เมื่อศรแสงสามดอกถูกยิงออกไป สีหน้าของสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดทั้งสามจากซากสุสานอัมพรก็พลันแปรเปลี่ยนไปทันที
หลังจากนั้นพวกเขาก็รีบหันตัวกลับ วิ่งหนีไปอย่างขวัญกระเจิง!
พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่บรรจุอยู่ด้านในศรแสง พลังนั้นอย่าว่าแต่พวกเขาเลย กระทั่งมหาจักรพรรดิก็ยังไม่อาจต้านทานได้!
บัดซบ!
ราชันนักบุญผู้หนึ่งสามารถปลดปล่อยพลังอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้อย่างไร?
พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าตนเองจะต้องมาเสียใจภายหลังอย่างสุดซึ้ง ถ้าหากว่ารู้เช่นนี้ตั้งแต่แรก ก่อนหน้านี้ตอนที่หลิงอินปล่อยพวกเขาไป พวกเขาก็ควรจากไปอย่างไม่ลังเล!
ตอนนี้เป็นเช่นไร แม้พวกเขาต้องการก็ไม่สามารถจากไปได้!
ศรแสงสามดอกเล็งเป้าพวกมันเอาไว้แล้ว เพียงพริบตาเดียว พวกเขาไม่มีเวลากระทั่งจะกล่าวร้องขอความเมตตา ก็ถูกศรแสงยิงเข้าใส่
หลังจากนั้นก็เกิดเสียงดังลั่น ร่างกายและวิญญาณของพวกเขาระเบิดออกแตกเป็นเสี่ยง ๆ ตายไปโดยสิ้นเชิง!
คนหนุ่มสาวช่างใจร้อนเสียเหลือเกิน!
เหตุใดจึงไม่ให้โอกาสพวกเขาพูดเป็นครั้งสุดท้าย ให้พวกมันได้กล่าวถึงภูมิหลังอันน่ากลัวและข่มขู่อีกฝ่าย
หากข่มขู่ไม่สำเร็จค่อยสังหารพวกเขาก็ได้!
พวกเขารู้สึกอึดอัดใจ ตายลงไปด้วยความคับข้องใจเป็นอย่างยิ่ง
“นี่!”
ดวงตาของผู้อาวุโสสูงสุดชิงหนิวถลึงกว้างจนแทบจะหลุดออกมา
ขั้นนภาสูงสุดสามตน...กลับถูกสังหารลงไปในทันที!?
คนผู้นี้เป็นใครกัน จะน่ากลัวเกินไปแล้ว!
นอกจากนี้ภายในใจของมันยังประหลาดใจเป็นอย่างมากว่าหลิงอินทำได้อย่างไร?
ราชันนักบุญผู้หนึ่งกลับสามารถปลดปล่อยพลังอันแข็งแกร่งเช่นนี้ออกมาได้ สิ่งนี้ห่างไกลจากความรู้ความเข้าใจของมันมากเกินไปจนมันไม่เคยแม้แต่จะคาดถึง
อีกด้านหนึ่ง สีหน้าของชิงหนิวผู้แข็งแกร่งเองก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ คาดไม่ถึงเช่นเดียวกัน
หลิงอินที่อยู่เบื้องหน้าดูเหมือนกับหญิงสาววัยเพียงประมาณยี่สิบปี กลับสามารถลงมือสังหารขั้นนภาสูงสุดสามตนพร้อมกันได้ ช่างทำให้ผู้คนยากจะเชื่อ เสมือนเป็นเพียงความฝัน
“แดนต้องห้ามทั้งสองแห่ง แม่นางหลิงอินจะสามารถต่อกรได้หรือ?”
จ้าวหุบเขากล่าวออกมาด้วยสีหน้าขมฝาด
หญิงสาวกล่าวขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม “จะเป็นแดนต้องห้ามสองแห่งได้อย่างไร? ผู้ที่มาจากซากสุสานอัมพรทั้งสามต่างตายตกไปแล้ว ผู้ใดจะรู้กันว่าเป็นข้าที่ลงมือ?”
นางสังหารผู้ที่มาจากซากสุสานอัมพรทั้งสามทิ้ง ไม่ปล่อยให้ผู้ใดเหลือรอดไปบอกค่าย ก็เนื่องจากสาเหตุเช่นนี้
ในเมื่อตายไปหมดแล้ว ซากสุสานอัมพรก็จะไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของผู้ใด
จ้าวหุบเขาชะงัก ก่อนจะกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “เป็นเช่นนั้นเอง”
“ขอบคุณแม่นางเป็นอย่างยิ่งที่ช่วยชีวิตพวกข้าเอาไว้!”
ผู้อาวุโสสูงสุดชิงหนิวเดินเข้ามาก่อนพูดกับหลิงอินด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
ตัวมันใช้ชีวิตมายาวนานขนาดนี้ เป็นครั้งแรกที่มันกล่าวขอบคุณคนจากเผ่ามนุษย์ ทั้งยังเป็นแม่นางน้อยอายุเพียงราว ๆ ยี่สิบปีผู้หนึ่ง...
มันไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะมีสักวันที่ตัวของมันถูกแม่นางน้อยอายุเพียงยี่สิบปีผู้หนึ่งช่วยเหลือเอาไว้
“เรื่องเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องสุภาพถึงเพียงนั้น”
หลิงอินยิ้ม
เรื่อง...เล็กน้อย?
ผู้เฒ่าสูงสุดชิงหนิวกล่าวในใจว่าขอบเขตแท้จริงของแม่นางน้อยผู้นี้สูงเป็นอย่างยิ่ง การสังหารขั้นนภาสูงสุดสามตน...เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย!
หากเปลี่ยนเป็นมันที่สามารถลงมือสังหารขั้นนภาสูงสุดสามตนได้เพียงพริบตา มันคงจะตื่นเต้นไปอีกหลายเดือน!
“นับเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับท่าน ทว่าสำหรับพวกเราแล้วนับเป็นบุญคุณครั้งใหญ่ในการช่วยชีวิต!”
ผู้อาวุโสสูงสุดชิงหนิวพูดขึ้นมาอย่างเคร่งขรึม “พวกเราจะจดจำความเมตตาครั้งนี้เอาไว้ หากต้องการจะให้พวกเราทำสิ่งใด พวกเราก็จะทำอย่างสุดชีวิตไม่ปริปากบ่น!”
หากครั้งนี้หลิงอินไม่ลงมือ เกรงว่าชะตากรรมของพวกมันจะต้องเลวร้ายเป็นอย่างมากหลังจากถูกสิ่งมีชีวิตจากสุสานอัมพรพาตัวไป
ไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะบอกว่าเป็นถึงขั้นบุญคุณชีวิต
หญิงสาวยิ้ม “บังเอิญ ข้าก็มาพบพวกเจ้าเพราะเรื่องบางอย่าง”
หืม!?
ดูเหมือนจะได้ตอบแทนในทันที!
ผู้อาวุโสสูงสุดชิงหนิวกล่าวขึ้นมาในใจว่าหลิงอินช่างตรงไปตรงมาเหลือเกิน มันเพิ่งพูดจบ นางก็กล่าวเรื่องนี้ขึ้นมาเสียแล้ว
“มีเรื่องอะไรท่านก็กล่าวมาเถิด”
ผู้อาวุโสสูงสุดชิงหลิวสุภาพและให้เกียรติกับหลิงอินเป็นอย่างมาก
“ได้ยินมาว่าเผ่าเจ้ามีสมาชิกเกิดใหม่ เดิมทีข้ามาที่นี่ก็เพื่ออยากจะขอนมจากเจ้า ทว่าตอนนี้ ข้าอยากให้พวกเจ้าทั้งหมดมากับข้า...”
หลิงอินกล่าว
สิ่งมีชีวิตจากซากสุสานอัมพรสิ้นชีพลงที่นี่ ซากสุสานอัมพรย่อมไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปอย่างแน่นอน หากเผ่าชิงอสูรฟ้าชิงหนิวยังคงอยู่ไม่ไปจากที่นี่ ซากสุสานอัมพรจะต้องกลับมาหาพวกเขาอีกครั้งอย่างแน่นอน
เมื่อถึงตอนนั้น ไม่เพียงแต่ชิงอสูรฟ้าชิงหนิวจะตกอยู่ในอันตราย นางเองก็จะถูกเปิดเผยตัวตน จนต้องเผชิญหน้ากับซากสุสานอัมพร
ตัวนางย่อมไม่กลัวซากสุสานอัมพร แต่หากต้องเผชิญหน้าจริง ๆ แล้ว จะเป็นเรื่องยุ่งยากมากอย่างแน่นอน นางไม่ต้องการเผชิญหน้ากับเรื่องยุ่งยากเช่นนั้น จึงต้องการจะนำตัวชิงหนิวทั้งสี่ไปด้วย
เมื่อทำเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรเกี่ยวกับซากสุสานอัมพรแล้ว
นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
ผู้อาวโสสูงสุดชิงหนิวรู้สึกหนักอึ้ง เป็นไปได้หรือไม่ว่าหลิงอินเองก็ต้องการให้พวกมันกลายไปเป็นทาสเช่นเดียวกับผู้ที่มาจากซากสุสานอัมพร
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว มันก็รู้สึกคับข้องใจเป็นอย่างมาก
เหตุใดเผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวจึงต้องพบกับความยากลำบากซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากผู้ที่ต้องการจะจับพวกมันไปเป็นทาส
“ไปกับท่าน? ไปที่ใด?”
