หยุดยั้งคงไม่ทันแล้ว ผู้อาวุโสแปดหวังเพียงว่าผนึกในตำหนักหลอมโอสถจะเปล่งอานุภาพ ปกป้องของล้ำค่าไม่ให้เสียหาย
ทว่าไม่นานนักก็ต้องตกตะลึง เซี่ยเหยียนก้าวไปถึงข้างในได้ราวกับปราศจากอุปสรรค ผนึกอะไรนั่นไม่ได้ผลแม้แต่น้อย หลังจากนางย่างกรายเข้าไป ผนึกทั้งหมดทลายลงในพริบตา!
“นี่มันเรื่องอะไรกัน!”
ผู้อาวุโสแปดตื่นตระหนก ตื่นตระหนกอย่างแท้จริง คิดไม่ถึงว่าหญิงสาวตรงหน้าจะน่ากลัวถึงขั้นวิปลาสปานนี้!
สิ่งของล้ำค่าเหล่านี้คือรากฐานที่แท้จริงของตระกูลไป๋ มูลค่าสูงเกินจินตนาการ หากนางเอาไปได้แค่อย่างเดียว ก็สร้างความเสียหายได้อย่างมหาศาล!
“เจ้าสิบเจ็ดน่าตายนัก ยุ่งกับใครไม่ยุ่ง ดันไปยุ่งกับตัวหายนะเช่นนี้!”
เขาก่นด่ารัว ๆ ต่อว่าผู้อาวุโสสิบเจ็ดจนไม่เหลือชิ้นดี
มาตอนนี้ เขาสำนึกเสียใจแทบบ้า
หากรู้อย่างนี้ ไยเขาต้องปกป้องผู้อาวุโสสิบเจ็ดด้วย
เซี่ยเหยียนพาผู้อาวุโสสิบเจ็ดกลับมายังตระกูลไป๋ แน่นอนว่าเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม เขาขอโทษนางในนามตระกูลไป๋สักคำก็จบ
เขากลับมิได้ทำเช่นนั้น แต่เลือกปกป้องเจ้าสิบเจ็ด ซ้ำยังออกคำสั่งประหารเซี่ยเหยียน จนนางพิโรธอย่างสมบูรณ์ ส่งผลให้สิ่งของล้ำค่าในตระกูลไป๋ของพวกเขาตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง!
“ที่สำคัญคือข้าไม่รู้ว่านางน่าประหวั่นพรั่นพรึงถึงเพียงนี้!”
เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าฝีมือหญิงสาวสยดสยองปานนี้ พวกเขาออกโรงพร้อมกันยังทำอะไรนางไม่ได้
อีกด้าน เซี่ยเหยียนเคลื่อนไหวในตำหนักหลอมโอสถได้อย่างราบรื่น ผนึกทรงพลังเพียงใดก็ไม่อาจหยุดยั้งฝีเท้าของนาง นางมาถึงส่วนลึกของตำหนักหลอมโอสถ ในห้องลับแห่งหนึ่ง
นี่คือห้องลับที่บรรพชนผู้สูงส่งของตระกูลไป๋ทิ้งไว้ให้ สำคัญเหลือแสน แม้กระทั่งผู้อาวุโสบางคนยังเข้ามาไม่ได้ ทั้งตระกูลไป๋มีคนที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาเพียงแค่หยิบมือ
ที่นี่มีกระถางสัมฤทธิ์สี่ขาตั้งอยู่ มันเต็มไปด้วยคลื่นริ้ววิถี กลิ่นอายโบราณท่วมท้น ดูก็รู้ว่ามิใช่ของธรรมดา
“เอาไปด้วยแล้วกัน”
เซี่ยเหยียนโบกมือเล็ก ๆ เก็บกระถางสัมฤทธิ์สี่ขานี้ไปด้วย
“ไอ้…!”
เมื่อเห็นนางเก็บกระถางสี่ขาไปด้วย ผู้อาวุโสแปดสั่นไปทั้งน่อง แทบหัวใจวายตายไปตรงนั้น!
นี่คือกระถางเอกภพชิงหยวน เป็นกระถางระดับสูงสุดในตระกูลไป๋ เหนือกว่าอาวุธมหาจักรพรรดิ เลอค่าเป็นที่สุด!
หากผู้นำตระกูลกลับมาแล้วรู้ว่ากระถางใบนี้ถูกผู้อื่นเอาไป ไม่บดเขาเป็นผุยผงสิแปลก!
เซี่ยเหยียนทำการกวาดล้าง ไม่ปล่อยสิ่งใดไว้ทั้งสิ้น เก็บทั้งยาลูกกลอน คัมภีร์ลับ และเพลิงประหลาดอันหาได้ยากยิ่งไปไม่น้อย
เหงื่อเย็นไหลโซมกายผู้อาวุโสแปด อาภรณ์เปียกชุ่มไปหมด
ความเสียหายนี้ใหญ่หลวงนัก เกินกว่าจะจินตนาการออก ลูกกลอนเหล่านั้นคือลูกกลอนวิเศษอันกลั่นจากวาสนาฟ้าดิน คัมภีร์ลับเป็นสิ่งของที่บรรพชนสูงส่งแห่งตระกูลไป๋ทิ้งไว้ให้ เพลิงประหลาดนั้นคือเชื้อเพลิงสูงค่าที่สุดในใต้หล้านี้…
หากผู้นำตระกูลกลับมา แค่ถูกแผดเผาเป็นจุณยังถือว่าเบา ต่อให้จับเขาลงบ่ออเวจีทนทุกข์ทรมานไปอีกหมื่นปีก็ยากจะชดใช้ความผิดที่เกิดขึ้น!
“เปิดค่ายกลใหญ่พิทักษ์ตระกูล! ฆ่านางเสีย!”
เขาตัดสินใจ สั่งให้ผู้อาวุโสคนอื่นเปิดค่ายกลใหญ่พิทักษ์ตระกูลเพื่อบดขยี้หญิงสาว
นี่ต่างหากคือค่ายกลใหญ่สุดสยองอย่างแท้จริง พลังเอ่อล้นฟ้า สิ่งมีชีวิตเหนือขอบเขตมหาจักรพรรดิยังเปรียบเสมือนมดปลวกเมื่ออยู่ต่อหน้ามหาค่ายกลเช่นนี้ ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง
ทว่าการเปิดค่ายกลใหญ่นี้มีราคาสูงมาก หลังเปิดใช้ครั้งนี้ จากนี้ไปพวกเขาจะเปิดใช้ค่ายกลใหญ่ไม่ได้อีกนาน
ตอนนี้ผู้อาวุโสแปดไม่มีแก่จิตแก่ใจสนเรื่องอื่นแล้ว เขาปล่อยให้เซี่ยเหยียนนำสมบัติล้ำค่าเหล่านี้ไปด้วยไม่ได้เด็ดขาด เขาต้องหยุดยั้งนางให้จงได้!
“ผู้อาวุโสแปด ท่านกล้าดีอย่างไร!”
“ค่ายกลใหญ่พิทักษ์ตระกูลเป็นรากฐานตระกูลไป๋ของเรา หากเปิดใช้ตอนนี้ ยามสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนมา พวกเราจะไม่เหลือพลังป้องกันอีก!”
มียอดฝีมือไม่น้อยที่ตะโกนคัดค้าน
พวกเขาทนไม่ไหวแล้ว ต้องสกัดการกระทำของผู้อาวุโสแปด
ผู้อาวุโสแปดมิได้พูดสิ่งใดไปมากกว่านี้ แต่ออกแรงสยบยอดฝีมือเหล่านั้นทันที ยอดฝีมือเหล่านั้นมิได้อยู่ในสายเดียวกับเขา
ไม่หยุดยั้งเซี่ยเหยียนได้อย่างไร?
พื้นที่อื่นยังมีสิ่งของล้ำค่าอยู่ ขืนหยุดยั้งนางไม่ได้ สิ่งของล้ำค่าเหล่านั้นได้ถูกนางเอาไปหมดแน่
ถึงครานั้น ความเสียหายย่อมเกินจินตนาการพวกเขาไปแล้ว!
จากนั้น ค่ายกลใหญ่ตระกูลไป๋เปิดออก คลื่นพลังแสนสยองซัดสาดออกจากทั้งดินแดนตระกูลไป๋
คลื่นพลังระดับนี้ แม้กระทั่งมหาจักรพรรดิเมื่อเทียบแล้วยังดูต่ำต้อย ไม่อาจต้านทานได้แม้แต่น้อย
“รอนางออกมา!”
ผู้อาวุโสแปดยิ้มเย็น ออกคำสั่งแก่ผู้อาวุโสซึ่งคอยกำกับค่ายกลใหญ่พิทักษ์ตระกูล
ทันทีที่เซี่ยเหยียนก้าวออกมา ผู้อาวุโสเหล่านี้ก็ควบคุมค่ายกลใหญ่โจมตีเซี่ยเหยียนเพื่อเอาชีวิตทันที!
