปเรื่อย ๆ


ยิ่งไปกว่านั้นยังให้ผู้ฝึกตนหญิงเข้าไปได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าเข้า


คิดอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่มีเจตนาดี!


นี่มันไม่ถูกต้อง!


เขาเคยพบกับจักรพรรดิชาง คนผู้นี้เป็นเทียนตี้ที่มีทั้งคุณธรรมและบารมีน่านับถือ ชื่อเสียงในอาณาจักรอวี้ซวีดีงามเป็นอย่างมาก เปี่ยมด้วยความเมตตาและซื่อตรง เป็นตัวอย่างที่ดีแก่คนรุ่นหลัง ยามว่างก็จะคอยให้คำชี้แนะอย่างเต็มใจ


ดังนั้นแคว้นโบราณชางเยว่ในวันวานจึงเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก มีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนมาเยี่ยมเยือน


ทว่าตอนนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะเปลี่ยนไป...


เกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นกับแคว้นโบราณชางเยว่? หรือไม่ก็เกิดอะไรบางอย่างขึ้นกับจักรพรรดิชาง?


“เฮ้ พวกเจ้ายังต้องการจะเข้าไปอยู่หรือไม่? ถ้าจะเข้าไปก็จ่ายหินเทวะมา ถ้าไม่เข้าก็ออกไปเสีย”


ทหารคนหนึ่งกล่าวออกมาอย่างหมดความอดทน


พูดจาอะไรอยู่!


ถ้าจะเข้าไปก็จ่ายหินเทวะมา!


แม้ว่าเขาจะสามารถเอาหินเทวะออกมาได้ถึงหนึ่งล้านก้อนจริง ๆ แต่หากต้องใช้มันไปด้วยเรื่องเช่นนี้ เขารู้สึกไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง!


เขาเตรียมก้าวไปข้างหน้าเพื่อโต้เถียงกับทหารทั้งสอง แต่กลับถูกลั่วสุ่ยหยุดเอาไว้


ลั่วสุ่ยถามเขาขึ้นมา “เจ้ามีหนึ่งล้านหินเทวะอยู่กับตัวหรือไม่?”


นางไม่อยากให้มีเรื่องอะไรก่อนเข้าสู่แคว้นโบราณชางเยว่ สำหรับหนึ่งล้านหินเทวะนั้น จะจ่ายออกไปก็ไม่เป็นไร


แอปเปิลในมือของนาง แม้ลอกเปลือกออกมาเพียงชิ้นเล็ก ๆ ก็มีมูลค่าแทบประเมินไม่ได้ กระทั่งสิบล้านหินเทวะยังเกรงว่าจะมีคนแย่งชิงกัน


“พี่ลั่วสุ่ยต้องการจะให้พวกเขาจริง ๆ หรือ?”


มัจฉาสัตมายามีสีหน้าโศกเศร้า เขาไม่เต็มใจจริง ๆ ทว่าก็ยังตอบกลับลั่วสุ่ยไป “ข้ามี”


“มีก็ดี ให้พวกเขาไปเถอะ” ลั่วสุ่ยกล่าว


เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ก่อให้เกิดความบาดหมางจนทิ้งทัศนคติไม่ดีกับจักรพรรดิชาง นับว่าไม่คุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง


“ตกลง”


มัจฉาสัตมายารู้ว่าพี่ลั่วสุ่ยมองภาพสถานการณ์โดยรวม ดังนั้นเขาจึงไม่พูดสิ่งใดอีก เตรียมหยิบหนึ่งล้านหินเทวะออกมาจ่ายเป็นค่าเข้าเมือง


“ดีมาก”


ทหารผู้หนึ่งพยักหน้า “แต่เจ้าต้องจ่ายทั้งหมดสามล้านหินเทวะ หนึ่งล้านเป็นค่าเข้าเมือง อีกหนึ่งล้านเป็นค่าออกจากเมือง ส่วนอีกล้านสุดท้ายเป็นเงินค้ำประกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าสร้างความเสียหายอันใดกับเมือง วางใจได้ หากสุดท้ายแล้วเจ้าจากไปโดยไร้เรื่องราว เงินค้ำประกันหนึ่งล้านหินเทวะจะถูกคืนให้เต็มจำนวน”


มัจฉาสัตมายาที่กำลังจะหยิบหินเทวะออกมา แทบจะลื่นล้มลงกับพื้นเมื่อได้ยินสิ่งที่ทหารผู้นี้พูด


ออกจากเมืองก็ยังต้องจ่ายค่าธรรมเนียม!?


