466-470

บทที่ 466

ฟ้าสางมาเยือน พระอาทิตย์ลอยสูง แสงตะวันสาดกระทบผืนดิน เป็นสัญญาณเริ่มต้นวันใหม่


เมื่อพวกอ้ายฉานตื่นขึ้นก็ออกมารวมตัวกับเมิ่งจี


ไป๋มู่เองก็มาด้วย เขาสั่งเตรียมการทุกอย่างในคืนนั้น จากนั้น ทั้งหมดออกเดินทางโดยรถรบโบราณ มุ่งหน้าไปยังที่ตั้งทะเลต้องห้าม


“รถคันนี้ไม่เลวทีเดียว!”


จู้จื่อคลี่ยิ้มน้อย ๆ ภายในรถรบโบราณมีมิติของตนเอง นั่งได้สะดวกสบาย


“ใช่ไหมเล่า”


ไป๋มู่หัวเราะ เอ่ยด้วยท่าทางลำพองนิด ๆ “รถรบโบราณมีความเป็นมาไม่ธรรมดา เป็นรถรบที่บรรพชนของเราขับเคลื่อน เรื่องอื่นมิกล้ารับประกัน ลำพังรถรบนั้น รถรบโบราณคันนี้เป็นอันดับหนึ่งได้แน่นอน!”


“อันดับหนึ่งหรือ ไม่ใช่กระมัง!”


จู้จื่อเอ่ยด้วยสายตากังขา


“จะไม่ใช่ได้อย่างไร”


ไป๋มู่เอ่ย “บรรพชนของเรา เทียนตี้ไป๋ ทุ่มแรงใจมหาศาลไปกับรถรบโบราณคันนี้ เรียกได้ว่าคันเดียวทำได้ทั้งรุกทั้งรับ ขอเพียงมีกำลังเจือจุนมากพอ ต่อให้เป็นระดับเทียนตี้ก็ไม่สามารถทลายเกราะป้องกันของรถรบโบราณคันนี้ได้ แล้วยังปลิดชีพเทียนตี้ที่คิดรุกรานได้อีกด้วย!”


“เก่งกาจขนาดนี้เชียว”


จู้จื่อเอ่ยด้วยท่าทางอึ้ง ๆ


“แน่นอน!”


ไป๋มู่ทะนงระคนภาคภูมิ ช่วยไม่ได้ ผู้ใดใช้ให้รถรบโบราณตระกูลเขาเจ๋งเป้งปานนี้เล่า!


เขารอฟังถ้อยคำชื่นชมรถรบโบราณจากจู้จื่อ แต่แล้ววาจาต่อมาของจู้จื่อกลับทำให้เขาแทบคลั่ง


“อืม ไม่เลว ๆ เช่นนั้นให้เป็นที่สองแล้วกัน”


จู้จื่อพยักหน้าพลางกล่าว


ขนาดนี้ยังเป็นที่สองอยู่หรือ!?


จู้จื่อเด็กเกินไปหรือเปล่า ไม่รู้หรือว่าเทียนตี้เก่งกาจเพียงใด?


ไม่รู้หรือว่าเทียนตี้คือขั้นสูงสุดในโลกแห่งการฝึกตนของมนุษย์?


รุกรับในร่างเดียว เทียนตี้ยังไม่อาจแผ้วพาน นี่หรือที่สอง?


“แล้วรถรบแบบใดที่เจ้าเรียกว่าอันดับหนึ่ง!”


ไป๋มู่เอ่ยออกมาอย่างอดไม่ได้


เขาอยากฟังเหลือเกินว่าจู้จื่อจะกล่าวถึงรถรบคันใด


“รถของคุณชายอย่างไร พวกเราทุกคนเคยนั่งรถของคุณชาย คันนั้นต่างหากอันดับหนึ่งอย่างแท้จริง!”


จู้จื่อเอ่ยเสียงจริงจัง


“อ้อ…”


ไป๋มู่หน้าหงอยไปในบัดดล


เขานึกถ้อยคำไว้มากมายเพื่อเตรียมย้อนรถรบโบราณที่จู้จื่อยกขึ้นมาเทียบว่าไม่อาจทัดเทียมรถรบโบราณคันนี้ของเขา


ถึงอย่างไร รถรบโบราณคันนี้ก็ฉกาจเหลือล้น เทียนตี้ไป๋ผู้เป็นบรรพชนของตระกูลเขาทุ่มเทกายใจไปตั้งไม่รู้เท่าใด อีกทั้งประดิษฐ์ด้วยวัสดุหายากล้ำค่า


เท่าที่เขารู้มา ในบรรดารถรบ รถรบโบราณคันนี้ถือเป็นอันดับหนึ่งได้แน่นอน


ทว่า ประโยคที่ว่ารถของคุณชายเพียงประโยคเดียวทำให้เขานิ่งอึ้งในบัดดล คำพูดที่เตรียมไว้ต้องฝืนกลืนกลับเข้าไป


จริงสิ เขาลืมท่านเซียนไปได้อย่างไร?


เด็ก ๆ กลุ่มนี้มาจากฝ่ายท่านเซียนนะ…


รถที่ท่านเซียนประทับ มีหรือจะเป็นรถธรรมดา


แม้ว่ารถรบโบราณคันนี้เจ๋งมากจริง ๆ ฉกาจมากจริง ๆ แต่เมื่อเทียบกับรถที่ท่านเซียนประทับ เฮ้อ เทียบไม่ติดเลย!


ห่างชั้นกันไกลโข!


“อันดับหนึ่ง อันดับหนึ่ง!”


เขายิ้มเจื่อน เรื่องนี้ต้องยกให้เป็นอันดับหนึ่งจริง ๆ เถียงไม่ออกเลย


รถรบโบราณแล่นเข้าไปในปริภูมิ เดินทางข้ามมิติอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็มาถึงทะเลต้องห้าม


“ตายจริง เหตุใดที่นี่ถึงน่าสะอิดสะเอียนเยี่ยงนี้…”


ภายในมหาสมุทรสีดำอันไร้ที่สิ้นสุด มีซากศพอสูรสินธุเน่าเปื่อยลอยอยู่เต็มไปหมด ยังดีที่รถรบโบราณคันนี้กันกลิ่น มิฉะนั้น หากกลิ่นเหม็นเน่าคาวเลือดโชยเข้ามา เกรงว่าพวกอ้ายฉานได้อ้วกออกมาแน่


“ที่นี่ค่อนข้างผิดปกติ…”


เมิ่งจีขมวดคิ้ว พบว่าที่นี่มีร่องรอยการต่อสู้ครั้งใหญ่มาก่อน มิหนำซ้ำดูแล้วสงครามเพิ่งปะทุได้ไม่นาน น่าจะเพิ่งเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้


“ก่อนหน้านี้ไม่นาน เคยมีคลื่นพลังน่าประหวั่นพรั่นพรึงปรากฏที่นี่ พวกเราไม่รู้ว่าเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นกันแน่ และมิกล้าเข้ามาตรวจสอบ ดูท่าคงเคยมีใครบางคนเข้ามาที่ทะเลต้องห้าม และเปิดสงครามที่นี่!”


ไป๋มู่กล่าว


บัดนี้บนผิวน้ำทะเลยังมีพลังผนึกซึ่งถูกทลายลอยอยู่มากมาย เห็นได้ชัดว่าที่นี่เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่มา ซ้ำยังเป็นการต่อสู้รุนแรงที่จินตนาการไม่ออกอีกด้วย!


พับผ่าสิ แม้แต่พลังผนึกที่ยังหลงเหลืออยู่บนผิวน้ำทะเลยังสร้างความอกสั่นขวัญแขวนแก่เขา ไม่แน่ใจว่าจะสามารถทะลุผ่านพลังผนึกที่หลงเหลือยู่นี้เพื่อเข้าไปในทะเลต้องห้าม


เขาเป็นถึงตี้จวินเชียวนะ!


ลำพังจะผ่านทะลุพลังผนึกที่หลงเหลืออยู่ยังมิสู้จะมั่นใจนัก แค่คิดก็รู้แล้วว่าสงครามที่เคยเกิดขึ้นที่นี่น่าสะพรึงปานใด!


สวรรค์ ผู้ใดกันแข็งแกร่งปานนี้ บุกป่าฝ่าดงเข้าไปถึงทะเลต้องห้ามได้


เขาสงสัยใคร่รู้อย่างยิ่ง


“หวังว่าจะยังมีคนอยู่ข้างใน รากฐานของทะเลต้องห้ามยังอยู่ มิฉะนั้น พวกเราคงมาเสียเที่ยวแล้ว” เมิ่งจีเอ่ย


“ใช่!”