ทว่าหลิงอินยังมีบุญคุณที่ช่วยชีวิตของพวกเขาเอาไว้ ผู้อาวุโสสูงสุดชิงหนิวจึงยังคงอดทน ไม่เอ่ยตั้งคำถามอีกฝ่ายโดยตรง กล่าวออกมาอย่างให้เกียรติ
หากไม่มีบุญคุณที่ช่วยชีวิตพวกมันเอาไว้ มันคงไม่มีทางให้เกียรติหลิงอินเช่นนี้ แม้ว่านางจะสามารถสังหารขั้นนภาสูงสุดได้ภายในพริบตาก็ตาม!
พวกมันมีความภาคภูมิใจและเกียรติยศอยู่ในสายเลือด ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถนำพวกมันไปเป็นทาสได้!
“ไปสถานที่ยอดเยี่ยมแห่งหนึ่ง ขอโทษที่ไม่สามารถบอกอะไรกับเจ้าได้มากกว่านี้ แต่ข้าสามารถบอกได้ว่าที่แห่งนั้นยอดเยี่ยมเกินกว่าที่พวกเจ้าจะสามารถจินตนาการถึง!”
หลิงอินกล่าว
“ยอดเยี่ยมเพียงนั้นเชียว? ใช่ภพเซียนหรือไม่?”
น้ำเสียงของผู้อาวุโสสูงสุดชิงหนิวค่อย ๆ เย็นเยียบลง หลิงอินกำลังพยายามหลอกล่อพวกมัน ให้พวกมันยอมตามไป หลังจากนั้นจึงค่อยล้อมคอกมันใช่หรือไม่?
จะยอมให้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร!
มันไม่มีวันยอม!
หญิงสาวยังคงกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “อืม ที่แห่งสามารถเรียกได้ว่าภพเซียน อาจเหนือยิ่งกว่าภพเซียนเสียด้วยซ้ำ”
เป็นเช่นนั้นจริง
ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวถูกต้องแล้ว
นางต้องการจะพาเหล่าชิงอสูรฟ้าชิงหนิวกลับไปยังเมืองชิงซาน แล้วมอบพวกมันให้กับท่านเซียน
ส่วนลานเล็ก ๆ ของท่านเซียนจะเรียกว่าภพเซียนก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริง!
“แม่นาง เจ้าต้องการจะล่อลวงชิงหนิวชราผู้นี้หรือไม่”
น้ำเสียงของผู้อาวุโสสูงสุดเย็นชามากยิ่งขึ้น เขาเรียกหลิงอินโดยตรงด้วยคำว่า...เจ้า
ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าภพเซียน?
หลิงอินกล้าพูดขึ้นมาเช่นนี้ได้อย่างไร!
มันยังไม่ได้แก่จนเลอะเลือน!
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดต่างฝ่าฟันที่จะบรรลุสู่แดนเซียน จะมีสถานที่ดีกว่าภพเซียนอยู่บนอาณาจักรแห่งนี้ได้อย่างไร?
คิดอะไรอยู่!
อย่ามาหลอกล่อคน...ไม่สิ...อย่ามาหลอกล่อชิงหนิวเช่นนี้!
“บุญคุณช่วยชีวิตยิ่งใหญ่เท่าฟ้า แต่พวกเราเองก็มีเกียรติมีศักดิ์ศรีของตนเอง หากแม่นางต้องการจะเลี้ยงดูพวกเราให้เป็นทาส ข้าแนะนำให้แม่นางล้มเลิกความคิดนี้เสีย! ต่อให้พวกเราต้องตายก็ไม่ยอมอย่างแน่นอน!”
ผู้อาวุโสสูงสุดเผ่าชิงหนิวกล่าวออกมาด้วยความหนักแน่น
“ถูกต้อง! ถ้าหากเจ้าต้องการนม พวกเราก็สามารถให้ได้ แต่หากต้องการให้พวกเราไปด้วย ย่อมไม่มีทางอย่างแน่นอน แม้ว่าจะสังหารพวกเราทั้งหมดก็ไม่สามารถ!”
ชิงหนิวผู้แข็งแกร่งที่อยู่ด้านข้างก็กล่าวออกมาอย่างหนักแน่นเช่นเดียวกัน
บทที่ 402
“เลี้ยงดูให้เป็นทาส? พวกเจ้าคิดมากเกินไปแล้ว...”
หลิงอินกล่าว “ที่แห่งนั้นยอดเยี่ยมมาก ยอดเยี่ยมเกินกว่าที่พวกเจ้าจะจินตนาการได้ เมื่อไปถึงที่แห่งนั้นพวกเจ้าก็จะรู้ว่าข้าไม่ได้โกหก”
“ดีแค่ไหนก็ไม่ไป!”
ผู้อาวุโสสูงสุดชิงหนิวกล่าว
“จริงหรือ?”
หลิงอินส่งเสียงทอดถอนใจ “ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าก็จะไม่บังคับ เอาไปเพียงแค่น้ำนม”
หลังจากนั้นนางก็หยิบผักกาดขาวใบเรียงสวยงดงามออกมาพร้อมกล่าวรำพึง “น่าเสียดาย น่าเสียดาย พวกเจ้าจะสามารถกินของเหล่านี้ได้ทุกวันแท้ ๆ...”
ผักกาดขาว?
นี่กำลังดูถูกกันอย่างงั้นหรือ!
ชิงหนิวทั้งสองตนทำเสียงฮึดฮัดขึ้นจมูก
หลิงอินปฏิบัติกับพวกมันราวกับเป็นวัวทั่วไปอย่างงั้นหรือ!?
“อย่าดูถูกคน อ๊ะ ไม่สิ อย่าดูถูกชิงหนิวว่าเป็นวัวตัวหนึ่ง!”
ชิงหนิวผู้แข็งแกร่งพูดขึ้นมาอย่างทนไม่ได้ “พวกเราคือเผ่าอสูรฟ้าชิงหนิว บรรพชนเคยเป็นถึงหนึ่งในสิบอสูรร้ายบรรพกาล มีศักดิ์ศรีความภาคภูมิใจอยู่ในสายเลือดของพวกเรา! ถึงแม้เจ้าจะแข็งแกร่งมาก แต่ก็ไม่อาจดูหมิ่นพวกเราเช่นนี้ได้!”
ทว่าทันทีที่มันพูดจบ ผู้อาวุโสสูงสุดเผ่าชิงหนิวก็เตะมันกระเด็นไปอีกด้านด้วยความตื่นเต้น
อะไรกันเนี่ย?
ชิงหนิวผู้แข็งแกร่งร้องขั้นมาในใจ
เตะมันทำไมกัน?
มันกล่าวสิ่งใดผิดหรือ?
ก็ไม่มีสิ่งใดผิดนิ!
มันกล่าวออกมาดีขนาดนี้ ชอบธรรมขนาดนี้ คำพูดยังเปี่ยมด้วยพลังขนาดนี้ คิดทบทวนอย่างไรก็ไม่รู้สึกว่ามีจุดผิดแม้แต่น้อย!
“จริงหรือ... สามารถกินของอย่างผักกาดขาวนี่ได้ทุกวันเลยหรือ!?”
ผู้อาวุโสสูงสุดเผ่าชิงหนิวกล่าวขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นจนตัวสั่น
จำเป็นต้องแสดงออกขนาดนี้เชียวหรือ?
น่าอับอายขายหน้าเกินไปแล้ว!
ไม่เคยกินผักกาดขาวมาก่อนหรืออย่างไร?
อ่า... คิดดูแล้วพวกมันก็ยังไม่เคยกินผักกาดขาวจริง ๆ!
พวกมันล้วนกินแต่หญ้า!
ทว่าแม้จะไม่เคยกินผักกาดขาวก็ไม่จำเป็นต้องแสดงท่าทางเช่นนี้
ชิงหนิวผู้แข็งแกร่งรู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก ภายในใจสงสัยขึ้นมาว่าเกิดอะไรกับผู้อาวุโสสูงสุด? เพียงแค่ผักกาดขาวหนึ่งหัวจะต้องตื่นเต้นขนาดนี้เชียวหรือ?
