461-465

บทที่ 461

“ได้”


หลังจากฟังเซี่ยเหยียนพูด หลี่จิ่วเต้าก็หัวเราะแล้วกล่าวออกมา “หากเสี่ยวไป๋สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ จะต้องเป็นสตรีที่งดงามมากอย่างแน่นอน!”


“ใช่แล้ว ใช่แล้ว จะต้องสวยมากอย่างแน่นอน!”


“ข้าจะเฝ้ารอเลย!”


พวกอ้ายฉานพากันพูดเจื้อยแจ้ว


ด้านในน้ำ มัจฉาสัตมายาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ดูเหมือว่ามันจะคิดมากไปเอง ท่านเซียนใจดีกับพี่ลั่วสุ่ยเป็นอย่างมาก ทั้งยังช่วยให้ลั่วสุ่ยสามารถทำตามความปรารถนาของตนเองได้


มันรู้ว่าพี่ลั่วสุ่ยต้องการจะแปลงกายเป็นมนุษย์เพื่ออยู่ข้างกายท่านเซียนอย่างถึงที่สุด พี่ลั่วสุ่ยเคยพูดเรื่องนี้ให้กับมันฟัง


‘พี่สาว น้องชายหวังว่าชีวิตของท่านจะดีขึ้นเรื่อย ๆ! ท่านอย่าได้ทำอะไรโง่เง่าเพื่อน้องชายเลย!’


มันกล่าวขึ้นมาในใจ ยินดีกับลั่วสุ่ยอย่างยิ่ง


อีกด้านหนึ่ง ลั่วสุ่ยมองไปทางถังน้ำราวกับว่าภายในใจยังคงมีเรื่องราวบางอย่าง


“ไม่ต้องดูแล้ว ปลาจะไม่ถูกส่งให้ผู้อื่น”


หลี่จิ่วเต้ายิ้ม “ไม่ต้องกังวลแล้ว!”


“เมี้ยว เมี้ยว เมี้ยว!”


ลั่วสุ่ยร้องออกมาอย่างมีความสุข เจ้าแมวน้อยถูไถหัวตัวเองไปมาในอ้อมแขนของท่านเซียน


ทุกสิ่งล้วนไม่อาจหลบซ่อนจากท่านเซียนได้!


แม้จะเป็นเพียงเรื่องราวที่คิดอยู่ในใจก็ตาม!


ท่านเซียนล่วงรู้ทุกสิ่ง!


นางตื้นตันใจมากกว่าเดิม ท่านเซียนปฏิบัติกับนางดีอย่างมาก ทั้งยังเปลี่ยนความคิดเพราะนาง ยอมปล่อยมัจฉาสัตมายาไป


ด้านในถังน้ำ มัจฉาสัตมายาตื่นเต้น ตอนนี้มันรู้สึกโล่งอกที่จะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับมันแล้ว


บุ๋ง บุ๋ง!


ยินดีด้วยพี่ชี!


พี่ชีได้รู้จักพี่สาวที่ดีจริง ๆ!


ปลาตัวอื่นในถังน้ำกล่าวกับมัจฉาสัตมายา


พวกเขารู้แจ้งชัดเป็นอย่างยิ่ง หากไม่มีลั่วสุ่ย เกรงว่าชะตาครั้งนี้ของมัจฉาสัตมายาจะถูกกำหนดแล้ว


สิ่งนี้ทำให้พวกมันอิจฉาเป็นอย่างมาก ตราบใดที่มีลั่วสุ่ยอยู่ ชีวิตของมัจฉายาสัตมายาก็จะมั่นคง


พี่สาว!


ข้าเองก็อยากเป็นน้องชายของท่านด้วย!


พวกมันต่างตะโกนขึ้นมาในใจว่าอยากจะเป็นน้องชายของลั่วสุ่ย ต้องการให้ลั่วสุ่ยปกป้องพวกเขา


“วัว! ลูกวัวตัวนั้น! ท่านเซียนยังใจดีกับลูกวัวตัวนั้นเป็นอย่างมาก ถึงกับพาออกไปเดินเล่นอยู่บ่อยครั้ง ทั้งยังดูแลเป็นอย่างดี!”


ปลาตัวอื่นต่างคิดถึงลูกวัวซึ่งท่านเซียนให้ความเอ็นดูเป็นอย่างมาก


‘เหอเหอ พวกเจ้าไปแข่งกันเป็นน้องชายของลั่วสุ่ยเสียเถอะ! ข้าจะไปเป็นน้องชายของลูกวัวตัวน้อย! ในอนาคตลูกวัวจะต้องทรงพลังเป็นอย่างมาก สามารถปกป้องข้าได้อย่างแน่นอน!’


มันคิดในใจ แต่ไม่ได้พูดสิ่งใดออกมา


มันจะพูดอะไรออกมาซี้ซั้วได้อย่างไร!


ถ้าเกิดพูดออกไป ปลาตัวอื่นจะต้องแก่งแย่งลูกวัวกันอย่างแน่นอน มันเองก็จะไม่มีข้อได้เปรียบอันใด


ฮัดชิ้ว!


ที่ลานเล็ก ๆ ข้างบ้าน ลูกวัวจามออกมาอย่างกระทันหัน


มันใช้กีบเท้าเกาหัวของตนเองด้วยความฉงน เป็นผู้ใดกันที่คิดถึงมัน?


ช่างมันเถอะ นอนต่อดีกว่า!


มันนอนบนพื้นอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะหลับสบาย มันมานอนพักกลางวันที่นี่เป็นประจำทุกวัน


อีกด้านหนึ่ง หลี่จิ่วเต้าพูดกับต้าเต๋อว่า “หลังจากกินเสร็จแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปตกปลาด้วยกัน แล้วปลาทั้งหมดที่ข้าจับได้ล้วนมอบให้เจ้า”


ปลาตัวไหนก็ล้วนเหมือนกันหมดไม่แตกต่าง ทั้งหมดล้วนเป็นปลาที่เขาจับมาจากแม่น้ำสายเล็ก ปลาที่จะมอบให้ต้าเต๋อก็เป็นปลาที่จะตกจากที่แห่งนั้นเหมือนกัน


“ตกลง! ขอบคุณคุณชาย!”


ต้าเต๋อตอบกลับอย่างไม่รู้สึกเสียดายอะไร ปลาที่ท่านเซียนบอกจะมอบให้กับเขา มันจะต้องเป็นปลาที่ไม่เลวอย่างแน่นอน


หลังจากกินเสร็จแล้ว ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นหยิบอุปกรณ์ตกปลาออกจากบ้าน


“ตอนเย็นก็อย่าเพิ่งไปไหนกันเล่า อยู่ทานข้าวเย็นที่บ้านเสียก่อน”


หลี่จิ่วเต้าพูดกับเซี่ยเหยียนและคนอื่น ๆ ด้วยรอยยิ้ม


“พวกเจ้าอยากกินสิ่งใด?” เขาถาม


“หม้อไฟ!”


“ใช่แล้ว กินหม้อไฟกันเถอะ! หม้อไฟอร่อยที่สุดแล้ว!”


พวกอ้ายฉานตอบ พวกเด็ก ๆ ยังคงจำหม้อไฟได้ เพียงแค่คิดก็หวนนึกถึง


“ได้!”


หลี่จิ่วเต้ากล่าว “เรื่องเนื้อต้องมอบให้พวกเจ้าจัดการแล้ว”


“ไม่มีปัญหา!”


พวกอ้ายฉานพากันตบอกตอบรับด้วยความกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก นึกถึงการกินหม้อไฟครั้งล่าที่สุดที่พวกเขาได้กินสัตว์อสูรที่จับกันมา


“เช่นนั้นพวกเจ้าไปเถอะ ข้าจะไปตกปลานอกเมือง”


หลี่จิ่วเต้าและต้าเต๋อออกจากลานเล็ก ๆ ไปตกปลายังแม่น้ำสายเล็กด้านนอกเมือง


ส่วนพวกอ้ายฉานต่างพากันไปจับสัตว์อสูรกลับมาอย่างมีความสุข


พูดตามสัตย์จริงแล้ว หม้อไฟนั้นอร่อยเป็นอย่างมาก!


หากให้พวกเขากล่าวถึงอาหารที่อร่อยที่สุดในใจของพวกเขา อันดับที่หนึ่งย่อมต้องเป็นหม้อไฟอย่างแน่นอน!


เอ๊ะ ไม่สิ เค้กเองก็อร่อย นับว่าเป็นที่หนึ่งเหมือนกัน!


ไม่สิ ไม่สิ!


เนื้อตุ๋นของท่านเซียนเองก็อร่อย


เนื้อย่างเองก็อร่อย!


อ๊า ทั้งหมดล้วนเป็นอันดับหนึ่ง!


“คุณชายดีกับเจ้าจริง ๆ!”