ไป๋มู่เร่งพลานุภาพรถรบโบราณถึงขีดสุด ก่อนจะแล่นรถรบโบราณเขาไปในส่วนลึกของทะเลต้องห้าม


รถรบโบราณเปล่งประกายกลายเป็นม่านแสง ขวางกั้นพลังผนึกซึ่งหลงเหลืออยู่บนผิวน้ำทะเล ค่อย ๆ แล่นเข้าไปทีละน้อย


ก่อนมา ไป๋มู่ได้หลอมพลังของวิเศษมากมายในฟ้าดินเข้าไปยังรถรบโบราณ แม้ว่าพลังเหล่านี้ไม่พอให้รีดเร้นพลังทั้งหมดของรถรบโบราณออกมา แต่ก็พอรีดเร้นออกมาได้เจ็ดแปดส่วน พอให้ต้านทานการโจมตีจากระดับเทียนตี้ได้หนึ่งครั้ง


พลังผนึกที่หลงเหลืออยู่บนผิวน้ำทะเลสีดำสยดสยองยิ่ง รถรบโบราณไม่อาจเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะแล่นไปถึงส่วนลึกของทะเลต้องห้าม มาอยู่หน้าเกาะแห่งหนึ่ง


“ที่นี่ก็มีร่องรอยการต่อสู้ ผนึกถูกทำลายเช่นกัน เพียงแต่บัดนี้ถูกซ่อมแซมขึ้นแล้ว บ่งบอกว่าในทะเลต้องห้ามยังมีคนอยู่!”


ไป๋มู่เอ่ยด้วยตาลุกวาว


แม้ว่าสถานการณ์บนเกาะจะดีกว่าบนผิวน้ำทะเล กระนั้นยังมีร่องรอยสงครามใหญ่ให้เห็น


“ไปเถิด ออกไปดูหน่อย”


เมิ่งจีและไป๋มู่เดินนำหน้า ออกจากรถรบโบราณ


อันหลานเสวี่ยพาพวกอ้ายฉานตามหลังมาติด ๆ


“มีใครอยู่หรือไม่”


เมิ่งจีตะโกน


“บัดซบ ผู้ใดมา...อีกหา!?”


ในส่วนลึกของเกาะ จ้าวสมุทรกำลังเก็บกวาดความเรียบร้อยอยู่รอบ ๆ พอได้ยินเสียงตะโกน ก็หลุดปากสบถไปคำหนึ่ง


เดิมที ก่อนหน้าเขามิได้มีนิสัยเช่นนี้ ทว่าบัดนี้ อยากจะสบถคำหยาบอยู่ตลอดเวลา!


เวร!


ผู้ใดใช้ให้เขาโชคร้ายไม่หยุดหย่อนในช่วงนี้กันเล่า!


เขาออกจากตรงนั้นด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตรนัก อยากเห็นเหมือนกันว่าคนไร้กาลเทศะคนไหนมาเยือนทะเลต้องห้ามของเขา


ไม่นานนัก เขาก็ได้พบพวกเมิ่งจี


นี่มันตี้จวิน!


ม่านตาเขาหดลงทันที เพราะสัมผัสได้ถึงพลังปราณตี้จวินจากตัวไป๋มู่ ส่วนคนอื่น ๆ ขอบเขตพลังต่ำตม มองข้ามได้เลย


“ไม่รู้หรือว่าที่นี่เป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งปวง พวกเจ้าหาญกล้าบุกเข้ามาเยี่ยงนี้! ไม่กลัวตายเลยหรือไร!”


จ้าวสมุทรยิ้มเย็น มิได้เกรงกลัวไป๋มู่


ถึงแม้ทะเลต้องห้ามมีเขาเหลือรอดเพียงคนเดียว ทว่ารากฐานยังอยู่ ด้วยรากฐานเหล่านี้ เขาฟื้นฟูผนึกบนเกาะได้พอสมควร


ไป๋มู่อยู่ในขอบเขตตี้จวิน มิได้ด้อยความสามารถ ทว่าด้วยพลังผนึกบนเกาะ เขายังสามารถปลิดชีพไป๋มู่ที่นี่ได้สบาย


“อย่าเข้าใจผิด พวกเราแค่ต้องการมาเจรจาเท่านั้น”


ไป๋มู่กล่าว “พลังที่คอยคุ้มกันปฐพีผืนนี้มีรอยร้าว สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนเริ่มบุกเข้ามาตามรอยร้าวนั้นแล้ว หากไม่รีบสมานรอยร้าว ย่อมต้องขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ถึงคราวนั้น กองทัพอาณาจักรเทียนหยวนคงได้รุกรานเข้ามาเต็มกำลังแน่นอน!”


เขาเอ่ยต่อ “ใต้รังที่แตกสลาย ไฉนเลยจะมีไข่ที่เหลือรอดสมบูรณ์ ครานั้น น่ากลัวว่าทะเลต้องห้ามเองก็เอาตัวรอดไม่ได้ อาจถูกสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนบ่อนทำลายได้”


พูดมาถึงนี่ เขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง


เขามองจ้าวสมุทรพลางกล่าว “เพราะอย่างนั้น ที่พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อวอนขอความช่วยเหลือจากทะเลต้องห้าม หวังว่าทะเลต้องห้ามจะยอมให้เรายืมของวิเศษจำนวนหนึ่ง เพื่อให้เรามีกำลังมากพอในการซ่อมแซมรอยร้าว”


บัด…ซบ มายืมของวิเศษกันอีกแล้ว!


หลังได้ฟังวาจาของไป๋มู่ อย่าให้พูดเลยว่าสีหน้าจ้าวสมุทรย่ำแย่ปานใด


ระยำเอ๊ย!


กะเอาไปไม่จบไม่สิ้นกันเลยหรือ!

บทที่ 467
ยืมของวิเศษรึ?


ไปยืมย่าแกเถอะ!


เมื่อจ้าวสมุทรได้ยินคำว่ายืมของวิเศษก็ต้องพิโรธ อย่าให้พูดเลยว่าหงุดหงิดใจเพียงใด


บัด…ซบ!


คราวก่อนหลิงอินมายืมของวิเศษ ดูสิว่าเขาต้องตกอยู่ในสภาพอเนจอนาถปานใด ยังจะมากันอีกหรือ?


“ยืมของวิเศษรึ? ได้ ไม่มีปัญหา”


เขาคลี่ยิ้ม พอดีเลย เขาอั้นความโมโหอยู่เต็มอก ไม่มีที่ให้ระบาย ในเมื่อเจ้าพวกตรงหน้านี้มีตาหามีแววไม่ บังอาจกำเริบสืบสานในทะเลต้องห้ามของเขา เช่นนั้นเขาขอระบายความโมโหในใจใส่เจ้าพวกนี้หน่อยแล้วกัน!


ราบรื่นเพียงนี้เชียว?


คำตอบของจ้าวสมุทรเหนือความคาดหมายของไป๋มู่ เมิ่งจี และคนอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง


“เพียงแต่ พวกเจ้าต้องเอาชีวิตมาให้ข้ายืมก่อน ให้ข้าได้ระบายความโกรธเกรี้ยวในใจ!”


สายตาจ้าวสมุทรเปล่งประกายดุดัน ต่อว่าเสียงดัง “ไอ้พวก…เวร ไม่สำเหนียกตนหน่อยหรือว่าอยู่ในระดับใด บังอาจมาขอยืมของวิเศษที่ทะเลต้องห้ามของข้า วันนี้พวกเจ้าต้องตายอยู่ที่นี่ให้หมด!”


หลิงอินมายืมของวิเศษไม่เท่าไร นางมีความสามารถมากพอ!


แต่เจ้าพวกตรงหน้านี้อย่างเก่งสุดก็แค่ตี้จวิน ยังหาญกล้าย่างกรายเข้ามาในทะเลต้องห้ามของเขาอีกหรือ


บ้าเอ๊ย!


ถึงแม้ทะเลต้องห้ามจะเหลือเขาอยู่เพียงคนเดียว แต่ยังไม่ถึงขั้นที่ผู้ใดก็เข้ามารังแกได้!


เมิ่งจีสบตาไป๋มู่ พวกเขาก็ว่าอยู่ เป็นไปได้อย่างไรที่ทะเลต้องห้ามจะว่าง่ายปานนี้


“ของวิเศษที่ยืมไปพวกเราต้องเอามาคืนให้! ขืนรอจนสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนบุกเข้ามา ทุกอย่างคงสายเกินแก้แล้ว!”


ไป๋มู่กล่าวต่อ


“น่าขัน ทะเลต้องห้ามของข้าต้องกลัวอาณาจักรเทียนหยวนด้วยหรือ”


จ้าวสมุทรขำพรืด “อย่าได้เหมารวมทะเลต้องห้ามของข้ากับพวกเจ้า!”


อาณาจักรเทียนหยวนเล็ก ๆ แค่นั้น เป็นเพียงอาณาจักรระดับกลาง เมื่ออยู่ต่อหน้าอาณาจักรต้องห้ามอย่างพวกเขา อาณาจักรเทียนหยวนก็เป็นเหมือนแมลงตัวน้อยเท่านั้น


“ท่านเคยได้ยินแดนมรณาหรือไม่ เบื้องหลังของอาณาจักรเทียนหยวนคือแดนมรณา…”


เวลานั้น เมิ่งจีซึ่งเงียบมาตลอดเอ่ยขึ้น


“แดนมรณา!”


