การได้ชี้นิ้วไปทางลั่วสุ่ยอย่างหยิ่งผยอง ช่างรู้สึกสุขสมอย่างมาก!
สุขสมจริง ๆ!
มู่จวินเริงร่า ยิ้มกว้างอย่างไม่สามารถหุบลงได้ ตอนนี้เป็นเพียงแค่ ‘อาหารเรียกน้ำย่อย’ หลังจากที่ปู่ของเขาจัดการลั่วสุ่ยแล้ว เขาจะยิ่งสุขสม จะยิ่งยินดีมากกว่านี้!
เมื่อคิดแล้ว เขาก็รีบกล่าวขึ้นมากับปู่ของตนเอง “ท่านปู่ลงมือเบาหน่อยเถิด อย่าเพิ่งสังหารนางทันที ไม่เช่นนั้นมันจะไม่สาสมสำหรับนาง!”
มู่ขุยรักเอ็นดูมู่จวินเป็นอย่างมาก เขาจึงกล่าวกับมู่จวินด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความอ่อนโยน “ได้”
“มู่ชวนนั่นด้วย ท่านปู่ก็อย่าเพิ่งสังหารมัน! พวกเขาทั้งสองคนน่ารังเกียจเป็นอย่างมาก พวกเราไม่สามารถปล่อยให้ตายไปอย่างง่ายดาย!”
มู่จวินพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่มีปัญหา ข้าจะมอบทั้งสองคนให้เจ้าจัดการ”
มู่ขุยพยักหน้า “ใครก็ตามที่กล้ามารังแกหลานชายของข้า ล้วนแล้วแต่ต้องชดใช้อย่างสาสม!”
“ขอบคุณท่านปู่” มู่จวินมีความสุขอย่างมาก
“เหตุใดพวกเจ้าเอาแต่พูดเองเออเอง? หรือคิดว่าจะจัดการพวกเราลงได้อย่างง่ายดาย สามารถทำสิ่งใดกับพวกเราก็ได้ตามใจชอบ?”
มัจฉาสัตมายามองไปทางคู่ปู่หลาน สองคนนี้ช่างรนหาที่ตายเสียจริง โดยเฉพาะมู่จวิน ทันทีที่เห็นปู่ของตนเอาถึง ก็แสดงท่าทางหยิ่งยโส กำเริบเสิบสานมากกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่า
ใช่แล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับมู่ขุย เขาไม่สามารถต่อต้านอะไรได้
ทว่าเขายังมีพี่ลั่วสุ่ยอยู่!
พี่ลั่วสุ่ยได้รับความรักความเอ็นดูจากคุณชาย ได้กินของดีทุกสิ่งอย่าง หลังจากกลายเป็นร่างมนุษย์แล้ว ยังได้รับคำชี้แนะด้วยความใส่ใจจากคุณชาย
ตอนนี้พี่ลั่วสุ่ยไปถึงขอบเขตใดแล้ว มีพลังแบบไหน ไพ่อะไรบ้างที่อยู่ในมือ กระทั่งเขาเองยังไม่แน่ใจ!
แม้ว่ามู่ขุยจะบรรลุระดับเทียนตี้ ยืนอยู่บนยอดของการฝึกฝนบนโลก พลังมหาศาลล้นฟ้า ทว่าต่อหน้าพี่ลั่วสุ่ยแล้ว แม้จะเป็นตัวมู่ขุย ก็ไม่อาจคุกคามพี่ลั่วสุ่ยได้แม้แต่น้อย
สำหรับจุดนี้ เขามั่นใจเป็นอย่างยิ่ง
เขารู้สึกเสียด้วยซ้ำ ว่าพี่ลั่วสุ่ยในตอนนี้ หากลงมีอย่างเต็มกำลังใช้ทุกอย่างที่มี เกรงว่ากระทั่งเซียนคงยังไม่อาจคุกคามพี่ลั่วสุ่ยได้
มู่ขุยยังไม่ทันลงมือก็คิดว่าสามารถจัดการพวกเขาได้อย่างง่ายดาย ช่างเพ้อฝันเสียจริง
“หุบปาก!”
มู่ขุยมองไปที่มัจฉาสัตมายาด้วยดวงตาเป็นประกายเย็นเยือก “เจ้าช่างเหมือนพ่อของเจ้าเสียจริง มองสถานการณ์ไม่ออก ชอบรนหาที่ตาย!”
เมื่อเขาบังคับให้ผู้นำตระกูลสละตำแหน่ง สมาชิกคนอื่น ๆ ในเผ่าต่างก็ไม่กล้าพูดอะไรและเลือกที่จะยอมจำนนต่อเขา
มีเพียงสายเลือดของบิดามัจฉาสัตมายาเท่านั้นที่รนหาที่ตาย ไม่สามารถมองสถานการณ์ออก ยังคงเป็นปรปักษ์ต่อเขา ยืนเคียงข้างผู้นำเผ่าคนก่อนจนถึงที่สุด
“ข้าอุตส่าห์คิดถึงสายสัมพันธ์ร่วมเผ่า จึงไม่อยากทำร้ายพ่อแม่ของเจ้ามากเกินไป แต่ผู้ใดจะรู้ว่าพวกมันกลับไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี! เมื่อเรื่องราวทุกอย่างสิ้นสุด สถานการณ์ทุกอย่างตัดสินแล้ว พ่อแม่ของเจ้ายังไม่ยอมจำนน ทั้งบังอาจมายั่วยุข้า! ข้าจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องขอดเกล็ดทั้งหมดของพ่อแม่เจ้าออก ก่อนจะดึงเส้นเอ็นทั้งหมดออกมาแล้วแขวนเอาไว้ในคุกใต้ดิน ไม่ให้ผู้อื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง!”
มู่ขุยมองไปทางมัจฉาสัตมายา “คิดไม่ถึงเลย ตอนนี้ยังมีเจ้าอีกคนที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี! เหมือนกับครอบครัวของเจ้าไม่มีผิด! เช่นนั้นก็ดี หลังจากที่จวินเอ๋อร์ระบายความโกรธเสร็จแล้ว ข้าจะเอาเจ้าไปห้อยไว้เคียงข้างพ่อแม่ของเจ้า ให้ครอบครัวของพวกเจ้าได้อยู่ร่วมกันอย่างสมบูรณ์!”
“อะไรนะ!”
ดวงตาของมัจฉาสัตมายาเป็นประกายวาววาบ ทั้งร่างสั่นสะท้านอย่างแรงด้วยโทสะ
เดิมทีเขาคิดเพียงว่าพ่อและแม่ของเขาถูกคุมขังเอาไว้ด้านในคุกใต้ดินเฉย ๆ ไม่คาดว่าพ่อแม่ของเขาจะถูกทรมานอย่างโหดร้าย ทั้งยังถูกแขวนเอาไว้ในคุกใต้ดิน!
ลั่วสุ่ยถอนหายใจเฮือกใหญ่ นางเองก็คาดไม่ถึงเช่นเดียวกันว่าพ่อแม่ของมัจฉาสัตมายาจะถูกทรมานอย่างโหดร้ายถึงเพียงนี้
พลทหารกุ้งและปูบอกเพียงว่าพ่อแม่ของเสี่ยวชีถูกขังเอาไว้ในคุกใต้ดิน ไม่ได้บอกรายละเอียดอื่น เกรงว่า พวกเขาไม่ต้องการจะกระตุ้นความรู้สึกของเสี่ยวชีมากเกินไป จึงไม่ได้เล่าออกมา
ถึงอย่างไร ตอนนั้นพลทหารกุ้งและปูต่างก็กังวลว่าจะเกิดเรื่องกับเสี่ยวชี พวกเขาจึงต้องการให้เสี่ยวชีจากไปก่อน หากพูดเรื่องเหล่านี้เสี่ยวชีคงยิ่งอารมณ์รุนแรงมากกว่าเดิม ยากที่จะยอมจากไป
“ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ดวงตาของมัจฉาสัตมายาเป็นสีแดงก่ำ เขาโกรธมากจนไม่อาจควบคุมตนเองได้ ตอนนี้เขาคิดได้เพียงแค่จะสับมู่ขุยออกเป็นชิ้น ๆ!
ถูกทรมานเช่นนั้นจะต้องเจ็บปวดมากเพียงใด มู่ขุยช่างน่าชิงชัง!
“ปล่อยให้ข้าจัดการ!”
ลั่วสุ่ยหยุดมัจฉาสัตมายาเอาไว้ไม่ให้พุ่งเข้าไป นางเกรงว่าจะเกิดเรื่องกับมัจฉาสัตมายา เสี่ยวชีในตอนนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมู่ขุยแม้แต่น้อย
“หลังจากจัดการแล้วข้าจะส่งมอบให้เจ้า”
นางกล่าวกับมัจฉาสัตมายา
หลังจากนั้นนางก็เตรียมลงมือกับมู่ขุย สิ่งที่มู่ขุยพูดก็ทำให้นางโกรธเช่นกัน
“พูดจาไร้สาระอะไร! ยังคิดว่าจะสามารถจัดการท่านปู่ได้! เจ้าคิดว่าตนเองเป็นผู้ใดกัน!?”
มู่จวินตะคอกออกมาอย่างเหยียดยาม สีหน้าเต็มไปด้วยการดูหมิ่น ลั่วสุ่ยช่างกล้าพูดออกมา นางจะสามารถต่อกรกับปู่ของเขาได้อย่างไร?
ช่างน่าขันเหลือเกิน!
“หนวกหู!”
แววตาของลั่วสุ่ยเฉยเมย ทั้งยังทอประกายเย็นเยือก
ก่อนหน้านี้นางทำลายร่างกายของมู่จวิน ก็เพื่อสั่งสอนบทเรียนมู่จวิน ไม่ให้เขาผยองและกำเริบเสิบสานถึงเพียงนั้น
ทว่าดูจากตอนนี้แล้ว มู่จวินยังไม่ได้เรียนรู้บทเรียนใดแม้แต่น้อย!