“เหตุไฉนถึงเป็นเช่นนี้!”
หัวใจผู้อาวุโสสิบเจ็ดหมองหม่นอาดูร ไม่ว่านางถูกฆ่าโดยค่ายกลใหญ่หรือไม่ เรื่องนี้ย่อมจบไม่สวย
รอจนผู้นำตระกูลกลับมาเมื่อใด เขาไม่อาจหลีกหนีโทษสถานหนัก
รวมถึงผู้อาวุโสแปดด้วย
การเปิดค่ายกลใหญ่พิทักษ์ตระกูลโดยพลการถือเป็นโทษทัณฑ์ร้ายแรง ผู้นำตระกูลไม่มีทางปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ
ทว่าเขารู้ดี บัดนี้ผู้อาวุโสแปดนั้นขี่อยู่บนหลังเสือ หมดสิ้นหนทาง จำต้องเปิดใช้ค่ายกลใหญ่เท่านั้น
เพราะขืนปล่อยให้เซี่ยเหยียนนำของมีค่าทั้งหมดในตระกูลไป๋ไปด้วยจริง ความเสียหายยิ่งร้ายแรงมากกว่านั้น!
หลังเปิดใช้ค่ายกลใหญ่พิทักษ์ตระกูล คลื่นพลังอันน่าพรั่นพรึงอัดแน่นอยู่ทั่วตระกูลไป๋ เซี่ยเหยียนย่อมสัมผัสถึงพลังสุดสยองนี้ได้เช่นกัน
ทว่านางไม่ใส่ใจ เดินออกจากตำหนักหลอมโอสถด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ครืน!
พริบตาที่นางก้าวออกจากตำหนักหลอมโอสถ ผู้อาวุโสทั้งหลายกำกับค่ายกลใหญ่โจมตีเอาชีวิตนาง!
ประกายนับล้านพวยพุ่ง เจิดจ้าแยงตาเหลือคณา ราวกับสุริยันบนน่านฟ้าแตกตัว ลืมตาแทบไม่ขึ้น ไม่อาจมองตรงได้เลย
แม้แต่ผู้อาวุโสแปดซึ่งอยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิก็เช่นกัน ไม่อาจลืมตามองได้ เพราะหากฝืนลืมตา ดวงตาของเขาย่อมต้องถูกลำแสงทิ่มแทงจนบอดสนิท!
พลังนี้สูงเกินกว่ามหาจักรพรรดิจะต้านทานได้ไหว!
“ฆ่านางได้หรือยัง?”
ผู้อาวุโสแปดซึ่งหลับตาอยู่รู้สึกได้ว่าลำแสงหายไป พลังถดถอยลง เขาลืมตาขึ้นช้า ๆ หมายจะเห็นภาพเซี่ยเหยียนถูกสังหาร
แต่พริบตาต่อมาเขาก็ต้องอึ้งงัน หมดแรงทรุดลงกับพื้นไปทั้งตัว
“นี่…นี่มันเป็นไปได้อย่างไร!?”
เขาขวัญหนีดีฝ่อ ไม่อาจเชื่อได้ลงว่าพลังจากมหาค่ายกลยังแผ้วพานเซี่ยเหยียนไม่ได้ ทำร้ายนางไม่ได้แม้แต่ปลายเส้นผม
เขาสิ้นหวัง สิ้นหวังสนิท
ค่ายกลใหญ่พิทักษ์ตระกูลไป๋ยังทำร้ายเซี่ยเหยียนไม่ได้ จะมิให้เขาสิ้นหวังได้อย่างไร!?
เขาไม่เหลือหนทางหลังจากนี้ จนปัญญาต่อกรกับหญิงสาวโดยสิ้นเชิง
“เร็วเข้า ทุกคนร่วมออกแรง สิ่งใดที่หยิบมาได้ให้หยิบมาทั้งหมด!”
เขาตั้งสติได้ แผดเสียงคำรามสั่งให้ยอดฝีมือตระกูลไป๋ลงมือทันที พยายามเก็บของให้ได้มากที่สุดก่อนเซี่ยเหยียนกวาดล้าง
ยอดฝีมือตระกูลไป๋ได้สติเช่นกัน รีบเคลื่อนไหวแยกย้ายกันไปตามแต่ละพื้นที่ เก็บทุกสิ่งที่เก็บได้
“ข้า…ข้าคือคนบาปชั่วกัปชั่วกัลป์ของตระกูลไป๋!”
ผู้อาวุโสแปดร้องไห้ ปวดร้าวเหลือแสน ใช่แล้ว ยอดฝีมือตระกูลไป๋เก็บของไปไม่น้อยก็จริง
ทว่าของดีที่แท้จริงล้วนมีผนึก แม้แต่ตัวเขาเองยังนำไปไม่ได้
ทว่าผนึกนั้นไร้ผลเมื่ออยู่ต่อหน้าเซี่ยเหยียน ของดีที่แท้จริงล้วนตกไปอยู่ในมือของนาง!
เขาอยากตบตัวเองให้ตายเหลือเกิน ทั้งที่ทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก แล้วจบเรื่องไปโดยดีได้ แต่เขากลับรนหาที่อย่างโง่เขลา ยั่วโมโหอีกฝ่าย
บัดนี้สิดี รากฐานการสืบสานทั้งหมดของตระกูลไป๋ถูกเซี่ยเหยียนเอาไปจนหมด!
บทที่ 407
ยอดฝีมือมากมายในตระกูลไป๋เคลื่อนไหว นำทุกสิ่งออกไปเท่าที่จะสามารถนำออกไปได้ เซี่ยเหยียนเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตา
ทว่านางมิได้แตกตื่น
มีประสบการณ์จากตำหนักหลอมโอสถแล้ว นางรู้ว่าของดีที่แท้จริงมิใช่ว่านำออกไปได้ง่าย ๆ
ตามคาด หลังจากนางมาถึงอีกสถานที่ก็ได้เห็นของดีอีกคณานับ และบนของเหล่านี้ล้วนมีผนึกวางไว้
ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยศาสตราระดับสูง ซ้ำยังมีวัสดุมากมาย เห็นได้ชัดว่าเป็นสถานที่หลอมศาสตรา
นางลงมือทันที เก็บทุกสิ่งในนี้ไปหมด ไม่ปล่อยไปแม้แต่ขนเส้นเดียว
“บ่อหล่อหลอม ค้อนดารา…!”
ผู้อาวุโสแปดเห็นภาพนี้แล้วทนไม่ไหวอีกต่อไป กระอักเลือดออกมา อาภรณ์ถูกย้อมเป็นสีชาด
บ่อหล่อหลอม ก่อร่างขึ้นจากของเหลวล้ำค่าหายากมากมาย ใช้หล่อหลอมศาสตรา เพื่อยกระดักพลังขอบเขตและพลานุภาพของศาสตรา
แม้แต่อาวุธจักรพรรดิเมื่อถูกหย่อนลงไปในบ่อหล่อหลอมก็ได้รับการยกระดับเช่นกัน!
มูลค่าของค้อนดาราสูงเกินจินตนาการ เป็นค้อนที่บรรพชนตระกูลไป๋ท่านหนึ่งทุ่มเทกายใจ หลอมรวมวัตถุดิบมหัศจรรย์มากมายในใต้หล้าผืนนี้ ใช้ในการตีสร้างศาสตรา และเพิ่มโอกาสตีสร้างศาสตราสำเร็จได้มหาศาล
อีกด้าน เซี่ยเหยียนเดินหน้าต่อ ตอนนี้นางมาอยู่ในทุ่งสมุนไพรแห่งหนึ่ง
เห็นได้ว่าที่นี่มีหลุมอยู่เต็มไปหมด โอสถชั้นดีที่เคยปลุกไว้ที่นี่ถูกยอดฝีมือตระกูลไป๋ขุดออกไปหมดแล้วอย่างรวดเร็ว
ทว่าในส่วนลึกของทุ่งสมุนไพร มีประกายเจิดจ้า พลังชีวิตท่วมท้น มหาโอสถงอกงามอยู่ต้นแล้วต้นเล่า
“ไม่เลว ไม่เลว”
เซี่ยเหยียนหัวเราะเสียงหวาน ประสบการณ์ของนางมากมายกว่าในอดีต ดูออกว่ามหาโอสถเหล่านี้อยู่ในระดับใด
ที่นี่มีโอสถมหาจักรพรรดิทั้งหมดสามต้น โอสถจักรพรรดิแปดต้น
โอสถมหาจักรพรรดินั้น ต้นหนึ่งคือต้นองุ่น มีผลองุ่นห้อยอยู่มากมาย ประดุจอัญมณีสีแดงอันระยิบระยับที่ประดับประดาอยู่ตามต้นไม้ สีสันยวนใจ จนอดไม่ได้อยากกัดสักคำ
อีกสองต้นที่เหลือ ต้นหนึ่งคือต้นผิงกั่ว (แอปเปิล) ต้นหนึ่งคือต้นสาลี่ ล้วนผลิดอกออกผลอยู่แล้ว ผลผิงกั่วและผลสาลี่ที่งอกออกมาล้วนยวนตายวนใจ
‘ลานเล็กของท่านเซียนยังขาดต้นผลไม้อยู่จำนวนหนึ่ง เท่านี้กำลังดี ขุดออกไปแล้วนำไปให้ท่านเซียน!’
