446-450

บทที่ 446

เหลิงเจี้ยนไร้เทียมทาน พลังของตี้จวินข่มขวัญผู้คนอย่างสมบูรณ์!


ช่างน่าเศร้าอะไรเช่นนี้?


ไม่ต้องพูดถึงช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ที่สุดของอาณาจักรแห่งนี้ เพียงแค่สมัยโบราณ ตี้จวินผู้หนึ่งอย่างเหลิงเจี้ยนจะสามารถไร้เทียมทานเช่นนี้ได้อย่างไร?


ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน!


แม้กระทั้งเทียนตี้ ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าไร้เทียมทานในสมัยโบราณ!


ยอดนิกายและยอดเผ่าในสมัยโบราณให้กำเนิดเทียนตี้ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ทุกคนต่างทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง สามารถสู้หนึ่งต่อสองได้ เทียนตี้ระดับแนวหน้าถึงกับสามารถต่อสู้แบบสามต่อหนึ่งได้!


น่าเสียดาย ผลจากสงครามครั้งใหญ่ในสมัยโบราณนั้นน่าเวทนาเกินไป


หลังจากสงครามครั้งนั้น เทียนตี้ร่วงหล่น ตี้จวินดับสูญ แม้ว่าจะหลงเหลือตี้หวงอยู่บ้าง แต่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสและสิ้นชีพลงไปในเวลาไม่นาน


เนื่องจากการสู้รบในสงครามครั้งนั้น ทำให้สภาพฟ้าดินทรุดโทรมลงเป็นอย่างมาก


แม้จะเป็นยอดนิกายหรือยอดเผ่าที่มีรากฐานอันล้ำลึก สายเลือดอัศจรรย์สะท้านฟ้า ทุ่มฝึกฝนตนสุดกำลังในยุคปัจจุบัน จุดสูงสุดของพวกเขาก็จบลงเพียงแค่ขั้นเทียนตี้ ไม่อาจก้าวบรรลุขึ้นไปกว่านี้ได้อีกแล้ว


ช่างชวนให้เศร้าใจยิ่งนัก!


บรรพชนของยอดนิกายและยอดเผ่าล้วนมีชื่อเสียงกลายเป็นตำนานเล่าขาน แต่ละคนล้วนสามารถกล่าวได้ว่าบรรลุจุดสูงสุดของการฝึกฝนบนโลกอย่างแท้จริง


พวกเขาทั้งหมดต่างฝึกตนจนบรรลุขั้นเทียนตี้อย่างสมบูรณ์ สายเลือดของพวกเขาก้าวหน้าถึงขีดสุด เหนือล้ำยิ่งกว่าสายเลือดใด


ไม่ว่าจะเป็นในยุคสมัยไหน พวกเขาก็ฝึนฝนเทียนตี้ออกมา กล่าวได้ว่าไม่มียุคใดที่ไร้ซึ่งเทียนตี้


แต่ทว่าในยุคปัจจุบัน ไม่ได้ต้องกล่าวถึงเทียนตี้เลย กระทั่งตี้จวินยังไม่มีเสียด้วยซ้ำ...


นับเป็นเรื่องน่าเศร้าสลดใจครั้งใหญ่สำหรับสายเลือดของพวกเขา


“พวกเจ้าไม่ต้องการให้ข้าย้ายที่ไปไหนหรืออย่างไร?”


เหลิงเจี้ยนมองไปรอบด้านที่มีสิ่งมีชีวิตจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ แห่กันมา


เขารู้สึกขบขันอยู่บ้าง ก็รู้ว่าตัวเขาทรงพลังและน่ากลัวขนาดนี้ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ยังจะวิ่งมาส่งตัวเองเข้าสู่ความตายอีกหรือ?


ช่างเถอะ!


ไม่ว่าจะที่ไหนล้วนต้องสังหาร


จะฆ่าล้างที่นี่เลยก็ไม่ต่าง


เขายกเคียวสีดำในมือขึ้น เท้าย่ำลงบนแอ่งเลือด เดินตรงไปยังสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นทีละก้าว


ลมปราณขั้นตี้จวินท่วมท้นน่าหวาดกลัวจนเกินไป ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องต่อสู้ เพียงแค่ยืนหยัดภายใต้ปราณของขั้นตี้จวิน พวกเขายังค่อย ๆ พากันล้มลงหอบหายใจหนักทีละคนภายใต้แรงกดดันมหาศาล


“ฆ่า!”


“ฆ่า ฆ่า ฆ่า!”


ท่ามกลางหมู่พวกเขา สิ่งมีชีวิตจำนวนมากยังคงหวาดกลัวจนร่างกายสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้


ทว่าพวกเขาก็ยังคงกัดฟัน พยุงร่างกาย ใช้พลังทั้งหมดในร่างพุ่งเข้าหมายสังหารเหลิงเจี้ยน


ฉับ ฉับ ฉับ!


โลหิตสาดกระเซ็น พวกเขาไม่ใช่คู่มือของเหลิงเจี้ยน หลังจากที่เคียวสีดำถูกแกว่ง ชีวิตของพวกเขาก็ถูกเกี่ยวออกไป


เหลิงเจี้ยนโหดร้ายไร้ความปรานี เขาเหยียบย่างลงบนศพของยอดฝีมือเหล่านี้ เดินไปเบื้องหน้าตรงไปทางสิ่งมีชีวิตอีกกลุ่มหนึ่งที่มุ่งหน้ามาทางนี้


เขามาเพื่อฆ่าล้าง ไม่มีอะไรต้องพูดให้มากความ สิ่งมีชีวิตทุกสิ่งภายในสายตาของเขาล้วนต้องกลายเป็นซากศพ


“ฆ่า!”


ลมปราณของร่างที่อยู่ด้านหน้าสุดน่ากลัวเป็นพิเศษ ถึงขั้นไม่ต่างไปจากเหลิงเจี้ยนมากนัก เป็นถึงตี้จวินผู้หนึ่ง!


ในเมื่อตี้หวงคือจุดสิ้นสุด เช่นนั้นแล้วตี้จวินมาจากที่ใด?


คนผู้นั้นเปี่ยมด้วยจิตสังหารท่วมท้น ลงมือด้วยทักษะสังหารทันทีที่มาถึง เขาเป็นคนจากยอดนิกาย ทว่าไม่ได้ถูกจำกัดให้อยู่เพียงขึ้นตี้หวง เขาสามารถก้าวผ่านบรรลุกลายเป็นตี้จวิน!


ภายใต้สภาพแวดล้อมฟ้าดินที่เลวร้าย เช่นนั้นแล้วคนผู้นี้จะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร?


ใช่แล้ว คนผู้นี้ก็คือไป๋มู่ ประมุขแห่งตระกูลไป๋!


เขาได้กินเกี๊ยวของท่านเซียนเข้าไป ได้รับคุณประโยชน์มหาศาล ไม่เพียงแต่เขาจะสามารถทะลวงผ่านขึ้นตี้หวงกลายเป็นตี้จวินได้ เขายังก้าวหน้าไปอีกหนึ่งก้าวเหนือยิ่งกว่าตี้จวินทั่วไป!


“ในที่สุดก็มีคู่ต่อสู้ที่ดูสมน้ำสมเนื้อ ไม่อย่างนั้นข้าก็คงจะฆ่าจนเบื่อ”


เหลิงเจี้ยนส่งเสียงหัวเราะ ก่อนจะฟาดฟันเคียวสีดำ


เคียวสีดำนั้นน่ากลัว ทั้งยังมีพลังแปลกประหลาด หลังจากเฉือนผ่านก็มีชั้นหมอกดำออกมาประหนึ่งอสรพิษ ชวนขนลุกอย่างถึงที่สุด!


ไป๋มู่ขมวดคิ้ว รับรู้ได้ถึงความน่ากลัวของเคียวสีดำ ร่างของเขาขยับไหว ไม่กล้าเข้าปะทะกับเคียวสีดำง่าย ๆ


เขาใช้สองมือประทับตรา สร้างตราขนาดใหญ่บนท้องฟ้า นี่คือวิชาระดับเทียนตี้ของตระกูลไป๋!


ตู้ม!


ตราประทับบนท้องฟ้าโจมตีลงมาอย่างน่ากลัว เหลิงเจี้ยนถึงกับเสียเปรียบเป็นครั้งแรก เขาต้านรับมันด้วยพลังจนร่างกายเซถอย ลมปราณและเลือดภายในร่างกายปั่นป่วยอย่างรุนแรงจนเลือดตีขึ้นมาถึงคอ


ทว่าเขาก็อดกลั้นเอาไว้ไม่ให้กระอักเลือดออกมา


“ยอดเยี่ยม!”


เหลิงเจี้ยนเลียริมฝีปาก หลังจากนั้นดวงตาทั้งสองข้างก็เปล่งแสงออกมาอย่างน่าสยดสยอง ลมปราณของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก มันพุ่งทะยานสูงน่าสะพรึงกลัวมากยิ่งขึ้น


ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!