แต่เมื่อมันมองดูผักกาดขาวในมือของหลิงอินอย่างละเอียด มันก็ต้องตกตะลึง กลายเป็นตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าผู้อาวุโสสูงสุดเผ่าชิงหนิว!
“นี่...นี่...นี่มัน!”
มันตกตะลึงจนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมา
ขุมปราณชีวิตที่บรรจุอยู่ด้านในผักกาดขาวยิ่งใหญ่มากล้นจนไม่อาจจินตนาการถึง
ภายในเผ่าของพวกมันเคยครอบครองโอสถมหาจักรพรรดิไว้ต้นหนึ่ง
แม้ว่าต้นโอสถมหาจักรพรรดิจะถูกใช้ไปนานแล้ว แต่พวกมันก็ยังเก็บรักษาเศษเสี้ยวเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งเอาไว้
ทว่าแม้โอสถมหาจักรพรรดิต้นนั้นจะอยู่ในสภาพสมบูรณ์ก็ยังห่างไกลจากผักกาดขาวหัวนี้ไม่รู้เท่าใด เทียบกันแล้วขุมปราณชีวิตที่บรรจุอยู่ในผักกาดขาวมีมากมายกว่าโอสถมหาจักรพรรดิในสภาพสมบูรณ์หลายเท่า!
หากได้กินมันเข้าไปแล้วฝึกฝน จะมีชีวิตยืนยาวต่ออีกเจ็ดแปดชั่วอายุคนก็ยังไม่มีปัญหา!
“ไม่ได้มีเพียงแค่ผักกาดขาว ยังมีแครอท และก็ผักอื่น ๆ อีก”
หลิงอินยังหยิบผักออกมามากมาย
ผักเหล่านี้ท่านเซียนล้วนเป็นผู้ปลูกขึ้นมาด้วยตนเอง หลังจากนั้นก็ได้มอบผักจำนวนมากให้นางนำกลับไปกินที่บ้าน
เมื่อได้เห็นผักเหล่านี้แล้ว ชิงหนิวทั้งสองตนก็จับจ้องมองมาด้วยดวงตาร้อนแรงพอ ๆ กัน!
ผักเหล่านี้ เพียงชิ้นเดียวก็สามารถทำให้คนตื่นตะลึง ถึงกับอยู่เหนือกว่าโอสถมหาจักรพรรดิ นับเป็นโอสถล้ำค่าอย่างถึงที่สุดไร้สิ่งเทียบเคียงอย่างแน่นอน!
อีกด้านหนึ่ง มุมปากของจ้าวหุบเขามีน้ำสีใสไหลลงมา
นางไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่าบนเสื้อบริเวณหน้าอกเปียกปอนไปด้วยน้ำตา สองตาเอาแต่จับจ้องไปทางผักในมือของหลิงอินด้วยประกายตาร้อนแรง
ในมือของหลิงอิน โอสถมหาจักรพรรดิกลายเป็นผักกาดขาวไปแล้วหรือ
เหตุใดจึงต้องเป็นผักกาดขาวด้วย...
ในใจของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกขมฝาด
โอสถมหาจักรพรรดิกลายเป็นผักกาดขาวไปแล้วจริง ๆ... ไม่สิ! ผักกาดขาวนี้ยอดเยี่ยมเสียยิ่งกว่าโอสถมหาจักรพรรดิเสียอีก!
นางอยากจะเอ่ยถามว่าแม่นางหลิงอินต้องการวัว อ๊ะ ไม่ใช่ ๆ ต้องการคนเพิ่มหรือไม่? ข้าคิดว่าตัวเองไม่แย่ไปกว่าพวกชิงหนิวเหล่านี้!
ถ้าหากเป็นไปได้ นางก็ยอมเป็นวัวเป็นม้าเหมือนกัน!
“เฮ้อ ช่วยไม่ได้ ข้าไม่ชอบบังคับผู้อื่นเสียด้วย กระทั่งชิงหนิวก็ไม่อยากจะบังคับ โดยเฉพาะเผ่าที่มีศักดิ์ศรีความภาคภูมิใจในอยู่ในสายเลือด”
หลิงอินส่ายหัว ก่อนจะเก็บผักเหล่านี้กลับไป “ในเมื่อพวกเจ้าไม่ชอบกินผักพวกนี้ละก็...”
“บังคับ? บังคับที่ไหนกัน? ผู้ใดบังคับ? แม่นาง ท่านอย่าได้เข้าใจสิ่งที่พวกเราพึ่งพูดผิดไป”
ผู้อาวุโสเชิงหนิวกล่าวออกมาอย่างหนักแน่ “ศักดิ์ศรีความภาคภูมิใจอยู่ในสายเลือดที่พวกเรากล่าวถึง เป็นเครื่องพิสูจน์ตนว่าแม่นางพาพวกเราไปด้วยย่อมคุ้มค่า!”
“พวกเราไม่ชอบกินผัก? จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร!”
ชิงหนิวผู้แข็งแกร่งกล่าวออกมาด้วยความจริงจัง “พวกเราคืออสูรฟ้าชิงหนิว แตกต่างไปจากวัวทั่วไป วัวตัวอื่นล้วนกินหญ้า ทว่าพวกเราเติบโตมาโดยการกินผัก!”
เจ้าวัวนี้...!
เสี่ยวหยาถึงกลับร้องขึ้นมาในใจหลังจากได้ยินสิ่งที่ชิงหนิวทั้งสองตนกล่าวออกมาอย่างหนักแน่นและจริงจัง
ท่าทางของชิงหนิวทั้งสองตนแตกต่างจากก่อนหน้านี้ราวฟ้ากับเหว!
หลิงอินถึงกับแอบหัวเราะในใจ
นี่คือผลลัพธ์ที่นางคาดเอาไว้นานแล้ว
ผักเหล่านี้ล้วนแต่เหนือกว่าโอสถมหาจักรพรรดิ ผู้ใดจะสามารถต้านทานสิ่งล่อตาล่อใจเช่นนี้ได้?
ย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอน
“เช่นนั้นเอง ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้าก็ไปเก็บของเตรียมตัวไปกับพวกข้าเถอะ”
หลิงอินพูดด้วยรอยยิ้ม
“ตกลง!”
ชิงหนิวผู้แข็งแกร่งฉีกยิ้มกว้างจนแทบจะถึงหู มันรีบวิ่งสี่เท้ากลับไปบอกข่าวดีให้ภรรยาและลูกของมัน
“อะไรนะ? เจ้าถึงกับขายพวกเราเพื่อแลกกับผัก?”
แม่ชิงหนิวได้ยินก็โกรธเป็นอย่างมาก ถึงกับใช้เท้าข้างหนึ่งเตะชิงหนิวผู้แข็งแกร่งร่วงลงไปบนพื้น
เล่นตลกอะไรอยู่!
ผักนี่มีอะไรดีกัน!
ยิ่งคิดมันก็ยิ่งโมโห รู้สึกว่าลูกเตะรอบก่อนหน้ายังไม่สาสม จึงกระโจนขึ้นไปบนตัวชิงหนิวผู้แข็งแกร่งแล้วกระทืบใบหน้ามันไม่หยุด
“อ๊า ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้วที่ไม่ได้บอกเจ้าให้ชัดเจน พวกมันไม่ใช่ผักธรรมดา ทั้งหมดล้วนอยู่เหนือยิ่งกว่าโอสถมหาจักรพรรดิ!”
ชิงหนิวผู้แข็งแกร่งรีบเอ่ยขึ้นมา ทั้งใบหน้าของมันบิดเบี้ยวจากการถูกกระทืบ
“อะไรนะ? ผักกาดขาวเป็นโอสถมหาจักรพรรดิ? เจ้ากำลังจะหลอกหลวงใครกัน!”
แม่ชิงหนิวได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งโมโหมากกว่าเดิม กระทืบเท้าลงมาหนักยิ่งขึ้นจนฟันของชิงหนิวผู้แข็งแกร่งกระเด็นออกมา
ชิงหนิวผู้แข็งแกร่งรู้สึกอัดอั้นตันใจมาก แล้วมันก็กล่าวออกมาอย่างรีบร้อน “สิ่งที่ข้าพูดล้วนเป็นความจริง ไม่เชื่อเจ้าก็ไปดูกับข้าได้เลย! ถ้าข้าหากโกหก เจ้าจะเตะข้าจนตายก็ได้!”
“หืม?”