เซี่ยเหยียนคิดในใจ ก่อนจะเดินเข้าไป
ผนึกที่สลักอยู่ที่นี่ทรงพลังไร้สิ่งใดเปรียบ แข็งแกร่งน่าประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งกว่าผนึกที่อื่นเสียอีก
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเซี่ยเหยียน ผนึกเหล่านี้เสมือนของที่ตั้งไว้ดูเล่น ไม่เกิดผลแม้แต่น้อย ยามนางเดินผ่าน ผนึกเหล่านี้ล้วนทลายแตกตัวไปตาม ๆ กัน
จากนั้น นางขุดเอาโอสถมหาจักรพรรดิ โอสถจักรพรรดิ รวมถึงดินในไร่สมุนไพรแห่งนี้ไปด้วย
ดินในที่แห่งนี้ไม่ธรรมดาเช่นกัน มูลค่าสูงส่ง
“พี่สาว พี่สาวบังเกิดเกล้า ข้ายอมคุกเข่าให้ท่านแล้ว ปล่อยตระกูลไป๋ของพวกเราไปเถิด!”
ผู้อาวุโสแปดสติแตกไปแล้วอย่างสิ้นเชิง คุกเข่าอยู่ตรงหน้าเซี่ยเหยียน โขกศีรษะไม่หยุด ขอร้องให้อิสตรีตรงหน้ารามือแต่เพียงเท่านี้
“พูดอะไรอยู่!? ข้าแก่ปานนั้นเชียว”
เซี่ยเหยียนต่อว่า
ตาเฒ่านี้อายุตั้งเท่าไรยังมาเรียกนางพี่สาวอีก หมายความว่าอย่างไร จะบอกว่านางคือแม่เฒ่าปีศาจหรือ?
“บัดนี้รู้จักขอความเมตตาแล้วหรือ”
จากนั้น นางหัวเราะเสียงเย็นพลางกล่าว “มิได้เป็นอย่างก่อนหน้าที่สั่งให้คนมาฆ่าข้า ซ้ำยังระดมพลังค่ายกลใหญ่มาสังหารข้าแล้วหรือ”
นางไม่คิดจบเรื่องง่าย ๆ เช่นนี้
เป็นไปได้อย่างไร
หากมิใช่ว่านางมีไพ่ตายในตัวเยอะ ป่านนี้นางคงกลายเป็นศพไปแล้ว ซ้ำยังเป็นศพไม่ครบส่วน
นางมิได้เข่นฆ่าล้างบางตระกูลไป๋ก็นับว่าประเสริฐมากแล้ว ตอนนี้ยังหวังให้นางยอมจบเรื่องง่าย ๆ ไม่มีทาง!
นี่ไม่ใช่เวลาที่ยอมขอโทษนางแล้วนางจะยอมรามือแล้ว
เซี่ยเหยียนไม่สนใจผู้อาวุโสแปดอีก แต่เดินไปต่อจนถึงอีกสถานที่หนึ่ง
ดูเหมือนที่นี่จะเป็นสถานที่ประกอบพิธีของตระกูลไป๋ ภายในมีรูปปั้นบุรุษวัยกลางคนตั้งอยู่
รูปปั้นนั้นราวกับมีชีวิต ส่วนใบหน้าของบุรุษวัยกลางคนเป็นสันคม ท่าทางหล่อเหลาเอาการ
บุรุษวัยกลางคนองอาจอย่างยิ่ง แม้จะเป็นเพียงรูปปั้น กระนั้นยังสัมผัสถึงความยิ่งใหญ่เกรียงไกรที่พร้อมพิชิตใต้หล้าได้!
ไม่ต้องคิดให้มากความ บุรุษวัยกลางคนผู้นี้ย่อมต้องเป็นคนใหญ่คนโตสูงส่งเหลือแสน!
“นี่คือเทียนตี้ไป๋แห่งตระกูลไป๋ของเรา นางเซียนโปรดปรานีด้วย!”
“ขอร้องเถิดนางเซียน!”
ยอดฝีมือมากมายคุกเข่ากับพื้น อ้อนวอนเซี่ยเหยียน กลัวนางจะทุบทำลายรูปปั้นนี้
“ท่านยิ่งใหญ่มาก อนิจจา คนรุ่นหลังของท่านใช้ไม่ได้…”
เซี่ยเหยียนเพ่งมองรูปปั้นนี้ มิได้ลงมือทำลายรูปปั้น
นางเก็บเครื่องสักการะใต้รูปปั้นไปทั้งหมด
จากนั้น หญิงสาวไปอีกหลายพื้นที่ ได้ของดีมาอีกไม่น้อย
“ผู้นำตระกูลของพวกเจ้ากลับมาเมื่อใดจงบอกเขาว่า อย่าได้คิดอุตริหมายหัวสุ่มสี่สุ่มห้าอีก เข้าใจหรือไม่”
เซี่ยเหยียนกล่าว “มิฉะนั้น ข้ามาครั้งหน้า จะมิใช่แค่นี้ และที่นี่ต้องได้หลั่งเลือดแน่!”
สั่งสอนพอแล้ว นางก็ไปจากตระกูลไป๋
หากผู้นำตระกูลไป๋มิใช่คนโง่เขลา ย่อมไม่คิดอุตริหมายหัวนางอีก
เมื่อนางจากตระกูลไป๋ไปได้ไม่นาน แสงรุ้งมากมายเหินเข้ามาจากฟากฟ้า จุติลงมายังดินแดนตระกูลไป๋
ผู้นำตระกูลกลับมาแล้ว!
รวมถึงห้าผู้อาวุโสใหญ่แห่งตระกูลไป๋ก็กลับมาแล้วทั้งหมด!
มียอดฝีมือรายงานสถานการณ์ภายในดินแดนให้ผู้นำตระกูลและห้าผู้อาวุโสใหญ่ฟังผ่านศาสตราสื่อสาร หลังผู้นำตระกูลและห้าผู้อาวุโสใหญ่ทราบข่าว ก็รีบรุดหน้ากลับมาทันที
“ผู้นำ…ตระกูล!”
ผู้อาวุโสแปดหน้าซีดเผือด ไม่เหลือเลือดฝาดแม้แต่น้อย คนทั้งคนดูชราภาพลงไปมาก เศร้าซึมสุด ๆ
เมื่อได้เห็นภาพเละเทะระเกะระกะภายในดินแดน ผู้นำตระกูลพลันสะเทือนอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง
“นี่มันเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่!”
เขามองผู้อาวุโสแปด ตวาดถาม
“ข้าเองก็ไม่ทราบแน่ชัด ให้เจ้าสิบเจ็ด…เล่าเถิด”
ผู้อาวุโสแปดก้มหน้า บอกตามตรง เขาไม่รู้ว่าความจริงนั้นเป็นอย่างไร เริ่มแรกตนเพียงต้องการปกป้องผู้อาวุโสสิบเจ็ดเท่านั้น
เขามิกล้าโป้ปด ปิดบังอย่างไรไหว การโกหกรั้งแต่จะยิ่งทำให้สถานการณ์ของเขาแย่ลง
“พาผู้อาวุโสสิบเจ็ดเข้ามา!”
ผู้นำตระกูลสั่งให้พาผู้อาวุโสสิบเจ็ดมา
ผู้อาวุโสสิบเจ็ดก็มิกล้าโป้ปด เล่าทุกอย่างไปตามความจริง
“เจ้านี่อันธพาลเชียว! ผู้ใดมอบความกล้าให้เจ้าปานนั้น ไม่สนว่าความจริงเป็นเช่นไร ลำพังเจ้าไปถึงก็คิดฆ่าเซี่ยเหยียนซ้ำยังไม่สนชีวิตของคนทั้งสำนักไท่หัว เจ้าใช้พลังปราณระดับจ้าววิถีสูงสุดกดข่มผู้อื่น ความผิดของเจ้าก็ไม่อาจละเว้น เจ้าต้องโทษประหาร!”
ผู้นำตระกูลตะคอก “กฎตระกูลข้อแรกว่าอย่างไร เจ้าพูดให้ข้าฟังที!”