ภายในลานเล็ก ๆ เซี่ยเหยียนเอ่ยกับลั่วสุ่ยด้วยอารมณ์ลึกซึ้ง


นางเองก็รู้ว่าลั่วสุ่ยต้องการจะแปลงกายเป็นมนุษย์มากที่สุด มาคราวนี้ท่านเซียนก็ช่วยให้ความปรารถนาของลั่วสุ่ยเป็นจริง


ตอนที่ท่านเซียนพึ่งพูด นางควรจะนึกถึงจุดนี้ให้ออกเร็วกว่านี้


ท่านเซียนมักทำตัวเป็นปุถุชนอยู่เสมอ ไม่เคยกล่าวถึงเรื่องการฝึกตนอย่างชัดเจน แน่นอนว่าในครั้งนี้ก็ไม่บอกตรง ๆ ให้ลั่วสุ่ยแปลงกายเป็นมนุษย์


ท่านเซียนจึงกล่าวว่าลั่วสุ่ยมีจิตวิญญาณ นางควรจะคิดออกว่าท่านเซียนต้องการให้ลั่วสุ่ยสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ตามปรารถนา


น่าเสียดายที่ในตอนนั้นนางไม่สามารถตอบสนองได้ทันที


ยังดีที่สุดท้ายนางก็คิดออก สามารถตระหนักได้ถึงเรื่องนี้


“ใช่แล้ว! สามารถติดตามอยู่ข้างกายคุณชาย นับว่าเป็นโชคดีในชีวิตข้าแล้ว!”


ลั่วสุ่ยกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ


...


แดนหยิน


ณ ดินแดนของตระกูลไป๋


ผู้เฒ่าเมิ่งจีตามไป๋มู่กลับมายังตระกูลไป๋


หลังจากที่กลับมาแล้ว พวกเขาก็ต้องทำงานอย่างหนักจนหัวหมุน


แต่หากพูดให้ถูกก็คือ มีเพียงไป๋มู่ผู้เดียวที่ทำงานหนักจนหัวหมุน ส่วนเมิ่งจีนั้นไม่ได้ยุ่งอะไรมากมาย


การไปยังเก้าแดนต้องห้ามไม่นับเป็นเรื่องเล็ก พวกเขาจำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อม


แม้เมิ่งจีจะรู้สึกว่าท่านเซียนเตรียมแผนการอื่นเอาไว้แล้ว ทว่าตัวเขาเองก็ควรเตรียมตัวให้พร้อม ไม่สามารถไปที่เก้าแดนต้องห้ามทั้งอย่างนี้


อย่างไรจนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่เคยเห็นแผนการของท่านเซียน และไม่รู้ว่าแผนการของท่านเซียนคือสิ่งใด!


“ข้าแจ้งให้ทุกตระกูลทราบแล้ว อีกไม่ช้ายอดฝีมือของพวกเขาก็จะมาเข้าร่วมกับพวกเราที่นี่ หลังจากนั้นพวกเราค่อยไปทะเลต้องห้ามด้วยกัน!”


ไป๋มู่กล่าวกับเมิ่งจี


เมิ่งจีพยักหน้า “ดี รอพวกเขามาแล้วพวกเราค่อยไปกัน!”




ภายในมหาสมุทรสีดำอันไร้ที่สิ้นสุด


บนพื้นผิวทะเลกลับปรากฏซากศพเน่าเปื่อยลอยเกลื่อนไปทั่ว


ที่แห่งนี้คือทะเลต้องห้าม ส่วนซากศพเหล่านี้ก็ล้วนเป็นอสูรสินธุที่ล้วนตายไปจนหมดสิ้นแล้ว


จนกระทั่งถึงตอนนี้ จ้าวสมุทรก็ยังคงไม่สามารถฟื้นฟูส่วนนี้กลับมาได้ ทั้งยังไม่สามารถทำให้อสูรสินธุเหล่านี้ฟื้นคืนกลับมาได้


อสูรสินธุเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตจริง ๆ พวกมันถูกทะเลต้องห้ามสร้างขึ้นมาจากวิชาลับ ขอเพียงแค่มีพลังเพียงพอ พวกมันก็จะสามารถกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง


“เหตุใดท่านบรรพชนถึงยังมาไม่ถึงอีก?”


จ้าวสมุทรกล่าวด้วยความไม่สบายใจเป็นอย่างมาก


นี่มันแปลกเป็นอย่างมาก หากกล่าวตามหลักเหตุผล ท่านบรรพชนควรจะมาถึงได้แล้ว!”


ทว่าจนกระทั่งถึงตอนนี้ เส้นทางยังคงไร้การเคลื่อนไหว ท่านบรรพชนยังคงมาไม่ถึง


‘เป็นไปได้หรือไม่ที่สมรภูมิในแดนสังสารวัฏจะเกิดความตึงเครียด ท่านบรรพชนจึงต้องกลับไปอีกครั้ง?’


จ้าวสมุทรคิดขึ้นมาในใจ รู้สึกว่าสิ่งนี้มีโอกาสเป็นไปได้มาก ไม่เช่นนั้นท่านบรรพชนคงจะมาถึงแล้ว


‘อาจจะไม่ใช่! ถ้าเป็นเช่นนั้น ท่านบรรพชนจะต้องแจ้งให้ข้ารู้!’


จ้าวสมุทรคิดขึ้นมาอีกครั้ง ที่แห่งนี้มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ท่านบรรพชนไม่มีเหตุผลที่จะไม่มา แต่หากไม่มากจริง ท่านบรรพชนจะต้องบอกกล่าวเรื่องนี้กับเขา”


ท่านบรรพชนคงจะมีเรื่องบางอย่างจึงมาถึงล่าช้า เขาไม่ได้รับแจ้งสิ่งใด นั้นหมายถึงว่าท่านบรรพชนจะต้องมาอย่างแน่นอน


“ต้องเร่งฟื้นฟูขึ้นอีก! เมื่อท่านบรรพชนมาข้าจะได้ถูกลงโทษน้อยลง!”


เขาลงมือด้วยความตึงเครียดอีกครั้ง ค่อย ๆ ฟื้นฟูพื้นที่รอบ ๆ ทะเลต้องห้าม

บทที่ 462

หลี่จิ่วเต้าพาต้าเต๋อไปข้างธารน้ำเล็ก ๆ


สายลมพัดเอื่อย อากาศกำลังดี สองฝั่งน้ำมีผู้คนจำนวนมากมาตกปลา


“สวัสดีคุณชาย!”


ตงฟางเวิ่นที่เห็นท่านเซียนมาแต่ไกลกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม


“ผู้อาวุโสเวิ่นเองก็ชอบตกปลาเช่นนั้นหรือ”


หลี่จิ่วเต้ายิ้ม เขามองเห็นอุปกรณ์ตกปลาของตกฟางเวิ่นที่ริมน้ำ “การตกปลานั้นยอดเยี่ยม ไม่เพียงแต่สามารถฝึกฝนสมาธิ ยังสามารถทำให้ผู้คนรู้สึกเพลิดเพลิน”


“เป็นเช่นที่คุณชายพูด!”


ตงฟางเวิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม


ทว่าในใจของเขากลับยิ้มเจื่อน


เขาเคยตกปลาเสียที่ไหนกัน เขานำอุปกรณ์ตกปลามาก็เพื่อแสดงการเอาอกเอาใจต้นหลิวและเจ้าก้อนหิน


จะไม่ประจบเอาใจได้อย่างไร ผู้ใดให้เขาทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ลงไปเล่า ถึงกับไปหาเรื่องต้นหลิวและเจ้าก้อนหิน เขาจึงทำเช่นนี้เพื่อชดเชยความผิดของตนเอง


“ดี เช่นนั้นผู้อาวุโสก็ตกปลาที่นี่ไปเถิด ข้าจะไปตกปลาที่อื่น”


หลี่จิ่วเต้าพาต้าเต๋าไปตรงจุดอื่น สองฝั่งแม่น้ำมีจุดให้ตกปลามากมาย ในเมื่อตงฟางเวิ่นตกปลาที่นี่แล้ว เขาจึงไปตกปลาที่อื่น


แม้ว่าเขาจะเคยชินกับการนั่งบนเจ้าก้อนหินแล้วตกปลา ทว่าเปลี่ยนสถานที่ตกปลาสักครั้งสองครั้งก็ไม่ใช่ปัญหาใด


“เอ๊ะ?”


ทั้งใบหน้าของตงฟางเวิ่นเขียวคล้ำ กว่าเขาจะทันได้ตอบสนอง ท่านเซียนก็พาต้าเต๋อไปที่อื่นเสียแล้ว


บัดซบ!


ท่านเซียนไปตกปลาที่อื่นแล้ว ต้นหลิวกับเจ้าก้อนหินจะไม่ถลกหนังเขาหรอกหรือ!?


นี่...นี่...นี่!