แม่ชิงหนิวเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ยอมหยุดกระทืบ พร้อมพาลูกชิงหนิวเดินตามชิงหนิวผู้แข็งแกร่งไปหาพวกหลิงอิน
“คือ...รบกวนแม่นางหลิงอินนำผักเหล่านั้นออกมาให้ดูหน่อยเถิด”
ชิงหนิวผู้แข็งแกร่งเอ่ยออกมาด้วยความลำบากใจ
หลิงอินเพียงมองรอยกีบเท้าเต็มใบหน้าชิงหนิวผู้แข็งแกร่ง ประกอบกับคำพูดของอีกฝ่าย นางก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
หญิงสาวจึงเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม “เพื่อความบริสุทธิ์ใจ ข้าจะมอบผักกาดขาวหนึ่งหัวให้พวกเจ้าก่อน”
พูดจบนางก็หยิบผักกาดขาวออกมาหนึ่งหัว แล้วมอบให้กับชิงหนิวผู้แข็งแกร่ง
“ดูสิ ข้าไม่ได้เอ่ยโป้ปด!”
ชิงหนิวผู้แข็งแกร่งพูดกับแม่ชิงหนิวด้วยความภาคภูมิใจ
“อ๊า ไม่ได้โกหกจริงด้วย!”
แม่วัวจับจ้องผักกาดขาว เพียงได้กลิ่นอายหอมหวนของมัน แก่นกำเนิดชีวิตในร่างก็เพิ่มขึ้น ผักกาดขาวหัวนี้นับเป็นยาล้ำค่าอย่างถึงที่สุดจริง ๆ!
หลังจากนั้นแม่ชิงหนิวก็รีบชิงผักกาดขาวจากชิงหนิวผู้แข็งแกร่งมาเก็บไว้
“ไม่ต้องทำเช่นนั้นหรอก หลังจากนี้พวกเจ้าก็สามารถกินมันได้ทุกวันแล้ว”
หลิงอินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เวลาไม่คอยท่า พวกเรารีบไปกันเถอะ”
บทที่ 403
พวกหลิงอินพร้อมด้วยชิงหนิวทั้งสี่ตนกลับไปยังหุบเขาคงหลิงด้วยค่ายกลเคลื่อนย้าย
“หากในอนาคตมีเรื่องอะไรอีก แม่นางหลิงอินสามารถมาหาข้าได้เลย!”
จ้าวหุบเขากล่าวออกมาด้วยสีหน้ากระตือรือร้น
“ตกลง”
หลิงอินยิ้ม นางรู้ว่าจ้าวหุบเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ ทว่านางก็ไม่ได้มอบอะไรให้กับอีกฝ่าย
ความสัมพันธ์ของนางกับจ้าวหุบเขายังไม่ได้ดีถึงเพียงนั้น ที่นางให้ผักกาดขาวกับอสูรฟ้าชิงหนิวก็เพราะนางต้องการจะพาพวกมันไปให้ท่านเซียน
หลังจากนั้น หญิงสาวก็เอ่ยร่ำลาจ้าวหุบเขาแล้วกลับไปยังเมืองชิงซาน
...
ในอีกด้านหนึ่ง เซี่ยเหยียนกำลังพาตัวผู้อาวุโสสิบเจ็ดกลับไปยังที่ตั้งของตระกูลไป๋
สถานที่ตั้งของตระกูลไป๋งดงามเป็นอย่างยิ่ง มีสิ่งปลูกสร้างโบราณเรียงรายเป็นทิวแถว ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยความพิเศษไม่ธรรมดา เปี่ยมด้วยไอปราณอุดมสมบูรณ์จนน่าตื่นตะลึง วัตถุดิบสำหรับการฝึกฝนระดับสูงที่หายสาบสูญไปจากโลกภายนอกเป็นระยะเวลานานกลับสามารถพบพานได้มากมาย ณ ที่แห่งนี้ เป็นสถานที่กล่าวได้อย่างเต็มปากว่าเป็นดินแดนแห่งขุมทรัพย์ ขอเพียงแค่มาเยือนไม่จำเป็นต้องฝึกฝน ก็สามารถได้รับผลประโยชน์มหาศาล
ถ้าหากได้ฝึกฝนที่นี่ ผลประโยชน์จะยิ่งเพิ่มทวี ใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว อย่างน้อยก็ได้ผลลัพธ์แตกต่างจากภายนอกหลายเท่า
ตระกูลไป่ตั้งอยู่ในสถานที่ที่เป็นเหมือนโลกใบเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง หากไม่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายตรงเข้ามา ก็เป็นเรื่องยากยิ่งสำหรับเซี่ยเหยียนที่จะเสาะหาสถานที่แห่งนี้จนพบ
“ช่วยข้าด้วย!”
ทันทีที่นางและผู้อาวุโสสิบเจ็ดปรากฏตัวขึ้น ผู้อาวุโสสิบเจ็ดก็ตะโกนออกมาเสียงดังหวังให้คนในตระกูลมาช่วยตน
“ทำตัวดี ๆ หน่อย!”
เซี่ยเหยียนกล่าวขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะตบหัวผู้อาวุโสสิบเจ็ดจนหน้าทิ่มลงกับพื้น
ยอดนิกายควรค่าแก่การเคารพ แต่ผู้อาวุโสสิบเจ็ดไม่สมควรได้รับความเคารพ
ไม่แยกแยะผิดถูก หุนหันพลันแล่น ลำเอียงเข้าข้างญาติไม่สนคุณธรรม หากไม่ใช่เพราะนางแข็งแกร่งเพียงพอ เกรงว่าคงจะถูกผู้อาวุโสสิบเจ็ดสังหารไปแล้ว
“เจ้าเป็นใครกัน!”
เกิดเงาร่างวูบไหว ตามมาด้วยคนจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ผู้อาวุโสสิบเจ็ด!”
“บังอาจ!”
เมื่อเห็นผู้อาวุโสสิบเจ็ด พวกเขาทั้งตกตะลึงและโกรธเกรี้ยว
ผู้อาวุโสสิบเจ็ดเป็นถึงขั้นวิถีสูงสุด กลับตกอยู่ในสภาพปางตายทำให้พวกเขาไม่อยากจะเชื่อ
ส่วนสิ่งที่ทำให้พวกเขาโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก ก็คือการที่ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ของพวกเขาโดนคนที่อยู่เบื้องหน้าตบหัวจนหน้าทิ่มลงพื้นอย่างไร้ซึ่งเกรงกลัวภายในเขตแดนตระกูลไป๋!
การกระทำเช่นนี้นับเป็นการยั่วยุตระกูลไป๋โดยไม่ต้องสงสัย!
ประเดี๋ยวก่อน...
หรือว่าคนที่อยู่ด้านหน้าพวกเขาจะเป็นคนทำร้ายผู้อาวุโสจนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้?
ความคิดดังกล่าวผุดขึ้นมาในใจของพวกเขา
แต่พวกเขาก็ปฏิเสธความคิดดังกล่าวอย่างรวดเร็ว
จะเป็นไปได้อย่างไร?
เซี่ยเหยียนดูแล้วอายุเพียงประมาณยี่สิบปี จะสามารถทำร้ายผู้อาวุโสสิบเจ็ดที่อยู่ในขั้นวิถีสูงสุดได้อย่างไร?
อีกด้านหนึ่ง ผู้อาวุโสสิบเจ็ดทรุดตัวอยู่บนพื้น หวาดกลัวเสียจนไม่กล้าจะหายใจ ไม่กล้าจะตะโกนอะไรออกมาอีก
เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเกินไป หลงเหลือเพียงเศษเสี้ยววิญญาณ หากเซี่ยเหยียนต้องการก็สามารถสังหารเขาได้ทุกเมื่อ
“ผู้นำตระกูลพวกเจ้าเล่า?”
สีหน้าของเซี่ยเหยียนสงบนิ่ง นางต้องการจะพบและพูดคุยกับผู้นำตระกูลไป๋โดนตรง จะได้ไม่ต้องเผชิญกับความยุ่งยากไม่รู้จบ
“ท่านผู้นำออกไปทำธุระไม่ได้อยู่ที่นี่ เจ้าเป็นใครกัน!?”
คนจากตระกูลไป๋ที่ดูแข็งแกร่งผู้หนึ่งตะโกนออกมาเสียดัง
“ไม่อยู่อย่างนั้นหรือ?”
เซี่ยเหยียนกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ถ้าเช่นนั้นข้าจะรออยู่ตรงนี้จนกว่าผู้นำตระกูลพวกเจ้าจะกลับมา”
ช่าง...ขวัญกล้ายิ่งนัก!
ท่าทางราวกับไม่ได้เห็นพวกเขาชาวตระกูลไป๋อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย!
หนึ่งความคิดแล่นเข้ามาในใจคนตระกูลไป๋ทุกคน ณ ที่แห่งนี้ หรือว่าผู้อาวุโสสิบเจ็ดจะถูกเซี่ยเหยียนทำร้ายจริง ๆ?
“เหตุใดผู้อาวุโสสิบเจ็ดจึงอยู่ในสภาพบาดเจ็บเช่นนี้? เป็นเจ้าที่ลงมือกับผู้อาวุโสสิบเจ็ดใช่หรือไม่?”
