456-460

บทที่ 456

“อยากตายรึ!”


ยอดฝีมือจากอาณาจักรต้องห้ามบันดาลโทสะ พลังปราณน่าพรั่นพรึงซัดสาด ตี้หวงต่ำต้อยคนหนึ่งบังอาจท้าทายเขาไม่หยุดหย่อนเยี่ยงนี้ จะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร!


“เจ้าสิอยากตาย! ข้าฟันหัวสุนัขของเจ้าแบะได้ในดาบเดียว!”


จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงชักดาบสังสารวัฏออกมา ท่าทางกล้าหาญชาญชัย ไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย ดาบยาวฟันไปที่ยอดฝีมืออาณาจักรต้องห้ามผู้นั้น


อาจหาญ…เข้มแข็งเพียงนี้เชียวหรือ


จ้าวสังสารวัฏทั้งหลายนิ่งค้างกับสิ่งที่เห็น นึกในใจไปว่าเหตุใดถึงรู้สึกเหมือนสลับบทบาท รู้สึกเหมือนจ้าวตำหนักคือตี้จวิน ส่วนยอดฝีมือจากอาณาจักรต้องห้ามผู้นั้นเหมือนเป็นตี้หวง…


“ฆ่า!”


“ได้เวลาสร้างคุณูปการแล้ว!”


ยามนี้ พวกเขาเพิ่งได้สติ รอยยิ้มแช่มชื่นประดับอยู่บนใบหน้า แต่ละคนต่างรีดเร้นอานุภาพศาสตราในมือถึงขีดสุด แล้วบุกออกไปข้างหน้า


เห็นนายตำหนักโง่หรืออย่างไร?


ตี้หวงคนหนึ่งไฉนเลยจะท้าทายตี้จวินขนาดนี้?


ซ้ำยังมีท่าทีดุเดือด ไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย!


เป็นไปได้อย่างไร!


แน่นอนว่าเป็นเพราะนายตำหนักมีไพ่ตายในมือ ไม่จำเป็นต้องยำเกรงตี้จวิน และมั่นใจว่าสามารถฆ่าตี้จวินได้!


มิฉะนั้น มีหรือที่นายตำหนักจะทำเช่นนี้?


หลังคิดข้อนี้ตก พวกเขาต่างหน้าชื่นตาบาน ซาบซึ้งใจเหลือคณาที่นายตำหนักพาพวกเขามาเข่นฆ่าศัตรูที่นี่


นี่ถือเป็นโอกาสอันดีในการสร้างความดีความชอบ!


“หรือจะมีฝีมืออยู่จริง ๆ?”


ยอดฝีมืออาณาจักรแดนต้องห้ามผู้นั้นพึมพำในใจ ชักหวั่นใจขึ้นมา


ถึงอย่างไรหากจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงไม่มีวิชาท่าไม้ตายสักนิด ไฉนเลยจะกล้าเหิมเกริมปานนี้ ท้าทายเขาถึงเพียงนี้


“ฆ่า!”


เขาขึงขังอย่างยิ่ง มิกล้าชะล่าใจแม้แต่น้อย ทันทีที่ลงมือก็ใช้มหาวิชาพิฆาต บุกออกไปเพื่อปลิดชีพ!


“เปล่าประโยชน์! ท่านจ้าวตำหนักของเราปราบเจ้าอยู่หมัดแน่ เจ้าต้องกลายเป็นวิญญาณใต้ดาบของจ้าวตำหนัก!”


“ถูกต้องแล้ว!”


จ้าวสังสารวัฏทั้งหมดหัวเราะร่วน มั่นใจเต็มเปี่ยม


รนหาที่ตายขนาดนี้ก็เกินไป พวกเขาเชื่อว่าจ้าวตำหนักของพวกเขาแสร้งเป็นหมูเพื่อเขมือบเสือ ยอดฝีมือตี้จวินผู้นี้ได้ลำบากเพราะจ้าวตำหนักอย่างแน่นอน!


พวกเขารอชมฉากละครแสร้งเป็นหมูเพื่อเขมือบเสืออยู่!


ทว่าหารู้ไม่ ลมหายใจต่อมา สีหน้าพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก รอยยิ้มแข็งทื่อไปในบัดดล


“ไอ้บัดซบ!”


“ไม่ใช่กระมัง นี่มิใช่การแสร้งเป็นหมูเพื่อเขมือบเสือ นี่มัน…นี่มันหมูจริง ๆ!”


พวกเขาระทมใจอย่างยิ่ง อย่าให้พูดเลยว่ารู้สึกแย่เพียงใด


ไอ้เวรเอ๊ย!


จ้าวตำหนักนี่…ขุดหลุมฝังกันชัด ๆ!


พวกเขาเข้าใจว่าจ้าวตำหนักมีไพ่ตายในมือ สังหารยอดฝีมือตี้จวินผู้นี้ได้ จ้าวตำหนักกำลังเล่นบทแสร้งเป็นหมูเพื่อเขมือบเสือ


แต่หารู้ไม่ ทั้งหมดเป็นความคิดของพวกเขาเพียงฝ่ายเดียว จ้าวตำหนักแสร้งเป็นหมูเพื่อเขมือบเสือที่ไหน เขาเป็นแค่หมูตัวหนึ่งชัด ๆ!


ยอดฝีมือตี้จวินผู้นั้นใช้มหาวิชาพิฆาต จ้าวตำหนักก็ตายตกไปในทันที ถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์ ตายสนิทจนไม่อาจตายได้อีก!


บ้าที่สุด!


หากไม่มีปัญญา…ไยต้องแกล้งอวดเบ่งด้วย!


ไอ้ตัวขุดหลุมฝัง!


หลุมพิฆาต!


พวกเขาร่ำไห้ อย่าให้พูดเลยว่าเสียงร้องน่าเวทนาปานใด พวกเขาถูกจ้าวตำหนักขุดหลุมหลอกให้ตกลงไปในคลอง หนนี้ไม่น่าจะรอดแล้ว


“มีคนแบบนี้ด้วยหรือ!?”


ยอดฝีมือตี้จวินผู้นั้นอึ้งไปเช่นกัน


ให้ตายสิ ปลิดชีพในเสี้ยวอึดใจ เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ เหนือความคาดหมายของเขาอย่างสิ้นเชิง


เดิมคิดว่าจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงฉกาจปานใด ที่แท้ก็เท่านี้เองหรือ


โอ๊ย เกือบโดนไอ้โง่นี่หลอกเสียแล้ว!


หมอนี่ไม่มีฝีมืออันใดเลยสักนิด!


“พวกเจ้าอยากมีความดีความชอบมิใช่หรือ มาสิ!”


เขาหันมองเหล่าจ้าวสังสารวัฏด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม


“คือว่า…ให้โอกาสพวกเราสักครั้งได้หรือไม่”


“พวกเราไฉนเลยจะกล้าท้าทายท่าน ผิดที่จ้าวตำหนักจอมขุดหลุมคนเดียว! ท่านช่วยมีเมตตา…ปล่อยเราไปได้หรือไม่”


จ้าวสังสารวัฏทั้งหลายขอร้องยอดฝีมือตี้จวินผู้นั้นเสียงสะอื้น


“พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร”


ยอดฝีมือตี้จวินผู้นี้จะยอมปล่อยเหล่าจ้าวสังสารวัฏไปได้อย่างไร เขาลงมือทันที ปลิดชีพจ้าวสังสารวัฏทั้งหมด


ห่างออกไปไกล คนผู้หนึ่งกำลังมองภาพการณ์ด้านนี้ด้วยสีหน้ามีเลศนัย


เมื่อได้เห็นยอดฝีมือตี้จวินผู้นั้นสังหารจ้าวสังสารวัฏเหล่านั้นจนสิ้น เขาพลันถอนหายใจโล่งอก เหยียดยิ้มออกมา


‘เรียบร้อย แผนการสำเร็จลุล่วง!’


เขาเอ่ยในใจอย่างมีความสุข


‘นายตำหนัก’ ตายไปแล้ว หวงหลงผู้นี้ถึงคราผงาดเสียที!


บรรดาจ้าวสังสารวัฏก็ตายไปแล้ว ไม่มีผู้ใดชิงตำแหน่งนายตำหนักกับเขาอีก ตำแหน่งนายตำหนักต้องตกเป็นของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย


ใช่แล้ว เขามิใช่ใครอื่น จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงนั่นเอง!


เขาได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า ‘นายตำหนัก’ ที่ถูกฆ่าคือร่างแปลงของเขา มิใช่ร่างต้นของเขา


ร่างต้นของเขาซ่อนตัวไว้นานแล้ว


“อ๊าก ๆๆ! พวกเจ้าช่างน่าชิงชังนัก คร่าชีวิตจ้าวตำหนักย่อยของเราไป ซ้ำยังฆ่าจ้าวสังสารวัฏแห่งตำหนักย่อยของเรา! พี่น้องเอ๋ย จงฆ่า แก้แค้นให้จ้าวตำหนักและจ้าวสังสารวัฏที่ตายไป!”