ร่างของชายชราพลันสั่นสะท้าน ช่วงนี้เขามาหาต้นหลิวและเจ้าก้อนหินบ่อยครั้ง รู้ว่าสิ่งที่พวกมันเฝ้ารอคอยมากที่สุดก็คือช่วงเวลาที่ท่านเซียนจะมาตกปลาที่นี่


ทว่าตอนนี้ท่านเซียนมาแล้ว แต่กลับไปตกปลาที่อื่น...


เขาได้ทำผิดครั้งใหญ่หลวงไปแล้ว!


“เจ้าทำอะไรลงไป!?”


เจ้าก้อนหินตวาดออกมา น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวของมันดังขึ้นมาในจิตวิญญาณส่วนลึกของตงฟางเวิ่น!


มารดามันเถอะ!


สิ่งที่มันชื่นชอบมากที่สุดคือการเป็นที่นั่งให้ท่านเซียนระหว่างตกปลา หลายวันท่านเซียนจึงมาตกปลาสักครั้ง ทว่าคราวนี้กลับถูกตงฟางเวิ่นทำเสียเรื่อง มันโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างยิ่ง!


“ไอ้สารเลว ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่อง ยกเว้นเพียงเรื่องย่ำแย่นับเป็นอันดับหนึ่ง!”


ต้นหลิวเองก็ระเบิดอารมณ์ออกมา เสียงของมันก็ดังขึ้นมาในส่วนลึกของจิตวิญญาณตงฟางเวิ่นเช่นเดียวกัน


สิ่งที่มันชื่นชอบมากที่สุดคือการเป็นร่มเงาบดบังแสงแดดและส่งสายลมอ่อนพัดให้ท่านเซียน ทำให้ท่านเซียนตกปลาได้อย่างสำราญมากยิ่งขึ้น


ทว่ากลับถูกตงฟางเวิ่นทำลายหมดแล้ว!


มันใช้กิ่งหนึ่งฟาดลงไปบนร่างของตงฟางเวิ่นเงียบ ๆ ด้วยความอารมณ์เสีย พริบตานั้นเอง ตงฟางเวิ่นก็รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า ความเจ็บปวดเสียดแทงไปทั่วร่าง!


ทว่าเขาก็ไม่กล้าร้องออกมา เนื่องจากเกรงว่าจะไปรบกวนท่านเซียน


ท่านเซียนหย่อนเบ็ดเริ่มตกปลาแล้ว หากเขาไปรบกวนขัดขวางไม่ให้ท่านเซียนตกปลา ความผิดของเขาจะยิ่งร้ายแรงขึ้นไปอีก!


‘ข้าเองก็ไม่คิดว่าท่านเซียนจะไปตกปลาที่อื่น!’


ตงฟางเวิ่นร่ำร้องในใจ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้ หากรู้ตั้งแต่แรก เขาคงจะรีบหอบอุปกรณ์ตกปลาไปจับปลาที่อื่นเป็นอันดับแรก


ทางด้านของหลี่จิ่วเต้าก็เริ่มลงมือตกปลาแล้ว


ต้าเต๋อที่อยู่ด้านข้างมองด้วยความตกใจ ภายในใจตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก!


เมื่อเหวี่ยงคันเบ็ดลงไปในน้ำ ต้าเต๋อก็พลันเห็นอาณาจักรนับหมื่นปรากฏขึ้นในแม่น้ำ ปลาจำนวนนับไม่ถ้วนจากอาณาจักรนับหมื่นพากันแย่งกินเหยื่อบนเบ็ด


ทว่าเบ็ดตกปลากลับไม่หยุดอยู่เพียงด้านในอาณาจักรนับหมื่น ยังคงขยายอาณาเขตไปอย่างต่อเนื่อง


‘นี่มันอาณาจักรอะไรกัน!?’


ต้าเต๋อตกใจจนพูดไม่ออกเมื่อเห็นเบ็ดตกปลาหย่อนลงไปยังอาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง


อาณาจักรแห่งนี้อยู่นอกเหนือความเข้าใจของต้าเต๋อ ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยแสงสว่างไสวน่าอัศจรรย์ ราวกับเป็นประกายแสงของเต๋าเซียนงดงามพร่างพราว


นอกจากนี้ ด้านในหลายแห่งยังถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกเซียน พลังสำหรับการฝึกตนระดับสูงแล่นไปมาบนฟ้าดิน กฎแห่งสวรรค์และโลกที่หลั่งไหลออกมาสมบูรณ์และอยู่เหนือชั้น หลังจากเขาได้สัมผัสเข้าก็รู้สึกราวกับตัวเองเล็กจ้อย ขณะอยู่ต่อหน้าความกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต


เซียน...ภพเซียนหรือ!?


เขาอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าอาณาจักรแห่งนี้อาจจะเป็นภพเซียน!


หมอกเซียนลอยเวียนว่าย ประกายแห่งเซียนพร่างพราว กฎแห่งสวรรค์และโลกสมบูรณ์อยู่ระดับเหนือชั้น ราวกับเขาสามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจอันเป็นนิรันดร์ จนถึงกับตื่นตระหนก อาณาจักรแห่งนี้น่าตื่นตะลึงเกินไป!


เมื่อเทียบกับอาณาจักรแห่งนี้แล้ว อาณาจักรเก้าตอนบนนั้นไม่มีค่าพอที่จะกล่าวถึงแม้แต่น้อย


เขาเคยอ่านบันทึกเกี่ยวกับอาณาจักรเก้าตอนบนมาก่อน เกรงว่าแม้จะผนวกรวมเก้าอาณาจักรตอนบนทั้งหมด ก็ไม่อาจเทียบได้แม้แต่เศษเสี้ยวของอาณาจักรแห่งนี้!


“ไม่...ไม่ใช่!? นี่มันภพเซียนเทียมที่ถูกสร้างขึ้นมา?”


อีกด้านหนึ่ง ตงฟางเวิ่นเห็นอาณาจักรที่เหมือนกับภพเซียนปรากฏขึ้นก้นแม่น้ำก็ตกตะลึง เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าภพเซียนเทียมในเรื่องเล่าขานมีอยู่จริง!


เขามีวิญญาณเทียนตี้ สามารถสัมผัสถึงสิ่งต่าง ๆ ได้มากกว่าต้าเต๋อ


ที่นั่นมีหมอกเซียนลอยเวียน ประกายแห่งเซียนพร่างพราว ทั้งยังสามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจอันเป็นนิรันดร์อย่างคลุมเครือ ทว่าเขากระจ่างแจ้งดี ว่าที่แห่งนั้นไม่ใช่ภพเซียน!


ปลอม!


ทั้งหมดล้วนเป็นของปลอม!


สิ่งที่เรียกว่าหมอกเซียนและประกายแห่งเซียนนั้นเพียงแค่ดูเหมือน แต่แม้ว่าระดับพลังจะใกล้เคียงแค่ไหนก็ไม่ใช่พลังเซียนอย่างแท้จริง!


เซียนคือความเป็นอมตะนิรันดร์ พลังของเซียนเปี่ยมด้วยเสน่ห์ของนิรันดร์ ส่วนพลังของที่แห่งนั้นแม้ว่าจะน่าตื่นตะลึงหรือหวาดกลัว ทำให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงความเป็นนิรันดร์ แต่ทว่าเขายังคงสัมผัสได้ถึงการเสื่อมสลาย นี่ไม่ใช่นิรันดร์ที่แท้จริง แต่เป็นการดำรงอยู่ที่มีจุดสิ้นสุด


สิ่งนี้ทำให้เขานึกถึงเรื่องเล่าขานเรื่องหนึ่ง


เล่าว่าเคยมีตัวตนที่อยู่จุดสูงสุดกลุ่มหนึ่งเข้าไปยังภพเซียนแต่ไร้ผลใด จึงคิดร่วมมือกันสร้าง ‘ภพเซียน’ ขึ้นมา โดยมีเป้าหมายที่ความเป็นนิรันดร์ และหล่อหลอมเซียนขึ้นมา!


เขาเคยคิดว่านี่เป็นเพียงเรื่องไร้สาระ ภพเซียนจะถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไร?


กระทั่งภพเซียนเทียมก็เป็นไปไม่ได้!


เพียงแค่มีคำว่า ‘เซียน’ อยู่ เรื่องทุกอย่างล้วนไม่ธรรมดา!


แต่หลังจากเขาเห็นอาณาจักรด้านล่างของแม่น้ำ เขาก็ต้องเชื่อในเรื่องเล่า!


เคยมีตัวตนที่อยู่จุดสูงสุดกลุ่มหนึ่งต้องการร่วมมือกันสร้าง ‘ภพเซียน’ ขึ้นมาจริง!


ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังสามารถทำสำเร็จ แม้อาณาจักรแห่งนี้จะไม่อาจคงอยู่ชั่วนิรันดร์ แต่ใกล้เคียงความเป็นนิรันดร์จนสามารถเรียกได้ว่าภพเซียนเทียมจริง


‘เกรงว่านี่จะเป็นภพเซียนเทียมจริง ๆ!’