ผู้อาวุโสสิบเจ็ดก้มหน้ากล่าว “สมาชิกตระกูลไป๋ของเราห้ามมิให้รังแก่ผู้อ่อนแอกว่า ผู้ใดฝ่าฝืน ฆ่าไม่เว้น…”
“รู้แล้วเจ้ายังกล้าทำอีกหรือ!?”
ผู้นำตระกูลบันดาลโทสะ ศักดิ์ศรีของตระกูลไป๋ ชื่อเสียงของตระกูลไป๋ ล้วนป่นปี้หมดแล้วเพราะผู้อาวุโสสิบเจ็ด!
“เจ้าก็ด้วย ไม่สนผิดชอบชั่วดี ไม่ถามไถ่ถึงที่มาที่ไป เอาแต่ปกป้องลูกเดียว เจ้าเองก็ฝ่าฝืนกฎตระกูลอย่างร้ายแรงเช่นกัน ไม่อาจละเว้นความผิด!”
เขาหันมองผู้อาวุโสแปด โมโหมากเช่นกัน
การกระทำของผู้อาวุโสแปดทำลายชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของตระกูลไป๋จนราบคาบเช่นกัน!
“ในกาลเวลาอันแสนยาวนาน ตระกูลไป๋ของเราพำนักอยู่ในมิติเล็กแห่งนี้มาโดยตลอด ดูท่า พวกเจ้าคงลืมเลือนกฎตระกูลไป๋ของเราไปจนสิ้น!”
ผู้นำตระกูลปวดใจนัก บัดนี้ปัญหาภายในตระกูลไป๋ร้ายแรงเหลือคณา เหตุการณ์ของผู้อาวุโสสิบเจ็ดและผู้อาวุโสแปดมิใช่กรณีพิเศษแน่ น่ากลัวว่าภายในตระกูลไป๋ยังมีคนเช่นนี้อยู่มาก
ตระกูลไป๋… เต็มไปด้วยแมลงมอด!
บทที่ 408
กาลเวลาอันแสนยาวนานผ่านไป สมาชิกตระกูลไป๋ของพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในมิติแห่งเล็กนี้มาโดยตลอด จะออกไปข้างนอกต่อเมื่อมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น ส่งผลให้สมาชิกตระกูลไป๋มากมายหยิ่งผยอง ลืมเลือนกฎต่าง ๆ ของตระกูลไป๋ไปจนหมด
ผู้นำตระกูลปวดใจหนักหนา เขารู้ดีว่าเขาปกครองตระกูลไป๋ได้ไม่ดี ตระกูลไป๋ในยามนี้… เน่าเฟะเกินไปแล้ว!
“พวกเจ้ากล้าดีอย่างไร!?”
เขามองบรรดายอดฝีมือ ไม่รู้ต้องผิดหวังขนาดไหน “บนตัวพวกเรามีภารกิจยิ่งใหญ่ มีเกียรติยศใหญ่หลวง พวกเจ้าลืมคำกำชับของบรรพชนแล้วหรือ”
บนตัวตระกูลไป๋มีภารกิจยิ่งใหญ่ เป็นภารกิจที่บรรพชนมอบหมาย สะท้อนถึงเกียรติยศสูงสุด
ทว่าบัดนี้ เกรงว่าสมาชิกตระกูลไป๋มากมายคงลืมภารกิจนี้ไปจนสิ้น ลืมเกียรติยศนี้ไปจนสิ้น
เขารู้ว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นความผิดของเขา ผิดที่เขาทุ่มเทกายใจไปกับการป้องกันสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวน จนขาดตกบกพร่องในการปกครองตระกูลไป๋ ส่งผลให้ตระกูลไป๋ในตอนนี้เน่าเฟะเละเทะ!
“ในฐานะผู้นำตระกูลของพวกเจ้า ข้าไม่อาจปัดความผิดได้ ข้าจะเดินทางไปที่แดนบูรพาทิศเหยียนโจว กล่าวขอโทษทั้งสำนักไท่หัว กล่าวขอโทษเซี่ยเหยียน!”
เขาเอ่ย ไม่สนใจความเสียหายในตระกูลไป๋ สิ่งที่คิดคือต้องขอโทษเซี่ยเหยียน
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่งของเซี่ยเหยียน
ต่อให้เซี่ยเหยียนเป็นเพียงคนธรรมดา เขาก็ต้องขอโทษนาง
บรรพชนของพวกเขา เจ้าของรูปปั้น เทียนตี้ไป๋ ในอดีตก็ค่อย ๆ เติบโตขึ้นจากความอ่อนแอ ถูกกลุ่มอำนาจทรงพลังที่ชื่นชอบการรังแกผู้อ่อนแอกว่าข่มเหงเป็นประจำ เพราะอย่างนั้น หลังจากตั้งตระกูลได้ กฎข้อแรกที่กำหนดคือมิให้ถือตัวว่าแข็งแกร่งแล้วรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า ผู้ใดฝ่าฝืน ฆ่าไม่เว้น!
ทว่าบัดนี้ สมาชิกตระกูลไป๋กลับลืมเลือนเรื่องนี้จนสิ้น กลายเป็นบุคคลที่เทียนตี้ไป๋ บรรพชนของพวกเขาชิงชังที่สุด ถือตนว่าแข็งแกร่งแล้วรังแกผู้อ่อนแอ…
ในฐานะผู้นำตระกูล เขาจำต้องปฏิบัติตนเป็นแบบอย่าง เพื่อสร้างความขลังให้กฎตระกูล
“ส่วนพวกเจ้า ความผิดที่ก่อถือเป็นสถานหนัก ไม่อาจละเว้น แต่เพราะหายนะกำลังจะคืบคลานมายังยุคปัจจุบัน ขาดแคลนกำลังรบระดับสูง หนนี้ข้าจะยกเว้นโทษตายให้”
ผู้นำตระกูลมองยอดฝีมือตระกูลไป๋พลางเอ่ยเสียงดัง “ทว่า เมื่ออยู่ในสนามรบ หากพวกเจ้าฆ่าศัตรูไม่ได้ หรือฆ่าได้น้อย พวกเจ้าทุกคนล้วนหนีไม่พ้นโทษตาย ต้องถูกลงทัณฑ์ตามกฎตระกูล!”
“พวกเราทราบแล้ว ผู้นำตระกูล!”
“จากนี้ไปพวกเราจะไม่ทำผิดเช่นนี้อีกแล้ว!”
ยอดฝีมือตระกูลไป๋เหล่านี้ละอายยิ่งนัก พวกเขาลืมเลือนภารกิจบนตัวไปเสียสิ้น ลืมเลือนเกียรติยศที่มาพร้อมภารกิจนี้ พวกเขากลายเป็นคนเลวทราม ผุดกิเลสมักมากออกมามากมาย
พวกเขาลอบสาบานในใจ รอจนได้อยู่ในสนามรบแล้ว พวกเขาจักใช้เลือดของศัตรูกู้ภารกิจและเกียรติยศของพวกตนให้ได้!
“ความแข็งแกร่งของพวกเรามิได้ใช้เพื่อข่มเหงผู้อ่อนแอ ความแข็งแกร่งของพวกเราใช้เพื่อปกป้องผู้อ่อนแอ! ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะจดจำข้อนี้ไปตลอด!”
ผู้นำตระกูลเอ่ยเสียงขึงขัง
จากนั้น เขาออกจากตระกูลไป๋ มุ่งหน้าไปยังแดนบูรพาทิศเหยียนโจว
...
แดนบูรพาทิศ เหยียนโจว ดินแดนหยิน
นอกเมืองชิงซาน บนยอดเขาแห่งหนึ่ง
ผู้เฒ่าผมขาวคนหนึ่งยืนอยู่บนยอดเขา ทอดมองเมืองชิงซานซึ่งอยู่ห่างออกไปพันลี้
สภาวะของเขาประหลาดยิ่ง ทั้งที่ยืนอยู่บนยอดเขาจริง ๆ กลับให้ความรู้สึกเหมือนมิได้อยู่ที่นั่น
นี่คือความน่ากลัวของเขา เขาฝึกฝนวิชาซ่อนอำพรางจนแตกฉาน ต่อให้เขายืนอยู่ที่นี่จริง ๆ หากเขาไม่ต้องการเปิดเผยตัว ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตตนใดรู้สึกถึงเขาได้แน่
“แปลกจริง ไม่เห็นมีความพิเศษตรงไหน”
คิ้วขาวของเขาขมวด ฉงนจากใจจริง
ด้วยขอบเขตพลังและประสบการณ์สืบค้นด้านต่าง ๆ ของเขา เขาควรมองเห็นความไม่ชอบมาพากลบ้างถึงจะถูก
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือ เขาไม่พบสิ่งใดทั้งสิ้น!