ยังไร้เหตุผลได้มากกว่านี้อีกหรือไม่!


ตั้งแต่โบราณมา การเข้าเมืองต้องเสียค่าธรรมเนียมนับเป็นเรื่องธรรมดา ทว่าเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีที่ใดต้องจ่ายค่าออกจากเมือง!


ยังจะมีค่าค้ำประกันอีก...


ค้ำประกันอะไรไร้สาระ!


แคว้นโบราณชางเยว่เป็นกองกำลังชั้นสูงสุด ผู้ใดกันจะกล้ากระทำการอุกอาจในเมืองหลวงของแคว้นโบราณชางเยว่? ผู้ใดจะกล้าสร้างความเสียหายแก่เมืองตามใจชอบ?


ค่าค้ำประกันนี่ไม่มีความจำเป็นแม้แต่น้อย!


จ่ายค่าเข้าเมืองแล้วยังต้องจ่ายค่าออกจากเมือง แต่ละอย่างเรียกเก็บถึงหนึ่งล้านหินเทวะ ดูจากความหน้าเลือดข้างต้นแล้ว เขาเกิดความสงสัยเป็นอย่างมาก ว่าหากจ่ายค่าค้ำประกันไปแล้ว ถึงตอนนั้นทหารทั้งสองคงจะไม่คืนค่าค้ำประกันกลับมาจริง ๆ คาดว่าพวกเขาน่าจะหาข้ออ้างอะไรสักอย่างมายึดมันไป!


มารดามันเถอะ! แคว้นโบราณชางเยว่ยากจนถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?


ถึงกับต้องมาแสร้งรีดไถ่กันเช่นนี้!


สีหน้าของลั่วสุ่ยแปรเปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน นางเองก็เพิ่งเคยได้ยินว่าต้องเสียค่าออกจากเมืองเป็นครั้งแรก!


นี่มันอะไรกัน! ค่าธรรมเนียมที่แคว้นโบราณชางเยว่เรียกเก็บไม่สมเหตุสมผลเกินไปจนนางเริ่มอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาบ้างแล้ว


“อ้อ ใช่แล้ว ข้าเกือบลืมไป”


ตอนนั้นเอง ทหารคนนั้นก็มองไปที่ลั่วสุ่ยก่อนพูดออกมา “แม้ผู้ฝึกตนหญิงจะสามารถเข้าเมืองได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าเข้า ทว่าเจ้ายังคงไม่ครบเงื่อนไข ต้องเปลี่ยนสักเล็กน้อยจึงจะสามารถเข้าไปได้”


“เปลี่ยนสิ่งใด?” ลั่วสุ่ยขมวดคิ้ว


“จักรพรรดิชางกล่าวไว้ว่า สตรีเป็นที่เจริญตา เรือนร่างเป็นดั่งทัศนียภาพอันงดงาม ทว่าน่าเสียดายที่คนบนโลกใบนี้ช่างโง่เขลา ปิดกั้นความงดงามแทบทั้งหมด นับเป็นความเสียหายอย่างยิ่ง”


ทหารผู้นั้นบอก


“หมายความว่าอย่างไร?”


ลั่วสุ่ยฟังแล้วไม่เข้าใจ


“หมายความว่าเสื้อผ้าของเจ้าปิดบังมากเกินไป บดบังทัศนียีภาพอันงดงาม เจ้าต้องสวมเสื้อผ้าให้บางและน้อยชิ้นลง เพื่อจะได้แสดงทัศนียภาพอันงดงามออกมาให้เต็มที่” ทหารผู้นั้นกล่าว


“!!!”