เขาพุ่งเข้าไปด้วยพลังที่มากกว่าเดิม เคียวสีดำกวัดแกว่งทุกครั้งที่กรีดอากาศออกเป็นช่องว่างขนาดใหญ่


ตึง! ตึง! ตึง!


ไป๋มู่เรียกโล่โบราณชิ้นหนึ่งออกมาต้านทานการฟันของเคียวสีดำ โล่โบราณและเคียวสีดำปะทะกันเกิดเสียงโลหะกระทบกันดังสนั่น!


เคียวสีดำไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุอะไร ทว่ามันน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง โล่โบราณในมือของไป๋มู่เป็นอาวุธเทียนตี้ที่สืบทอดมาจากบรรพชน


ทว่าภายในการฟันของเคียวสีดำ โล่โบราณก็ไม่สามารถต้านทานเอาไว้ได้ ถูกสับแหลกออกเป็นชิ้น ๆ!


เสียงฉัวะดังขึ้นมา เคียวสีดำฟันเข้าไปยังไหล่ซ้ายของไป๋มู่ กวาดตัดส่วนนั้นทั้งหมดออกไปในทันทีจนเลือดพุ่งทะลัก!


ไป๋มู่ส่งเสียงร้องออกมา ก่อนนจะถอยร่างออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งระยะกับเหลิงเจี้ยน เคียวสีดำนั้นดุดันเกินไป เขาไม่อาจต้านทานมันได้ จึงไม่สามารถต่อสู้กับเหลิงเจี้ยนได้ในระยะประชิด


บาดแผลที่ไหล่ซ้ายของเขาเปล่งแสงออกมา ส่วนที่ขาดหายไปงอกขึ้นมาใหม่ในทันที


“ฆ่า!”


เขาไม่หนี ไม่มีความหวาดเกรง ลงมือใช้งานวิชาขั้นเทียนตี้อีกครั้งหมายสังหารเหลิงเจี้ยน


บนฟากฟ้าเต็มไปด้วยดวงดารามารวมตัวกัน มีทั้งเล็กใหญ่ สว่างน้อยสว่างมาก กลายเป็นฝนดาวตกพุ่งลงมาใส่เหลิงเจี้ยน


ความแข็งแกร่งของเหลิงเจี้ยนนั้นน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง เคียวสีดำในมือของเขาราวกับไร้ผู้ต่อกร เพียงฟันออกไปหนึ่งครั้ง หมู่ดวงดาราทั้งหลายก็ถูกเขากวาดล้างในทันที!


ดาวตกนับไม่ถ้วนไม่อาจหยุดยั้งเขาได้ เขาพุ่งออกมาจากท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดารา


ฉับ! ฉับ! ฉับ!


เลือดสาดกระจาย ชิ้นเนื้อลอยกระเด็ก ร่างของไป๋มู่เต็มไปด้วยบาดแผล ร่วงหล่นลงไปกระแทกพื้นอย่างแรกจนกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่


เขาไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ พลังแปลกประหลาดบนเคียวสีดำเข้าไปพันเกี่ยวจนยากแม้แต่จะเคลื่อนไหวร่างกาย สูญเสียความสามารถในการต่อสู้


“ปกป้องท่านประมุข!”


“ฆ่า!”


สิ่งมีชีวิตจำนวนมากพุ่งเข้าใส่ไป๋มู่ มีทั้งสมาชิกตระกูลไป๋ สมาชิกของยอดนิกายและยอดเผ่าอื่น ๆ


พวกเขาล้วนเป็นกองกำลังระดับมหาจักรพรรดิของยอดนิกายและยอดเผ่าที่ตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล เพื่อมาต่อสู้ยังที่แห่งนี้


“รนหาที่ตาย!”


เหลิงเจียนไร้เทียมทานอย่างแท้จริง เคียวสีดำถูกวาดออกในแนวนอน ใบมีดขยายหลายหมื่นจั้ง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่พุ่งเข้ามาล้วนล้มลงกับพื้น ถูกสังหารตายจนหมดสิ้น!


นี่คือความสามารถของตี้จวินระดับสูงสุด หากเทียนตี้ไม่ปรากฏกาย เขาก็นับได้ว่าไร้เทียมทาน!


เขาเหยียบย้ำซากศพทั้งหลาย ก้าวเดินทีละก้าวจนมาถึงปากหลุม


“ต่อต้านไปแล้วได้สิ่งใด? ตอนนี้เพียงแค่ข้าคนเดียวก็ช่างเถอะ แต่เมื่อกองทัพจากอาณาจักรเทียนหยวนมาถึง เจ้าก็จะเป็นได้เพียงมดปลวก ถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น!”


เขายืนอยู่ตรงปากหลุมพร้อมชี้เคียวในมือตรงไปทางไป๋มู่ด้วยสีหน้าไม่แยแส

บทที่ 447

ภายในหลุมใหญ่ ไป๋มู่อาบเลือดไปทั้งตัว เนื้อหนังถลอกปอกเปิก ถูกพลังพิศวงจากเคียวสีดำรัดตัว อย่าให้พูดเลยว่าสภาพยับเยินเพียงใด


เขาพยายามรีดเร้นพลังสุดชีวิตหมายจะยืนให้ขึ้น แต่กลับทำไม่ได้เลย พลังพิศวงนั่นตัดขาดการเชื่อมต่อระหว่างเขาและพลังในกาย


เคียวสีดำง้างสูง เหลิงเจี้ยนมีสีหน้าเย็นชา เขาตั้งใจสังหารไป๋มู่ลง ณ ที่นี้!


โลหิตของตี้จวินเลอค่ามาก มอบพลังที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นแก่ ‘แผ่นดิน’ นี้ได้


เขามิได้เอ่ยคำใดให้มากความ ฟาดฟันเคียวในมือลงมาทันที ในเมื่อเขามาเพื่อเข่นฆ่า เช่นนั้นสิ่งมีชีวิตทุกตนตรงหน้าเขาต้องตายทั้งหมด!


ฟึ่บ!


เวลานั้นเอง ประกายเจิดจ้าสว่างไสวขึ้น เคียวที่กำลังสับลงมาถูกยับยั้งไว้!


โล่โบราณเล่มหนึ่งปรากฏออกมากลางอากาศ ปกป้องไป๋มู่เอาไว้ หยุดยั้งเคียวสีดำที่กำลังฟาดฟันลงมา


“หืม!?”


เหลิงเจี้ยนเลิกคิ้ว ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้าน่าเกรงขาม ผู้ใดกันที่สกัดเขาไว้


“เจ้าหรือ”


เขามีสีหน้าประหลาด คล้ายว่าไม่อยากเชื่อ


ห่างออกไปไม่ไกลเบื้องหน้าเขา มีผู้เฒ่าคนหนึ่งปรากฏกาย ประกายนักบุญห้อมล้อมอยู่รอบ ๆ ขั้วศักดิ์สิทธิ์เข้มข้น


ผู้เฒ่าคนนี้หรือที่หยุดเขาไว้?


เขาทำใจเชื่อได้ยาก หรือเรียกได้ว่าไม่อาจเชื่อได้ลง


ตาเฒ่าขอบเขตนักบุญหยุดเขาได้หรือนี่…


จะให้เขาเชื่อได้เยี่ยงไร


กำลังรบระดับนักบุญ เมื่ออยู่ต่อหน้าตี้จวินสูงส่งอย่างเขา ต้อยต่ำยิ่งกว่ามดตัวหนึ่งเสียอีก!


“นั่นมัน…พู่กันกระไร!”


ม่านตาของเขาหรี่ลงฉับพลัน สีหน้าเคร่งเครียดเหลือคณา ถูกพู่กันในมือผู้เฒ่าดึงดูดสายตาไป!


นั่นมันพู่กันระดับไหนกัน?


ตัวพู่กันขนาดไม่ใหญ่ ไม่ต่างจากพู่กันปกติทั่วไป


แต่หากเทียบกับพู่กันทั่วไปแล้ววิจิตรประณีตกว่ามาก!


แท่งพู่กันตรงดิ่ง วัสดุไม้วาววับเป็นประกาย ขนแปรงพู่กันทุกเส้นล้วนเล็กเรียวนุ่มลื่น ระยิบระยับแพรวพราว


มิหนำซ้ำ บนพู่กันแท่งนี้ยังมีจังหวะแห่งเต๋าสูงส่งเหนือจินตนาการไหลเวียน สูงส่งขนาดที่ระดับตี้จวินชั้นเลิศอย่างเขายังรู้สึกต่ำต้อย วิถีที่ตนบำเพ็ญเป็นเพียงเม็ดข้าว ไม่ต่างจากฝุ่นธุลี!


