391-395

บทที่ 391

สมาชิกทั้งหมดของเครือข่ายข่าวสารระดับที่สามกลับมาแล้ว


เมื่อรู้ว่าหนานเจี๋ยตายแล้ว ใบหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ


หนานเจี๋ยมีความสามารถถึงขนาดนั้น เก่งกาจรอบด้าน ไม่เคยล้มเหลวในการทำงาน กลับถูกเปิดเผยตัวตนตั้งแต่เพิ่งเริ่มภารกิจและสิ้นชีพลง


ทว่าความจริงก็ยังคงเป็นความจริง พวกเขาไม่สามารถปฏิเสธมันได้


พวกเขากลับไปปิดด่านทีละคนเพื่อรักษาแก่นกำเนิดชีวิตเอาไว้ ทั้งหมดต่างอยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณ แก่นชีวิตร่อยหรอเต็มที หากไม่หลับสนิทย่อมเป็นการผลาญพลังอย่างมาก


หนานเจี๋ยตายแล้ว งานนี้เกินกว่าความสามารถที่พวกเขาจะทำได้แล้ว


“ราคาที่ต้องจ่ายในการปลุกเครือข่ายข่าวสารระดับที่สี่นั้นสูงมาก แต่หากทำงานครั้งนี้สำเร็จก็นับว่าคุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไป”


จากข้อมูลที่เขามีอยู่ คันศรในมือเซี่ยเหยียนนั้นไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าจะยังไม่ทราบแน่นอนถึงระดับของคันศร แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าระดับของมันจะต้องสูงมากเป็นแน่!


เด็ก ๆ อย่างพวกอ้ายฉานเองก็ไม่ธรรมดา เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาบางอย่างที่ดูแล้วระดับสูงยิ่ง


เซี่ยเหยียนและพวกอ้ายฉานมีโอกาสอย่างมากที่จะได้รับโอกาสวาสนาครั้งใหญ่ คันศรล้ำค่าและวิชาเหล่านั้นอาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่แสดงออกมา พวกเขาอาจมีสมบัติอยู่กับตัวมากกว่านั้น


หากสามารถจัดการเซี่ยเหยียนและพวกอ้ายฉานได้ในคราวเดียว ราคาที่ต้องจ่ายในการปลุกเครือข่ายข่าวสารระดับที่สี่ก็นับว่าคุ้มค่า!


จ้าวตำหนักเก้าปลุกสมาชิกของเครือข่ายข่าวสารระดับที่สี่ขึ้นมามอบหมายงาน ก่อนจะเล่าทุกรายละเอียดให้ฟัง แล้วกำชับให้ระมัดระวังมากยิ่งขึ้น เพราะเครือข่ายข่าวสารระดับที่สามประสบกับความล้มเหลวมาแล้ว


“หนานเจี๋ยถูกจับได้ไวปานนั้น?”


เมื่อสมาชิกของเครือข่ายข่าวสารระดับสี่ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับหนานเจี๋ย พวกเขาเองก็ตกตะลึงด้วยความไม่คาดคิด


หากผ่านมานานแล้วค่อยถูกจับได้ก็แล้วไป แต่นี่กลับถูกจับได้และสิ้นชีพลงเร็วเกินไปแล้ว!


หนานเจี๋ยเป็นผู้ที่สามารถด้านการรวบรวมข่าวสารยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก กระทั่งสมาชิกบางคนของเครือข่ายข่าวสารระดับสี่ยังด้อยกว่าอยู่เล็กน้อย


ในความเป็นจริงแล้ว หนานเจี๋ยมีคุณสมบัติครบถ้วนในการเลื่อนขึ้นไปเป็นสมาชิกเครือข่ายข่าวสารระดับสี่ แต่เครือข่ายข่าวสารระดับที่สามขาดผู้นำ ดังนั้นหนานเจี๋ยจึงรั้งอยู่เพื่อเป็นผู้นำของเครือข่ายข่าวสารลำดับที่สาม


หากไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้ หนานเจี๋ยคงกลายเป็นเครือข่ายข่าวสารระดับที่สี่แล้ว


“ข้าจะไปสืบข้อมูลหลี่จิ่วเต้า ส่วนพวกเจ้าไปสืบข้อมูลคนอื่น พึงระลึกเอาไว้ว่าเครือข่ายข่าวสารระดับที่สามล้มเหลว พวกเขาจะต้องรับรู้เรื่องนี้แล้ว ดังนั้นต้องทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง!”


มีคนกล่าวขึ้นมา


นามของเขาคืออู๋ฉี ผู้นำและสมาชิกที่โดดเด่นที่สุดในเครือข่ายข่าวสารระดับที่สี่


“รับทราบ!”


สมาชิกคนอื่นต่างตอบรับอย่างเคร่งขรึม ไม่มีใครกล้าประมาท ทุกคนดูจริงจังเป็นอย่างมาก


งานตรวจสอบครั้งนี้จะต้องเป็นงานที่ยากมากแน่


อย่างไรเสีย ก่อนหน้านี้เครือข่ายข่าวสารระดับที่สามก็ล้มเหลวไปแล้ว อีกฝ่ายสังเกตเห็นเรื่องนี้เป็นที่เรียบร้อย หากพวกเขาต้องการจะเข้าใกล้เป้าหมาย นับได้ว่าเป็นเรื่องยากไม่น้อย


ทว่าพวกเขาก็ไม่ประหวั่น


ในฐานะสมาชิกเครือข่ายข่าวสารระดับที่สี่ แต่ละคนต่างก็มีความเก่งกาจจนกล้าพอจะทำงานที่ยากเช่นนี้


หลังจากนั้น พวกเขาก็เดินทางมุ่งสู่แดนบูรพาทิศของเหยียนโจว


...