มัจฉาสัตมายาแทบจะมุดดินหนี


ให้ตายเถอะ นี่ไม่ใช่จักรพรรดิชางที่เขารู้จักอีกต่อไป เกิดอะไรขึ้นกันแน่ จักรพรรดิชางชราแล้วแต่ไม่แก่ตาย ทว่ากลับหวนย้อนวัยแรกรุ่น...ตัณหากลับ?


สีหน้าของลั่วสุ่ยดำคล้ำ เหตุใดแคว้นโบราณอะไรนี้จึงน่ารังเกียจยิ่งนัก!


“พวกเจ้ามีอะไรมายืนยันว่านี่เป็นคำสั่งของจักรพรรดิชาง?”


มัจฉาสัตมายาจับจ้องไปทางทหารทั้งสองอย่างดุดัน เขาคิดว่าอาจเป็นทหารสองคนนี้ที่เล่นเล่ห์ เขาไม่เชื่อว่าจักรพรรดิชางที่มีคุณธรรมน่านับถือ จิตใจเมตตา และซื่อตรงจะออกคำสั่งที่น่ารังเกียจเช่นนี้


“ย่อมต้องมี”


ทหารผู้หนึ่งตอบกลับ ก่อนจะนำคำสั่งแบบลายลักษณ์อักษรออกมาแสดงให้มัจฉาสัตมายาและลั่วสุ่ยดู


ด้านบนหนังสือคำสั่งมีอักขระสีทองเขียนอยู่หลายบรรทัด ภายในมีพลังของเทียนตี้ไหลเวียนอยู่ ทันทีที่เปิดออกก็มีภาพเงาหนึ่งร่างปรากฏขึ้นมาด้วยท่าทางน่าเกรงขาม


มัจฉาสัตมายาจำภาพเงานี้ได้ในทันที นี่คือผู้ปกครองแคว้นโบราณชางเยว่ หนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่สุดของอาณาจักรอวี้ซวี จักรพรรดิชาง!


เขาเบนสายตากลับไปอ่านคำที่เขียนเอาไว้ในหนังสือคำสั่ง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ


ประโยคด้านบนเขียนเอาไว้ว่า ‘แต่ละคนแต่ละเผ่า เรียกเก็บค่าธรรมเนียมอย่างเหมาะสม เข้าเมือง ออกเมือง ค้ำประกัน ไม่อาจขาดสักอย่าง!’


มุมปากของมัจฉาสัตมายากระตุก นี่เป็นคำสั่งของจักรพรรดิชางจริง ๆ!


แต่ละคนแต่ละเผ่า เรียกเก็บค่าธรรมเนียมอย่างเหมาะสม...


หมายความว่าอ่อนแอก็เก็บน้อยหน่อย ยิ่งแข็งแกร่งก็ยิ่งเก็บมากขึ้น!


นี่คือความหมายของคำว่าเหมาะสม!


ส่วนอีกหลายประโยคถัดมาก็เหมือนกับที่ทหารอารักขากล่าวมาก่อนหน้า... สตรีเป็นที่เจริญตา จำต้องเป็นเผยทัศนียภาพออกมา


“เกิดอะไรขึ้นกับจักรพรรดิชาง เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้?”


มัจฉาสัตมายาลอบถอนหายใจ คิดถึงเมื่อครั้งอดีตที่เขาเองก็ได้รับคำชี้แนะจากจักรพรรดิชาง ทำให้เขาเคารพเลื่อมใสจักรพรรดิชางเป็นอย่างมาก


ไม่คาดคิดเลย หลังจากผ่านมาเพียงไม่กี่ปี จักรพรรดิชางก็กลายมาเป็นเช่นนี้เสียแล้ว...


“พวกเจ้าสองคนจะเข้าไปหรือไม่ ถ้าไม่ก็อย่ามารบกวนเวลาของพวกเรา!”


ทหารผู้นั้นเก็บหนังสือคำสั่งแล้วกล่าวออกมาอย่างหมดความอดทน


สีหน้าของลั่วสุ่ยแปลกประหลาด ไม่คาดคิดว่าจะเจอเรื่องเช่นนี้ ต้องจ่ายหินเทวะนางก็พอจะยอมรับมันได้บ้าง


ทว่านางไม่สามารถยอมรับ ‘ชุดบางน้อยชิ้น‘ ได้


“เข้า! แต่พวกเราจะไม่จ่ายหินเทวะและสวมเสื้อผ้าเช่นนั้น พวกเราไม่ยอมรับสักข้อ!”