เมืองชิงซานแห่งนี้ธรรมดามาก ไม่ต่างจากเมืองปุถุชนอื่น ๆ สักนิด
แต่เขารู้ดีอย่างยิ่งว่า เมืองชิงซานไม่มีทางธรรมดาพื้น ๆ เช่นนั้น
สมาชิกโดดเด่นที่สุดแห่งเครือข่ายข่าวสารขั้นสามขั้นสี่อย่างหนานเจี๋ย และอู๋ฉี ถูกจับได้ทันทีที่ไปถึง หนีไม่พ้นด้วยซ้ำ จนต้องตายลงที่นี่ แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่เมืองชิงซานแห่งนี้จะเป็นเมืองดาด ๆ
ใช่แล้ว เขาเองก็มาจากกองกำลังฮวงเฉวียน เป็นสมาชิกเครือข่ายข่าวสารขั้นห้าที่นายตำหนักย่อยปลุกขึ้นมา
วิชาชีพแต่ละคนล้วนมีความเฉพาะตัว เขาไม่ถนัดด้านลอบสังหาร ทว่าการสืบค้นข่าวสารนั้นเขามากด้วยประสบการณ์ มีกลวิธีนับคณา
“ยิ่งดาด ๆ ยิ่งไม่ธรรมดา!”
สายตาของเขาคร่ำเครียด ไม่กล้าชะล่าใจแม้แต่น้อย
หนานเจี๋ยและอู๋ฉีล้วนเก่งกาจโดดเด่น ขอบเขตพลังหรือก็มิได้ต่ำ เป็นถึงจักรพรรดิ ทว่าเมื่อไปถึงแล้วยังจบลงด้วยความตาย ต่อให้เขาเหนือกว่าหนานเจี๋ยและอู๋ฉีอยู่มาก ก็ไม่อาจประมาทโดยเด็ดขาด
มิฉะนั้น เขาก็มีโอกาสล้มเหลวสูงเช่นกัน หรือแม้กระทั่งชีวาวาย
“เมืองชิงซานคงเป็นฐานบัญชาการใหญ่ของเขา…”
เขาพึมพำเสียงแผ่ว รู้สึกว่าเข้าไปในเมืองชิงซานดื้อ ๆ ไม่เหมาะสมนัก ควรคิดหาวิธีอื่น
ถึงอย่างไรหนานเจี๋ยและอู๋ฉีก็เกิดเรื่องในเมืองนี้ทั้งคู่
“ชื่นชอบศิลปศาสตร์อย่างนั้นหรือ”
เขาหัวเราะ นึกถึงข้อมูลของหลี่จิ่วเต้าที่พวกเขามี
ฉากหน้าหลี่จิ่วเต้าดูเป็นปุถุชน ใช้ชีวิตในเมืองชิงซานมานานนับปี ภายในเมืองมิมีผู้ใดล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา ต่างเข้าใจว่าอีกฝ่ายเป็นปุถุชนธรรมดา และเรียกขานหลี่จิ่วเต้าว่าคุณชายกันถ้วนหน้า
ทว่าหลี่จิ่วเต้านั้นชื่นชอบศิลปศาสตร์ ซ้ำยังแตกฉานอีกด้วย ระบือนามอย่างยิ่งภายในเมือง
“ข้าเองก็พอมีฝีมือบ้าง…”
เขาคิดแผนได้ หมายจะล่อหลี่จิ่วเต้าออกจากเมืองชิงซาน
ในฐานะผู้สอดแนม เขาจำต้องคบหาสมาคมกับคนหลากหลายประเภท และเขายังตั้งใจเรียนรู้หลายสิ่งเพื่อการนี้ ให้สะดวกต่อการเข้าใกล้เหล่าคนที่ต้องไปสืบค้นข้อมูล
ศิลปศาสตร์ ในบรรดาผู้ฝึกตนก็มีคนมากมายที่ชื่นชอบศาสตร์เหล่านี้ ซ้ำยังมีคนมากมายบำเพ็ญศิลปศาสตร์เป็นวิถี ก้าวสู่ขอบเขตที่สูงขึ้น
เขาเองก็มีฝีมือด้านศิลปศาสตร์ แล้วยังเก่งไม่เบาอีกด้วย!
ถึงอย่างไร ผู้ที่เขาต้องออกโรงสืบค้นข้อมูลไม่มีใครธรรมดา ล้วนมีขอบเขตพลังลึกล้ำ หากเขามีฝีมือด้านนี้ไม่พอ ไม่มีทางเข้าใกล้คนเหล่านี้ได้เลย
“ศิลปศาสตร์ ฉิน อักษร ภาพวาดนั้นยากจะแยกสูงต่ำ ทว่าหมากไม่เหมือนกัน ผู้เดินหมากย่อมต้องมีแพ้มีชนะ!”
แผนในใจเขาสมบูรณ์ขึ้นเรื่อย ๆ
เขาหมายใจแสร้งเป็นปุถุชนผู้ชื่นชอบการเล่นหมาก แล้วตั้งกระดานเล่นหมากกับผู้อื่นอยู่นอกเมืองชิงซาน เพื่อล่อหลี่จิ่วเต้าออกมา
ด้วยทักษะการเล่นหมากของเขา ไม่มีผู้ใดชนะเขาได้ ถึงครานั้น เขาย่อมต้องมีชื่อเสียงอย่างมาก และเรื่องนี้ย่อมต้องเข้าหูหลี่จิ่วเต้า คิดแล้วอีกฝ่ายต้องถูกล่อลวงออกมาเป็นแน่
“เมืองชิงซานเข้ายาก เช่นนั้นข้าไม่เข้าก็ได้ มาสิ ขอข้าดูหน่อยว่าเจ้ามีความสามารถอะไรบ้าง!”
เขาหัวเราะ เริ่มปฏิบัติการ ตราบใดที่เขาได้มีปฏิสัมพันธ์กับหลี่จิ่วเต้า เขาย่อมสืบค้นข้อมูลจากตัวชายหนุ่มได้มากมาย และแน่ใจได้ว่าอีกฝ่ายมีพลังความสามารถระดับใด
และหากเป็นแบบนั้น กองกำลังฮวงเฉวียนของพวกเขาก็สามารถส่งมือสังหารมาที่นี่ตามข้อมูล และปลิดชีพหลี่จิ่วเต้าเสีย!
‘หลังจัดการหลี่จิ่วเต้าได้แล้ว คนอื่น ๆ ก็ไม่ยาก…’
เขาคลี่ยิ้ม มั่นใจในแผนการนี้มาก
แน่นอนว่าแผนนี้ต้องใช้เวลา ไม่สามารถเห็นผลในระยะสั้น
แต่สำเร็จเมื่อใด ย่อมเป็นแผนที่แน่นอนปลอดภัยที่สุด!
บทที่ 409
หลิงอินกับเสี่ยวหยาพาอสูรฟ้าชิงหนิวสี่ตัวกลับมายังเมืองชิงซาน
ทั้งที่ยังห่างจากเมืองชิงซานอยู่ไกลโข ทั้งสองก็ร่อนลงจากท้องฟ้า และสั่งให้อสูรฟ้าชิงหนิวสี่ตัวลงมาด้วย
เกิดอะไรขึ้น?
ถึงที่หมายแล้วหรือ?
อสูรฟ้าชิงหนิวสี่ตัวหันมองรอบ ๆ ไม่เห็นรู้สึกว่าที่นี่วิเศษวิโสแต่อย่างใด
ยามพาพวกมันมานี่ หลิงอินกล่าวว่าจะพาพวกมันไปยังที่ที่เยี่ยมยอดยิ่งกว่าภพเซียน ทว่าที่นี่กลับไม่เห็นมีอันใด มีเพียงเมืองปุถุชนแห่งหนึ่งไกล ๆ เท่านั้น
“พวกเราต้องเดินเท้าเข้าเมืองชิงซาน เพื่อแสดงความเคารพ”
หลิงอินบอกกับอสูรฟ้าชิงหนิวทั้งสี่ตัว
“...”
หลังอสูรฟ้าชิงหนิวทั้งสี่ตัวได้ยินคำกล่าวของหลิงอินแล้ว แต่ละตัวล้วนรู้สึกระอา
เรื่องบ้ากระไร เมืองปุถุชนธรรมดาแห่งหนึ่งมีสิ่งใดควรค่าแก่การเคารพ!?
“ด้านในมีผู้ยิ่งใหญ่ที่พวกเจ้าจินตนาการไม่ออกประทับอยู่!”
