476-480

บทที่ 476

“ไม่ต้องร้อง เจ้าปลาตัวนี้อยากแย่งก็แล้วแต่ ถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่ยอมให้มันได้กินหญ้า!”


อสูรฟ้าชิงหนิวเฒ่าปลอบลูกวัวน้อย


จากนั้น มันก็หันมามองปลามังกร ไม่เหลือเค้าเกรงใจอีกต่อไป “พี่ใหญ่บ้าบ้ออะไร ไสหัวไปไกล ๆ เลย!”


ความอดทนของมันมีจำกัดเหมือนกัน หากปลามังกรฝืนจะกินหญ้าให้ได้ เท่ากับล้ำเส้นของมัน มันไม่มีทางยอม!


“กำแหงอยู่ได้!”


“ไม่มีทางที่เจ้าจะได้กินหญ้า!”


ลูกวัวน้อยสำทับพ่อแม่ของตน ไม่มีทางยอมตกลง


“พวกเราขอปกป้องน้องหญ้าของเราด้วยชีวิต!”


ลูกวัวน้อยไม่ร้องไห้อีกต่อไป ออกมายืนขวางอยู่เบื้องหน้ากองหญ้าและเอ่ยด้วยท่าทีจริงจังมาก


“ข้าอยากจะขำให้ตาย!”


ปลามังกรหัวเราะพรืด “นี่ก็เพราะพลังข้าไม่อยู่เพราะถูกผนึก มิฉะนั้น ลำพังวัวโง่ไม่กี่ตัวอย่างพวกเจ้า ข้าจามเพียงครั้งเดียวก็ฆ่าพวกเจ้าได้หมดแล้ว!”


พวกชั้นต่ำ!


มันเป็นถึงมัจฉาเซียน ต่อให้ถูกสะกดพลัง ก็ใช่ว่าวัวไม่กี่ตัวตรงหน้าจะขวางได้


วัวพวกนี้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเอาเสียเลย!


“เอาเถิด ข้าจะสำแดงฤทธิ์เดชให้พวกเจ้าได้เห็น!”


ปลามังกรหัวเราะเสียงเย็น หมายจะลงมือ ไม่ให้วัวเหล่านี้ได้เห็นดี ดูท่าพวกมันคงไม่มีทางได้รู้จักที่ต่ำที่สูง!


มันฟาดหางปลากับพื้น เด้งตัวขึ้นในบัดดล และเหวี่ยงไปหาลูกวัวน้อย


นี่คือร่างกายระดับเซียน พลังทั่วไปไม่อาจหยุดยั้งได้ วัวพวกนี้ไม่รู้จักเจียมตน เช่นนั้น มันจะทำให้วัวพวกนี้ได้เข้าใจว่ากฎในโลกนี้เป็นอย่างไร!


“โอ๊ย เจ็บจะตายอยู่แล้ว!”


หารู้ไม่ ทันทีที่มันฟาดหางใส่ ก็ได้รับแรงกระเทือนจนกระเด็นออกไป ความรู้สึกคล้ายว่าฟาดโดนเหล็กเซียน เจ็บจนใจแทบขาด รู้สึกเหมือนหางปลาใกล้ระเบิดเต็มที


“น่ารำคาญชะมัด!”


จอบเซียนซึ่งอิงอยู่ข้างกำแพงส่งเสียง


บัด…ซบ ปลามังกรตัวนี้บุ๋งบุ๋งอยู่ได้ไม่รู้จักจบจักสิ้น มันรำคาญแทบบ้า!


ใช่แล้ว มันนี่แหละที่ลงมือสกัดปลามังกรไว้เมื่อครู่


มันผู้นี้ไม่ธรรมดา หลังจากท่านเซียนลงมือหลอมและสลักเสลาด้วยตัวเอง มันยังไม่รู้เลยว่าตนนั้นแข็งแกร่งทนทานเพียงใด


“เจ้าจอบเฮงซวยบังอาจตีข้ารึ!”


ปลามังกรบันดาลโทสะ “ข้าคือปลาที่ท่านบรรพจารย์เซียนให้ความสำคัญเลยนะ!”


“ข้าคือจอบที่คุณชายหลอมด้วยตัวเอง เจ้าบังอาจหาว่าข้าเป็นจอบเฮงซวยงั้นหรือ!”


จอบเซียนลอยตัวเข้าไปหาและเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์นัก “เจ้ากำลังหลอกด่าคุณชายอยู่หรือไร!”


สีหน้าปลามังกรเปลี่ยนไป รีบกล่าวออกมา “ข้าเปล่า เจ้าอย่าได้คิดจะใส่ร้ายป้ายสีข้า!”


“ใส่ร้ายป้ายสีรึ วางใจเถอะ ข้ามิได้น่าขยะแขยงเช่นเจ้า!”


จอบเซียนหัวเราะ “เพียงแต่ข้ารู้สึกว่าหัวจอบของข้าเริ่มหลวม อยากยืมอะไรมาเคาะให้หัวจอบของข้าแน่นขึ้นเสียหน่อย ข้าเห็นว่าร่างกายของเจ้าแข็งใช้ได้ ไม่ทราบว่าให้ข้ายืมใช้หน่อยได้หรือไม่”


“เจ้า…เจ้าอย่าทำเกินไปนัก!”


ปลามังกรเอ่ยเสียงเคียดแค้น


บ้าเอ๊ย มีที่ไหนยืมร่างปลาเคาะหัวจอบ


จอบเล่มนี้แค่อยากตีเขาชัด ๆ!


“เกินไปหรือ? เปล่านี่ เหมือนกับสิ่งที่เจ้าทำก่อนหน้านี้มิใช่หรือ”


จอบเซียนหัวเราะ “จริงสิ เจ้าก็อย่ากลั้นไว้ล่ะ ข้าเองก็ขอร้องเจ้า ช่วยรีบนำเรื่องของข้าไปฟ้องคุณชายที!”


จากนั้น มันฟาดจอบใส่ปลามังกรทันที


ร่างกายระดับเซียนของปลามังกรแข็งแกร่งมาก ทว่าจอบเซียนแข็งแกร่งกว่า ปลามังกรโดนฟาดจนร้องไห้คร่ำครวญ เห็นดาวเต็มฟ้าไปหมด


บัดซบ จอบเล่มนี้สารเลวจริง ๆ ถากถางมันด้วยถ้อยคำที่มันกล่าวกับลูกวัวน้อยเมื่อครู่ นี่มันฆ่าคน…ไม่สิ ฆ่าปลาเฉือนใจ!


ไอ้ชั่ว มันมิได้ทำให้พวกลูกวัวน้อยเป็นใบ้ พูดเรื่องทุกข์ทนกับผู้ใดไม่ได้ ตัวมันเองกลับกลายเป็นใบ้ พูดเรื่องทุกข์ทนกับผู้ใดไม่ได้เสียเอง!


อย่าให้พูดเลยว่ามันทรมานใจเพียงใด!


มันลอบสบถสาบาน รอให้มันทรงพลังขึ้นเมื่อใด จนเป็นที่โปรดปรานของท่านบรรพจารย์เซียนมากขึ้น มันต้องแยกร่างจอบเล่มนี้ให้ได้!


“ตีได้ดี ปลาตัวนี้สมควรโดนแล้ว!”


ลูกวัวน้อยเห็นแล้วสะใจอย่างยิ่ง ปลามังกรทำเกินไป สมควรพบกับจุดจบเช่นนี้


บุ๋ง บุ๋ง!


ดี!


เยี่ยม!


ประเสริฐ!


ภายในโอ่ง ปลาตัวอื่นเห็นแล้วสะใจยิ่งเช่นกัน


ปลามังกรตัวนี้กำเริบเสิบสาน ไม่เห็นพวกมันอยู่ในสายตาสักนิด มองพวกมันเป็นทาสรับใช้ พวกมันเคียดแค้นปลามังกรตัวนี้เป็นที่สุด!


‘คิดจริงหรือว่าตัวเองเป็นมัจฉาเซียนแล้วจะยิ่งใหญ่เกินผู้ใด เมื่อมาอยู่กับคุณชาย เจ้าไม่อาจทำตัวโอหัง ที่นี่มีสิ่งที่ทรงพลังกว่าเจ้าตั้งมากมาย!’


มัจฉาสัตมายาเอ่ยในใจ


มันสบายใจ ยินดีปรีดามากเช่นเดียวกัน


อย่างไรจอบเซียนก็มิกล้าเล่นกันถึงตาย แม้ว่ามันอยากตีปลามังกรตัวนี้ให้ตาย เพราะปลามังกรตัวนี้น่าชิงชังอย่างแท้จริง


ทว่า ปลามังกรเป็นปลาที่ท่านเซียนกล่าวว่าอยากเลี้ยง มันจึงมิกล้าเล่นกันถึงชีวิต


หลังจากมันอัดปลามังกรอย่างหนักหน่วงแล้ว ก็หวดปลามังกรลงโอ่ง


“อย่าได้ออกมาอีกเข้าใจหรือไม่ ขืนข้าเห็นเจ้าออกมาอีก ข้าจะอัดเจ้าทุกครั้งที่เห็น!”


จอบเซียนเหินไปอยู่ข้างโอ่ง บอกกับปลามังกร


“เข้าใจ...เข้าใจแล้ว นับแต่นี้ไปข้าจะไม่ออกไปอีกแล้ว!”