มัจฉาสัตมายาพูดขึ้นมา “พวกเจ้ารอก่อนเถอะ ข้าจะให้องค์หญิงมาจัดการพวกเจ้า!”


จากนั้นเขาก็ค้นหาของที่จัดเก็บเอาไว้ มองหาศาสตราสื่อสารที่องค์หญิงชางเหยาเคยมอบให้เขาออกมา


เดิมที เขาคิดว่าตนเองจะสามารถเข้าเมืองได้อย่างง่ายดาย ทว่าผู้ใดจะคาดคิดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงมากมายถึงเพียงนี้ เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องติดต่อองค์หญิงชางเหยา


กล่าวตามตรงแล้ว เขาไม่ต้องการจะติดต่อกับองค์หญิงชางเหยาสักนิด...
บทที่ 535

เมื่อคิดถึงองค์หญิงชางเหยาแล้ว มัจฉาสัตมายาก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย


นี่ไม่ได้หมายความว่าเขารังเกียจองค์หญิงชางเหยา แต่เป็นเพราะทุกคนที่องค์หญิงชางเหยาได้พบกับเขา นางมักจะตื่นเต้นกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก มันทำให้เขาทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง


ความกระตือรือร้นจนเกินไปนี้เป็นตั้งแต่ครั้งแรกที่นางได้พบกับเขา นางยึดติดเขาเป็นพิเศษ มีช่วงหนึ่งที่องค์หญิงชางเหยาไปอาศัยอยู่ที่ทะเลเหนือเพียงเพื่อให้ได้อยู่กับเขาทั้งวันทั้งคืน


“อะไรนะ? พี่ชวนมาที่นี่หรือ? รอข้าสักครู่ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”


เสียงสตรีดังขึ้นมาจากศาสตราสื่อสาร หลังจากนั้นเพียงไม่นาน ก็มีเด็กสาวผู้งดงามลอยออกมาจากด้านในเมืองหลวงอย่างเร่งรีบ


ทหารทั้งสองรีบคำนับทำความเคารพองค์หญิง


ทว่าหญิงงามผู้นั้นไม่ได้สนใจทหารทั้งสอง เอาแต่จับจ้องไปทางมัจฉาสัตมายา


“พี่ชวน! ท่านยังสบายดี! ท่านไม่รู้หรอกว่าข้าเป็นห่วงท่านมากเพียงใดตอนที่ท่านหายตัวไป! ในช่วงนั้นข้าวิ่งไปที่ทะเลเหนือทุกวันเพื่อถามหาข่าวคราวของท่าน น่าเสียดายที่หลังจากเสด็จพ่อสั่งข้าไม่ให้ออกจากวัง ไม่เช่นนั้นข้าจะต้องพบพี่ชวนทันทีที่ท่านกลับมาอย่างแน่นอน!”


หญิงสาวพูดเสียงเจื้อยแจ้วไม่หยุด บนใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นกระตือรือร้น มองดูแล้วพบว่านางเป็นห่วงมัจฉาสัตมายามากจริง ๆ


นางดูน่ารักงดงามเป็นอย่างมาก ใบหน้าเล็ก ๆ จิ้มลิ้ม ดวงตากลมโต รูปร่างเองก็ดีเป็นอย่างมาก หน้าอกอวบอิ่มกระเพื่อมขึ้นลงตามท่าทางอันตื่นเต้นของนาง ขนาดของมัน ‘เหนือเกินกว่ามาตรฐาน’ เล็กน้อย


“ข้าคิดไว้แล้วว่าพี่ชวนจะต้องมีใจคิดถึงข้า จึงมาหาข้าทันทีหลังจากที่กลับมาใช่หรือไม่?”


เด็กสาวกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มร่า “ใช่แล้ว ว่าแต่พี่ชวนหายไปไหนมาหรือ?”