หลิงอินรู้ว่าอสูรฟ้าชิงหนิวสี่ตัวนี้คิดสิ่งใดอยู่ นางกล่าว “ผู้ที่ข้าจะพาพวกเจ้าไปพบก็คืออาวุโสผู้นี้ อาวุโสผู้นี้ท่องโลกมนุษย์ในฐานะปุถุชน…”
นางสาธยายถึงข้อห้ามของท่านเซียน สั่งให้อสูรฟ้าชิงหนิวสี่ตัวนี้เก็บงำพลังปราณ อย่าได้ฝ่าฝืนข้อห้ามของท่านเซียนโดยเด็ดขาด จนทำให้ท่านเซียนไม่พอใจ
ลูกวัวน้อยเพิ่งถือกำเนิดได้ไม่นาน ทว่าเผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวนั้นมีสายเลือดสูงส่ง ลูกวัวน้อยนั้นรู้ความนานแล้ว และสามารถเข้าใจในสิ่งที่หลิงอินบอกได้
“เช่นนี้หรอกหรือ”
“ได้!”
อสูรฟ้าชิงหนิวสี่ตัวทำตามคำกล่าวหลิงอิน เก็บงำพลังปราณ ซ้ำยังเปลี่ยนร่างวัวของพวกเขาให้หดเล็กลง ดูไม่ต่างจากวัวธรรมดาเท่าใด
ร่างดั้งเดิมของพวกเขาใหญ่เกินไป ประหนึ่งภูเขาลูกเล็ก ไม่ย่อส่วนคงมิได้
“จำไว้ นี่คือวาสนาการเปลี่ยนแปลงสูงสุดของพวกเจ้า พวกเจ้าอย่าทำพังเด็ดขาด!”
หลิงอินกำชับอีกรอบ แล้วเดินนำทางด้านหน้ากับเสี่ยวหยา มุ่งหน้าไปที่เมืองชิงซาน
เมื่อมาถึงริมลำธารนอกเมืองชิงซาน หลิงอินชะงัก เอ่ยกับต้นหลิวและก้อนหิน “สวัสดีทั้งสองท่าน”
ท่าทีของหลิงอินชวนให้อสูรฟ้าชิงหนิวสี่ตัวจับต้นชนปลายไม่ถูก
ไฉนถึงทักทายต้นหลิวและก้อนหินธรรมดาริมลำธาร?
ขอบเขตพลังของพวกมันสูงส่ง ตนหนึ่งเป็นชิงหนิวจ้าวสูงสุดเฒ่า ตนหนึ่งเป็นชิงหนิวราชันนักบุญ ขอบเขตพลังของแม่วัวก็อยู่ที่กษัตริย์นักบุญเช่นกัน
ลูกวัวน้อยเกิดได้ไม่นาน กระนั้นระดับพลังก็มิได้ต่ำนัก อยู่ที่ขอบเขตสุญญตา
แต่พวกมันสัมผัสไม่ได้เลยว่าต้นหลิวและก้อนหินพิเศษอย่างไร
นี่คือต้นหลิวและก้อนหินธรรมดาเท่านั้น
ทว่าไม่นานพวกมันก็ต้องตะลึง
มีเสียงดังมาจากด้านต้นหลิวและก้อนหิน
“สวัสดีแม่นางหลิงอิน!”
“เหตุใดถึงพาวัวมาด้วยสี่ตัว”
ต้นหลิวและก้อนหินถามด้วยความแปลกใจ
ขอบเขตอะไรกันนี่!
ชิงหนิวจ้าวสูงสุดเฒ่ามีสีหน้าเหลือเชื่อ
ใกล้กันปานนี้ มันกลับสัมผัสความผิดปกติจากต้นหลิวและก้อนหินไม่ได้เลย อกอีแป้นจะแตก ไม่สิ อกวัวจะแตก!
ระดับพลังของต้นหลิวและก้อนหินคงเหนือกว่าเขามาก!
มันสะท้อนในใจ อาวุโสผู้นั้นฉกาจยิ่งนัก ต้นหลิวและก้อนหินที่ใช้อารักขาเมืองยังทรงพลังปานนี้ ขอบเขตลึกล้ำเกินหยั่ง!
“นมที่คุณชายดื่มเป็นประจำขาดส่ง ข้าจึงคิดอยากหานมให้คุณชาย พอดีพวกมันไร้ที่ไป จึงพาพวกมันกลับมาที่นี่ แบบนี้ก็ดี คุณชายจะได้ดื่มนมอย่างสะดวกด้วย”
หลิงอินตอบยิ้ม ๆ ท่าทางเกรงใจต้นหลิวและก้อนหินสุด ๆ
นางรู้ดีว่า ต้นหลิวและก้อนหินอยู่ข้างกายท่านเซียนมานาน ได้รับประโยชน์มากเกินจินตนาการ พลังน่าประหวั่นพรั่นพรึงยิ่ง
“เช่นนี้เองหรือ”
“แม่นางหลิงอินใส่ใจยิ่ง!”
ต้นหลิวและก้อนหินตอบยิ้ม ๆ
จากนั้น หลิงอินบอกลาต้นหลิวและก้อนหิน พาอสูรฟ้าชิงหนิวเข้าเมืองชิงซานไปพร้อมกับเสี่ยวหยา
ระหว่างทาง หลิงอินทักทายคนในเมืองอย่างสนิทสนม นางกับเสี่ยวหยาพาอสูรฟ้าชิงหนิวสี่ตัวมาถึงหน้าประตูลานเล็กของท่านเซียน
หลิงอินมิได้พาอสูรฟ้าชิงหนิวทั้งสี่ตัวเข้าทางร้าน แต่นางเคาะประตูลานเล็กแทน “คุณชายอยู่หรือไม่”
“ผู้ใดกัน”
ภายในลานเล็ก หลี่จิ่วเต้ากำลังถอนหญ้าในไร่ผัก เมื่อได้ยินมีคนเรียกเขา จึงวางจอบลงและเดินไปหา
พูดถึงหญ้าเหล่านี้ เดิมทีในไร่ผักนั้นไร้หญ้า ดินที่ผู้เฒ่าเฮ่อและสือเฟิงนำมาให้ดีเยี่ยม สะอาดเหลือแสน หลังจากเขาปลูกผักลงไปไม่เคยมีหญ้าขึ้นเลยสักครั้ง
เพียงแต่ต่อมาเขาขึ้นเขาไปบ่อย ๆ บางทีอาจมีเมล็ดหญ้าติดมาโดยไม่รู้ตัว และตกลงไปในไร่ผัก
รอจนเขารู้ตัว หญ้าเหล่านี้ก็งอกงามเต็มที่แล้ว
เอ๊ะ!
เหตุใดท่านเซียนถึงจากไปซะนี่?
กำลังทำงานเพลินอยู่เชียว! อย่าให้พูดเลยว่าสบายปานใด!
จอบซึ่งพิงกำแพงอยู่ หรือก็คือญาณมารแห่งดาบมารอมตะ ไม่สิ ญาณแห่งจอบเซียนคิดในใจอย่างไม่สบอารมณ์
ดินนี้ดียิ่ง ทุกครั้งที่ขุดจะเป็นการบำรุงอย่างล้ำลึกสำหรับมัน โดยเฉพาะยามที่ถูกท่านเซียนกำไว้ในมือ มันได้รับการยกระดับในทุก ๆ ด้าน ไม่ขาดแคลนแรงบันดาลใจแม้แต่น้อย ตระหนักรู้วิถีได้ง่ายเหมือนดื่มน้ำ
ทว่าในตอนที่มันเปรมปรีดิ์ที่สุด ท่านเซียนกลับจากไป ซ้ำแล้วยังจับมันพิงกำแพงไว้
‘จะว่าไปช่วงนี้เหมือนจะมีอะไรแปลก ๆ อยู่นะ…’
มันคิดในใจ
ช่วงนี้ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกับมัน มักเกิดความรู้สึกประหลาดในใจ คล้ายว่ามีบางสิ่งกำลังนำทางมันไป
แต่เมื่อมันลองจับสัมผัสโดยละเอียด กลับไม่พบสิ่งใดทั้งสิ้น
‘อย่าให้รู้ว่าเจ้าพวกนั้นออกตามหาข้าอีกแล้ว ขืนเป็นเช่นนี้ ข้าจะเฉาะพวกมันให้ตายด้วยจอบข้า!’
มันพูดในใจ นึกถึงช่วงก่อนที่มีสิ่งมีชีวิตใช้เคล็ดวิชาลับเรียกหามัน
ทว่า ความรู้สึกช่วงนี้ออกจะแตกต่างจากครานั้นอยู่หน่อย
หลังหลี่จิ่วเต้าวางจอบลง ก็เดินไปยังประตูลานเล็ก
เขานึกแปลกใจนิดหน่อยว่าใครกัน ไม่เข้าจากทางประตูหน้าร้าน และเรียกเขาจากประตูลานเล็ก
น้อยนักจะมีคนมาหาเขาที่ประตูลานเล็ก
ชายหนุ่มเปิดประตูลานเล็กออกก็เห็นว่าเป็นหลิงอินกับเสี่ยวหยา ทั้งยังเห็นวัวสี่ตัวด้านหลังหลิงอินกับเสี่ยวหยาด้วย
หลี่จิ่วเต้ามองวัวทั้งสี่ตัว วัวทั้งสี่ตัวก็กำลังมองหลี่จิ่วเต้าเช่นกัน
นี่คืออาวุโสผู้นั้นหรือ?