นางชี้นิ้ว ลำแสงเจิดจ้าเส้นหนึ่งพุ่งออกมาตรงเข้าใส่มู่จวิน
“เจ้าจะสามารถทำอะไรข้าได้หรือ? น่าขันเหลือเกิน!”
มู่จวินไม่ใส่ใจ ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ท่านปู่อยู่ด้านข้างเขาเช่นนี้ ลั่วสุ่ยจะสามารถทำอะไรเขาได้?
แม้กระทั่งเส้นผมของเขาสักเส้น ลั่วสุ่ยก็ไม่อาจแตะต้องได้!
“บังอาจ!”
มู่ขุยตวาดออกมาอย่างเย็นชา ก่อนจะลงมือทันที ลำแสงอันน่าสะพรึงกลัวพุ่งออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง หมายโจมตีสกัดลำแสงจากลั่วสุ่ย
แสงทั้งสองเส้นรวดเร็วเป็นอย่างมาก เพียงพริบตาเดียวก็ปะทะเข้ากับลำแสงของลั่วสุ่ย
ทว่าลำแสงทั้งสองเส้นกลับไม่อาจทำสิ่งใดได้ พลังของลำแสงต่างชั้นกันมากอย่างเห็นได้ชัด ทันทีที่สัมผัสกันพวกมันก็ถูกสลายไปในทันที ไม่อาจทำได้กระทั่งชะลอลำแสงของลั่วสุ่ยให้ช้าลงเสียด้วยซ้ำ
“ไม่มีทาง!”
ใบหน้าของมู่จวินแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาอยากจะตะโกนออกมาว่า ‘ท่านปู่ช่วยข้าด้วย’ แต่ยังไม่ทันไรลำแสงนั้นก็พุ่งถึงตัวเขาแล้ว!
บึ้ม!
เลือดสาดกระเช็น ร่างกายของมู่จวินทั้งหมดระเบิดออก เศษเลือดและเนื้อกระเด็นใส่ใบหน้าของมู่ขุยที่อยู่ด้านข้าง!
ทว่าอย่างไรมู่ขุยก็เป็นเทียนตี้ผู้หนึ่ง เขาตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว รีบปกป้องวิญญาณของมู่จิวนเอาไว้ทันที ไม่ให้สลายหายไป!
“รนหาที่ตาย!”
มู่ขุยโกรธเป็นอย่างมาก ลั่วสุ่ยเกือบจะลงมือฆ่าหลายชายของเขาต่อหน้าเขา มู่ขุยโกรธเสียจนดวงตากลายเป็นสีแดงก่ำ
นอกจากนี้ ภายในใจของเขาเองก็รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก ลั่วสุ่ยเป็นใครกัน? เหตุใดจึงน่าหวาดกลัวถึงเพียงนี้!?
แม้ว่าเมื่อครู่เขาจะยังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดของตนเอง แต่ก็ไม่น่าจะใช่สิ่งที่ลั่วสุ่ยสามารถต้านทานได้!
ทว่าเมื่อครู่เขากลับไม่อาจสกัดกั้นการโจมตีของลั่วสุ่ยได้!
“หากยังกล้าพูดอีกสักคำ เจ้าจะไม่รอดอย่างแน่นอน!”
ลั่วสุ่ยมองดูวิญญาณของมู่จวินด้วยความเย็นชา “อย่าคิดว่าปู่ของเจ้าจะปกป้องเจ้าได้ หากข้าต้องการจะสังหาร แม้กระทั่งปู่ของเจ้าก็ไม่อาจปกป้องเจ้าเอาไว้ได้!”
มู่ขุยไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด ลั่วส่ยเองก็ไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดเช่นเดียวกัน
เป็นดั่งที่นางกล่าว หากนางต้องการจะสังหารมู่จวิน แม้ว่ามู่ขุยจะทุ่มพลังทั้งหมด เกรงว่าก็ไม่อาจจะช่วยมู่จวินเอาไว้ได้!
วิญญาณของมู่จวินสั่นสะท้าน ภายในใจเกิดความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด ครั้งนี้เขาหวาดกลัวจริง ๆ เขาเกือบจะตายลงไปโดยสมบูรณ์แล้ว!
เขาไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ปิดปากตนเองแน่นสนิท
“ฆ่า!”
มู่ขุยกระตุ้นพลังทั้งหมดในร่างขึ้นไปอยู่ในสภาวะสูงสุด ก่อนจะพุ่งใส่ลั่วสุ่ยด้วยความต้องการฆ่า
เขาจะต้องทำให้ลั่วสุ่ยชดใช้อย่างสาสม!
บทที่ 527
พลังของเทียนตี้สั่นสะเทือนฟ้าดิน พื้นสมุทรเดือดพล่าน มู่ขุยลงมืออย่างบ้าคลั่งด้วยสีหน้าไม่แยแส จิตสังหารเปี่ยมล้นหนักหน่วง
ฝ่ามือของเขาเปล่งแสง ปรากฏแสงแวววาบดั่งอสนีบาต ประหนึ่งสามารถทำลายท้องนภาได้ภายในครั้งเดียว!
ตู้ม!
ทะเลเหนือระเบิด ก่อให้เกิดคลื่นพุ่งสูงเสียดฟ้า!
ลั่วสุ่ยกระโจนออกจากก้นทะเล มู่ขุยพุ่งตามมาสังหาร เขาสำแดงวิชาอันยอดเยี่ยมออกมา ฟ้าดินคล้ายตอบรับ อักขระมากมายรายล้อม ราวกับเป็นร่างจำแลงของจักรพรรดิของสวรรค์และโลก บงการได้ทุกสรรพสิ่ง พลังที่แผ่ออกมาจากร่างสามารถบดขยี้ได้กระทั่งท้องนภา
ความว่างเปล่าระเบิดออก อสนีบาตฟาดลงมา ฟ้าดินเปลี่ยนเป็นสีมืดมิดดำสนิท น่ากลัวเสียยิ่งกว่าวันโลกาวินาศ!
สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่านี่ไม่ใช่สายฟ้าจริง ทว่ามันก็น่ากลัวยิ่งกว่าสายฟ้าจริงนับหมื่นเท่า บนอสนีบาตแต่เส้นสลักดด้วยอักขระอันสลับซับซ้อน พลังที่ไหลเวียนอยู่ด้านในน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง!
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือ กฎวิถีสวรรค์ก็คล้ายกับจะเกี่ยวข้องกับอสนีบาตเหล่านี้ ราวกับมันสั่นพ้องกับอักขระบนสายฟ้า เกิดเป็นระลอกคลื่นพลังงานอันผันผวนที่แสนน่ากลัว!
ด้วยเคล็ดวิชานี้ เกรงว่ากระทั่งเทียนตี้ทั่วไปยังไม่กล้าจะต้านรับ เลือกหลบหลีก มิเช่นนั้นพวกเขาอาจถูกกลบฝังส่งใต้สายอสนีบาตเหล่านี้!
เสียงฟ้าร้องดังสั่นกึกก้อง ลั่วสุ่ยยืนนิ่งอยู่บนท้องนภา ใบหน้าของนางสงบนิ่งไร้ร่องรอยแห่งอารมณ์
ร่างของนางถูกรายล้อมด้วยแสงอันเจิดจ้างดงาม ชุดสีขาวพลิ้วไหวตามสายลม ใบหน้างดงามไร้ที่ติ ประหนึ่งนางเซียนจุติลงมาจากสรวงสวรรค์
อสนีบาตพุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็ว เพียงแค่เสียงฟ้าร้องก็สามารถทำให้หลายคนไม่อาจทนรับได้ วิญญาณแตกดับพังทลายลงไป ทว่าลั่วสุ่ยยังคงยืนสงบนิ่งไม่มีการเคลื่อนไหวใด
มันใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แต่เมื่อมันกำลังจะถึงตัวของลั่วสุ่ย นางก็เริ่มเคลื่อนไหว!
หญิงสาวไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรมากมาย เพียงแค่วาดแขนตัวเองออกเบา ๆ เป็นวงราวกับกำลังจะออกวิชามวยสักอย่าง!
ลมหายใจของนางสงบนิ่ง ไม่มีการปะทุพลังออกมายกใหญ่ เป็นดั่งสายน้ำอ่อนที่ไหลริน
แต่แขนที่นางกวัดแกว่งกลับมีกฎเกณฑ์บางอย่างปรากฏขึ้น อสนีบาตอันน่าสยดสยองเมื่อสัมผัสแขนของนางก็สลายไปหลงเหลือเพียงอักขระ ก่อนจะเลือนหายไปอย่างสมบูรณ์!
“นี่มัน...อะไรกัน!?”
รูม่านตาของมู่ขุยหดลงอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา บนใบหน้าชราเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ!
นี่มันวิชามวยอะไรกัน? หรือว่าจะเป็นวิชามวยระดับเซียน? เหตุใดจึงน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้ เพียงอีกฝ่ายวาดท่ามือก็สามารถสลายสายฟ้าของเขาหายไปจนหมดสิ้น!
มันเป็นเรื่องไม่น่าเชื่ออย่างยิ่งสำหรับเขา วิชามวยที่ลั่วสุ่ยแสดงออกมานั้น เขาสัมผัสได้ถึงเจตจำนงมวยที่เหนือยิ่งกว่าระดับเทียนตี้ หรือว่านี่จะเป็นวิชามวยระดับเซียน!?
“เป็นไปไม่ได้!”