ต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่ปานใดถึงรังสรรค์พู่กันขั้นนี้ออกมาได้!?


เขามิกล้าคิดต่อ ความทึ่งอัดแน่นอยู่ในอก!


บนโลกนี้มีพู่กันที่วิเศษถึงเพียงนี้ด้วยหรือ?


เขาไม่อาจเชื่อได้ลง สายตายิ่งประหลาดขึ้นไปใหญ่


“คนของคุณชาย!”


ไป๋มู่หันกลับไปอย่างยากลำบาก เขาเห็นผู้เฒ่าคนนั้น และเห็นพู่กันวิเศษในมือผู้เฒ่าคนนั้น


จังหวะแห่งเต๋าสูงส่งเยี่ยงนี้เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี เคยสัมผัสยามอยู่กับคุณชายมาก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านท่านเซียนล้วนมีจังหวะแห่งเต๋าสูงส่งเยี่ยงนี้ไหลเวียนอยู่!


เขาเข้าใจในบัดดล ผู้เฒ่าเกี่ยวข้องกับท่านเซียน!


โลหิตกระจายไปทั่วทุกทิศ ทุกจุดที่มองเห็นมีศพนอนอยู่ทั้งสิ้น ตัวผู้เฒ่าสั่นระริก เนื้อตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ


“เจ้ากล้าดีอย่างไร!?”


ผู้เฒ่าต่อว่าเหลิงเจี้ยนอย่างกราดเกรี้ยว จิตสังหารในตัวท่วมท้นนภา จิตใจคนผู้นี้อำมหิตยิ่ง ถึงขั้นฆ่าล้างคนที่นี่ไปมากมายปานนี้!


“ฆ่า!”


เขาลงมือทันที พู่กันในมือตวัดวาดภาพในอากาศ มีดพร้าเล่มใหญ่ปรากฏออกมาตามการวาดของเขา จากนั้น ภาพวาดกลายเป็นของจริงพร้อมด้วยพลังอันไร้ที่สิ้นสุด ฟาดฟันไปทางเหลิงเจี้ยน!


เหลิงเจี้ยนสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก เป็นครั้งแรกที่แสดงหน้าตาหวาดกลัวเช่นนี้


นี่มันพู่กันอะไรกันแน่


มีดพร้าที่ถูกวาดโดยพู่กันแท่งนี้สร้างความอกสั่นขวัญแขวนแก่เขา พลังที่แฝงไว้นั้นน่าสะพรึงยิ่ง!


นอกจากนี้ ใจเขารู้สึกเหลือเชื่อ


นักบุญเล็ก ๆ คนหนึ่ง เหตุใดถึงรีดเร้นพู่กันวิเศษสูงส่งไม่ธรรมดาเยี่ยงนี้ได้


เขามิกล้าลังเล เปล่งพลังทั้งหมดในตัว เคียวสีดำทอประกายพิศวงออกมาหลายชั้น อานุภาพของเคียวถูกรีดเร้นถึงขีดสูงสุด!


นี่คือเคียวที่แดนมรณาประทานให้ แสนยานุภาพลึกล้ำเกินหยั่ง การต่อสู้ด้วยเคียวเล่มนี้ ต่อให้เจอกับเทียนตี้ยังเข้าประจัญบานได้!


ทว่าเคียวที่ทรงพลังปานนี้ ไร้เทียมทาน ไม่อาจต้านทานปานนี้ กลับมิสู้มีดพร้าที่วาดขึ้นโดยพู่กันเล่มนั้น!


มีดพร้าเล่มใหญ่ฟาดฟันเข้ามา เคียวสีดำปะทุพลังพิศวง คลื่นพลังแสนสยดสยองซัดสาด แต่ไม่อาจยับยั้งได้เลย เมื่อครู่ทันทีที่ปะทะ เคียวสีดำก็ถูกฟันเป็นสองท่อน!


“อะไรกัน!”


เหลิงเจี้ยนอุทานเสียงหลง ขวัญผวาไปหมด น่ากลัวเกินไปแล้ว!?


เขาคิดอยากถอยในบัดดล อยากจะไปจากที่นี่ ไม่อยากสู้ต่อไปแล้ว


จะให้สู้ต่อได้เยี่ยงไร?


เร่งพลานุภาพเคียวสีดำถึงขีดสุดแล้วยังมิวายต้านไม่ได้ ทันทีที่ปะทะก็ถูกหั่นเป็นสองท่อน ความต่างชั้นมากเกินไป เกินกว่าที่เขาจะต่อกรด้วยได้!


ไอ้…บัดซบ!


หากรู้เช่นนี้แต่แรก ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ควรโอหังเอิกเกริกปานนี้


เขาควรหาที่ซ่อนตัว รอให้กองทัพอาณาจักรเทียนหยวนมาเมื่อใดค่อยลงมือมิดีกว่าหรือ?


บัดนี้สิดี!


มีตาเฒ่าแกร่งเกินมนุษย์เช่นนี้ปรากฏในที่แห่งนี้!


จุดจบของเขาคงไม่สู้ดีแล้ว!


เขาแหวกมิติเพื่อหนี ทว่ามีดพร้าเล่มใหญ่เล็งเป้าเขาไว้แต่แรก ไล่ตามเข้าไปถึงมิติ และผ่าเขาออกมาด้วยการฟันครั้งเดียว!


เลือดสาดกระเซ็น ร่างของเขาถูกตัดแบ่งครึ่ง พลังปราณอ่อนแรง มีดนี้เกือบสังหารเขาจนสิ้นซาก!


เขารีดเร้นพลังอย่างยากลำบาก ผสานร่างสองท่อนที่ถูกผ่าครึ่งกลับมาเป็นหนึ่งเดียว


“อย่าฆ่าข้า! ขอเพียงเจ้าไม่ฆ่าข้า ไม่ว่าเรื่องใดล้วนคุยกันได้!”


เขารีบร้องขอความเมตตาจากผู้เฒ่า “พลังป้องกันของอาณาจักรนี้เริ่มมีรอยร้าว ต่อไปต้องถูกทลายจนราบคาบเป็นแน่ ถึงคราวนั้น ยอดฝีมือจากอาณาจักรเทียนหยวนของเราก็จะทยอยมาเยือนอาณาจักรแห่งนี้! หากเจ้าไม่ฆ่าข้า ข้ารับประกันความปลอดภัยของเจ้าได้ ไม่ปล่อยให้ยอดฝีมืออาณาจักรเทียนหยวนของข้าฆ่าเจ้า!”


“เบื้องหลังอาณาจักรเทียนหยวนมีสิ่งใดอยู่!?”


ผู้เฒ่าตวาด คาดคั้นเหลิงเจี้ยน


ในยุคโบราณ อาณาจักรเทียนหยวนบุกมาจากภายนอก ฆ่าล้างสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรนี้ไปมากมายนับไม่ถ้วน ถึงแม้ท้ายที่สุดอาณาจักรเทียนหยวนถูกตีจนล่าถอย รายละเอียดของสงครามยุคโบราณก็มีเพียงสิ่งมีชีวิตไม่เท่าไรที่รู้ สิ่งมีชีวิตอีกนับคณาไม่ทราบถึงรายละเอียดของสงครามในครานั้น


เขาเองก็ไม่รู้ รู้แต่เพียงเคยมีสงครามใหญ่อุบัติในยุคโบราณ แต่ไม่ทราบถึงรายละเอียดของสงครามนั้น และไม่รู้จักอาณาจักรเทียนหยวน


ทว่าเขาชำนาญด้านพยากรณ์ เคยพยากรณ์ถึงอาณาจักรเทียนหยวน!


นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นยามเขาพเนจรในอีกแคว้นหนึ่ง


คราวนั้น ตระกูลจักรพรรดิ ลัทธิจักรพรรดิมากมายในยุคโบราณพากันเผยตัว ร่วมสร้างสถานศึกษาเทียนตี้ เป็นที่สนใจของเขา เขารู้สึกว่าต้องมีเรื่องใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น จึงทำการพยากรณ์ถึงการนี้


แต่สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงคือ การพยากรณ์ในคราวนั้นเกือบคร่าชีวิตของเขา!


เบื้องหลังของอาณาจักรเทียนหยวนน่าประหวั่นพรั่นพรึงเป็นที่สุด การพยากรณ์ถึงสิ่งนั้นต้องแบกรับพลังแห่งกรรมอย่างใหญ่หลวง ซึ่งเป็นพลังที่เขาไม่อาจทานได้ไหว หากมิใช่ว่ามีพู่กันวิเศษที่ท่านเซียนประทาน ครานั้นเขาคงตายไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย!