มีผู้แข็งแกร่งผู้หนึ่งถามออกมาเสียงดัง
“ใช่”
หญิงสาวเอ่ยออกมาอย่างไม่ปิดบัง “เหตุที่ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ก็ล้วนมาจากตนเองทั้งสิ้น ข้ามาที่นี่เพื่อพบกับผู้นำตระกูลพวกเจ้าเพื่อพูดคุยเรื่องราวที่เกิดขึ้น”
เป็นนางจริง ๆ หรือ!?
หลังจากได้ยินเซี่ยเหยียนตอบกลับมา คนตระกูลไป๋ทั้งหมดต่างอ้าปากค้าง ร่างกายสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมได้
ทำได้อย่างไร!?
พวกเขาไม่อยากจะเชื่อว่าชนรุ่นเยาว์อย่างเซี่ยเหยียนจะสามารถจัดการผู้ที่อยู่ขั้นวิถีสูงสุดจนบาดเจ็บสาหัสได้!?
ทว่าเหตุผลกลับบอกพวกเขาว่านี้อาจจะเป็นเรื่องจริง หญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขาอาจสามารถจัดการผู้อาวุโสสิบเจ็ดได้!
ไม่เช่นนั้นนางจะกล้ายอมรับได้อย่างไร? ซ้ำยังกล้าตบหัวผู้อาวุโสสิบเจ็ดในเขตแดนของพวกเขา!
หากไม่แข็งแกร่งเพียงพอ นี่นับว่าเป็นการรนหาที่ตายอย่างไม่ต้องสงสัย!
“ศัตรูบุก!”
พวกเขามีหน้าที่ลาดตระเวนปกป้องเขตแดนตระกูลไป๋จึงไม่กล้าจะประมาท รีบตีกลองรบขึ้นจนดังก้องไปทั่วเขตแดนตระกูลไป๋
จะสามารถจัดการเซี่ยเหยียนได้หรือไม่!?
ผู้อาวุโสสิบเจ็ดคิดขึ้นมาในใจอย่างหวาดหวั่น
ยอดนิกายสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล ความแข็งแกร่งได้รับการเคารพจากโลกทั้งใบ ลึกล้ำเกินกว่าจะจินตนาการออก ทว่าในยามนี้เขากลับเกิดความไม่มั่นใจ
แม้ว่าพวกเขาจะมีข้อได้เปรียบในชัยภูมิเนื่องจากอยู่ในเขตแดนของตระกูลไป๋ก็ตาม!
เซี่ยเหยียนถึงกับกล้าที่จะมาเยือนยังเขตแดนของตระกูลไป๋ด้วยความคิดของตนเอง หากนางไม่มั่นใจ แล้วนางยังจะกล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร!?
คงไม่มีผู้ใดคิดรนหาความตาย เขารู้สึกว่าแม้จะเป็นตระกูลไป๋ ก็ยังยากที่จะเอาชนะหญิงสาว
หลังจากความคิดเช่นนี้ปรากฏขึ้นมาในใจ เขาก็เอ่ยตำหนิตัวเองทันที เหตุใดเขาที่โตขึ้นมาพร้อมกับความภาคภูมิใจ จึงสูญสิ้นศักดิ์ศรีของตนเอง?
ยอดนิกายที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน จะไม่สามารถจัดการกับสตรีตัวน้อยขั้นราชันเทวาได้อย่างไร?
ไม่มีทางเป็นไปได้!
เขาไม่เชื่อ!
ตึง! ตึง! ตึง!
เสียงกลองรบหนักแน่นดังก้องไปทั่วตระกูลไป๋
หลังจากนั้นก็ปรากฏเส้นแสงจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งทะยานออกมาจากทั่วทุกแห่งของตระกูลไป๋ ปราณที่แผ่ออกมาจากแสงแต่ละเส้นน่าสะพรึงกลัวปนน่าหวาดหวั่นชวนให้ใจสั่นสะท้านหวาดเกรง
หลังจากนั้นก็ปรากฏร่างของผู้แข็งแกร่งบนสถานที่แห่งนี้ทีละร่างทีละร่าง มีขอบเขตนักบุญหลายร้อย ขั้นสูงสุดอีกหลายสิบ มีกระทั่งขอบเขตจักรพรรดิและมหาจักรพรรดิจำนวนอีกไม่น้อย
นี่เป็นกลองรบขั้นสูงสุด หมายความว่ามีศัตรูอันแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งบุกรุกตระกูลไป๋!
ดังนั้นเหล่าผู้แข็งแกร่งทุกคนที่ได้ยินเสียงกลองจึงไม่กล้าละเลยรีบมุ่งตรงมายังสถานที่แห่งนี้ทันที!
“แข็งแกร่งยิ่ง...”
เซี่ยเหยียนอดรำพึงออกมาไม่ได้
ระดับนักบุญที่พบพานได้ยากยิ่งบนโลกใบนี้ กลับมีอยู่มากมายภายในตระกูลไป๋ มีกระทั่งขอบเขตสูงสุดจนถึงมหาจักรพรรดิอยู่ไม่น้อย ช่างน่าตื่นตะลึงเสียจริง!
นางสัมผัสถึงความโรยราจากปราณของผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ไม่ได้ หมายความว่าคนเหล่านี้รวมทั้งจักรพรรดิและมหาจักรพรรดิยังคงห่างไกลจากขีดจำกัด
นี่คือขุมกำลังของยอดนิกายอย่างนั้นหรือ?
ช่างน่าหวั่นเกรงจริง ๆ!
“สถานการณ์...เป็นเช่นไร!?”
“พวกเจ้าดื่มมากไปหรือเปล่า?”
เหล่าผู้แข็งแกร่งของตระกูลไป๋ที่ปรากฏตัวขึ้นมาต่างพากันแสดงสีหน้าแปลกประหลาดหลังจากเห็นเซี่ยเหยียน
ผู้ที่ลั่นกลองรบดื่มจนเมามายหรือเปล่า?
ตีกลองรบขึ้นมาเพราะหญิงสาวผู้หนึ่ง!?
พวกเขาต่างบื้อใบ้ เห็นได้ชัดว่าเซี่ยเหยียนเป็นเพียงราชันเทวาผู้นั้น ขอบเขตของพวกเขาล้วนสูงกว่านางเป็นอย่างมาก
เพียงแค่ราชันเทวาผู้หนึ่ง...
เพียงแค่ราชันเทวาผู้หนึ่งกลับตีกลองรบขั้นสูงสุดขึ้น ทำให้ขอบเขตนักบุญจนกระทั่งถึงขอบเขตมหาจักรพรรดิจำต้องรีบร้อนออกมา
ผู้ที่ตีกลองกำลังคิดสิ่งใดอยู่!?
หรือว่าสมองมีปัญหาแล้ว?
บทที่ 404
“อย่าประมาทนาง!”
“นางบอกว่าตนเองเป็นคนทำร้ายผู้อาวุโสสิบเจ็ด!”
คนตีกลองรบรีบเอ่ยอธิบายสถานการณ์ รู้ดีว่าเหล่าผู้แข็งแกร่งที่มาถึงจะเข้าใจผิด
“นางพูด พวกเจ้าก็เชื่ออย่างนั้นหรือ?”
“คิดว่าจะเป็นไปได้หรือ?”
เหล่าผู้แข็งแกร่งที่มาต่างไม่เชื่อ
จะเชื่อได้อย่างไร?
ราชันเทวาผู้หนึ่งกลับสามารถกำราบขั้นวิถีสูงสุดได้?
คิดได้อย่างไร!
“เป็นเรื่องจริง! รีบช่วยข้าเร็วเข้า! พวกเจ้ามัวแต่อ้อยอิ่งอะไรกันอยู่!”
ผู้อาวุโสสิบเจ็ดแทบจะร่ำไห้ออกมา
พี่น้องร่วมตระกูลทั้งหลาย ไม่เห็นหรือว่าเขาอ่อนแอจนอาจสิ้นชีพลงได้ทุกเมื่อ? เหตุใดจึงยังคงโต้เถียงกันว่าราชันเทวาสามารถโจมตีวิถีสูงสุดจนบาดเจ็บสาหัสได้หรือไม่!
“อะไรนะ! เป็นเรื่องจริงหรือ?”
“เป็นไปไม่ได้!”
แม้พวกเขาจะได้ยินคำตอบจากปากของผู้อาวุโสสิบเจ็ด แต่ก็ยังคงยากที่จะเชื่อ
ขั้นราชันเทวาเป็นไปไม่ได้กระทั่งมดปลวกต่อหน้าขั้นวิถีสูงสุด เหตุใดจึงสามารถทำให้ขั้นวิถีสูงสุดบาดเจ็บหนักได้?