ไม่มีคลื่นพลังปราณสักนิด!
วัวทั้งสี่ตัวคิดในใจ ผู้อาวุโสท่านนี้เก่งกาจยิ่ง ดูไม่ต่างจากปุถุชนแม้แต่น้อย พวกมันจับพิรุธไม่ได้เลยสักนิด
แต่ไม่นานพวกมันก็หัวเราะเยาะตัวเองในใจ
แม้แต่ต้นหลิวและก้อนหินที่ผู้อาวุโสตั้งให้อารักขาอยู่นอกเมืองพวกมันยังจับพิรุธไม่ได้ ไฉนเลยจะจับพิรุธผู้อาวุโสได้เล่า!
ชายหนุ่มมองหลิงอินและเสี่ยวหยา พลางถาม “นี่คือ?”
หลิงอินกับเสี่ยวหยาพาวัวสี่ตัวนี้มาทำไม?
หรือว่าจะเกี่ยวกับคำบอกเล่าของเขาเมื่อหลายวันก่อน?
วัวสี่ตัว ตัวผู้สองตัว ตัวเมียหนึ่งตัว และมีลูกวัวน้อยอีกหนึ่งตัว เขานึกถึงเมื่อหลายวันก่อนที่ได้รับรองหลิงอินกับเสี่ยวหยาด้วยชานม
ทั้งยังเคยบอกว่าแม่วัวของตาลุงอู๋ตาย เลยจะไม่มีนมกินไปอีกนาน
บัดนี้ หลิงอินกับเสี่ยวหยาจูงวัวมา ซ้ำยังมีแม่วัวอยู่ด้วย ดูเหมือนเขาเข้าใจอะไรขึ้นมาได้บ้างแล้ว
หากเป็นตามที่คิดจริง หลิงอินและเสี่ยวหยาช่างใส่ใจยิ่ง!
นี่พวกนางเอาวัวมาให้เขา ให้เขาได้มีนมดื่มกิน!
บทที่ 410
“ได้คุณชายคอยดูแลเสมอ พวกเราไม่มีสิ่งใดตอบแทน คราวก่อนมาเยือนคุณชาย คุณชายเคยกล่าวว่าแม่วัวที่บ้านตาลุงอู๋ตาย ไม่มีนมดื่มไปพักหนึ่ง ข้ากับเสี่ยวหยาจึงจดจำไว้ในใจ”
หลิงอินกล่าว “พอดีที่บ้านเสี่ยวหยามีคนขายวัว ข้ากับเสี่ยวหยาจึงไปที่นั่น ซื้อวัวเหล่านี้กลับมา”
“เจ้าใส่ใจแล้ว!”
หลี่จิ่วเต้าเอ่ย ซึ้งใจอยู่นิดหน่อย
เป็นอย่างที่เขาคิดจริง ๆ หลิงอินกับเสี่ยวหยานำวัวมาเพราะคำกล่าวของเขาเมื่อไม่กี่วันก่อน
“ไปเถิด เข้าไปสนทนากันด้านใน!”
หลี่จิ่วเต้าบอกให้หลิงอินกับเสี่ยวหยาเข้าไป
เวลานี้ เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดหลิงอินกับเสี่ยวหยาถึงมาหาเขาที่ประตูลานเล็ก พาวัวสี่ตัวเข้าทางหน้าร้านไม่สะดวกเท่าใด
อสูรฟ้าชิงหนิวสี่ตัวเดินตามเข้าไป
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในลานเล็ก พวกมันก็สัมผัสถึงจังหวะแห่งเต๋าสูงส่งมากมายที่ไหลเวียนอยู่ เป็นจังหวะแห่งเต๋าชั้นเลิศที่พวกมันไม่เคยสัมผัสมาก่อน เหนือกว่าทุกสิ่ง!
ช่างเป็นผู้อาวุโสเหนือความคาดหมายจริง ๆ!
หัวใจของพวกมันเต้นรัวเร็วเพราะความเต็มตื้น หลิงอินมิได้หลอกพวกมัน ใต้หล้านี้มีสถานที่ที่ดียิ่งกว่าภพเซียนจริง ๆ!
จังหวะแห่งเต๋าสูงส่งเปี่ยมล้นเยี่ยงนี้ ต่อให้อยู่ที่นี่เฉย ๆ โดยไม่บำเพ็ญ ขอบเขตพลังก็ยังก้าวหน้าทวีคูณได้อย่างแน่นอน!
พวกมันมองสิ่งของต่าง ๆ ที่อยู่ในลาน หัวใจตื้นตันสะท้านเหลือคณา
ให้ตายสิ ในลานนี้ไม่มีสิ่งของธรรมดาสักชิ้น ทุกอย่างที่อยู่ในขอบเขตสายตาพวกมัน ล้วนสูงส่งไม่ธรรมดาถึงขีดสุด!
ต้องเป็นบุคคลเช่นใดถึงครอบครองทั้งหมดนี้ได้!?
ผู้อาวุโสท่านนี้… คงมิใช่ว่าเป็นเซียนท่านหนึ่งกระมัง!
พวกมันคิดในใจอย่างอดไม่ได้ ตื่นเต้นจนแทบเป็นลมเป็นแล้ง
ต่อให้ผู้อาวุโสท่านนี้มิใช่ท่านเซียน ก็คงเข้าใกล้ความเป็นเซียนเหลือแสน!
สวรรค์!
พวกมันไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งพวกมันจะมีโอกาสรู้จักกับผู้ยิ่งใหญ่เหนือจินตนาการเช่นนี้!
หลิงอินพูดไม่ผิด นี่คือวาสนาการเปลี่ยนแปลงสูงสุดสำหรับพวกมัน!
บุ๋ง บุ๋ง!
ภายในโอ่งน้ำ มัจฉาสัตมายากระโจนออกมาเป็นพัก ๆ
มันเห็นอสูรฟ้าชิงหนิวสี่ตัว
ท่านเซียนจะเลี้ยงวัวด้วยหรือ?
มันอิจฉาเหลือคณา เมื่อใดท่านเซียนจะบอกมันชัดเจนเสียทีว่าจะไม่กินมัน เช่นนี้มันจะได้ไม่ต้องผวาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
แต่เดิมนั้นปลามิค่อยใจกล้าอยู่แล้ว
“เมี้ยว~”
แมวน้อยสีขาวลั่วสุ่ยส่งเสียงร้องอยู่ด้านข้าง ปรายตามองมัจฉาสัตมายา
มัจฉาสัตมายาได้ยินเสียงร้องของแมวน้อยสีขาว จึงหันมองตาม
ฉับพลันนั้น มันมีความมั่นใจขึ้นมา
ไม่ต้องกลัว มีพี่สาวแมวคอยคุ้มครองข้าอยู่
มันคิดในใจอย่างสุขสันต์ หลายวันนี้ความสัมพันธ์ระหว่างมันกับลั่วสุ่ยยิ่งชิดเชื้อขึ้นไปอีก ยามอยู่ว่าง ๆ มักสนทนาด้วยกันเสมอ
“ฮ่าฮ่า หากมิใช่ว่าข้าทุบกำแพงให้ทะลุถึงลานเล็กด้านข้างแล้ว ข้าคงไม่มีที่เลี้ยงวัวเหล่านี้ ต้องให้พวกเจ้าพากลับไปแล้ว”
หลี่จิ่วเต้าเอ่ยหยอกเย้า พร้อมพาวัวทั้งสี่ตัวไปยังลานด้านข้าง
“พอดีเลย ใช้หญ้าที่เพิ่งขุดขึ้นมาเลี้ยงวัวได้ มิเช่นนั้นคงต้องนำไปทิ้งเสียแล้ว”
ชายหนุ่มเอ่ยยิ้ม ๆ ใช้เชือกคล้องวัวทั้งสี่ตัวให้ดี
ลานแห่งนี้ไม่นับว่าเล็ก เขาใช้พื้นที่ไปจำนวนหนึ่งกับการทำไร่ แต่ยังเหลือพื้นที่อยู่อย่างกว้างขวาง
มิหนำซ้ำ ภายในลานนี้มีห้องอยู่หลายห้อง เลี้ยงวัวได้ไม่มีปัญหา ทำเป็นคอกวัวได้เลย
หลังวัวสี่ตัวได้ยินคำกล่าวของหลี่จิ่วเต้า ก็ทอดสายตามองหญ้าบนพื้น
แม่เจ้า นี่… นี่คือหญ้าที่ตั้งใจจะทิ้งในตอนแรกหรือ
ต้นหญ้าเหล่านี้ ล้วนแฝงไว้ด้วยขุมปราณชีวิตมหาศาล เปี่ยมล้นยิ่งกว่าโอสถมหาจักรพรรดิเสียอีก!