ในตอนนั้นเอง นางก็สังเกตเห็นลั่วสุ่ยที่อยู่ด้านหลังของมัจฉาสัตมายา รอยยิ้มบนใบหน้าของนางหุบลงทันใด ก่อนจะแสดงสีหน้าราวกับไม่ได้รับความเป็นธรรม “พี่ชวนคงไม่ได้หนีตามกันไปกับนางหรอกนะ!”


จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร!


มัจฉาสัตมายาจนใจ ความคิดของชางเหยาบรรเจิดเกินไปแล้ว!


จะเป็นการหนีตามกันได้อย่างไร!


“อย่าพูดจาไร้สาระ นี่คือพี่สาวของข้า พี่ลั่วสุ่ย” เขารีบกล่าวขึ้นมา


“ที่แท้ก็เป็นพี่สาวของเรานี่เอง”


สีหน้าของชางเหยาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จากน้อยอกคับข้องใจจวนเจียนจะร้องไห้ กลายมาเป็นรอยยิ้มเจิดจ้าร่าเริงในทันใด


“พี่สาว ปากของข้าไม่ดีเอง ท่านอย่าได้ถือสาหาความเลย!”


นางกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก เพียงแค่ชั่วพริบตาก็วิ่งไปอยู่ข้างลั่วสุ่ย จับแขนของลั่วสุ่ยอย่างสนิทชิดเชื้อ “พี่สาว ข้าชื่อว่าชางเหยา เป็นน้องสะใภ้ของพี่สาว!”


อะไรนะ!


อะไรคือพี่สาวของเรา อะไรคือน้องสะใภ้!


มัจฉาสัตมายารู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมาเล็กน้อย หากรู้ก่อนหน้านี้เขาคงไม่ติดต่อกับชางเหยา!


“พี่ลั่วสุ่ยอย่าไปฟังคำพูดไร้สาระของนาง พวกเราเป็นเพียงเพื่อนกัน! เป็นเพียงเพื่อนธรรมดา ๆ เท่านั้น!” เขารีบกล่าวขึ้นมา


“ใช่หรือ?”


ลั่วสุ่ยยิ้มจาง ๆ นางมองออกทุกอย่างตั้งแต่แรกแล้ว ชางเหยานั้นชื่นชอบเสี่ยวชีเป็นอย่างมาก


นางชื่นชอบชางเหยาตั้งแต่แรกเห็น อีกฝ่ายเป็นสาวน้อยที่บริสุทธิ์และน่ารัก


“ไม่ใช่แน่นอน!”


ชางเหยาตะโกนออกมา “ชั่วชีวิตนี้ข้าสาบานเอาไว้แล้วว่าจะเป็นภรรยาของพี่ชวน ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนใจข้าได้!”


ถึงขั้นสาบานเลยหรือ?


ลั่วสุ่ยยิ้มแล้วกล่าวออกมา “เข้าใจแล้ว พี่สาวจะสนับสนุนเจ้าเอง!”


“พี่สาว ท่านจะทำเช่นนี้ไม่ได้...”


มัจฉาสัตมายาก้มหน้าลง ในใจทุกข์เป็นอย่างมาก เหตุใดพี่ลั่วสุ่ยและชางเหยาจึงจับมืออยู่ฝั่งเดียวกันได้!


“ไม่ใช่สิ สถานการณ์ตอนนี้ของแคว้นโบราณชางเยว่เป็นเช่นไร? เหตุใดสภาพแวดล้อมถึงเลวร้ายปานนี้? อีกทั้งเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเสด็จพ่อของเจ้า? นิสัยจึงราวกับเปลี่ยนไปคนละคน!”