เรื่องนี้ช่างน่าอัศจรรย์เกินไป ทำให้ผู้คนยากจะเชื่อได้ลง!
“จริงหรือ?”
ชายชราผมขาวหน้าแดงผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมา ภายในดวงตาของเขาราวเป็นฉากดวงดาราที่เคลื่อนไหวทุกครั้งที่กะพริบตา ปราณที่แผ่ออกมาน่ากลัวยิ่ง เขาเป็นถึงมหาจักรพรรดิผู้หนึ่ง คนผู้นี้คือผู้อาวุโสแปดแห่งตระกูลไป๋
เขากล่าว “ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร ก็นำตัวผู้อาวุโสสิบเจ็ดกลับมาก่อนเถอะ ปล่อยให้ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ทรุดลงบนพื้นเช่นนั้น ช่างดูไม่งามยิ่ง!”
“ใช่แล้ว!”
ขอบเขตนักบุญผู้หนึ่งตอบกลับ ก่อนจะก้าวไปด้านหน้าหมายจะพาตัวผู้อาวุโสสิบเจ็ดกลับมา
สีหน้าของเซี่ยเหยียนยังคงเรียบนิ่ง นางเรียกคันศรขึ้นมาบนมือก่อนรั้งสาย ศรแสงพุ่งตรงไปปักด้านหน้านักบุญที่ก้าวเข้ามา ระลอกพลังอันแข็งแกร่งกระแทกคนผู้นั้นจนกระเด็นออกไป
“นี่มัน...คันศรอะไรกัน!?”
“ทรงพลังยิ่งนัก!”
สายตาของคนตระกูลไป๋ทั้งหมดจับจ้องรวมกันไปยังคันศรราชันที่ถูกเรียกออกมา
เต๋าที่ไหลเวียนบนคันศรลึกล้ำไพศาล จนแม้แต่ผู้อาวุโสแปดที่เป็นถึงมหาจักรพรรดิก็ยังคงตกตะลึงเป็นอย่างมาก ภายใต้เต๋าในคันศร เขาเป็นได้เพียงฝุ่นธุลีอันไร้ค่าเท่านั้น
“ก่อนที่เรื่องราวทั้งหมดจะกระจ่างชัดเจน พวกเจ้าไม่สามารถพาตัวเขาไปได้”
เซี่ยเหยียนกล่าว
“โจมตีผู้อาวุโสตระกูลไป๋จนบาดเจ็บสาหัส ทั้งยังลงมืออย่างกำเริบเสิบสานในแดนตระกูลไป๋ เจ้าเอาศักดิ์ศรีของตระกูลไป๋ไปไว้ที่ใด?”
ผู้อาวุโสแปดตวาดออกมาอย่างเย็นชา ไม่ว่าเรื่องนี้ใครจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด แต่การกระทำของเซี่ยเหยียนก็ถือเป็นการหยามเกียรติและยั่วยุตระกูลไป๋อย่างแรง!
“แค่นี้ก็โกรธแล้วอย่างนั้นหรือ?”
เซี่ยเหยียนถามออกมา
“นี่คือสิ่งที่คนตระกูลไป๋ของพวกเจ้าทำต่อหน้าข้า!”
หญิงสาวกล่าว “เริ่มจากไป๋อวี่เฟยจากตระกูลไป๋ของพวกเจ้าไปที่สำนักไท่หัวของข้าด้วยความหยิ่งผยอง ทั้งดูถูกและเหยียดหยามข้า แถมยังมีความคิดให้ข้ายอมส่งมอบคันศรราชัน มิเช่นนั้นจะสังหารข้าและคนสำนักไท่หัวทั้งหมด!”
นางพูดต่อ “ข้าจำได้ว่ายอดนิกายเคยหลั่งโลหิตเพื่อโลกใบนี้ สร้างคุณูปการครั้งใหญ่ จึงไม่ได้คิดติดเอาความแล้วปล่อยไป๋อวี่เฟยไป”
เซี่ยเหยียนหยุดไปชั่วอึดใจ สบตาเข้ากับผู้อาวุโสแปดก่อนจะกล่าวต่อ “แต่เพียงไม่นานหลังจากนั้นปู่ของไป๋อวี่เฟยก็มาเยือน เขาต้องการจะสังหารฆ่าโดยไม่พูดไม่จาสิ่งใด ไม่สนใจกระทั่งความเป็นตายของเหล่าคนในสำนักไท่หัว ถึงกับปล่อยปราณวิถีสูงสุดปกคลุมสำนักไท่หัว!”
“ด้วยการกระทำและพฤติกรรมเช่นนี้ ข้าจะถามพวกเจ้าตระกูลไป๋สักหนึ่งคำถาม ว่านี่เป็นสิ่งที่ยอมรับได้หรือไม่?”
แม้นางจะเป็นสตรี ทั้งยังเยาว์วัย แต่กลับดูสง่างามและหาญกล้าเยี่ยงวีรชนยามเอ่ยถามผู้อาวุโสแปด
“พี่แปด มันไม่ใช่ความจริง เรื่องจริงคือเสี่ยวเฟยได้รับมอบหมายให้ไปเชิญนางเข้าร่วมสถานศึกษาที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นมา ทว่านางกลับวางท่าดูหมิ่นเหยียดหยามจนถึงขั้นลงมือใส่เสี่ยวเฟย ทั้งยังทำลายร่างอวตารที่ข้าทิ้งเอาไว้ในตัวเสี่ยวเฟย!”
ผู้อาวุโสสิบเจ็ดรีบกล่าวต่อ “ข้ากลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเสี่ยวเฟย จึงรีบใช้ร่างจริงตรงไปที่นั่นทันที หลังจากที่ข้าไปถึง แม้ว่าเสี่ยวเฟยจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็เหมือนตายไปแล้ว สูญเสียจิตวิญญาณ สีหน้าว่างเปล่าประหนึ่งคนโง่ง่ม!”
เขายังคงกล่าวต่อไป “ข้าไปถามหาเหตุผลจากนาง แต่นางกลับไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา ยังไม่ทันที่จะได้กล่าวถึงสิ่งใด นางก็ใช้คันศรในมือยิงข้าแล้วบังคับพามายังตระกูลไป๋ ตั้งใจจะโอ้อวดสำแดงความแข็งแกร่งของนางต่อหน้าตระกูลไป๋ของพวกเรา!”
ยังโชคดีที่เป็นผู้อาวุโสแปด!
หลังจากกล่าวจบแล้ว ผู้อาวุโสสิบเจ็ดก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
กฎตระกูลไป๋นั้นเข้มงวดเป็นอย่างยิ่ง หากสิ่งที่เขากับเสี่ยวเฟยกระทำลงไปถูกเปิดเผย เกรงว่าพวกเขาทั้งสองคนจะถูกลงโทษอย่างหนัก หากไม่ตายก็ปางตาย!
ทว่าหลังจากเห็นพี่แปดเป็นผู้รับผิดชอบสถานการณ์ในตอนนี้ เขาก็รู้ถึงโล่งอกขึ้นมา
หากเป็นผู้อาวุโสท่านอื่น เขาคงไม่กล้าพูดออกมาเช่นนี้ ได้แต่ยอมรับความจริงออกมา
ในตระกูลไป๋มีกระจกเผยวิญญาณอยู่ มันมีความสามารถในการเปิดเผยความทรงจำของดวงวิญญาณได้ หากเป็นผู้อาวุโสท่านอื่นคงต้องนำกระจกเผยวิญญาณออกมาสืบสาวหาความจริง
เมื่อกระจกวิญญาณถูกนำออกมา เรื่องราวความจริงทั้งหมดจะถูกเปิดเผยด้วยตัวเอง เขาโกหกไปก็ไร้ความหมาย
แต่พี่แปดเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องราวในครั้งนี้ เขาจะไม่ได้เผชิญเรื่องอะไร
เขากับพี่แปดมีความสนิทสนมกันเป็นอย่างมาก พี่แปดจะไม่มีทางนิ่งดูดาย ยื่นมือช่วยเหลือเขาอย่างแน่นอน!
“…”
เซี่ยเหยียนที่ฟังจนจบแล้วถึงกับพูดสิ่งใดไม่ออก
ตาแก่สารเลวผู้นี้ยังหน้าไม่อายได้มากกว่าเดิมอีกหรือ?
กำลังพูดจาไร้สาระอะไรอยู่!
ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น!
ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริง ๆ!
ความเย่อหยิงไร้ยางอายของไป๋อวี่เฟยล้วนเรียนรู้มาจากผู้เป็นปู่!
“โอ้อวดสำแดงความแข็งแกร่ง?”