เขาตะโกนลั่น เผยตัวตนที่แท้จริง นำทัพสมาชิกตำหนักย่อยแห่งนี้บุกห้ำหั่นศัตรูทั้งที่ตัวท่วมเลือด ท่าทางประหนึ่งว่าหากสิ้นชีพที่นี่ไม่ต่างจากได้กลับบ้าน


พรวด! พรวด! พรวด!


โลหิตสาดกระจาย ไม่นานนักเขาก็บาดเจ็บสาหัส เลือดไหลตามตัวไม่หยุด ทว่าเขายังไม่ยอมถอย สายตาแน่วแน่ ยังคงยืนหยัดต่อสู้ต่อไป!


“พวกจ้าวตำหนักต่อสู้เพื่อแดนสังสารวัฏโดยไม่สนความเป็นความตาย เป็นแบบอย่างให้เราทำตาม พวกเราก็ควรเป็นเช่นนี้ หลั่งโลหิตหยาดสุดท้ายเพื่อแดนสังสารวัฏ!”


เขาส่งเสียงตะโกนกึกก้อง อย่าให้พูดเลยว่าโดดเด่นเพียงใดในสมรภูมิ สิ่งมีชีวิตมากมายต่างเพ่งสายตามองมาที่เขา


“จ้าวสังสารวัฏหวงหลง!”


“จ้าวสังสารวัฏ!”


สิ่งมีชีวิตในแดนสังสารวัฏมากมายซาบซึ้งในการต่อสู้ไม่คิดชีวิตของจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลง พากันตะโกนเรียกชื่อจ้าวสังสารวัฏหวงหลง


“ฆ่า! หลั่งเลือดหยาดสุดท้ายเพื่อแดนสังสารวัฏ!”


จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงเข้าห้ำหั่นอีกครั้ง เขาบาดเจ็บร้ายแรงกว่าเดิม ศาสตราเสียบอยู่เต็มตัว กระนั้นเขามิได้ล้มลง ยังคงฆ่าฟันศัตรูต่อสุดความสามารถ


แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเท็จ ฉากหน้าเขาดูเหมือนบาดเจ็บสาหัส แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นอะไรมากนัก เขาอำพรางความสามารถและขอบเขตพลัง ในสนามรบแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดฆ่าเขาได้


“บาดเจ็บหนักเพียงนี้แล้วยังต่อสู้เพื่อแดนสังสารวัฏของเรา เจ้า…สุดยอดมาก ควรค่าให้สมาชิกแดนสังสารวัฏของเราเคารพนับถือ!”


เวลานั้น ยอดฝีมือผู้หนึ่งเหินเข้ามาบอกกับจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลง


เขามาจากตำหนักหลัก ฐานะสูงศักดิ์ พฤติกรรมของจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงเป็นที่สนใจของเขา เขาเองก็ซึ้งใจกับเจตนารมณ์พร้อมต่อสู้โดยไม่สนความเป็นความตายของจักรพรรดิหวงหลงเช่นกัน


“เจ้ากลับไปเถิด หยุดต่อสู้ได้แล้ว วันหน้าเจ้าจะกลายเป็นสมาชิกคนสำคัญของพวกเราแดนสังสารวัฏ รอให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นเมื่อใดค่อยต่อสู้ใหม่!”


เขามองเห็นอนาคตในตัวจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงอย่างยิ่ง หมายใจจะอบรมบ่มเพาะจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลง


รอประโยคนี้ของเจ้าอยู่เลย!


หลังจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงได้ยิน ในใจนั้นพลันเบิกบานแช่มชื่น


ทว่า เขาไม่สามารถแสดงออกมาได้


“ไม่ ข้าไม่ต้องการกลับ ข้าจะต่อสู้อีก! ข้ายัง…สู้ไหว!”


เขาเอ่ยด้วยท่าทางสะเทือนอารมณ์ แสดงเจตจำนงว่าต้องการสู้ต่อ


ทว่า ระหว่างที่เขากำลังพูด ๆ อยู่กลับล้มตึงไปที่พื้นคล้ายว่าหมดสติกะทันหัน


ผู้ใด…อยากจะต่อสู้อีกวะ!


เขาไม่สู้หรอกนะ!


นี่คือบทฉากสลบไสลที่เขาเพิ่มให้ตัวเอง


“เป็นขนาดนี้แล้วยังอยากต่อสู้เพื่อแดนสังสารวัฏของเราอีก! พวกเจ้าเห็นกันหรือไม่ ผู้นี้ต่างหากคือวีรบุรุษของพวกเราแดนสังสารวัฏ เป็นแบบอย่างของพวกเราแดนสังสารวัฏ!”


ยอดฝีมือจากตำหนักหลักผู้นั้นตะโกนบอกสิ่งมีชีวิตแดนสังสารวัฏตนอื่นด้วยความเต็มตื้น


“นำตัววีรบุรุษผู้เป็นแบบอย่างของเรากลับไป จำไว้ ไม่ว่าด้วยวิธีใด ช่วยชีวิตวีรบุรุษผู้เป็นแบบอย่างของเราไว้ให้ได้!”


เขาออกคำสั่งให้พาตัวจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงกลับไป


ได้แน่นอน!


จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงคิดในใจด้วยความสำราญ อย่าให้พูดเลยว่าสุขีเพียงใด


ทันทีที่เล่นบทสลบ ภาพพจน์ของเขายิ่งใหญ่ทวีคูณ ตำแหน่งนายตำหนักต้องตกเป็นของเขาแน่นอน และเขายังสามารถเลื่อนตำแหน่งขึ้นไปเหนือนายตำหนักได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย!


...


นอกเมืองชิงซาน


พวกอ้ายฉานมาถึง ประจวบกับต้าเต๋อก็มาถึงในเวลานี้พอดี พวกเขาจึงได้พบกัน


“เจ้าเณรน้อยมาได้อย่างไร”


อ้ายฉานเบ้ปาก นางย่อมจำต้าเต๋อได้แม่น


เณรน้อยผู้นี้ต่ำช้าแล้วยังหลงตัวเองขั้นสุดอีกด้วย!

บทที่ 457

“ข้ามาเยี่ยมเยียนคุณชายอย่างไรเล่า!”


ต้าเต๋อหัวเราะคิกคัก “พี่สาวก็มาเยี่ยมเยียนคุณชายเหมือนกันหรือ”


เขาทำท่าทีสนิทสนม มาถึงก็เรียกอ้ายฉานว่าพี่สาวอย่างชิดเชื้อ


“ผู้ใดเป็นพี่สาวของเจ้า!”


อ้ายฉานถลึงตาใส่ต้าเต๋อ นางไม่มีน้องชายนิสัยเลอะเทอะเยี่ยงนี้!


นึกถึงประสบการณ์ที่นางเคยข้องแวะกับต้าเต๋อในอดีตก็โมโหจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ต้าเต๋อผู้นี้ต่ำตมยิ่ง


“พี่สาวอย่าโกรธไปเลย เรื่องในอดีตเป็นความเข้าใจผิดทั้งสิ้น ก่อนหน้านี้เณรน้อยผู้นี้ทำไม่ถูกจริง ๆ ข้าต้องขอโทษพี่สาวจากใจจริง ณ ที่นี้ด้วย!”


นาน ๆ ต้าเต๋อจะจริงจังสักครั้ง กล่าวคำขอโทษต่ออ้ายฉาน


“จากนี้ไปเลิกทำตัวต่ำตมเป็นพอ!”


อ้ายฉานเอ่ย มิได้ถือสาเอาความกับต้าเต๋ออีก


“ได้เลย ๆ!”


ต้าเต๋อรีบบอก


“ไปเถิด พวกเราไปพบคุณชายด้วยกัน”


พวกอ้ายฉานกับต้าเต๋อก้าวเดินไปยังเมืองชิงซานด้วยกัน


ส่วนหมูป่าที่ต้าเต๋อใช้เป็นพาหนะขี่มาถูกปล่อยไปนานแล้ว ทั้งยังให้ค่าตอบแทนจำนวนหนึ่งกับหมูป่าอีกด้วย มิได้ปล่อยให้หมูป่าเป็นสัตว์พาหนะของเขาเปล่า ๆ ปลี้ ๆ


ที่ครานั้นเขาเอ่ยว่าอยากกินหมูตุ๋นน้ำแดง ขาหมูนึ่งซีอิ๊ว ล้วนเป็นการหยอกหมูป่าเล่นเท่านั้น มิได้ตั้งใจกินหมูป่าจริง ๆ


ครานั้นเขาอยู่ในสภาพเมามาย ทว่าทั้งหมดล้วนเป็นการเสแสร้ง เป็นการกล่อมประสาทของเขาเอง


พลังวิญญาณของเขากล้าแกร่งเกินไป วิญญาณขอบเขตจ้าวสูงสุดของเขาพัฒนาเป็นวิญญาณขั้นนภาสูงสุด เวลานี้อยากดื่มให้เมายังยาก น้อยนักจะมีสุราที่ทำให้เขาเมาได้


ถนนเส้นใหญ่ตรงดิ่งจนถึงเมืองชิงซาน พวกเขาต่างเลิกเหินตั้งแต่ยังห่างจากเมืองชิงซานไกลโข เป็นการให้เกียรติหลี่จิ่วเต้าของพวกเขา


ทุกคนเดินไปตามถนน ผ่านไปไม่นานก็มาถึงริมลำธารนอกเมืองชิงซาน ซึ่งใกล้กับเมืองชิงซานมากแล้ว


“คนผู้นั้นน่าสนใจจริง!”