ปลามังกรรีบบอก มิกล้าเอ่ยคำว่าไม่


พับผ่าสิ มันโดนอัดครั้งนี้ เจ็บจนใจแทบขาด รวดร้าวเหลือคณา!


ชีวิตนี้มันไม่เคยโดนทำร้ายขนาดนี้มาก่อน!


อย่าให้พูดเลยว่ามันเคียดแค้นจอบเล่มนี้ปานใด มันสาบานในใจว่าจะล้างแค้นให้ได้ ไม่มีทางยอมจบง่าย ๆ!


จอบเซียนเหินกลับไปอีกครั้ง อิงอยู่ข้างกำแพง


‘เวร…เอ๊ย มีเรื่องใดกำลังจะเกิดขึ้นกันแน่!’


มันสบถในใจ ความรู้สึกมีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้นทวีความรุนแรง


...


ภายในทางเชื่อมจักรวาลเส้นหนึ่ง ผู้เฒ่าอมตะเร่งความเร็ว เข้าไปใกล้ถึงอาณาจักรแห่งนั้นแล้ว


“ฮ่า ๆ อีกเดี๋ยวเราจะได้พบกันแล้ว!”


ใบหน้าเขาประดับด้วยรอยยิ้มสดใส “รอให้เจ้ากับข้าได้พบกันอีกครั้ง ข้าจะพาเจ้าไปฆ่าล้างสำนักสักสำนัก ให้เจ้าได้ดื่มเลือดยอดฝีมือจนหนำใจ!”


เขาไม่รู้ว่ายามนี้ดาบมารเป็นอย่างไรบ้าง เขาตั้งตารอดูสภาพดาบมารในปัจจุบันอย่างยิ่ง!


ในความคิดของเขา ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ดาบมารคงแข็งแกร่งขึ้นไปอีกกระมัง!


“นึกถึงร่างดาบสุดแกร่งกล้าของเจ้าแล้ว ข้าก็ยิ่งอยากพบเจ้าจนแทบทนไม่ไหว เจ้าคือผลงานที่ข้าพึงพอใจที่สุดเชียวนะ!”


ผู้เฒ่าอมตะเอ่ยยิ้ม ๆ


...


ภายในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล หลิงอินกับเสี่ยวหยาขับเคลื่อนรถรบโบราณ มุ่งหน้าด้วยความเร็วสูง


ทว่ายิ่งผ่านไปเรื่อย ๆ ความเร็วในการแล่นของรถรบโบราณก็ยิ่งเชื่องช้า ถึงอย่างไรรถรบโบราณนี้ก็ไม่สมบูรณ์ เกิดความเสียหายไปแล้ว ไม่มีทางดีเยี่ยมได้เท่าขณะที่มันสมบูรณ์


“ด้านหน้ามีอาณาจักรใหญ่ พวกเราเข้าไปเปลี่ยนพาหนะก่อน”


หลิงอินตาเป็นประกาย เบื้องหน้าพวกนางไม่ไกลมีดาวดวงมโหฬาร ขุมปราณชีวิตของมันซึ่งอยู่ภายในมหาศาล เห็นได้ชัดว่าที่นี่เป็นอาณาจักรอันรุ่งเรือง


“ได้!”


เสี่ยวหยาพยักหน้า พวกนางควรเปลี่ยนรถรบโบราณคันนี้จริง ๆ ขืนใช้มันแล่นต่อไป รถรบโบราณคันนี้เป็นต้องพังครืนอย่างแน่นอน


พวกนางขับเคลื่อนรถรบโบราณคันนี้เข้าใกล้ดาวดวงนั้นขึ้นเรื่อย ๆ


รถรบโบราณคันนี้ไม่ไหวแล้วจริง ๆ ทั้งที่ห่างกันไม่ไกล แต่ก็ใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะถึง


ทว่าก็ยังไวกว่าหากพวกนางที่ต้องเหาะเหินด้วยตนเอง!


“เป็นอาณาจักรใหญ่จริงด้วย!”


หลังเข้าไปถึง หลิงอินก็สัมผัสถึงกฎแห่งสวรรค์และโลกอันทรงพลังจากด้านในอาณาจักร ที่นี่มิใช่อาณาจักรเล็ก ๆ แต่เป็นอาณาจักรใหญ่อย่างแท้จริง!


นางดีใจมากเช่นกัน


บางทีอาณาจักรเล็ก ๆ อาจไม่มีศาสตราที่ใช้เดินทางข้ามจักรวาล


ภายในอาณาจักรยิ่งใหญ่เยี่ยงนี้ ต้องมีศาสตราใช้เดินทางข้ามจักรวาลแน่

บทที่ 477

อาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ มีสิ่งแวดล้อมในปฐพีดีเลิศ ทุกลมหายใจเปี่ยมไปด้วยพลังปราณที่สร้างความผาสุกได้เหลือคณา


ดำรงชีวิตในอาณาจักรใหญ่เยี่ยงนี้ แม้แต่ปุถุชนที่ธรรมดาที่สุดก็คงมีชีวิตได้เป็นอย่างดี โรคภัยยากจะแผ้วพาน อายุขัยยืนยาว


ส่วนผู้ฝึกตน ยิ่งได้รับประโยชน์มหาศาล บำเพ็ญตนได้อย่างราบรื่น และก้าวสู่ขอบเขตที่สูงกว่าได้ง่ายขึ้น บรรลุเป็นเทวะ เป็นนักบุญได้โดยไม่มีปัญหา


“แค่บรรลุเป็นนักบุญได้โดยไม่มีปัญหา บรรลุเป็นจักรพรรดิคงยิ่งมิใช่ปัญหา…”

หลิงอินสะท้อนใจ รู้สึกได้ว่ากฎแห่งสวรรค์และโลกในอาณาจักรแห่งนี้สมบูรณ์ทรงพลังอย่างยิ่ง เมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ การบรรลุจักรพรรดิมิใช่ปัญหาจริง ๆ คงมีสิ่งมีชีวิตมากมายทำสำเร็จ


นึกถึงอาณาจักรที่นางอาศัยอยู่ ความห่างชั้นช่างมากมายเหลือเกิน


ในอาณาจักรที่นางอาศัยอยู่ อย่าว่าแต่บรรลุจักรพรรดิเลย แม้แต่บรรลุนักบุญยังลำบากเหลือแสน แทบเป็นไปมิได้


เหล่ากำลังรบเหนือขอบเขตนักบุญในอาณาจักร ส่วนใหญ่อยู่มาตั้งแต่ยุคโบราณ หรือยุคสมัยที่เก่าแก่ยิ่งกว่านั้น


มีเพียงส่วนน้อยที่มีพรสวรรค์สะท้านโลกามากพอ ถึงบรรลุนักบุญได้ในยุคนี้!


คิดดูว่าลำพังบรรลุนักบุญยังยากเย็นเพียงนี้ บรรลุจักรพรรดิยิ่งไม่ต้องสาธยายไปมากกว่านี้…


สิ่งแวดล้อมแข็งแกร่งหรืออ่อนแรง ดีหรือร้าย ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตที่ใช้ชีวิตอยู่ภายในอย่างยิ่งยวด!


“เมื่อใดสิ่งแวดล้อมในปฐพีของเราจะดีได้ปานนี้!”


สายตาหลิงอินเปี่ยมความหวัง เอ่ยอย่างครุ่นคิด “คุณชายจะออกโรงเปลี่ยนแปลงสิ่งมีชีวิตในฟ้าดินของเราหรือไม่”


อาณาจักรทั้งปวงในจักรวาลนี้ เหตุไฉนคุณชายถึงเลือกปรากฏตัวในอาณาจักรนี้


นางรู้สึกว่าเป็นไปได้สูงที่อาณาจักรนี้จะเกิดการพลิกผันเพราะคุณชาย สิ่งแวดล้อมในปฐพีจะดียิ่งขึ้นจนล้ำหน้าอาณาจักรอื่น!


นางผุดความคิดที่บ้าบิ่นยิ่งกว่านั้น


คุณชายอาจสร้างอาณาจักรแห่งนี้ให้เป็น…ภพเซียน!?


ด้วยความสามารถและฝีมือของคุณชาย ขอเพียงคุณชายต้องการ ใช่ว่าทำมิได้!


“คุณชายมีใจเมตตา ข้ารู้สึกว่าเป็นไปได้สูงที่คุณชายอาจเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมในอาณาจักรของเราให้ดียิ่งขึ้น”


เสียงของเสี่ยวหยาใสกังวานดังสะท้อน ไพเราะประหนึ่งนกจาบฝน นางรู้สึกเหมือนกันว่าคุณชายอาจออกโรงเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมในอาณาจักรนี้


“เฝ้ารออย่างยิ่ง!”