ณ แดนหยิน ชางโจว


ชายชราผู้หนึ่งเดินทอดน่องไปตามภูเขา ลำน้ำ และมหาสมุทร ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ เพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพไปตลอดทั้งเส้นทาง


เมื่อถึงเมืองอันเป็นสถานที่งดงามหรือสถานที่ที่เขาประทับใจ เขาก็มักจะหยิบกระดานและพู่กันออกมาวาดเก็บพวกมันทั้งหมดเอาไว้


รูปวาดบนกระดาษราวกับนำภาพทิวทัศน์เหมือนจริงมาทาบพิมพ์ลงไป คงไว้ซึ่งเสน่ห์ของทิวทัศน์อยู่เต็มเปี่ยม กล่าวได้ว่าเป็นปรมาจารย์ด้านการวาดภาพอย่างแท้จริง


หากพินิจดูให้ดีก็จะพบว่าพู่กัน กระดานวาดภาพ และกระดาษล้วนไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ทั้งหมดต่างมีเต๋าสูงสุดไหลเวียนอยู่ชวนตื่นตะลึงยิ่งนัก


“คุณชายก็คือคุณชาย ช่างเก่งกาจยิ่งนัก ตอนแรกข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณชายจึงบอกให้ข้าท่องไปรอบ ๆ แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว”


ชายชราถอนหายใจกล่าวออกมา


เขาไม่ใช่ใครที่ไหน นอกเสียจากผู้เฒ่าเมิ่งจีผู้เคยติดตามหลี่จิ่วเต้าอยู่ช่วงหนึ่ง


ในตอนแรกเขาก็อยู่ข้างกายของท่านเซียน แต่ต่อมาท่านเซียนกลับกล่าวว่าเขาจากบ้านมานานเกินไปแล้ว ควรกลับไปดูที่บ้านและเดินทางท่องไปรอบ ๆ


ยามนั้นเขาไม่เข้าใจคำพูดของท่านเซียน


แต่หลังจากนั้นเมื่อเขากลับไปยังนิกายลับสวรรค์ เขาก็พบว่าลูกชายของเขาออกไปเที่ยวเล่นและพลัดหลงเข้าไปในสถานที่อันตราย สาเหตุที่ท่านเซียนบอกให้เขากลับบ้านก็เพื่อช่วยเหลือลูกชายของเขา


หากเขากลับนิกายไปไม่ทันเวลา คงเกิดเรื่องกับลูกชายของเขาแล้ว กว่าที่ตัวเขาจะทราบถึงเรื่องนี้ เกรงว่าลูกชายของเขาก็คงต้องสิ้นชีพไม่อาจหวนคืนกลับมาจากสถานที่อันตรายแห่งนั้นได้


คำพูดของท่านเซียน แม้พูดออกมาเหมือนเป็นเรื่องทั่วไป แต่กลับเต็มไปด้วยความลึกซึ้ง!


หลังจากนั้นเขาก็ทำตามคำพูดของท่านเซียน โดยการเดินท่องไปทั่วทั้งแดนหยิน


แดนหยินมีทั้งหมดสิบแปดแคว้น นับรวมชางโจวที่เขาอยู่ตอนนี้ ตัวเขาก็เดินท่องมาแล้วสิบเจ็ดแคว้น เหลือเพียงจวินโจวแห่งเดียว


หลังจากเดินทางออกจากแคว้นนี้แล้ว เขาก็จะเดินทางต่อไปยังจวินโจว


ระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เขาได้รับผลประโยชน์มหาศาล ทำให้เข้าใจถึงความหมายของท่านเซียนที่บอกให้เขาเดินทางท่องไปรอบ ๆ


เขาฝึกฝนเต๋าพยากรณ์ความลับสวรรค์ ระหว่างเดินทางท่องไปรอบ ๆ เขาได้ซึบซับความรู้สึกมากมายจนความรู้ความเข้าใจต่อเต๋าพยากรณ์ความลับสวรรค์พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง


ผลลัพธ์ที่ได้ดียิ่งกว่าการตั้งอกตั้งใจฝึกฝนอยู่ที่ใดที่หนึ่งเป็นอย่างมาก!


ท่านเซียนบอกให้เดินท่องไปรอบ ๆ ก็เพื่อตัวเขาเอง เพื่อให้เขาสามารถฝึกฝนเต๋าพยากรณ์ความลับสวรรค์ได้รวดเร็วและดียิ่งขึ้น


ขอบเขตในตอนนี้เขาสูงเป็นอย่างยิ่ง เขาได้จุดเพลิงเทวาขึ้นมากลายเป็นขั้นเทวา อยู่ห่างจากขั้นจ้าวเทวาเพียงหนึ่งก้าวแล้ว!


“ขั้นเทวา...เป็นขั้นที่ข้าไม่เคยกล้าคิดฝันมาก่อน!”


ผู้เฒ่าเมิ่งจีอดกล่าวออกมาไม่ได้


ก่อนหน้านี้อย่าว่าแต่ขั้นเทวาเลย กระทั่งบรรลุขอบเขตพรตเต๋าเขายังไม่กล้าคิดฝัน ในยุคปัจจุบันขอบเขตพรตเต๋าราวกับมีธารน้ำลึกขวางกั้นเอาไว้ มีเพียงสิ่งมีชีวิตจำนวนน้อยนิดที่สามารถข้ามผ่านไปได้ ส่วนใหญ่แล้วล้วนติดอยู่ที่เดิม ไม่อาจบรรลุถึงขอบเขตพรตเต๋าได้


ฟันฝ่าเก้าขั้นของขอบเขตพรตเต๋าสำเร็จจึงจะสามารถกลายเป็นขอบเขตเทวาได้อย่างสมบูรณ์


สำหรับตัวเขาในอดีต ขั้นเทวานั้นช่างอยู่ไกลเกินเอื้อมจริง ๆ


ทว่าตอนนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป


ไม่ต้องกล่าวถึงขั้นเทวา กระทั่งขอบเขตนักบุญ ขอบเขตสูงสุด และขอบเขตจักรพรรดิที่อยู่สูงกว่า ก็ไม่ใช่เพียงแค่ความฝันสำหรับเขาอีกต่อไป เขาล้วนสามารถบรรลุได้


ช่วงที่เขาได้อยู่ข้างกายท่านเซียน เขาได้รับผลประโยชน์มากมายมหาศาล ทุกด้านล้วนโดดเด่นอย่างถึงที่สุด เป็นเพียงเรื่องของเวลาที่เขาจะบรรลุถึงขั้นขอบเขตจักรพรรดิ


“ช่วงนี้วุ่นวายเป็นอย่างมาก จักรพรรดิจากยุคโบราณของตระกูลและกองกำลังต่าง ๆ โผล่ออกมาไม่หยุด กระทั่งยอดนิกายก็ปรากฏตัวขึ้น จะเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นบนอาณาจักรแห่งนี้หรือไม่?”