เขารีบถามชางเหยา จบหัวข้อก่อนไว้เพียงแค่นี้ ไม่อยากจะพูดอะไรถึงเรื่องนั้นอีก


ชางเหยาที่เดิมทีมีท่าทางร่าเริง เมื่อได้ยินสิ่งที่มัจฉาสัตมายากล่าว สีหน้าของนางก็เปลี่ยนแปลงทันที ท่าทางดูแล้วไม่มีความสุขอีกต่อไป


นางเอ่ยตอบเสียงเบา “ข้าเองก็ไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้าที่ผ่านมา จู่ ๆ รัศมีฟ้าดินและสสารฝึกฝนของแคว้นเราก็สูญหายลงไปเป็นจำนวนมาก ในตอนนั้นทุกคนต่างแตกตื่น ทว่าเสด็จพ่อกล่าวว่าไม่ต้องกังวล นี่นับเป็นเรื่องดี เพราะเสด็จพ่อฝึกฝนทะลวงสูงขึ้นไปได้แล้ว ทำให้รัศมีฟ้าดินและสสารฝึกฝนของแคว้นแห่งนี้ลดลงไปมาก”


นางกล่าวต่อ “นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา รัศมีฟ้าดินและสสารฝึกฝนก็เริ่มน้อยลงไปเรื่อย ๆ ทั้งหมดล้วนถูกท่านพ่อดูดกลืนเข้าไป และตอนนั้นเองที่เสด็จพ่อก็เปลี่ยนไป แตกต่างจากเมื่อก่อนเป็นอย่างมาก กระทำเรื่องผิดปกติไม่ชอบกล...”


ทั้งค่าเข้าเมือง ค่าออกเมือง ค่าค้ำประกัน และให้ผู้ฝึกตนหญิงส่วมใส่เสื้อผ้าบางน้อยชิ้น เมื่อเข้าเมืองก็ล้วนแล้วเริ่มจากตอนนั้น


สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ก็เริ่มมายังแคว้นของพวกเราน้อยลงเรื่อย ๆ เพราะไม่ว่าผู้ใดมาก็ล้วนถูกขูดรีด ยิ่งแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็ยิ่งถูกขูดรีดมากเท่านั้น


“จักรพรรดิคชฟ้าคราม ท่านรู้จักหรือไม่? เขามาเยี่ยมเสด็จพ่อ แต่กลับถูกเสด็จพ่อตัดงายึดเอาไป ผู้นำเผ่าแมงป่องหยกมาหา ก็ไม่ได้กลับออกไป ถูกท่านพ่อกักขังเอาไว้อยู่ในวังหลัง...”


นางเอ่ยเสียงแผ่ว


“อะไรนะ!”


หลังจากฟังสิ่งที่ชางเหยาเล่าแล้ว มัจฉาสัตมายาก็ตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง


จักรพรรดิคชฟ้าครามเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่สุดของอาณาจักรอวี้ซวี แต่กลับถูกจักรพรรดิชางตัดงาไป!


ผู้นำเผ่าแมงป่องหยกเองก็เป็นเทียนตี้ผู้หนึ่งเช่นเดียวกัน ทั้งยังเป็นอีกหนึ่งในผู้แกร่งที่สุด แต่กลับถูกคุมตัวเอาไว้ในวังหลัง...


เกิดอะไรขึ้นกับจักรพรรดิชางกัน?


เหตุใดจึงทำและสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้?


หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าแม้จักรพรรดิชางจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็จะต้องเต็มไปด้วยศัตรูทุกหนแห่ง!


ชางเหยาเอ่ยเสียงเบา “ในตอนนี้ข้าแทบจะไม่รู้จักเสด็จพ่อแล้ว บางทีข้าก็สงสัยว่านี่ไม่ใช่เสด็จพ่อตัวของข้าจริง ๆ!”


ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ชางเหยาเกิดความสงสัย กระทั่งมัจฉาสัตมายาเองก็ยังเกิดความสงสัย อะไรจะสามารถเปลี่ยนให้จักรพรรดิชางแทบกลายเป็นอีกคนได้อย่างกะทันหันกัน?