เขาไม่เชื่อว่านี่จะเป็นวิชามวยระดับเซียน! จะเป็นวิชามวยระดับเซียนได้อย่างไร! ตั้งแต่ไหนแต่ไรเซียนเป็นเพียงตำนานเล่าขาน ไม่เคยปรากฏตัวขึ้นจริง เช่นนั้นจะไปมีวิชามวยระดับเซียนได้อย่างไร!
แต่ไม่ว่าอย่างไร วิชามวยนี้จะต้องเหนือชั้นไม่ธรรมดาเป็นอย่างมากแน่นอน ชั่วพริบตานั้นเองดวงตาของเขาก็ปรากฏประกายวาววับ ความคิดโลภบังเกิด เขาต้องการวิชามวยนี้!
ครืน!
น้ำทะเลกระเพื่อมอย่างรุนแรง เขายื่นมือข้างหนึ่งออกไป ก่อนจะมีบางสิ่งลอยออกมาจากก้นทะเล มันคือทวนยาวเล่มนี้ที่มีแสงสว่างลอยวนเวียนพร่างพราว!
มันคือศาสตราวิเศษล้ำค่าของเผ่ามัจฉาสัตมายา นามว่าสยบคีรี ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเป็นถึงหนึ่งในเก้ามหาศาสตราของอาณาจักรอวี้ซวี ถูกจัดไว้ว่าอยู่ลำดับที่หก มีพลังอันน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง!
หากไม่ใช่เพราะทวนเล่มนี้ มู่ขุยคงไม่กล้าจะสู้กับลั่วสุ่ยต่อ เนื่องจากวิชามวยที่ลั่วสุ่ยใช้ทรงพลังมากเกินไป!
สิ่งนี้ทำให้เขาไม่อยากจะเชื่อเป็นอย่างมาก ลั่วสุ่ยอายุน้อยถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงมีพลังอันน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก!?
จนกระทั่งตอนนี้ เขายังไม่อาจทราบได้ว่าลั่วสุ่ยนั้นอยู่ขอบเขตใด!
“ไม่เป็นไร!”
เขากระชับทวนสยบคีรีไว้ในมือ พลังของเขาพุ่งสูงขึ้นทันที ไม่ว่าลั่วสุ่ยจะแข็งแกร่งเพียงใด ภายใต้ทวนสยบคีรีก็ล้วนต้องพ่ายแพ้ปราชัย!
นอกจากนี้เพื่อความปลอดภัย เขายังเปิดใช้ค่ายกลสังหารระดับเทียนตี้ของเผ่าเพื่อใช้จัดการลั่วสุ่ย!
ทั้งทวนสยบคีรีและค่ายกลสังหารระดับเทียนตี้รวมเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือแข็งเกร่งแค่ไหนก็จะต้องถูกปราบปรามลง ไม่สามารถเกิดเหตุไม่คาดฝันใดได้!
ตู้ม!
ค่ายกลสังหารระดับเทียนตี้ที่ถูกเปิดใช้งานเคลื่อนไหวอย่างสุดกำลัง พลังของมันอยู่เหนือเกินกว่าจินตนาการ จิตสังหารแผ่กระจายทั่วฟ้าดิน!
“ฆ่า!”
มู่ขุยถือทวนพุ่งไปด้านหน้า อีกด้านหนึ่งก็เรียกใช้พลังของค่ายกลสังหารระดับเทียนตี้ ระดมโจมตีใส่ลั่วสุ่ย!
ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีของมู่ขุย หรือการโจมตีของค่ายกลสังหารระดับเทียนตี้ ก็ล้วนน่ากลัวทั้งสิ้น หากเป็นเทียนตี้ทั่วไปคงถูกสังหารตายลงในทันที
ทว่าท่าทางของลั่วสุ่ยยังคงสงบนิ่ง ไม่มีความผันผวนใด ๆ
นางยังคงร่ายท่าวิชามวยต่อไปจนครบ สติรับรู้ของนางก้าวกระโดดขึ้นไปอีกขั้นทันที บรรลุถึงขอบเขตเหนือชั้นอันน่าอัศจรรย์!
นี่คือมวยไทเก๊ก มวยที่คุณชายจะตื่นมาชกตอนเช้าทุกวัน วันละรอบสองรอบ นี่ก็เป็นสิ่งที่นางได้เรียนรู้มาจากคุณชาย
คุณชายบอกว่านี่เป็นมวยชนิดหนึ่งในบ้านเกิดของคุณชาย ทั้งลึกล้ำและลึกซึ้ง ผสมผสานหยินหยางและการเปลี่ยนแปลงของธาตุทั้งห้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ฝึกฝนทั้งภายในและภายนอก มีทั้งแข็งและอ่อน เป็นวิชามวยที่คุณชายถ่ายทอดให้นางเป็นพิเศษ
นางตื่นตะลึงเป็นอย่างมากเมื่อได้ฝึกฝนวิชามวยนี้เป็นครั้งแรก แม้การเคลื่อนไหวของวิชามวยนี้จะดูแช่มช้าเป็นอย่างมาก แต่ก็เป็นดังที่คุณชายกล่าว ภายในเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงอันไร้ที่สิ้นสุด มีทั้งแข็งและอ่อน ทรงพลังจนไม่รู้จะบรรยายความน่าหวาดกลัวออกมาอย่างไร!
มวยไทเก๊กมีประวัติอันยาวนานในดาวเคราะห์สีฟ้า ไม่เพียงแต่ทำให้ร่างกายแข็งแรง แต่ยังสามารถฝึกฝนจิตใจ กล่าวได้ว่าเป็นวิชามวยชั้นยอด หลี่จิ่วเต้ารู้สึกว่าหากลั่วสุ่ยฝึกฝนมวยไทเก๊ก อาจสามารถช่วยเหลือลั่วสุ่ยด้านการฝึกตนได้ จึงสอนวิชานี้ให้กับนาง
สำหรับตัวเขาเองนั้น ได้ฝึกฝนมวยไทเก๊กจนถึงจุดสูงสุดสมบูรณ์แล้ว นับได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งด้านมวยไทเก๊ก
มวยไทเก๊กถูกร่ายท่าอย่างแช่มช้า ลั่วสุ่ยกำลังซึมซับความลึกซึ้งของมวยไทเก๊กอย่างเต็มที่ ทั้งยังสังเกตการณ์ไหลเวียนของหยินหยาง ทำลายการโจมตีของค่ายกลสังหารระดับเทียนตี้ทิ้งไปจนหมดสิ้นในทันที โดยไม่เกิดแม้แต่แรงกระเพื่อมของคลื่นพลัง!
ส่วนอีกด้านมู่ขุยพุ่งมาพร้อมกับทวนสยบคีรีในมือ ไม่ต้องกล่าวเลยเขาน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงใด เพียงแค่แทงทวนสยบคีรีออกมาเบา ๆ ก็สามารถนำระดับพลังอันเหนือจินตาการออกมาได้ มันมากพอที่จะสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ควรค่าแก่ชื่อมหาศาสตราอันดับหกแห่งอาณาจักอวี้ซวี!
ทว่าน่าเสียดาย ภายใต้วิชามวยไทเก๊กของลั่วสุ่ยแล้ว ทวนสยบคีรีก็คล้ายกลายเป็นทวนธรรมดา ๆ พลังที่ระเบิดออกมาทั้งหมดถูกวิชามวยไทเก๊กสลายไปสิ้น!
ตู้ม!
ลั่วสุ่ยชกออกมาเบา ๆ แลดูคล้ายไม่มีความแข็งแกร่งแม้แต่น้อย ทว่าแท้จริงแล้วหมัดนั้นน่ากลัวเป็นอย่างมาก ทวนสยบคีรีที่มู่ขุยยกขึ้นมาต้านรับถึงกับแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ด้วยหมัดของลั่วสุ่ย!
“เป็นไปได้อย่างไร!?”
มู่ขุยส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกตะลึง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ!
เพียงหนึ่งหมัดก็สามารถทำลายทวนสยบคีรีได้ จะให้เขายอมรับได้อย่างไร!?
สวรรค์! นี่คือมหาศาสตราอันดับที่หกของอาณาจักรอวี้ซวี!
พริบตานั้นเอง ร่างกายของเขาเย็นยะเยือก ความหนาวเหน็บแล่นไล่จากฝ่าเท้าไปจนถึงเหนือหัว ภายในใจของเขาตื่นตะลึงหวาดหวั่นอย่างถึงที่สุด!
ลั่วสุ่ยสามารถทำลายทวนสยบคีรีได้ด้วยหมัดเดียว แล้วตัวเขาจะเอาอะไรมาเป็นคู่ต่อกรของลั่วสุ่ยได้?
ความต่างชั้นมีมากจนเกินไปจนไม่อาจเปรียบเทียบได้!
เขา...เขาได้พบกับผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่ควรยั่วยุเสียแล้ว!
บทที่ 528
อัดทวนสยบคีรีจนแหลกด้วยหมัดเดียว ใช่คนระดับที่เขายั่วยุได้หรือ
อย่าให้พูดเลยว่าในใจมู่ขุยรู้สึกย่ำแย่เพียงใด อาณาจักรอวี้ซวีมีตัวละครโหดปานนี้ตั้งแต่เมื่อใด ซ้ำยังเยาว์วัยถึงเพียงนี้!
“ทวนสยบคีรี…แหลกไปแล้ว!?”
“เป็นไปได้อย่างไร!”
เสียงอุทานด้วยความแตกตื่นดังขึ้นใต้สมุทรเป็นระลอก สมาชิกเผ่ามัจฉาสัตมายาล้วนไม่อาจเชื่อภาพที่พวกเขาเห็นได้ลง!
ทวนสยบคีรี คือยอดศาสตราเก่าแก่ในเผ่าพวกเขา เลื่องชื่อไปทั่วอาณาจักรอวี้ซวี เป็นอันดับหกในทำเนียบศาสตรา หนึ่งทวนลบล้างสุริยันจันทรา หนึ่งทวนอุบัติเอกภพ บัดนี้กลับปวกเปียกราวกับกระดาษ ถูกลั่วสุ่ยอัดจนแหลกลาญในหมัดเดียว ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ!