นัยน์ตาจ้าวสมุทรไหวระริก สีหน้าเปลี่ยนแปลงไป


เขาเคยได้ยินชื่อแดนมรณา


นี่เป็นกองกำลังลึกลับสุดขีด ไม่มีผู้ใดรู้ว่าพวกมันอยู่ที่ใด และไม่มีผู้ใดรู้ประวัติความเป็นมาของพวกมัน แม้กระทั่งทะเลต้องห้ามอย่างพวกเขายังรู้เพียงน้อยนิด


พวกเขารู้แค่ว่ามีกองกำลังอย่างแดนมรณาดำรงอยู่ ซ้ำยังน่าประหวั่นพรั่นพรึงมากอีกด้วย ต่อให้เป็นทะเลต้องห้ามอย่างพวกเขายังมิกล้ายุ่งด้วย


แดนมรณาเคยปรากฏตัวครั้งหนึ่ง เพื่อแย่งชิงสมบัติวิเศษยอดศาสตราชิ้นหนึ่ง


ว่ากันว่า ยอดศาสตรานั้นเหมือนจะเป็นอาวุธเซียน มันร่วงหล่นลงมาในจักรวาลผืนนี้ ก่อนจะกลายเป็นที่แย่งชิงของสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรนับพันนับหมื่น


ตัวตนโบราณทรงพลังมากมายปรากฏกาย เข้าต่อสู้ห้ำหั่นเพื่อยอดศาสตราชิ้นนั้น กำลังรบชั้นยอดของพวกเขาทะเลต้องห้ามก็ร่วมวงด้วย


การแย่งชิงครานั้น สู้กันจนจักรวาลแทบถล่ม อนิจจา มิมีผู้ใดได้ยอดศาสตราชิ้นนั้นไป


ก่อนหน้านี้ พวกเขาทั้งหมดล้วนมิเคยรับรู้ถึงการมีอยู่ของแดนมรณา


เบื้องหลังของอาณาจักรเทียนหยวนคือแดนมรณาหรือ!


คิดแล้วคงใช่ หากอาณาจักรเทียนหยวนไม่มีกองกำลังใดอยู่เบื้องหลัง ไฉนเลยจะกล้าหมายตาอาณาจักรแห่งนี้


เบื้องลึกเบื้องหลังของอาณาจักรแห่งนี้มิใช่อะไรที่อาณาจักรระดับกลางเล็ก ๆ เช่นนั้นจะหมายหัวได้!


ทว่า เขาไม่มีทางให้ยืมของวิเศษเพียงเพราะเบื้องหลังของอาณาจักรเทียนหยวนคือแดนมรณา


น่าขัน หากเป็นกองกำลังจากแดนมรณาจริง ซ่อมรอยร้าวได้แล้วอย่างไร


อาณาจักรแห่งนี้มิสู้ในอดีต ต่อให้สมานรอยร้าวได้ จนพลังคุ้มกันสมบูรณ์ไร้รอยขีดข่วน ก็ไม่มีทางต้านทานแดนมรณาไหว!


“มัวพูดมากอยู่ได้! พวกเจ้าให้ข้ายืมชีวิตมาเล่นด้วยสักหน่อยเถิด!”


จ้าวสมุทรหัวเราะเสียงเย็น จิตสังหารพลุ่งพล่าน เปิดผนึกบนเกาะ!


ครืนคราน!


ผนึกบนเกาะเปิดออก เสียงระเบิดกึกก้องดังมาจากนภาไม่หยุดหย่อน พลังสยดสยองมากมายซัดสาด เสาแสงเชื่อมฟ้าส่องสว่างออกจากผนึก กลายเป็นค่ายกลมโหฬาร


“ที่นี่คือทะเลต้องห้าม เป็นสถานที่หวงห้ามสำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งปวง!”


จ้าวสมุทรดีดตัวขึ้นมาอยู่บนผืนฟ้า สายตาจับจ้องไป๋มู่และมองลงไปอย่างผู้เหนือกว่า


ส่วนพวกเมิ่งจีนั้นถูกเขามองข้ามไปโดยปริยาย


ไป๋มู่คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ขอเพียงจัดการไป๋มู่ได้ พวกเมิ่งจีก็เหมือนลูกไก่ในกำมือเขา มิใช่คู่ต่อสู้ของเขาสักนิด


“เฮ้อ สุดท้ายก็ต้องสู้กันหรือ”


เมิ่งจีถอนหายใจ ก่อนจะหันมองพวกอ้ายฉาน “พวกเจ้าใครอยากสู้”


“ข้า ๆๆๆ!”


“ข้าเอง!”


พวกอ้ายฉานแย่งกันอยากสู้ ต่างพากันแสดงตนว่าอยากออกโรง


จ้าวสมุทรบนท้องฟ้าผงะ หมายความว่าอย่างไรกัน?


หรือว่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดมิใช่ไป๋มู่ หากแต่เป็นเด็กเหล่านี้?


จะเป็นไปได้อย่างไร!


“ข้าเอง!”


อ้ายฉานเป็นพี่ใหญ่ มีบารมีพอสมควรในหมู่เด็ก ๆ นางเอ่ยว่า “หลังจากนี้เรายังต้องไปแดนต้องห้ามแห่งอื่น พวกเจ้ามีโอกาสออกโรงแน่นอน หนนี้ให้ข้าลงมือเถิด”


“ได้”


“เราเชื่อที่พี่อ้ายฉานบอก!”


พวกจู้จื่อพากันถอยหลัง


ตุ๊กตาฉีเทียนต้าเซิ่งที่ท่านเซียนให้นางมาทรงพลังเพียงใด?


อ้ายฉานตั้งตารอมาก นี่ก็เป็นเหตุผลที่พวกเขาแย่งกันลงมือ พวกเขาต่างอยากรู้ว่าของเล่นที่ท่านเซียนมอบให้พวกเขาจะแกร่งกล้าปานใด


จากนั้น อ้ายฉานเรียกตุ๊กตาฉีเทียนต้าเซิ่งที่ท่านเซียนมอบให้ออกมา


ตุ๊กตาดินปั้นงั้นหรือ!?


ล้อกันเล่นหรือไร!?


มุมปากจ้าวสมุทรกระตุก คิดไม่ถึงเลยว่าอ้ายฉานจะเรียกตุ๊กตาดินปั้นออกมาต่อสู้ เป็นแค่เด็กจริง ๆ นั่นแหละ!


ทว่าไม่นาน สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป


บนตุ๊กตาดินปั้นที่เขาไม่เห็นในสายตา มีจังหวะแห่งเต๋าสูงส่งไหลเวียนอยู่ทั่ว ซ้ำยังมีพลังสยดสยองเกินจินตนาการซัดสาด นี่มัน…นี่มันใช่ตุ๊กตาของเล่นที่ไหน เป็นอาวุธทำลายล้างชิ้นหนึ่งชัด ๆ!


บัด…ซบ!


คนกลุ่มนี้คงมิใช่ว่าเป็นพรรคพวกของหลิงอินกระมัง!


ฉินและคันศรของหลิงอินมีจังหวะแห่งเต๋าสูงส่งเช่นเดียวกันนี้ไหลเวียนอยู่!


แม่เจ้า เหตุใดข้าถึงอาภัพเยี่ยงนี้!


จ้าวสมุทรร่ำไห้ กระนั้นก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะพลังของตุ๊กตาปะทุออกมาเต็มรูปแบบ!


ตุ๊กตาดินปั้นตัวนั้นราวกับมีชีวิต ส่องแสงเจิดจ้าออกมามากมาย ตุ๊กตาดินปั้นที่เคยมีขนาดเท่าฝ่ามือ ขยายใหญ่ในพริบตา วานรในชุดเกราะสีทอง ประดับรัดเกล้าสีทองบนหัว มือถือกระบองยาวเล่มหนึ่งปรากฏออกมา!


“ต้าเซิ่ง!”


อ้ายฉานร้องเรียกเสียงตื้นตัน ต้าเซิ่งคือตัวละครไซอิ๋วที่นางเลื่อมใสที่สุด!


ตู้ม!


ต้าเซิ่งคล้ายว่าถูกชุบชีวิต ดวงตาสองข้างเปล่งประกายจรัส ลำแสงชวนผวาพวยพุ่งออกมาสองลำ นี่คือเนตรอัคคี!


ต้าเซิ่งหวดกระบองทองสารพัดนึก เหวี่ยงไปที่จ้าวสมุทร อย่าให้พูดเลยว่าดุดันขนาดไหน ราวกับกระบองนั้นพร้อมทำลายราบคาบทั้งสวรรค์!


“แม่เจ้า!”


จ้าวสมุทรตกใจจนลนลานไปหมด รีบปล่อยพลังผนึกปะทุ


ทว่า เมื่ออยู่ต่อหน้ากระบองทองสารพัดนึก พลังผนึกนั้นกลับสู้ไม่ได้เลย!


