396-400

บทที่ 396

ครืน!


มิติระเบิดถี่กระชั้น ผู้อาวุโสสิบเจ็ดบุกโจมตีด้วยมหาวิชาปัญจธาตุ ภาพเหตุการณ์น่าพรั่นพรึงไร้สิ่งใดเปรียบ สยดสยองเกินจินตนาการ!


นี่คืออินปัญจธาตุ หลอมรวมจากพลังของธาตุทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ค่อย ๆ ถล่มลงจากฟากฟ้า รุนแรงเหลือแสนไม่อาจป้องกัน ราวกับนภาทั้งผืนกระแทกลงมา


เซี่ยเหยียนมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่หวาดหวั่นหรือกังวลแต่อย่างใด


นางค้อมตัวดึงสาย ทุกศรเจือไว้ซึ่งพลังอันน่าหวาดหวั่น แต่เทียบกับอินปัญจธาตุที่ผู้อาวุโสสิบเจ็ดปล่อยออกมานั้น ยังด้อยพลังกว่านิดหน่อย


ศรอาบแสงปะทะกับอินปัญจธาตุ เปล่งประกายเจิดจ้า แยงตายิ่งกว่าแสงสว่างจากพระอาทิตย์บนท้องฟ้าเสียอีก


ทว่าท้ายที่สุดศรอาบแสงก็ไม่อาจหยุดยั้งอินปัญจธาตุ ทำได้เถียงถ่วงเวลาอินปัญจธาตุชั่วครู่ ก่อนจะทลายลงราบคาบด้วยพลังของอินปัญจธาตุ


เมื่อได้เห็นภาพนี้ ผู้อาวุโสสิบเจ็ดโล่งอกขึ้นมานิดหน่อย เขากลัวแต่ว่าเซี่ยเหยียนสามารถรีดเร้นพลานุภาพที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าออกมา


ทว่าบัดนี้ดูแล้ว นี่คงเป็นขีดจำกัดของเซี่ยเหยียนแล้ว ขีดจำกัดของเซี่ยเหยียนไม่อาจยับยั้งเขาได้ ต่อจากนี้ เขาจักกำราบเซี่ยเหยียนอย่างสิ้นเชิง


ทว่าสีหน้าอึมครึมของเขาไม่ทันได้ผ่อนคลาย ก็อึมครึมลงมาอีกครั้ง


“สวรรค์ยังมีตาอยู่หรือไม่!?”


เขาสบถอย่างอดไม่ได้ รู้สึกจากใจจริงว่าสวรรค์ไม่มีตาเอาเสียเลย


ใช่แล้ว พลังนี้คือขีดจำกัดที่เซี่ยเหยียนใช้ได้ ทว่าศรอาบแสงที่เซี่ยเหยียนยิงออกมานั้นราวกับไม่คิดเงิน ยิงได้ไม่หยุดหย่อน ศรแล้วศรเล่า อินปัญจธาตุไม่อาจกำราบลงไปได้ไหว!


ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป อินปัญจธาตุไม่ทันได้ถล่มลงหัวเซี่ยเหยียน ก็ถูกศรอาบแสงเหล่านี้ผลาญพลังจนหมดไปเสียก่อน!


“ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าสามารถยิงต่อไปได้ไม่หยุดหย่อน!”


ผู้อาวุโสสิบเจ็ดคำรามกราดเกรี้ยว เพิ่มพูนพลังอินปัญจธาตุ ถล่มอย่างต่อเนื่อง


เขาไม่เชื่อว่าเซี่ยเหยียนจะยิงอยู่เรื่อย ๆ เช่นนี้ต่อไปไหว!


รีดเค้นพลังคันศรวิเศษระดับนี้ ไม่มีทางที่เซี่ยเหยียนจะไม่ต้องผลาญพลังเลย!


เขารู้สึกว่าอีกไม่นานเซี่ยเหยียนก็จะหมดแรง ไม่อาจยิงศรได้ไหวอีก


“!!!”


ระยะหนึ่งผ่านไป สีหน้าของผู้อาวุโสสิบเจ็ดประหลาดยิ่ง ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เซี่ยเหยียนยิงได้เรื่อย ๆ ไม่หยุดยั้งจริง ๆ!


พลังที่ปะทุออกจากคันศรเล่มนั้นราวกับไร้ขีดจำกัด เหมือนว่านางไม่ต้องเปลืองพลังสักนิดในการใช้คันศรเล่มนั้น ประกายที่เปล่งอยู่รอบ ๆ อินปัญจธาตุหม่นหมองลง พลังลดฮวบ แต่เซี่ยเหยียนยังยิงศรอาบแสงออกมาได้เรื่อย ๆ!


หมดหนทาง เขาได้แต่หยุดการใช้อินปัญจธาตุ


การโจมตีด้วยอินปัญจธาตุอย่างต่อเนื่องผลาญพลังของเขาไปมหาศาล!


ทว่าเขาไม่ยอมไปทั้งอย่างนี้


เขาเรียกอาวุธจักรพรรดิออกมาชิ้นหนึ่ง รีดเค้นเต็มกำลัง หมายจะยืมพลังจากอาวุธจักรพรรดิในการกำราบเซี่ยเหยียน


แต่แล้วก็ไม่ไหว!


ศรแล้วศรเล่า ศรอาบแสงท่วมท้นนภา เมื่อศรอาบแสงเหล่านี้รวมเข้าด้วยกัน พลังนั้นยิ่งใหญ่น่าหวาดหวั่น!


ด้วยขอบเขตจ้าววิถีสูงสุดของผู้อาวุโสสิบเจ็ด อานุภาพอาวุธจักรพรรดิที่เขารีดเค้นออกมาได้จึงทรงพลังมาก ทว่าหลังจากศรอาบแสงทั้งนภาหลอมรวมเข้าด้วยกัน พลังจากอาวุธจักรพรรดิก็ไม่อาจกำราบได้อย่างสมบูรณ์ ถึงอย่างไรก็ได้รับแรงกีดขวางอยู่ดี!


แม้ว่าแรงกีดขวางนั้นไม่มาก แต่ประเด็นสำคัญคือด้านเซี่ยเหยียนยังยิงศรออกมาไม่หยุด ระลอกแล้วระลอกเล่า พลังของอาวุธจักรพรรดิริดรอนลงไปเรื่อย ๆ แรงกีดขวางที่เผชิญก็แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ!


“ไอ้บัดซบ!”


เขาโกรธจนกระทืบเท้า รู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดที่มดมากัดช้างตายได้ในชั่วขณะนี้!


เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ดีแน่!


ขืนเป็นเช่นนี้ต่อ เขาคงต้านการผลาญพลังระดับนี้ไม่ไหว!


“ต้องหยุดยั้งมิให้นางยิงศรต่อ!”


ไม่นานนักผู้อาวุโสสิบเจ็ดก็มีแผนในใจ


เซี่ยเหยียนเก่งกาจตรงที่สามารถรีดเร้นพลังของคันศรวิเศษได้ นอกจากข้อนี้แล้ว พลังด้านอื่นของนางอ่อนแอจนแทบดูไม่ได้!


ถึงอย่างไรเซี่ยเหยียนก็เป็นเพียงราชันเทวา ความสามารถด้านอื่น ๆ สำหรับเขาแล้วนับว่าปวกเปียกเหลือคณา!


ตัวเขามากด้วยประสบการณ์การต่อสู้ ไม่นานนักก็คิดหาวิธีรับมือได้


เสียงดัง ฟึ่บ ลำแสงพุ่งออกจากหน้าผากของผู้อาวุโสสิบเจ็ด นี่คือลำแสงวิญญาณ พลังของดวงวิญญาณ ภายในนั้นห่อหุ้มร่างย่อวิญญาณของเขาไว้


ชายชราคิดจู่โจมเซี่ยเหยียนทางวิญญาณ บุกเข้าไปถึงวิญญาณของนางแล้วกำราบวิญญาณของนางเสีย!


หากกำราบวิญญาณของเซี่ยเหยียนได้ นางก็จะตกอยู่ในการควบคุมของเขาอย่างสิ้นเชิง!


“ข้าขอดูหน่อยว่าเจ้าจะป้องกันด้วยสิ่งใด!”


เขาแค่นเสียงเย็น ร่างย่อวิญญาณพุ่งไปทางเซี่ยเหยียนอย่างรวดเร็ว


เซี่ยเหยียนเป็นเพียงราชันเทวาเท่านั้น พลังวิญญาณจะแข็งแกร่งสักปานใด เมื่อเผชิญกับพลังวิญญาณขั้นวิถีสูงสุดของเขา พลังวิญญาณของนางย่อมอ่อนแอต้านไม่ได้แม้แต่การโจมตีเดียว และถูกเขากำราบง่ายดาย!