เป็นดังที่คาดไว้ ผู้อาวุโสแปดไม่ได้สนใจความจริงอะไรเลย เขาเพียงยึดถือตามคำพูดของผู้อาวุโสสิบเจ็ด
เขามองไปที่เซี่ยเหยียนก่อนกล่าวออกมา “แม้ว่าคันศรในมือของเจ้าจะไม่ธรรมดา แต่ยังห่างไกลที่จะทำให้เจ้าไร้ผู้เทียบเคียงในใต้หล้า!”
เขาขยับเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น ก่อนจะตะโกนออกคำสั่งเสียงดัง “จัดการนางเสีย! ทำร้ายผู้อาวุโสตระกูลไป๋ ทั้งยังหาญกล้ามาทำตัวกำเริบเสิบสานในแดนตระกูลไป๋ ความผิดทั้งหมดล้วนไม่อาจให้อภัย สมควรถูกกำจัด!”
ผู้แข็งแกร่งตระกูลไป๋ส่วนใหญ่ที่เป็นคนของผู้อาวุแปด เมื่อได้ยินคำสั่งของเขาแล้วก็เริ่มลงมือโจมตี ระดมกำลังสังหารเซี่ยเหยียน
ทว่าก็ยังมีอีกไม่น้อยที่ยังคงรู้สึกติดใจสงสัย แต่พวกเขาก็ถูกผู้อาวุโสแปดข่มเอาไว้ ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
ยิ่งตระกูลเก่าแก่และใหญ่โตมากเพียงใด รากฐานยิ่งสลับซับซ้อน กระทั่งตระกูลไป๋เองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ภายในถูกแบ่งพรรคแบ่งฝ่ายมากมาย
“นี่คือโฉมหน้าที่แท้จริงของยอดนิกายหรือ?”
ใบหน้าของเซี่ยเหยียนเย็นชา นางผิดหวังกับตระกูลไป๋เป็นอย่างยิ่ง
แม้ว่านางกับผู้อาวุโสสิบเจ็ดจะไม่ลงรอยกัน ตระกูลไป๋ก็ควรจะพูดคุยตรวจสอบเรื่องราวทั้งหมดกก่อนไม่ใช่หรือ?
ทว่าผู้อาวุโสแปดกลับไม่ต้องการจะสืบหาความจริง เมินเฉยต่อคำพูดของนาง เห็นได้ชัดว่าตั้งใจจะช่วยเหลือผู้อาวุโสสิบเจ็ดโดยการฆ่าปิดปากนาง!
นางผิดหวังมาก ผิดหวังมากอย่างถึงที่สุด
ยอดนิกายที่ครั้งหนึ่งเคยต่อสู้หลั่งโลหิตเพื่อโลกใบนี้ สร้างคุณูปการอันหยิ่งใหญ่ ไม่สมควรจะเป็นเช่นนี้
เซี่ยเหยียนยกคันศรในมือนาง แววตาทอประกายเฉียบคมขึ้นมา “พวกเจ้าเห็นว่าข้ามีตัวคนเดียวเลยสามารถระรานได้ง่ายอย่างนั้นหรือ? ช่างมันเถอะ ถือโอกาสให้ข้าได้จัดการเหล่าคนที่ใช้ชื่อเสียงหลอกลวงผู้อื่นอย่างพวกเจ้าเสีย!”
“เจ้ายังกล้าบังอาจมาท้าทายตระกูลไป๋อีก? สังหารนางเสีย!”
ผู้อาวุโสแปดตะโกนออกคำสั่งสังหารด้วยน้ำเสียงเย็นชาอีกครั้ง
บทที่ 405
คำสั่งประหาร!
ไม่เหลือทางถอยให้แม้แต่น้อย
ผู้อาวุโสแปดไม่คิดให้โอกาสเซี่ยเหยียน สั่งให้ยอดฝีมือเคลื่อนไหวโจมตี ปลิดชีพนาง
พลังปราณสยดสยองคืบคลาน ผู้อาวุโสระดับจักรพรรดิคนหนึ่งก้าวออกมา เขาคือผู้อาวุโสสิบสองแห่งตระกูลไป๋ ทุกอิริยาบถล้วนเปี่ยมไปด้วยระลอกพลังอันสามารถทำลายฟ้าดิน
เซี่ยเหยียนทำร้ายผู้อาวุโสสิบเจ็ดจนบาดเจ็บสาหัส ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพลังของนางอยู่เหนือขอบเขตจ้าววิถีสูงสุด มิฉะนั้น นางไม่มีทางทำร้ายผู้อาวุโสสิบเจ็ดซึ่งอยู่ในขอบเขตจ้าววิถีสูงสุดได้รุนแรงปานนี้
ผู้อาวุโสสิบสองลงมือ มาถึงก็ใช้วิชาจักรพรรดิ เขามิได้ออมมือ เปล่งพลังออกมามหาศาล หมายจะสังหารหญิงสาวตามคำสั่งของผู้อาวุโสแปด
เซี่ยเหยียนมีสีหน้าเย็นชา ไม่กลัวเกรงแม้แต่น้อย นางก้าวเท้าออกไปโดยไม่สนใจผู้อาวุโสสิบสอง มีหยกคุ้มกายอยู่กับตัว ผู้อาวุโสสิบสองน่ะหรือจะทำร้ายนางได้?
เป็นไปไม่ได้!
นางย่างกรายออกไปทีละก้าว ตรงดิ่งไปหาผู้อาวุโสแปด ไม่ยี่หระการโจมตีจากผู้อาวุโสสิบสองสักนิด
ยอดฝีมือตระกูลไป๋มากมายอึ้งกันหมด
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ไม่แม้แต่จะแยแสผู้อาวุโสสิบสองเลยหรือ
ทว่าไม่นานพวกเขาก็ได้เข้าใจ
ครืน!
วิชาจักรพรรดิอันน่าประหวั่นพรั่นพรึงถล่มลงมา พุ่งไปทางหญิงสาว แต่ผลสุดท้ายเพียงดูน่ากลัวไปอย่างนั้น อานุภาพกระจอกงอกง่อย รุ้งมงคลมากมายพวยพุ่งออกจากตัวเซี่ยเหยียน ราวกับชุดนักพรตที่ถูกถักทอ บนนั้นมีกฎแห่งมหาเต๋าสูงส่งมากมายประสาน วิชาจักรพรรดิที่ถล่มลงมาไม่โดนแม้แต่ปลายเส้นผมของนาง
“นี่มัน…!”
“นางมีของวิเศษใดติดตัวกัน!”
ยอดฝีมือตระกูลไป๋มากมายตาโตอ้าปากค้าง สะท้านใจอย่างยิ่งยวด วิชาจักรพรรดิน่าพรั่นพรึงเพียงนั้น ถูกลบล้างในพริบตา เซี่ยเหยียนมีของวิเศษใดติดตัวกันนี่!?
ผู้อาวุโสแปดนัยน์ตาไหวระริกอย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน
ส่วนผู้อาวุโสสิบเจ็ดนั้นยกมือก่ายหน้าผาก คิดในใจว่าคงมิใช่ว่าทั้งตระกูลไป๋ไม่มีผู้ใดทำอะไรเซี่ยเหยียนได้หรอกนะ?
“ไสหัวไป”
สีหน้าหญิงสาวราบเรียบ เดินตรงไปหาผู้อาวุโสแปด ทว่ามิได้พุ่งเป้าไปที่ผู้อาวุโสแปด
เป้าหมายของนางคือตำหนักใหญ่ด้านหลังผู้อาวุโสแปด นางต้องการเข้าไปในตำหนักใหญ่
อานุภาพคันศรราชันที่นางใช้ได้นั้นมีจำกัด จะฆ่าจ้าววิถีสูงสุดยังยากลำบาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกำลังรบระดับมหาจักรพรรดิอย่างผู้อาวุโสแปด
นางเข้าใจเรื่องนี้ดี จึงไม่คิดห้ำหั่นกับผู้อาวุโสแปด ไม่มีความหมาย
“รนหาที่ตาย!”
ผู้อาวุโสเดือดดาล เซี่ยเหยียนจะโอหังเกินไปแล้ว!?
บอกให้เขาไสหัวไปหรือนี่!
“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร!”
เขาลงมือด้วยความกราดเกรี้ยว พลังของมหาจักรพรรดิแผ่พุ่ง วิชามหาจักรพรรดิถล่มใส่หญิงสาว
ทว่าผลลัพธ์เหมือนเมื่อคราวก่อน วิชามหาจักรพรรดิมิได้สร้างความเสียหายต่อเซี่ยเหยียนแต่อย่างใด พลังนั้นถูกลบล้างทันทีที่ไปถึงตัวนาง ไม่มีหยดน้ำกระเซ็นขึ้นมาด้วยซ้ำ
“เจ้า!”
ผู้อาวุโสแปดพิโรธระคนตะลึง เขาเองก็ทำอะไรเซี่ยเหยียนมิได้หรือ
“ยังไม่ไสหัวไปอีก?”