กระบองทองสารพัดนึกฟาดลงมา พลังผนึกถูกบดขยี้ในพริบตา บังเกิดเสียงระเบิดดังก้องไปทั่วเกาะ แล้วพื้นที่เกาะก็แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ


พรวด พรวด พรวด!


จ้าวสมุทรกระอักเลือดไม่หยุด ร่างล้มกระแทกลงพื้นอย่างแรง แทบสิ้นลมหายใจตรงนั้น


ทว่า เทียบกับความเจ็บปวดที่ตัว เขาเจ็บปวดที่ใจมากกว่า!


ครั้งนี้ถูกทำลายหนักกว่าครั้งก่อนเสียอีก!


ทว่าตอนนั้นเอง จู่ ๆ เขาก็หัวเราะร่วน


“พวกเจ้าโอหังนักหรือ! ไอ้…บ้า ก่อนนี้มีหลิงอันเข้ามารังแกทะเลต้องห้ามของข้า ต่อมายังมีคนอย่างพวกเจ้าเข้ามาข่มเหงทะเลต้องห้ามของข้า! เวรเอ๊ย คิดจริงหรือว่าทะเลต้องห้ามของเราปวกเปียกจนพวกเจ้าบดขยี้ได้ตามใจชอบ?”


จ้าวสมุทรหัวเราะเสียงเหี้ยม “ท่านบรรพชนในอาณาจักรของข้ามาแล้ว หนนี้พวกเจ้าได้เห็นดีแน่! พวกเจ้าต้องตาย หลิงอินก็ต้องตาย!”


เขาปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ในที่สุดด้านทางเชื่อมก็มีวี่แววขึ้นมา ท่านบรรพชนมาแล้ว!


ก่อนหน้านี้คราวหลิงอินมาเยือน ท่านบรรพชนจากอาณาจักรของเขามาไม่ทัน หนนี้ท่านบรรพชนจากอาณาจักรของเขามาทันเวลาแล้ว!


ฮ่า ๆ!


ทะเลต้องห้ามดวงซวยมานานขนาดนี้ ในที่สุดก็ถึงตาทะเลต้องห้ามของเขาได้ลืมตาอ้าปากแล้ว!


เจ้าพวกนี้ รวมถึงหลิงอิน ล้วนต้องชดใช้!


ฮึ่ม จ้าวสมุทรอย่างเขาสิถึงจะเป็นผู้กำหนด!

บทที่ 468

หลิงอิน?


หลังได้ยินคำกล่าวของจ้าวสมุทร พวกเมิ่งจีพลันนิ่งค้างไปหมด


หรือว่า ผู้ที่ต่อสู้ดุเดือดในทะเลต้องห้ามก่อนหน้านี้จะเป็นหลิงอิน


ใช่แล้ว!


ลองคิดดูสิว่าในปฐพีผืนนี้ นอกจากคนข้างกายท่านเซียน ผู้ใดแข็งแกร่งน่าสะพรึงกลัวได้ถึงขั้นนี้อีก ถึงกับเดินเล่นในทะเลต้องห้ามได้อย่างง่ายดายไร้อุปสรรค


ทว่า เหตุใดหลิงอินถึงต้องก่อสงครามใหญ่หลวงขนาดนี้ในทะเลต้องห้าม!?


แต่โมงยามนี้มิใช่เวลามาคิดเรื่องเหล่านี้


เมิ่งจีสังเกตที่จ้าวสมุทรกล่าวว่าบรรพชนอาณาจักรของเขามาถึง เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “ทุกคนระวังตัวด้วย!”


ไม่ต้องสงสัยว่า บรรพชนที่กำลังจะมาถึงต้องทรงพลังสยดสยองอย่างมากแน่นอน มิฉะนั้น จ้าวสมุทรไม่มีทางยินดีปรีดาและมั่นใจขึ้นมาเพียงนี้!


“เหิมเกริมต่อไปสิ หลังท่านบรรพชนมา ข้าจะขอให้ท่านบรรพชนตัดหัวพวกเจ้าออกมาให้ข้าเตะเล่น!”


จ้าวสมุทรหัวเราะเสียงเย่อหยิ่ง มือค่อย ๆ ยันตัวขึ้นจากพื้น ไม่เหลือท่าทีเกรงกลัวอีกต่อไป


บรรพชนแห่งอาณาจักรของเขา!


นี่เป็นการดำรงอยู่สูงส่งที่สุดในโลกันตร์อย่างแท้จริง อีกฝ่ายมีชีวิตอยู่มาอย่างเนิ่นนาน ระดับเทียนตี้เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านบรรพชนก็เป็นเพียงสิ่งที่เลื่อนลอย ห่างชั้นกันไกลโข!


แม้ผู้คนตรงหน้าจะเก่งกาจวิปริตเช่นเดียวกับหลิงอิน ซ้ำยังไม่อาจคาดการณ์ด้วยหลักการปกติ กระนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าท่านบรรพชน เขาเชื่อว่าคนเหล่านี้ไม่เหลือค่าอันใด ต้องถูกท่านบรรพชนกำจัดในรวดเดียว!


ขณะเดียวกัน หลุมดำขนาดใหญ่ปรากฏอยู่ด้านหลังจ้าวสมุทร นี่คือทางเชื่อมที่ทะเลต้องห้ามของพวกเขาสร้างไว้ ท่านบรรพชนแห่งอาณาจักรของเขามาถึงแล้วจริง ๆ!


“เห็นหรือยัง นี่คือท่านบรรพชนแห่งอาณาจักรของข้า การดำรงอยู่ไร้เทียมทานในโลกันตร์อย่างแท้จริง!”


จ้าวสมุทรหัวเราะร่วน หันหลังให้หลุมดำ ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง จดจ้องพวกเมิ่งจีด้วยสายตาดูแคลน


หลุมดำปรากฏ บ่งบอกว่าท่านบรรพชนแห่งอาณาจักรของเขามาถึงแล้ว!


ใช่แล้ว หลังหลุมดำปรากฏ มีสิ่งมีชีวิตโผล่ออกมาจริง ๆ


หลังพวกเมิ่งจีได้เห็นสิ่งมีชีวิตที่โผล่ออกมาจากหลุมดำ อย่าให้พูดเลยว่าสีหน้าแต่ละคนแปลกพิกลเพียงใด


นี่…นี่หรือคือที่มาของความมั่นใจของจ้าวสมุทร?


นี่…นี่หรือคือบรรพชนผู้ไร้เทียมทานในโลกันตร์ที่จ้าวสมุทรกล่าวถึง?


พวกเมิ่งจีมองหน้ากันไปมา ให้ตายสิ จ้าวสมุทรปั่นหัวพวกเขาเล่นหรือไร???


“กลัวแล้วใช่หรือไม่”


เมื่อจ้าวสมุทรได้เห็นสีหน้าประหลาดของพวกเมิ่งจี ก็นึกว่าพวกเมิ่งจีตกใจกับบรรพชนแห่งอาณาจักรเขา!


เขาหัวเราะเสียงเหี้ยม สายตาทอประกายดุดัน “ข้าขอบอกพวกเจ้า ป่านนี้เพิ่งรู้จักกลัวก็สายไปเสียแล้ว! บังอาจกำเริบสืบสานในทะเลต้องห้ามของข้า พวกเจ้าต้องตายทั้งหมด!”


“คือว่า…ท่านแน่ใจหรือว่านั่นคือบรรพชนของท่าน”


จู้จื่อน้อยทนไม่ไหว เอ่ยปากถามจ้าวสมุทรโดยตรง


“ถามมาได้! ไม่ใช่บรรพชนของข้า แล้วเป็นบรรพชนของเจ้าหรือไร”


จ้าวสมุทรตะคอก นึกในใจว่าท่านบรรพชนแห่งอาณาจักรของเขาสุดยอดจริง ๆ ดูเอาเถิดว่าคนพวกนี้ตกใจเพียงใด คำพูดคำจาเริ่มฟังไม่ได้ศัพท์แล้ว!


“บรรพชนของท่านเป็นกระต่ายหรอกหรือ! แต่หากว่ากันตามจริง บรรพชนของท่านก็น่ารักน่าชังยิ่งแล้ว!”


อ้ายฉานกะพริบตาปริบ ๆ พลางกล่าว


ใช่แล้ว สิ่งมีชีวิตที่ปรากฏกายออกจากหลุมดำก็คือกระต่ายหูโต ขนเป็นสีขาวผ่องหิมะไปทั้งตัว นี่มัน...สัตว์เลี้ยงแสนน่ารัก!


นี่คือบรรพชนของทะเลต้องห้ามตัวจริง เพียงแต่โชคร้ายไปหน่อยที่เจอกับหลี่จิ่วเต้า และด้วยความน่าขยะแขยงก็ทำให้หลี่จิ่วเต้าต้องตื่นตกใจ ชายหนุ่มจึงจัดการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ให้บรรพชนผู้นี้ ซ้ำยังดึงพลังทั้งหมดของบรรพชนผู้นี้ไป เปลี่ยนบรรพชนผู้นี้ให้เป็นกระต่ายน้อยสีขาวแสนธรรมดา


“บรรพชนเจ้าสิเป็นกระต่าย! บัดซบ! จนป่านนี้แล้วยังอวดดีอยู่อีก หมิ่นเกียรติท่านบรรพชนของข้า วันนี้เจ้าคงยากจะตายดี!”