อนิจจา จินตนาการนั้นแสนงดงาม ทว่าความเป็นจริงแสนโหดร้าย!


ขณะที่ร่างย่อวิญญาณของเขาพุ่งไปถึงเซี่ยเหยียน หมายจะเข้าไปในส่วนวิญญาณของนาง ร่างกายเซี่ยเหยียนพลันเปล่งประกายเจิดจ้าออกมามหาศาล!


จากนั้น ทั่วทั้งตัวนางสว่างเจิดจรัสราวกับสวมชุดนักพรตม่านแสงเจิดจ้า กฎแห่งมหาเต๋ามากมายประสานเข้าด้วยกัน จังหวะแห่งเต๋าสูงส่งไหลเวียน เลิศล้ำเหลือคณา!


ร่างย่อวิญญาณของผู้อาวุโสสิบเจ็ดมิได้ระวังตัวแม้แต่น้อย โหม่งเข้ากับม่านแสงอันเปรียบเสมือนชุดนักพรต เพียงเสี้ยวลมหายใจเดียว ร่างย่อวิญญาณของเขาก็ถูกกระหน่ำโจมตี สลายด้วยกฎแห่งมหาวิถีบนม่านแสง ร่างย่อวิญญาณหม่นหมองลงในพริบตา!


“แม่เจ้า!”


เขาตื่นตระหนกอย่างยิ่ง ร่างย่อวิญญาณรีบเหินหนีกลับมา


แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ร่างย่อวิญญาณของเขาก็หนีในบัดดล ทว่ายังคงได้รับบาดเจ็บสาหัส กลายเป็นเพียงเศษเสี้ยววิญญาณ!


วิญญาณนั้นเป็นส่วนสำคัญที่สุด เขาได้รับบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้ พลังจึงลดฮวบลงในทันใด เมื่ออาวุธจักรพรรดิไม่มีพลังจากเขาค้ำจุน จึงไม่เหลืออานุภาพ เกิดเสียงดังตึง อาวุธจักรพรรดิร่วงหล่นจากฟากฟ้า


“ยกนี้หรือ ยกนี้เรียกว่าความฉลาดเป็นเหตุให้เสียรู้ เจ้ารนหาที่ตายเองแท้ ๆ!”


เซี่ยเหยียนขำพรืด


บอกตามตรง ถ้าผู้อาวุโสสิบเจ็ดแน่วแน่ว่าจะหนี นางจนปัญญาจะทำอะไรผู้อาวุโสสิบเจ็ดจริง ๆ


ทว่าผู้อาวุโสสิบเจ็ดกลับเสียรู้เพราะความฉลาดของตน คิดใช้พลังวิญญาณจัดการนาง และเป็นดั่งที่นางว่าจริง ผู้อาวุโสสิบเจ็ดรนหาที่ตายโดยแท้!


นางมีหยกคุ้มกายที่ท่านเซียนประทานติดตัว ร่างย่อวิญญาณของผู้อาวุโสสิบเจ็ดไฉนเลยจะโจมตีเข้าส่วนลึกของวิญญาณนางได้


เป็นไปไม่ได้เลย!


หากปราศจากหยกคุ้มกายที่ท่านเซียนประทาน ยามร่างย่อวิญญาณของผู้อาวุโสสิบเจ็ดโจมตีนาง นางคงไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ


น่าเสียดาย นางมีหยกคุ้มกายที่ท่านเซียนมอบให้ ผู้อาวุโสสิบเจ็ดถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องพบจุดจบแสนเศร้า!


วิญญาณของผู้อาวุโสสิบเจ็ดบาดเจ็บสาหัส อย่าให้พูดเลยว่าพลังปราณของเขาอ่อนแอเพียงใด เขาในตอนนี้ อยากหนียังจะหนีไม่ได้ ไม่อาจรีดเค้นพลังได้เลย!


“อ๊าก อ๊าก อ๊าก!”


เขาตะโกนเสียงโศกา หากรู้อย่างนี้ มิสู้รีบหนีไปแต่เนิ่น ๆ


ตอนนี้สิดี เขากำราบเซี่ยเหยียนไม่ได้ไม่พอ กลับตกอยู่ในเงื้อมมือเซี่ยเหยียนเสียเอง!
บทที่ 397

ผู้อาวุโสสิบเจ็ดหมอบราบกับพื้น พลังปราณอ่อนบางจนเหมือนเทียนไขริบหรี่พร้อมดับทุกเมื่อ เขาบาดเจ็บหนักเกินไป เหลือวิญญาณอยู่เพียงเสี้ยวเดียว!


นั่นมันอะไรกัน!?


เขาหวาดหวั่นเหลือคณา ม่านแสงปรากฏ ปกคลุมเซี่ยเหยียนไว้ทั้งตัว กฎแห่งมหาเต๋าประสานกันอยู่บนนั้น ยามวิญญาณของเขากระแทกโดนแทบถูกทำลายราบคาบ!


หากมิใช่ว่าเขาไหวพริบดี วิญญาณเสี้ยวนี้ของเขาก็ไม่แน่ว่าจะหนีพ้น!


น่ากลัวเกินไปแล้ว น่ากลัวยิ่งกว่าคันศรวิเศษเสียอีก คิดไม่ถึงเลยว่านางจะยังมีของวิเศษชั้นยอดเช่นนี้อยู่กับตัว!


ผู้อาวุโสสิบเจ็ดเศร้าสลดยิ่ง ใครจะไปคิดว่าเขาผู้เป็นถึงจ้าววิถีสูงสุดแห่งยอดนิกายกลับต้องพ่ายแพ้ให้กับราชันเทวาเล็ก ๆ อย่างเซี่ยเหยียน


“น่ารำคาญ ไม่จบไม่สิ้น ไม่ได้อยู่อย่างสงบเสียที!”


เซี่ยเหยียนเดินเข้ามา มองผู้อาวุโสสิบเจ็ดพลางกล่าว “ไปสิ นำทางไป ข้าจะไปคุยกับตระกูลไป๋ของพวกเจ้าให้รู้เรื่อง!”


มีหนึ่งแล้วไม่ควรมีสอง แม้ว่านางจะไม่กลัวตระกูลไป๋มาหาเรื่อง กระนั้นควรเป็นเช่นที่นางว่า เกิดเหตุการณ์แบบนี้บ่อย ๆ มันก็น่ารำคาญเกินไป


นางจะไปเยือนตระกูลไป๋สักคราเพื่อยุติเรื่องนี้


โหดถึงเพียงนี้เชียวหรือ!?


หลังได้ยินคำกล่าวของเซี่ยเหยียน ผู้อาวุโสสิบเจ็ดฉงนใจอยู่ว่าเขาฟังผิดไปหรือไม่


เซี่ยเหยียนมั่นใจในตัวเองปานนี้เชียว? ถึงขั้นจะบุกไปยังดินแดนตระกูลไป๋ของพวกเขาเลยหรือ!


ลมหายใจนี้ เขานึกหวั่นใจ รู้สึกเหมือนตัวเองมาหาเรื่องคนที่ไม่ควรหาเรื่อง…


เขามิกล้าไม่ทำตาม หยิบแท่นค่ายกลออกมา พาเซี่ยเหยียนไปยังตระกูลไป๋


เขาเองก็อยากกลับตระกูลไป๋ อย่างน้อยกลับถึงตระกูลไป๋แล้วเขายังมีโอกาสรอดมากขึ้น


หากไม่ยอมทำตาม เขาได้ตายแน่


แท่นค่ายกลคลี่ออก เซี่ยเหยียนกับผู้อาวุโสสิบเจ็ดก้าวเข้าไป มุ่งหน้าไปยังดินแดนตระกูลไป๋


“อนาถยิ่ง!”


“พังย่อยยับอีกแล้ว!”


ลูกศิษย์สำนักไท่หัวมองสิ่งปลูกสร้างที่ถล่มอยู่รอบ ๆ อิดหนาระอาใจเหลือแสน


แม้ว่าทุก ๆ ครั้งศัตรูตัวฉกาจจะถูกจัดการได้เสมอ กระนั้นสำนักไท่หัวของพวกเขาก็โดนหางเลขไปด้วยอย่างใหญ่หลวง หลังศึกใหญ่จบลง สิ่งปลูกสร้างที่ยังคงสภาพได้ในสำนักไท่หัวของพวกเขาไม่มาก แทบถูกทำลายไปหมดแล้ว


“เจ้าสำนัก เราไม่ต้องซ่อมแล้วดีหรือไม่ นี่เพิ่งซ่อมเสร็จได้ไม่กี่วันก็ถูกทำลายอีกแล้ว…”


ผู้อาวุโสคนหนึ่งบอกกับเจ้าสำนักไท่หัวด้วยหน้าตาขมขื่น


ผู้ใดจะรู้ว่าหลังจากนี้ยังมีศัตรูตัวฉกาจมาอีกหรือไม่ ซ่อมไปก็เท่านั้น ในการต่อสู้ระดับนั้น สิ่งปลูกสร้างของสำนักไท่หัวแทบไม่เหลือสักแห่ง


“ไม่ซ่อมแล้วจะนอนในซากปรักหักพังหรือ! ซ่อมเดี๋ยวนี้!”