ทันใดนั้น ดวงตาเล็ก ๆ ของต้าเต๋อวาวโรจน์ หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ เมื่อเห็นว่าริมลำธาร มีผู้เฒ่าคนหนึ่งกำลังโบกพัดให้ก้อนหินก้อนหนึ่ง


ไยต้องโบกพัดให้ก้อนหินด้วย เหลือเกินจริง!


เขาวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไป


“โอ๊ย!”


อ้ายฉานโมโหจนกระทืบเท้า กว่าจะรู้ตัว ต้าเต๋อก็วิ่งไปไกลแล้ว


ต้าเต๋อไม่ทราบถึงตัวตนและความสามารถของต้นหลิวกับก้อนหิน แต่นางรู้อย่างแจ่มชัด


ต้นหลิวและก้อนหินได้รับความเมตตาจากท่านเซียน รับหน้าที่คุ้มกันเมืองชิงซานอยู่ที่นี่ ขอบเขตพลังลึกล้ำเกินหยั่ง กล้าแกร่งเหลือแสน


“อย่าปล่อยให้เณรน้อยเลอะเทอะผู้นี้ล่วงเกินท่านอาหลิวและท่านอาหินเอาได้!”


นางรีบวิ่งไปทางนั้น


“ท่านผู้เฒ่า ท่านทำอันใดอยู่หรือ เหตุใดถึงโบกพัดให้ก้อนหินก้อนหนึ่ง!”


ต้าเต๋อวิ่งไปถึงก่อนแล้ว พร้อมส่งเสียงถามผู้เฒ่า


หัวโล้นรึ!


เณรน้อยจากไหนกันนี่!


ผู้เฒ่าประหลาดใจ


“หินก้อนนี้รู้ร้อนรู้หนาวด้วยหรือไร ท่านผู้เฒ่ารีบบอกให้ข้ารู้ทีว่าเหตุใดท่านถึงโบกพัดให้หินก้อนหนึ่ง!”


ต้าเต๋อสงสัยมาก รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสนใจยิ่ง เอ่ยถามผู้เฒ่าอีกครั้ง


แค่รู้ร้อนรู้หนาวที่ไหน!


ผู้เฒ่าคิดแล้วอยากร่ำไห้ ประสบการณ์อนาถาในอดีตแวบเข้ามาในจิตใจ


ใช่แล้ว เขามิใช่ใครอื่น ตงฟางเวิ่นนั่นเอง


ตั้งแต่ถูกต้นหลิวกับก้อนหินรุมตีคราวก่อน อย่าให้พูดเลยว่าเขาขยันขันแข็งปานใด เดินทางมาทักทายเอาอกเอาใจต้นหลิวและก้อนหินทุกวี่วัน


“เด็กน้อย เจ้าไม่เข้าใจ ปู่เล่นสนุกอยู่”


ตงฟางเวิ่นเอ่ย “อากาศร้อน มีพัด แต่ข้าไม่โบก ข้าจะโบกให้ก้อนหิน แฮร่ แค่เล่นสนุกน่ะ!”


หลังต้าเต๋อได้ฟังก็มีสีหน้าเอือมระอาขึ้นมาทันที


อะไรกันนี่?


คนวิกลจริตหรือ!


เขาหมดคำพูดอย่างแท้จริง ก็นึกว่าผู้เฒ่ามีเหตุผลใดเป็นพิเศษ ที่แท้ก็สมองมีปัญหา!


“ท่านผู้เฒ่า…ท่านทำต่อไปเถิด!”


ต้าเต๋อเอ่ยทั้งมุมปากกระตุก


“เจ้าเณรน้อยอย่าได้เสียมารยาท กล่าวทักทายท่านอาหลิวและท่านอาหินเดี๋ยวนี้!”


อ้ายฉานวิ่งมาถึง บอกกับต้าเต๋ออย่างรีบร้อน


หา?


ต้าเต๋อผงะกับวาจาอ้ายฉาน ให้เขาทักทายกระไรใส่ต้นหลิวและก้อนหิน!


“เจ้าคงมิได้แกล้งข้ากระมัง”


ต้าเต๋อคิดว่าอ้ายฉานยังผูกใจเจ็บ ที่บอกให้เขาทักทายต้นหลิวและก้อนหินเป็นการกลั่นแกล้ง


“ข้าแกล้งเจ้าอันใดกัน จริง ๆ เลย!”


อ้ายฉานถลึงตาใส่ต้าเต๋อ ทำคุณบูชาโทษจริง ๆ หวังดีแท้ ๆ แต่กลับถูกโยนทิ้งขว้าง!


จากนั้น นางไม่สนใจต้าเต๋ออีก หันไปทักทายต้นหลิวและก้อนหิน


อันหลานเสวี่ย จู้จื่อ และคนอื่น ๆ เข้ามาถึงเช่นกัน ทั้งหมดพากันกล่าวทักทายต้นหลิวและก้อนหิน


พวกเขาทุกคนทราบถึงตัวตนของต้นหลิวและก้อนหิน


ต้าเต๋อนิ่งค้างไป เรื่องอะไรกัน?


ก่อนหน้านี้มีตงฟางเวิ่นโบกพัดให้ก้อนหิน ต่อมามีพวกอ้ายฉานสวัสดีต้นหลิวและก้อนหิน เหตุไฉนถึง…ผิดปกติเยี่ยงนี้!


บ้าเอ๊ย!


พวกอ้ายฉานเห็นว่าตงฟางเวิ่นโบกพัดให้ก้อนหิน ถึงได้ผุดอุบายนี้ขึ้น แต่งเรื่องว่าต้นหลิวและก้อนหินมีฝีมือฉกาจ รวมหัวกันแกล้งเขา?


วิญญาณของเขาอยู่ในขั้นนภาสูงสุด หากต้นหลิวและก้อนหินไม่ธรรมดาจริง เขาสัมผัสได้นานแล้ว ต้นหลิวและก้อนหินนี้เป็นเพียงพืชธรรมดาเท่านั้น!


“ข้าไม่ยอมให้พวกท่านหลอกหรอก! ต้องคารวะต้นหลิวก้อนหิน ซ้ำยังต้องเรียกขานว่าท่านอา ข้ามิถูกพวกท่านหัวเราะเยาะแย่หรือ!”


ต้าเต๋อเบ้ปาก เขาปราดเปรื่องเยี่ยงนี้ ไฉนเลยจะทำเรื่องโง่ ๆ เช่นนั้นได้


พูดจบ เขาก็นั่งทับก้อนหิน เพื่อพิสูจน์ว่าหินก้อนนี้ไม่มีอะไรพิเศษ เป็นเพียงก้อนหินธรรมดา เพื่อเปิดโปงคำโกหกของพวกอ้ายฉาน


“ข้าไม่ทักทาย และไม่เรียกท่านอา ซ้ำข้ายังนั่งทับอีกด้วย แฮร่ แค่เอาสนุก!”


เขาลอกเลียนแม้กระทั่งท่าทางวาจาของตงฟางเวิ่นก่อนหน้านี้อีกด้วย


“โอ๊ย ๆ ร้อนเกือบตาย ก้นน้อย ๆ ของข้าจะสุกอยู่แล้ว!”


ไม่ทันสิ้นเสียง เขาก็กระโจนขึ้นสูงประหนึ่งพลุจรวด เด้งตัวขณะที่สองมือกุมก้นตัวเองไปด้วย


เจ็บเหลือเกิน!


เจ็บจนใบหน้าเขาเหยเก ร้องจ้าละหวั่น กระโดดดึ๋ง ๆ รอบ ๆ


พลังเนื้อกายของเขาแข็งแกร่งอย่างยิ่ง มีการก้าวหน้าเช่นเดียวกัน บรรลุถึงขั้นนภาสูงสุด


ทว่าขนาดนี้ก็ยังไม่ไหว เขารู้สึกจริง ๆ ว่าเนื้อก้นถูกลนจนสุก เจ็บเป็นหนักหนา


“หึหึ สมน้ำหน้า!”


อ้ายฉานได้เห็นภาพนี้อย่าให้พูดเลยว่าหัวเราะด้วยความปรีดามากเพียงใด


ผู้ใดใช้ให้ต้าเต๋อไม่เห็นความหวังดีของนางเล่า!


อีกด้าน อันหลานเสวี่ยและพวกจู้จื่อหัวเราะเช่นกัน หัวเราะจนปิดปากไม่ได้


ต้าเต๋อเสียท่าเพราะความฉลาดเป็นเหตุแท้ ๆ ท่านอาหินมีหรือจะยอมให้นั่งได้ง่าย ๆ


“ข้าผิดไปแล้ว!”