และเขาก็มิได้ล่วงรู้สิ่งใดมากนัก การพยากรณ์ถึงเรื่องราวของอาณาจักรเทียนหยวนล้วนถูกพลังแสนสยดสยองบดบัง ไม่อาจสำแดงให้เห็น


เขารู้จากการพยากรณ์เพียงว่าที่กองกำลังโบราณในอาณาจักรนี้ออกโรงอย่างพร้อมเพรียงก็เพื่อเข้าต่อสู้กับการบุกอีกครั้งของอาณาจักรเทียนหยวน ส่วนสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนจะมาเมื่อใด มาจากที่ใด แล้วมีจุดประสงค์อันใด เขาไม่รู้สักอย่าง


ใช่แล้ว เขาก็คือผู้เฒ่าเมิ่งจี เคยพำนักในเรือนเล็กท่านเซียนอยู่พักใหญ่ ต่อมาทัศนาจรไปทั่วทุกแห่งในดินแดนหยิน จนสุดท้ายมาอยู่ที่จวินโจว


เขาเพิ่งมาถึงจวินโจว ก็สัมผัสถึงหมอกเลือดชั่วร้ายสะท้านฟ้าจากทางนี้ จึงรีบรุดหน้ามา ยับยั้งเหลิงเจี้ยน

บทที่ 448

น่ากลัวเกินไปแล้ว!


บัดนี้ ผู้เฒ่าเมิ่งจีหวนย้อนนึกไปถึงการพยากรณ์ในครานั้นยังขวัญผวาอยู่บ้าง ไม่อาจสงบใจได้


จะให้เขาสงบใจอย่างไรไหว


เขาเคยพักอยู่กับท่านเซียนพักใหญ่ ได้รับการชี้แนะจากท่านเซียนหลายต่อหลายครั้ง วิถีวาดภาพของเขา วิถีพยากรณ์ของเขา ล้วนได้รับการยกระดับใหญ่หลวงจนยากจะจินตนาการได้!


โดยเฉพาะเมื่อเขาได้ทัศนาจรไปตามแคว้นต่าง ๆ ก็ยิ่งตื่นรู้อีกหลายอย่าง จนวิถีวาดภาพและวิถีพยากรณ์พัฒนาขึ้นไปอีก


และข้อนี้ เห็นได้จากการที่เขาลงมือต่อสู้กับเหลิงเจี้ยน


หากวิถีวาดรูปของเขาลึกล้ำไม่พอ เขาไม่มีทางเปล่งพลานุภาพของพู่กันได้น่าทึ่งเพียงนี้


ตี้จวินชั้นเลิศยังไม่อาจต้านทานอานุภาพของพู่กัน วิถีวาดภาพของเขาอยู่ในระดับสูงยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย!


อันที่จริง ที่เขาสำเร็จวิถีวาดภาพจนอยู่ในระดับสูงส่งเยี่ยงนี้ได้เป็นเรื่องปกติ หากให้ว่ากันจริง ๆ ความสำเร็จของเขาในยามนี้ยังนับว่าต่ำไป เขาควรสำเร็จมากกว่านี้ด้วยซ้ำ


ถึงอย่างไร เขาก็เคยอาศัยในเรือนเล็กท่านเซียนเป็นเวลานาน ซ้ำท่านเซียนยังชี้แนะวิถีวาดภาพของเขาอย่างละเอียดทุกวี่วัน ที่เขามีความแตกฉานด้านวิถีวาดภาพขนาดนี้ไม่นับว่าแปลก


นี่มิใช่เรื่องที่ผู้อื่นเทียบได้ แม้แต่หลิงอิน เซี่ยเหยียน และคนอื่น ๆ ยังเทียบไม่ได้ ท่านเซียนให้คำชี้แนะเขามากที่สุด ช่วยให้เขาเข้าใจในวิถีวาดภาพอย่างลึกซึ้ง


ในวิถีวาดภาพที่ท่านเซียนให้คำชี้แนะต่อเขา มิได้มีเพียงทักษะวาดภาพ แต่ยังแฝงไว้ด้วยวิชาพยากรณ์ความลับสวรรค์ ความเข้าใจและความตื่นรู้ในวิถีพยากรณ์ของเขาลึกซึ้งเหลือคณา มีความสำเร็จสูงส่ง


ความสำเร็จในวิถีพยากรณ์ของเขาเลิศล้ำยิ่ง ในสถานการณ์ปกติ ต่อให้เขาพยากรณ์เทียนตี้ก็ไม่มีทางเป็นอะไรแม้แต่น้อย สามารถพยากรณ์ได้ทุกสิ่ง


ทว่าเขาที่อยู่ในระดับนี้ ยามพยากรณ์เบื้องหลังอาณาจักรเทียนหยวนกลับแทบสิ้นลม!


น่าพรั่นพรึงเกินไปแล้ว!


ยามพยากรณ์เบื้องหลังอาณาจักรเทียนหยวน มีหมอกทะมึนปริศนาปรากฏในการพยากรณ์ บดบังความลับสวรรค์ทั้งปวง เขาไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะปัดเป่าหมอกให้ออก แค่แตะเบา ๆ เขาก็ถูกพลังสะท้อนกลับอย่างร้ายแรง พลังแสนสยดสยองบุกมาฆ่าเขาตามโซ่กรรม!


พลังนั้นเกินกว่าเขาจะต้านทานไหว ชั่วพริบตาเดียวเขาก็รู้สึกถึงอันตรายถึงชีวิต หากมิใช่ช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานพู่กันที่ท่านเซียนประทานให้เปล่งแสนยานุภาพ ยับยั้งพลังนั้นไว้ เขาคงถูกฆ่าไปแล้วอย่างสมบูรณ์!


เบื้องหลังอาณาจักรเทียนหยวนคือสิ่งใดกันแน่?


เขาเพิ่งแตะโดน ไม่ทันได้รับรู้สักสิ่งก็ประสบเรื่องน่ากลัวเยี่ยงนี้ เขารู้สึกผวาอย่างมาก มีสิ่งที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงเกินจินตนาการอยู่เบื้องหลังอาณาจักรเทียนหยวน!


ความประหวั่นพรั่นพรึงนี้น่ากลัวกว่ากองกำลังทั้งหมด!


เกรงว่าแม้แต่อาณาจักรเก้าตอนบนก็ไม่อาจเทียบเทียม!


รู้หรือไม่ เขาใช้พู่กันที่ท่านเซียนประทานในการพยากรณ์ ผลสุดท้ายก็ยังไม่มีสิทธิ์แตะต้อง ช่างน่าหวาดหวั่นเหลือเกิน!


ต่อให้เขาพยากรณ์อาณาจักรเก้าตอนบนยังไม่เป็นเช่นนี้!


อีกด้าน หัวใจเหลิงเจี้ยนกระตุก ‘วูบ’


คนผู้นั้นรู้ได้อย่างไรว่าอาณาจักรเทียนหยวนของพวกเขามีพลังบางอย่างสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง


ตามหลักปกติ เรื่องนี้ไม่สมควรเกิดขึ้น พลังเบื้องหลังอาณาจักรเทียนหยวนเกินกว่าที่สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรนี้รับรู้ได้


ไม่ต้องพูดถึงสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรนี้ แม้แต่ในอาณาจักรทั้งปวง ก็แทบไม่มีสิ่งมีชีวิตตนใดรับรู้


พลังเบื้องหลังอาณาจักรเทียนหยวนลึกลับอย่างยิ่ง ผู้ที่รู้จักน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย!


แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้เพียงน้อยนิด รู้แค่ว่าพลังนั้นมาจากแดนมรณา จุติมายังอาณาจักรเทียนหยวนของพวกเขาตั้งแต่เนิ่นนานก่อนกาล นำทัพอาณาจักรเทียนหยวนของพวกเขาพัฒนาจนอยู่ในระดับสูงส่ง!