ดวงตาหลิงอินวาวโรจน์ เฝ้ารอการมาของวันนั้นจากใจจริง


“ไปเถิด พวกเราไปตามหาศาสตราเดินอากาศกันดีกว่า” นางเอ่ย


จากนั้น นางหลับตาลง ปลดปล่อยญาณสัมผัสอันทรงพลังออกไป เพื่อสืบเสาะสถานการณ์ในอาณาจักรแห่งนี้


พวกนางเพิ่งมาถึงอาณาจักรนี้ ไม่คุ้นชินกับทั้งคนและสถานที่ จำต้องรู้จักอาณาจักรนี้ให้มากขึ้นถึงออกตามหาศาสตราเดินอากาศได้ จะคลำทางตามหาไปเรื่อย ๆ คงมิไหว เช่นนั้นไม่รู้ต้องตามหาไปถึงเมื่อไรถึงจะพบ


ผ่านไประยะหนึ่ง นางลืมตา ได้รับรู้เรื่องราวมากมาย


ญาณสัมผัสของนางกล้าแกร่งอย่างยิ่ง กล้าแกร่งกว่าเทียนตี้มาก หลังจากคลี่แผ่ญาณสัมผัสออกไป นางก็ได้รับข้อมูลมากมาย


“มิน่า อาณาจักรแห่งนี้ถึงน่าทึ่งได้เช่นนี้ ที่นี่คืออาณาจักรอวี้ซวี ซึ่งเป็นหนึ่งในเก้าอาณาจักรตอนบน!”


เหนือความคาดการณ์ของหลิงอินไปนิดหน่อย พวกนางมาถึงเก้าอาณาจักรตอนบนแล้วหรือนี่


“อาณาจักรอวี้ซวี น่าสนใจ พวกเรามาถึงภูมิลำเนาของมัจฉาสัตมายาตัวนั้นแล้ว”


หลิงอินหัวเราะ นึกถึงมัจฉาสัตมายาตัวนั้น


นางจดจำมัจฉาสัตมายาตัวนั้นได้แม่น เป็นปลาที่อยู่ในลานท่านเซียนมานานที่สุด นางมักรู้สึกว่าคุณชายไม่คิดฆ่ามัจฉาสัตมายา และมีสิ่งอื่นเตรียมไว้ให้มัจฉาสัตมายา มิฉะนั้น ต่อให้มัจฉาสัตมายาโชคดีเพียงใดก็ไม่อาจรอดมาได้ถึงบัดนี้กระมัง…


“มัจฉาสัตมายาตัวนั้นหรือ”


เสี่ยวหยาจำได้เช่นกัน นางเคยเห็นมัจฉาสัตมายาในลานเล็กคุณชาย เป็นปลาที่สวยงามน่าดูชมมาก เมื่อครั้งนางได้เห็นก็รู้สึกชอบเป็นอย่างยิ่ง


“ใช่แล้ว ลั่วสุ่ยสนิทกับปลาตัวนี้มาก ได้ยินจากลั่วสุ่ยว่ารับปลาตัวนั้นเป็นลูกน้องแล้ว ยามว่าง ๆ มักอยู่สนทนากับปลาตัวนั้น ลั่วสุ่ยเรียกปลาตัวนี้ว่าเสี่ยวชี”


หลิงอินพยักหน้า เมื่อคราวอยู่ที่เมืองชิงซาน นางไปหาคุณชายเป็นประจำ บางครั้งยามคุณชายไม่อยู่ในลานเล็ก นางจะสนทนากับลั่วสุ่ย


ครั้งหนึ่ง พวกนางกล่าวถึงมัจฉาสัตมายาผู้โชคดีตัวนี้ ลั่วสุ่ยบอกว่ามัจฉาสัตมายาตัวนี้น่าสนใจ จึงรับไว้เป็นลูกน้อง ทั้งยังบอกอีกว่าหากนางมีโอกาส หวังว่านางจะช่วยดูแลปกป้องมัจฉาสัตมายาตัวนี้


“ดูออกว่าลั่วสุ่ยใส่ใจมัจฉาสัตมายาตัวนี้มาก ครานั้นบังเอิญได้ยินการสนทนาถึงมัน น่ากลัวว่าอาจมิใช่บังเอิญ ลั่วสุ่ยคงตั้งใจกล่าวถึง”


หลิงอินคลี่ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เกรงว่าลั่วสุ่ยคงกลัวคุณชายจะเชือดมัจฉาสัตมายา ถึงได้จงใจกล่าวถึงมัจฉาสัตมายากับข้า อยากให้ข้าช่วยพูดจาปกป้องมัจฉาสัตมายาเมื่อมีโอกาส ทว่าลั่วสุ่ยประเมินข้าสูงเกินไปแล้ว ข้าไฉนเลยจะกล้าเจ้ากี้เจ้าการในการตัดสินใจของคุณชาย…”


“ข้าชอบมัจฉาสัตมายาตัวนั้นเหมือนกัน หวังว่าคุณชายจะไม่ฆ่ามัน”


เสี่ยวหยาเอ่ย ถูกชะตากับมัจฉาสัตมายาตัวนั้นยิ่ง ไม่อยากให้คุณชายเชือดมัจฉาสัตมายาตัวนั้นจากใจจริง


“คงไม่กระมัง”


หลิงอินกล่าว “ข้ามักรู้สึกว่าคุณชายมีสิ่งอื่นเตรียมไว้สำหรับมัจฉาสัตมายา มันไม่น่าจะถูกฆ่า ตรงกันข้าม ข้ากลับรู้สึกว่ามันจะได้รับวาสนาการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่”


“เป็นเช่นนั้นหรือ”


เสี่ยวหยาตาเป็นประกาย พี่หญิงหลิงอินติดตามข้างกายคุณชายมานาน ย่อมรู้จักคุณชายในระดับหนึ่ง


มิหนำซ้ำพี่หญิงหลิงอินยังไตร่ตรองได้ถี่ถ้วนครบทุกด้าน ในเมื่อพี่หญิงเอ่ยเช่นนี้ ไม่แน่ว่ามัจฉาสัตมายาอาจรอดต่อไปได้จริง ๆ ซ้ำยังมีวาสนาการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่รอมันอยู่


“เอาล่ะ พวกเราไปที่เมืองนภากันดีกว่า ที่นั่นเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในอาณาจักรอวี้ซวี ในนั้นมีร้านประมูลที่ใหญ่ที่สุด พวกเราไปที่นั่นเพื่อดูว่าพอจะหาศาสตราเดินอากาศได้หรือไม่”


หลิงอินบอกกับเสี่ยวหยา


เมืองนภามิได้ใกล้กับที่นี่ ห่างกันไกลพอสมควร พวกนางมาอยู่ในสำนักฝึกตนแห่งหนึ่งใกล้ ๆ ใช้หินปราณนิดหน่อยเพื่อยืมค่ายกลเคลื่อนย้ายในสำนักฝึกตนแห่งนี้เดินทาง


ที่แห่งนี้ค่อนข้างร้างและไกล มิใช่เขตเจริญรุ่งเรือง สำนักฝึกตนนี้ก็มิใช่สำนักใหญ่ ค่ายกลเคลื่อนย้ายด้านในมีระดับต่ำต้อย ระยะทางที่ส่งออกไปมีจำกัด


ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้ส่งพวกนางไปได้ไกลที่สุดคือแถบตระกูลหลี ไม่สามารถส่งพวกนางจนถึงเมืองนภา


ตระกูลหลีคือตระกูลจักรพรรดิเก่าแก่ มีรากฐานลึกล้ำ และความสามารถแกร่งกล้า ถ้าหากสิ่งมีชีวิตในแถบนี้ต้องการเดินทางไปเมืองนภา ต่างต้องไปขอยืมใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายของตระกูลหลี


ทว่ามิได้เปิดให้ยืมเปล่า ๆ ปลี้ ๆ ตระกูลหลีเก็บค่าใช้จ่ายสูงลิ่ว สิ่งมีชีวิตทั่วไปสู้ราคาไม่ไหว


หลิงอินไม่กลัวเรื่องค่าใช้จ่ายสูง ขอเพียงไปถึงเมืองนภาได้ก็พอ


ภายในดวงดาวหักพังดวงนั้น แม้ว่าสิ่งของมากมายถูกทำลาย ทว่ายังมีของดีจำนวนหนึ่งถูกรักษาไว้ได้ หลิงอินและเสี่ยวหยาเก็บเกี่ยวจากดาวดวงนั้นได้ไม่น้อยทีเดียว


คล้อยตามการวูบไหวของคลื่นริ้วค่ายกล พวกนางมาถึงแถบตระกูลหลี


เมืองนภาเจริญรุ่งเรือง เป็นเมืองใหญ่อันดับหนึ่งของอาณาจักรอวี้ซวี สิ่งมีชีวิตนับคณาล้วนใฝ่ฝันถึงเมืองนภา อยากไปเที่ยวเล่นชมเมืองที่เมืองนภา


แม้ว่าค่าใช้จ่ายที่ตระกูลหลีคิดในการใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายสูงยิ่ง กระนั้นยังมีสิ่งมีชีวิตมากมายมุ่งหน้าไปที่ตระกูลหลี หวังจะยืมค่ายกลเคลื่อนย้ายของตระกูลหลีเพื่อเดินทางไปยังเมืองนภา


หลิงอินและเสี่ยวหยาตามหลังสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ไปจนถึงตระกูลหลี


ที่นี่โอ่อ่ายิ่งใหญ่เหลือแสน กลิ่นอายแห่งกาลเวลาอันยาวนานแผ่ซ่านอยู่ทุกที่ จนผู้คนสัมผัสถึงความหนักหน่วงแห่งประวัติศาสตร์ที่เลยผ่านได้อย่างลึกซึ้ง


“สุดยอด…”


หลิงอินตะลึงในใจนิดหน่อย ตระกูลหลีสมเป็นตระกูลจักรพรรดิเก่าแก่ มีความสามารถน่าทึ่งอย่างแท้จริง


นางสัมผัสถึงพลังปราณของเทียนตี้ได้จากที่นี่!