ผู้เฒ่าเมิ่งจีรำพึง


เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกมา “นี่อาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่คุณชายบอกให้ข้าเดินท่องไปรอบ ๆ ก็เป็นได้”


จักรพรรดิโบราณจำนวนมากจากตระกูลและกองกำลังต่าง ๆ โผล่ออกมาเรื่อย ๆ กระทั่งยอดนิกายยังปรากฏตัวขึ้นทำให้เขาตระหนักขึ้นมาว่าจะต้องเกิดเรื่องใหญ่บางอย่างขึ้นมา


ท่านเซียนเพียงแค่คิดก็สามารถหยั่งรู้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เรื่องราวทั้งหมดน่าจะอยู่ในการคาดการณ์ของท่านเซียนเช่นกัน ท่านเซียนบอกให้เขาเดินทางท่องไปรอบ ๆ เกรงว่าจะมีเหตุผลอยู่ในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน


ผู้แข็งแกร่งจนน่าหวาดเกรงจำนวนมากปรากฏกายติดต่อกัน ไม่แคล้วเรื่องที่จะอุบัติขึ้นอาจไม่ใช่เรื่องดีอะไรนัก


ท่านเซียนเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณา ไม่อาจทนเห็นกระทั่งปุถุชนเผชิญภัยร้ายจนต้องให้คนออกลงมือช่วยเหลือ พายุแห่งความวุ่นวายที่กำลังจะมาถึง รุนแรงประหนึ่งสามารถล่มภูเขาทลายลำน้ำ ท่านเซียนคงไม่อาจนิ่งดูดาย


ท่านเซียนน่าจะต้องการให้เขาเตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้!


“ข้าจะต้องใส่ใจให้มากกว่าเดิม!”


เขากล่าวขึ้นมาอย่างจริงจัง เขาไม่สามารถทำอะไรผิดพลาดให้กระทบกับแผนการของท่านเซียนได้
บทที่ 392

ท่ามกลางมหาสุมทรสีดำอันไร้ที่สิ้นสุด


แปลกประหลาด น่าประหวั่น กลิ่นอายแห่งความตายลอยคละคลุ้ง


ด้านในส่วนลึกของมหาสมุทรสีดำ บนเกาะลอยน้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งเกิดความบิดเบี้ยวขึ้นกลางอากาศ จากนั้นก็ปรากฏหลุมดำขนาดใหญ่คล้ายเชื่อมต่อกับบางแห่งกลายเป็นเส้นทางอันเต็มไปด้วยกลิ่นอายน่าหวาดหวั่นแผ่กระจาย


ด้านล่างหลุมดำ จ้าวสมุทรและเหล่าสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งของทะเลต้องห้ามกำลังยืนอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งขึม ราวกับกำลังเฝ้ารอการมาเยือนของสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือกว่า


เพียงไม่นานหลังจากนั้นก็มีสิ่งมีชีวิตออกมาจากหลุมดำจริง ๆ


สิ่งมีชีวิตตนนี้ไม่ธรรมดา ทั้งยังน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก


มันเหมือนกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในทะเลต้องห้าม ไม่เหมือนกับเผ่าใด ๆ แต่คล้ายหลากหลายเผ่าพันธุ์ถูกเย็บติดประกอบขึ้นมา ส่วนหัวนั้นเป็นกิเลน ลำตัวเป็นมังกร ทั้งยังมีปีกของวิหค


หลังจากที่มันออกมา โลกทั้งใบก็สั่นคลอน กลิ่นอายน่าสยดสยองแผ่กระจายออกไป ทำให้สิ่งมีชีวิตทั่วมหาสมุทรสีดำสั่นสะท้าน จิตวิญญาณแทบแหลกสลาย!


เปรี้ยง!


อสนีบาตผ่าลงมาจากฟากฟ้า มันคือทัณฑ์สวรรค์ที่เปี่ยมด้วยพลังกฎแห่งสวรรค์และโลกชวนให้ประหวั่นพรั่นพรึงเป็นอย่างยิ่ง สายฟ้าก็ไม่ได้ฟาดลงมาทีละสาย ทว่าเป็นทะเลอสนีบาตส่งสายฟ้าเป็นวงกว้างฟาดลงมาในคราเดียว ชวนสยดสยองประหนึ่งฉากวันโลกาวินาศ


สิ่งมีชีวิตที่ออกมาจากหลุมดำส่งเสียงคำรามอย่างไร้ความเกรงกลัว ปล่อยให้มวลสายฟ้ามหาศาลโจมตีใส่ร่างของมัน


มันทรงพลังน่าหวาดหวั่นเกินไป แม้นถูกสายฟ้าวงกว้างกระหน่ำโจมตีใส่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ ทั้งสิ้น กระทั่งเคราสักเส้นบนหัวกิเลนก็ยังไม่หลุดออกเสียด้วยซ้ำ


อสนีบาตยังคงถาโถม ทว่ามันกลับไม่เป็นอะไร เสมือนกับอาบน้ำโดยมีสายฟ้าอันน่าหวาดเกรงเป็นเพียงน้ำหยดเล็ก ๆ ไร้กำลัง


ในท้ายที่สุด สายฟ้าก็ล่าถอย ฟ้าดินกลับคืนสู่ความสงบนิ่ง


“คาดไม่ถึงเลยว่าฟ้าดินจะอ่อนแอลงถึงเพียงนี้ มีพลังไม่ถึงหนึ่งในพันส่วนของอดีตเสียด้วยซ้ำ”


สิ่งมีชีวิตตนนั้นพึมพำกับตนเอง “หากเป็นในอดีต ข้าจะกล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร? สายฟ้าเพียงหนึ่งเส้นก็เพียงพอที่จะทำลายข้าให้สูญสิ้นได้!”