“นางเซียนหรือ!?”
พวกเขาสั่นไปทั้งตัว หวาดหวั่นใจเหลือแสน ต่างเข้าใจว่าลั่วสุ่ยเป็นนางเซียนท่านหนึ่งที่จุติลงมายังโลกมนุษย์!
หากมิใช่ท่านเซียน ไฉนถึงน่าประหวั่นพรั่นพรึงปานนี้!?
ความสามารถเกินกว่าที่พวกเขาเคยรับรู้มาทั้งหมด!
พวกเขาต่างคิดไม่ถึงว่าลั่วสุ่ยจะน่ากลัวถึงเพียงนี้ แต่มัจฉาสัตมายานั้นรู้อยู่แล้ว
เขาตระหนักดีว่าพี่ลั่วสุ่ยแข็งแกร่งน่าทึ่งปานใด อย่าว่าแต่มู่ขุยใช้ทวนสยบคีรีเลย ต่อให้ใช้ศาสตราอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรอวี้ซวี ก็ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของพี่ลั่วสุ่ย!
เขามิได้อยู่รอพี่ลั่วสุ่ยกำราบมู่ขุย แต่เหินตรงไปยังทิศทางของคุกใต้ดิน ท่านพ่อท่านแม่ของเขาต่างหากที่สำคัญที่สุด เขาต้องไปช่วยท่านพ่อท่านแม่ของเขา
ระหว่างทาง มิมีผู้ใดกล้าขวาง รวมถึงกำลังรบเหนือขอบเขตมหาจักรพรรดิก็เช่นกัน
น่าขัน พี่ลั่วสุ่ยอัดทวนสยบคีรีจนแหลกในหมัดเดียว ต้องเก่งกาจถึงขั้นไหน ขวางทางเขาเท่ากับรนหาที่ตาย มิมีผู้ใดกล้าหยุดยั้งเขาอยู่แล้ว
ไม่นานนักก็มาถึงคุกใต้ดิน
คุกใต้ดินตั้งอยู่ในเบื้องลึกมหาสมุทร มีด้วยกันทั้งหมดสิบแปดชั้น แต่ละชั้นยิ่งลึกลงไปเรื่อย ๆ เขาพุ่งเข้าไปทันที
“มู่ชวน เจ้าเองหรือ! เกิดอะไรขึ้นข้างนอกนั่น!?”
แต่ละชั้นในที่แห่งนี้ล้วนมียอดฝีมือเฝ้าระวังอยู่ หลังยอดฝีมือชั้นแรกเห็นมัจฉาสัตมายาพุ่งเข้ามาก็ตื่นตกใจ เกินคาดไปมาก
เขาไม่รู้ว่าด้านนอกเกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง เพียงแต่สัมผัสได้ว่าด้านนอกมีการต่อสู้สุดสยองดำเนินอยู่
นักโทษที่ถูกคุมขัง ณ ที่นี่มีอยู่มากมาย หากไม่มีคำสั่ง พวกเขาไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ตามอำเภอใจ
เขาได้ลองคลี่แผ่ญาณสัมผัสออกไปตรวจจับดูแล้วว่าข้างนอกนั่นเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นบ้าง กระนั้นเขาไม่อาจทำได้เลย
บัดนี้ทั่วทั้งทะเลเหนืออบอวลไปด้วยคลื่นพลังน่ากลัวเกินจินตนาการ ญาณสัมผัสของเขาได้รับผลกระทบอย่างมาก ไม่อาจคลี่แผ่ออกไปได้
นอกจากนี้แล้ว ศาสตราสื่อสารก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ได้รับผลกระทบอย่างมาก ไม่อาจใช้ได้ตามปกติ
เรียกได้ว่าเขาไม่รู้เรื่องสถานการณ์ด้านนอกเลย
“หลีกไป!”
มัจฉาสัตมายามิได้เอ่ยให้มากความ เขาเพียงแต่ต้องการรีบพบหน้าท่านพ่อท่านแม่ของเขาให้ไวที่สุด
เขาลงมือทันที รีดเร้นกำลังในกายตน กำราบยอดฝีมือผู้นี้ ก่อนจะพุ่งลงไปที่ชั้นต่อไป
ชั้นแล้วชั้นเล่า รวมแล้วสิบห้าชั้น เขาไม่ได้พบกับอุปสรรคแต่อย่างใด ยอดฝีมือที่เฝ้าระวังแต่ละชั้นมิใช่คู่ต่อสู้ของเขา ถูกเขากำราบกันทั้งสิ้น
ทว่า เขายังไม่พบพ่อแม่ของเขา
แต่เขารู้แล้วว่าท่านพ่อท่านแม่อยู่ชั้นที่เท่าไร
ท่านพ่อท่านแม่ของเขาอยู่ชั้นที่สิบแปด ชั้นล่างสุดของคุกใต้ดิน ที่นั่นคุมขังตัวหัวหน้าเผ่าและเหล่าผู้อาวุโสไว้ มู่ขุยลอกเกล็ดดึงเส้นเอ็นของพ่อแม่เขาออก และแขวนไว้ในชั้นสิบแปด เพื่อให้หัวหน้าเผ่าและบรรดาผู้อาวุโสยอมจำนน
เขามิได้ลังเล มุ่งหน้าลงไปจนถึงชั้นที่สิบหก
เมื่อมาถึงชั้นสิบหก เขาพบอุปสรรคเข้า ยอดฝีมือที่เฝ้าระวังที่นี่เป็นระดับจักรพรรดิ ทรงพลังอย่างยิ่งยวด
“เจ้าเองหรอกหรือ!”
หลังจักรพรรดิผู้นี้ได้เห็นมัจฉาสัตมายาก็ตกตะลึง คิดไม่ถึงอย่างมาก
ประสาทสัมผัสจักรพรรดิของเขาได้รับผลกระทบมากเช่นกัน สัมผัสได้เพียงราง ๆ ว่าใครบางคนบุกทะลวงคุกใต้ดินลงมาทีละชั้น แต่สัมผัสมิได้ว่าเป็นผู้ใด
แต่เรื่องที่เขาคิดไม่ถึงเลยก็คือ คนผู้นี้กลับเป็นมัจฉาสัตมายา!
เขาจะคาดถึงได้อย่างไร?
มัจฉาสัตมายาเป็นเพียงคนรุ่นหลังซึ่งยังวัยเยาว์ บุกทะลวงทีเดียวสิบห้าชั้นจนมาถึงจุดที่เขาอยู่ได้อย่างไรกัน
เรื่องอื่นไม่ต้องกล่าวถึง ลำพังชั้นก่อนหน้าเขา มีผู้เฝ้าระวังเป็นว่าที่จักรพรรดิ มัจฉาสัตมายาทำได้อย่างไรกัน
หรือว่ามัจฉาสัตมายาบรรลุเป็นจักรพรรดิแล้ว?
ชั่วขณะนั้น เขาให้ความสำคัญกับมัจฉาสัตมายาขึ้นมาก รีดเร้นพลังทั้งกาย เตรียมต่อสู้กับมัจฉาสัตมายา
“อย่าขวางข้า มู่ขุยยังมิใช่ศัตรูของพี่สาวข้า เจ้าอย่าหาเรื่องใส่ตัวดีกว่า!”
มัจฉาสัตมายาบอกกับจักรพรรดิผู้นั้น
พี่สาวหรือ?
มัจฉาสัตมายามีพี่สาวตั้งแต่เมื่อไร พ่อแม่ของเขามีทายาทเพียงตนเดียว นั่นก็คือมัจฉาสัตมายา!
“จงใจปั้นเรื่องพี่สาวมาหลอกข้าหรือ เจ้าคิดว่าข้าหลอกง่ายปานนั้นเชียว”
จักรพรรดิผู้นั้นหันมองมัจฉาสัตมายา ไม่เชื่อคำกล่าวของมัจฉาสัตมายาแม้แต่น้อย
จะให้เขาเชื่อได้อย่างไร!
หัวหน้าเผ่ามู่ขุยก้าวสู่ขั้นเทียนตี้แล้ว ต่อให้มัจฉาสัตมายามีพี่สาวจริง แต่จะเป็นไปได้อย่างไรที่เป็นคู่ต่อสู้ของหัวหน้ามู่ขุยได้
เป็นไปมิได้เลย
“บังอาจนัก ยังไม่รีบคุกเข่าโขกศีรษะขอขมาอีก!”
เวลานั้นเอง เสียงตวาดเย็นเยียบดังขึ้น และเจ้าของเสียงเหินมาทางนี้อย่างรวดเร็ว
จักรพรรดิผู้นี้มองปราดเดียวก็จำได้ว่าเจ้าของเสียงคือผู้ใด เขาคือผู้อาวุโสสายของพวกเขา
“ใช่แล้ว รีบคุกเข่าโขกศีรษะขอขมาเสีย เช่นนี้เจ้าจะได้เจ็บตัวน้อยลงหน่อย!”
เขาตวาดเสียงเย็นใส่มัจฉาสัตมายา เข้าใจว่าผู้อาวุโสสายเขาต่อว่ามัจฉาสัตมายา
แต่หารู้ไม่ ผู้อาวุโสสายเขากลับหวดฝ่ามือใส่เขา เล่นเอาเขาเกือบตาย!
“ผู้อาวุโส ท่าน…ท่านหวดผิดคนหรือไม่!?”
เขานอนราบกับพื้น ลุกยืนไม่ไหว เลือดเนื้อทั้งตัวแหลกเหลวจนแยกไม่ออก อนาถาเกินกว่าจะทนมองไหว เขาอดไม่ไหว ร่ำไห้บอกกับผู้อาวุโสผู้นั้น
อ๊าก ๆๆ เขาโชคร้ายไปหรือไม่
หวดผิดตนเช่นนี้ได้ด้วยหรือ!?