ต้าเต๋อร้องห่มร้องไห้วิ่งเข้ามา คราวนี้เขาสำนึกผิดแล้วจริง ๆ


ต้นหลิวและก้อนหินมิใช่พืชธรรมดา ทรงพลังแกร่งกล้า ขนาดที่วิญญาณขั้นนภาสูงสุดของเขายังสัมผัสความผิดปกติไม่ได้สักนิด


“พวกเจ้าจะไปพบคุณชายหรือ”


ตอนนั้นเอง ต้นหลิวส่งเสียง


“ใช่แล้ว ท่านอาหลิว”


อ้ายฉานพยักหน้า เอ่ยอย่างมีมารยาท “คุณชายบอกว่าทำโยเกิร์ตและเค้กไว้ ให้พวกเราไปชิม”


“อิจฉาพวกเจ้าจริง เมื่อใดพวกเราถึงจะได้กินอาหารรสเลิศฝีมือคุณชายกัน!”


ก้อนหินเอ่ยอย่างอิจฉา


“เจ้าเป็นเพียงก้อนหิน มัวแต่พะว้าพะวังเรื่องกินใช้ได้ที่ไหน!”


ต้นหลิวตำหนิ “เลิกคิดเพ้อเจ้อได้แล้ว รักษาการณ์ให้ดี อารักขาเมืองชิงซานให้ดีก็พอ!”


จากนั้น มันบอกกับพวกอ้ายฉาน “พวกเจ้ารีบไปเถิด อย่าให้คุณชายคอยนาน”


“ได้เลย! ท่านอาหลิว ท่านอาสือ แล้วเจอกัน!”


พวกอ้ายฉานบอกลาต้นหลิวและก้อนหิน เข้าไปในเมืองชิงซาน


“ข้าเองก็อิจฉา ได้ยินว่าโยเกิร์ตฝีมือท่านเซียนอร่อยยิ่ง เค้กก็ด้วย รสชาติเลิศล้ำสุด ๆ!”


ตงฟางเวิ่นมองร่างพวกอ้ายฉานตาปริบ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น น้ำลายไหลออกจากมุมปาก


เขาเคยกินอาหารฝีมือท่านเซียน โอชะเหลือคณา!


น่าเสียดาย หนนี้เขาไม่ได้รับคำเชิญจากท่านเซียน


“อิจฉาหาพระแสงอันใด! พัดต่อไป!”


ก้อนหินเอ่ยเสียงไม่สบอารมณ์

บทที่ 458

“คุณชาย พวกเรามาแล้ว!”


อ้ายฉานและเด็กคนอื่น ๆ วิ่งเหยาะ ๆ เข้ามาในลานเล็กของหลี่จิ่วเต้า


เวลานี้ หลี่จิ่วเต้ากำลังวาดภาพ


ภาพที่เขาวาดเป็นภาพสิ่งปลูกสร้างและทัศนียภาพ ภายในภาพเต็มไปด้วยเมฆหมอก ทิวทัศน์งดงาม สิ่งปลูกสร้างทั้งหลายล้วนเปี่ยมด้วยกลิ่นอายโบราณ ดูคล้ายวังประทับเทพเซียน วิจิตรตระการตา


นี่เป็นสถานที่หนึ่งที่เขาเห็นจาก ‘แท็บเล็ต’ โลกในมือ เขารู้สึกว่ายอดเยี่ยม จึงวาดออกมา


“มาแล้วหรือ!”


เมื่อหลี่จิ่วเต้าเห็นพวกอ้ายฉาน จึงเอ่ยขึ้น “พวกเจ้ารอข้าสักเดี๋ยว ข้าใกล้จะวาดภาพนี้เสร็จแล้ว”


“ได้เลยคุณชาย!”


พวกอ้ายฉานพยักหน้าอย่างรู้ความ รอท่านเซียนวาดภาพอยู่ที่ด้านหนึ่งเงียบ ๆ


อีกด้าน อย่าให้พูดเลยว่าต้าเต๋อตกตะลึงปานใด


ที่นี่…ที่นี่เป็นแดนเซียนหรืออย่างไร?


สวรรค์!


ภาพวาดอักษรในร้าน ทุกสิ่งทุกอย่างในลานเล็ก อย่าให้เอ่ยเลยว่าสูงส่งวิเศษเพียงใด


เขาเคยประจักษ์ถึงฝีมือและความสามารถของท่านเซียนมาแล้ว รู้ว่าท่านเซียนสุดยอดขนาดไหน


ทว่าหลังจากเขาได้มาเยือนลานเล็ก ถึงรู้ว่าแดนเซียนที่แท้จริงเป็นเช่นไร!


ที่นี่ต่างหากคือแดนเซียนอย่างแท้จริง!


ภายในลานมีจังหวะแห่งเต๋าสูงส่งไหลเวียนอยู่เต็มเปี่ยม ทุกลมหายใจล้วนอุดมสมบูรณ์ด้วยขุมปราณชีวิตมหาศาล ของทุกชิ้นในลานล้วนเป็นวัตถุสะท้านโลกาอันน่าทึ่ง ขนานนามที่นี่ว่าแดนเซียนไม่ถือว่าเกินไปเลยสักนิด!


เมื่ออยู่ที่นี่ ต่อให้ไม่ฝึกฝนก็ยังได้รับประโยชน์อย่างยิ่งใหญ่!


ท่านเซียนน่าเหลือเชื่อถึงขีดสุด!


“เสร็จแล้ว!”


หลี่จิ่วเต้าจรดพู่กันครั้งสุดท้าย ก่อนจะวางพู่กันลง


“คุณชายวาดได้เลิศล้ำยิ่ง!”


“ทิวทัศน์ที่นี่วิจิตรสุด ๆ ไปเลย!”


พวกอ้ายฉานส่งเสียงเจื้อยแจ้ว


“งดงามหรือ คุณชายก็คิดเหมือนกัน”


หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้ม “ทิวทัศน์งดงามมีอยู่เต็มใต้หล้า บัดนี้พวกเจ้าทุกคนคือผู้ฝึกตนตัวน้อย เดินทางท่องเที่ยวไปตามที่ต่าง ๆ ดูก็ได้ จะเอาแต่ฝึกฝนทั้งวี่ทั้งวันไม่ไหว เช่นนั้นไม่ดีต่อการพัฒนาศักยภาพของพวกเจ้าเองด้วย รู้จักปรับสมดุลระหว่างหน้าที่และการพักผ่อนจึงจะเป็นการดีที่สุด”


“อืม!”


“คุณชายพูดถูก!”


พวกอ้ายฉานพยักหน้า จดจำวาจาของคุณชายไว้ในใจ


อันหลานเสวี่ยเองก็เช่นกัน


บัดนี้นางได้รู้แล้วว่าทุกถ้อยคำของท่านเซียนล้วนแฝงความนัยลึกซึ้ง มิได้ธรรมดาอย่างที่คิด ทุกประโยคล้วนต้องตั้งใจรับฟัง ตั้งใจวิเคราะห์


ท่องเที่ยวไปตามที่ต่าง ๆ หรือ?


ท่านเซียนหมายความว่าให้พวกอ้ายฉานออกเดินทางเพื่อเคี่ยวกรำตนเองหรือ?


อันหลานเสวี่ยคิดในใจ


ก็จริง... ขอบเขตพลังของพวกอ้ายฉานพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ทว่าประสบการณ์ต่อสู้ยังขาดแคลนอยู่มาก มิได้ผ่านการขัดเกลาเท่าไร สมควรต้องออกเดินทางเพื่อเคี่ยวกรำตนเอง!


ภาพนี้…


ท่านเซียนต้องการให้พวกอ้ายฉานไปฝึกฝนตนเองในสถานที่บนภาพวาดหรือ


อันหลานเสวี่ยคิดในใจอีกครั้ง รู้สึกเป็นไปได้สูงว่าท่านเซียนต้องการให้พวกอ้ายฉานออกเดินทางไปขัดเกลาตนเองตามสถานที่ในภาพ


มิฉะนั้นไยท่านเซียนต้องกล่าวถึงเรื่องออกเดินทางฝึกฝนหลังวาดภาพนี้เสร็จด้วยเล่า!


นางดูออกแต่แรกแล้วว่า สถานที่ในภาพนั้นไม่ธรรมดา เป็นสถานที่สูงส่ง


หากพวกอ้ายฉานได้ออกเดินทางไปฝึกฝนที่นี่ ย่อมต้องได้รับผลประโยชน์มหาศาล


“สวัสดีคุณชาย!”


เวลานั้น ต้าเต๋อเดินเข้ามา กล่าวทักทายท่านเซียน


“เอ๋ เณรน้อยเองก็มาด้วยหรือ”


หลี่จิ่วเต้าเพิ่งสังเกตเห็นต้าเต๋อ


เมื่อครู่เขามัวยุ่งอยู่กับการวาดภาพ ไม่ทันได้สังเกตรอบ ๆ ไม่ทันรู้ตัวว่าต้าเต๋อก็มาด้วย


“เจ้ามาได้พอดี มาตามกลิ่นสิท่า”


ชายหนุ่มหัวเราะ “ข้าทำเค้กไว้ไม่น้อย พร้อมทั้งโยเกิร์ตมากมาย เจ้าลองชิมดูได้”


“ขอบคุณคุณชาย!”