ตระกูลหลีมีเทียนตี้คอยพิทักษ์!

บทที่ 478

ดินแดนของตระกูลหลีเจริญรุ่งเรืองสง่างาม ไม่เสียทีที่เป็นถึงกองกำลังโบราณ ทั้งยิ่งใหญ่และน่าตื่นตะลึง


มีสิ่งมีชีวิตจำนวนไม่น้อยต้องการจะไปยังเมืองนภา ตระกูลหลีเป็นผู้ที่ได้รับหน้าที่พิเศษในการดูแลค่ายกลเคลื่อนย้ายที่หลิงอินกับเสี่ยวหยาพร้อมด้วยสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ กำลังมุ่งเข้าไป


ราคาในการใช้งานนับว่าไม่ต่ำ หนึ่งครั้งจำเป็นต้องจ่ายหินเทวะนับร้อยก้อน หินเทวะเหล่านี้เต็มไปด้วยพลังเทวะมากมาย นับว่าเป็นสิ่งที่มีระดับสูงเป็นอย่างมาก จำเป็นต่อการฝึกฝนของผู้ที่อยู่ในขอบเขตสูง


ทว่าสำหรับหลิงอินแล้ว หินเทวะไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด ก่อนหน้านี้นางได้รวบรวมหินเทวะจำนวนมากจากดวงดาวที่พังทลาย


หลังจากส่งหินเทวะออกไปแล้ว หลิงอินและเสี่ยวหยาก็มาถึงลานขนาดใหญ่ ด้านหน้าของพวกนางมีสิ่งมีชีวิตจำนวนไม่น้อยกำลังต่อแถว ค่ายกลเคลื่อนย้ายของตระกูลหลีไม่สามารถเคลื่อนย้ายพวกเขาทั้งหมดไปพร้อมกันในคราวเดียวได้


พวกนางไม่เร่งร้อน ใช้เวลาต่อแถวที่นี่ก็ยังคงเร็วกว่าเหาะเหินไปด้วยตนเองไม่รู้ตั้งกี่เท่า เมืองนภาอยู่ไกลจากสถานที่แห่งนี้มากเกินไป


เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ตระกูหลีเรียกเก็บหินเทวะร้อยก้อนก็ไม่นับว่าแพงเกินไปมากนัก อย่างไรเสียเคลื่อนย้ายไปไกลเช่นนี้ ค่ายกลเคลื่อนย้ายจะต้องกินพลังเป็นอย่างมาก


“นายน้อยเฮ่อต้องการไปเมืองนภาอย่างนั้นหรือ?”


มีเส้นแสงพุ่งมาจากที่ไกลลิบ จากนั้นก็มีร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งลงมาหยุดอยู่ข้างผู้อาวุโสตระกูลหลี ส่วนผู้อาวุโสตระกูลหลีก็รีบทำความเคารพชายหนุ่มทันที


ชายหนุ่มผู้นี้หล่อเหลาเป็นอย่างมาก ดวงตาเปล่งประกายเป็นพิเศษ รอบกายมีแสงนักบุญลอยอยู่เลือนราง ท่วงท่าสง่างามเปี่ยมด้วยเสน่ห์


เขาคือบุตรชายคนเล็กของประมุขตระกูลหลีนามว่าหลีเฮ่อ พรสวรรค์ในการฝึกฝนของเขานับว่าสูงเป็นอย่างยิ่ง เขาสามารถบรรลุขอบเขตนักบุญตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งยังเป็นถึงราชันนักบุญผู้หนึ่ง


“อืม”


เขาพยักหน้าเล็กน้อย ทว่าเมื่อเขากำลังจะพูดอะไรออกมา สัตว์อสูรตัวเล็ก ๆ ในอ้อมแขนของเขาก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างแผ่วเบา


มันเป็นสัตว์อสูรตัวเล็กที่มีขนสีเหลืองทั่วทั้งตัว เป็นสีเหลืองทองอร่ามราวกับทองคำ ดวงตาเองก็ประหนึ่งทำจากทองคำเปล่งประกายเป็นพิเศษ จมูกของมันกระดุกกระดิกไปมาเหมือนกำลังได้กลิ่นอะไรสักอย่าง


“เจ้าว่าอย่างไรนะ? พวกนางมีโอสถเทียนตี้อยู่กับตัว?”


หัวใจของหลีเฮ่อสั่นสะท้าน เขาไม่เคยคิดไม่เคยฝันมาก่อนว่าสัตว์อสูรตัวน้อยในอ้อมแขนของเขาจะส่งข่าวเช่นนี้มา


สัตว์อสูรตัวน้อยในอ้อมแขนของเขานั้นไม่ธรรมดา สายเลือดของมันมีความพิเศษเป็นอย่างมาก มันสามารถได้กลิ่นสมบัติล้ำค่าทุกชนิด และในตอนนี้สัตว์อสูรตัวน้อยก็ได้กลิ่นโอสถเทียนตี้จากบนร่างหลิงอินและเสี่ยวหยา


สมุนไพรระดับเทียนตี้ สามารถยืดอายุขัยของผู้ที่อยู่ขั้นเทียนตี้ได้ สมุนไพรระดับนี้มีค่าสูงลิ่วจนไม่อาจประเมินได้


แม้ตระกูลหลีของพวกเขาจะสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน กระทั่งปัจจุบันยังคงมีขั้นเทียนตี้อยู่ในเมือง ถึงเช่นนั้นตระกูลของพวกเขาก็ยังไม่เคยครอบครองสมุนไพรขั้นเทียนตี้มาก่อน


อาณาจักรอวี้ซวีของเขาไม่ใช่อาณาจักรเล็ก ๆ แต่เป็นส่วนของอาณาจักรเก้าตอนบนที่เต็มไปด้วยกองกำลังอันแข็งแกร่งมากมาย ทว่ากลับมีสมบัติระดับเทียนตี้อยู่น้อยนิด


เมื่อใดก็ตามที่โอสถเทียนตี้ปรากฏขึ้นมาก็จะเกิดการแย่งชิงอันดุเดือด ตระกูลหลีของพวกเขาไม่เคยแย่งชิงมันมาได้สำเร็จ ล้มเหลวไปเสียทุกครั้ง


“สวรรค์ต้องการจะช่วยเหลือตระกูลหลีใช่หรือไม่? เวลาของท่านบรรพจารย์ใกล้จะหมดลงเต็มที กลับมีโอสถเทียนตี้มาส่งถึงที่!”


ภายในใจของหลีเฮ่อบ้าคลั่งไปด้วยความสุข ครั้งนี้โอสถเทียนตี้ปรากฏขึ้นมาในตระกูลหลี ผู้ใดจะยังสามารถฉกฉวยไปจากพวกเขาได้? โอสถเทียนตี้นี้จะต้องเป็นของตระกูลหลี


“ใจเย็น อย่าพึ่งแหวกหญ้าให้งูตื่น ต้องลองสอบถามเบื้องลึกเบื้องหลังของพวกนางก่อน ดูว่าพวกนางมีภูมิหลังอย่างไร”


เขาคิดกับตัวเอง


หลังจากนั้นเขาก็ทะยานตรงไปหาหลิงอินและเสี่ยวหยา


“คำนับคุณชายตระกูลหลี!”


“คำนับคุณชายหลี!”


สิ่งมีชีวิตจำนวนไม่น้อยพากันเอ่ยทักทายหลีเฮ่อด้วยความเคารพ หลีเฮ่อมีชื่อเสียงอยู่ไม่น้อย พวกเขาทุกคนล้วนรู้จักหลีเฮ่อ


หลีเฮ่อพยักหน้าเล็กน้อยตอบรับคำทักทาย จากนั้นจึงเดินไปหาหลิงอินและเสี่ยวหยาพร้อมกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “สวัสดีแม่นางทั้งสอง”


หลิงอินพยักหน้าเล็กน้อยให้กับหลีเฮ่อ


ญาณสัมผัสของนางกล้าแกร่งเกินไป นางสามารถรับรู้ได้ถึงการจ้องมองของหลีเฮ่อตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เพียงแต่นางไม่รู้ว่าหลีเฮ่อต้องการสิ่งใด


“สวัสดีคุณชาย”


เสี่ยวหยาตอบรับหลีเฮ่ออย่างสุภาพ


“แม่นางทั้งสองเองก็จะเดินทางไปเมืองนภาหรือ?”