ตงฟางเวิ่นอดกล่าวขึ้นมาในใจไม่ได้


ทุกสิ่งที่อยู่ในอาณาจักรแห่งนี้ดูอยู่เหนือระดับเกินไป หากไม่นับเรื่องที่มันไม่อาจคงอยู่ได้ชั่วนิรันดร์จริง ๆ ก็คงไม่ต่างอะไรไปจากภพเซียน


จากความคิดของเขาแล้ว ด้านในนั้นจะต้องมีผู้ที่บรรลุพลังถึงระดับเซียน แต่เพราะไม่สามารถเป็นอมตะนิรันดร์ได้อย่างแท้จริง จึงไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นเซียนที่แท้จริง เป็นได้เพียงเซียนเทียมเท่านั้น


อย่างไรเสียในสายตาของผู้คนแล้ว เซียนไม่ได้เป็นเพียงตัวแทนของพลังอันน่าหวาดเกรงเท่านั้น แต่เซียนยังเป็นตัวแทนของความอมตะนิรันดร์


เฉพาะผู้ที่สามารถบรรลุความเป็นอมตะนิรันดร์เท่านั้น จึงจะสามารถเรียกขานว่าเป็นเซียน!


‘คุณชายทรงพลังยิ่งนัก เกรงว่าจะห่างไกลจาก ‘เซียน’ ธรรมดา ข้ารู้สึกว่าคุณชายสามารถใช้เพียงเบ็ดคันเดียวตกปลาจากภพเซียนได้’


ตงฟางเวิ่นมองไปยังร่างของคุณชายที่กำลังตกปลาอยู่ ก่อนกล่าวขึ้นมาในใจด้วยความตื่นเต้น


เขาเลื่อมใสศรัทธาคุณชายเป็นอย่างมากจากใจจริง


แม้ภพเซียนเทียมจะใกล้เคียงกับภพเซียนจริงเป็นอย่างมาก ทว่าต่อหน้าคุณชายก็ยังไม่อาจนับเป็นสิ่งใด คุณชายใช้เบ็ดตกปลาเพียงคันเดียวหย่อนลงไปก็หยั่งถึง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความสามารถของคุณชายต้องก้าวไปไกลเกินขีดสุดจนไม่อาจจินตนาการถึงได้!


ถ้าคุณชายต้องการ เขาก็รู้สึกว่าคุณชายสามารตกปลาจากภพเซียนที่แท้จริงได้!


ความแข็งแกร่งของท่านเซียน น่าจะห่างไกลคนละชั้นกับเซียน!

บทที่ 463

ที่ริมแม่น้ำสายเล็ก หลี่จิ่วเต้ารู้สึกงุนงนเล็กน้อย เหตุใดวันนี้จึงจับปลาได้ช้าเช่นนี้?


โดยปกติ เพียงแค่เขาเหวี่ยงเบ็ดลงไปในน้ำ ใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถจับปลาได้แล้ว


ครั้งนี้เวลาผ่านมาพอควรแล้ว เบ็ดกลับยังไม่มีความเคลื่อนไหว


อาจเป็นเพราะเปลี่ยนสถาน ทำเลในการตกปลาอาจไม่ค่อยจะดีนัก


หลี่จิ่วเต้าคิดในใจ ทว่าเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก


ตรงกันข้าม เขากลับมีความสุขเล็กน้อย


ยิ่งจับปลาได้ยากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งมีความสุข เพราะเช่นนี้ยามที่เขาจับปลาได้ก็รับรู้ถึงความรู้สึกสำเร็จ และมีความสุขมากยิ่งขึ้น


ทว่าต้าเต๋อที่อยู่ด้านข้างมองมาด้วยความตกตะลึง


ภายใต้ผืนน้ำ เบ็ดหย่อนลงสู่มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ทางฝั่งอาณาจักรที่เหมือนกับภพเซียน พลันบังเกิดแสงสว่างเจิดจ้าไร้ขอบเขต สว่างพร่างพราวเสียยิ่งกว่าประกายเซียนด้านนอก


เมื่อเปรียบเทียบแสงสว่างที่พร่างพราวใต้ทะเลลึกแล้ว ประกายเซียนที่อยู่ภายนอกก็ดูราวกับเป็นของปลอม ในขณะที่แสงสว่างใต้ก้นทะเลเหมือนจะเป็นของจริงมากกว่า


เหยื่อที่ติดอยู่กับเบ็ดแปรเปลี่ยนกลายเป็นโอสถเซียน!


หลังจากนั้น เขาก็เห็นการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นใต้ท้องทะเล ฉากการต่อสู้นั้นน่าตกใจกลัวเป็นอย่างมาก เขาไม่เคยเห็นการต่อสู้เช่นนี้มาก่อน นี่คือการต่อสู้ของเซียนอย่างนั้นหรือ?


พลังที่ปะทุออกมาจากสิ่งมีชีวิตทุกตัวใต้ก้นสมุทรล้วนมากเพียงพอจะสามารถทำลายดวงดารา สะเทือนความว่างเปล่า


“ฮ่าฮ่า ข้าได้โอสถเซียนมาแล้ว!”


ในระหว่างการชุลมุนครั้งใหญ่ มีสัตว์ใต้ทะเลตนหนึ่งหัวเราะออกมาด้วยความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก


มันคือปลามังกรยักษ์ตนหนึ่ง ความแข็งแกร่งของมันน่ากลัวอย่างถึงที่สุด มันบดขยี้สิ่งมีชีวิตใต้ทะเลตนอื่น ๆ ก่อนจะประสบความสำเร็จในการคว้า ‘โอสถเซียน’ มา


แต่พริบตาหลังจากนั้นมันก็ต้องตะลึงงัน ฉับพลัน ‘โอสถเซียน’ ก็กลายเป็นตะขอขนาดใหญ่เกี่ยวปากของมันพร้อมกับพลังที่หลั่งไหลเข้ามา ทำให้พลังทั้งหมดในร่างของมันถูกระงับลงไป กระทั่งขนาดตัวเองก็เล็กลงเป็นอย่างมาก


“บัดซบ พลาดท่าแล้ว!”


มันสบถขึ้นมา ภายในใจรู้สึกย่ำแย่เป็นอย่างมาก


กลายเป็นว่านี่คือกับดักสำหรับมัน มีคนต้องการจะตกพวกมัน!


มันร่ำไห้อย่างสุดใจ มันสู้เพื่อ‘โอสถเซียน’ อย่างสุดชีวิต ใครกันจะคาดคิดว่ามันจะกลายเป็นปลาติดเบ็ดของผู้อื่น!


โดยเฉพาะเมื่อครู่ เพื่อจะแย่งชิง ‘โอสถเซียน’ มันถึงกับทำเป็นลืมเลือนพี่ชายที่แสนดีของมัน เมื่อพี่ชายที่แสนดีเข้ามาก็ถูกมันโจมตีใส่!


สุดท้าย...สุดท้ายมันกลายเป็นปลาติดเบ็ดของผู้อื่น!


“มัจฉาเซียนเทียม!”


อีกด้านหนึ่ง สีหน้าของตงฟางเวิ่นแปลกประหลาดยากจะบรรยาย เขาเห็นการต่อสู้ครั้งใหญ่ ระดับของการต่อสู้นั้นเหนือยิ่งกว่าขั้นเทียนตี้ บรรลุจนถึงระดับ ‘เซียน’ อย่างแน่นอน!


เขาคิดไม่ผิด ด้านในภพเซียนเทียมมีตัวตนเช่น ‘เซียนเทียม’ อยู่!


เซียนเทียม หากไม่นับว่าไม่อาจคงอยู่นิรันดร์ ก็มีพลังเทียบเท่ากับเซียนที่แท้จริง คุณชายช่างเก่งกาจเหลือเกิน กระทั่งมัจฉาเซียนเทียมก็สามารถจับมาได้อย่างง่ายดาย!


เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าคุณชายนั้นบรรลุไปถึงขอบเขตขั้นใดแล้ว!


บุ๋ง บุ๋ง!