อย่าให้พูดเลยว่าต้าเต๋อดีใจและตื้นตันเพียงใด


คราวก่อนบนเขาหยงหมิง เขาเคยกินเนื้อตุ๋นฝีมือท่านเซียน รสชาตินั้นอย่าให้ต้องพรรณาว่าเลิศล้ำปานใด


“เจ้ามานี่คุณชายดีใจยิ่ง วันนี้เราสองคนมาดื่มกันสักจอกสองจอก”


หลี่จิ่วเต้าจำได้ว่าต้าเต๋อชอบดื่มเหล้า จึงเอ่ยออกไป


“ได้เลย!”


ต้าเต๋อตอบยิ้ม ๆ


“คุณชาย ปลาเหล่านี้เลี้ยงไว้เพื่อกินหรือ”


เขาถามท่านเซียน


พร้อมจับปลาขึ้นมาตัวหนึ่งอย่างไม่คิดมาก


เมื่อครั้งเพิ่งเข้ามาในลาน เขาก็สังเกตเห็นปลาเหล่านี้


พับผ่าสิ สายเลือดของปลาเหล่านี้น่าทึ่งกันทั้งนั้น หากนำมาย่างกินหรือตุ๋นกิน ต้องโอชะอย่างแน่นอน!


ปลาตัวที่เขาจับขึ้นมา มีเกล็ดเจ็ดสีสีสันเจิดจ้า สวยสดเหลือคณา


“!!!”


เมื่อถูกต้าเต๋อจับไว้ในมือ หัวใจดวงน้อย ๆ ของมัจฉาสัตมายาแทบหลุดออกมา


แม่เจ้า!


เหตุไฉนถึงโชคร้ายอย่างนี้นะตัวเรา!


มันหลบอยู่มุมในสุดของโอ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะโผล่หัว แล้วเหตุใดถึงยังโดนต้าเต๋อจับไว้ได้ง่าย ๆ!


น่าสังเวชนัก!


มีปลาอยู่มากมายเพียงนี้ ไยจึงเป็นมันที่ถูกจับ!


บุ๋ง บุ๋ง!


ภายในโอ่ง ฝูงปลาพากันเดือดพล่าน สื่อสารกันไปมา


พี่ใหญ่…พี่ใหญ่จะไม่รอดแล้วหรือ!?


ความโชคดีของพี่ใหญ่หมดลงแล้วหรือ?


โดนจับไปเสียง่าย ๆ!


ดูท่าความโชคดีของพี่ใหญ่จะหมดสิ้นแล้วจริง ๆ!


พี่ใหญ่…พี่ใหญ่โปรดไปสู่สุขติ!


วางใจเถิด พวกเราจะจดจำพี่ใหญ่ไว้ตลอดไป พี่ใหญ่จะอยู่ในใจพวกเราเสมอ!


พี่สัตมายา จากนี้ไปพวกเราเป็นลูกน้องของพี่สาวลั่วสุ่ยแทนเอง กตัญญูต่อพี่สาวลั่วสุ่ยแทนพี่สัตมายา!


ฝูงปลาเหล่านี้พากันเอื้อนเอ่ยอยู่ในโอ่ง


เมี้ยว!


อีกด้าน ลั่วสุ่ยร้องด้วยหน้าตาประหลาด


นางคิดไม่ถึงเช่นกันว่ามัจฉาสัตมายาที่โชคดีที่สุดเรื่อยมา รอดมาตั้งแต่ระลอกแรกจนถึงบัดนี้ รอบนี้กลับถูกจับได้เสียอย่างนั้น นี่…นี่หรือว่าความโชคดีของเขาหมดลงแล้วจริง ๆ


‘โบราณว่าไว้ ความโชคดีในชีวิตมีจำกัด หลังใช้ความโชคดีไปจนหมดก็จะไม่มีอีก! ประโยคนี้ใช้กับแมวได้เช่นกัน…’


ลั่วสุ่ยคิดในใจ รู้สึกว่าคำโบราณนี้กล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก


ก่อนหน้านี้มัจฉาสัตมายาโชคดีเกินไป ดูท่าคงผลาญความโชคดีไปหมดแล้ว


‘เจ้าปลาเอ๋ย ข้าต้องจากลากับเจ้าชั่วนิรันดร์แล้วหรือ’


ลั่วสุ่ยเอ่ยในใจอย่างทำใจไม่ลง


ช่วงที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างนางกับมัจฉาสัตมายาดีขึ้นมาก


“อืม เลี้ยงไว้เพื่อกิน แต่ข้าไม่เคยกินมาก่อน ปลาเหล่านี้เลี้ยงไว้ให้เสี่ยวไป๋กิน”


หลี่จิ่วเต้าชี้แมวน้อยสีขาวพลางกล่าว


“อ้อ แบบนี้เองหรือ!”


ต้าเต๋อเอ่ย พรรณาไม่ถูกว่าอิจฉาลั่วสุ่ยเพียงใด


ได้กินปลาที่มีสายเลือดน่าทึ่งเยี่ยงนี้ทุกวี่ทุกวัน ลั่วสุ่ยจะแข็งแกร่งขึ้นขนาดไหน!


“เป็นอะไรไป? เจ้าชอบปลาพวกนี้หรือ ถ้าชอบข้ายกจำนวนหนึ่งให้เจ้าก็ได้”


หลี่จิ่วเต้าบอกกับต้าเต๋อยิ้ม ๆ


ปลาพวกนี้มิใช่เรื่องใหญ่ เขาตกได้ง่าย ๆ จากลำธาร หากต้าเต๋อชอบ ยกให้เขาสักสามสี่ตัวย่อมมิใช่ปัญหา


ส่วนต้าเต๋อจะนำไปเลี้ยงหรือนำไปกินล้วนได้ทั้งสิ้น


ต้าเต๋อเป็นผู้ฝึกตน กินอะไรก็ได้ทั้งนั้น ต่อให้ปลาพวกนี้มีโทษต่อปุถุชนก็ไม่เป็นไร


ปลาธรรมดาไฉนเลยจะเป็นอันตรายต่อผู้ฝึกตน?


เป็นไปไม่ได้


“ได้หรือ”


หัวใจต้าเต๋อเต้นโครมครามอย่างอดไม่ได้


สายเลือดของปลาเหล่านี้น่าทึ่งเกินไป หากเขาได้กินสักสองสามตัว อย่าให้พูดเลยว่าจะได้รับประโยชน์ล้นหลามขนาดไหน!


“ใช่เรื่องใหญ่ที่ไหน ไม่เป็นไรหรอก ข้าตกปลาเหล่านี้ได้จากลำธารนอกเมือง ให้เจ้ากี่ตัวก็ได้ไม่มีปัญหา อย่างไรข้าก็ชอบตกปลา มิได้ขาดแคลนปลาแต่อย่างใด”


หลี่จิ่วเต้าเอ่ยยิ้ม ๆ

บทที่ 459

“ขอบคุณคุณชาย!”


ต้าเต๋อดีใจเหลือแสน ใบหน้าเล็ก ๆ ยิ้มชื่นบานประดุจดอกไม้บานสะพรั่ง เขาปล่อยมัจฉาสัตมายาในมือกลับไปในโอ่งอีกครั้ง ท่านเซียนบอกว่า ก่อนไปจะตักปลาให้เขานำกลับไปสักสามสี่ตัว


เขานึกอยู่ว่าถึงเวลาจะทอด หรือตุ๋น หรือต้มนึ่งดีนะ


เป็นเรื่องยุ่งยากจริงเชียว


‘ถึงตอนนั้น ตัวหนึ่งทอด ตัวหนึ่งตุ๋น อีกตัวต้มนึ่งก็จบแล้ว ไยต้องสับสนให้วุ่นวายด้วย!’


ต้าเต๋อคิดในใจอย่างเปรมปรีดิ์


ท่านเซียนบอกว่าจะยกให้เขาสามสี่ตัว เขาไม่จำเป็นต้องคิดมากเลย เปลี่ยนวิธีปรุงได้ตามใจชอบ


บุ๋ง บุ๋ง!


จบแล้ว จบแล้ว ข้าจะโดนเณรน้อยผู้นี้พาตัวไปแล้วหรือ


ดูอย่างไรเณรน้อยผู้นี้ก็ไม่เหมือนนักบวชดี ๆ


หากเป็นนักบวชดี ๆ มันไม่จำเป็นต้องกลัว และไม่ต้องกังวล


นักบวชดี ๆ ไม่กินเนื้อ จิตใจเมตตา หลังมันถูกพาตัวไปอาจถูกปล่อยไปด้วยซ้ำ


ทว่าเณรน้อยผู้นี้ต่างออกไป กลิ่นสุราอาบทั่วกาย ขนาดตอนที่จับตัวมันไว้ยังมีน้ำลายไหลออกจากมุมปากอีกด้วย


นี่ถ้าถูกพาตัวไป มันต้องกลายเป็นกับแกล้มเหล้าอย่างแน่นอน!


มัจฉาสัตมายาร่ำไห้ คิดไม่ถึงว่ามันอยู่รอดมานานขนาดนี้ ท้ายที่สุดกลับต้องตกเป็นกับแกล้ม มิสู้ให้พี่สาวลั่วสุ่ยกินมันไปยังดีเสียกว่า!