หลีเฮ่อแย้มยิ้มและกล่าวออกมาอย่างสุภาพ “ด้านหน้ามีคนต่อแถวรออยู่จำนวนไม่น้อย ต้องใช้เวลานานพอสมควรจึงจะถึงแม่นางทั้งสอง เช่นนั้นแม่นางทั้งสองไปพักเสียหน่อยจะดีกว่า ค่อยกลับมาเมื่อถึงตาของแม่นาง”


เขากล่าวต่อ “แม่นางทั้งสองอย่าได้เข้าใจผิดไป ข้าเห็นว่าแม่นางทั้งสองมีบรรยากาศสูงส่งแตกต่างออกไป มองคราแรกก็รับรู้ได้ว่าไม่ธรรมดาสามัญ จะต้องมีชาติกำเนิดสูงส่งเป็นแน่แท้ เมื่อแม่นางทั้งสองมาถึงตระกูลหลีของพวกเราแล้ว ข้าย่อมไม่สามารถละเลยแม่นางได้ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทของตระกูลหลี”


เขาต้องการจะสืบเบื้องลึกเกี่ยวกับหลิงอินและเสี่ยวหยา ลองดูว่าหลิงอินและเสี่ยวหยาจะมาจากกองกำลังโบราณแห่งอื่นหรือไม่


ถ้าหากหลิงอินและเสี่ยวหยามาจากกองกำลังโบราณอื่น ๆ คงจะเป็นเรื่องยุ่งยากมาก อย่างไรเสียเขาก็วางแผนที่จะแย่งชิงโอสถเทียนตี้มาจากหลิงอินและเสี่ยวหยา ดังนั้นเขาจึงต้องระมัดระวังกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังของพวกนาง


หลิงอินยิ้มแล้วตอบกลับไปอย่างมีมารยาท “คุณชายสุภาพยิ่งนัก แต่พวกเราสองคนสามารถรออยู่ตรงนี้ได้ อย่างไรเสียพวกเราก็เป็นผู้ฝึกตน เพียงเสียเวลารอเหมือนกับทุกคนย่อมไม่เป็นอะไร”


แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าหลีเฮ่อต้องการสิ่งใด แต่นางก็เป็นถึงจ้าวสูงสุดแห่งโบราณกาล นางผ่านประสบการณ์เรื่องราวต่าง ๆ มามากมาย จึงไม่ไว้ใจหลีเฮ่อแต่โดยง่าย


นางไม่เอ่ยสิ่งใดเกี่ยวกับเบื้องหลังของตนเองกับเสี่ยวหยาสักคำ


“เข้าใจแล้ว”


หลีเฮ่อยิ้ม ไม่ได้ถามอะไรต่อไปอีก


เขาสัมผัสได้ถึงคำเตือนจากหลิงอิน เกรงว่าหากเขายังคงซักไซ้ต่อไปจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น กระตุ้นความสงสัยของหลิงอิน


หลังจากนั้นเขาจากออกไปทันที


“มาหาโดยไร้เหตุผล เกรงว่าสิ่งที่ต้องการจะไม่ใช่เรื่องดี...”


หลิงอินหรี่ตาลง คิดขึ้นมาในใจอย่างเงียบงัน


นางไม่ได้กลัว เพียงแต่นางก็ไม่อยากสร้างปัญหายุ่งยาก


แม้ว่านางจะกระจ่างแจ้งดี แต่หลายครั้งก็ไม่อาจลงมือได้ตามอำเภอใจ...


อย่างไรเสียโลกแห่งการฝึกตนก็ไม่ได้สวยงาม เต็มเปี่ยมไปด้วยอันตรายทุกหนแห่ง


ทันทีที่หลีเฮ่อจากไป เขาก็เข้าไปยังส่วนลึกของตระกูลเพื่อพบพ่อของตนผู้เป็นประมุขแห่งตระกูลหลี


เขารีบเล่าสิ่งที่เขาพบให้ท่านพ่อของเขาฟัง


“ว่าอย่างไรนะ!”


ผู้เป็นพ่อตกตะลึงด้วยความไม่คาดฝัน


เขาจะคาดฝันได้อย่างไรว่าโอสถเทียนตี้ที่ตระกูลหลีไม่อาจแย่งชิงมาได้หลายครั้งจะปรากฏขึ้นมาในดินแดนของพวกเขา?


ทว่าเขาไม่ได้ตื่นเต้นดีใจจนตัวสั่นเหมือนหลีเฮ่อ


อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงประมุขตระกูล มีความคิดรอบคอบมากกว่าหลีเฮ่อ


คนธรรมดาจะครอบครองโอสถเทียนตี้ได้อย่างไร?


ไม่มีทางเป็นไปได้!


หลิงอินและเสี่ยวหยาจะต้องไม่ธรรมดาเป็นอย่างมาก!


เมื่อโอสถเทียนตี้ปรากฏขึ้นในตระกูลเช่นนี้ เขาไม่อาจแน่ใจได้ว่ามันเป็นพรหรือคำสาป!


“ข้าจะไปพบท่านบรรพจารย์!”


เขาไม่กล้ารั้งรอ รีบลุกขึ้นตรงไปพบท่านบรรพจารย์ที่ใกล้หมดอายุขัยอย่างรวดเร็ว


ในไม่ช้าเขาก็มาถึงเบื้องหน้าบรรพจารย์


“เจ้ามาพบข้าด้วยเรื่องอันใด?”


บรรพจารย์ขั้นเทียนตี้ที่นอนอยู่บนเตียงตื่นขึ้นจากการนิทรา เสียงของเขาแก่ชราเป็นอย่างยิ่ง ผมของเขาบางจนแทบไม่หลงเหลืออยู่ ร่างกายผอมแห้งคล้ายจวนเจียนจะหมดอายุขัยเต็มที


“มีโอสถเทียนตี้ปรากฏขึ้นในตระกูล!”


ประมุขตระกูลหลีรายงานทุกอย่างให้ท่านบรรพจารย์ฟัง


“ว่าอย่างไรนะ!”


บรรพจารย์ขั้นเทียนตี้ลุกขึ้นจากเตียงทันทีที่ได้ยิน ท่าทางใกล้ตายสูญสลายไปทันควัน เขาจ้องเขม็งไปที่ประมุขตระกูลหลีด้วยประกายวับวาวราวกับจะกินคนเข้าไป


โอสถเทียนตี้ปรากฏขึ้นอย่างไม่คาดฝัน!


อีกทั้งยังปรากฏขึ้นในดินแดนของตระกูลหลีอีกด้วย!


ชีวิตของเขาจะไม่ดับสิ้นแล้ว!

บทที่ 479

“ที่เจ้ากล่าวมาล้วนเป็นความจริงอย่างนั้นหรือ?”


ดวงตาแก่ชราของบรรพจารย์ขั้นเทียนตี้จับจ้องไปทางประมุขตระกูลหลีด้วยแววตาราวกับจะสามารถกินคนเข้าไปได้ สีหน้าของเขาดูตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูกสั่นสะท้าน


เขาจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร?


เวลาของเขาเหลืออีกไม่มากนัก กลับมีโอสถเทียนตี้ปรากฏขึ้นมาในตระกูลอย่างกะทันหัน เขาตื่นเต้นถึงเพียงนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด!


“ไม่จริง!”


ในขณะนั้นเองก็มีเสียงเย็นชาของหญิงสาวดังขึ้นมา


“ไม่จริง!? เจ้ากล้ามาล้อข้าเล่นอย่างนั้นหรือ!?”


บรรพจารย์ขั้นเทียนตี้จมอยู่ในความตื่นเต้นดีใจจนไม่ได้สังเกตว่ามันเป็นเสียงของหญิงหรือชาย เขาคิดว่ามันเป็นเสียงของประมุขตระกูล


นี่ทำให้เขาโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที


“ไอ้สารเลวนี้ช่างรนหาที่ตาย!”


เขาตบประมุขตระกูลเสียกระเด็นปลิวออกไป ฟันของประมุขตระกูลถึงกับหลุดออกมา ในปากเต็มไปด้วยเลือด


“ท่านบรรพจารย์ ข้าไม่ได้เป็นคนพูด!”


ประมุขตระกูลหลีร่ำไห้ออกมา เมื่อครู่เขาไม่ได้เป็นคนพูดออกมา!


เขาโดนตบอย่างอยุติธรรม!


“ไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นผู้ใด? ที่แห่งนี้ก็มีเพียงแค่ข้ากับเจ้าสองคน!”


บรรพจารย์ขั้นเทียนตี้โมโหเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นว่าเขาใกล้ตายเต็มที ไม่น่าเกรงขามอีกต่อไป ถึงกับตั้งใจมาที่นี่เพื่อล้อเล่นเชียวหรือ?


“ถึงข้าใกล้จะตายแล้ว แต่ก็ไม่ยอมให้เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้ามาล้อเล่นเช่นนี้!”


เขาตรงไปหาประมุขตระกูลหลี ก่อนจะลงมือทุบตีอย่างแรง ทิ้งให้ประมุขตระกูลหลีเต็มไปด้วยบาดแผลและรอยฟกซ้ำ เลือดไหลนองไม่หยุด


ท่านบรรพจารย์แก่ชราจนสมองเลอะเลือนไปแล้ว!


ขนาดเสียงชายหญิงยังแยกไม่ออกแล้ว!


เสียงที่กล่าวว่า ‘ไม่จริง’ เมื่อครู่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นเสียงของสตรี!


ประมุขตระกูลหลีรู้สึกอึดอัดคับข้องใจเป็นอย่างยิ่ง เขายังไม่ทันได้พูดก็ถูกท่านบรรพจารย์ทุบตีอย่างรุนแรง


เป็นผู้ใดกัน!


ผู้ใดที่ขุดหลุมใส่ข้า!


บัดซบ!