หลี่จิ่วเต้ารู้สึกได้ว่ามีปลากินเหยื่อแล้ว เขาจึงดึงคันเบ็ดจับปลามังกรขึ้นมา


“ปลาตัวใหญ่เชียว ไม่เลว ไม่เลว”


หลี่จิ่วเต้าพึงพอใจเป็นอย่างมาก ปลาตัวนี้ตัวใหญ่กว่าปลาทั้งหมดที่เขาเคยจับมาก่อนหน้านี้ เรื่องดีต้องผ่านอุปสรรคจึงจะสำเร็จ ช้าลงไปบ้างแต่ปลาที่ตกได้ก็นับว่าคุ้มค่าจริง ๆ


เขาใส่ปลามังกรลงในตะกร้า จากนั้นก็เหวี่ยงเบ็ดอีกครั้ง


คราวนี้มีปลามากินเบ็ดอย่างรวดเร็ว แม้จะไม่ได้ตัวใหญ่เท่าปลาก่อนหน้า แต่ขนาดก็ใกล้เคียงไม่ต่างกันมาก


หลี่จิ่วเต้าไม่รู้สึกแปลกใจ เขาจะสามารถจับปลาตัวใหญ่ขนาดนั้นทุกครั้งได้อย่างไร เขาตกปลามาตั้งนาน นี่เป็นถึงปลาตัวใหญ่สุดที่เขาเคยตกได้


จากนั้นเขาก็เริ่มตกปลาอีกครั้ง หลังจากนั้นปลาก็กินเบ็ดอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงไม่นานปลาที่เขาตกขึ้นมาได้ก็เต็มตะกร้าไม่อาจใส่เพิ่มได้อีก


“ข้าพึ่งเคยจับปลาตัวใหญ่ขนาดนี้ได้ ฮ่าฮ่า ปลาตัวนี้ข้าจะเก็บเอาไว้ดูเล่น ส่วนที่เหลือเจ้าก็เอาไปเถอะ”


หลี่จิ่วเต้าหยิบปลาตัวใหญ่ออกมา ก่อนจะให้ปลาที่เหลือกับต้าเต๋อ


“ขอรับ!”


ต้าเต๋อตอบรับ ก่อนจะรับปลาตัวที่เหลือไป


กล่าวตามตรงแล้ว ต่อให้คุณชายให้ปลาตัวใหญ่มาเขาก็ไม่กล้ารับ แม้ว่าปลาเหล่านี้จะถูกยับยั้งพลังเอาไว้ แต่ปลาตัวใหญ่ตัวนั้นก็น่ากลัวเกินไป อาจเป็นถึงมัจฉาเซียน เขาไม่คิดว่าตนเองจะสามารถกินมัจฉาเซียนได้


ปลาตัวอื่นยังดี พลังของพวกมันไม่น่ากลัวเท่ากับปลาตัวใหญ่ ยังไม่เกินความสามารถของที่เขาจะสามารถกินมันได้


“ไป กลับกันเถอะ”


หลี่จิ่วเต้าเก็บอุปกรณ์ตกปลา ในมือถือปลาตัวใหญ่ระหว่างกล่าวอำลาตงฟางเวิ่น ก่อนจะกลับไปยังลานเล็ก ๆ กับต้าเต๋อ


ชายหนุ่มโยนปลาตัวใหญ่ลงในถังน้ำ


“ปลาตัวใหญ่ขนาดนี้ ไม่เลวเลย สามารถเลี้ยงเป็นปลาไว้ดูเล่นได้”


หลี่จิ่วเต้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม


เขาตั้งใจจะสร้างบ่อปลาเอาไว้ในลานเล็ก ๆ ด้านในปลูกบัวและพืชน้ำอื่น ๆ เอาไว้ และยังเลี้ยงปลาเอาไว้ดูเล่น เพิ่มทิวทัศน์อันสวยงามให้กับลานเล็ก ๆ


ปลาตัวใหญ่นี่ก็ไม่เลว ดูไปแล้วก็สวยงามเป็นอย่างมาก เขาจึงตั้งใจจะเลี้ยงมันเอาไว้เป็นปลาดูเล่น จึงเก็บปลาตัวใหญ่เอาไว้ ไม่เช่นนั้นเขาคงมอบมันให้ต้าเต๋อไปแล้ว


“ข้า...ข้ามาถึงภพเซียนแล้วอย่างนั้นหรือ?”


ภายในถังน้ำ ปลามังกรกล่าวขึ้นมาในใจอย่างตื่นตะลึง


ลานเล็ก ๆ แห่งนี้ช่างน่าอัศจรรย์เกินไป แม้จะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งอย่างมากเช่นมัน หลังจากมาถึงลานเล็ก ๆ ก็ยังคงตื่นตะลึง ทุกสิ่งล้วนเกินความรู้ความเข้าใจของมัน!


‘นี่คือตัวตนเช่นใดกัน? บรรพจารย์เซียนหรือ!?’


มันเอ่ยขึ้นมาในใจด้วยความสั่นสะท้าน


สัมผัสแห่งเต๋าที่ไหลเวียนอยู่ในลานเล็ก ๆ นั้นเหนือชั้นไร้ที่เปรียบ ภายในใจของมันเกิดความรู้สึกว่าตนเองเล็กจ้อย ห่างไกลเกินจะเทียบชั้นได้!


ทว่ามันก็มีความสุขขึ้นมาทันควัน


มันได้ยินสิ่งที่บรรพจารย์เซียนกล่าว!


เดิมที มันคิดว่าหลังจากถูกเบ็ดตกปลาเกี่ยวขึ้นมาจะต้องพบเจอกับเคราะห์ร้าย แต่ความจริงกลับไม่ได้เป็นอย่างที่มันคิด บรรพจารย์เซียนผู้นี้กล่าวว่าจะเลี้ยงมันไว้ดูเล่น!


สำหรับตัวตนเช่นมัน การถูกคนเลี้ยงดูถือเป็นเรื่องน่าอับอายอย่างใหญ่หลวง!


ทว่ามันในตอนนี้กลับไม่รู้สึกอับอายแม้แต่น้อย ตรงกลับข้าม มันกลับตื่นเต้นอย่างถึงที่สุดเสียด้วยซ้ำ


สวรรค์ นี่คือบรรพจารย์เซียนเชียวนะ ถูกท่านบรรพจารย์เซียนเลี้ยงดูไว้นับว่าเป็นโชควาสนาครั้งใหญ่ของมันแล้ว!


บุ๋ง บุ๋ง!


ปลาตัวอื่น ๆ ในถังล้วนราวกับจะระเบิดออกมา


บัดซบ เป็นปลาเหมือนกันแต่ชะตากลับไม่เหมือนกัน!


หลังจากพวกมันถูกตกขึ้นมาก็ต้องกลายเป็นอาหารของลั่วสุ่ย ส่วนปลามังกรกลับแตกต่างไปจากพวกมันอย่างสิ้นเชิง ท่านเซียนไม่ต้องการจะสังหารปลามังกร แต่จะเลี้ยงเอาไว้ดูเล่น


พวกมันสนทนากันไม่หยุดในถังน้ำ กล่าวถามว่าปลามังกรมาจากที่ไหน เหตุใดจึงกลายเป็นที่เอ็นดูของท่านเซียน!


“ท่านเซียน? พวกเจ้าพูดจาอะไรไร้สาระ! นี่ไม่ใช่เซียน เห็นได้ชัดว่าเป็นถึงบรรพจารย์เซียน!”


ปลามังกรเหยียดมองปลาตัวอื่นอย่างเหยียดหยาม ก่อนกล่าวออกมา “พวกเจ้าจะเทียบข้าได้อย่างไร? ปลาที่ต่ำต้อยอย่างพวกเจ้าย่อมต้องถูกกิน ส่วนข้านั้นบรรลุถึงขั้นเซียนแล้ว!”


ระหว่างที่ปลาเหล่านี้สนทนา มันก็รับรู้สถานะของปลาเหล่านี้ไปด้วย


ปลาในถังน้ำล้วนเป็นอาหารของแมวขาวที่ท่านบรรพจารย์เซียนเลี้ยงเอาไว้!



คิดแล้วก็คงเป็นเช่นนั้น ท่านเซียนจะเลี้ยงปลาที่มีสายเลือดต่ำต้อยเหล่านี้ได้อย่างไร!

บทที่ 464

ท้องฟ้าเปลี่ยนสีเป็นยามย่ำค่ำ พวกอ้ายฉานพากันกลับมาแล้ว แต่ละคนล้วนนำสัตว์อสูรติดมาด้วยหนึ่งตัว


หลี่จิ่วเต้าเตรียมหม้อไฟเอาไว้พร้อมแล้ว หลังจากที่พวกอ้ายฉานกลับมา เขาก็จัดการกับเนื้อสัตว์อสูรเหล่านั้น ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มนั่งล้อมวงในลานบ้าน พูดคุยไปพลางกินหม้อไฟไปพลาง


มื้อนี้เป็นการกินหม้อไฟที่มีความสุขอย่างมาก หลี่จิ่วเต้าหยิบสุราออกมารวมดื่มกับต้าเต๋อไปหลายจอก สุดท้ายการกินหม้อไฟครั้งนี้ก็จบลงไปด้วยเสียงหัวเราะ


“หากมีเวลาก็อย่าลืมกลับมาอีก”


หลี่จิ่วเต้ากล่าวกับต้าเต๋อ ลักษะนิสัยใจคอของเณรน้อยนั้นเข้ากันกับเขาเป็นอย่างมาก


“ได้เลย คุณชาย!”