ด้านนี้รวมแล้วมีเพียงเขากับมัจฉาสัตมายาอยู่สองตนเท่านั้น!
นาทีนี้ เขารู้สึกแย่เป็นอย่างมาก ทักทายผู้อาวุโสท่านนี้ด้วยวาจา ‘สวยหรู’ มากมายในใจ
“หวดเจ้านั่นแหละ! เมื่อครู่ข้าหมายความว่าให้เจ้าคุกเข่าโขกศีรษะขอขมา!”
ผู้อาวุโสท่านนี้เอ่ยกับจักรพรรดิผู้นั้นด้วยเสียงโหดเหี้ยม
ทันใดนั้น เขานึกได้ว่าสมาชิกในคุกใต้ดินอาจยังไม่รู้ว่าข้างนอกเกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง เขารีบเดินทางมาเพราะกลัวว่าสมาชิกในคุกใต้ดินจะทำอะไรให้มัจฉาสัตมายาโมโห
ให้ตายสิ ขืนทำให้มัจฉาสัตมายาโมโห น่ากลัวว่าสายพวกเขาต้องตายกันหมด!
อย่างที่คิด สมาชิกในคุกใต้ดินเป็นดั่งที่เขาคิด ไม่รู้เรื่องเลยว่าข้างนอกมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นบ้าง
จักรพรรดิตรงหน้าผู้นี้ยังบังอาจตวาดให้มัจฉาสัตมายาคุกเข่าโขกศีรษะขอขมา เขาไม่ตบจักรพรรดิผู้นี้ให้ตายในฝ่ามือเดียวก็ดีเท่าไรแล้ว!
“หา?”
จักรพรรดิผู้นั้นสับสน นี่มันเรื่องอันใดกัน ให้เขาคุกเข่าโขกศีรษะขอขมาอย่างนั้นหรือ?
หรือที่ว่ามัจฉาสัตมายามีพี่สาว ซ้ำหัวหน้ามู่ขุยของเขามิใช่คู่มือของพี่สาวมัจฉาสัตมายาจะเป็นความจริง!?
เขาคิดอย่างอดมิได้ อย่าให้พูดเลยว่าในใจนั้นหวาดกลัวเพียงใด
“หาอะไรเล่า ยังไม่รีบคุกเข่าโขกศีรษะขอขมาอีก!”
ผู้อาวุโสท่านนั้นตวาดเสียงกริ้ว
“ขอขมาอันใดกัน! ยังไม่รีบนำทางข้าไปอีก!”
มัจฉาสัตมายาโบกเข้าที่ศีรษะของผู้อาวุโสท่านนั้น สั่งให้ผู้อาวุโสท่านนั้นเดินนำทางเขาไป
เขามิได้สนใจอยากให้จักรพรรดิผู้นั้นโขกศีรษะขอขมาเขา ยามนี้เขาเพียงต้องการรีบไปพบท่านพ่อท่านแม่ของเขาโดยไว!
บทที่ 529
“จะนำทางให้เดี๋ยวนี้!”
ผู้อาวุโสผู้ถูกโบกยิ้มแก้มปริเอาใจ ปราศจากความโกรธเกรี้ยว เขามิกล้าแสดงโทสะ โมโหใส่มัจฉาสัตมายาในตอนนี้คงต้องตายเท่านั้น
เขารีบเดินอยู่ด้านหน้าสุด เพื่อนำทางให้มัจฉาสัตมายา รุดหน้าไปยังคุกใต้ดินชั้นสิบแปด
อีกด้าน ลั่วสุ่ยวาดลวดลายมวยไทเก๊ก กฎระเบียบสูงส่งอย่างหามิได้นั้นน่าทึ่งขึ้นเรื่อย ๆ แทบมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
มู่ขุยสติหลุดลอยตั้งแต่ลั่วสุ่ยทำลายทวนสยบคีรีในหมัดเดียว เขาไม่ต้องการ และไม่กล้าสู้กับลั่วสุ่ยต่อ
ทว่าเขาไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจในเรื่องนี้ กฎระเบียบสูงส่งอย่างหามิได้ที่สำแดงออกจากมวยไทเก๊กชักจูงเขาอยู่ตลอด เขาไม่อาจหนีไปไหนได้ ถูกพาตัวเข้าไปอย่างไม่อาจควบคุม ทำได้เพียงยอมรับการต่อสู้กับลั่วสุ่ย
นี่มิใช่พลังที่เขาต่อกรด้วยได้ ห่างชั้นกันจนเกินจินตนาการ เขาเปรียบเสมือนปลาบนเขียง ต้องยอมให้ลั่วสุ่ยเชือดเฉือน ไม่ว่าจะใช้วิชาใด หรือพลังเช่นไรก็สู้ไม่ไหวทั้งนั้น ทุกอย่างล้วนสลายหายไปเมื่อเผชิญกับมวยไทเก๊ก
นี่คือวิชามวยระดับเซียนจริงหรือ
เขาเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นมาอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ เจตจำนงมวยของมวยไทเก๊กน่ากลัวเกินไป!
พรวด! พรวด! พรวด!
เลือดสาดกระเซ็น อย่าให้พูดเลยว่าตัวเขาน่าสังเวชเพียงใด ถูกอัดจนกระอักเลือดคำโต เนื้อกายเทียนตี้สุดแข็งแกร่งยังยับเยินไปหมด เลือดโชกทั้งตัว!
น่ากลัวจริง ๆ เหลือเชื่อเกินไปแล้ว วิชามวย ‘นุ่มนวล’ เยี่ยงนี้ เหตุใดถึงเปล่งพลังออกมาได้น่าสะพรึงเยี่ยงนี้!?
สุดท้ายลั่วสุ่ยเก็บหมัด จบการต่อสู้นี้ สภาพมู่ขุยอนาถอย่างยิ่ง ขืนสู้กันต่อ มู่ขุยได้สูญสิ้นชีวิตแน่
นางจำสิ่งที่เสี่ยวชีบอกนางได้ มู่ขุยต้องเหลือไว้ให้เสี่ยวชีจัดการ นางจะฆ่ามู่ขุยมิได้ แม้ว่านางอยากฆ่ามู่ขุยมากก็ตาม
“อ่อนแอจริง ๆ ต่อยมวยไปยังไม่ถึงครึ่งชุดด้วยซ้ำ…”
นางส่ายหัวเบา ๆ แต่เดิมคิดว่ามู่ขุยซึ่งอยู่ในขั้นเทียนตี้สามารถต่อสู้กับนางได้อย่างหนำใจ ให้นางได้ประจักษ์ถึงพลานุภาพของมวยไทเก๊ก ทว่าน่าเสียดาย นางประเมินความสามารถของมู่ขุยสูงไป และประเมินพลานุภาพของมวยไทเก๊กต่ำไป
หากต่อยมวยไทเก๊กจนครบชุด จักมิใช่สิ่งที่ระดับเทียนตี้รับได้ไหว!
นางตะลึงนิดหน่อย ด้วยวิชามวยไทเก๊ก นางสามารถต่อกรกับเซียนได้เชียวหรือ?
พลังของนางในตอนนี้อยู่ขอบเขตใดกันแน่!?
บรรลุเป็นเซียนแล้วหรือ?
นางไม่รู้ นับแต่นางกลายร่างเป็นมนุษย์ จนได้รับคำชี้แนะนานัปการจากคุณชาย ขอบเขตพลังของนางพุ่งทะยานต่อเนื่อง จนตอนนี้นางไม่รู้แล้วว่านางอยู่ขอบเขตไหน หรือขั้นไหนแล้ว
สิ่งสำคัญคือ ‘ขอบเขต’ ของนางในอดีตต่ำต้อยเกินไป มีความรู้ในขอบเขตสูงส่งเพียงน้อยนิด เฉกเช่นเดียวกับต้นหลิวและก้อนหิน
ส่วนขอบเขตเซียน นางยิ่งรู้น้อยขึ้นไปอีก ไม่อาจคิดไปถึงได้เลย
หลังได้ฟังวาจาของลั่วสุ่ย อย่าให้พูดเลยว่ามู่ขุยสะอึกเพียงใด นี่หรือที่ว่าฆ่าคนเฉือนใจ ถึงได้เอ่ยว่าเขาไม่อาจต้านทานวิชามวยนี้ได้แม้เพียงครึ่งชุด…
เขาคิดว่าเขาแข็งแกร่งมากแล้ว เป็นยอดฝีมือชั้นยอดในอาณาจักรอวี้ซวีมานมนาน ก้าวสู่ขั้นเทียนตี้ มือถือทวนสยบคีรี จนเขารู้สึกว่าเขาคือยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรอวี้ซวี ไม่มีผู้ใดทัดเทียม
แต่เขากลับพ่ายแพ้ให้กับเด็กรุ่นหลังอย่างลั่วสุ่ย ซ้ำยังถูกกล่าวหาว่าอ่อนแอ อย่าให้พูดเลยว่าจิตใจของเขาย่ำแย่ปานใด…
“เสี่ยวชีไปคุกใต้ดินแล้ว”
ลั่วสุ่ยเอ่ยเสียงเบา ตั้งจิตเพียงเสี้ยววินาทีก็รับรู้ว่ามัจฉาสัตมายาไปที่คุกใต้ดิน นางพาตัวมู่ขุยรุดหน้าไปยังคุกใต้ดิน หมายใจให้มัจฉาสัตมายาเป็นผู้จัดการมู่ขุย
สมาชิกทั้งหมดของเผ่ามัจฉาสัตมายาตาโตอ้าปากค้างกันหมด หัวใจสับสนไปหมด ลั่งสุ่ยมาจากไหน เหตุใดถึงแข็งแกร่งได้เพียงนี้!?