ที่บุกมายังอาณาจักรแห่งนี้ ก็เป็นคำสั่งจากแดนมรณา ทว่าสาเหตุที่แท้จริงคืออะไร เขาไม่อาจทราบได้


แดนมรณาสั่งให้พวกเขากำจัดสิ่งมีชีวิตท้องถิ่นในอาณาจักรแห่งนี้ให้สิ้นซาก ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว หมายใจให้โลหิตของสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรนี้ไหลรินไปทั่วทุกมุมของแดนดิน มิให้เหลือที่ว่างสักจุด


พวกเขาทำตาม บุกเข้ามาตั้งแต่ยุคโบราณ


อนิจจา พวกเขาล้มเหลว ทำไม่สำเร็จ


สาเหตุที่พวกเขาล้มเหลวส่วนหนึ่งเป็นเพราะยอดนิกายและยอดเผ่าในอาณาจักรนี้ ทว่าสาเหตุส่วนใหญ่เป็นเพราะพลังในปฐพีผืนนี้แข็งแกร่งอย่างมาก จำกัดพลังพวกเขาไว้มหาศาล จนพวกเขาไม่อาจเปล่งพลังสูงสุด


หากในยุคโบราณ พลังในปฐพีนี้ย่ำแย่เหมือนยุคนี้ พวกเขาไม่มีทางพ่าย


ลำพังยอดนิกายและยอดเผ่าในอาณาจักรนี้ไม่มีทางสกัดกั้นพวกเขาได้เลย


ถึงแม้ยอดนิกายและยอดเผ่าในครานั้นทรงพลังเหลือคณา กำลังรบระดับเทียนตี้ก็มีไม่น้อย กระนั้นก็ไม่อาจเทียบเทียมพวกเขา


“เป็นพลังเช่นไรข้าเองไม่ทราบ พวกมันลึกลับมาก ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน รู้แต่เพียงพวกมันอ้างตนว่ามาจากแดนมรณา”


เหลิงเจี้ยนกล่าว มิได้ปิดบังแต่อย่างใด


เพราะเขารู้ดีว่าปิดบังไปก็เปล่าประโยชน์ ผู้เฒ่าเมิ่งจีล่วงรู้ข้อมูลเหล่านี้ได้โดยการค้นวิญญาณเขา มิสู้ให้เขาสารภาพทุกอย่างไปเลย


“พวกเราเคยมาที่นี่ในยุคโบราณ ทว่าล้มเหลว แต่นั่นเป็นเพราะพลังในปฐพีผืนนี้ของพวกเจ้ายังแข็งแกร่งมาก พลังจากแดนมรณาก็ไม่เคยมาถึง”


เขากล่าวต่อ “ทว่าคราวนี้ไม่เหมือนกัน! ในฐานะสิ่งมีชีวิตของอาณาจักรแห่งนี้ เจ้าควรรู้ว่าโมงยามนี้ พลังในปฐพีผืนนี้ของพวกเจ้าอ่อนแรงลงปานใด! และคราวนี้ กองกำลังจากแดนมรณาจักกรีธาทัพมาเต็มกำลัง! พวกเจ้าไม่มีทางต้านทานได้ไหว!”


ในยุคโบราณ พลังในปฐพีผืนนี้ยังแข็งแกร่งอยู่มาก พลังจากแดนมรณาถูกจำกัดเช่นกัน ครานั้น กองกำลังจากแดนมรณามิได้รุกรานมาถึงปฐพีผืนนี้


เขาหันมองผู้เฒ่าเมิ่งจี “ขอเพียงเจ้าไม่ฆ่าข้า ข้ารับประกันว่าในภายภาคหน้าเจ้าจะไม่เป็นไร และข้ายังรับประกันได้อีกว่าจะช่วยให้เจ้าแข็งแกร่งกว่านี้! พลังของแดนมรณาเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการออก มันช่วยให้เจ้าอยู่เหนือทุกสิ่ง!”


“แดนมรณา…”


ผู้เฒ่าเมิ่งจีขมวดคิ้ว กล่าวตามเสียงเบา สีหน้าเคร่งเครียด


เขารู้สึกถึงแรงกดดัน แรงกดดันมหาศาล


จากที่เขาได้พยากรณ์อาณาจักรเทียนหยวนทำให้รู้ว่าแดนมรณาน่าประหวั่นพรั่นพรึงเพียงใด และบัดนี้ กองกำลังจากแดนมรณาจักกรีธาทัพเข้ามาเต็มกำลัง แล้วจะยับยั้งได้หรือ?


‘ท่านเซียนสั่งให้ข้าท่องเที่ยวไปทั่ว ก็เพื่อให้ข้าได้รับรู้เรื่องราวของแดนมรณาหรือ’


เขาคิดในใจ


ก่อนหน้านี้เขาเคยขบคิดมานานถึงเหตุผลที่ท่านเซียนให้เขาท่องเที่ยวไปทั่ว


แต่เดิมเขาคิดเพียงท่านเซียนสั่งให้เขาท่องเที่ยวไปทั่วเพื่อให้เขาก้าวหน้ามากขึ้น


ทว่าต่อมา ตระกูลจักรพรรดิและเผ่าจักรพรรดิโบราณต่าง ๆ พากันปรากฏกาย เขาเริ่มระแคะระคาย ตระหนักได้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ในอาณาจักรนี้ จึงเดาว่าที่ท่านเซียนให้เขาท่องเที่ยวไปทั่วอาจมีความหมายลึกซึ้งกว่านั้น


บัดนี้ เขาได้รู้ถึงการมีอยู่ของแดนมรณา น่ากลัวว่าท่านเซียนตั้งใจให้เขาไปต่อกรกับแดนมรณา!


‘ข้า…ทำได้หรือ’


ผู้เฒ่าเมิ่งจีหัวเราะฝืดเฝื่อนในใจ รู้สึกว่าเขาอาจแบกรับภาระหน้าที่ใหญ่หลวงนี้ไม่ไหว


เขาไม่สามารถพยากรณ์ลอบสังเกตการณ์แดนมรณาด้วยซ้ำ อีกทั้งเกือบสิ้นลมเพราะพยากรณ์แดนมรณา ด้วยกำลังของเขา เกรงว่ายากจะต้านทานการรุกรานของแดนมรณา


‘บัดซบ! เจ้าไม่เชื่อใจตัวเองย่อมได้ แต่เจ้าจะไม่เชื่อใจท่านเซียนหรือ’


ผู้เฒ่าเมิ่งจีก่นด่าตัวเองในใจ ท่านเซียนเห็นว่าเขาทำได้ เช่นนั้นเขาย่อมทำได้!


ต่อให้ไม่ได้ก็ต้องได้!


‘ไม่ว่าจะเป็นแดนมรณา แดนสัมภเวสี หรืออะไรก็ตาม ตราบใดที่ข้ายังอยู่ พวกเจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้เข้ามา!’


เขาเอ่ยในใจอย่างหนักแน่น

บทที่ 449

ผู้เฒ่าเมิ่งจีครุ่นคิดในใจมากมาย ส่วนเหลิงเจี้ยนลอบสังเกตผู้เฒ่าเมิ่งจีอยู่ตลอด


เขาเห็นผู้เฒ่าเมิ่งจีไม่พูดจา คิดว่าอีกฝ่ายคงตื่นตกใจจนพูดไม่ออก


จะมิให้ตกใจได้อย่างไร


ไม่ต้องพูดถึงแดนมรณา ลำพังอาณาจักรเทียนหยวนของพวกเขา สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรนี้ก็ไม่อาจต้านทานได้ไหว!


หากผนึกกำลังกับแดนมรณา อาณาจักรแห่งนี้ยิ่งปราศจากความหวัง!


“สหายโปรดวางใจ เจ้าไม่มีทางเสียเปรียบถ้ายอมเข้าร่วมพวกเรา!”


เขาคลี่ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยต่อ ความตึงเครียดในใจคลายลงบ้างแล้ว


ไม่มีผู้ใดอยากตาย ผู้เฒ่าเมิ่งจีย่อมเป็นเช่นนั้น เขาคงไม่เป็นอะไร หากผู้เฒ่าเมิ่งจีไม่อยากตาย คงต้องยอมปล่อยเขา


ทว่า เขาไม่มีทางยอมจบง่าย ๆ กับผู้เฒ่าเมิ่งจี!


รอให้ยอดฝีมือจากอาณาจักรเทียนหยวนมาถึงเมื่อใด เขาต้องฆ่าผู้เฒ่าเมิ่งจีเพื่อระบายความแค้นให้ได้ ผู้เฒ่าเมิ่งจีบังอาจตวัดมีดผ่าเขาเป็นสองท่อน ถือเป็นโทษสถานหนักที่ไม่มีทางได้รับการอภัย!


เขาเอ่ยเช่นนี้ เป็นเพียงอุบายประวิงเวลาเท่านั้น


อีกด้าน ไป๋มู่หัวเราะเย็น ๆ ในใจ คิดไปว่าเหลิงเจี้ยนผู้นี้คิดเพ้อเจ้อจริงเชียว!


ผู้เฒ่าเมิ่งจีเกี่ยวข้องกับท่านเซียนอย่างแน่นอน หรืออาจเป็นผู้ที่ท่านเซียนส่งมา


เหลิงเจี้ยนยังคิดชักชวนผู้เฒ่าเมิ่งจีเป็นพวก คิดกระไรเล่านั่น ผู้เฒ่าเมิ่งจีไม่มีทางตอบตกลงอยู่แล้ว


พรวด! พรวด! พรวด!


ตามคาด หลังเหลิงเจี้ยนกล่าวประโยคนี้ มีดพร้าเล่มใหญ่ที่ผู้เฒ่าเมิ่งจีวาดด้วยพู่กันสับลงมาในบัดดล


เลือดสาดกระเซ็น เหลิงเจี้ยนอยู่ในสภาพน่าเวทนา ถูกมีดพร้าเล่มใหญ่สับจนกลายเป็นเศษเนื้อ!


ไอ้บัดซบนี่!


ตาเฒ่าผู้นี้ไม่กลัวตายหรืออย่างไร?