จ้าวสมุทรสีหน้าอึมครึม อย่าให้พูดเลยว่าโมโหปานใด อ้ายฉานบังอาจท้าทายหยามเกียรติท่านบรรพชนแห่งอาณาจักรของเขาต่อหน้าท่านบรรพชนเยี่ยงนี้ ยกโทษให้ไม่ได้!


“ท่านบรรพชนว่าจริงหรือไม่”


เขาหันกลับไป สีหน้าแปรเปลี่ยนไวเหลือแสน


หน้าตาที่เคยอึมครึม ทันทีที่หันกลับไปก็แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ประดุจดอกไม้ที่บานสะพรั่ง


แต่เมื่อเขาได้เห็นสิ่งมีชีวิตในหลุมดำก็นิ่งอึ้งไป คนทั้งคนแข็งทื่อดั่งหิน ยืนค้างอยู่อย่างนั้น ท่าทางราวกับเห็นผี


ไอ้บ้าเอ๊ย!


เป็นกระต่าย…จริงเรอะ???


ท่านบรรพชนเล่า


นี่มันเรื่องบ้ากระไร!


ข้าหรือ…คอยแล้วคอยเล่า กลับคอยมาได้แค่กระต่ายตัวหนึ่งอย่างนั้นหรือ???


อย่าให้พูดเลยว่าในใจจ้าวสมุทรระทมเพียงใด อยากกระโดดสาดคำด่าใส่ทุกคนที่ผ่าน


พลันตอนนั้นเอง กระต่ายในหลุมปริปากเอ่ยพูด


ทว่าสิ่งที่พูดมามิใช่ภาษาคน หากแต่เป็นภาษากระต่าย


เมื่อมีความสามารถสูงส่งระดับจ้าวสมุทร ไม่ว่าภาษาใดล้วนมิใช่ปัญหา เขาเข้าใจความหมายในถ้อยคำได้โดยตรง


กระต่ายตัวนั้นกล่าวว่า มัวนิ่งอยู่ไย ยังไม่รีบมารับมันลงไปอีก!


หลุมดำนั้นลอยอยู่กลางอากาศ ไม่รู้ว่าสูงจากพื้นดินตั้งเท่าไร อีกทั้ง ท่านบรรพชนในเวลานี้เป็นเพียงกระต่ายธรรมดา ขืนกระโดดลงไปแบบนี้มีหวังกระแทกจนร่างเละเป็นโจ๊ก ตายสนิทจนไม่อาจตายได้อีก


“บัดซบ! เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าเจ้าคือท่านบรรพชนแห่งอาณาจักรข้า!?”


จ้าวสมุทรเดือดดาล กระต่ายตัวเล็ก ๆ ธรรมดาเยี่ยงนี้ยังกล้าตำหนิเขา ออกคำสั่งใส่เขาด้วย?


เวรจริง ๆ!


เหตุไฉนเขาถึงโชคร้ายเพียงนี้ ไม่สมปรารถนาสักเรื่อง!


อีกด้าน กระต่ายเอ่ยปากอีกครั้ง


มันบอกว่า เจ้าคนมีตาหามีแววไม่ ข้านี่แหละบรรพชนของเจ้า รีบรับข้าลงไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน!


“ข้ารับกับย่าเจ้าสิ!”


จ้าวสมุทรฟังวาจากระต่ายรู้เรื่อง เขาบันดาลโทสะอย่างมาก โกรธจนอวัยวะภายในแทบระเบิด บ้า…เอ๊ย ยามนี้เขาต้องรับอารมณ์กระต่ายด้วยหรือ


“บรร…ย่าเจ้าสิ!”


จ้าวสมุทรโมโหยิ่งกว่าเดิม ฝ่ามือข้างนั้นตบเข้าไปอย่างไม่ปรานี กระต่ายขาวผุดผ่องดุจหิมะกลายเป็นหมอกเลือดในบัดดล ถูกฆ่าตายทันที!


ก่อนกระต่ายตาย มันทรมานใจเหลือคณา


ไอ้เวร…เอ๊ย มันพยายามคลานอยู่ในทางเชื่อมตั้งหลายวัน อุตส่าห์ออกมาได้แล้ว สุดท้ายเอื้อนเอ่ยได้ไม่ถึงสองประโยคก็ถูกคนของตัวเองคร่าชีวิตไป!


นี่น่าทรมานใจเหลือเกิน ในบรรดาการดำรงอยู่สูงส่งเหนือโลกันตร์ มันคงเป็นตนแรกที่ตายอย่างไม่เป็นธรรม ตายอย่างอเนจอนาถเช่นนี้กระมัง!


อนิจจา มันไม่เหลือพลังติดตัวแม้เพียงเศษเสี้ยว ไม่อาจขัดขืนได้เลย ต้องตายไปทั้งอย่างนี้


หากความจริงของเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป น่ากลัวว่าให้ตายผู้อื่นก็เชื่อไม่ลง


ผู้ใดเล่าจะเชื่อ การดำรงอยู่สูงส่งเหนือโลกันตร์ตนหนึ่ง ถูกสังหารง่าย ๆ เช่นนี้ ต่อให้แต่งนิทานยังมิกล้าแต่งแบบนี้เลย!


“พี่ชาย พี่สาว อยากยืมของวิเศษมิใช่หรือ ถุย ไม่สิ ใช้คำว่า ‘ยืม’ ได้อย่างไร ข้าเต็มใจประเคนสมบัติล้ำค่าของวิเศษทุกอย่างในทะเลต้องห้ามของข้า!”


จ้าวสมุทรรู้จักมองสถานการณ์เป็นอย่างดี รีบบอกกับพวกเมิ่งจีด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม


แน่นอนสิ ขืนยังไม่รู้จักมองสถานการณ์ เขาคงต้องตายอยู่ที่นี่!


ในหัวนึกไปว่าท่านบรรพชนของเขาพึ่งพาไม่ได้เลยจริง ๆ กล่าวว่าจะมาตั้งนาน ผลสุดท้ายจนป่านนี้ยังไม่ถึง ทำให้เขาต้องถูกรังแกอยู่ที่นี่เรื่อยมา


เดี๋ยวก่อน…


เขานึกถึงกระต่ายตัวนั้น


กระต่ายทั่วไปไฉนเลยจะปรากฏตัวในทางเชื่อมได้


นั่นคือเส้นทางเชื่อมต่อกับอาณาจักรของเขาโดยตรง อย่าว่าแต่กระต่ายทั่วไปเลย แม้แต่เทียนตี้ยังไม่สามารถเข้าไปได้ตามใจชอบ


แม่เจ้า…คงมิใช่ว่ากระต่ายตัวนั้นเป็นบรรพชนจากอาณาจักรเขาจริง ๆ กระมัง


ทันใดนั้น ความคิดเหลวไหลนี้ก็ผุดขึ้นในใจเขา

บทที่ 469

จะเป็นไปได้อย่างไร!?


เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับบรรพชนจากอาณาจักรของเขา แต่ไม่ว่าอย่างไรท่านบรรพชนก็ไม่อาจกลายเป็นเพียงกระต่ายตัวหนึ่งได้อย่างแน่นอน!


จ้าวสมุทรรีบสลัดความคิดไร้สาระออกจากหัวของตนเอง พยายามไม่คิดถึงมันอีก


ถ้านี่เป็นเรื่องจริงจะหมายความว่าอย่างไร?


หมายความว่า...เขาสังหารท่านบรรพชนของตนไปแล้ว!


มะ ไม่ ไม่ ไม่มีทางเป็นไปได้!


“ด้านหลังหลุมดำนั่นคือสิ่งใด? ผู้ใดอยู่เบื้องหลังทะเลต้องห้ามของพวกเจ้า?”


เมิ่งจีมองไปที่จ้าวสมุทร หลังพบว่าด้านในหลุมดำมีเส้นทางอยู่สายหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเชื่อมต่อกับสถานที่แห่งใด เขาจึงเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา


จ้าวสมุทรหายใจออกมา เขารู้ดีว่าไม่มีทางปิดซ่อนได้ จึงบอกสถานที่ที่ถูกเชื่อมต่อ และยังกล่าวถึงเบื้องหลังของทะเลต้องห้าม


“ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่นี่ แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มาจากภายนอก!?”


รูม่านตาของเมิ่งจีหดตัวลง ในใจรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บาง ทะเลต้องห้ามที่ดำรงอยู่มาตั้งแต่ยุคอนันตกาลแท้จริงแล้วมาจากนอกอาณาจักร นี่จะให้เขาคาดคิดมาก่อนได้อย่างไร?


ทะเลต้องห้ามได้มายังอาณาจักรของพวกเขาแล้วดำรงอยู่ผ่านเวลามานานนับไม่ถ้วน ไม่รู้ว่าทะเลต้องห้ามกำลังวางแผนการอะไรอยู่!?