สมาชิกเผ่ามัจฉาสัตมายาสายมู่ขุย รวมถึงกลุ่มที่เข้าสวามิภักดิ์ต่อมู่ขุยล้วนมีสีหน้าขมขื่น พวกเขาเข้าใจดีว่าทะเลเหนือนี้ฟ้ากำลังจะเปลี่ยนสีอีกแล้ว และคราวนี้ ฝ่ายที่โชคร้ายคือพวกเขา
พวกเขาอยากหนี แต่จะหนีพ้นหรือ?
เป็นไปได้อย่างไรกัน!
เมื่ออยู่เบื้องหน้าตัวตนอันน่าพรั่นพรึงเหนือจินตนาการอย่างลั่วสุ่ย ต่อให้พวกเขาหนีออกจากทะเลเหนือไปได้ก็ไร้ผล ถูกลั่วสุ่ยจับตัวกลับมาได้ในพริบตาเดียว
คุกใต้ดินชั้นสิบแปด
“ผู้อาวุโสฮู่ ท่านทำอันใด เหตุใดถึงพาเขาเข้ามา ข้างนอกนั่นเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่!?”
ณ ทางเข้า มีคนสกัดมัจฉาสัตมายาและผู้อาวุโสท่านนั้น เขาคือผู้เฝ้าระวังคุกใต้ดินชั้นสิบแปด ขอบเขตพลังกล้าแกร่ง เป็นถึงตี้จวินตนหนึ่ง
“อย่ามาขวางทาง รีบปล่อยให้พวกเราผ่านทาง หัวหน้ามู่ขุย…ไม่สิ ผู้อาวุโสมู่ขุยปราชัยแล้ว!”
ผู้อาวุโสท่านนั้นรีบบอก เดิมจะเรียกมู่ขุยว่าหัวหน้าเผ่า แต่นึกได้ว่ามัจฉาสัตมายาอยู่ข้างกาย เขายังเรียกหัวหน้าเผ่าอยู่อย่างนี้ไม่เหมาะสมนัก จึงเรียกเปลี่ยนจากหัวหน้าเผ่าเป็นผู้อาวุโส
ผู้เฝ้าระวังคุกใต้ดินชั้นสิบแปดไม่เชื่อ สายตาทอประกายคลางแคลงอย่างมาก “ท่านพูดเหลวไหลอะไร หัวหน้ามู่ขุยหรือจะปราชัย มิใช่ว่าท่านแปรพักตร์ไปแล้วหรือ!”
ตึง!
เขาเพิ่งเอ่ยจบประโยค ลั่วสุ่ยก็พาตัวมู่ขุยมาถึงที่นี่ นางเหวี่ยงมู่ขุยลงพื้น มู่ขุยเจ็บจนร้องลั่น
“หัวหน้าเผ่า!”
ผู้เฝ้าระวังคุกใต้ดินชั้นสิบแปดตกอกตกใจ รีบวิ่งมาหามู่ขุย ประคองมู่ขุยขึ้น เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหัวหน้าเผ่ามู่ขุยจะพ่ายแพ้จริง ๆ ซ้ำยังพ่ายแพ้อย่างหมดสภาพ ตายแหล่มิตายแหล่!
มัจฉาสัตมายามิได้สนใจ เขาในตอนนี้รีบร้อนอยากพบหน้าพ่อแม่ เขาวิ่งเข้าไป
คุกใต้ดินชั้นสิบแปดมีห้องขังมากมาย จองจำหัวหน้าเผ่าและผู้อาวุโสทั้งหลายไว้ ส่วนพ่อแม่ของเขาถูกจับห้อยตัวไว้ที่ตรงกลางของคุกใต้ดิน เลือดเนื้อเละเหลวรวมกันทั้งตัวจนมองไม่เห็นหน้าตา ซ้ำยังมีโลหิตหยดลงมา!
“ท่านพ่อ ท่านแม่!”
มัจฉาสัตมายาวิ่งร่ำไห้เข้าไป น้ำตานองหน้า เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าการพบหน้าพ่อแม่อีกครั้งจะเป็นไปในภาพการณ์เยี่ยงนี้!
เขารีบใช้พลังตัดเชือกที่ตรึงร่างท่านพ่อท่านแม่ แล้วค่อย ๆ วางท่านพ่อท่านแม่ลงอย่างระมัดระวัง
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกอกตัญญู!”
มัจฉาสัตมายาเอ่ยเสียงร่ำไห้ หัวใจร้าวรานเกินทน ท่านพ่อท่านแม่ของเขาอนาถาเกินไปแล้ว ถูกลอกเกล็ดออกไปทั้งหมด เลือดเนื้อเปิดเผยอยู่ข้างนอก
“ชวนเอ๋อร์ ใช่เจ้าหรือไม่ เจ้าปลอดภัยก็ดีแล้ว…”
มารดาของเขาปริปากอย่างยากลำบาก นางถูกทรมานมาอย่างแสนสาหัส สภาพของนางย่ำแย่ถึงขีดสุด ที่เหลืออยู่ในยามนี้เป็นเพียงลมหายใจสุดท้าย
นี่แหละผู้เป็นมารดา แม้ว่าตัวเองนั้นถูกทรมานเพียงใด ในใจก็ยังห่วงหาแต่เพียงลูกของตน นาทีนี้เห็นว่ามัจฉาสัตมายาไม่เป็นไร นางเผยรอยยิ้มดีใจ
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าตัวเล็กต้องไม่เป็นไร!”
บิดาของเขาฝืนหัวเราะออกมาหนึ่งเสียง ในใจห่วงหามัจฉาสัตมายาอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นว่ามัจฉาสัตมายาปลอดภัย ในที่สุดก้อนหินในใจของเขาก็ถูกยกออกไปได้อย่างสิ้นเชิง
ลั่วสุ่ยได้เห็นท่าทางท่านพ่อท่านแม่ของเสี่ยวชีแล้ว หัวใจปวดร้าวเหลือแสน มู่ขุยโหดเหี้ยมอำมหิต ปราศจากความรู้สึกผิดชอบชั่วดี กับเผ่าพันธุ์เดียวกันยังลงมืออย่างโหดร้ายถึงเพียงนี้ น่าชิงชังจริง ๆ!
นางรีบหยิบแอปเปิ้ลออกมาสองลูก ยื่นให้ท่านพ่อท่านแม่ของเสี่ยวชี
นี่คือผลแอปเปิ้ลของต้นแอปเปิ้ลที่คุณชายปลูกในลาน แต่เดิมต้นแอปเปิ้ลต้นนั้นวิเศษสูงส่ง หลังผ่านการดูแลจากคุณชายไปแล้วระยะหนึ่ง ต้นแอปเปิ้ลนี้ยิ่งทวีความอัศจรรย์
ขอเพียงท่านพ่อท่านแม่ของเสี่ยวชีกินแอปเปิ้ลนี้เข้าไป ไม่ว่าท่านพ่อท่านแม่ของเสี่ยวชีบาดเจ็บหนักหนาปานใด ก็ฟื้นคืนสภาพได้อย่างสมบูรณ์
“ท่านลุง ท่านป้า พวกท่านกินแอปเปิ้ลก่อนเถิด!” นางเอ่ย
แอปเปิ้ลสองลูกนี้กลมกลึงฉ่ำวาว เปลือกนอกแดงสุกจนทั่ว น่ากินเป็นหนักหนา ซ้ำขุมปราณชีวิตที่แผ่ซ่านออกมานั้นมหาศาลจนเกินจะจินตนาการออก
นี่หรือคือผลเซียน?
บิดามารดาของมัจฉาสัตมายาตะลึง ขุมปราณชีวิตที่แผ่ซ่านออกจากแอปเปิ้ลสองลูกนี้เข้มข้นน่าทึ่งยิ่งกว่าโอสถเทียนตี้เสียอีก!
พวกเขามีที่มาอย่างไรกันแน่!
หัวใจมู่ขุยเต้น ‘ตึกตัก’ เขาไปยุ่งกับผู้ที่ไม่ควรยุ่งด้วยแล้วจริง ๆ นำผลเซียนออกมาสองผลได้โดยไม่คิดมาก ลั่วสุ่ยมีภูมิหลังและรากฐานเช่นไรกันแน่!?
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านกินเถิด นี่คือพี่ลั่วสุ่ย เป็นผู้ที่ข้านับเป็นพี่สาว รายละเอียดรอให้ท่านพ่อท่านแม่ฟื้นตัวกลับมาแล้ว ข้าค่อยเล่าให้พวกท่านฟัง”
มัจฉาสัตมายาบอกกับบิดามารดาของเขา
“ล้ำค่ายิ่ง…”
บิดามารดาของเขายังไม่อยากกินเท่าไร เพราะรู้สึกว่าออกจะเปลืองไปหน่อยหากกินจริง ๆ ถึงอย่างไรแอปเปิ้ลสองลูกนี้ก็อัศจรรย์อย่างยิ่งยวด
“จะเป็นการเปลืองได้อย่างไรเล่า! พวกท่านรีบกินเข้าเถิด!”