เหลิงเจี้ยนก่นด่าในใจ หลอมร่างที่กลายเป็นเศษเนื้อขึ้นใหม่อย่างยากลำบาก


อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าเมิ่งจีจะลงมือกับเขาอีก!


เขายังไม่ตาย แต่บาดเจ็บหนักยิ่งขึ้น พลังปราณเลือนรางใกล้สลายอยู่รอมร่อ อาจตายได้ทุกเมื่อ!


“สหายรึ ผู้ใดเป็นสหายของเจ้า”


สายตาผู้เฒ่าเมิ่งจีเปล่งประกายโหดเหี้ยม ตะคอกเสียงเย็น “เจ้ามาจากที่ใด พาข้าไปที่นั่น!”


ที่เหลิงเจี้ยนยังไม่ตาย เป็นเรื่องที่เขาตั้งใจไว้ หมายจะให้เหลิงเจี้ยนพาเขาไปยังที่ที่เหลิงเจี้ยนจากมา


ที่นั่นมีรอยร้าว เหลิงเจี้ยนพุ่งเข้ามาผ่านรอยร้าว เขาอยากลองสมานรอยร้าวนั้น!


หากสมานรอยร้าวได้ แม้นไม่สามารถกีดขวางสิ่งมีชีวิตอาณาจักรเทียนหยวนไว้ข้างนอก กระนั้นยังพอยื้อเวลาออกไปได้ไม่มากก็น้อย


เหลิงเจี้ยนมิกล้าไม่ทำตาม ตกลงทันที


“สหายรู้จักคุณชายใช่หรือไม่”


เวลานั้น ไป๋มู่ในหลุมเอ่ยถามผู้เฒ่าเมิ่งจี


หลังจากสรรพนามคุณชายถูกเอ่ยออกมา สีหน้าผู้เฒ่าเมิ่งจีก็เปลี่ยนไป


เขากล่าวด้วยสีหน้าประหลาด “ท่านรู้จักคุณชายหรือ”


“มีวาสนาเคยพบคุณชาย!”


ไป๋มู่พยักหน้า เขาเดาไม่ผิดจริง ๆ ผู้เฒ่าเมิ่งจีเกี่ยวข้องกับท่านเซียน!


“ฮ่า ๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไว้เรามาสนทนากันหน่อย”


ผู้เฒ่าเมิ่งจีกล่าว “ข้าขอไปจัดการเรื่องสำคัญก่อน!”


“ได้!”


ไป๋มู่ตอบ รู้ว่าเมิ่งจีต้องการทำสิ่งใด เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ไม่อาจมัวชักช้าอยู่ อาจเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นทุกเมื่อ


“ไป!”


เมิ่งจีสั่งให้เหลิงเจี้ยนนำทางอยู่ด้านหน้า ผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็ไปถึงที่นั่น


ทุกอย่างในที่นี้ดูปกติ ไม่เห็นพิรุธแม้แต่น้อย


ทว่าเมิ่งจีรู้ดีว่านี่เป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น


เขาพาเหลิงเจี้ยนทะยานขึ้นไป ทะลุผ่านชั้นเมฆมากมาย จนมาอยู่ในส่วนลึกของนภา


เมื่อมาถึงที่นี่ก็จะเห็นว่ามีม่านแสงมโหฬารปกคลุมอาณาจักรแห่งนี้ กฎวิถีรักษาระเบียบนานัปการว่ายเวียนอยู่บนนั้น คอยคุ้มกันโลกใบนี้


“มิน่าสิ่งแวดล้อมในฟ้าดินนี้ถึงย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ!”


ผู้เฒ่าเมิ่งจีถอนหายใจ เขาพบสาเหตุแล้ว


พลังส่วนใหญ่ในฟ้าดินนี้ล้วนเกาะอยู่บนม่านแสง แล้วจะมิให้สิ่งแวดล้อมที่พวกเขาอาศัยอยู่ย่ำแย่ลงได้อย่างไร ในเมื่อขาดแคลนการบำรุงจากพลังฟ้าดิน


ภายนอกของม่านแสงไม่เห็นสิ่งผิดปกติ ทว่าหลังจากเมิ่งจีรีดเร้นพลังไว้ที่ดวงตา ก็เห็นว่าบนม่านแสงมีรอยร้าวเล็ก ๆ เกิดขึ้นจริง ๆ


“ไม่ต้องคิดเลย ต่อให้เจ้าสมานรอยร้าวนั้นได้ ก็ไม่อาจแก้ไขสิ่งใด! แดนมรณาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ยิ่ง แข็งใจหมายมั่นจะล้างบางสิ่งมีชีวิตทุกตนในอาณาจักรนี้! นั่นมิใช่พลังที่พวกเจ้าต้านทานไหว!”


เหลิงเจี้ยนกัดฟันเอ่ย ยังคงกระเสือกกระสนบอกเล่าความทรงพลังและความน่าพรั่นพรึงของแดนมรณา เพื่อให้เมิ่งจียอมปล่อยเขา


“นี่มิใช่ปัญหาที่เจ้าต้องกังวล!”


เมิ่งจีมีสีหน้าเย็นชา “ภารกิจของเจ้าลุล่วงแล้ว เจ้าเองก็ออกเดินทางเถิด!”


เขาลงมือทันที ปลิดชีพเหลิงเจี้ยนในฝ่ามือเดียว


ก่อนนี้เหลิงเจี้ยนถูกทำร้ายจนสาหัส บัดนี้เขาจึงใช้กำลังของตนสังหารเหลิงเจี้ยนได้


“ขอข้าลองดูหน่อยว่าสมานได้หรือไม่!”


ดวงตาเมิ่งจีวาวโรจน์ จับพู่กันวาดภาพ ผนึกพลังมากมายลงบนรอยร้าว หมายจะสมานให้ได้


ทว่าถึงแม้รอยร้าวนี้ดูเรียวเล็กดั่งเส้นผม แต่หากคิดจะสมาน กลับต้องใช้พลังอีกมหาศาล


เขาเปล่งพลังแกร่งกล้ากว่านี้ผ่านพู่กันวิเศษ กระนั้นก็ยังไม่ไหว ไม่อาจสมานรอยร้าวได้แม้แต่รอยเดียว ยังขาดพลังอีกมากโข


“คิดแล้วก็คงเป็นไปไม่ได้! หากสมานได้ง่ายดายเยี่ยงนี้ พลังคุ้มกันนี้คงมิกำลังเหลือแสนหรือ!”


เมิ่งจีถอนหายใจพลางเอ่ย ในใจรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้


ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นม่านแสงคุ้มกันที่ประสานพลังมากมายนับไม่ถ้วนในปฐพีนี้ คอยกีดขวางสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวน ไฉนเลยจะสมานได้ง่าย ๆ


หากสมานง่าย ๆ ได้จริง ม่านแสงคุ้มกันก็ไม่มีความจำเป็นต้องดำรงอยู่ สิ่งมีชีวิตอาณาจักรเทียนหยวนทลายได้ง่ายดาย แล้วรุกรานเข้ามา


“ข้าใช้พู่กันวาดภาพ นำร่องพลังมหาศาลเข้ามาเพื่อสมานรอยร้าวได้ ปัญหาคือจะหาพลังมหาศาลเยี่ยงนี้จากที่ใด…”


ตาของเขาเป็นประกาย กลับสู่ที่แห่งนั้นอีกครั้ง ไปหาไป๋มู่


ไป๋มู่ยังมิได้ไปไหน กำลังรักษาอาการบาดเจ็บของตน


เดิมเขาถูกพลังพิศวงในเคียวสีดำรัดตัว ไม่อาจรีดเร้นพลังในกาย ทว่าหลังจากเคียวสีดำโดนเมิ่งจีทำลาย พลังพิศวงในตัวเขาก็มลายหายไปด้วย


เขาในตอนนี้ดีขึ้นกว่าเก่ามาก พลังปราณไม่อ่อนแรงอีกต่อไป ความสามารถระดับเขา ฟื้นตัวได้ไวยิ่ง


“สหายได้เรื่องบ้างหรือไม่”


ไป๋มู่ลืมตา รู้สึกถึงการมาของเมิ่งจีในทันที เขาหยุดบำเพ็ญ และเอ่ยถามเมิ่งจี


“ได้เรื่องแล้ว”


เมิ่งจีพยักหน้า “เพียงแต่มีปัญหานิดหน่อย”


“ปัญหาอันใด” ไป๋มู่ถาม


“หารอยร้าวพบแล้ว แต่การสมานรอยร้าวต้องใช้พลังมหาศาล ลำพังข้าคนเดียวไม่ไหว”


เมิ่งจีเอ่ย “สหายมีพลังแกร่งกล้าปานนี้ เกรงว่าภูมิหลังคงไม่ธรรมดากระมัง”