เจ้าสำนักถลึงตาใส่ผู้อาวุโสขณะกล่าว


...


ณ เมืองชิงซาน


ภายในลานเล็กของหลี่จิ่วเต้า


แมวน้อยสีขาวนอนหมอบอยู่ในลาน ตากแดดอย่างสบายอุรา อย่าให้พูดเลยว่าสุขกายสุขใจเพียงใด


ท่านเซียนไม่อยู่บ้าน ไปรักษาคนที่อื่น ในบ้านจึงเหลือนางอยู่ตัวเดียว


บุ๋ง บุ๋ง!


ภายในโอ่ง มัจฉาสัตมายาพยายามกระโดดกระเด้งไปมา หมายจะเรียกร้องความสนใจจากแมวน้อยสีขาว


มันฉลาดขึ้นแล้ว หวังให้ท่านเซียนแยแสมันดูจะเกินเอื้อมไป หากท่านเซียนอยากสนใจมัน คงคุยกับมันนานแล้ว ไม่ถึงขั้นที่จนป่านนี้ยังไม่เคยสนทนาสักคำ


นี่อย่างไร มันเปลี่ยนกลยุทธ์ คิดจะเอาใจแมวน้อยสีขาว ให้แมวน้อยสีขาวช่วยมัน!


แมวน้อยสีขาวเป็นที่โปรดปรานของท่านเซียน หากเอาใจแมวน้อยสีขาวได้ ชีวิตปลาของมันคงสบายไปเปราะหนึ่ง


ช่าง…อดสูจริง!


มัจฉาสัตมายานึกถึงเมื่อคราวเพิ่งมาที่นี่ ตอนนั้น แมวน้อยสีขาวยังไม่มีพลังใด ๆ ลำพังเกล็ดปลาของมันยังกัดไม่ทะลุ ตอนนี้เล่า แมวน้อยสีขาวเอาชีวิตมันได้สบาย ๆ!


ไม่ว่าจะด้วยสายเลือดหรือขอบเขตพลัง หรือพลังที่มีอยู่ แมวน้อยสีขาวในตอนนี้ก็เหนือกว่ามันมาก


‘ข้าเป็นถึงเผ่ามัจฉาจอมโหดแห่งเก้าอาณาจักรตอนบน เหตุใดยามนี้ถึงอนาถาเพียงนี้!’


ยิ่งคิดมัจฉาสัตมายายิ่งเศร้า ตอนนี้ยังต้องไปเอาอกเอาใจแมวน้อยสีขาวที่เคยด้อยกว่าเขามากโข


ทว่าเศร้าส่วนเศร้า ยังต้องพะเน้าพะนออยู่ดี


ผู้ใดตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับชะตาชีวิตของตนกันเล่า!


มันยังอยากมีชีวิตอยู่!


บุ๋ง บุ๋ง!


มันพยายามกระโจนสุดฤทธิ์ กระโจนอยู่นาน จนในที่สุด มันก็เรียกร้องความสนใจจากแมวน้อยสีขาวมาได้


“โอ้ ยังมีชีวิตอยู่หรือนี่!”


ลั่วสุ่ยมองมัจฉาสัตมายา รู้สึกประหลาดใจโดยแท้ ผ่านมาตั้งนาน ปลาตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่อีกหรือ


นางจำมัจฉาสัตมายาได้ ไฉนเลยจะลืมลง


นี่คือปลาตัวแรกที่ท่านเซียนตกมาให้นาง ครานั้น นางกัดเข้าไปหนึ่งคำ ฟันแทบหัก!


นับเวลาดู นี่ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว นางคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่ามัจฉาสัตมายาตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่


ลั่วสุ่ยเกิดความสนใจ ร่างทั้งร่างกระโดดไปอยู่ตรงโอ่ง จับมัจฉาสัตมายาขึ้นมา


“ใช้ได้ ๆ ดวงแข็งดีนี่นา”


นางมองมัจฉาสัตมายา อุทานไม่ขาดปาก ปลาในโอ่งตายไประลอกแล้วระลอกเล่า มัจฉาสัตมายากลับยืนหยัดมาได้ถึงตอนท้ายสุด ต้องยอมให้อีกฝ่ายจริง ๆ!


“พี่ชายแมว ให้โอกาสกันสักครั้ง!”


หลังออกจากโอ่งน้ำมาได้ พลังสะกดก็คลายลง มัจฉาสัตมายารีบพูดประจบทันที


“พี่ชายแมวกระไร ข้าคือพี่สาวแมวของเจ้า!”


ลั่วสุ่ยตบเข้าที่หัวของมัจฉาสัตมายา นึกในใจว่ามัจฉาสัตมายาตัวนี้หัวไม่ค่อยแหลมนัก มาถึงก็เรียกผิดเสียแล้ว


“ข้าตื่นเต้นเกินไป! พี่สาวแมวอย่าโกรธไปเลย!”


มัจฉาสัตมายารีบบอก มันตื่นเต้นมากไปจริง ๆ ถึงได้ปากพล่อย เกือบก่อความผิดมหันต์


“พี่สาว พี่สาวแมว เรารู้จักกันมานานแล้วใช่หรือไม่ ให้โอกาสกันสักครั้งเถิด”


มันรีบบอก


อุตส่าห์ได้คุยกับลั่วสุ่ยแล้ว มันมิกล้าปล่อยให้เวลาเสียเปล่า


“ขอร้องข้าไปก็เปล่าประโยชน์ ไม่มีคำอนุญาตจากท่านเซียน ข้าไม่อาจปล่อยเจ้าไปได้”


ลั่วสุ่ยบอก


“พี่สาว เรื่องนี้ข้าเข้าใจ ข้าไม่ทำให้พี่สาวลำบากใจแน่ ข้าหวังเพียงให้พี่สาวดูแลเกื้อหนุนข้าบ้างก็เท่านั้น”


มัจฉาสัตมายากล่าว “พี่สาว ท่านรับข้าไว้ไม่เสียหาย น้องชายอย่างข้าเก่งไม่หยอก วันหน้าหากพี่สาวมีตรงไหนต้องการข้า ข้าย่อมไม่บอกปัด บุกน้ำลุยไฟเพื่อพี่สาวโดยไม่บ่นสักคำ!”


ปากของมันหวานปานน้ำผึ้ง พูดได้น่าฟังยิ่ง ลั่วสุ่ยฟังแล้วรื่นหูเป็นหนักหนา


“ได้ ที่เจ้าว่ามาไม่ผิด เราสองคนรู้จักกันมานาน หลังจากนี้ไปตรงไหนที่ข้าช่วยได้ จะพยายามช่วยเจ้า”


ลั่วสุ่ยเอ่ย “แต่เจ้าอย่าได้ตั้งความหวังกับข้ามากนัก ข้ามิกล้าก้าวก่ายความคิดความอ่านของท่านเซียน หากมีโอกาสเหมาะ ข้าจะช่วยเจ้า”


“มีประโยคนี้ของพี่สาวก็เพียงพอแล้ว!”


มัจฉาสัตมายาตื้นตันมาก ขอบคุณลั่วสุ่ยรัว ๆ “ขอบคุณพี่สาวที่ให้โอกาส!”


“ได้สิ เจ้าคงมิได้ตากแดดมานานแล้วกระมัง มาสิ มาตากแดดด้วยกัน”


ลั่วสุ่ยเอ่ยยิ้ม ๆ ยินดีมากเช่นกัน


มัจฉาสัตมายาอยู่มาได้นานขนาดนี้ นางคิดว่าท่านเซียนคงมีแผนอื่นสำหรับอีกฝ่าย การได้สนทนากับมัจฉาสัตมายาบ้างก็ไม่เลวเหมือนกัน


“ได้เลย พี่สาว!”


มัจฉาสัตมายาตอบเสียงเปรมปรีดิ์ เอนกายลงด้านข้าง ตากแดดกับลั่วสุ่ย


ภายในโอ่งน้ำ ปลาตัวอื่นอิจฉาริษยาแทบบ้า!


พี่สาว!


พี่สาวบังเกิดเกล้า!