เขาก่นด่าอยู่ภายในใจ สาปแช่งผู้ที่กล่าวว่า ‘ไม่จริง’ เสียยกใหญ่สำหรับการขุดหลุมใส่เขา


แต่ทว่าเมื่อฉุกคิดเขาก็ต้องตื่นตกใจ


ผู้ใดกันที่เอ่ยคำว่า ‘ไม่จริง?’


เขาไม่อาจรับรู้ถึงตัวตนของอีกฝ่าย คนผู้นี้น่าหวาดกลัวเกินไป!


เขาเองก็เป็นถึงขั้นตี้หวง เหตุใดจึงไม่อาจรับรู้ได้แม้แต่น้อย?


“หยุดตีเถอะ เขาจะตายอยู่แล้ว...”


เสียงสตรีดังขึ้นอีกครั้งพร้อมด้วยความขบขันในน้ำเสียง ชายชราผู้นี้ตลกเกินไปแล้ว มีสิ่งใดผิดปกติเกี่ยวกับหูของเขาหรือไม่?


“ใคร!?”


บรรพจารย์ขั้นเทียนตี้ตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขารีบโยนประมุขตระกูลไปอีกด้านอย่างรวดเร็ว


คราวนี้เขาได้ยินอย่างชัดเจนแล้ว ไม่ใช่ประมุขตระกูลที่เป็นคนพูด แต่เป็นคนผู้อื่น!


“โอ๊ย!”


ประมุขตระกูลหลีร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ท่านบรรพจารย์ เหตุใดจึงต้องขว้างออกมาแรงถึงเพียงนี้ด้วย กระดูกของเขาทั้งหมดแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ


เขาเพิ่งถูกทุบตีอย่างรุนแรง การโยนทิ้งของบรรพจารย์แทบจะทำกระดูกทั้งร่างของเขาแตกเป็นเสี่ยง ๆ จริง ๆ


“ข้าคือผู้ที่พวกเจ้ากำหนดเป้าหมาย ข้ามาที่นี่เพื่อบอกพวกเจ้าว่า อย่าแม้แต่จะคิดอะไรยุ่งเหยิง!”


เสียงของสตรีดังขึ้นมาอีกครั้ง “เอาล่ะ จะฟังหรือไม่ฟังก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้า ข้าหมดธุระแล้ว หวังว่าพวกเจ้าจะรู้จักประเมินเรื่องราวต่าง ๆ”


ใช่แล้ว เจ้าของเสียงก็คือหลิงอินนั่นเอง


หลีเฮ่อเข้าหาพวกนางโดยไร้เหตุผลกระตุ้นความสงสัยของหลิงอินขึ้นมา นางรู้สึกได้ว่าหลีเฮ่อไม่มีเจตนาดี ดังนั้นจึงใช้ญาณสัมผัสเกาะตามหลีเฮ่อมา เพื่อดูว่าหลีเฮ่อมีความคิดอะไรอยู่


ที่แท้สัตว์อสูรตัวน้อยสีทองในอ้อมแขนของหลีเฮ่อก็ได้กลิ่นโอสถเทียนตี้จากตัวของนาง!


สมแล้วที่อาณาจักรเก้าตอนบนไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับมีสัตวอสูรหายากแปลกประหลาดอยู่


สิ่งที่นางเก็บเอาไว้ภายใน สัตว์อสูรสีทองก็ยังสามารถรับรู้ถึงมันได้ นับเป็นพรสวรรค์ทางสายเลือดอันน่าอัศจรรย์มาก!


แม้กระทั่งขั้นเทียนตี้ยังไม่อาจสัมผัสได้ถึงสิ่งที่นางเก็บเอาไว้ได้เช่นนี้


แต่ทว่า สัตว์อสูรสีทองตอนนั้นก็ยังคงกล่าวผิดไป บนร่างของนางไม่ได้มีเพียงโอสถเทียนตี้ กระทั่งขั้นสูงกว่านั้นก็ยังมี!


ของเหล่านั้นคือผลไม้ต่าง ๆ ที่คุณชายมอบให้นาง!


“อะไรนะ พวกนางแข็งแกร่งถึงปานนี้!?”


ประมุขตระกูลหลีตอบสนอง สีหน้าของเขาตื่นตกใจอย่างมาก ไม่คาดฝันถึงจริง ๆ!


หลีเฮ่อเคยรายงานให้เขารับรู้ อีกทั้งเขายังเคยใช้ญาณสัมผัสตรวจสอบหลิงอินกับเสี่ยวหยา และสามารถรับรู้ได้ถึงความอ่อนเยาว์ในลมปราณของทั้งคู่ แสดงให้เห็นว่าหลิงอินและเสี่ยวหยาไม่ได้แก่อะไร ทั้งยังเด็กเป็นอย่างมาก


เด็กถึงเพียงนั้น จะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ได้อย่างไร?


หลิงอินหรือเสี่ยวหยาสามารถล่วงรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่โดยที่เขาไม่อาจสัมผัสได้ อีกทั้งยังสามารถส่งเสียงมาได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าญาณสัมผัสของหลิงอินหรือเสี่ยวหยาจะต้องแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เหนือชั้นยิ่งกว่าเขาไปไกลลิบ!


ไม่เช่นนั้นหลิงอินกับเสี่ยวหยาคงไม่อาจทำเช่นนี้ได้!


นอกจากนี้ ท่านบรรพจารย์ก็ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว ท่านบรรพจารย์อาจไม่ได้สังเกตเห็นอีกฝ่ายจนกระทั่งหลิงอินหรือเสี่ยวหยาพูดออกมาเสียด้วยซ้ำ


ท่านบรรพจารย์เป็นถึงเทียนตี้ แม้ว่าจะใกล้โรยราเต็มที สถานะเองก็ไม่ได้อยู่ในจุดสูงสุด แต่ก็ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ไม่สามารถรับรู้สิ่งใดได้!


หลิงอินหรือเสี่ยวหยาสามารถรับรู้เรื่องราวทั้งหมดที่นี่ เห็นได้ชัดว่าญาณสัมผัสกว้างไกลครอบคลุมมาจนถึงที่นี่!


อีกทั้งเขาและท่านบรรพจารย์ไม่ได้สังเกตถึงการดำรงอยู่ของอีกฝ่าย...นี่ค่อนข้างจะน่ากลัวอยู่บ้าง!


หลิงอินหรือเสี่ยวหยาอาจจะเป็น...เทียนตี้!!!


หัวใจของเขาเต้นระรัวขึ้นมาทันที ภายในใจอดคิดขึ้นมาไม่ได้


เขาไม่รู้ว่าเป็นหลิงอินหรือเสี่ยวหยาที่เป็นเจ้าของเสียง


ก่อนหน้านี้ที่เขาใช้ญาณสัมผัสไปตรวจสอบหลิงอินและเสี่ยวหยา เขาไม่สามารถตรวจสอบขอบเขตของทั้งคู่ได้ แต่ทว่าเมื่อตอนนั้นเขาไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก อย่างไรเสียทั้งหลิงอินและเสี่ยวหยาก็ยังเยาว์วัย พวกนางจะสามารถแข็งแกร่งได้แค่ไหนกันเชียว


เขาคิดว่าอาจเป็นเพราะหลิงอินและเสี่ยวหยามีสมบัติบางอย่างที่สามารถปิดบังขอบเขตของตนเอง ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถตรวจสอบขอบเขตของหลิงอินและเสี่ยวหยาได้


ทว่ามาจนถึงตอนนี้ อาจเป็นเขาที่คิดผิดไป


เขาไม่อาจตรวจสอบขอบเขตของหลิงอินและเสี่ยวหยา ไม่ใช่เพราะทั้งคู่มีสมบัติแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะญาณสัมผัสของพวกนางเหนือยิ่งกว่าเขามาก!


อันที่จริงแล้ว สถานการณ์ของหลิงอินเป็นอย่างที่เขาคิด แต่เสี่ยวหยานั้นไม่ใช่ เพราะเสี่ยวหยามีฉินปี้เทียนชางไห่อยู่กับตัวจึงสามารถสกัดกั้นญาณสัมผัสของประมุขตระกูลหลี


“เทียนตี้ที่อ่อนวัยเช่นนี้หรือ? ข้าไม่เชื่อ!”


บรรพจารย์ขั้นเทียนตี้กล่าวออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ เขาเปิดใช้ญาณสัมผัสเทียนตี้ เขาไม่กล้าตรวจสอบหลิงอินกับเสี่ยวหยามากเกินไป กล้าเพียงแต่สัมผัสจากระยะไกล แต่ถึงกระนั้นเขก็ยังสัมผัสได้ถึงปราณอันเปี่ยมด้วยความเยาว์วัยของหลิงอินและเสี่ยวหยา


ปราณอันเปี่ยมด้วยความเยาว์วัยเช่นนี้ไม่สามารถปลอมแปลงได้ อายุของหลิงอินและเสี่ยวหยาเท่ากับรูปลักษณ์ที่แสดงออกมา


เทียนตี้ที่อายุเพียงยี่สิบกว่า!?


เขาไม่เชื่อ!


แม้กระทั่งกองกำลังโบราณที่แข็งแกร่งที่สุดยังไม่อาจทำเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน!


“ไม่มีทางเป็นเทียนตี้!”