มันเป็นผู้แข็งแกร่งที่มาจากภายนอกโลก จึงถูกโจมตีโดยเจตจำนงฟ้าดิน


ทว่าน่าเสียดายนัก… เป็นดั่งคำที่มันพูด


โลกใบนี้ไม่ได้น่าหวาดกลัวอย่างที่เคยเป็นมาในอดีตอีกต่อไป ไม่สมบูรณ์จนกระทั่งไม่อาจทำร้ายมันได้อีกเลย


“ท่านปรมาจารย์ช่างเก่งกาจ!”


“ท่านปรมาจารย์มาถึงแล้ว ผู้ที่มาสร้างเรื่องในทะเลต้องห้ามจะต้องชดใช้อย่างสาสมแน่นอน!”


สิ่งมีชีวิตในทะเลต้องห้ามต่างส่งเสียงร้อง แต่ละตนดูตื่นเต้นฮึกเหิมมาก


โฮก!


สิ่งมีชีวิตตนนั้นร่อนลงมาจากกลางอากาศพร้อมเสียงคำราม


“ท่านปรมาจารย์!”


จ้าวสมุทรแห่งทะเลต้องห้ามรีบเดินไปหยุดเบื้องหน้าแล้วทำความเคารพ


“ให้พวกเจ้ารั้งอยู่ที่แห่งนี้มานาน ลำบากพวกเจ้าแล้ว”


สิ่งมีชีวิตตนนั้นพยักหน้าให้กับจ้าวสมุทร ก่อนกล่าวต่อ “แต่วันคืนยาวนานกำลังจะสิ้นสุดแล้ว ทุกอย่างกำลังจะปรากฏขึ้นบนใลกใบนี้ หลังจากเรื่องราวทั้งหลายจบลง พวกเจ้าก็สามารถกลับไปได้แล้ว”


“ไม่ใช่เรื่องลำบากแต่อย่างใด ทั้งหมดนี่คือสิ่งที่พวกเราสมควรกระทำ!”


จ้าวสมุทรกล่าวออกมาด้วยท่าทางภาคภูมิใจที่ตนเองสามารถรับหน้าที่นี้ได้


“ท่านปรมาจารย์ พวกเราควรจะจัดการหลิงอินผู้นั้นก่อนหรือไม่?”


จากนั้นมันก็เอ่ยถามปรมาจารย์


“ไม่ต้องรีบ”


สิ่งมีชีวิตตนนั้นกล่าวออกมา “มีสัญญาณว่าสถานที่แห่งนั้นจะปรากฏออกมา เมื่อยามนั้นมาถึงจะต้องเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่สะเทือนฟ้าดินอย่างแน่นอน ที่แห่งนี้จะเป็นฐานทัพของพวกเรา ต้องจัดการให้เรียบร้อย”


มันมาจากดินแดนที่อยู่เบื้องหลังทะเลต้องห้าม จ้าวสมุทรรายงานทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ จึงทำให้มันรู้ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น


นี่เป็นสาเหตุให้เก้าแดนต้องห้ามร่วมมือกันโจมตีแดนสังสารวัฏ


สมรภูมิใหญ่ที่นั้นยังคงดำเนินต่อไปไม่จบสิ้น


แดนสังสารวัฏเชื่อมต่อกับแดนนับหมื่นลึกลับเกินจะหยั่งถึง แม้ว่าเก้าแดนต้องห้ามจะร่วมมือกันโจมตี ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการได้


สมรภูมิครั้งนี้จะต้องใช้เวลายาวนานเป็นอย่างมาก


“ทุกอย่างล้วนฟังคำสั่งของท่านปรมาจารย์”


จ้าวสมุทรกล่าวออกมาด้วยความเคารพ


สิ่งมีชีวิตตนนั้นพยักหน้าแล้วเอ่ยถาม “ส่วนลึกได้รับความเสียหายหรือไม่?”


“ไม่ได้รับความเสียหายใด” จ้าวสมุทรรีบตอบกลับ


“เช่นนั้นก็ดี!”


สิ่งมีชีวิตตนนั้นกล่าว “ตราบใดที่ส่วนลึกไม่ได้รับความเสียหาย กระทั่งส่วนที่เหลือถูกทำลายทิ้งจนหมดสิ้นก็ไม่สำคัญ”


ส่วนลึกนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ที่แห่งนั้นคือหมากตัวสำคัญสุดของพวกมันที่จัดวางเอาไว้


...


อีกด้านหนึ่ง หลิงอินและเสี่ยวหยากำลังเดินทางออกจากเมืองชิงซานเพื่อตามหาวัว


หลิงอินอาศัยอยู่ในเมืองชิงซานมาเป็นเวลานานทำให้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับสถานการณ์ภายนอกน้อยมาก


นางจึงพาเสี่ยวหยาไปหุบเขาคงหลิง โดยคิดว่าจะได้รับข่าวสารบางอย่างจากที่นี่


หลิงอินมีแท่นค่ายกลเคลื่อนย้ายตรงเข้าไปยังหุบเขาคงหลิงติดตัว ดังนั้นใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถเดินทางมาถึงหุบเขาคงหลิง


“แม่นางหลิงอินมาที่นี่ด้วยเหตุใดหรือ?”