ต้าเต๋อตอบรับด้วยรอยยิ้ม เขาเอ่ยอำลาท่านเซียนก่อนจะจากลานเล็ก ๆ ไป


“พวกเจ้าเองก็เช่นกัน หากมีเวลาก็อย่าลืมมาหาข้าบ้าง ข้าคิดถึงพวกเจ้าไม่น้อย”


ชายหนุ่มพูดกับพวกอ้ายฉาน


“พวกเราทราบแล้ว!”


“พวกเราจะกลับมาหาคุณชายบ่อย ๆ!”


พวกอ้ายฉานพากันพยักหน้ากล่าวขึ้นมา


“อืม”


หลี่จิ่วเต้าลูบหัวของอ้ายฉาน ก่อนจะมองไปที่เด็ก ๆ ทุกคน “ถึงข้าจะไม่เข้าใจเรื่องการฝึกตน แต่ข้าก็เข้าใจว่าทุกสิ่งล้วนไม่อาจหักโหม จำเป็นต้องแบ่งเวลาฝึกฝนและพักผ่อนให้ดี!”


เขากล่าวต่อ “อย่าโหมฝึกฝนมากเกินไป ออกไปชมด้านนอกบ้าง ไม่เพียงแต่จะสามารถเปิดวิสัยพวกเจ้าให้กว้างไกลขึ้นได้ ยังช่วยให้พวกเจ้าสามารถผ่อนคลายได้”


“พวกเราทราบแล้ว!”


“พวกเราจะจำเอาไว้!”


พวกอ้ายฉานพยักหน้าตอบรับด้วยความเชื่อฟังเป็นอย่างมาก


นี่หมายความว่าท่านเซียนกำลังต้องการให้พวกอ้ายฉานออกเดินทางไปภายนอก!


อีกด้านหนึ่ง อันหลานเสวี่ยคิดขึ้นมาในใจ


นางนึกถึงภาพวาดที่ท่านเซียนวาดตอนนางมาหา สถานที่แห่งนั้นควรเป็นสถานที่ที่ท่านเซียนต้องการให้พวกอ้ายฉานไป


ทว่าสถานที่แห่งนั้นอยู่หนใดกัน?


เป็นสถานที่แบบใดกัน?


นางไม่รู้สิ่งใดเกี่ยวกับสถานที่แห่งนั้น


‘ไว้ค่อยสอบถามพี่เซี่ยเหยียนภายหลัง พี่เซี่ยเหยียนรอบรู้หลายด้าน น่าจะรู้ว่าสถานที่แห่งนั้นคือที่ใด’


นางคิดในใจ


หลังจากนั้นนางกับพวกอ้ายฉานก็บอกลาท่านเซียน แล้วออกจากลานเล็ก ๆ ไป


ตามมาด้วยเซี่ยเหยียนที่บอกลาท่านเซียน จากนั้นนางก็ออกจากลานเล็ก ๆ ไป


“พี่เซี่ยเหยียน พวกเราไปด้วยกันเถอะ!”


อันหลานเสวี่ยกำลังรอเซี่ยเหยียนอยู่ด้านนอก หลังจากเห็นเซี่ยเหยียนออกมาแล้ว นางก็กล่าวขึ้นมา


“หืม?”


เซี่ยเหยียนไม่รู้ว่าอันหลานเสวี่ยต้องการสิ่งใด แต่ก็ยังคงตอบรับ “ได้”


หลังจากนั้นพวกนางก็จากไปด้วยกัน


ระหว่างทาง อันหลานเสวี่ยก็บอกเล่าเรื่องทุกอย่าง แล้วกล่าวว่าท่านเซียนต้องการให้พวกอ้ายฉานออกไปฝึกฝนภายนอก และก็ควรเป็นสถานที่แห่งหนึ่ง แต่นางไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนั้นอยู่หนใด


นางบรรยายทิวทัศน์และสิ่งก่อสร้างในภาพนั้นให้เซี่ยเหยียนฟัง ก่อนจะใช้พลังวิญญาณสร้างภาพเหมือนขึ้นมา เซี่ยเหยียนจับจ้องมองทิวทัศน์และสิ่งก่อสร้างในภาพเหมือน ยิ่งมองนางยิ่งรู้สึกคุ้นเคย


“ที่นี่คือดินแดนของตระกูลไป๋!”


เซี่ยเหยียนกล่าวขึ้นมาหลังจากนึกออก


นางเคยไปดินแดนของตระกูลไปมาก่อน ทั้งทิวทัศน์และสิ่งปลูกสร้างจะต้องเป็นของตระกูลไป๋อย่างไม่ต้องสงสัย!


“หือ ตระกูลไป๋ที่เป็นยอดนิกายใช่หรือไม่? คุณชายจะให้พวกอ้ายฉานไปทำอะไรในที่แห่งนั้น? หรือว่าข้าจะคิดผิดไป? ข้าคิดว่าในภาพเหมือนกับซากโบราณสถานสักหนแห่งเสียอีก!”


อันหลานเสวี่ยกล่าวออกมาอย่างคาดไม่ถึง


“ไม่ เจ้าไม่ได้คิดผิด”


เซี่ยเหยียนกล่าว “ในเมื่อคุณชายต้องการให้พวกอ้ายฉานไปฝึกฝนที่นี่จริง ๆ ก็จำเป็นต้องไปที่ดินแดนของตระกูลไป๋”


“พี่เซี่ยเหยียนโปรดอธิบายด้วย”


อันหลานเสวี่ยถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ


จำเป็นต้องไปที่ดินแดนตระกูลไป๋?


หรือว่าตระกูลไป๋จะมีสถานที่ยอดเยี่ยมเหมาะแก่การฝึกฝน?


“ก่อนหน้านี้ข้ากลับไปยังสำนักหนหนึ่ง มีข่าวส่งมาว่ามีสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนเข้ามายังอาณาจักรของพวกเราแล้ว สงครามครั้งใหญ่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล!”


เซี่ยเหยียนกล่าวต่อ “คุณชายให้พวกอ้ายฉานไปที่ตระกูลไป๋ เห็นได้ชัดว่าต้องการให้พวกอ้ายฉานเข้าร่วมสมรภูมิเพื่อหาประสบการณ์ ตระกูลไป๋สามารถกลาวได้ว่าเป็นกำลังหลักในการต่อกรกับอาณาจักรเทียนหยวน”


มีสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักเทียนหยวนเข้ามายังอาณาจักรแห่งนี้แล้ว สงครามครั้งใหญ่ใกล้เข้ามาเต็มที ตระกูลไป๋ตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ จึงรีบส่งข่าวไปยังกองกำลังต่าง ๆ โดยเร็วที่สุด เพื่อให้ทุกกองกำลังเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม


เดิมทีตระกูลไป๋และยอดนิกายอื่น ๆ กลัวว่าสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้จะตื่นตระหนกหากรับรู้ว่าอาณาจักรเทียนหยวนจะกลับมาอีกครั้ง ดังนั้นจึงไม่เคยเปิดเผยเรื่องนี้ออกมาอย่างเต็มที่


ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป


ตอนนี้พวกเขาไม่มีเวลาแล้ว สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนอาจบุกเข้ามาได้ทุกเมื่อ ดังนั้นพวกเขาจึงเผยแพร่เรื่องราวทุกอย่างออกไปอย่างเต็มที่


สำนักไท่หัวเองก็ได้รับข่าวนี้เช่นกัน


เวิงอู๋โยวบอกให้เซี่ยเหยียนกลับมาก็เพราะเรื่องนี้


“เข้าใจแล้ว!”


หลังจากฟังที่เซี่ยเหยียนพูด อันหลานเสวี่ยก็เข้าใจเรื่องราวทุกอย่าง


เมื่อตอนยังอยู่บนเขาหยงหมิง นางเองก็ได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับอาณาจักรเทียนหยวน รับรู้ว่าอาณาจักรเทียนหยวนกำลังจะหวนกลับมาอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้กองกำลังโบราณจึงรวมตัวกัน


นางไม่รู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนเข้ามายังอาณาจักรแห่งนี้แล้ว นางไม่ได้รับการแจ้งเตือนจากพรรคจื่อเสีย


แต่นางก็คิดว่าอีกไม่นานหลังจากนี้พรรคจื่อเสียก็ควรจะได้รับการแจ้งเตือนนี้ด้วย


อย่างไรเสีย หากสิ่งมีชีวิตจากแดนเทียนหยวนมาถึงแล้ว สงครามครั้งใหญ่อาจปะทุขึ้นมาได้ทุกเมื่อ!