ชางเหยากล่าวต่อ “แต่เสด็จพ่อก็ไม่ได้ออกนอกวังเป็นระยะเวลานานแล้ว ในวังเองก็ไม่เกิดเรื่องอะไรผิดปกติ เช่นนั้นแล้วผู้ใดจะสามารถสับเปลี่ยนตัวกับเสด็จพ่อได้อย่างเงียบงันกัน? เสด็จพ่อขอบเขตไม่ได้ต่ำต้อย เป็นถึงเทียนตี้ ความแข็งแกร่งอยู่ยอดเหนือบนท้องฟ้า ในอาณาจักรมีอยู่เพียงไม่กี่คนที่สามารถต่อกรกับเสด็จพ่อได้!” เรื่องนี้ทำให้นางคิดไม่ตก


อีกทางหนึ่ง ลั่วสุ่ยที่ไม่ได้กล่าวอะไร ปิดตาลงอย่างแช่มช้า


หลังจากนั้นเพียงไม่นาน นางก็ลืมตาขึ้น แล้วพูดออกมาอย่างกะทันหัน “น่าสนใจดี”


นางเปิดใช้ญาณสัมผัสตรวจสอบจักรพรรดิชาง เพราะอยากรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับจักรพรรดิชาง


แต่ผลที่ออกมากลับทำให้นางคาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก


“ไป พวกเราไปพบเสด็จพ่อของเจ้ากันเถอะ”


นางไม่อธิบายอะไรมาก ทำเพียงกล่าวออกไปกับชางเหยาเช่นนี้


ชางเหยาตอบกลับมาด้วยความลังเล “พี่สาว ท่านอย่าไปเลย ข้ากลัวว่าพี่สาวจะถูกขังเอาไว้ในวังหลัง! ยังมีพี่ชวนอีก ท่านเองก็อย่าได้ไปพบเสด็จพ่อเลย ยามนี้อารมณ์ของเสด็จพ่อไม่ใช่สิ่งที่สามารถคาดเดาได้ ข้าเกรงว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพี่ชวน!”


นางเป็นกังวลจริง ๆ ระยะหลังมานี้สายตาที่เสด็จพ่อมองนางมีบางอย่างไม่ถูกต้อง หากลั่วสุ่ยและมัจฉาสัตมายาไปพบเสด็จพ่อแล้วเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นมา นางเกรงว่าตนเองอาจไม่สามารถปกป้องลั่วสุ่ยและมัจฉาสัตมายาได้


“องค์หญิง เหตุใดท่านจึงวิ่งไปทั่ว ไม่สนใจบ่าว!?”


ในตอนนั้นเอง มีหญิงชราผู้หนึ่งทะยานออกมาจากด้านในเมือง


นางกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มเหยียดหยัน “องค์หญิงรีบตามข้ากลับไปเถอะ หลังจากนี้ก็อย่าได้วิ่งไปทั่วอีก!”


น่าแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง แม้นางจะเรียกขานตัวเองว่าบ่าว แต่กลับไร้ซึ่งความเคารพชางเหยา


“พี่ชวน พี่ลั่วสุ่ย พวกท่านรีบไปเร็วเข้า!”


เมื่อชางเหยาเห็นหญิงชรา สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป รีบเร่งให้มัจฉาสัตมายาและลั่วสุ่ยออกไปโดยเร็ว


“ไปไหน!”


ทว่าหญิงชราผู้นั้นกลับจ้องลั่วสุ่ยด้วยดวงตาเปล่งประกาย “เป็นเด็กสาวที่งดงาม คาดว่าฝ่าบาทน่าจะต้องชื่นชอบเป็นอย่างมาก!”


“แม่นมหรง ท่านคิดจะทำสิ่งใด!”


สีหน้าของชางเหยาแปรเปลี่ยนอีกครั้ง นางรีบไปยืนขวางหน้าพี่ลั่วสุ่ย ก่อนจะกล่าวกับหญิงชราผู้นั้น “ข้าจะกลับไปกับท่านแล้ว ท่านก็แสร้งทำเป็นว่าไม่เห็นดีหรือไม่?”


“องค์หญิงกำลังพูดสิ่งใดอยู่! ข้าสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน!”


หญิงชรากล่าวออกมาอย่างเย็นชา “องค์หญิงโปรดหลีกทาง อย่าบังคับให้ข้าไม่สุภาพกับองค์หญิง ท่านเพิ่งจะทำผิดโดยการแอบหนีออกมา อย่าได้คิดทำผิดซ้ำอีก!”


นี่มันอะไรกัน?


ข้ารับใช้กลับกล้าทำเช่นนี้กับนาย?


มัจฉาสัตมายาขมวดคิ้ว