ด้วยการยืนกรานของมัจฉาสัตมายา สุดท้ายท่านพ่อท่านแม่ของเขาก็กินแอปเปิ้ลเข้าไปทั้งคู่
และทันทีที่พวกเขากินแอปเปิ้ลเข้าไป ประกายเจิดจ้ามากมายแวววับออกจากเนื้อตัวพวกเขา ขณะเดียวกัน ยังมีพลังอันนุ่มนวลไหลเวียนไปทั่วร่างพวกเขาอีกด้วย คอยฟื้นบำรุงร่างกายพวกเขา
“พี่ลั่วสุ่ย ท่านช่วยข้าไว้มากขนาดนี้ ข้าไม่มีสิ่งใดตอบแทน ขอเลี้ยงปลาพี่ลั่วสุ่ยสักตัวแล้วกัน”
มัจฉาสัตมายาหมายหัวมู่ขุย บอกกับลั่วสุ่ย
ลั่วสุ่ยคลี่ยิ้ม “ข้าไม่กินปลาดิบ”
“ไม่มีปัญหาพี่ลั่วสุ่ย ข้าเองอาศัยในลานเล็กมาตั้งนาน เห็นเป็นประจำย่อมได้รับความรู้มาบ้าง คิดแล้วปลาที่ข้าปรุงรสชาติคงไม่แย่เท่าใด”
มัจฉาสัตมายาหัวเราะคิกคัก
จาบจ้วงเบื้องบน ซ้ำร้ายยังลอกเกล็ด ดึงเอ็นท่านพ่อท่านแม่ของเขา มู่ขุยต้องตาย!
ลั่วสุ่ยเอ่ยยิ้ม ๆ “ก็จริง ฮ่า ๆ เช่นนั้นข้าจักตั้งตารอปลาที่เจ้าปรุง”
แม่เจ้า!
นี่จะตุ๋นเขากินหรือ?
มู่ขุยขนลุกขนพอง อย่าให้พูดเลยว่าหวาดหวั่นใจเพียงใด
อีกด้าน ผู้เฝ้าระวังคุกใต้ดินชั้นสิบแปดและผู้อาวุโสท่านนั้นก็ผงะไปเช่นกัน
มัจฉาสัตมายาอาศัยอยู่ในลานเล็กแบบใดกัน?
เห็นเป็นประจำย่อมได้รับความรู้มาบ้าง…หมายถึงการปรุงปลาหรือ
นี่มันเรื่องอันใดกัน พวกเขาอยากบอกเหลือเกินว่า เจ้าเองก็เป็นปลาตัวหนึ่ง เรียนรู้เรื่องแบบนั้นไปเพื่อกระไร!
มัจฉาสัตมายาโบกเข้าที่ศีรษะผู้อาวุโสท่านนั้น “มัวนิ่งอึ้งอันใดอยู่ รีบไปตั้งกระทะทอดน้ำมันให้ข้าเร็วเข้า!”
บทที่ 530
ตั้งกระทะทอดน้ำมัน นี่คิดจะตุ๋นกันจริงหรือ?
ผู้อาวุโสท่านนั้นตกตะลึง เดิมคิดว่ามัจฉาสัตมายาแค่ขู่มู่ขุยเท่านั้น ไม่คิดเลยว่ามัจฉาสัตมายาพูดจริง ๆ
เขามิกล้ารีรอ รีบออกจากตรงนี้ไปเตรียมกระทะ ขืนมัวชักช้า เขากลัวว่ามัจฉาสัตมายาจะจับมันไปต้มด้วย!
“เจ้ามัวยืนอึ้งอะไรอยู่ ยังไม่รีบปล่อยหัวหน้าเผ่าและบรรดาผู้อาวุโสออกมาอีก!”
มัจฉาสัตมายาถลึงตาใส่ผู้เฝ้าระวังชั้นสิบแปด เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
ผู้เฝ้าระวังผู้นั้นได้สติในฉับพลัน รีบปิดผนึกทั้งหมดในห้องขัง หัวหน้าเผ่าและผู้อาวุโสทั้งหลายที่เคยถูกจองจำพากันเดินออกจากห้องขัง
พวกเขามีสีหน้าประหลาด คาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าสุดท้ายแล้วผู้ที่ช่วยพวกเขาออกมาจะเป็นมัจฉาสัตมายา และพวกเขาต่างเห็นลั่วสุ่ยนำแอปเปิลสองลูกที่เสมือนผลเซียนออกมาให้บิดามารดาของมัจฉาสัตมายากิน ลั่วสุ่ยผู้นี้เป็นตัวตนลึกล้ำเกินหยั่งระดับไหนกันอีกล่ะนี่!?
“หัวหน้าเผ่า!”
มัจฉาสัตมายาทำความเคารพหัวหน้าเผ่าอย่างนบนอบ มิได้เสียมารยาทต่อหัวหน้าเผ่าเพียงเพราะเขาในตอนนี้แตกต่างจากในอดีต
หัวหน้าเผ่าดีต่อเขามาก เขาเองก็นับถือหัวหน้าเผ่ามากเช่นกัน ในใจของเขา หัวหน้าเผ่าคือหัวหน้าของเผ่ามัจฉาสัตมายาตลอดไป
“ข้าเคยเป็นห่วงเจ้า บัดนี้ดูแล้วความเป็นห่วงเหล่านั้นหาได้จำเป็นไม่ เจ้าอยู่ข้างนอกมีพัฒนาการที่ดียิ่งขึ้น”
หัวหน้าเผ่าพยักหน้ายิ้ม ๆ ให้มัจฉาสัตมายา ดีใจแทนมัจฉาสัตมายาอย่างสุดซึ้ง
“ท่านนี้คือ?”
เขาหันมองลั่วสุ่ย ให้มัจฉาสัตมายาช่วยแนะนำให้เขารู้จัก
“นี่คือพี่สาวของข้า พี่ลั่วสุ่ย ส่วนเรื่องอื่น…หัวหน้าเผ่าโปรดอภัย ข้าไม่สะดวกบอกไปมากกว่านี้”
มัจฉาสัตมายาแนะนำ มิกล้ากล่าวถึงคุณชาย
“ได้ มิเป็นไร”
หัวหน้าเผ่าคลี่ยิ้ม รู้ขอบเขตดี มิได้คาดคั้นจี้ถามให้ถึงที่สุด มัจฉาสัตมายาเอ่ยถึงขั้นนี้แล้ว คิดแล้วคงไม่สะดวกเอ่ยถึงจริง ๆ
เขาหันมองลั่วสุ่ย เอ่ยขึ้น “สวัสดี”
ลั่วสุ่ยยิ้มน้อย ๆ ตอบอย่างมีมารยาท “สวัสดีหัวหน้าเผ่า”
มู่ขุยหมอบราบอยู่บนพื้น สภาพน่าสังเวช เลือดยังไหลออกมาจากทั้งตัว เขาทอดมองหัวหน้าเผ่า เอ่ยขึ้น “แพ้เป็นเจ้า ชนะเป็นโจร ข้าไม่มีอันใดจะพูด แต่เจ้าตั้งใจให้มู่ชวนต้มข้าจริงหรือ”
เขายอมถูกฆ่าทิ้งเสียดีกว่าถูกจับไปต้ม เขากล่าวต่อ “เจ้าไม่คำนึงถึงผลกระทบบ้างเลยหรือ หากจับข้าไปต้ม จากนี้ไป มู่ชวนจะยังมีที่ยืนในเผ่าอีกหรือ ฆ่าข้าให้จบในคราเดียว เช่นนี้ดีต่อทุกฝ่าย!”
เขารู้ดีว่าเขาไม่มีทางรอดแล้ว จึงเรียกร้องขอความตายเสีย อย่างไรก็ดีกว่าถูกจับไปต้ม
หัวหน้าเผ่ามิได้เอ่ยวาจา แม้ว่าเขาเองก็อยากต้มมู่ขุยไปเสีย กระนั้นเขาก็ตระหนักดีว่าที่มู่ขุยว่ามานั้นไม่ผิด
มู่ขุยก่อความผิดชั่วช้าเกินอภัย เพื่อให้ได้ตำแหน่งหัวหน้าเผ่า ยามก่อกบฏสังหารสมาชิกเผ่าเดียวกันไปมหาศาล แต่ไม่ว่าอย่างไร มู่ขุยก็เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน หากมัจฉาสัตมายาต้มกินเผ่าพันธุ์เดียวกัน ส่งผลกระทบไม่ดีจริง ๆ สมาชิกในเผ่าต้องวิพากษ์วิจารณ์มัจฉาสัตมายาอย่างแน่นอน
“ปลิดชีพให้จบเรื่องแทนเถิด”
สุดท้าย เขาหันไปบอกกับมัจฉาสัตมายา ต้องการรักษาชื่อเสียงของมัจฉาสัตมายา เขาเล็งเห็นอนาคตในตัวมัจฉาสัตมายาอย่างมาก หากอนาคตเป็นไปได้ เขาอยากให้มัจฉาสัตมายาสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าเผ่าของเขา
“ไม่เป็นไร ข้าบอกพี่ลั่วสุ่ยไว้แล้ว จะไม่ทำตามได้อย่างไรเล่า”
มัจฉาสัตมายาฉีกยิ้ม “เขาสมควรถูกต้ม ไม่เป็นไรหรอก”
หัวหน้าเผ่าเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง ไม่อยากให้มัจฉาสัตมายาจับมู่ขุยต้มจากใจจริง เรื่องนี้จะกลายเป็นจุดด่างพร้อยของมัจฉาสัตมายา ทำลายภาพลักษณ์มัจฉาสัตมายาเป็นอย่างมาก
เขาทำเพื่อมัจฉาสัตมายา
มัจฉาสัตมายาหยุดทำหน้ายิ้มแย้มไม่รู้ร้อนรู้หนาว เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางขึงขังอย่างเป็นปรากฏการณ์ “สุดท้ายก็ต้องมีใครสักคนรับบทคนร้าย หัวหน้าเผ่ามิต้องพูดอันใดไปมากกว่านี้ ข้าจักเป็นคนร้ายผู้นี้เอง! แค่ฆ่าเขายังไม่พอ ต้องสร้างความน่ายำเกรงให้มากกว่านี้”
ตั้งกระทะทอดน้ำมันต้มมู่ขุย นี่มิใช่ความคิดชั่ววูบของเขา หากแต่ผ่านการพิจารณามาอย่างถี่ถ้วนแล้ว
หลังเรื่องนี้ปิดฉากลง สมาชิกที่เหลืออยู่ในเผ่าเป็นของสายมู่ขุยเสียส่วนใหญ่
เดิมทีสายมู่ขุยนั้นแข็งแกร่งกว่าสายอื่นอยู่แล้ว มีจำนวนสมาชิกมากที่สุด ยามมู่ขุยนำทัพสมาชิกสายของตนก่อกบฏ ก็ได้ฆ่าสมาชิกสายอื่นไปไม่น้อย ส่งผลให้สมาชิกสายอื่นยิ่งมีจำนวนน้อยลง
พวกเขาไม่อาจฆ่าสมาชิกสายมู่ขุยทั้งหมด ลงท้ายก็ต้องเก็บสมาชิกสายมู่ขุยไว้
และการเก็บสมาชิกสายมู่ขุยย่อมต้องมีภยันตรายหลงเหลือไว้ด้วย
ตั้งกระทะทอดน้ำมันต้มมู่ขุย มัจฉาสัตมายาทำเพื่อกำจัดภยันตรายที่อาจยังหลงเหลืออยู่นี้
มีเพียงเช่นนี้ สมาชิกสายมู่ขุยจึงจะไม่มีความคิดแปรพักตร์อีก จึงจะถูกสยบลงได้อย่างสิ้นเชิง!