บรรพจารย์ขั้นเทียนตี้กัดฟันเอ่ยออกมา “แม้ว่าเมืองนภาจะอยู่ห่างไกลออกไป แต่สำหรับเทียนตี้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยหนุ่มสาวที่อยู่ในสภาพรุ่งโรจน์ ระยะทางเพียงแค่นี้ไม่อาจนับเป็นสิ่งใด! เทียนตี้เพียงแค่คิดหนึ่งครั้งก็ไปถึง! พวกนางไม่จำเป็นต้องมาที่นี่เพื่อยืมใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายของพวกเรา!”


เขากล่าวต่อ “บนร่างของพวกนางจะต้องมีสมบัติที่พวกเราคาดไม่ถึงเป็นแน่ นั่นเป็นสาเหตุให้พวกนางทำเช่นนี้ได้!”


“ท่านบรรพจารย์ต้องการจะลงมือหรือไม่?”


ประมุขตระกูลหลี่ถามบรรพจารย์ขั้นเทียนตี้


เขาถอนหายใจอย่างเงียบงัน


กล่าวตามตรงแล้ว เขารู้แจ้งเป็นอย่างดีว่าท่านบรรพจารย์กำลังคิดสิ่งใดอยู่ ที่บรรพจารย์พูดออกมามากมายเช่นนี้ ก็เพียงแค่หาเหตุผลเพื่อลงมือ...


แม้ว่าหลิงอินและเสี่ยวหยาจะเป็นขั้นเทียนตี้จริง ๆ ท่านบรรพจารย์ก็ไม่น่าจะยอมถอดใจ ทว่าจะหาเหตุผลอื่น ๆ มาใช้ในการลงมือ


เส้นตายของบรรพจารย์ใกล้เข้ามาแล้ว เขากำลังจะสิ้นลมหายใจ ทว่าตอนนี้กลับมีความหวังในการต่อชีวิตปรากฏขึ้นมา เขาจะยอมแพ้อย่างง่ายดายได้อย่างไร...


ไม่มีผู้ใดอยากตายหรอก

บทที่ 480

“ลงมือ! ข้าไม่คิดว่าพวกนางทั้งสองคนจะเป็นเทียนตี้!”


บรรพจารย์ขั้นเทียนตี้ตัดสินใจ เขาไม่เต็มใจจะละทิ้งโอกาสครั้งนี้จริง ๆ


นี่อาจเป็นโอกาสเดียวที่จะสามารถต่อชีวิตของเขาได้ เช่นนั้นแล้วเขาจะยอมแพ้อย่างง่ายดายได้อย่างไร?


“ตามที่ท่านบรรพจารย์ต้องการ!”


ประมุขตระกูลกัดฟันเอ่ย นี่ก็เป็นโอกาสสำหรับตระกูลหลีเช่นกัน


หากท่านบรรพจารย์สามารถยืดอายุขัยของตนเองต่อไปได้ เช่นนั้นตระกูลหลีของพวกเขาก็จะยังคงความรุ่งโรจน์ต่อไป ทั้งยังอาจจะรุ่งโรจน์มากยิ่งขึ้น


หากบรรพจารย์สิ้นชีพลง ตระกูลหลีของพวกเขาก็อาจเข้าสู่ช่วงขาลงทันที


ไม่มีหนทางอื่น รุ่นของพวกเขาไม่มีเทียนตี้คนใหม่ถือกำเนิดขึ้นมา หากต้องรอให้เทียนตี้คนใหม่กำเนิดขึ้นมาอีกครั้งจะต้องกินเวลายาวนานเกินไป


โลกแห่งการฝึกตนโหดร้ายเป็นอย่างยิ่ง ไฉนเลยพวกเขาจะสามารถยืนอย่างมั่นคงได้ยาวนานขนาดนั้น หากท่านบรรพจารย์ตาย ตระกูลหลีของพวกเขาคงตกเป็นเป้าหมายของกองกำลังอื่น แม้กระทั่งตอนนี้ก็มีกองกำลังมากมายจับจ้องมาทางพวกเขาพร้อมวางแผนการสำหรับตระกูลหลี


เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลหลีของพวกเขาจะต้องตกต่ำลงเรื่อย ๆ ค่อย ๆ ถูกกองกำลังอื่นยึดครองไปทีละน้อย


“เปิดใช้งานค่ายกล ลงมือสุดกำลัง!”


บรรพจารย์ออกคำสั่ง ต้องการจะลงมืออย่างสุดกำลัง!


“รับทราบ!”


ประมุขตระกูลออกไปเพื่อถ่ายทอดคำสั่งของท่านบรรพจารย์ ค่ายกลใหญ่พิทักษ์ตระกูลหลีถูกเปิดใช้งานอย่างเต็มความสามารถในทันที อักขระนับไม่ถ้วนเกิดความเคลื่อนไหว ความผันผวนของพลังงานอันน่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายไปทั่วดินแดนของตระกูลหลี


“นี่มัน...เกิดอะไรขึ้น!”


“ตระกูลหลีต้องการจะทำสิ่งใด!?”


สิ่งมีชีวิตที่มายังตระกูลหลีเพื่อยืมใช้งานค่ายกลเคลื่อนย้ายต่างตื่นตระหนก


พวกเขาจะไม่ตื่นตระหนกได้อย่างไร


ตระกูลหลีถึงขึ้นเปิดการใช้งานค่ายกลพิทักษ์ตระกูลทั้งหมด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตระกูลหลีต้องการจะลงมือทำเรื่องใหญ่อะไรสักอย่าง!


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาสัมผัสได้ว่าเป้าหมายของค่ายกลอยู่ในบริเวณพวกเขา สิ่งนี้ทำให้พวกเขายิ่งตื่นตระหนกมากยิ่งขึ้น!


ตระกูลหลีต้องการจะสังหารพวกเขาหรือ!?


“ไม่ฟังคำแนะนำ...”


หลิงอินถอนหายใจออกมา ก่อนหน้านี้นางได้เอ่ยเตือนไปแล้ว แต่ตระกูลหลีก็ยังคงต้องการจะลงมือ


ความโลภความปรารถนา ไม่ว่าอย่างไรก็ยังหนีสองคำนี้ไม่พ้น...


ช่างมันเสียเถอะ หากไม่รับฟังคำเตือน เช่นนั้นก็ลงมือเถอะ


นางเรียกคันศรออกมารั้งสาย ก่อนจะยิงศรแสงหลายดอกออกไปอย่างรวดเร็ว ศรแสงทุกดอกล้วนแฝงเอาไว้ด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว


เห็นได้อย่างชัดเจนว่าตระกูลหลีไม่สนใจความเป็นตายของสิ่งมีชีวิตบริเวณนี้ ตัวนางเองจึงไม่สามารถเพิกเฉยปล่อยให้ค่ายกลระดมโจมตีเข้ามาได้


ไม่เช่นนั้นในบริเวณนี้ คงจะมีสิ่งมีชีวิตไม่กี่ตนที่เหลือรอด


นางจึงชิงลงมือโจมตีเพื่อทำลายค่ายกลทิ้งก่อน


พลังในตอนนี้ของนางดุร้ายและทรงพลังเป็นอย่างมาก ศรทุกดอกล้วนมีพลังเทียบได้กับขั้นเทียนตี้ การลงมือทำลายค่ายกลจึงไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด


เสียงฉินดังขึ้น เสี่ยวหยาได้เรียกฉินปี้เทียนชางไห่ออกมาบรรเลงเสียงอันนุ่มทรงพลัง ปกป้องสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในบริเวณแห่งนี้


ตู้ม ตู้ม ตู้ม!


ศรแสงหลายดอกเข้าปะทะกับค่ายกล เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว พลังมหาศาลแผ่กระจายออกมา บ้านเรือนอาคารทั้งหมดในบริเวณของตระกูลหลีพังทลายลงในพริบตา กลายเป็นฝุ่นควันฟุ้งกระจาย


“ฆ่า!”


เมื่อบรรพจารย์มาถึงก็ตั้งท่าสังหาร แผ่พลังออกมารอบด้าน ไม่คิดจะพูดจาสิ่งใด


เขาไม่มีทางเลือก นี่เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของเขา หากไม่สามารถนำโอสถเทียนตี้มาได้ เขาก็เหลือเวลาชีวิตอีกเพียงน้อยนิด


ทว่าทันทีที่เขาเพิ่งจะปรากฏตัวออกมา ศรแสงก็พุ่งตัดอากาศเข้าใส่อย่างรวดเร็ว ปักเข้าไปที่ไหล่ของเขาตรึงร่างที่กระเด็นของเขาไว้กับยอดเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป


“สวรรค์!”


“นั่น...นั่นคือบรรพจารย์ของตระกูลหลีใช่หรือไม่?”


สิ่งมีชีวิตทั้งหมดต่างส่งเสียงออกมาอย่างตกตะลึง ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ


นั่นคือเทียนตี้ผู้หนึ่ง แม้ว่าการเดินทางใกล้ถึงจุดสิ้นสุด แต่ก็ยังคงนับได้ว่าเป็นเทียนตี้ ทว่าในตอนนี้เขากลับถูกหลิงอินยิงถูกศรใส่ตอกเข้ากับภูเขา ชวนให้ตื่นกลัวเกินไปแล้ว!


พวกเขาพากันมองไปที่หลิงอิน ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความยำเกรง หลิงอินน่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว!


“!!!”


เมื่อเห็นฉากดังกล่าว ประมุขตระกูลหลีตกใจจนตาแทบจะถลน


นี่มันน่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว!