พี่สาวแมวบังเกิดเกล้า!


ท่านต้องการลูกน้องเพิ่มอีกหรือไม่


ข้าเองก็พอไปวัดไปวาได้เหมือนกัน!


พี่สาวโปรดมองข้าที!


พวกมันกระโดดไม่หยุด เอ่ยวาจาบุ๋ง ๆๆๆ


น่าเสียดาย เป็นปลาเหมือนกันกลับมีชะตากรรมแตกต่าง


ลั่วสุ่ยมิได้สนใจพวกมัน


...


“หยกคุ้มภัยทรงพลังสุดยอด ของวิเศษอะไรกันนี่!?”


อีกด้าน สมาชิกกองกำลังฮวงเฉวียนเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


เขารับผิดชอบด้านเซี่ยเหยียน เพิ่งมาถึงนี่ก็ได้ประจักษ์ศึกระหว่างเซี่ยเหยียนและผู้อาวุโสสิบเจ็ด


ก่อนหน้านี้ไม่เท่าไร แต่เมื่อได้เห็นม่านแสงจากหยกคุ้มภัยซึ่งมีกฎแห่งมหาเต๋าประสานอยู่เต็มไปหมดก็สะท้านใจอย่างยิ่ง


พลังของหยกคุ้มภัยนั้นสยดสยองปานใด เขาไม่อาจทราบได้ แต่คิดว่าหยกคุ้มภัยระดับนี้ น่ากลัวว่าแม้แต่พลังขอบเขตตี้จวินยังไม่อาจทลายลงได้!


“ของวิเศษชั้นยอด เป็นของวิเศษชั้นยอดอย่างไม่ต้องสงสัย!”


เขารีบจดบันทึก และรุดหน้าไปยังดินแดนตระกูลไป๋
บทที่ 398

สมาชิกเครือข่ายข่าวสารขั้นสี่ของกองกำลังฮวงเฉวียนมาถึงเกือบครบแล้ว ทว่าพวกเขายังไม่ทันเริ่มต้นสืบค้น ก็ได้รับสัญญาณบอกให้ถอย


“อะไรกัน!”


“อู๋ฉีก็ตายแล้วหรือ!?”


“นี่มัน… เป็นไปได้อย่างไร!”


หน้าตาพวกเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ อย่างไรก็เชื่อไม่ลง


อู๋ฉีเป็นผู้นำของพวกเขา และเป็นคนที่ฝีมือโดดเด่นที่สุด ระดับพลังอยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นสูงสุด อีกนิดเดียวก็สามารถก้าวสู่ขั้นตี้หวง!


และผู้ที่อู๋ฉีรับผิดชอบคือหลี่จิ่วเต้า


ทว่าอู๋ฉีเป็นเช่นเดียวกับหนานเจี๋ย ทันทีที่ไปถึงก็ถูกจับได้ ซ้ำยังสิ้นชีพลง จะให้พวกเขาทำใจเชื่อได้อย่างไร!?


เกินมนุษย์!


เกินมนุษย์จริง ๆ!


หลี่จิ่วเต้าเป็นใครกันแน่!


เหตุใดถึงได้น่าประหวั่นพรั่นพรึงถึงเพียงนี้!?


ก่อนหน้านี้ กองกำลังฮวงเฉวียนของพวกเขาไม่เคยพานพบเรื่องเช่นนี้มาก่อน สมาชิกยอดเยี่ยมที่สุดในเครือข่ายข่าวสารขั้นสี่ออกโรง ตายทันทีที่ไปถึง นับเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นแน่นอน!


พวกเขามิกล้าลังเลมัวเสียเวลาอยู่ รีบล่าถอยทันที


อู๋ฉีตายแล้ว หมายความว่าภารกิจของพวกเขาล้มเหลวอีกครั้ง หากพวกเขายังไม่ถอยเกรงว่าคงต้องตายไปด้วย!


...


นอกเมืองชิงซาน ริมลำธาร


“พวกนี้มันตัวอะไรกัน?”


ต้นหลิวเอ่ยอย่างสงสัย มันกับก้อนหินจับปุถุชนตัวปลอมหมายจะเข้าเมืองชิงซานได้อีกหนึ่ง


คนผู้นี้เป็นพวกเดียวกับคนก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด พลังปราณคล้ายคลึงกันสุด ๆ


คนผู้นี้มีพลังไม่เบา อำพรางตัวได้ดียิ่ง ทว่าเทียบกับพวกมันยังห่างชั้นกันอยู่มาก


พวกมันเห็นคนผู้นี้ในปราดเดียวก็ย้ายเขาเข้าไปในมิติพิเศษทันที


เพราะมีประสบการณ์จากคราวก่อน หลังจากพวกมันย้ายอีกฝ่ายเข้ามาในมิติพิเศษแล้ว ก็ทำการสะกดพลังทั้งหมดของเขาไว้ทันที ป้องกันมิให้คนผู้นี้ฆ่าตัวตายเฉกเช่นคนก่อน


พวกมันต้องการล้วงข้อมูลจากคนผู้นี้ให้ได้มากขึ้น เพื่อให้พวกมันอารักขาได้ดียิ่งขึ้น


แต่สิ่งที่พวกเขาคิดไม่ถึงคือ ในวิญญาณของคนผู้นี้มีผนึกอยู่เช่นกัน!


ทันทีที่พวกมันใช้พลังวิญญาณ ทำท่าจะตรวจสอบความทรงจำในวิญญาณของเขา ผนึกในวิญญาณของคนผู้นี้ก็ทำงาน แผดเผาทั้งวิญญาณและกายเนื้อของเขาเป็นจุณ!


“ป้องกันอย่างไรก็ไม่หมด!”


ก้อนหินกล่าวด้วยน้ำเสียงแค้นใจ คนกลุ่มนี้อำมหิตและลึกลับใช้ได้ เพื่อป้องกันมิให้ข้อมูลรั่วไหลถึงกับวางผนึกเต็มร่างกายไปหมด!


“ไม่ว่าอย่างไร เจ้ากับข้าต้องปกปักรักษาที่นี่ให้ดี จะปล่อยให้คนพวกนี้เข้าไปในเมืองไม่ได้เด็ดขาด!”


ต้นหลิวเอ่ยเสียงจริงจัง


...


ณ ดินแดนฮวง


บนยอดเขาตั้งโดด ภายในตำหนักย่อยฮวงเฉวียนมโหฬาร


“ขาดทุน ขาดทุนย่อยยับ!”


นายตำหนักย่อยโมโหจนกระทืบเท้า แต่ไหนแต่ไรกองกำลังฮวงเฉวียนของพวกเขาไม่เคยขาดทุนมาก่อน หนนี้กลับขาดทุนมหาศาล!


ไม่ว่าเมื่อใด ข้อมูลคือสิ่งสำคัญที่สุด และหนานเจี๋ยกับอู๋ฉีสองคนล้วนเป็นมือดีในการรวบรวมข้อมูล ฝึกฝนวิชาซ่อนอำพรางได้แตกฉาน


เป็นผู้มีฝีมือที่หาได้ยากยิ่ง กองกำลังฮวงเฉวียนของพวกมันทุ่มเทกายใจไปมากกว่าจะสั่งสอนออกมาได้สักคน


บัดนี้กลับพากันตายไปทีละคน อย่าให้พูดเลยว่าเขาปวดใจปานใด!


“อ๊าก! ค่าตอบแทนทั้งหมดรวมกันยังไม่พอมูลค่าของคนที่ตายไปเพียงคนเดียวเลย!”


เขาคำรามลั่น อย่าให้พูดเลยว่าสำนึกเสียใจปานใด


รู้อย่างนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่รับภารกิจจากจักรพรรดิหาน!


เสียหายเกินไปแล้ว


ค่าตอบแทนทั้งหมดที่จักรพรรดิหานมอบให้ รวมถึงที่ยอมรับใช้พวกเขาร้อยปี ยังไม่พอหักล้างกับการตายของหนานเจี๋ยเพียงคนเดียว!


“เพิ่มราคา อย่างไรก็ต้องเพิ่มราคา!”