การฆ่ามู่ขุยสร้างความน่ายำเกรงได้มากเช่นกัน ทว่าเทียบยมิได้เลยกับการต้มมู่ขุย
มัจฉาสัตมายาตระหนักถึงข้อนี้ดี เพราะอย่างนั้น เขาเต็มใจเป็นคนร้ายผู้นี้
เช่นนี้แล้ว เผ่ามัจฉาสัตมายาจึงจะสงบสุขได้อย่างสมบูรณ์
หัวหน้าเผ่าถอนหายใจหนักหน่วง เขาเข้าใจในความนัยของมัจฉาสัตมายาดี เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ในเผ่า จำต้องสร้างความน่ายำเกรงขึ้นอย่างมหันต์ถึงจะถูก มิฉะนั้น ไม่แน่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นอีกหรือไม่
และผู้ที่เหมาะสมที่สุดในการลงมือ ย่อมคือมัจฉาสัตมายาอย่างไม่ต้องสงสัย
หากเป็นผู้อื่นในกลุ่มพวกเขาลงมือ ย่อมสร้างอิทธิพลได้ไม่เท่ามัจฉาสัตมายา
เพียงแต่ต้องลำบากมัจฉาสัตมายาแล้ว…
ต้มเผ่าพันธุ์เดียวกัน ทั้งชีวิตนี้ของมัจฉาสัตมายาคงต้องเป็นที่ครหา ยากจะลบล้างภาพลักษณ์เลวร้ายนี้ไปได้
ลั่วสุ่ยก็ถึงบางอ้อ นางขมวดคิ้วนิดหน่อย เอ่ยขึ้น “เสี่ยวชี ให้ข้าลงมือเองเถิด”
นางไม่ต้องการให้มัจฉาสัตมายาเป็นที่ครหาขนาดนี้เช่นกัน จึงอยากลงมือแทนมัจฉาสัตมายา ตุ๋นเองกินเอง!
“ไม่เป็นไร พี่ลั่วสุ่ย ข้าเป็นผู้ลงมือดีกว่า”
มัจฉาสัตมายารู้ว่าพี่ลั่วสุ่ยทำเพื่อเขา แต่อย่างที่เขาว่า เรื่องนี้ให้เขาเป็นฝ่ายลงมือดีกว่า
ลั่วสุ่ยเป็นคนนอก อย่างไรความน่าเกรงขามก็มีจำกัด สร้างความยำเกรงได้มิเท่าผู้ที่เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันอย่างเขา
“มีความรับผิดชอบจริง พี่มองเจ้าไม่ผิด!” ลั่วสุ่ยพยักหน้าให้มัจฉาสัตมายา
เพื่อความสงบในเผ่า มัจฉาสัตมายายินดีแบกรับคำครหา ต้องยอมรับว่ามัจฉาสัตมายามีความรับผิดชอบจริง ๆ
“ไปเถิด พี่ลั่วสุ่ยจะได้ชิมฝีมือข้าด้วย!”
มัจฉาสัตมายากลับมามีท่าทีระรื่นอีกครั้ง พร้อมหิ้วมู่ขุยไปจากที่นี่
เขาต้องการต้มมู่ขุยต่อหน้าธารกำนัล เช่นนี้จึงจะสร้างความยำเกรงได้สูงสุด
หลังออกจากคุกใต้ดิน เขาหิ้วมู่ขุยมาอยู่ที่ใจกลางลานกว้าง สั่งให้ผู้อาวุโสท่านนั้นตั้งกระทะน้ำมันที่นี่ ก่อนจะเริ่มลงมือ
มู่ขุยถูกลั่วสุ่ยทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว สภาพย่ำแย่ถึงขีดสุด มัจฉาสัตมายาอัดมู่ขุยจนกลับสู่ร่างเดิมได้อย่างง่ายดาย จากนั้น เขาสั่งให้ผู้อาวุโสนำดาบขั้นเทียนตี้ออกมา ลงมือทันที!
เขาช่ำชองเป็นอย่างยิ่ง แม้นมิเคยต้มปลามาก่อน แต่ใครใช้ให้คุณชายต้มทุกวันกันเล่า เขาเห็นมานักต่อนักแล้ว
เพียงแต่เรื่องที่เขาคิดไม่ถึงคือ จะมีวันที่เขาได้ต้มปลาด้วยตัวเอง…
มู่ขุยถูกฆ่าตายสนิท ดาบขั้นเทียนตี้ฟันวิญญาณมู่ขุยจนแตกดับ
มีสมาชิกเผ่ามัจฉาสัตมายาเข้ามาล้อมกันในลานกว้างมากมาย พวกเขาได้เห็นภาพนี้แล้วต่างมีสีหน้าชอบกล
ต้มเผ่าพันธุ์เดียวกันอย่างนั้นหรือ!
มัจสัตมายาทำได้อย่างไร!
พวกเขาต่างมีข้อครหาต่อมัจฉาสัตมายาในใจอย่างรุนแรง
ทว่าการต้มของมัจฉาสัตมายาสร้างความยำเกรงได้มหาศาลจริง ๆ สมาชิกมัจฉาสัตมายาทั้งหมดล้วนสะท้านใจ เกิดความหวาดกลัวต่อมัจฉาสัตมายาขึ้นมาอย่างเหลือคณา
มัจฉาสัตมายาทำได้ทุกอย่างจริง ๆ!
สมาชิกสายมู่ขุยมิกล้ามีใจเป็นอื่นอีก มัจฉาสัตมายาน่ากลัวเกินไป เลือดเย็นเกินไป เผ่าพันธุ์เดียวกันยังต้มได้ลง ชวนผวายิ่งนัก!
ผ่านไประยะหนึ่ง ปลาถูกต้มจนสุก กลิ่นหอมตลบอบอวล ลั่วสุ่ยลองชิมดูหนึ่งคำ พบว่ารสชาติใช้ได้จริง ๆ
ทว่า หากเทียบกับปลาต้มของคุณชาย ยังห่างชั้นอยู่มากโข ไม่อาจเทียบกันได้เลย
“ไม่เลว! พยายามต่อไป เอาให้ยิ่งต้มยิ่งอร่อย!”
ลั่วสุ่ยเอ่ยพลางกลั้วหัวเราะ
อะไรกันนี่
ยังจะพยายามอีกหรือ!?
พยายามตุ๋นพวกมันหรือไร
สมาชิกเผ่ามัจฉาสัตมายาต่างสั่นเทิ้มอย่างอดมิได้ ตื่นตกใจกับวาจาของลั่วสุ่ย
...
เหนืออาณาจักรทั้งปวงขึ้นไป ท่ามกลางความว่างเปล่า ภายในหมอกเซียนเลือนราง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอัศจรรย์สูงส่ง แสงเซียนสว่างวาบเป็นครั้งคราว วังเซียนมีให้เห็นอยู่ทั่วไป
ที่นี่คือภพเซียน!
ภพเซียนที่สิ่งมีชีวิตนับล้านใฝ่ฝันอยากมา!
“ตระกูลใหญ่ทั้งหลายเคลื่อนไหวถี่ขึ้นเรื่อย ๆ หรือว่าจะระแคะระคายถึงบางอย่าง”
ภายในวังเซียนแห่งหนึ่ง ร่างวัยกลางคนร่างหนึ่งพึมพำเสียงเบา
“เจวี๋ยเนี่ยนอยู่ที่ใด เข้ามาพบข้า”
เขาเอ่ยเสียงเบา ทว่าเสียงนั้นชัดเจนแจ่มแจ้ง ดังกึกก้องไปทั่วทั้งวังเซียน
ณ สถานที่แห่งหนึ่งในวังเซียน
สตรีงามพิไลนางหนึ่งกำลังสลักเสลาบางอย่าง หลังได้ยินเสียงนี้ ร่างของนางสะดุ้งโหยง
นางถอนหายใจยาว ดูมีท่าทีไม่เต็มใจนัก กระนั้นยังยอมวางของในมือลง อาภรณ์สีขาวพลิ้วไสว ไปจากที่แห่งนี้ มุ่งหน้าไปพบร่างวัยกลางคนร่างนั้น
นางก็คือจักรพรรดินีอันดับหนึ่งแห่งยุคอนันตกาลผู้ปราดเปรื่องไร้ผู้ใดเทียบเทียม มีชีวิตมานานถึงสิบภพสิบชาติ
และนางก็คือเจวี๋ยเนี่ยนที่ร่างวัยกลางคนกล่าวถึง
เจวี๋ยเนี่ยน คือหนึ่งในสมญานามจักรพรรดิมากมายของนาง