ตี้จวินตนหนึ่ง ย่อมมีภูมิหลังไม่ธรรมดา


บวกกับเมิ่งจีเชี่ยวชาญวิชาพยากรณ์ ลำพังจากโหงวเฮ้งก็พอมองอะไรต่ออะไรออกอยู่บ้าง ไป๋มู่มีกลิ่นอายของเจ้าขุนมูลนายในตัวอย่างล้นหลาม ย่อมต้องเป็นผู้กุมอำนาจใหญ่ในมือ


และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เขากลับมาหาไป๋มู่


“ข้าคือผู้นำตระกูลไป๋”


ไป๋มู่มิได้ปิดบัง บอกตัวตนของเขาออกไป


“ตระกูลไป๋ยอดนิกายหรือ” เมิ่งจีถาม


เขาเคยได้ยินว่ามียอดนิกายปรากฏในยุคนี้ หรือก็คือตระกูลไป๋


“อืม” ไป๋มู่พยักหน้า


อย่างที่คิด เขาคาดไว้ไม่ผิด ไป๋มู่มีฐานะไม่ธรรมดา เป็นถึงผู้นำตระกูลไป๋แห่งยอดนิกาย


เมิ่งจีกล่าว “เช่นนี้ง่ายขึ้นมาก คิดแล้วรากฐานของตระกูลไป๋คงหนาแน่นเหลือคณา ข้าอยากให้สหายนำของวิเศษออกมา ให้ข้าได้ยืมพลังเข้าไปสมานรอยร้าว”


“เรื่องนี้มิใช่ปัญหา เพียงแต่ตระกูลไป๋ในยามนี้มิสู้ในอดีต น่ากลัวว่าต่อให้ยกรากฐานออกมาทั้งหมดก็ยังไม่พอ!”


ไป๋มู่ถอนหายใจ สงครามใหญ่ในยุคโบราณผลาญกำลังของพวกเขาลงไปมาก รากฐานตระกูลไป๋ในตอนนี้มิได้เหลือล้นอย่างเก่า


“อย่างนี้เองหรือ…”


เมิ่งจีขมวดคิ้ว ลืมคิดเรื่องนี้ไป


สงครามใหญ่ในยุคโบราณส่งผลให้อารยธรรมฝึกตนทุกกองกำลังเสียหายอย่างหนัก ตระกูลไป๋เคยต่อสู้อยู่แนวหน้าสุด ย่อมเสียหายไม่น้อย


“ข้าพอติดต่อยอดนิกายอื่น และยอดเผ่าอื่นได้ หรืออาจติดต่อกองกำลังทั้งหมดในโลกนี้เพื่อสั่งสมพลัง เพียงแต่เกรงว่าก็ยังไม่พอ ทุกคนต่างไม่สู้อดีต ไม่แน่ว่าจะสำเร็จ”


ไป๋มู่กล่าว


เมิ่งจีรู้ว่าที่ไป๋มู่ว่ามาคือความจริง กองกำลังฝึกตนต่าง ๆ ในยุคนี้ล้วนมีรากฐานไม่เท่าเก่า


“ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ต้องลองดู สมานได้เท่าไรเท่านั้น อย่างไรก็พอประวิงเวลาได้บ้าง” เขาบอก


“เดี๋ยวก่อน!”


เวลานั้น ไป๋มู่ตาเป็นประกายขึ้นมา “ข้าพอรู้สึกกองกำลังบางแห่งที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามใหญ่ยุคโบราณ มิหนำซ้ำรากฐานของพวกเขายังหนาแน่นน่าทึ่งยิ่งกว่ายอดนิกาย ยอดเผ่าทั้งหมดด้วย”


“หืม?”

เมิ่งจีสนอกสนใจ


“พวกเขาไม่เคยได้รับผลกระทบ ไม่ถูกผลาญกำลังแม้แต่น้อย รากฐานทุกอย่างได้รับการสืบทอดต่อมาเป็นอย่างดี หากยืมของวิเศษจากพวกเขามาได้ คงช่วยสมานรอยร้าวได้!” ไป๋มู่กล่าว


“พวกเขาเป็นใคร”


เมิ่งจียิ่งสนใจเข้าไปใหญ่


“อาณาจักรนี้มีเก้าแดนต้องห้ามที่ดำรงอยู่มาอย่างจีรัง ข้าหมายถึงเก้าแดนต้องห้าม!” ไป๋มู่บอก

บทที่ 450
“เก้าแดนต้องห้าม?”


เมิ่งจีตาลุกวาว


เขาเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเก้าแดนต้องห้ามมาบ้าง เป็นสถานที่เก้าแห่งที่ทั้งลึกลับและอันตราย เขตหวงห้ามสำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งปวง ผู้ใดที่ย่างกรายเข้าไปในเก้าแดนต้องห้ามล้วนต้องจบชีวิตลง เหลือไว้เพียงศพในนั้น ไม่มีผู้ใดได้รับการยกเว้น


ลือกันว่า แม้แต่ราชวงศ์อวี่ฮว่าซึ่งเคยรุ่งเรืองทรงพลังถึงขีดสุด ผู้กุมอำนาจบัญชาตระกูลเผ่าพันธุ์ทั้งปวง ถืออำนาจเด็ดขาดในใต้หล้า ยังยำเกรงในเก้าแดนต้องห้าม ไม่เคยส่งทหารสักนายเฉียดใกล้เก้าแดนต้องห้าม


นับแต่ยุคอนันตกาลอันยาวนานที่ผ่านมา ไม่รู้ผ่านไปแล้วกี่ยุคกี่สมัย เก้าแดนต้องห้ามนี้ ไม่ต้องคิดให้มากความก็รู้ว่ารากฐานที่มีเหลือล้นน่าทึ่งเพียงใด


หากได้รับการช่วยเหลือจากเก้าแดนต้องห้าม การสมานรอยร้าวย่อมมิใช่ปัญหา ซ่อมแซมได้แน่นอน


แต่สิ่งสำคัญคือ…เก้าแดนต้องห้ามยอมช่วยหรือไม่


เมิ่งจีไม่คิดว่าเก้าแดนต้องห้ามจะใจดีเกลี้ยกล่อมได้ง่าย เก้าแดนต้องห้ามลึกลับพิศวง มิใช่คนดีเป็นแน่ มิฉะนั้นก็คงไม่ถูกเรียกขานเป็นเขตหวงห้ามของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง ผู้ใดหาญกล้าเข้าไปเป็นต้องตาย


“เฮ้อ นี่ก็เป็นวิธีที่จนปัญญาแล้ว”


ไป๋มู่ถอนหายใจ รู้ว่าเมิ่งจีคิดสิ่งใดอยู่


เขาเอ่ย “คนนอกรู้เรื่องของเก้าแดนต้องห้ามน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย แทบไม่ทราบอะไรเลย ทว่ายอดนิกาย ยอดเผ่าอย่างเราพอรู้เรื่องของเก้าแดนต้องห้ามอยู่บ้าง”


จากนั้น เขาจึงเล่าข้อมูลของเก้าแดนต้องห้ามที่เขารู้ให้ฟัง


“พวกเราไม่ทราบถึงจุดกำเนิดและที่มาที่ไปของแดนต้องห้ามเหล่านี้ แต่พวกเรารู้ว่าแดนต้องห้ามเหล่านี้มิใช่คนดี ที่ยังดำรงตนอยู่ในอาณาจักรแห่งนี้ รังแต่จะสร้างข้อเสียกับสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรของเรา ไร้ซึ่งผลดี!”


ไป๋มู่กล่าว “ในทุกยุคสมัย มักมียอดฝีมือและบุตรแห่งสวรรค์น่าทึ่งมากมายหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยกะทันหัน…”


ยอดฝีมือและบุตรแห่งสวรรค์ที่หายตัวไปเหล่านี้ มิได้มีเวลาประจำ และมิได้หายไปพร้อมกัน ส่วนใหญ่เกิดขึ้นแบบปัจเจกบุคคล


“หากเป็นเวลาประจำ หรือหายไปด้วยกันเป็นจำนวนมาก ย่อมต้องเป็นที่จับตาของผู้คนในใต้หล้า ทว่าพวกเขาล้วนหายไปทีละคน ซ้ำยังเว้นระยะไปนาน ผู้คนในใต้หล้าจึงมิได้ผิดสังเกตอันใด…”


เพียงแต่ ก็ยังมีคนสังเกตเห็นเรื่องราวเหล่านี้!


“บรรพชนของเราสังเกตเห็น และเริ่มมีการสืบ พบว่ายอดฝีมือและบุตรแห่งสวรรค์เหล่านี้ล้วนถูกเก้าแดนต้องห้ามลอบจับตัวไป!”