คันศรนั่นคืออะไรกัน?


เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังอันเปี่ยมล้นภายในคันศรนั่น!


คันศรเปล่งแสงออกมา ภายในไหลเวียนด้วยเต๋าอันอยู่เหนือเกินกว่าจะจินตนาการถึงได้ เขาไม่เคยเห็นกฎแห่งเต๋าที่อยู่เหนือชั้นเช่นนี้มาก่อน กระทั่งอาวุธเทียนตี้ก็ไม่อาจเทียบได้กับคันศร!


นั่นคืออาวุธเซียนอย่างนั้นหรือ?


หัวใจของเขาสั่นสะท้าน เขาคิดว่านี่อาจจะเป็นคันศรเซียน แม้เขาไม่เคยสัมผัสพลังเซียนมาก่อน!


ถึงเขาจะไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องนี้นัก แต่เขาก็ตระหนักได้เป็นอย่างดีว่าคันศรนี่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ไม่ต่างไปจากอาวุธเซียน!


เอ่อ ท่านบรรพจารย์...


ดูเหมือนครั้งนี้พวกเราจะไปสะกิดผู้ที่ไม่ควรจะยั่วยุด้วย...


เขามองไปรอบด้าน เห็นว่าดินแดนของตระกูลหลีที่เคยยิ่งใหญ่และรุ่งโรจน์ถูกทำลายลงจนเหลือเพียงแค่ซากปรักหักพัง


อีกทั้งชีวิตของสมาชิกตระกูลหลีก็กำลังตกอยู่ในอันตรายอันไม่แน่นอน มีโอกาสเป็นอย่างมากที่หลิงอินจะสังหารพวกเขาด้วยลูกศร!


อย่างไรเสียพวกเขาก็ทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ ต้องการจะแย่งชิงของจากหลิงอิน...


ในโลกของการฝึกตน พฤติกรรมเช่นนี้มักจะนำพามาซึ่งการทำลายล้าง


ยิ่งเป็นผู้ที่แข็งแกร่งมากเท่าใดยิ่งไม่อาจยั่วยุได้!


หลิงอินผู้นี้เป็นใครกัน!


ภายในใจของเขาเศร้าโศกเคว้งคว้างเป็นอย่างยิ่ง หวังว่านางจะยอมปล่อยพวกเขาไป ไม่ต้องการสังหารพวกเขาทิ้งให้หมด


“ข้าฝึกฝนมาทั้งชีวิตกลับน่าสมเพชถึงเพียงนี้!”


บนยอดเขาห่างไกลออกไป บรรพจารย์ขั้นเทียนหยวนมีสีหน้าไม่น่าดู


เขาถูกตรึงไปกับยอดเขาไม่สามารถขัยบตัวได้แม้แต่น้อย พลังของลูกศรได้ยับยั้งพลังทั้งหมดทำให้เขารู้สึกตกตะลึงจนขวัญหาย ภายในดวงตาสูญเสียความเปล่งประกาย


เดิมทีเขาต้องการจะต่อสู้ แต่เมื่อเริ่มลงมือเขาก็จึงตระหนักได้ถึงช่องว่าง หลิงอินไม่ใช่ผู้ที่เขาจะสามารถต่อกรได้...


หลินอิงมาจากที่ใดกัน เหตุใดจึงน่าหวาดกลัวถึงเพียงนี้!


เขาพังทลายลง ไม่สามารถยอมรับผลลัพธ์เช่นนี้ได้ เขามีชีวิตมานับหมื่นปีกลับถูกสาวน้อยผู้หนึ่งสยบลง จะให้เขาไม่พังทลายลงไปได้อย่างไรกัน?


ตู้ม ตู้ม ตู้ม!


เสียงระเบิดดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ค่ายกลพิทักษ์ตระกูลหลีแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ศรแสงก่อนหน้านี้ของหลิงอินไม่อาจทำลายค่ายกลพิทักษ์ตระกูลหลีลงได้


เมื่อเห็นเช่นนั้น หลิงอินจึงรั้งคันศรอีกครั้ง ก่อนจะยิงศรออกไปหลายดอกติดต่อกัน ทำลายค่ายกลพิทักษ์ของตระกูลหลี


“แม้โลกแห่งการฝึกฝนจะโหดร้าย แต่ก็มีบางสิ่งที่สามารถกระทำได้ และบางสิ่งที่ไม่สามารถกระทำได้ ความโลภความปรารถนาเป็นสิ่งที่ทุกคนมีไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ทว่าจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมมัน ไม่ใช่ให้ความโลภควบคุมตนเอง”


หลิงอินเอ่ยออกมา นางไม่ได้ลงมือกับสมาชิกคนอื่นของตระกูลหลีแต่อย่างใด


หลังจากนั้นนางก็ให้ผู้อาวุโสตระกูลหลีเปิดค่ายกลเคลื่อนย้าย ก่อนจะขึ้นไปบนค่ายกลออกจากสถานที่แห่งนี้ไปพร้อมกับเสี่ยวหยา




“ในที่สุด...ข้าก็กลับมาอีกครั้งหนึ่ง!”


เส้นทางหนึ่งในจักรวาล ผู้เฒ่าอมตะออกมาจากปลายเส้นทางแห่งนั้น


เขายิ้มกว้างเต็มใบหน้าด้วยความเริงร่าอย่างถึงขีดสุด ต้องจากไปนานนับหมื่นปี ในที่สุดเขาก็หวนกลับมายังอาณาจักรแห่งนี้อีกครั้ง!


เบื้องหน้าของเขา มีสิ่งมีชีวิตจำนวนมากกำลังคุกเข่าต้อนรับการมาถึงของเขา


ที่แห่งนี้คือหุบเหวไร้ก้นบึ้ง ดินแดนที่กองกำลังเบื้องหลังผู้เฒ่าอมตะครอบครองอยู่ พวกเขาเองก็ไม่ต่างอะไรไปจากเก้าแดนต้องห้าม วางแผนการเอาไว้สำหรับอาณาจักรแห่งนี้มาอย่างยาวนานแล้ว!


ผู้ที่วางแผนเกี่ยวกับแดนบรรพโกลาหลที่อยู่ภายในอาณาจักรแห่งนี้ ไม่ได้มีเพียงอาณาจักรที่อยู่เบื้องหลังเก้าแดนต้องห้าม แต่ยังมีอาณาจักรอื่น ๆ อีกด้วย


ผู้ที่อยู่เบื้องหลังผู้เฒ่าอมตะก็เป็นหนึ่งในอาณาจักรเหล่านั้น ซึ่งก็คืออาณาจักม่อเยวียน!


อาณาจักรม่อเยวียนเองก็ลึกล้ำจนไม่อาจหยั่งถึงได้ ไม่ด้อยไปกว่าอาณาจักรเก้าแดนต้องห้าม เป็นอาณาจักรโบราณที่อยู่มานานเสียจนยาวนานเกินกว่าจะสืบสาวได้


“ค่อยพูดคุยกันทีหลัง ข้าจะไปนำอาวุธของข้ากลับคืนมาก่อน”


ผู้เฒ่าอมตะหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา


เมื่อกลับมาถึงอาณาจักรแห่งนี้ เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงตัวตนของดาบมารอมตะ ทั้งยังรับรู้ได้ว่าดาบมารอมตะเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมาก


เขาโล่งอกดีใจเป็นอย่างยิ่ง ต้องการจะนำดาบมารอมตะกลับคืนมา


ทว่าสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจก็คือ ความเชื่อมโยงระหว่างเขาและดาบมารอมตะดูเหมือนว่าจะไม่ได้ใกล้ชิดกันขนาดนั้น


โดยปกติแล้วมันไม่ควรจะเป็นเช่นนี้ ดาบมารอมตะถูกสร้างขึ้นมาด้วยตัวของเขาเอง ด้านในประกอบด้วยแก่นโลหิตของเขา ดังนั้นความเชื่อมโยงของเขากับดาบมารอมตะสมควรจะใกล้ชิดกันเป็นอย่างมาก!


แต่ตอนนี้เขากลับไม่อาจสัมผัสได้ถึงความเชื่อมโยงอันชิดใกล้ แม้เขาจะเสริมความเชื่อมโยงผ่านวิชาลับบางอย่าง ก็ยังไม่อาจทำให้มันใกล้ชิดได้ขนาดนั้น


เขาแทบจะไม่สามารถเชื่อมต่อกับดาบมารอมตะได้เสียด้วยซ้ำ เขาไม่สามารถรับรู้ได้ถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของดาบมารอมตะได้


ดูเหมือนว่าระหว่างที่เขาจากไป จะเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นกับดาบมารอมตะ


ยังดีที่เขาเคยสร้างวิชาลับนี้ขึ้นมา ทำให้เขาสามารถเชื่อมต่อกับดาบมารอมตะได้


ไม่เช่นนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะตามหาดาบมารอมตะให้พบในตอนนี้


“ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้า ทุกสิ่งล้วนเป็นเพียงอดีต ข้ากลับมาแล้ว เจ้ากับข้าจะได้กลับมาต่อสู้ร่วมกันอีกครั้ง!”


เขาออกจากเหวไร้ก้นบึ้งด้วยรอยยิ้มกว้างเปี่ยมด้วยความมั่นใจ