อาณาจักรแห่งนี้มีสิ่งใดที่สามารถดึงดูดทะเลต้องห้ามได้!?


“ที่แห่งนั้น...”


จ้าวสมุทรตอบ ไม่ปิดบังสิ่งใด


เขารู้แจ้งอย่างชัดเจนว่าเขาไม่มีทางปิดบังสิ่งใดได้ ตอนนี้ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเมิ่งจี


“ฟ้าดินล้วนถือกำเนิดจากความโกลาหล...”


จ้าวสมุทรเล่าทุกสิ่งที่รู้ออกมา


ท่ามกลางจักรวาลอันไร้ที่สิ้นสุด เดิมทีแล้วมีเพียงแต่ความโกลาหล ก่อนจะกำเนิดเป็นโลกหรือก็คืออาณาจักรขึ้นมาทีละอาณาจักร ก่อกำเนิดสิ่งมีชีวิตขึ้นมาทีละเผ่าจากการเปลี่ยนแปลงของความโกลาหล หลังจากนั้นความโกลาหลก็หายไป จักรวาลถูกจัดเรียงขึ้นใหม่


“ทว่าพลังโกลาหลยังคงไม่สูญสลายไปจนหมด ภายในยังคงมีแกนกลางความโกลาหลหลงเหลืออยู่ พวกเราเรียกขานว่า แดนบรรพโกลาหล”


จ้าวสมุทรเล่าต่อ “สถานที่อันเป็นต้นกำเนิด สถานที่อันเป็นจุดสูงสุดอย่างแท้จริง สถานที่ที่ทุกสิ่งล้วนเหนือเกินกว่าจะจินตนาการถึง...”


ดินแดนอันเป็นแกนกลางความโกลาหล ไม่ต้องคิดอะไรมากก็สามารถรู้ได้ว่ามันจะเหนือชั้นมากเพียงใด อย่างไรเสียทุกสิ่งล้วนเกิดมาจากใจกลางความโกลาหล


อาณาจักรแห่งนั้นเคยเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากครั้งอดีตกาล เป็นอันดับหนึ่งอย่างแท้จริง อยู่เหนือกว่าทุกอาณาจักร


“ดินแดนที่ถูกเรียกขานว่าเป็นอาณาจักรเก้าตอนบนในปัจจุบัน ก็เคยเป็นเพียงดินแดนแห่งหนึ่งของอาณาจักรแห่งนี้...”


คำบอกเล่าของจ้าวสมุทรสามารถทำให้คนฟังตกใจตายได้ เมิ่งจีและคนอื่น ๆ พากันเปลี่ยนสีหน้าทันทีหลังได้ยิน


อาณาจักรเก้าตอนบนมีต้นกำเนิดจากอาณาจักรแห่งนี้ ทั้งยังเคยเป็นถึงหนึ่งในดินแดนของอาณาจักรแห่งนี้!


ข้อมูลนี้สามารถสร้างความตกตะลึงเป็นอย่างมาก ทำให้ความรู้ความเข้าใจพวกเขาพลิกกลับ


สวรรค์! อาณาจักรแห่งนี้ในช่วงรุ่งโรจน์จะน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงใด!


“แต่น่าเสียดายที่เกิดเหตุการณ์ประหลาดครั้งใหญ่ขึ้นในอาณาจักร จนสุดท้ายก็สูญสิ้นความรุ่งโรจน์ทั้งปวง อาณาจักรเก้าตอนบนเองก็แยกตัวออกมาจากอาณาจักรแห่งนี้ กลายเป็นหนึ่งอาณาจักรเอกเทศ ก่อนจะเป็นอาณาจักรเก้าตอนบนที่อยู่เหนือนับหมื่นอาณาจักร”


จ้าวสมุทรกล่าวต่อ


ทะเลต้องห้ามนั้นเก่าแก่เป็นอย่างมาก ล่วงรู้ความลับในอดีตกาลมากมายที่คนทั่วไปไม่รู้


เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดครั้งใหญ่ เก้าอาณาจักรตอนบนแยกตัวออกมา ความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรมอดดับ ฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ค่อย ๆ เสื่อมโทรมลงทุกยุคทุกสมัย


“เหตุการณ์แปลกประหลาดครั้งใหญ่คือสิ่งใด ไม่มีผู้ล่วงรู้แน่ชัด เวลาล่วงผ่านมานานเกินไป ความจริงมากมายถูกกลบฝังเอาไว้ มีหลายสิ่งหลายอย่างถูกทำลายไปในเหตุการณ์แปลกประหลาดเป็นจำนวนมากจนไร้หนทางสืบสาว แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถแน่ใจได้คือ แกนกลางความโกลาหลจะต้องอยู่ในอาณาจักรแห่งนี้ ไม่เช่นนั้นอาณาจักรแห่งนี้คงไม่อาจรุ่งโรจน์ขนาดนั้นได้ในครั้งอดีต ซ้ำยังถูกเรียกขานว่าเป็นอาณาจักรแห่งแรกของจักรวาล!”


จ้าวสมุทรเล่าว่าก่อนจะเกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดครั้งใหญ่ เซียนอาจมีตัวตนอยู่จริง ทั้งยังอาจดำรงอยู่ในอาณาจักรแห่งนี้


“ด้วยความรุ่งโรจน์ถึงเพียงนั้น ไม่มีทางที่เซียนจะไม่ถือกำเนิดขึ้นมา! พวกข้าถึงกับเกิดความสงสัยว่าภพเซียนที่คนรุ่นหลังพูดถึงกัน จะเป็นดินแดนที่ถูกแยกออกมาจากอาณาจักรแห่งนี้ด้วย!”


จ้าวสมุทรพูดเรื่องน่าตื่นตะลึงขึ้นมาอีกครั้ง


ความโกลาหลกลายเป็นสรรพสิ่ง พลังทุกอย่างล้วนเกิดจากพลังโกลาหล ความเป็นอมตะเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น


จากการสำรวจของพวกเขาแล้ว อาณาจักรแห่งนี้เคยเปี่ยมด้วยพลังโกลาหลจำนวนมาก เหนือยิ่งกว่าอาณาจักรใด เป็นเหตุให้คาดเดากันว่าดินแดนบรรพโกลาหลตั้งอยู่ที่อาณาจักรแห่งนี้


เปี่ยมด้วยพลังโกลาหลเช่นนี้ จะต้องมีสสารนิรันดร์อย่างแน่นอน คงจะเป็นเรื่องแปลกประหลาดหากไม่มีเซียนถือกำเนิดขึ้นมาในอาณาจักรแห่งนี้!


“แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ที่ร่องรอยของเซียนสูญสลายไปจนหมดสิ้น เรื่องราวของเซียนถูกผู้คนเล่าขานไม่รู้กี่ยุคกี่สมัย แต่กลับไม่อาจพบพานได้มานานแล้ว กลายเป็นเพียงตำนานสืบต่อมาเท่านั้น...”


จ้าวสมุทรเล่าต่อ


หลังจากเหตุการณ์แปลกประหลาดครั้งใหญ่ ความจริงทั้งหลายก็ถูกกลบฝังเอาไว้ ทว่ายังคงมีเรื่องราวบางอย่างที่สามารถสืบเสาะหาได้


หากแต่เรื่องของเซียนนั้นไร้ซึ่งร่องรอยใด ราวกับไม่เคยมีอยู่ตั้งแต่แรก ทำให้ผู้คนไม่อาจจะเชื่อ


จะไม่มีได้อย่างไร?


ปราณโกลาหลมหาศาลปกคลุม สสารนิรันดร์เปี่ยมล้น มันเป็นไปได้อย่างไรที่เซียนจะไม่ถือกำเนิดขึ้นมา?


แต่อันที่จริงแล้ว พวกเขาพบร่องรอยว่าอาณาจักรแห่งนี้เคยมีปราณโกลาหลอยู่จำนวนมหาศาล รวมทั้งสสารนิรันดร์ ทว่ากลับไม่พบร่องรอยใดเกี่ยวกับเซียนแม้แต่น้อย...


“ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด หลังจากเหตุการณ์แปลกประหลาดครั้งใหญ่ ในอาณาจักรแห่งนี้ก็ไม่มีปราณโกลาหลอีก สสารนิรันดร์ที่มีอยู่ก็สูญสลายหายไป แต่ถึงเป็นเช่นนั้นพวกเราก็เชื่อว่าแดนบรรพโกลาหลยังคงไม่หายไป ทว่ายังคงอยู่ภายในอาณาจักรแห่งนี้!”


จ้าวสมุทรเล่าเหตุผลที่ทะเลต้องห้ามเข้ามายังอาณาจักรแห่งนี้ พวกเขาต้องการจะสืบเสาะหาแดนบรรพโกลาหล จากนั้นก็เข้าไปยังแดนบรรพโกลาหล!