จ้าวหุบเขาออกมาต้อนรับนางด้วยตนเอง ดูแล้วสถานการณ์น่าจะยังดีอยู่


ทองยังไม่บริสุทธิ์ แล้วคนใดเล่าจะสมบูรณ์*[1] คำนี้ไม่เคยผิดมาก่อน


ทุกคนย่อมมีความโลภ ล้วนเคยพลาดพลั้ง ทำผิดไม่น่ากลัว รู้ตัวแต่ไม่คิดแก้ไขต่างหากที่น่ากลัว!


แม้ก่อนหน้าที่จ้าวหุบเขาจะเคยโลภจนทำเรื่องผิดพลาดมาก่อน แต่ในท้ายที่สุด อย่างน้อยในใจนางก็ยังคงมีมโนธรรม


หลังจากรู้เรื่องราวโหดร้ายที่จักรพรรดิบุปผาได้กระทำ นางก็แตกหักกับจักรพรรดิบุปผาด้วยความเด็ดเดี่ยว ตีกลองรบนำสมาชิกของหุบเขาคงหลิงเข้าต่อสู้กับจักรพรรดิบุปผา


กระทั่งหลังจากนั้น ตอนที่คนจากทะเลต้องห้ามมา ก่อนการสังหารหมู่ในหุบเขาคงหลิง จ้าวหุบเขาก็ไม่ได้ติดต่อและขอความช่วยเหลือจากนาง


นางรู้ดีว่าจ้าวหุบต้องการจะชดเชยความผิดพลาดในอดีตกาลของหุบเขาคงหลิง หวังให้เรื่องราวทั้งหมดจบลงที่นี่ ไม่อยากให้สิ่งมีชีวิตจากทะเลต้องห้ามพบตัวนาง


หลิงอินเห็นทั้งหมดด้วยตาของตัวเอง แล้วเก็บเรื่องราวเหล่านี้เอาไว้ในใจ


ครั้งแรกที่มา นางไม่ได้ช่วยเหลือจ้าวหุบเขา แต่หลังกลับจากทะเลต้องห้าม นางก็ตั้งใจเดินทางมายังหุบเขาคงหลิงหนหนึ่ง เพื่อช่วยจ้าวหุบเขาฟื้นตัวสร้างกระดูกในร่างขึ้นมาใหม่


สาเหตุที่จ้าวหุบเขาอยู่ในสภาพดีก็เป็นเพราะนาง


ถ้าหากนางไม่ช่วยเหลือ แม้ว่าจ้าวหุบเขาจะสามารถหลอมกระดูกใหม่ขึ้นมาได้ แต่มันย่อมไม่สำเร็จด้วยระยะเวลาอันสั้น จำเป็นต้องใช้เวลานานเป็นอย่างมาก


นางไม่ได้มอบสมบัติล้ำค่าอะไรให้กับจ้าวหุบเขาเพื่อสร้างกระดูก


สิ่งที่นางใช้คือพลังของฉินเฟิ่งหมิง


ฉินเฟิ่งหมิงไม่ได้มีเพียงพลังโจมตีอันน่าสะพรึงกลัว แต่ยังมีพลังเยียวยาอันน่าทึ่งอีกด้วย นางบรรเลงฉินเฟิ่งหมิงใช้พลังของมันช่วยเหลือจ้าวหุบเขาในการฟื้นฟูและหลอมกระดูกในร่างขึ้นมาใหม่


หลิงอินพยักหน้าให้จ้าวหุบเขาแล้วกล่าว “ข้ามาที่นี่เพราะมีเรื่องอยากจะสอบถามเล็กน้อย”


“แม่นางหลิงอินต้องการทราบเรื่องใดโปรดบอกมา!”


จ้าวหุบเขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตราบใดที่ข้ารู้ ข้าจะบอกท่านอย่างละเอียดแน่นอน”


หลังจากกล่าวจบ นางก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางเสี่ยวหยา


ยามได้เห็นเสี่ยวหยา นางก็รู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก ยิ่งมองไปที่เสี่ยวหยาเท่าไรก็ยิ่งคุ้นเคยมากขึ้น เหมือนเคยพบเสี่ยวหยามาแล้วที่ไหนสักแห่ง


“ฟ่านหยาเหยียน เสี่ยวหยา!?”


ในที่สุดนางก็นึกออก คนผู้นี้ไม่ใช่เสี่ยวหยาหรอกหรือ? ในใจราวกับมีคลื่นนับพันถาโถม นางตกใจเสียจนเผลอตะโกนออกมา


เมื่อตอนนั้นจักรพรรดิบุปผาได้แสดงภาพเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทำให้นางได้เห็นรูปลักษณ์ของเสี่ยวหยา


และเป็นเพราะว่านางได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทำให้นางแตกหักกับจักรพรรดิบุปผาอย่างสมบูรณ์


นางไม่คาดคิดเลยว่าจักรพรรดิบุปผาจะโหดร้ายเลือดเย็นถึงเพียงนี้ มันเกินกว่าขอบเขตที่นางจะรับได้


กระทั่งคนที่สิ้นชีพไปตั้งแต่ครั้งโบราณกาลก็สามารถฟื้นคืนชีพกลับมาได้ สวรรค์! แท้จริงแล้วหลิงอินเป็นใครกันแน่?


ต้องน่าพรั่นพรึงมากแค่ไหนถึงสามารถทำเช่นนี้ได้!


ไม่น่าแปลกใจเลยที่หลิงอินสามารถออกจากทะเลต้องห้ามได้โดยไร้รอยขีดข่วน!
บทที่ 393

“เจ้าจำผิดคนแล้ว”


หลิงอินยิ้มแต่ไม่ยอมรับ “นางคือเสี่ยวหยา แต่ไม่ใช่เสี่ยวหยาผู้นั้น คนที่สิ้นชีพไปตั้งแต่สมัยโบราณ วิญญาณและร่างกายต่างถูกทำลายสิ้นจะฟื้นคืนชีพได้อย่างไร? เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว...”