ไป๋มู่มีสีหน้าเคร่งเครียด “แต่จากการสืบเสาะเชิงลึกของบรรพชนเรา ในทุกยุคสมัยต่างมีจลาจลทะมึนอุบัติ และมีสิ่งมีชีวิตตายไปเป็นจำนวนมาก เบื้องหลังจลาจลทะมึนเหล่านี้ ต่างมีเงาของแดนต้องห้ามคลี่ปกคลุม!”


เขาเล่าต่อ “แดนต้องห้ามเหล่านี้ล้วนมีมลทิน เต็มไปด้วยเลือด ถึงแม้ยังมิได้แสดงเขี้ยวคมต่อหน้าธารกำนัล แต่ถือเป็นภยันตรายอย่างใหญ่หลวงแน่นอน หากกำจัดออกไปไม่ได้ ไม่แน่ว่าวันไหนจะเข่นฆ่าผู้คนในอาณาจักรนี้ระลอกใหญ่!”


เหตุใดยอดนิกายและยอดเผ่าถึงเอาแต่เก็บตัว ไม่เป็นที่รู้จักของผู้คนในใต้หล้า


ทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้!


“หลังจากบรรพชนของเราค้นพบความจริง รู้ว่าแดนต้องห้ามเหล่านี้เป็นภัยปานใด และรู้ว่าแดนต้องห้ามเหล่านี้โหดเหี้ยมเลือดเย็นเพียงใด ดังนั้น ความหมายในการดำรงอยู่ของเราจึงมีเพื่อขัดขวางจลาจลทะมึนที่มีแดนต้องห้ามเป็นสาเหตุ กระทั่งอาจถึงขั้นต้องกำจัดแดนต้องห้ามเหล่านี้ออกไป!”


บรรพชนของพวกเขาเคยไปเยือนเก้าแดนต้องห้าม และเปิดสงครามกับเก้าแดนต้องห้าม


ทว่า เก้าแดนต้องห้ามน่ากลัวสยดสยองเกินไป แม้กระทั่งบรรพชนของพวกเขาซึ่งมีพลังแกร่งกล้ายิ่งใหญ่กันถ้วนหน้ายังสู้ไม่ไหว ห่างชั้นกันมากและพ่ายแพ้ย่อยยับ


“หลังบรรพชนกลับมาก็สั่งให้พวกเราเร้นกายอำพรางตน ห้ามมิให้เปิดเผยการมีอยู่ออกไปแม้แต่น้อย สั่งให้พวกเราสั่งสมกำลัง รอจนวันใดมีพลังมากพอค่อยบุกไปยังแดนต้องห้ามโดยมิให้ตั้งตัว เพื่อขจัดแดนต้องห้ามให้สิ้นซาก”


ไป๋มู่เอ่ย “พวกเราทำตามคำสั่งบรรพชน เร้นกายอำพรางเต็มรูปแบบ ลบล้างร่องรอยทุกอย่างของเราในโลกนี้ พวกเราใช้ชีวิตในที่มืด ไม่เคยปรากฏกายในที่แจ้ง สั่งสมกำลังเพียงเพื่อกำจัดแดนต้องห้ามเหล่านี้!”


แต่การสั่งสมกำลังมากพอจะล่มแดนต้องห้ามนั้นง่ายเสียที่ไหน พวกเขาอำพรางตนมายุคแล้วยุคเล่า


ในยุคสมัยนี้ เก้าแดนต้องห้ามก่อการจลาจลทะมึนขึ้นมาแล้วเช่นเดียวกัน พวกเขาต่างเคยช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรแห่งนี้จากที่ลับ ต้านทานจลาจลทะมึนอันเป็นฝีมือของเก้าแดนต้องห้าม ลดการบาดเจ็บล้มตายของสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรนี้


ทว่า ความห่างชั้นระหว่างพวกเขาและเหล่าแดนต้องห้ามยังมีอยู่มากนัก พวกเขาทำได้เพียงเร้นกายต่อไป ไม่เคยเปิดศึกซึ่งหน้ากับเก้าแดนต้องห้าม


หากต้องเปิดศึกเต็มกำลังกับเก้าแดนต้องห้าม จุดจบของพวกเขามีแต่จะล่มสลาย ไม่มีทางเป็นอื่น


การสั่งสมกำลังในที่แจ้งย่อมเป็นจุดสนใจของบรรดาแดนต้องห้าม มิสู้สั่งสมกำลังในที่ลับ ด้านหนึ่งเพื่อมิให้เป็นที่สนใจของเหล่าแดนต้องห้าม อีกด้านหนึ่งเพื่อไม่ให้แดนต้องห้ามเหล่านี้ตั้งตัว


“เดิมทีพวกเราตั้งใจอำพรางตนต่อไป ทว่าเมื่อคราวยุคโบราณ อาณาจักรเทียนหยวนรุกรานเข้ามา พวกเขาโหดเหี้ยมอำมหิตอย่างยิ่งยวด ทันทีที่มาถึงก็ตั้งใจล้างบางสิ่งมีชีวิตทุกตนในอาณาจักรของเรา พวกเราจำต้องก้าวออกมา เข้าต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนเต็มรูปแบบ”


สงครามใหญ่ครานั้นแทบผลาญกำลังที่พวกเขาสั่งสมไว้ทั้งหมด ทำให้พวกเขาเสียหายถึงแก่นราก กำลังรบระดับสูงมากมายล้วนตายในสมรภูมิ


“หนนี้ เจตจำนงฟ้าดินส่งคำเตือน สิ่งมีชีวิตอาณาจักรเทียนหยวนกำลังจะบุกมาอีกครั้ง พวกเราจึงจำต้องก้าวออกมา”


ไป๋มู่ถอนหายใจ “เดิมทีอาณาจักรแห่งนี้ของเรามีการดำรงอยู่ของเก้าแดนต้องห้ามนับว่าย่ำแย่พอแล้ว บัดนี้มีแดนมรณาโผล่มาอีก…อาณาจักรแห่งนี้ของเราช่างอาภัพเสียจริง!”


หลังเมิ่งจีได้ฟังทั้งหมด อย่าให้พูดเลยว่าอัดอั้นตันใจเพียงใด


เขารู้ว่าเก้าแดนต้องห้ามมิใช่คนดี แต่คิดไม่ถึงว่าเก้าแดนต้องห้ามจะเป็นภัยใหญ่หลวงเยี่ยงนี้ เคยก่อจลาจลทะมึนมาหลายต่อหลายครั้ง ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตนับคณาต้องหลั่งเลือดล้มตาย


เขาคิดไม่ถึงเช่นกันว่ายอดนิกายและยอดเผ่าจะเลือกเร้นกายอำพรางเพราะเหตุนี้


ยอดนิกายยอดเผ่าทั้งหลายต่างเคยต่อกรกับเก้าแดนต้องห้ามมาแล้วทุกยุคทุกสมัย ยอดนิกายแบบนี้ ยอดเผ่าแบบนี้ ควรค่าให้ผู้คนในยุคนี้เคารพนับถือยิ่ง!


ทว่า ผู้คนในโลกนี้กลับไม่เคยล่วงรู้เหตุการณ์เหล่านี้ ไม่รู้ว่ายอดนิกายและยอดเผ่าต่าง ๆ อุทิศตนอย่างไรบ้างในที่ลับ…


เขาถอนหายใจในใจอย่างหนักหน่วง รู้สึกลำบากใจเหลือแสน


หากไม่รีบซ่อมรอยร้าว รอยนั้นย่อมต้องขยายใหญ่ และยิ่งเปราะบางลงเรื่อย ๆ ถึงคราวนั้น คงได้โดนสิ่งมีชีวิตอาณาจักรเทียนหยวนทลายลงราบคาบ


ทันทีที่พลังคุ้มกันพังครืน พวกเขาไม่อาจหยุดยั้งการมาของสิ่งมีชีวิตอาณาจักรเทียนหยวนได้อีก สงครามก็คงปะทุคืบคลานออกไปในอาณาจักรนี้


แต่เก้าแดนต้องห้ามนั้นสยดสยองอันตรายขนาดไหน โอกาสที่พวกเขาจะได้รับความช่วยเหลือจากเก้าแดนต้องห้ามน้อยยิ่งกว่าน้อย


‘หรือท่านเซียนมีทางอื่นเตรียมไว้’


เมิ่งจีคิดในใจ รู้สึกว่าอย่างไรท่านเซียนก็ต้องตระเตรียมวิธีอื่นไว้


ท่านเซียนเมตตากรุณา ลำพังปุถุชนตายยังนึกปวดใจ แล้วไฉนเลยจะปล่อยให้สงครามแผ่ขยายในอาณาจักรนี้


หากสงครามปะทุในแดนดินนี้ ต่อให้พวกเขาชนะในตอนท้าย ก็ต้องมีสิ่งมีชีวิตจำนวนมากในอาณาจักรนี้ตายตกกันอยู่ดี


ในความคิดของเขา ท่านเซียนไม่มีทางปล่อยให้เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น ต้องมีการเตรียมการแน่นอน!