บุ๋ง บุ๋ง~


พี่ใหญ่มีความปรารถนาใดหรือไม่


หากพวกเรามีชีวิตต่อไปได้ พวกเราจะพยายามทำให้ความปรารถนาของพี่ใหญ่ลุล่วงสุดความสามารถ


ปลาตัวอื่นในโอ่งเข้ามาล้อมมัจฉาสัตมายา บอกกับมันเช่นนี้


ความปรารถนา?


ความปรารถนาก็คือข้าไม่อยากตายอย่างไรเล่า!


มัจฉาสัตมายาจิตใจมัวหมอง หงอยเหงาเศร้าซึม ไม่มีอารมณ์สนทนากับมัจฉาตัวอื่น นอนนิ่งอยู่ก้นโอ่ง ไม่ยอมขยับเขยื้อน


“คุณชาย!”


เวลานั้น เซี่ยเหยียนมาถึง นางมีธุระต้องกลับสำนักไปรอบหนึ่ง จนบัดนี้เพิ่งได้กลับมา


มิฉะนั้น นางคงได้อยู่กับท่านเซียนเรื่อยมา


“ฮ่า ๆ มาแล้วหรือ พอดีเลย มากินเค้กกัน”


หลี่จิ่วเต้าเอ่ยยิ้ม ๆ กับเซี่ยเหยียน บอกให้พวกเซี่ยเหยียนนั่งที่ ส่วนเขากลับไปยกเค้กและโยเกิร์ตในครัวออกมาทั้งหมด


เค้กชิ้นเล็กชิ้นน้อยมากมาย ต่างมีลวดลายพิถีพิถันหน้าตาน่ารับประทาน ราวกับเพิ่งอบออกมา กลิ่นหอมจากเค้กขจรขจายชวนน้ำลายสอ เรียกได้ว่าครบครันทั้งรูป รส และกลิ่น ทำให้ความอยากอาหารเพิ่มพูนอยากจะกัดสักคำอย่างอดไม่ได้


เมื่อหลี่จิ่วเต้ายกออกมาแล้วก็อดไม่ได้ที่สะท้อนใจ ‘ตู้เย็น’ นี่ใช้ดีจริง ๆ ตู้เย็นบนดาวเคราะห์สีฟ้าทำไม่ได้เช่นนี้แน่ แม้ว่าเก็บรักษาอาหารได้เหมือนกัน กระนั้นได้เพียงเก็บรักษา เมื่อหยิบออกมาอีกครั้ง ทั้งหน้าตาและรสชาติล้วนห่างจากเดิมไปมาก


เขาเทโยเกิร์ตให้เซี่ยเหยียน และพวกอ้ายฉานคนละแก้ว รวมถึงต้าเต๋อด้วย


“คืนนี้เราค่อยดื่มสุรา”


เขาบอกกับต้าเต๋อยิ้ม ๆ


“ได้!”


ต้าเต๋อตอบ มองโยเกิร์ตด้วยความสงสัย นี่มันนมอันใดกันนี่


หลี่จิ่วเต้าเห็นท่าทางใคร่รู้ของต้าเต๋อจึงอธิบายให้เขาฟัง “นี่คือเครื่องดื่มชนิดหนึ่งในบ้านเกิดของข้า ปรุงจากนมวัว นมวัวมีมูลค่าสูงมาก มีประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์มหาศาล ที่บ้านของข้าดื่มกันแทบทุกคน เด็ก ๆ ได้ดื่มยิ่งดี ส่วนโยเกิร์ตเป็นการปรุงแต่งนมวัวให้มีรสชาติดี น่าดื่มยิ่งขึ้น”


ปรุงจากนมวัวหรือ


ต้าเต๋อนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้


ก่อนหน้านี้ไม่นาน กระแสเทิดทูนวัวตัวเมียโหมกระหน่ำไปทั่วทุกแดนดิน ครานั้นเขาก็รู้สึกว่าเกี่ยวข้องกับท่านเซียน เขาจึงให้พระสังฆราชเทิดทูนบูชาวัวตัวเมียทั้งหมดในดินแดนฝอด้วย


แต่เขาไม่รู้ว่าเหตุใดถึงต้องเทิดทูนวัวตัวเมียเหล่านี้


บัดนี้เขาได้รู้แล้ว!


เทิดทูนวัวตัวเมียก็เพื่อให้ได้ดื่มนม!


ดูท่าในตระกูลไป๋ยอดนิกายมีใครบางคนได้พบท่านเซียน และทราบมูลค่านมวัวจากท่านเซียน ถึงได้สั่งให้เทิดทูนวัวตัวเมียให้ทั่วทุกแดนดิน


เขารู้ว่ากระแสเทิดทูนวัวตัวเมียเกิดจากตระกูลไป๋ยอดนิกาย บัดนี้ได้ยินท่านเซียนเอ่ยเช่นนี้ เขาคิดตกได้ในบัดดล


‘เข้าใจแล้ว! หลังจากกลับไปต้องให้คนในดินแดนฝอดื่มด้วย! ทว่าขอให้พระภิกษุพวกนี้ดื่มนมออกจะเป็นเรื่องยุ่งยากอยู่นิดหน่อย ถึงแม้กฎในพุทธศาสนามิได้ห้ามสาวกดื่มนม กระนั้นก็มิได้ส่งเสริมให้สาวกดื่มนมเช่นกัน…’


ต้าเต๋อเอ่ยในใจ


พุทธศาสนามีกฎเคร่งครัด สาวกในศาสนาควรต้องดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำธรรมดา ไม่ส่งเสริมให้ดื่มเครื่องดื่มชนิดอื่น


การที่เขาคิดอยากให้สาวกพุทธศาสนาดื่มนม ยุ่งยากอยู่จริง ๆ


“เหตุไฉนต้องสนด้วย ท่านเซียนกล่าวถึงขั้นนี้ แสดงว่านมวัวมีประโยชน์จริง! กลับไปแล้วพวกเขาดื่มก็ต้องดื่ม ไม่ดื่มก็ต้องดื่ม!”


ต้าเต๋อคิดในใจ ต้องสร้างนิสัยดื่มนมในพุทธศาสนาให้ได้ ผู้ใดไม่ดื่ม ต่อให้ต้องจับกรอกก็ต้องบังคับให้ดื่มจนได้


พุทธศาสนาจักเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ด้วยการนำของเขา!


“มาสิ ชิมรสชาติกันหน่อย!”


หลี่จิ่วเต้าเทโยเกิร์ตให้ตัวเขาเองเช่นกัน ซึ่งเป็นรสองุ่น ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาโปรดปรานการดื่มโยเกิร์ตรสองุ่น


บางครั้งอยู่ว่าง ๆ เขายังดึงองุ่นลงมากินสักพวงสองพวงอีกด้วย


ของสิ่งนี้ยิ่งกินยิ่งติด ก่อนหน้านี้เขาไม่เห็นรู้ว่าองุ่นรสชาติดีเยี่ยงนี้ คงเพราะผลองุ่นจากต้นองุ่นที่เซี่ยเหยียนนำมาให้อร่อยเป็นพิเศษกระมัง


โยเกิร์ตมีรสชาติหอมกลมกล่อม ความหอมจากนมวัวและความหวานจากผลไม้ผสมเข้าด้วยกัน ประกอบกับผ่านกระบวนการหมักแบบพิเศษ รสชาติเปรี้ยวฉ่ำอร่อย อย่าให้พูดเลยว่าดื่มแล้วเปรมปรีดิ์เพียงใด


หลังพวกอ้ายฉานได้ดื่ม ดวงตาเล็ก ๆ ของแต่ละคนพลันเบิกกว้างในฉับพลัน อร่อย อร่อย อร่อยยิ่ง!


จากนั้น พวกเขาดื่มโยเกิร์ตในแก้วจนหมด ทั้งยังเลียโยเกิร์ตที่เหลือติดในแก้วด้วยความเสียดาย


หลังได้ดื่มโยเกิร์ต พวกเขารู้สึกถูกห่อหุ้มด้วยพลังอันอบอุ่นไปทั้งตัว เกิดผลดีกับทุก ๆ ก้าน มิหนำซ้ำแก่นกำเนิดชีวิตยังทวีคูณเป็นเท่าตัว!


เรื่องที่สร้างความตะลึงให้พวกเขาคือ ในโยเกิร์ตแฝงไว้ด้วยพลังพิเศษกระแสหนึ่ง ทำให้ความเร็วในการหลอมพลังของพวกเขาไวขึ้นอีกไม่รู้กี่เท่า!


ผู้ฝึกตนดูดกลืนพลังในฟ้าดินเข้าสู่ร่างกาย จากนั้น หลังผ่านการฝึกฝน สามารถหลอมละลายพลังฟ้าดินเป็นพลังของตน และนี่คือกระบวนการบำเพ็ญตนของผู้ฝึกตน


บรรดาวิชาที่ใช้ในการฝึกฝนก็ส่งผลเช่นนี้


ยิ่งวิชาอยู่ในขอบเขตสูง ความเร็วในการดูดกลืนพลังฟ้าดินก็ยิ่งสูง ความเร็วในการหลอมพลังก็สูงไปด้วย


ทว่าบัดนี้ พวกเขาดูดกลืนพลังเข้าร่างได้ราวกับไม่จำเป็นต้องหลอมละลาย แค่หมุนเวียนนิดหน่อยก็กลายเป็นพลังของพวกเขาเองแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นเรื่องน่าทึ่งอย่างยิ่ง บ่งบอกว่าพวกเขาสามารถบรรลุขอบเขตขึ้นไปได้ไวยิ่งขึ้น แซงผู้อื่นไปอีกไกล!