นางจะยอมรับได้อย่างไร


แม้ว่านางจะเชื่อใจจ้าวหุบเขา แต่เรื่องบางอย่างก็ไม่สามารถพูดให้ใครฟังได้


“คงจะเป็นเช่นนั้น”


จ้าวหุบเขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มแล้วกล่าวออกมา “เป็นข้าที่คิดมากเกินไป”


คิดดูดี ๆ แล้ว เรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไร!


คืนชีพผู้ที่ตายไปแล้วในสมัยโบราณกลับคืนมา ช่างเป็นการท้าทายฟ้าสวรรค์มากแค่ไหนกัน?


แม้กระทั่งเซียนเองก็ไม่สามารถทำได้!


ถึงหลิงอินจะสามารถออกจากทะเลต้องห้ามโดยไร้รอยขีดข่วน แต่นางก็คิดภาพที่หลิงอินคืนชีพคนตายตั้งแต่สมัยโบราณได้ มันเป็นเรื่องเหลวไหลที่เพ้อฝันจนเกินไป


บางทีเสี่ยวหยาผู้นี้อาจแค่ดูเหมือนกับเสี่ยวหยาในสมัยโบราณ...


นางคิดขึ้นมาในใจ


“ข้ามาเพื่อถามเจ้าหนึ่งคำถาม ยังคงมีเผ่าอสูรฟ้าชิงหนิว*[1] อยู่บนโลกนี้หรือไม่?”


หลิงอินไม่ต้องการสนทนาเรื่องเสี่ยวหยาไปมากกว่านี้ จึงเปิดปากถามขึ้นมา


เผ่าอสูรฟ้าชิงหนิว


เป็นเผ่าอสูรร้ายที่ทรงพลังอย่างยิ่ง มีชื่อเสียงมากในสมัยโบราณกาล สายเลือดนับได้ว่าสูงส่ง เทียบเท่าหรือกระทั่งเหนือกว่าหุบเขาคงหลิงอยู่หนึ่งขั้น


ทว่าบรรพชนของพวกเขารุ่งโรจน์ยิ่งกว่านั้น


สมัยโบราณกาล บรรพชนของเผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวถูกระบุเอาไว้สั้น ๆ ว่าเคยเป็นหนึ่งในสิบอสูรร้ายบรรพกาล


ทว่าน่าเสียดาย ท้ายที่สุดแล้ว บรรพชนของพวกเขาก็ล้มเหลวในการรั้งอยู่ในตำแหน่งสิบอสูรร้ายบรรพกาล ถูกเผ่าโหว*[2] ที่มาทีหลังแทนที่และดึงลงจากตำแหน่งสิบอสูรร้ายบรรพกาล


ยามที่อยู่บนเขาหยงหมิง หลิงอินเห็นเผ่าพันธุ์โบราณจำนวนมาก แต่กลับไม่เห็นสมาชิกจากเผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวสักตัว


หรือว่าเผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวจะสูญสิ้นไปแล้ว?


เผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวนั้นพิเศษเป็นอย่างยิ่ง หากสูญสิ้นไปก็นับว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายไม่น้อย


ตอนที่คิดจะตามหาวัวนม นางก็นึกถึงเผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวขึ้นมาเป็นอันดับแรก


เผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย!


“เผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวหรือ พวกเขายังอยู่”


จ้าวหุบเขากล่าว “สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนกำลังใกล้เข้ามา กองกำลังทั้งหมดล้วนเคลื่อนไหว แต่ก็มีข้อยกเว้น เช่นเผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวที่ไม่มีการเคลื่อนไหวเนื่องจากมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นกับเผ่า”


“เรื่องใหญ่? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” หลิงอินถาม


จ้าวหุบเขากล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “เรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นคือ อสูรฟ้าชิงหนิวตนหนึ่งกำลังให้กำเนิดทายาท!”


ยิ่งสายเลือดแข็งแกร่งมากเท่าใดก็ยิ่งยากแก่การให้กำเนิดทายาท เผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวเองก็ไม่ได้มีสมาชิกใหม่มาเป็นเวลานานมากแล้ว


หลังจากเผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวให้กำเนิดทายาทขึ้นมา สมาชิกทุกตัวในเผ่าก็ล้วนแต่ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก พวกเขาปกป้องมารดาและลูกชิงหนิวทุกวันโดยไม่มีการผละจาก


เนื่องด้วยเหตุนี้ อสูรฟ้าชิงหนิวจึงไม่ได้ออกมาเคลื่อนไหว


“หืม!?”


หลิงอินชะงักไปครู่หนึ่ง ทว่าหลังจากนั้นก็หัวเราะออกมา


จะบังเอิญขนาดนี้เชียวหรือ?


นางกำลังมองหาวัวนม บังเอิญกับที่อสูรฟ้าชิงหนิวเพิ่งจะให้กำเนิดลูกขึ้นมาในเวลานี้


แม่วัวจะมีน้ำนมหลังจากคลอดลูกแล้วเท่านั้น


เดิมทีแม้จะสามารถตามหาอสูรฟ้าชิงหนิวได้แล้ว แต่นางยังคงกังวลว่าอสูรฟ้าชิงหนิวจะไม่มีน้ำนม


ตอนนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะเรียบร้อยดี!


เดี๋ยวก่อน...


จะสามารถเกิดความบังเอิญเช่นนี้ได้ด้วยหรือ?


มันจะเป็นเรื่องบังเอิญได้อย่างไร เกรงว่าเรื่องราวทั้งหมดคงจะอยู่ในการคาดการณ์ของท่านเซียนแล้ว!


นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ท่านเซียนเพิ่งจะกล่าวว่าไม่มีนมวัวในเวลานี้


‘ดูเหมือนไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ต้องไปที่เผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวสักครา!’


ดวงตาของนางเปล่งประกาย ขณะเอ่ยขึ้นมาในใจ


“เผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวเองก็อยู่ในแดนฮวงหรือ? เจ้าช่วยบอกตำแหน่งให้ข้าทราบได้หรือไม่?”