พวกมันตกใจจริง ๆ ผู้นี้ต้องเป็นท่านเซียนอย่างแน่นอน มิฉะนั้นเหตุใดหญ้าในดินยังทรงพลังกว่าโอสถมหาจักรพรรดิอีก!?
ท่านเซียนคิดเลี้ยงพวกมันด้วยหญ้าเหล่านี้หรือ!?
พวกมันตื้นตันขึ้นไปใหญ่ ผู้ใดเล่าจะคิดว่าพวกมันกินโอสถมหาจักรพรรดิเป็นอาหารได้!?
นี่คือวาสนาสะท้านโลกาของพวกมัน!
หวนนึกถึงคราวหลิงอินบอกว่าจะพาพวกมันไปด้วย พวกมันยังไม่เต็มใจเป็นหนักหนา อ้างเรื่องศักดิ์ศรี เกียรติยศต่าง ๆ กับหลิงอิน บัดนี้พวกมันรู้สึกกระดากยิ่งนัก ละอายเหลือทน!
พวกมันเกือบพลาดวาสนาสะท้านโลกาไปแล้วเชียว!
ถอนหญ้าหรือ?
นี่ท่านเซียนรู้อยู่แล้วหรือว่านางจะพาอสูรฟ้าชิงหนิวมาที่นี่
หลิงอินคิดในใจ รู้สึกว่าท่านเซียนช่างสุดยอด ล่วงรู้ทุกอย่าง
เสี่ยวหยาเองก็สะท้อนใจเหลือแสน ท่านเซียนก็คือท่านเซียน จิตของท่านรู้แจ้งเหตุทั้งปวง
“ใช่แล้ว เช่นนี้วัชพืชในไร่คงไม่เสียเปล่า ใช้เป็นอาหารวัวได้”
หลิงอินเอ่ยยิ้ม ๆ
ทว่าต่อมา นางบอกกับตัวเองในใจ วัชพืช... เจ้าช่างกล้าพูดจริงเชียว! หญ้าเหล่านี้เลอค่ายิ่งกว่าโอสถมหาจักรพรรดิเสียอีก!
“ฮ่า ๆ ไว้สายหน่อย ข้าจะทำเค้กเนยสดให้พวกเจ้ากิน”
หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้ม “จริงสิ ข้าทำนมเปรี้ยวให้พวกเจ้าดื่มได้ด้วย ทั้งยังผสมรสชาติต่าง ๆ ลงไปในนมเปรี้ยว อย่างเช่นรสองุ่น รสผิงกั่ว รสสาลี่…”
ที่บ้านมีวัวแล้ว เขาไม่ขาดแคลนนมอีกต่อไป ถึงคราวนั้นสามารถปรุงอาหารซึ่งมีส่วนผสมของนมได้อีกหลายอย่าง
“เช่นนั้นต้องขอขอบคุณคุณชาย!”
“พวกเราตั้งตารออย่างมาก!”
หลิงอินกับเสี่ยวหยาเอ่ยเสียงตื่นเต้น
ฝีมือของท่านเซียนไร้ที่ติ ถึงเวลานั้น เค้กเนยสดและนมเปรี้ยวหลากรสที่ปรุงเสร็จย่อมต้องอร่อยอีกทั้งมีคุณค่าอาหารมหาศาล!
“คุณชาย!”
เวลานั้น เซี่ยเหยียนเดินเข้ามาจากทางร้านค้าด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม
นางกลับมาจากตระกูลไป๋แล้ว โดยใช้ค่ายกลเคลื่อนย้าย จึงมิได้ใช้เวลามากนัก
และหลังจากนางกลับมาก็มาหาท่านเซียนทันที
เซี่ยเหยียนขุดโอสถมหาจักรพรรดิจากตระกูลไป๋มาได้สามต้น อันเป็นต้นผลไม้ เมื่อครั้งที่ขุด นางก็คิดนำมาให้ท่านเซียน
เพราะอย่างนั้น หลังนางกลับมาจึงมาหาท่านเซียนก่อน
“พี่หญิงหลิงอินก็อยู่ด้วยหรือ!”
เซี่ยเหยียนทักทายหลิงอิน
เดิมนางไม่ยอมรับในตัวอีกฝ่าย ทว่าตั้งแต่นางได้รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของหลิงอินคือจ้าวสูงสุดแห่งโบราณกาล นางก็ยอมรับหลิงอินอย่างสิ้นเชิง พบหน้าคราใดเป็นต้องเรียกว่าพี่หญิงหลิงอิน
“ผู้นี้คือ?”
นางมองเสี่ยวหยา อีกฝ่ายแปลกตายิ่งนัก ก่อนหน้านี้ไม่เคยพบเสี่ยวหยามาก่อน
และนางก็ไม่ทราบเรื่องราวของเสี่ยวหยา ไม่รู้ว่าเสี่ยวหยานั้นคืนชีพกลับมาแล้ว
“นางคือเสี่ยวหยา”
หลิงอินแนะนำเสี่ยวหยาให้เซี่ยเหยียนรู้จักยิ้ม ๆ และแนะนำเซี่ยเหยียนให้เสี่ยวหยา “นางคือเซี่ยเหยียน”
“สวัสดีพี่หญิงเซี่ยเหยียน”
เสี่ยวหยาทักทายเซี่ยเหยียนอย่างมีมารยาท นางอายุไม่มาก แม้นเกิดในยุคโบราณ กระนั้นนางได้ตายไปตั้งแต่อายุสิบกว่าปีด้วยฝีมือจักรพรรดิบุปผา
“สวัสดีเสี่ยวหยา!”
เซี่ยเหยียนทักตอบยิ้ม ๆ ดูท่าหลังจากนี้นางคงได้สหายเพิ่มมาอีกหนึ่ง
ผู้ที่เข้ามาที่นี่ได้ ย่อมได้รับการยอมรับจากท่านเซียนมาแล้ว ผู้ที่ไม่เป็นที่ยอมรับของท่านเซียน ไม่มีทางเข้ามาถึงภายในลานเล็กของท่านเซียน
หลิงอินคลี่ยิ้ม นึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งนางเพิ่งเคยเจอเซี่ยเหยียนครั้งแรก ครานั้น เด็กคนนี้ตั้งใจเต็มที่เพื่อประชันกับนางในทุก ๆ ด้าน
ทว่านางนั้นเป็นใคร จ้าวสูงสุดแห่งโบราณกาล เป็นไปได้อย่างไรที่เซี่ยเหยียนจะข่มนางลงได้ นางเอ่ยปากขอบรรเลงเพลงฉินสักบทก็สยบเซี่ยเหยียนลงไปได้แล้ว
ด้านฉินนั้นเซี่ยเหยียนไม่ได้เรื่องจริง ๆ!
นางเอ่ยกับเสี่ยวหยาเชิงล้อเล่น “พี่หญิงเซี่ยเหยียนผู้นี้เล่าเรียนวิชาบรรเลงฉินกับคุณชายมาโดยตลอด ติดตามคุณชายมานานมากเมื่อเทียบกับเจ้า เจ้าควรศึกษาวิถีแห่งฉินกับพี่หญิงเซี่ยเหยียนให้มาก เอาอย่างนางหน่อย”
“ศึกษาวิถีแห่งฉินอยู่ข้างกายคุณชายมานานแล้วหรือ คิดแล้วทักษะด้านฉินของพี่หญิงเซี่ยเหยียนคงยอดเยี่ยมมากเลยกระมัง!”
เสี่ยวหยาไม่ทราบเรื่องราวในอดีตของหลิงอินและเซี่ยเหยียน นางคิดว่าหลิงอินแนะนำให้นางศึกษาเอาอย่างเซี่ยเหยียนจากใจจริง
นางบอกกับเซี่ยเหยียนด้วยท่าทางตั้งใจอย่างยิ่ง “หากวันใดพี่หญิงเซี่ยเหยียนว่างแล้ว ต้องชี้แนะข้าเสียหน่อย!”
“หา…!”
ได้ยินว่าให้บรรเลงเพลงฉิน เซี่ยเหยียนพลันรู้สึกเขียวไปทั้งหน้า นี่คือจุดด้อยของนาง จนบัดนี้เสียงฉินที่นางบรรเลงออกมานั้นยัง…บาดหูเหลือคณา!
นางเซ็งเหลือเกิน นี่หลิงอินยังจำเรื่องในคราวนั้นได้อยู่หรือนี่