“พวกเราวางแผนมาอย่างยาวนานก็เพื่อเข้าไปยังแดนบรรพโกลาหล อีกทั้งในช่วงนี้พวกเราสามารถสัมผัสได้ถึงปราณโกลาหลปรากฏขึ้นมามากกว่าเดิม แสดงให้เห็นว่าแดนบรรพโกลาหลมีโอกาสที่จะปรากฏขึ้นมาในอาณาจักรแห่งนี้!”


เขากล่าต่อ “แดนต้องห้ามที่อื่นเองก็ไม่ต่างไปจากพวกเรา ต้องการจะเข้าไปยังแดนบรรพโกลาหลเช่นเดียวกัน”


หลังจากเมิ่งจีและคนอื่น ๆ ได้ฟังแล้วก็พากันอ้างปากค้าง ภายในใจตกตะลึงจนไม่อาจบรรยายได้


จะไม่ให้ตื่นตะลึงได้อย่างไร?


ที่แท้อาณาจักรของพวกเขามีภูมิหลังใหญ่โตถึงปานนั้น ภพเซียนเองก็อาจเป็นดินแดนที่ถูกแบ่งออกไปจากอาณาจักรแห่งนี้!


“สสารนิรันดร์สูญสลายหายไป...เป็นไปได้หรือไม่ว่าภพเซียนจะนำสสารนิรันดร์ของอาณาจักรแห่งนี้ไปด้วย!”


ไป๋มู่อดกล่าวขึ้นมาไม่ได้


อย่างไรเสีย เซียนก็เป็นตัวแทนของความเป็นนิรันดร์ ภพเซียนก็ย่อมเป็นตัวแทนของดินแดนนิรันดร์ ความคิดของเขาน่าจะถูกต้อง เซียนคงจะนำสสารนิรันดร์ทั้งหมดไปเพื่อสร้างแดนนิรันดร์อย่างภพเซียน


“พวกเราก็คิดเช่นนั้น แต่ทว่าพวกเราไม่พบร่องรอยของเซียน ดังนั้นจึงไม่อาจแน่ใจว่าความคิดนี้ถูกต้องหรือไม่”


จ้าวสมุทรกล่าว


แท้จริงแล้วเขาก็ไม่รู้เรื่องราวนัก เขารู้เพียงว่าสถานที่แห่งนั้นจะต้องน่าตื่นตะลึงอย่างถึงที่สุด ทั้งยังอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับเซียน แต่เรื่องอื่น เขาล้วนไม่รู้


ทว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ท่านบรรพชนติดต่อมา เขาได้ถามท่านบรรพชนเกี่ยวกับสถานการณ์ของที่แห่งนั้น ท่านบรรพชนจึงเล่าเรื่องราวนี้ให้เขาฟัง


ท่านบรรพชนบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ก็เพื่อให้เขาทราบถึงความยอดเยี่ยมของสถานที่แห่งนั้น ในขณะเดียวกันก็เพื่อให้เขาปกป้องส่วนลึกของทะเลต้องห้ามไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นส่วนลึกของทะเลต้องห้ามก็ไม่อาจถูกทำลายได้!


สิ่งที่อยู่ในส่วนลึกของทะเลต้องห้ามนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางเข้าสู่แดนบรรพโกลาหล


แต่ของสิ่งนั้นคืออะไร เขาเองก็ไม่รู้ ของสิ่งนั้นลึกลับเป็นอย่างมาก ทั้งยังถูกผนึกเอาไว้หลายชั้น


เมิ่งจีและคนอื่น ๆ ไม่เอ่ยสิ่งใด พวกเขายังคงย่อยข้อมูลที่เพิ่งได้รับรู้เมื่อสักครู่


ข้อมูลเหล่านี้ล้วนทำให้พวกเขาตกตะลึงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้พวกเขาสงบใจไม่ได้!

บทที่ 470

ปรากฏว่าแดนบรรพโกลาหลดำรงอยู่บนอาณาจักรแห่งนี้!


พวกเมิ่งจีนึกถึงท่านเซียนขึ้นมาในทันที


ท่านเซียนมาจากแดนบรรพโกลาหลใช่หรือไม่?


นี่...มีโอกาสเป็นไปได้มาก!


ความสามารถท่านเซียนน่าเหลือเชื่อและเหนือชั้นถึงเพียงนั้น!


หลังจากได้สติกลับมา เมิ่งจีก็มองไปที่จ้าวสมุทรแล้วเอ่ยถาม “เจ้ารู้จักแดนมรณามากน้อยเพียงใด?”


พฤติกรรมของของแดนมรณาต่างจากทะเลต้องห้ามอย่างเห็นได้ชัด แดนมรณาต้องการจะกลบฝังสิ่งมีชีวิตทั้งหมด หมายจะให้อาณาจักรแห่งนี้อาบย้อมไปด้วยโลหิต เขาอยากรู้ว่าแดนมรณาต้องการทำสิ่งใด!


“รู้ไม่มาก”


จ้าวสมุทรตอบทุกคำด้วยความสัตย์จริง เขาเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ตนเองรู้เกี่ยวกับแดนมรณาออกมา


ที่แห่งนั้นคือขุมพลังอันน่าหวาดกลัวอย่างแท้จริง อยู่เหนือยิ่งกว่าดินแดนทั้งหมด แม้จะเป็นอาณาจักรเก้าแดนต้องห้ามก็ไม่อาจเทียบได้กับแดนมรณา ทั้งยังห่างชั้นเป็นอย่างมาก


“น่าปวดหัว!”


เมิ่งจีอดเกาหัวขึ้นมาไม่ได้ อาณาจักรแห่งนี้เสมือนบ่อน้ำที่ลึกเกินไป ไม่อาจคาดเดาได้จริง ๆ ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นอีกในวันข้างหน้า!


แค่คิดเขาก็รู้สึกปวดหัวแล้ว!


ตอนนี้เขาค่อนข้างเข้าใจแล้วว่าเหตุใดท่านเซียนจึงไม่ทำตัวโดดเด่น อาศัยอยู่ในเมืองชิงซานในฐานะปุถุชน ดูเหมือนว่าจะมีพายุอันไม่อาจจินตนาการถึงหลบซ่อนอยู่ในความมืด!


“ต้องปิดผนึกเส้นทางนี้!”


ในใจของเมิ่งจีได้ข้อสรุป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต เขาก็ยังต้องทำในสิ่งที่สมควรทำ


เส้นทางนี้เชื่อมต่อกับภายนอกอาณาจักร ปล่อยไว้จะต้องเป็นภัยร้ายแอบแฝงอย่างแน่นอน


ใจจริงเขาอยากทำลายเส้นทางนี้ทิ้งเสีย แต่หากเส้นทางนี้ถูกทำลาย อาณาจักรเบื้องหลังทะเลต้องห้ามจะต้องไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปอย่างแน่นอน นั่นหมายความว่าเป็นการผลักทะเลต้องห้ามไปอยู่ฝั่งอาณาจักรเทียนหยวน ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปกว่าเดิม


ดังนั้นเขาจึงยังไม่คิดจะทำลายเส้นทางนี้ แต่ตั้งใจจะปิดผนึกเอาไว้ก่อน


หลังจากปิดผนึกเส้นทางนี้แล้ว แม้ว่าอาจไม่สามารถหยุดยั้งสิ่งมีชีวิตที่ต้องการจะข้ามเส้นทางนี้ อย่างน้อยเขาก็ยังสามารถรับรู้ได้ว่ามีผู้ผ่านผนึกเข้ามาแล้ว


เมื่อรู้ว่าแดนบรรพโกลาหลตั้งอยู่ในอาณาจักรของพวกเขา ทั้งยังส่อแววจะปรากฏออกมา เขาก็เข้าใจได้ว่าในอนาคตอาณาจักรแห่งนี้จะไม่สามารถปิดกั้นสิ่งมีชีวิตจากภายนออกได้


จะปิดกั้นได้อย่างไร?


เมื่อแดนบรรพโกลาหลปรากฏขึ้น อาณาจักรนับหมื่นคงไม่สงบนิ่งพากันรุมเข้ามา พวกเขาจะสามารถต่อกรปิดกั้นไม่ให้หมื่นอาณาจักรเข้ามาได้อย่างไร?


มันไม่มีทางเป็นไปได้


และไม่สามารถปิดกั้นได้ด้วย


ถึงจะสามารถปิดกั้นได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่จะสามารถปิดกั้นไว้ได้ตลอดกาลเลยหรือ?


‘ต้องสยบสิ่งมีชีวิตจากภายนอกอาณาจักร พวกมันเข้ามาได้ แต่ไม่อาจก่อเรื่องวุ่นวายในอาณาจักรแห่งนี้ได้!’


เมิ่งจีคิดขึ้นมาในใจ หากไม่สามารถยับยั้งการเข้ามาได้ นี่ก็เป็นทางออกเดียว


เขายังคิดอีกว่าเหตุผลที่ท่านเซียนชี้แนะคนไม่น้อย อาจมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็เป็นได้?


ท่านเซียนไม่ออกหน้า แต่ให้เหล่าคนที่เคยชี้แนะและสั่งสอนเป็นผู้ออกหน้าเพื่อสยบสิ่งมีชีวิตจากต่างอาณาจักรไม่ให้ก่อความวุ่นวายหรือ?