“ข้ามีแท่นค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ไปตระกูลไป๋ได้โดยตรง พวกเจ้าสามารถใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายเพื่อไปที่นั่นได้”


เซี่ยเหยียนกล่าว จากนั้นก็หยิบแท่นค่ายกลเคลื่อนย้ายออกมา


นี่คือแท่นค่ายกลเคลื่อนย้ายที่นางนำกลับมาจากตระกูลไป๋ในครั้งที่แล้ว


นางเปิดใช้แท่นค่ายกลเคลื่อนย้าย ก่อนจะให้พวกอันหลานเสวี่ยใช้ค่ายกลเคลื่อยย้ายเดินทางไปตระกูลไป๋”


หากไม่มีค่ายกลเคลื่อนย้าย ไม่รู้ว่าพวกอันหลานเสวี่ยจะต้องใช้เวลาเท่าใดในการเดินทางไปยังตระกูลไป๋


ที่ตั้งของตระกูลไป๋อยู่ลึกเข้าไปในแดนหยิน ห่างไกลจากที่นี่เป็นอย่างมาก หากต้องเดินทางด้วยตนเอง ไม่รู้จริง ๆ ว่าต้องใช้เวลาเท่าใดจึงจะถึง


“พี่เซี่ยเหยียนไม่ไปหรือ?”


อันหลานเสวี่ยถาม นางได้ยินสิ่งที่เซี่ยเหยียนกล่าว เซี่ยเหยียนไม่มีแผนจะเดินทางไปกับพวกนางแต่อย่างใด


“ข้ายังไปตอนนี้ไม่ได้”


เซี่ยเหยียนกล่าว “ข้ายังต้องการจะพัฒนาขอบเขตก่อนไป”


ตอนนี้นางยังไม่อาจทำสิ่งใดได้มากนัก เป็นการดีกว่าที่จะมุ่งสมาธิไปที่การฝึกตน ยกระดับขอบเขตของตนเอง


ทำเช่นนี้นางถึงจะสามารถสำแดงพลังที่แข็งแกร่งกว่านี้ในสงครามครั้งใหญ่ที่ใกล้จะมาถึง


เมิ่งจีและไป๋มู่ไม่ได้บอกให้นางรู้ ดังนั้นเซี่ยเหยียนจึงไม่รู้ว่าเมิ่งจีและไป๋มู่กำลังจะไปที่เก้าแดนต้องห้ามแล้ว


หากเซี่ยเหยียนรู้เรื่องนี้ นางก็คงจะไปเก้าแดนต้องห้ามกับเมิ่งจีและไป๋มู่ด้วย


ที่เมิ่งจีและไป๋มู่ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเซี่ยเหยียน ก็เพราะนางเป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดกับท่านเซียน การไปยังเก้าแดนต้องห้ามไม่ใช่เรื่องเล็ก หากไม่ได้รับคำยินยอมจากท่านเซียน พวกเขาก็ไม่กล้าขอให้คนใกล้ชิดท่านเซียนมาช่วยเหลือง่าย ๆ


ไม่เช่นนั้นเมิ่งจีก็คงจะเรียกให้สือเฟิงกับประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนมาด้วยแล้ว


ทั้งสือเฟิงกับประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนต่างก็ได้รับคำชี้แนะจากท่านเซียน ได้รับประโยชน์เป็นอย่างมาก ความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่อาจดูแคลนได้


“ตกลง!”


อันหลานเสวี่ยพยักหน้า จากนั้นก็พากันก้าวขึ้นไปบนค่ายกลเคลื่อนย้ายกับพวกอ้ายฉาน จากสถานที่แห่งนี้ไป


ใช้เวลาเพียงไม่นานพวกเขาก็มาถึงด้านในตระกูลไป๋

บทที่ 465

คืนเงียบสงัด เดิมควรเป็นเวลาหลับนอน ทว่าภายในตระกูลไป๋กลับวุ่นวายเป็นพิเศษ


สมาชิกทุกคนล้วนมีภารกิจ หัวใจของพวกเขาหนักอึ้ง สงครามใหญ่มิได้ไกลตัวพวกเขาแล้วจริง ๆ พวกเขาไม่รู้ว่าชะตากรรมในอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่มีโอกาสสูงว่าจะจบลงอย่างอเนจอนาถ


อาณาจักรเทียนหยวนทรงพลังเกินไป หนก่อนมาเพียงสิ่งมีชีวิตตนเดียว พวกเขายังต่อกรด้วยไม่ไหว หากอาณาจักรเทียนหยวนกรีธาทัพมาเต็มกำลัง พวกเขาไม่เหลือความหวังสักนิด


จักรวรรดิโบราณกาลยังถูกฆ่าล้างจนสิ้น สิ่งมีชีวิตถูกล้างบาง กำลังรบระดับสูงที่ตามไปในภายหลังก็พบเจอชะตากรรมเดียวกัน ถูกเข่นฆ่าจนสิ้น


แม้ว่าสุดท้ายสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ล้วนคืนชีพขึ้นมา กระนั้นหัวใจของพวกเขาก็ยังหนักอึ้งดังเดิม


ไป๋มู่มิได้ประกาศความจริงของพิรุณคืนชีพให้ทราบโดยทั่วกัน


เขามิกล้า


หากประกาศความจริงของพิรุณคืนชีพ เท่ากับประกาศเรื่องของท่านเซียนให้คนทั้งใต้หล้าทราบ เขาไฉนเลยจะกล้าทำเช่นนั้น ให้เขาชาญชัยกว่านี้อีกหมื่นเท่าก็มิกล้า


เขาบอกแต่เพียงว่าพิรุณคืนชีพมาจากพลังในฟ้าดินปฐพีนี้ เกิดจากเจตจำนงฟ้าดินในปฐพีนี้ของพวกเขา อีกทั้งยังบอกทุกคนว่ามิต้องตื่นตระหนกเกินไป เพราะพวกเขามีพลังในปฐพีผืนนี้คอยเกื้อกูล มีความหวังอย่างมากในการต่อต้านการรุกรานจากอาณาจักรเทียนหยวน


ทว่าสิ่งมีชีวิตตนอื่นมิได้คิดเช่นนี้ คนมากมายยังอกสั่นขวัญแขวนเป็นอย่างมาก


เพราะพวกเขารู้ดีว่าปฐพีผืนนี้มิสู้ในยุคโบราณ สิ่งแวดล้อมในยุคนี้ย่ำแย่อย่างยิ่ง ซ้ำแล้วพลังยังมีจำกัด


มีพลังฟ้าดินคอยช่วยเหลือ พวกเขาได้แรงหนุนมากก็จริง ทว่าอนิจจา พวกเขาอ่อนแอเกินไป กำลังรบระดับสูงขาดแคลนอย่างหนัก ภายหน้าเมื่อเผชิญกับกองทัพอาณาจักรเทียนหยวน โอกาสชนะของพวกเขาน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย


เพียงแต่ ต่อให้พวกเขาหวาดผวาอยู่เต็มอก ต่อให้อนาคตต้องตายลงอย่างแน่นอน พวกเขาก็มิเคยยอมแพ้ พยายามเตรียมการสุดความสามารถ


คนเราสุดท้ายก็ต้องตาย พวกเขาขอทิ้งช่วงเวลารุ่งโรจน์ควรค่าแก่การสรรเสริญให้กับชีวิตพวกเขาก่อนตาย


“พวกเจ้า…เป็นใครกัน!?”


ภายในดินแดนตระกูลไป๋ อันหลานเสวี่ยพาพวกอ้ายฉานมาที่นี่ ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ซึ่งรับผิดชอบแถบนี้พบตัวพวกอันหลานเสวี่ยในทันที


“พวกเรามาหาผู้นำตระกูลของพวกท่าน พี่หญิงเซี่ยเหยียนสั่งให้พวกเรามา”


อันหลานเสวี่ยตอบอย่างมีมารยาท มิได้เอ่ยนามท่านเซียน เอ่ยแต่เพียงนามเซี่ยเหยียน


ท่านเซียนรักสงบ นางไม่เคยกล่าวถึงท่านเซียนต่อหน้าผู้อื่นสักประโยค


“เซี่ยเหยียน!!!”


หลังได้ยินวาจาของอันหลานเสวี่ย ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ถึงกับสะดุ้งโหยง


เซี่ยเหยียน นามนี้เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี นางเดินเหินในตระกูลไป๋ของพวกเขาได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค ไม่ว่าผนึกหรือค่ายกลล้วนไม่มีผลต่อนาง กระทั่งทำร้ายอีกฝ่ายไม่ได้เลยสักกระผีก


“พวกเจ้ารอสักครู่ ข้าจะไปรายงานผู้นำตระกูลเดี๋ยวนี้!”


เขามิกล้าชักช้า รีบติดต่อผู้นำตระกูลทันที


ไม่นานนัก ไป๋มู่ก็ได้รับข่าว และมายังที่แห่งนี้พร้อมกับเมิ่งจี


“พวกเจ้ามาได้อย่างไร”


เมื่อเมิ่งจีได้เห็นพวกอ้ายฉานก็ชะงักไปแวบหนึ่ง ก่อนจะยินดีปรีดาขึ้นมา


เขารู้ว่า การตระเตรียมอีกอย่างของท่านเซียนมาถึงแล้ว!