เขาเอ่ยเสียงเคียดแค้น สั่งให้พาตัวจักรพรรดิหานเข้ามา


“ภารกิจสำเร็จแล้วหรือ”


จักรพรรดิหานเดินออกมายิ้ม ๆ ฮวงเฉวียนออกโรง ไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน


เขาคิดว่าพวกหลี่จิ่วเต้าถูกจัดการไปแล้ว


ขอเพียงพวกหลี่จิ่วเต้าถูกจัดการ ตระกูลหานของพวกเขาก็หมดอันตราย สามารถเดินเหินอยู่ในโลกภายนอกได้อย่างสง่าผ่าเผย


แม้ว่าบัดนี้สมาชิกทั้งหมดในตระกูลหานของพวกเขาล้วนอยู่กับกองกำลังฮวงเฉวียน กระนั้นกองกำลังฮวงเฉวียนไม่เคยขอให้พวกเขาอยู่ที่นี่ตลอด


การนี้เป็นเพียงชั่วคราว


กองกำลังฮวงเฉวียนระบุชัดแล้วว่าขอเพียงจัดการพวกหลี่จิ่วเต้าได้ แล้วจะปล่อยพวกเขาออกไป สร้างตัวใหม่อีกครั้งในโลกภายนอก แล้วคอยคำสั่งก่อนดำเนินการใด


“จัดการได้กับผีสิ!”


นายตำหนักย่อยเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “กองกำลังฮวงเฉวียนของเราสูญเสียสมาชิกสำคัญไปสองคน เพิ่มราคา ต้องเพิ่มราคา!”


“หา?”


หลังจักรพรรดิหานได้ยินคำกล่าวของนายตำหนักย่อย ดวงหน้าของชายชราพลันเปลี่ยนเป็นสีเขียวในบัดดล


ยังจะ…เพิ่มราคาอีกหรือ!?


เขาขายสมาชิกทั้งหมดของตระกูลหานให้แล้ว จะเพิ่มจากตรงไหนอีก?


“เพิ่มอีกหนึ่งร้อยปี ไม่สิ เพิ่มอีกหนึ่งพันปี!”


นายตำหนักย่อยเอ่ยเสียงเจ็บแค้น


บวกอีกหนึ่งร้อยปีก็ยากจะชดเชยมูลค่าที่เสียไปเพราะการตายของหนานเจี๋ยและอู๋ฉี อย่างน้อยก็ต้องหนึ่งพันปี!


“ไม่ใช่แล้วกระมัง!”


อย่าให้พูดเลยว่าจักรพรรดิหานทรมานใจเพียงใด พับผ่าสิ บวกราคาขึ้นไปทีเดียวถึงพันปีเลยหรือ


“เรื่องนั้น… ข้าเลือกยกเลิกภารกิจได้หรือไม่”


เขาพูดอย่างอดไม่ได้ ไม่อยากดำเนินการต่อแล้วจริง ๆ นี่มันเรื่องอะไรกัน ขืนเพิ่มราคามั่วซั่วเช่นนี้ ตระกูลหานของพวกเขาจะยังมีอิสรภาพเหลืออยู่หรือ


มิต้องเป็นทาสของกองกำลังฮวงเฉวียนไปนิรันดรเลยรึ!


“ได้ แต่ต้องทำงานให้เราครบห้าร้อยปีก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”


นายตำหนักย่อยกล่าว


ไอ้…เวร!


มีเหตุผลบ้างหรือไม่!?


จักรพรรดิหานก่นด่าในใจเป็นชุด ให้ตายสิ เขายกเลิกภารกิจก็ไม่ได้หรือ ยังต้องเป็นทาสอีกห้าร้อยปี!?


สวรรค์ยังมีตาอยู่หรือไม่!


ใจดำ!


ใจดำ…ฉิบ!


ดำทมิฬยิ่งกว่าหลุมดำไร้ที่สิ้นสุดเสียอีก!


“พันปีก็พันปี พวกท่าน…ดำเนินการต่อเถิด!”


จักรพรรดิหานกลับไปทันที ไม่อยากเสวนากับนายตำหนักย่อยอีก


บ้าจริง…ขืนเสวนาต่อ น่ากลัวว่าคงไม่ใช่แค่พันปี!


“ครั้งสุดท้าย หากยังไม่สำเร็จดำเนินการต่อไม่ได้แล้ว”


ภายในตำหนักมโหฬาร นายตำหนักย่อยพึมพำกับตัวเอง


เขาเตรียมปลุกสมาชิกเครือข่ายข่าวสารขั้นห้า!


จากผลการตรวจสอบล่าสุดที่ส่งกลับมา เซี่ยเหยียนยังมีของวิเศษที่ดียิ่งกว่าในตัว และหลี่จิ่วเต้าในฐานะผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในคนทั้งหมด น่ากลัวว่ามีของวิเศษมากกว่านี้อีก


หากสำเร็จ พอจะชดเชยค่าเสียหายที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้บ้าง


ขณะเดียวกัน ยังรวมถึงราคาของการปลุกสมาชิกเครือข่ายข่าวสารขั้นห้า


ทว่าหากปลุกสมาชิกเครือข่ายข่าวสารขั้นห้าขึ้นมาทั้งหมด ค่าเสียหายนั้นมากเกินกว่าจะชดใช้ได้หมด ต่อให้พวกหลี่จิ่วเต้ามีสมบัติมากมายปานใดก็ไม่ไหว


เป้าหมายการตั้งเครือข่ายข่าวสารขั้นห้ามิใช่เพื่อปฏิบัติภารกิจเหล่านี้…


“ปลุกหนึ่งคนเพื่อต่อกรกับหลี่จิ่วเต้าโดยเฉพาะ!”


เขาตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว


ปัญหาทั้งหมดเกิดขึ้นกับหลี่จิ่วเต้า ขอเพียงจัดการอีกฝ่ายได้ คนอื่น ๆ ย่อมจัดการได้ง่าย


ท้ายที่สุด เขาปลุกสมาชิกเครือข่ายข่าวสารขั้นห้าขึ้นมาคนหนึ่ง ส่งเขามุ่งหน้าไปตรวจสอบหลี่จิ่วเต้า


เขาเป็นผู้เฒ่าผมขาว ใบหน้าเปี่ยมเมตตา ดูมีไมตรีจิตยิ่ง แต่แท้จริงแล้วน่ากลัวเหลือแสน ไม่รู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตระดับยอดฝีมือมากมายเพียงใดตายด้วยมือเขา


“การช่วงชิงในดินแดนนั้นเริ่มขึ้นแล้วหรือ”


ผู้เฒ่าผมขาวถามเสียงเบา


“เปล่า”


นายตำหนักย่อยกล่าว “เป็นภารกิจอื่น”


จากนั้น เขาเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้ผู้เฒ่าผมขาวฟังอย่างละเอียด


“มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ? เอาเถิด ถือเสียว่าอุ่นเครื่องก่อนการช่วงชิงในดินแดนนั้นเริ่มขึ้น ให้ข้าไปประมือกับหลี่จิ่วเต้าผู้นี้หน่อย”


ผู้เฒ่าผมขาวจากไป
บทที่ 399

ณ แดนฮวง อาณาจักรจิ่วฉง


บนทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไพศาล ท้องฟ้ากระจ่างใส ผืนดินเต็มไปด้วยสีเขียวขจี สายลมอ่อนโชยพัดพากลิ่นหญ้า ชวนให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก


ที่แห่งนี้คือทุ่งหญ้าเทียนชิง อาณาเขตของเผ่าอสูรฟ้าชิงหนิว


จะเห็นได้ว่าที่แห่งนี้มีเพียงสีเขียวสุดลูกหูลูกตา ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดอื่นอาศัย เผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวน่ากลัวมากเกินไปจนไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปในอาณาเขตของเผ่าอสูรฟ้าชิงหนิว


ยิ่งในช่วงเวลานี้ ยิ่งไม่มีสิ่งมีชีวิตใดกล้าเหยียบย่างเข้ามา


เผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวเพิ่งกำเนิดสมาชิกใหม่ ยามนี้จึงเข้าสู่สภาวะอ่อนไหวมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย สิ่งมีชีวิตใดที่กล้าย่างกรายเข้ามาในอาณาเขตอาจถูกโจมตีในฐานะศัตรู


สายเลือดของเผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวทรงพลังจนสิ่งมีชีวิตอื่นไม่สามารถต่อกรได้


ในตอนนั้นเอง บนท้องฟ้าปรากฏร่างงดงามสามร่างทะยานผ่าน แม้ว่าจ้าวหุบเขาจะมีอายุไม่น้อยแล้ว ทว่ายังคงเปี่ยมเสน่ห์ ร่างกายรายล้อมด้วยรัศมีศักดิ์สิทธิ์ สง่าและงดงาม


สองร่างที่ตามมาข้างหลังเองก็ชวนมองเป็นอย่างยิ่ง ทั้งเยาว์วัยและงดงาม ผิวพรรณขาวผ่อง ขาวเพรียวยาว ใบหน้าสวยงามจนไม่อาจหาที่เปรียบ อ่อนเยาว์งดงามไปคนละแบบ


พวกนางคือจ้าวหุบเขา หลิงอิน และเสี่ยวหยา


“เผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวอยู่ส่วนลึกเข้าไปของที่แห่งนี้”


จ้าวหุบเขานำทาง พวกนางทะยานผ่านทุ่งหญ้าอย่างรวดเร็วมุ่งเข้าสู่ส่วนลึก


“ผิดปกติอย่างมาก...!”