มีความเป็นไปได้มาก!


หากไม่มีการสยบสิ่งมีชีวิตจากต่างอาณาจักรเอาไว้ก่อน พวกมันจะต้องไม่เห็นสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรแห่งนี้อยู่ในสายตาอย่างแน่นอน


‘เรื่องนี้เอาไว้ทีหลัง ตอนนี้จะต้องซ่อมรอยแยกเสียก่อน จะได้ยื้อเวลาได้นานขึ้น!’


เมิ่งจีคิดขึ้นมาในใจ


การซ่อมแซมรอยแยกเป็นเรื่องที่สำคัญสุดในตอนนี้ หากซ่อมรอยแยก พลังฟ้าดินก็จะกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง ทำให้สามารถต้านทานได้นานขึ้นอีกหน่อย


เวลาที่ยื้อออกมานี้สามารถใช้เพื่อให้คนที่ท่านเซียนชี้แนะและสั่งสอนได้เติบโตขึ้น!


อย่างเช่นอ้ายฉาน สือเฟิง และคนอื่น ๆ


สุดท้ายแล้วเมิ่งจีก็วาดพู่กัน ปิดผนึกเส้นทางของทะเลต้องห้ามด้วยความช่วยเหลือจากสมบัติล้ำค่า


ระหว่างขั้นตอนนี้ จ้าวสมุทรมองดูด้วยความรู้สึกอึดอัดใจจนไม่อาจบรรยายได้


พู่กันในมือเมิ่งจีเองก็ไม่ใช่ของสามัญ เปี่ยมด้วยเต๋าสูงสุดอันไม่อาจจินตนาการถึงการไหลเวียน พลังที่ใช้ในการผนึกเส้นทางทรงพลังเป็นอย่างมาก จากการคาดคะเนของเขา ต่อให้ขั้นเทียนตี้ลงมือก็ไม่อาจสั่นคลอนผนึกนี้ได้โดยง่าย


ทว่าแม้จะรู้สึกอึดอัดใจเพียงใด เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาสักคำ


ทุกคำที่พูดออกไปล้วนอาจนำพาไปหาความตาย!


“ไป ไปแดนต้องห้ามอื่นกัน!”


เมิ่งจีออกจากทะเลต้องห้ามไปพร้อมกับคนอื่น ๆ


แน่นอน ก่อนจากไปเขาได้กวาดสมบัติล้ำค่าทั้งหมดของทะเลต้องห้ามไปด้วย สมบัติเหล่านี้เขาจะใช้พวกมันเพื่อซ่อมรอยแยก


...


ณ เมืองชิงซาน


ด้านในลานเล็ก ๆ ของหลี่จิ่วเต้า


“นับตั้งแต่นี้ไปเรียกข้าว่านายท่านเข้าใจหรือไม่?”


ในถังน้ำ ปลามังกรวางอำนาจเป็นอย่างมาก ไม่เห็นปลาตัวอื่นอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย


มันน่ากลัวและแข็งแกร่งเกินไป แม้ว่าพลังของมันจะถูกยับยั้งเอาไว้ แต่มันก็ยังแข็งแกร่งกว่าปลาตัวอื่นอยู่มาก โดยเฉพาะหลังจากมันรู้ว่าปลาเหล่านี้เป็นเพียงอาหารแมว มันก็เหยียดหยามปลาตัวอื่นมากยิ่งกว่าเดิม


“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว!”


“นายท่าน!”


ปลาตัวอื่นในถังน้ำไม่กล้าทำให้ปลามังกรขุ่นเคืองใจ พากันร้องเรียกปลามังกรว่านายท่านทีละตัว


“แล้วเจ้าล่ะ?”


ปลามังกรมองไปยังมัจฉาสัตมายา ปลาทั้งหมดในถังต่างยอมจำนนให้กับมัน เหลือเพียงแต่มัจฉาสัตมายาที่ไม่เคลื่อนไหวใด ๆ


“อย่าคิดว่าเจ้ามีความสัมพันธ์อันดีกับแมวที่ท่านบรรพจารย์เซียนแล้วข้าจะไม่กล้าทำอะไรเจ้า! ข้าจะบอกเจ้าให้ ข้าดีกว่าแมวตัวนั้นมาก ในอนาคตสถานะของข้าจะต้องดีกว่าแมวตัวนั้น!”


มันหรี่ตาลงเล็กน้อย “ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าแมวตัวนั้นไม่อยู่ที่นี่ ไม่มีผู้ใดปกป้องเจ้าได้!”


ความสัมพันธ์ของมัจฉาสัตมายาและแมวขาว มันเองก็ทราบเรื่องนี้จากปลาตัวอื่น ๆ


ทว่ามันก็ไม่ได้ใส่ใจ


มันเป็นเซียนมัจฉา ลั่วสุ่ยจะสามารถเทียบมันได้อย่างไร?


ท่านบรรพจารย์เซียนจะต้องให้ความสนใจกับมันมากขึ้นในอนาคต แมวขาวตัวนั้นก็ทำได้แต่เพียงอยู่ด้านหลังมันเท่านั้น


มัจฉาสัตมายาไม่สนใจปลามังกร


ปลามังกรตัวนี้นับเป็นสิ่งใด กล้าไปเปรียบเทียบกับพี่ลั่วสุ่ยได้อย่างไร?


ท่านเซียนใจดีกับพี่ลั่วสุ่ยเป็นอย่างมาก แม้ว่าปลามังกรจะเป็นเซียนมัจฉา แต่มันก็ไม่เชื่อว่าปลามังกรจะอยู่เหนือกว่าพี่ลั่วสุ่ย


พี่ลั่วสุ่ยจากไปพร้อมกับเซี่ยเหยียน มันดีใจกับพี่ลั่วสุ่ยเป็นอย่างมาก มันรู้ว่าพี่ลั่วสุ่ยกำลังจะได้ทำตามความปรารถนาของตนเอง เมื่อพี่สาวลั่วสุ่ยกลับมาก็จะแปลงกายเป็นมนุษย์ คอยอยู่ข้างกายท่านเซียน


“ผู้เข้าใจสถานการณ์คือผู้เฉลียวฉลาด ข้าเชื่อว่าเจ้าจะเป็นปลาที่รู้จักดูสถานการณ์!”


ปลามังกรกล่าวอีกครั้ง


“คิดอะไรอยู่! ข้ามัจฉาสัตมายาจะยอมศิโรราบง่าย ๆ ได้อย่างไร!”


ท่าทีของมัจฉาสัตมายาแข็งกร้าวเป็นอย่างมาก ภายในใจคิดว่าปลามังกรตัวนี้จะกล้ากินมันหรืออย่างไร?


อีกด้านหนึ่ง ปลามังกรไม่พูดจาสิ่งใด


มันกัดปลาตัวหนึ่งในทันที!


อ๊าก!


ปลาตัวที่โดนกัดน้ำตาไหลพรากด้วยความเจ็บปวด ภายในใจกล่าวว่าปลามังกรกัดปลาผิดตัวแล้วหรือไม่? มันไม่ใช่ผู้ที่ไม่ยอมเรียกปลามังกรว่านายท่าน!


ควรไปกัดมัจฉาสัตมายา มากัดข้าด้วยเหตุใดกัน!


ปลามังกรโหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่กัดปลาตัวนั้นอย่างง่ายดาย ยังอ้าปากกินปลาตัวนั้นไปภายในคำเดียวต่อหน้ามัจฉาสัตมายา


บัดซบ!


โหดเหี้ยมอะไรเพียงนี้!


มัจฉาสัตมายารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที


ปลามังกรตัวนี้บอกกินก็คือกิน โหดเหี้ยมอย่างมาก!


“อ่า นายท่านช่างเป็นปลาที่มีสายตาเฉียบแหลม ข้าเป็นปลาที่รู้จักดูสถานการณ์ตั้งแต่เด็กจริง ๆ!”


มันกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มทันที


ลูกผู้ชายยืดได้หดได้!


มันไม่สามารถเอาชนะปลามังกรได้ พี่ลั่วสุ่ยเองก็ไม่อยู่ที่นี่ หากมันต้องการจะต่อกรกับปลามังกรตัวนี้จริง ๆ ก็ไม่มีผลลัพธ์ดี ๆ ให้มันแม้แต่น้อย!


ปลามังกรตัวนี้ดุร้ายกราดเกรี้ยวเช่นนี้ มันรู้สึกได้ว่าปลามังกรจะไม่พบจุดจบที่ดี!


มันจะอดทนเอาไว้ก่อน คอยดูว่าปลามังกรตัวนี้จะกำเริบเสิบสานได้นานเพียงใด!


“ใช่แล้ว ข้ามองออกนานแล้วว่าเจ้าเป็นปลาที่รู้จักดูสถาการณ์”


ปลามังกรพูดด้วยรอยยิ้ม มันพึงพอใจกับท่าทีของมัจฉาสัตมายามาก