“มา กินเค้กกัน!”


หลี่จิ่วเต้าหยิบเค้กขึ้นมาหนึ่งชิ้นซึ่งเป็นรสองุ่นเช่นเดิม เขาในตอนนี้ชื่นชอบองุ่นมาก


บางครั้งเขาถึงกับคิดว่าองุ่นรสชาติดีขนาดนี้ มีผู้ใดไม่ชอบองุ่นด้วยหรือ?


อ้ายฉานและพวกเด็ก ๆ กินเก่งกันทั้งนั้น กินจนเนยเปรอะเต็มปาก นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้กินเค้ก เหมือนเป็นการเปิดประตูสู่โลกใหม่สำหรับพวกเขา ปรุงนมด้วยวิธีนี้ได้ด้วยหรือ


อันหลานเสวี่ย และเซี่ยเหยียนเคยกินเค้กเป็นครั้งแรกเช่นกัน ไม่รู้ว่าเนยบนเค้กนุ่มลื่นปานนี้ ยามกินก็ไม่ทันระวัง มีเนยเปรอะอยู่ที่ปลายจมูก ดูแล้วแปลกไปอีกแบบ ทั้งดูดีทั้งน่ารัก


หลี่จิ่วเต้าเห็นอันหลานเสวี่ยกับเซี่ยเหยียนมีเนยเปื้อนจมูก จึงเอ่ยล้อยิ้ม ๆ “พวกเจ้าใช้ปากกินเค้ก แล้วต้องใช้จมูกกินเค้กด้วยหรือ ดูที่จมูกพวกเจ้าเปื้อนสิ”


“หา…”


“เปื้อนด้วยหรือ”


อันหลานเสวี่ยและเซี่ยเหยียนหน้าแดงในบัดดล ท่าทางเอียงอายยิ่งดูน่ารักเข้าไปใหญ่ พวกนางรีบเช็ดเนยบนปลายจมูก


อีกด้าน ลั่วสุ่ยกระโดดขึ้นไปอยู่บนโอ่ง


เจ้าปลาเอ๋ย จากนี้ไปน่ากลัวว่าคงไม่ได้พบกันแล้วกระมัง


นางมองมัจฉาสัตมายาใต้ก้นโอ่ง ทำใจจากลามิได้จริง ๆ


หลายวันมานี้ ความสัมพันธ์ระหว่างนางและมัจฉาสัตมายาดีขึ้นเรื่อย ๆ เห็นมัจฉาสัตมายาเป็นน้องชายจริง ๆ


นางไม่อยากให้มัจฉาสัตมายาโดนต้าเต๋อพาตัวไปเลย


นางรู้จักต้าเต๋อ รู้ว่าต้าเต๋อเป็นเณรน้อยตะกละและชอบดื่มเหล้า หลังมัจฉาสัตมายาโดนต้าเต๋อเอาไป คงได้กลายเป็นกับแกล้มให้ต้าเต๋อ


บุ๋ง บุ๋ง!


มัจฉาสัตมายาเห็นลั่วสุ่ยกระโดดขึ้นมาอยู่บนโอ่ง จึงว่ายขึ้นจากก้นโอ่ง ดวงตาเล็ก ๆ ของปลาจ้องมองลั่วสุ่ยด้วยความอาลัยอาวรณ์


มันทำใจจากลั่วสุ่ยไม่ได้เช่นกัน เห็นลั่วสุ่ยเป็นพี่สาวแท้ ๆ


อนิจจา หลังจากวันนี้ไป มันคงต้องจากลากับลั่วสุ่ยตลอดกาลแล้วกระมัง!

บทที่ 460

ลั่วสุ่ยมองที่มัจฉาสัตมายา ภายในใจเกิดความรู้สึกลังเลมากขึ้นเรื่อย ๆ


สุดท้ายนางก็ตัดสินใจจะขอร้องความเมตตาจากท่านเซียน ขอร้องไม่ให้ท่านเซียนมอบมัจฉาสัตมายาให้ต้าเต๋อ แล้วปล่อยมัจฉาสัตมายาให้มีชีวิตรอดอยู่ต่อไป


ในตอนนั้นเองมัจฉาสัตมายาก็คล้ายจะสัมผัสได้ถึงความคิดของลั่วสุ่ย มันจึงส่ายหางราวกับบอกว่าอย่าทำเช่นนั้น


หลังจากนั้นมันก็ว่ายไปที่ถึงก้นถัง ไม่หันไปมองลั่วสุ่ยอีก


‘เสี่ยวชี*[1]…’


ภายในใจของลั่วสุ่ยถอนหายใจด้วยความหนักอึ้ง


นางรู้ว่ามัจฉาสัตมายาคิดถึงนาง เกรงว่าจะพลอยทำให้นางเดือดร้อน


ทว่านางก็ตัดสินใจแล้วว่าจะขอร้องท่านเซียนให้กับมัจฉาสัตมายา ไม่ยอมให้มัจฉาสัตมายากลายเป็นกับแกล้มสุราของต้าเต๋อ


อีกด้านหนึ่ง ขณะที่หลี่จิ่วเต้ากำลังกินเค้ก เขาก็บังเอิญเห็นแมวน้อยสีขาวกระโดดขึ้นไปบนถังน้ำจากมุมหางตา


เขายังสังเกตเห็นอีกด้วยว่าเจ้าแมวสีขาวตัวน้อยดูไม่ค่อยจะมีความสุข


‘ไม่มีความสุขเพราะได้ยินว่าข้าจะมอบปลาให้กับต้าเต๋อเช่นนั้นหรือ?’


เขากล่าวขึ้นภายในใจพร้อมรอยยิ้ม แมวขาวตัวน้อยนี้แสนรู้จริง ๆ


ปลาเป็นอาหารของแมวขาวตัวน้อย ตอนนี้เจ้าแมวขาวตัวน้อยกระโดดขึ้นไปบนถังน้ำแล้วมองปลาด้วยความเศร้าสร้อย เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะไม่มีความสุขที่เขาต้องการจะมอบปลาให้ผู้อื่น


‘เอาล่ะ เจ้าแมวน้อยเฉลียวฉลาดถึงเพียงนี้ น่าจะสามารถเดินไปบนเส้นทางฝึกตนได้จริง ๆ’


หลี่จิ่วเต้าคิดในใจ


ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่าเสี่ยวไป๋ฉลาดเฉลียวเป็นอย่างมาก อาจสามารถก้าวเข้าสู่เส้นทางฝึกตนได้ ทั้งยังเคยคิดจะขอให้เซี่ยเหยียนช่วยลองดู ทว่าหลายครั้งที่ได้พบกับเซี่ยเหยียน เขากลับลืมพูดถึงเรื่องนี้


“ตอนนี้ก็ดีเหมือนกัน”


หลี่จิ่วเต้ารู้สึกว่าตอนนี้ก็ไม่เลว ทั้งอันหลายเสวี่ย ต้าเต๋อ และพวกอ้ายฉานต่างอยู่บนเส้นทางแห่งการฝึกตน ดังนั้นพวกเขาเองก็สามารถช่วยดูได้ว่าเสี่ยวไป๋สามารถฝึกตนได้หรือไม่


คิดเช่นนี้แล้ว เขาจึงเอ่ยเรียกเสี่ยวไป๋ “เสี่ยวไป๋ มานี่สิ”


เมื่อได้ยินท่านเซียนเรียกนาง หัวใจของลั่วสุ่ยก็เต้นระรัว


นางกระโดดลงจากถังน้ำด้วยความกระวนกระวาย ก่อนจะวิ่งไปหาท่านเซียน


“มาสิ ขึ้นมา”


หลี่จิ่วเต้าตบต้นขาให้ลั่วสุ่ยกระโดดขึ้นมา


ลั่วสุ่ยไม่เข้าใจสาเหตุ แต่ก็ยังทำตามความต้องการของท่านเซียน กระโดดขึ้นจากพื้นไปอยู่บนตักของท่านเซียน


หลี่จิ่วเต้าอุ้มเสี่ยวไป๋ขึ้นมา ก่อนจะมองทางพวกเซี่ยเหยียนและอันหลานเสวี่ย แล้วกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าคิดว่าเสี่ยวไป๋มีจิตวิญญาณหรือไม่?”


เซี่ยเหยียนและคนอื่น ๆ รู้สึกสับสนขึ้นมาทันทีหลังจากได้ยินท่านเซียนพูด


เสี่ยวไป๋มีจิตวิญญาณหรือไม่?


แน่นอนว่าย่อมต้อมมี!


ยิ่งไปกว่านั้นเสี่ยวไปยังแข็งแกร่งและทรงพลังเป็นอย่างมาก เกรงว่าสายเลือดของสิบสัตว์ร้ายบรรพกาลยังอาจไม่ดีเท่านาง


เหตุใดท่านเซียนจึงกล่าวออกมาเช่นนี้กัน?