หลังจากมาถึงส่วนลึก จ้าวหุบเขาก็หยุดลงแล้วขมวดคิ้ว


นางกล่าวออกมา “ตรงจุดนี้นับว่าล่วงเข้ามายังอาณาเขตของเผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวแล้ว ทว่ากลับไม่มีสมาชิกของเผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวปรากฏตัวขึ้น...”


จากจุดที่พวกนางอยู่ สามารถมองเห็นเสาหินขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านสูงเสียดฟ้าราวกับเสาค้ำฟ้าชวนตื่นตะลึง


“โดยปกติเมื่อมาถึงที่นี่ สมาชิกของเผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวจะปรากฏตัวขึ้น ตอนนี้ยิ่งอยู่ในสภาวะอ่อนไหวเช่นนี้ แต่กลับไม่มีสามาชิกของเผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวปรากฏขึ้น มัน...แปลกประหลาดเกินไป”


จ้าวหุบเขากล่าว


“เช่นนั้นหรือ?”


หลิงอินเปิดใช้ประสาทสัมผัสจ้าวสูงสุด เพื่อตรวจสอบสถานการณ์


“ดูเหมือนว่าอสูรฟ้าชิงหนิวจะเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตบางอย่าง!”


นางขมวดคิ้ว สัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดอยู่ภายในอาณาเขตของอสูรฟ้าชิงหนิว


ปราณของสัตว์ประหลาดตัวนั้นน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังนำพาความรู้สึกชวนขนหัวลุกจนไม่กล้าจะตรวจสอบอย่างละเอียด เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้น จึงถอนประสาทสัมผัสตนเองกลับมาหลังจากตรวจสอบไปแล้วคร่าว ๆ


“ไปดูกันเถอะ”


นางกล่าวก่อนจะตรงไปยังภายในเผ่าชิงหนิวพรัอมกับจ้าวหุบเขาและเสี่ยวหยา


ทั้งสามไปถึงที่แห่งนั้นอย่างรวดเร็ว


ที่แห่งนั้นมีสิ่งมีชีวิตลมปราณแปลกประหลาดอยู่สามร่าง ผู้นำตรงกลางเป็นเผ่ามนุษย์ผู้หนึ่ง อีกสองตนล้วนเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่ทราบเผ่าพันธุ์


พวงนางเห็นเผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวอีกสองตน


ตนหนึ่งแก่ชราเป็นอย่างยิ่ง ขนของมันร่วงหล่นไปหมดแล้ว ทว่าลมปราณนั้นน่ากลัวเป็นอย่างมาก


นี่คือผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่าชิงหนิว ดวงตาสองข้างแม้จะขุ่นมัวเป็นอย่างมากแต่ก็สามารถทำให้คนผวา พินิจดูให้ดีแล้วด้านในราวกับมีตะวันจันทราและดวงดาราแตกดับสลายในดวงตาของมัน


ชิงหนิวอีกตนหนึ่งเองก็ดูแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ลมปราณของมันไม่ได้อ่อนแอเลย ดวงตาทั้งสองจับจ้องไปทางศัตรูทั้งสามด้วยความอาฆาตแค้นอย่างหนัก


สายเลือดของเผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวนั้นทรงพลังจนน่าอัศจรรย์เกินไป ทำให้พวกมันยากยิ่งกับการจะให้กำเนิดลูกหลาน พวกมันจึงมีสมาชิกอยู่จำนวนน้อยนิด


หลิงอินรู้มาว่าผู้อาวุโสสูงสุดชิงหนิวมีชีวิตรอดมาจากสมัยโบราณ ขณะที่ชิงหนิวผู้แข็งแกร่งอีกตนถือกำเนิดขึ้นมาในสมัยโบราณ แต่ทว่ากลับเติบโตขึ้นมาในยุคปัจจุบัน


นอกจากชิงหนิวทั้งสองตนนี้แล้ว เผ่าชิงหนิวยังมีแม่ชิงหนิวอีกตนที่พึ่งคลอดลูกชิงหนิวออกมา


แน่นอนว่านางไม่ได้ทราบข้อมูลนี้มาตั้งแต่แรก เป็นจ้าวหุบเขาที่บอกข้อมูลเหล่านี้ให้กับนาง


สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดทั้งสามสัมผัสได้ถึงการมาของพวกหลิงอิน แต่พวกมันก็ยังคงไม่สนใจแม้แต่จะเหลียวกลับไปดู


สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดที่เป็นเผ่ามนุษย์ก้าวไปด้านหน้า จ้องมองไปทางผู้อาวุโสสูงสุดชิงหนิว


“ยุคสมัยปัจจุบันกำลังจะตกลงสู่ความโกลาหล เป็นโชคของพวกเจ้าแล้วที่พวกเราเห็นค่า ยังจะต้องพิจารณาสิ่งใดอีก?”


สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดกล่าวออกมาอย่างไม่แยแส “หากไม่ไปกับพวกข้า พวกเจ้าก็ต้องตายลงท่ามกลางความโกลาหลครั้งใหญ่อย่างแน่นอน ตายแบบกระทั่งศพยังไม่อาจรักษาเอาไว้ได้”


มอ!


ผู้อาวุโสสูงสุดชิงหนิวส่งเสียงร้องออกมา แม้จะชราแต่ก็ยังคงทรงพลังอย่างมาก


“พวกเจ้าต้องการให้ไปเป็นทาส พวกเราจะยอมได้อย่าง!? ตั้งแต่สมัยโบราณไม่มีผู้ใดทำให้พวกเรากลายเป็นทาสได้!“


มันกู่ร้องคำรามออกมา


“อดีตไม่เคย ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตจะไม่เคย”


เผ่ามนุษย์ผู้นั้นกล่าว “สามารถเข้าร่วมกับซากสุสานอัมพร นับเป็นโชคครั้งใหญ่หลวงของพวกเจ้า ทว่าพวกเจ้ากลับไม่รู้จักถนอมโอกาสนั้นไว้ หรือว่าอยากจะตายกันหมด!?”


“ซากสุสานอัมพร!”


อีกด้านหนึ่ง จ้าวหุบเขาที่ได้ยินถึงกับร่างกายสั่นสะท้าน


นี่คือหนึ่งในเก้าแดนต้องห้าม!


นางไม่คาดคิดเลยว่าเบื้องหลังสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดจะยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้!


เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กัน?


เหตุใดสิ่งมีชีวิตจากแดนต้องห้ามจึงปรากฏกายบ่อยเพียงนี้?


ก่อนหน้านี้เป็นทะเลต้องห้าม ตอนนี้ก็เป็นสุสานซากอัมพร


เฮ้อ ไยชีวิตจึงแสนลำเค็ญนัก...


นางส่งเสียงทอดถอนขึ้นมาในใจ รู้สึกหดหู่เป็นอย่างยิ่ง


เดิมทีการมาถึงของสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนก็ทำให้อาณาจักรแห่งนี้ประสบกับความยากลำบากอย่างมาก ทว่าในตอนนี้แดนต้องห้ามก็ค่อย ๆ ปรากฏกายออกมา ทำให้สถานการณ์เลวร้ายและลำบากยิ่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย


เก้าแดนต้องห้ามนั้นนับว่าไม่มีอะไรดียันแก่นแท้ แต่ละแห่งล้วนแปลกประหลาดและน่าหวาดกลัว ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ออกมาจากแดนต้องห้ามไม่เคยนับว่าเป็นเรื่องดี ทั้งยังสร้างความวุ่นวายครั้งใหญ่โต!


“โชคเช่นนี้พวกเราไม่ต้องการ!”


ผู้อาวุโสสูงสุดชิงหนิวคำรามออกมา “พวกเจ้าออกไปเสียเถอะ เผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวของเราไม่มีมีทางเลือกจะยอมจำนน ไม่ว่ากับใครก็ตาม!”


บรรพชนของพวกมันเคยได้รับการขนานนามว่าเป็นถึงหนึ่งในสิบอสูรร้ายบรรพกาล แม้ว่าจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ทว่าก็สามารถแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของพวกมันได้


เช่นนั้นแล้วพวกมันจะยอมจำนนและตกเป็นทาสของสิ่งมีชีวิตอื่นได้อย่างไร!?


ไม่มีทางอย่างแน่นอน!