หลิงอินถามจ้าวหุบเขา


“แม่นางหลิงอินต้องการจะไปเผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวอย่างนั้นหรือ?”


จ้าวหุบเขาเอ่ย “แน่นอนว่าข้าย่อมสามารถบอกท่านได้ ทั้งยังสามารถพาแม่นางหลิงอินไปที่นั่นได้ แต่ข้าไม่แนะนำให้ท่านไปที่นั่นในตอนนี้!”


นางกล่าวต่อ “ช่วงเวลาให้นมเป็นช่วงที่ตึงเครียดที่สุดสำหรับเผ่าอสูรฟ้าชิงหนิว พวกมันจะปิดผนึกพื้นที่ในเผ่าทั้งหมด ห้ามไม่ให้สิ่งมีชีวิตอื่นเข้าใกล้ หากพวกเราไปที่นั่นในยามนั้นพอดีเกรงว่านอกจากจะไม่สามารถเข้าไปได้แล้ว ยังอาจถูกมองว่าเป็นศัตรูและถูกโจมตีได้”


สายเลือดของอสูรฟ้าชิงหนิวไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ภายในน้ำนมประกอบด้วยแก่นแท้ของพลังชีวิต ล้ำค่าจนไม่อาจประเมินได้


เมื่อใดก็ตามที่อสูรฟ้าชิงหนิวเข้าสู่ช่วงให้นม ก็จะมีสิ่งมีชีวิตจำนวนมากมายเกิดความคิดต้องการจะได้รับน้ำนมมา


มีหลายคนไปที่เผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวเพื่อขอน้ำนมอย่างเปิดเผย บางคนก็คิดเสี่ยง แอบลอบเข้าไปในพื้นที่ของเผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวหวังขโมยนม


แต่ไม่มีผู้ใดเคยทำสำเร็จ


เผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวไม่เคยปล่อยให้น้ำนมหลุดรอดออกจากเผ่าไปแม้สักหยด!


เผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวเคยลงมือต่อสู้ครั้งใหญ่ในช่วงที่ให้นมมาแล้ว ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใด ๆ เข้าใกล้เผ่าพวกเขาล้วนถูกโจมตีและขับไล่ออกไป


ดังนั้นจ้าวหุบเขาจึงไม่แนะนำให้หลิงอินไปในตอนนี้


ตอนนี้เผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวนั้นอยู่ในช่วงอ่อนไหว หากใครสร้างปัญหาสักนิดก็จะถือว่าเป็นศัตรูแล้วโจมตีในทันที


หลิงอินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ต้องไปตอนนี้เท่านั้น ช่วงอื่นไม่ได้”


เร็วเกินไปก็ไม่มีน้ำนม ช้าเกินไปก็ไม่มีน้ำนม


มีเพียงช่วงนี้เท่านั้นจึงจะมีน้ำนมปริมาณมาก


“หือ? แม่นางหลิงอินเองก็ต้องการน้ำนมหรอกหรือ?”


หลังจากได้ยินหลิงอินพูดเช่นนั้น จ้าวหุบเขาก็เข้าใจได้ในทันที เห็นได้ชัดว่าหลิงอินต้องการน้ำนมจากเผ่าอสูรฟ้าชิงหนิว


หลิงอินไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด นางพยักหน้าแล้วพูดออกมา “อืม ข้าต้องการไปที่นั่นเพราะน้ำนม”


“เกรงว่าท่านอาจไม่สามารถได้รับมันมา”


จ้าวหุบเขายิ้มเจื่อน “แม้กระทั่งเผ่าโหวที่เป็นหนึ่งในสิบอสูรร้ายบรรพกาลก็ยังเคยมีความคิดที่จะได้รับน้ำนมจากเผ่าอสูรฟ้าชิงหนิว แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวให้ความสำคัญกับน้ำนมมากจนไม่อาจทนส่งมันออกไปนอกเผ่าได้”


“ไม่เป็นไร ข้าคิดว่าพวกเขาจะต้องตอบตกลง”


หลิงอินยิ้ม นางมีความมั่นใจอย่างน้อยก็เก้าในสิบส่วน


“ตกลง เช่นนั้นข้าจะนำทางให้แม่นางหลิงอิน”


จ้าวหุบเขากล่าว


นางลืมไปได้อย่างไรว่าหลิงอินไม่ใช่คนธรรมดา กระทั่งทะเลต้องห้ามยังสามารถกลับออกมาได้โดยไร้รอยขีดข่วน สถานที่แห่งนั้นเลวร้ายเสียยิ่งกว่าสิบอสูรร้ายบรรพกาล


สิบอสูรร้ายบรรพกาลในยามนั้นก็ไม่กล้าเข้าใกล้เก้าแดนต้องห้าม!


หลิงอินนับได้ว่าแข็งแกร่งกว่าสิบอสูรร้ายบรรพกาลเป็นอย่างมาก!


“เช่นนั้นต้องรบกวนจ้าวหุบเขาแล้ว” หลิงอินกล่าว


“ไม่รบกวน ไม่รบกวน แม่นางหลินอินอย่าได้เกรงใจเกินไป!”


จ้าวหุบเขาตอบกลับ หลังจากนั้นก็ออกเดินทางพร้อมกับหลิงอินและเสี่ยวหยา มุ่งตรงไปสู่เผ่าอสูรฟ้าชิงหนิว


...