ถึงแม้จะสับสน แต่เมื่อควรตอบก็ยังต้องตอบ พวกเซี่ยเหยียนจึงพากันพยักหน้าทีละคนแล้วบอกว่าเสี่ยวไป๋มีจิตวิญญาณกล้าแกร่งอย่างมาก


“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น”


หลี่จิ่วเต้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่เสี่ยวไป๋จะสามารถเดินบนเส้นทางการฝึกตน?”


เป็นไปได้หรือไม่ที่จะสามารถเดินบนเส้นทางการฝึกตน?


พวกเซี่ยเหยียนยิ่งสับสนมากขึ้น ไม่เข้าใจว่าท่านเซียนหมายถึงสิ่งใด


เสี่ยวไป๋ได้เริ่มเดินบนเส้นทางการฝึกตนไปนานแล้ว!


และตอนนี้ขอบเขตของเสี่ยวไป๋ก็ไม่อาจทราบได้ว่าสูงล้ำมากเพียงใด เกรงว่าจะสูงไปไกลลิบ


ลั่วสุ่ยได้ยินท่านเซียนพูดเช่นนี้แล้ว หัวใจก็เต้นกระหน่ำขึ้นมาอีกครั้ง


ท่านเซียนไม่ได้ต้องการจะส่งนางออกไปให้ฝึนตนข้างนอกใช่หรือไม่?


เป็นเวลานานมากแล้ว ท่านเซียนไม่เคยกล่าวถึงการฝึกตนอะไรกับนางเลย ปฏิบัติกับนางประหนึ่งเป็นเพียงแมวธรรมดาทั่วไป


ด้วยเหตุนี้ นางจึงไม่กล้าพูดหรือแสดงการฝึกฝนใด ๆ ออกมาต่อหน้าท่านเซียน ทำตัวเป็นเพียงสัตว์เลี้ยงธรรมดาทั่วไปตามความต้องการของท่านเซียน


ทว่าเมื่อฟังความหมายจากคำพูดของท่านเซียนในตอนนี้ หมายความว่าท่านเซียนต้องการให้นางเริ่มเดินบนเส้นทางแห่งการฝึกตน ไม่ต้องการให้นางเป็นเพียงแมวเลี้ยงธรรมดา ๆ อีกต่อไป


นะ...นี่ต้องการจะให้นางไปจริงหรือ?


ท่านเซียนโกรธเพราะนางต้องการขอร้องแทนมัจฉาสัตมายาหรือไม่?


แม้ว่านางจะยังไม่ได้ขอร้องท่านเซียน หรือพูดเรื่องนี้กับมัจฉาสัตมายา ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่นางคิดขึ้นมาในใจ


ทว่าท่านเซียนคือผู้ใด?


ท่านเซียนเป็นผู้ล่วงรู้ทุกสิ่ง!


เกรงว่าแม้จะเป็นเพียงความคิดในใจ นางก็ไม่สามารถปิดบังท่านเซียนได้อยู่ดี!


ชั่วขณะหนึ่ง นางไม่อาจบรรยายความรู้สึกภายในใจของตนเองได้ นางโศกเศร้าเป็นอย่างมาก หากให้กล่าวสิ่งที่นางไม่เต็มใจทำมากที่สุด นั่นคือการไปจากท่านเซียน!


นี่ไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์อันไร้ที่สิ้นสุดที่ได้รับจากการติดตามท่านเซียน แม้ว่าจะไม่ได้รับสิ่งใดเลยจากการอยู่ข้างกายท่านเซียน นางก็ไม่เต็มใจจะไปจากท่านเซียนอย่างถึงที่สุด!


หลังจากติดตามข้างกายท่านเซียนมานาน นางก็เกิดความผูกพันลึกซึ้งต่อท่านเซียนแล้ว!


อีกด้านหนึ่ง มัจฉาสัตมายาที่อยู่ในถึงน้ำก็ได้ยินสิ่งที่ท่านเซียนพูดเช่นกัน


พี่ลั่วสุ่ยถูกมันลากไปพัวพันด้วยงั้นหรือ!?


มันรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง มันกระโจนไปมาในถึงน้ำอย่างแรง ต้องการจะกระโดดจากถังน้ำไปขอร้องท่านเซียนไม่ให้ทำกับพี่ลั่วสุ่ยเช่นนี้ มันเต็มใจจะแบกรับทุกอย่างเอาไว้เอง แม้ว่ามันจะต้องถูกต้าเต๋อตุ๋นหรือต้มก็ตาม มันแค่ต้องการจะขอร้องให้พี่ลั่วสุ่ยได้อยู่ที่นี่ต่อ


น่าเสียดาย ที่มันไม่สามารถกระโดดออกจากถังน้ำได้ด้วยตนเอง ไม่ว่ามันจะดิ้นรนมากเพียงใดก็ตาม


บุ๋ง บุ๋ง!


พวกเจ้าช่วยข้าด้วย!


มัจฉาสัตมายาพูดกับปลาตัวอื่น หวังให้พวกปลาช่วยส่งมันออกไปด้านนอกถังน้ำ


ไม่ได้ พี่ชี!


ท่านเซียนอยู่ที่นี่ พวกเราจะกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร!?


ปลาตัวอื่นเองก็ไม่กล้าช่วยเหลือ


หากช่วยเหลือ ก็เกรงว่าจะไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย


พวกมันไม่กล้า


“เมี้ยว ๆๆ”


ลั่วสุ่ยร้องออกมาในอ้อมแขนของท่านเซียน แววตาของนางเปี่ยมด้วยความไม่เต็มใจ หัวของแมวน้อยมุดกลับเข้าไปในอ้อมแขนของท่านเซียน นางไม่ต้องการจะจากท่านเซียน ไม่ต้องการไปจากที่นี่


“เหตุใดจึงไม่เต็มใจเช่นนี้”


หลี่จิ่วเต้ายิ้มเมื่อเห็นความไม่เต็มใจในดวงตาของเสี่ยวไป๋ เขายิ่งรู้สึกว่าเสี่ยวไป๋มีจิตวิญญาณ ราวกับสามารถเข้าใจสิ่งที่เขาพูดได้จริง ๆ


เสี่ยวไป๋คิดว่าเขาจะส่งมันออกไปอย่างนั้นหรือ


“เจ้าแมวโง่ ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อเจ้า หากเจ้าสามารถฝึกฝนได้ก็นับเป็นเรื่องดีอย่างยิ่งไม่ใช่หรือ ตัวข้าแม้อยากฝึกก็ไม่อาจฝึกตนได้”


หลี่จิ่วเต้าลูบหัวแมวสีขาวพร้อมกล่าว “ข้าไม่ต้องการส่งเจ้าออกไป แค่คิดว่าเจ้ามีจิตวิญญาณ สามารถฝึกตนได้ ข้าต้องการให้เซี่ยเหยียนช่วยเหลือเจ้า ไม่ได้บอกว่าจะส่งเจ้าไป เว้นแต่ว่าเจ้าจะไม่ต้องการกลับมาที่นี่อีกหลังจากก้าวเข้าสู่เส้นทางการฝึกตนแล้ว”


เขาหัวเราะออกมา “ถ้าเจ้าสามารถฝึกตนได้จริง ๆ ก็อย่าลืมกลับมาที่นี่ล่ะ ข้าเองก็อยากเห็นเช่นกันว่าเมื่อเจ้าฝึกตนจนสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้จะเป็นเช่นไร!”


ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!


ภายในใจของลั่วสุ่ยตื่นเต้นจนไม่อาจบรรยายออกมาได้ นางเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างแล้ว


ก่อนหน้านี้ นางต้องการจะแปลงกายเป็นมนุษย์ทุกวันเพื่ออยู่ข้างกายท่านเซียน ทั้งยังต้องการให้ท่านเซียนสอนนางวาดภาพเล่นฉิน ดูเหมือนว่าท่านเซียนจะรู้อยู่แต่แรกแล้วว่านางต้องการสิ่งใด และนี่เป็นการทำให้สิ่งที่นางปรารถนาเป็นจริง!


นางตื้นตันใจเป็นอย่างมาก ท่านเซียนใจดีกับนางยิ่ง!


เข้าใจแล้ว!


เข้าใจเป็นอย่างมาก!


อีกด้านหนึ่ง เซี่ยเหยียนเองก็เข้าใจเรื่องราวทุกอย่างเช่นกัน


ความสำเร็จในปัจจุบันของลั่วสุ่ยล้วนถูกท่านเซียนประทานให้ ท่านเซียนจะไม่รู้เรื่องราวของลั่วสุ่ยได้อย่างไร นี่เป็นเพราะท่านเซียนต้องการให้ลั่วสุ่ยสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ ไม่ต้องเป็นเพียงแมวเลี้ยงธรรมดา ๆ อีกต่อไป!


“เสี่ยวไป๋มีจิตวิญญาณแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง เมื่อข้ากลับจะพาเสี่ยวไป๋ไปด้วย เสี่ยวไป๋จะได้สามารถเข้าสู่เส้นทางการฝึกตนได้ เมื่อถึงเวลาข้าจะให้นางแปลงกายเป็นมนุษย์มาหาคุณชาย”


เซี่ยเหยียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม



[1] ชี (七) เป็นคำเรียกมัจฉาสัตมายา ซึ่ง 'สัตตะ' แปลว่า เจ็ด