แม้นอีกฝ่ายจะเป็นหนึ่งในเก้าแดนต้องห้ามก็ไม่มีทาง!


“ช่างไม่รู้แยกแยะดีร้าย พูดดี ๆ ไปพวกเจ้าก็ไม่รับฟัง”


สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดเผ่ามนุษย์กล่าวออกมาอย่างเย็นชา “โง่เขลานัก ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา พูดดี ๆ ไปก็ไม่ฟัง เช่นนั้นข้าก็จะบอกพวกเจ้าด้วยกำลัง!”


ลมปราณของเขาแผ่กระจายท่วมท้น ทั้งน่าหวาดหวั่นและน่าสะพรึงกลัว ขอบเขตขั้นของเขาอยู่สูงเสียยิ่งกว่าขั้นสูงสุด เป็นถึงขั้นนภาสูงสุด!


“มอบหนทางรอดให้ พวกเจ้าก็ยังคงไม่ต้องการ สมองเลอะเลือนไปหมดแล้วหรืออย่างไร?”


“พวกเขาต้องการจะพาพวกเจ้าไป ยังจำเป็นต้องใช้คำยินยอมจากพวกเจ้าอีกหรือ?”


สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดอีกสองตนเอ่ยสมทบขึ้นมาอย่างเย็นชา ทั้งยังแผ่ลมปราณออกมาเช่นกัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดเผ่ามนุษย์แต่ก็ไม่ได้อ่อนแอกว่ากันมากนัก ล้วนเป็นขั้นนภาสูงสุดเช่นเดียวกันหมด!


นี่คือผู้แข็งแกร่งขั้นนภาสูงสุดสามตน!


“อ๊ากกก! เหตุใดจึงต้องเป็นเช่นนี้ด้วย!?”


ผู้อาวุโสสูงสุดชิงหนิวส่งเสียงคำรามขึ้นไปบนท้องฟ้า ในดวงตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง


หากเป็นขั้นสูงสุดสามตน มันยังสามารถสู้ตายได้ หากแต่ขั้นนภาสูงสุดสามคน แม้นมันอยากก็ไม่มีโอกาสได้สู้ตาย!


มันแก่ชราเต็มที พลังที่สามารถใช้ออกมาได้นั้นมีจำกัด


อย่าว่าแต่ขั้นนภาสูงสุดสามตนเลย กระทั่งขั้นนภาสูงสุดเพียงผู้เดียวก็สามารถสังหารมันได้อย่างง่ายดาย!


มันไม่เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง พวกมันเพิ่งให้กำเนิดสมาชิกใหม่ขึ้นมาหลังจากไม่ได้เกิดเรื่องนี้มายาวนาน ทว่าความสุขล้นพ้นกลับกลายเป็นทุกข์ตรมครั้งใหญ่ มันจะเต็มใจยอมรับได้อย่างไร!!!
บทที่ 400
ลมปราณของขั้นนภาสูงสุดหนักหน่วงและกดดันเป็นอย่างมาก อย่าว่าแต่จะต่อสู้ เพียงแค่ปราณขั้นนภาสูงสุดถูกปล่อยออกมาผู้อาวุโสสูงสุดชิงหนิวและชิงหนิวผู้แข็งแกร่งก็ไม่อาจต้านทานได้ ช่องว่างต่างกันราวฟ้ากับเหว


โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับชิงหนิวผู้แข็งแกร่ง สภาพของมันเลวร้ายเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับโดนกดลงล้มบนพื้น ไม่ว่าจะพยายามเท่าใดก็ลุกไม่ขึ้น


มันอยู่ในขั้นราชันนักบุญ จะสามารถต่อต้านได้อย่างไร ต่อหน้าขั้นนภาสูงสุดแล้ว มันอ่อนแอเสียจนไม่อาจจะนับเป็นสิ่งใดได้


โฮ่ววว!


ผู้อาวุโสสูงสุดเผ่าชิงหนิวคำราม ทั่วร่างของมันบังเกิดแสงเจิดจ้า ทว่าก็ถูกระงับลงไปอย่างรวดเร็ว ประกายแสงแตกกระจาย ก่อนมันจะถูกกดดันจนล้มลงพื้น


ดวงตาของมันเผยให้เห็นความไม่ยินยอมอย่างมาก แม้มันจะชราแต่ก็ยังไม่คิดยอมแพ้ หลังจากมันโดนกดดันจนล้มลงกับพื้น มันก็ดิ้นรนพยายามลุกกลับขึ้นมา


เวลาไร้ความปรานี มันแก่ชรามากเกินไป ใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มที ไม่เช่นนั้นมันคงไม่อยู่ในสภาพย่ำแย่เช่นนี้ ถูกกำราบเสียก่อนจะทันได้ลงมือเสียด้วยซ้ำ


สายเลือดของเผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก การต่อสู้ข้ามขั้นไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด


ผู้อาวุโสสูงสุดชิงหนิวเมื่อครั้งยังอยู่ช่วงรุ่งโรจน์ ไม่เพียงแต่สามารถต่อกรกับขั้นนภาสูงสุดได้ ยังเคยกระทั่งสังหารขั้นนภาสูงสุดมาแล้ว


น่าเสียดาย ที่ตอนนี้มันอ่อนแอเกินไป พลังเข้าสู่ช่วงโรยรา ไม่สามารถกระทั่งต้านทานลมปราณที่แผ่ออกมาจากขั้นนภาสูงสุด


“น่าขันนัก ถึงขนาดนี้แล้วยังจะกล้าต่อต้านพวกข้าอีก?”


สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดเผ่ามนุษย์ยิ้มเย้ย นี่เหลืออดเสียจริง ยังไม่ทันได้ลงมือ ชิงหนิวเบื้องหน้าเขาก็ถูกกดดันจนล้มลงไป ยังจะกล้ามาต่อต้านพวกเขาอีก!


“ต่อให้ตายพวกข้าก็ไม่มีทางยอมเป็นทาสของพวกเจ้า!”


ผู้อาวุโสสูงสุดชิวหนิวกู่ร้อง กระตุ้นพลังในร่างกาย ต้องการจะระเบิดตัวเอง


ชิงหนิวผู้แข็งแกร่งด้านข้างเองก็ทำเช่นเดียวกัน มันพยายามกระตุ้นพลังในร่างกายตนเอง หวังระเบิดตัวตาย


พวกมันมีเกียรติและความผยองในศักดิ์ศรี ต่อให้ต้องตายก็จะไม่ละทิ้งเกียรติ์และศักดิ์ศรี


สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดเผ่ามนุษย์เพียงโบกมือเบา ๆ หนึ่งครี่ง เกิดระลอกพลังพัดปัดเป่าพลังที่ผู้อาวุโสสูงสุดชิงหนิวและชิงหนิวผู้แข็งแกร่งรวบรวมออกไปทันที จนไม่สามารถกระตุ้นพลังให้ระเบิดตนเองได้


“คิดจะตาย? ไม่มีทางเสียหรอก!”


สีหน้าของเขาไม่แยแสระหว่างกล่าวออกมา “ตั้งแต่พวกเขามายังที่แห่งนี้ ชีวิตของพวกเจ้าก็ไม่ใช่ของพวกเจ้าอีกต่อไป แต่เป็นของพวกข้า!”


“สารเลว!”


ผู้อาวุโสสูงสุดชิงหนิวกู่ร้องออกมาครั้งแล้วครั้งเหล่า แต่ก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ เพียงแค่สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดเผ่ามนุษย์โบกมืออีกครั้ง พลังในร่างกายทั้งหมดก็ถูกผนึกลงทันที


เช่นเดียวกับชิงหนิวผู้แข็งแกร่งด้านหน้าที่เผชิญกับสถานการณ์เดียวกัน


“พวกเจ้าทำเช่นนี้ทำไม!?”


เสี่ยวหยาผู้มีจิตใจดีงาม ไม่อาจทนเห็นเรื่องเช่นนี้ได้ นางจึงก้าวไปด้านหน้าแล้วพูดขึ้นมา “พวกเขาไม่ต้องการ ไยพวกเจ้าจึงยังยืนกรานจะบีบบังคับพวกเขา!”


“หืม!?”


สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดเผ่ามนุษย์หันกลับมาพร้อมแววตาประหลาดใจ


ปราณขั้นนภาสูงสุดถูกปลดปล่อยออกมา กระทั่งผู้อาวุโสสูงสุดเผ่าชิงหนิวก็ไม่สามารถหยุดยั้ง แต่สามคนนี้กลับสามารถต้านทานได้อย่างไร?