แม้เขาจะไม่รู้ว่าบัดนี้พวกอ้ายฉานมีความสามารถเพียงใด แต่เขารู้ดีว่าพวกอ้ายฉานไม่มีทางฝีมือด้อย เด็กเหล่านี้ได้รับพรจากท่านเซียนมาก่อน!


โดยเฉพาะเมื่อครั้งเขายังอาศัยในลานเล็ก เคยเห็นท่านเซียนมอบภาพวาดกับของเล่นให้เด็กเหล่านี้กับตา และภาพวาดกับของเล่นเหล่านี้ก็มิใช่ของธรรมดาสักชิ้น!


ในบรรดาภาพวาด ทุกภาพล้วนมีวิชาอภินิหารสูงส่งเหนือจินตนาการแฝงอยู่ และของเล่นเหล่านั้นยิ่งไม่ธรรมดา พลังท่วมท้นนภาที่เจืออยู่ในนั้นน่าตกตะลึงอย่างยิ่ง!


“ที่นี่ไม่สะดวกพูดจาเท่าไร”


อันหลานเสวี่ยหันมองรอบ ๆ ส่งสัญญาณให้ไปสนทนาในที่เงียบ ๆ


“ไปเถิด”


เมิ่งจีไฉนเลยจะไม่เข้าใจความหมายของอันหลานเสวี่ย ที่ตรงนี้ชุกชุมเกินไป ไม่เหมาะให้พวกเขาสนทนา


เขาขอให้ไป๋มู่พาพวกเขาเข้าไปในห้องลับแห่งหนึ่ง


ที่นี่มีม่านพลังปิดกั้น บทสนทนาระหว่างพวกเขาไม่มีทางรั่วไหลออกไป


“คุณชายสั่งให้พวกเรามา”


หลังอันหลานเสวี่ยเข้ามาแล้วเอ่ยขึ้นทันที “คุณชายต้องการให้พวกอ้ายฉานขัดเกลาตนเอง พวกเราจึงเดินทางมาที่นี่”


นางสาธยายทุกอย่าง รวมถึงภาพวาดภาพนั้นของท่านเซียน และที่นางถามถึงสถานที่ในภาพกับเซี่ยเหยียน


“คุณชายสังเกตการณ์ทางนี้อยู่ตลอดจริงด้วย!”


เมิ่งจีเอ่ยอย่างสะท้อนใจ


นับแต่ท่านเซียนลงมือชุบชีวิตเหล่าสิ่งมีชีวิตจากจักรวรรดิโบราณกาล และบรรดากำลังรบระดับสูงที่ถูกสังหารจนเกลี้ยง เขาก็รู้ว่าท่านเซียนจับตาดูทางเขาอยู่เสมอ


บัดนี้อันหลานเสวี่ยพาพวกอ้ายฉานมา เขายิ่งมั่นใจว่าท่านเซียนคอยจับตาดูทางนี้!


หากท่านเซียนมิได้จับตาดู ไยจึงวาดภาพสถานที่ตั้งตระกูลไป๋


“ดี ๆๆ! มีพวกเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าก็มั่นใจเต็มเปี่ยมแล้ว หากเก้าแดนต้องห้ามมองสถานการณ์เป็นก็ดีไป หากไม่รู้จักมองสถานการณ์ ก็กำจัดให้หมดในรวดเดียวเสีย!”


เมิ่งจีเอ่ยด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม ไม่เหลือความกังวลแม้แต่น้อย


“ทั้งหมดแล้วแต่ผู้เฒ่าเมิ่งจะบัญชา!”


อันหลานเสวี่ยตอบ ท่าทีเคารพเมิ่งจีเป็นอย่างยิ่ง


ใช่ว่าใครก็พำนักในลานเล็กของท่านเซียนได้นานเพียงนั้น เมิ่งจีควรค่าแก่การเคารพนับถือจากนางแน่นอน


“พวกเจ้าพักผ่อนสักคืน พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางไปทะเลต้องห้าม!”


เมิ่งจีเอ่ยยิ้ม ๆ


แต่เดิมพวกเขาต้องเตรียมตัวอีกสักระยะ แต่บัดนี้พวกอ้ายฉานมาแล้ว การเตรียมการเหล่านั้นจึงไม่จำเป็นอีก


“ได้!”


“ตามบัญชาท่านปู่เมิ่ง!”


พวกอ้ายฉานสนิทสนมกับเมิ่งจีมาก ในอดีต เมื่อครั้งเมิ่งจียังพำนักอยู่ในเรือนเล็กท่านเซียน พวกเขาเคยพบกันอยู่บ่อย ๆ เมิ่งจีดีกับพวกเขามาก


“ท่านบอกสมาชิกกองกำลังอื่นไปว่าไม่ต้องมาแล้ว พรุ่งนี้ให้พวกเขาไปที่ทะเลต้องห้ามก็พอ”


เมิ่งจีบอกไป๋มู่


ไป๋มู่ก็ส่งข่าวให้ยอดนิกาย ยอดเผ่ากลุ่มอื่น ขอให้ยอดนิกายและยอดเผ่าเหล่านั้นส่งกำลังรบชั้นยอดมา เพื่อเดินทางไปยังทะเลต้องห้ามร่วมกับพวกเขา


ทว่าบัดนี้ไม่จำเป็นแล้ว


มีพวกอ้ายฉานอยู่ ไม่มีเรื่องใดเป็นปัญหาได้อีก


“ได้!”


ไป๋มู่พยักหน้า “ข้าจะไปแจ้งพวกเขาเดี๋ยวนี้!”


จากนั้น เขาออกจากที่แห่งนี้เพื่อทำการส่งข่าวอย่างรวดเร็ว


โมงยามนี้เวลานับเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ช้าหรือเร็วไม่สำคัญ พรุ่งนี้เขาต้องเดินทางไปยังทะเลต้องห้าม จึงยังมีอีกหลายเรื่องต้องสั่งการลงไป


เขาต้องเตรียมการทุกอย่างให้เสร็จก่อนไปทะเลต้องห้าม!


“ท่านปู่เมิ่ง คุณชายให้โยเกิร์ตกับเค้กจำนวนหนึ่งกับพวกเรา ท่านปู่เมิ่งอยากลองชิมดูหรือไม่”


อ้ายฉานหยิบโยเกิร์ตและเค้กออกมาส่วนหนึ่ง ก่อนจะยื่นให้เมิ่งจี


ทั้งหมดนี้ท่านเซียนบอกให้พวกเขาติดตัวมาด้วยก่อนเดินทาง


“นี่เป็นของที่ท่านเซียนให้พวกเจ้ามา พวกเจ้าเก็บไว้กินเถิด”


เมิ่งจีคลี่ยิ้ม “พวกเจ้ามีน้ำใจเช่นนี้ ปู่เมิ่งดีใจมาก!”


ทั้งโยเกิร์ตและเค้ก ต่างมีขุมปราณชีวิตมหาศาลเกินจินตนาการแผ่ซ่านอยู่ กลิ่นนั้นยิ่งยวนใจเข้าไปใหญ่ จนอดไม่ไหวอยากกัดสักคำ อยากดื่มสักอึก


ทว่าเมิ่งจีอดกลั้นไว้ มิได้รับโยเกิร์ตและเค้ก


อย่างที่เขาว่า นี่คือสิ่งที่ท่านเซียนให้พวกอ้ายฉาน เขาไฉนเลยจะกล้าสุ่มสี่สุ่มห้ารับมาดื่มกิน


แม้ว่าพวกอ้ายฉานเป็นฝ่ายยกให้เขา เขาก็มิบังอาจแตะต้อง


“ไปกันเถิด พักผ่อนให้ดี พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางแต่เช้า!”


เมิ่งจีลูบหัวเล็ก ๆ ของอ้ายฉาน บอกกับพวกอ้ายฉานด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม


“ได้!”


พวกอ้ายฉานบอกลาเมิ่งจี กลับไปพักผ่อนในที่พักซึ่งมีผู้อาวุโสตระกูลไป๋เตรียมไว้ให้


...


ท่ามกลางมหาสมุทรสีดำอันไร้ที่สิ้นสุด


ภายในทะเลต้องห้ามอันกว้างใหญ่ไพศาล บัดนี้เหลือจ้าวสมุทรแต่เพียงผู้เดียว


จ้าวสมุทรกำลังวุ่นอยู่กับการเก็บกวาดความเรียบร้อย ทันใดนั้น คิ้วของเขาก็ขมวดมุ่น


“เหตุใดข้าถึงสังหรณ์ไม่ค่อยดีนัก”


เขาพึมพำกับตัวเองเสียงเบา ลางสังหรณ์ในใจรู้สึกไม่ดีเอามาก ๆ