เวลานั้น เซี่ยเหยียนเดินเข้ามาแล้ว เห็นว่าผู้อาวุโสแปดยังยืนอยู่เบื้องหน้านางจึงหวดคันศรราชันใส่
สีหน้าผู้อาวุโสแปดอึมครึมเหลือแสน อย่าให้พูดเลยว่าย่ำแย่ปานใด กระนั้นเขาก็มิกล้าขวางอยู่หน้าหญิงสาวต่อ นางน่ากลัวราวกับปีศาจ!
เขาหลบให้ด้วยความโมโห ในใจรู้สึกขุ่นข้องมัวหมองสุด ๆ
เขาเป็นถึงผู้อาวุโสแปดแห่งตระกูลไป๋ มหาจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกร มีพลังระดับสูงสุด บัดนี้กลับถูกหญิงสาวขอบเขตราชันเทวาคนหนึ่งตวาดให้ไสหัวไป ซ้ำเขายังต้องยอมหลีกทาง เขาโกรธจนอวัยวะแทบระเบิด อดสูเจียนตาย
“ยอดนิกายหรือ คิดแล้วคงมีของดีไม่น้อยกระมัง…”
เซี่ยเหยียนเดินเข้าไปในตำหนักใหญ่ด้วยสีหน้าเย็นชา
สุดท้ายนางก็ใจดี ไม่อยากฆ่าฟันผู้ใดในที่นี้ มิฉะนั้นทั้งตระกูลไป๋มิมีผู้ใดรอดแน่
รู้หรือไม่ นางยังมีจี้หยกวิหคเพลิงที่ท่านเซียนประทานให้ พลังทำลายล้างไร้สิ่งใดเปรียบ เมื่อเรียกออกมาแล้ว คนทั้งตระกูลไป๋ หรือแม้แต่ผู้อาวุโสแปดซึ่งอยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิก็ไม่อาจต้านทาน เลือดสาดกระเซ็น ถูกสังหารลงอย่างสมบูรณ์
ทว่าแม้นางไม่ต้องการฆ่าใคร กระนั้นไม่ยอมจบไปง่าย ๆ
การกระทำของผู้อาวุโสแปดสร้างความพิโรธให้นางอย่างมาก ตระกูลไป๋ต้องได้รับบทเรียน
ที่นี่เป็นตำหนักขนาดใหญ่ ดูแล้วคงเป็นตำหนักที่ใช้รับรองแขกเหรื่อ ภายในไม่มีสิ่งของพิเศษมากนัก มีเพียงโต๊ะเก้าอี้จำนวนหนึ่ง
“วัสดุไม่เลว รื้อแล้วนำไปใช้เป็นฟืนแล้วกัน”
เซี่ยเหยียนคลี่ยิ้ม หวดคันศรราชันทำลายโต๊ะเก้าอี้เหล่านี้จนราบคาบ ก่อนจะเก็บซากโต๊ะเก้าอี้ไว้ เป็นดั่งเช่นที่นางว่า นางตั้งใจนำกลับไปใช้เป็นฟืน
“อ๊าก! อ๊าก! อ๊าก!”
“นั่นคือโต๊ะเก้าอี้ที่ทำจากไม้อัดรมควันชั้นดีอายุหลายพันปี มูลค่าสูงจนประเมินไม่ได้ ผู้ฝึกตนขึ้นไปนั่งฝึกฝนบนนั้นยังได้รับผลประโยชน์มหาศาล บัดนี้กลับถูกทำลายราบคาบหมดแล้ว!”
ยอดฝีมือตระกูลไป๋มากมายเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันรุนแรงเสียจนฟันแทบหัก
ตำหนักหลักที่ใช้รับแขก โต๊ะเก้าอี้ภายในจะเป็นเพียงโต๊ะเก้าอี้ธรรมดาได้อย่างไร นี่คือสัญลักษณ์บ่งบอกถึงตัวตนของพวกเขาตระกูลไป๋ สะท้อนให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพวกเขาตระกูลไป๋
“หยุดนางไว้ ทุกคนลงมือให้หมด!”
ผู้อาวุโสแปดแผดเสียงคำราม โมโหแทบบ้า
เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้ วันที่หญิงสาวขอบเขตราชันเทวาคนหนึ่งอาละวาดทำลายสิ่งของในตระกูลไป๋ของพวกเขาตามใจชอบ!
หลังจากเซี่ยเหยียนเดินออกมาจากตำหนักใหญ่ การโจมตีพลันโถมทับเข้ามาใส่นางอย่างมืดฟ้ามัวดิน ทว่าทั้งหมดนี้ล้วนไร้ประโยชน์ ยามการโจมตีมาถึงเซี่ยเหยียน ก็ถูกลบล้างไปจนสิ้น ไม่อาจสร้างความเสียหายได้แม้แต่น้อย
“เรื่องบ้ากระไร!”
“จะเกินไปแล้ว!”
ยอดฝีมือตระกูลไป๋มากมายกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ไม่อาจเชื่อในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้
พวกเขาโจมตีพร้อมเพรียง ขอบเขตนักบุญ ขอบเขตจ้าวสูงสุด ขอบเขตจักรพรรดิ ขอบเขตมหาจักรพรรดิ ต่างเปล่งพลังเต็มที่ กลับไม่อาจทำร้ายเซี่ยเหยียนได้แม้แต่ปลายเส้นผม ช่างน่าตะลึงยิ่งนัก!
‘ตำหนักหลอมโอสถ’
เวลานั้น เซี่ยเหยียนมาอยู่หน้าตำหนักอีกแห่ง นางมองป้ายบนตำหนัก ใบหน้าเผยรอยยิ้ม
ตำหนักหลอมโอสถ…
ของดีข้างในนี้ต้องไม่น้อยแน่
อักษรบนป้ายมีอายุยิ่งจนนางไม่รู้จัก ทว่าเมื่ออยู่ในระดับนาง ไม่ว่าภาษาหรืออักษร แม้นไม่รู้จักก็สามารถตระหนักในความหมายได้
“อย่าปล่อยให้นางเข้าไป!”
ผู้อาวุโสแปดคำราม เรียกอาวุธมหาจักรพรรดิออกมาแล้วจู่โจมออกไป
พับผ่าสิ ขืนปล่อยให้เซี่ยเหยียนเข้าไปในตำหนักหลอมโอสถ ตระกูลไป๋ของพวกเขาไม่รู้ต้องเสียหายอีกมากเท่าใด!
ยอดฝีมือตระกูลไป๋คนอื่น ๆ เข้าใจในจุดนี้ดี พวกเขาไม่ลังเล ต่างเรียกศาสตราทรงพลังของตนออกมา ถล่มใส่เซี่ยเหยียน
พลังจากศาสตราคณานับปะทุคราเดียว ภาพการณ์น่าพรั่นพรึงเหลือแสน แม้กระทั่งมหาจักรพรรดิก็ไม่อาจต้านได้ไหว ต้องถูกสังหารลงในพริบตา
ทว่าเมื่อพลังไปถึงเซี่ยเหยียน กลับได้ผลลัพธ์ตามเดิม ไม่มีคลื่นสาดกระเซ็นขึ้นมาแม้แต่น้อย ถูกลบล้างในเสี้ยววินาที
เซี่ยเหยียนก้าวเข้าไปในตำหนักหลอมโอสถ
“ยังดีที่ของเลอค่าภายในตำหนักหลอมโอสถมีผนึกคุ้มกัน คงไม่เป็นไร!”
ผู้อาวุโสแปดพึมพำกับตัวเอง
“บาปของข้า…หนายิ่ง!”
อีกด้าน ผู้อาวุโสสิบเจ็ดตกใจแทบบ้า เศษวิญญาณที่เหลืออยู่สั่นระริก
นี่เขา…นี่เขานำพาหายนะกลับสู่ตระกูลไป๋หรือนี่!
ให้ตายสิ ไม่มีผู้ใดแผ้วพานเซี่ยเหยียนได้ นางเตร็ดเตร่อยู่ในเขตแดนตระกูลไป๋ของพวกเขาได้ตามอำเภอใจ เช่นนี้มิขนของในตระกูลไป๋ของพวกเขาไปจนเกลี้ยงหรือ!?
รู้อย่างนี้ เขามัวปากแข็งอยู่กระไร ก่อนหน้านี้ยอมรับไว้ไม่ดีหรือ
ตอนนี้สิดี ทั้งตระกูลไป๋ยังไม่รู้ว่าต้องเสียหายมากมายเพียงใด!
ต่อให้เซี่ยเหยียนไม่ฆ่าเขา รอจนผู้นำตระกูลกลับมาเมื่อใด มิแยกร่างเขาสิแปลก!
“นางคือแม่คุณทูนหัว ไม่ควรไปจาบจ้วง!”
เขาตะโกนเสียงอาดูร