สตรีที่เป็นคนเอ่ยปากพูดขอบเขตขั้นต่ำที่สุด อยู่เพียงขอบเขตพรตเต๋าเท่านั้น


ส่วนของคนด้านหลัง ผู้ที่ยังดูเยาว์วัยมีขอบเขตสูงสุดอยู่ที่ขั้นราชันนักบุญ ขณะที่ผู้ดูมีอายุอยู่ในขั้นนักบุญ


ด้วยขอบเขตที่อ่อนแอ่เช่นนี้ เหตุใดจึงสามารถต้านทานพลังปราณที่แผ่ออกมาจากขั้นนภาสูงสุดสามคนได้?


เขาคาดไม่ถึงเป็นอย่างยิ่ง


ใช่แล้ว


หลังจากกระดูกจักรพรรดิแต่กำเนิดได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงเลื่อนขั้น ยิ่งทำให้มันน่าอัศจรรย์ใจขึ้นกว่าเดิม ทั้งยังมีพลังจากชานมไหลเวียนเข้าสู่ร่างของเสี่ยวหยา ทำให้ขอบเขตของนางพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วจนก้าวเข้าสู่ขอบเขตพรตเต๋าแล้ว


ส่วนหลินอินนั้น แม้ขอบเขตของนักบุญจะก้าวข้ามขั้นเป็นเรื่องลำบากยากเย็นอย่างยิ่ง ทว่านางก็ได้รับความก้าวหน้าครั้งใหญ่ ทะลวงผ่านขอบเขตนักบุญไปสองขั้น เลื่อนกลายเป็นขั้นราชันเทวา


แต่หากพวกนางต้องการจะต่อต้านแรงกดดันของขั้นนภาสูงสุดด้วยขอบเขตเพียงแค่นี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้


แต่เสี่ยวหยานั้นมีฉินปี้เทียนชางไห่อยู่กับตัว นี่เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้นางสามารถต้านทานแรงกดดันของขั้นนภาสูงสุดได้


ส่วนหลิงอินนั้นไม่จำเป็นต้องพูดถึง บนร่างของนางมีทั้งหยกคุ้มภัย ฉินเฟิ่งหมิงและคันศร จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่แรงกดดันจากขั้นนภาสูงสุดจะส่งผลกระทบต่อนาง


สำหรับจ้าวหุบเขา เป็นเพราะหลิงอินยืนอยู่ด้านหน้าและหยุดยั้งแรงกดดันของขั้นนภาสูงสุดให้นาง


มิเช่นนั้น จ้าวหุบเขาคงไม่อาจยืนอยู่ได้และล้มลงไปกองกับพื้นตั้งนานแล้ว


“พวกเจ้าเป็นใคร?”


สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดเผ่ามนุษย์ถามขึ้นมา เดิมทีเขาไม่สนใจพวกหลิงอิน แต่ในตอนนี้เขาเกิดความสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว


ด้วยความสามารถในการต้านทานแรงกดดันจากขั้นนภาสูงสุดที่พวกเขาปล่อยออกมา พวกหลิงอินย่อมต้องไม่ธรรมดาสามัญ อาจมีสมบัติล้ำค่าบางอย่างอยู่กับตัว


ไม่เช่นนั้น ด้วยขอบเขตของพวกหลิงอิน เป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถต้านทานแรงกดดันของพวกเขาได้


“พวกเราเป็นใครไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือพวกเจ้าควรออกไปจากที่นี่...”


หลิงอินกล่าวออกมาเรียบ ๆ ด้วยใบหน้าสงบนิ่ง


ทว่าจ้าวหุบเขาที่อยู่ด้านข้างรู้สึกตึงเครียดเป็นอย่างยิ่ง


นางย่อมไม่กังวลว่าสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดเบื้องหน้าทั้งสามตนจะสามารถคุกคามหลิงอินได้


ตลกน่า จักรพรรดิบุปผาที่ขอบเขตเหนือยิ่งกว่ายังถูกหลิงอินสังหารลงได้ในท้ายที่สุด สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดขั้นนภาสูงสุดจะสามารถคุกคามอีกฝ่ายได้อย่างไร


สิ่งที่นางกังวลก็คือแดนต้องห้ามที่อยู่เบื้องหลังพวกมันทั้งสาม ซากสุสานอัมพร!


หลิงอินผูกความแค้นกับทะเลต้องห้ามเอาไว้แล้ว ตอนนี้หากเพิ่มซากสุสานอัมพรเข้าไป นางยังจะสามารถต่อกรได้อยู่อีกหรือไม่?


นี่เป็นถึงแดนต้องห้ามสองแห่ง!


เป็นระยะเวลาแสนนานมาแล้ว ที่ไม่เคยมีสิ่งมีชีวิตใดสามารถสั่นคลอนแดนต้องห้ามได้!


“ออกไป? เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังพูดอะไรอยู่!?”


แววตาน่าสยดสยองฉายวาบในดวงตาของสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดเผ่ามนุษย์ขณะจับจ้องไปที่หลิงอิน


เห็นได้ชัดว่าหลิงอินไม่ธรรมดาสามัญ ไม่เช่นนั้นนางจะเอาสิ่งใดมากล้าพูดจาเช่นนี้?


ทว่าเบื้องหลังของเขาคือซากสุสานอัมพร ทั้งฝ่ายเขายังมีขั้นนภาสูงสุดถึงสามคน พวกเขาจะหวาดกลัวจนจากไปเช่นนี้ได้อย่างไร?


ไม่มีทางเสีย!


“ข้าไม่อยากจะผูกแค้นกับซากสุสานอัมพรของพวกเจ้า หากออกไปตอนนี้ ข้าก็จะปล่อยพวกเจ้าไปแต่โดยดี ไม่เช่นนั้น... ต่อให้พวกเจ้าอยากจากไปก็ไม่อาจทำได้!”


หลิงอินเรียกคันศรออกมาในมือ ทั่วทั้งคันศรเปล่งประกายไหลเวียนด้วยเต๋าขั้นสูงสุด


เมื่อสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดทั้งสามเห็นคันศรในมือของหลิงอิน ดวงตาของพวกเขาก็เปล่งประกายร้อนแรง


นี่มันคันศรอะไรกัน?


สัมผัสเต๋าที่ไหลเวียนอยู่ลึกซึ้งมากเสียจนไม่อาจจินตนาการถึง!


ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ย่อมต้องเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างถึงที่สุด!


เพียงชั่วพริบตา พวกเขาก็เกิดความโลภ ต้องการจะได้รับคันศรล้ำค่ามาไว้ครอบครอง


“ฆ่า!”


พวกเขาตัดสินใจสังหารหลิงอินอย่างเด็ดขาดโดยไม่คิดจะพูดจาอะไรให้มากความ ทั้งสามลงมือพร้อมกัน ระดมพลังโจมตีสังหารหญิงสาวจากทิศทางที่ต่างกัน


ยิ่งอาวุธวิเศษทรงพลังมากเพียงใด ยิ่งต้องใช้พลังงานมากเท่านั้น พวกเขาไม่เชื่อว่าหลิงอินจะทรงพลังมากพอที่จะใช้งานคันศรได้


ทว่าพวกมันก็ยังคงไม่ประมาท ลงมือโจมตีพร้อมกันอย่างจริงจัง ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสทำสิ่งใด!


ถึงอย่างไรหลิงอินก็ควรจะทำอะไรสักอย่างได้ ไม่เช่นนั้นนางคงไม่กล้าเผชิญหน้ากับขั้นนภาสูงสุดสามคน


พวกมันไม่รั้งรอ พุ่งเข้าไปหมายสังหาร เสียงระเบิดสะเทือนสั่นกลางอากาศ ความผันผวนของพลังอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมาสะท้านฟ้าดิน!


“ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกเจ้าก็...ตายเสียเถอะ!”


หลิงอินยังคงมีสีหน้าเฉยเมย ราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับสิ่งมีชีวิตที่มาจากแดนต้องห้าม


นางขึ้นคันศรในมือ ลูกศรแสงสามดอกควบแน่นบนสายคันศรทันที


หลังจากนั้น ศรแสงสามดอกก็เรืองรองด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัวไร้ขอบเขตยิงใส่สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดทั้งสามตน!


ศรแสงทั้งสามถูกยิงออกไปพร้อมกัน ศรแต่ละดอกแฝงด้วยพลังที่ไม่อาจต้านทาน ทำลายได้กระทั่งอากาศ ประหนึ่งเป็นศรที่พุ่งออกมาจากฟ้าสวรรค์ เปี่ยมด้วยกฎมหาเต๋าไหลเวียน!


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความสำเร็จในวิถีธนูสูงขึ้นไปอีกขั้นแล้ว