ณ แดนหยิน จวินโจว


ภายในสถานศึกษา


ปู่ของไป๋อวี่เฟยได้มาถึงแล้ว


เขารีบตรงเข้าไปหาไป๋อวี่เฟย ทว่าไป๋อวี่เฟยก็ยังคงดูล่องลอย ปราศจากสีหน้าใด ๆ เขาถามอะไรไปก็ไม่ตอบสนอง


“ดูสิ่งที่เจ้าทำลงไปเสียสิ! ตอนนี้เสี่ยวเฟยกลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว!? ข้าก็นึกว่าเจ้าสามารถไว้ใจได้จึงตกลงให้เสี่ยวเฟยมากับเจ้า สุดท้าย เจ้ากลับทำให้ข้าผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งไม่สามารถพึ่งพาได้แม้แต่น้อย ปล่อยให้เสี่ยวเฟยไปเชิญเซี่ยเหยียนผู้นั้นเข้าร่วมสถานศึกษาด้วยตนเอง จนทำให้เสี่ยวเฟยกลายเป็นเช่นนี้ ทั้งยังเกือบจะสิ้นชีพแล้ว!”


ปู่ของไป๋อวี่เฟยตวาดใส่ลุงหมิงด้วยความเกรี้ยวกราด



[1] ชิงหนิว เป็นสัตว์โบราณของจีน มีรูปร่างคล้ายตระกูลวัว กระทิง ควาย แต่ไม่ใช่วัว ( 牛)

[2] โหว (犼) เป็นหนึ่งในสัตว์อสูรของตำนานจีน เล่าขานกันว่า เป็นหนึ่งในโอรสของราชันมังกร
บทที่ 394

จะไม่ให้เขาโกรธได้อย่างไร?


เขารักถนอมดูแลหลานชายเป็นอย่างยิ่ง ตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยได้รับความข้องใจแม้แต่น้อย ตอนนี้กลับประหนึ่งสูญเสียจิตวิญญาณ สีหน้าว่างเปล่าประหนึ่งคนโง่งม ถามสิ่งใดไปก็ล้วนไม่ตอบกลับ ทำให้ผู้อาวุโสสิบเจ็ดโกรธจนทั่วทั้งใบหน้าของชายชราขมึงทึงน่ากลัว


“สมควรตาย เหตุใดเจ้าต้องทำให้เสี่ยวเฟยทรมานเช่นนี้ด้วย!?”


เขากัดฟันก่อนสาปแช่งเซี่ยเหยียน


เซี่ยเหยียนทำลายร่างอวตารของเขาก็แล้วไป แต่กลับยังทำให้เสี่ยวเฟยตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เขาไม่สามารถอดกลั้นเอาไว้ได้ จนแผ่จิตสังหารออกมา


มีสมาชิกของยอดนิกายใดถูกกระทำเช่นนี้บ้าง?


“ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนไม่สามารถปกป้องเจ้าได้ เจ้าจะต้องตาย!”


ดวงตาของเขาทอประกายเย็นชา ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป เขาต้องการจะให้เซี่ยเหยียนชดใช้ด้วยเลือด ไม่เช่นนั้นคงยากจะสาสมกับความเสียหายที่เสี่ยวเฟยได้รับ


“ผู้อาวุโส ข้ารู้สึกว่าเรื่องราวในครั้งนี้มีบางสิ่งแปลก ๆ พวกเราไม่ลองมาทบทวนให้กระจ่างชัดเสียก่อน?”


ลุงหมิงกล่าวต่อ “ข้าขอให้เสี่ยวเฟยไปเชิญนางเข้าร่วมสถานศึกษา นับว่าเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง แม้นางไม่ต้องการจะเข้าร่วมสถานศึกษา ก็ไม่จำเป็นต้องทำให้เสี่ยวเฟยตกอยู่ในสภาพนี้!”


แปลกเกินไป


เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งซับซ้อนมากกว่านี้ ไม่เช่นนั้นเซี่ยเหยียนคงไม่ลงมือเช่นนี้


เขาหยุดผู้อาวุโสสิบเจ็ดเอาไว้ ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายจากไป


ผู้อาวุโสสิบเจ็ดเต็มไปด้วยจิตสังหารรุนแรง หากเขาต้องการจะไปหาเซี่ยเหยียนจริง เกรงว่าอีกฝ่ายจะสังหารเซี่ยเหยียนโดยไม่พูดไม่จา ไม่สนใจว่าสิ่งใดคือความจริง


เขาไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น


เขาต้องการทำให้ความจริงกระจ่างชัด


หากเซี่ยเหยียนเป็นฝ่ายผิดจริง ผู้อาวุโสสิบเจ็ดต้องการจะลงมือทำสิ่งใดเขาก็ไม่คิดปราม


แต่หากไม่ใช่ความผิดของเซี่ยเหยียน เขาก็จะไม่ปล่อยให้นางถูกผู้อาวุโสสิบเจ็ดสังหารอย่างอยุติธรรมเป็นแน่


นี่คืออุปนิสัยของเขา ทั้งเด็ดขาดและเที่ยงธรรม ไม่ตัดสินเรื่องราวต่าง ๆ ตามใจชอบ ต้องการจะตรวจสอบเรื่องราวทุกอย่างอย่างกระจ่างชัดก่อนค่อยพูดจา


“แปลก? ยังจะมีสิ่งใดแปลกอีก!?”


ผู้อาวุโสสิบเจ็ดพูดออกมาด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ “ทุกอย่างล้วนชัดแจ้ง เจ้าทำเรื่องต่าง ๆ ใจเสาะเหยาะแหยะเกินไป นับเป็นจุดบกพร่องข้อใหญ่ที่สุดในตัวเจ้า! ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ศักดิ์ศรีตระกูลไป๋ของข้าจะถูกเหยียบย่ำเช่นนี้ได้หรือ? สมาชิกตระกูลไป๋จะถูกผู้ใดลงมือสังหารก็ได้หรือ?”


ดวงตาของเขาทอประกายเย็นชาระหว่างพูดต่อ “ข้าทิ้งร่างอวตารเอาไว้ในร่างของเสี่ยวเฟย เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดข้าล้วนรับรู้ เสี่ยวเฟยเชื้อเชิญเซี่ยเหยียนเข้าสถานศึกษาด้วยความจริงใจ แต่นางกลับวางท่าและดูถูกเสี่ยวเฟย ทำกระทั่งจะใช้คันศรสังหารเสี่ยวเฟย!”


ลุงหมิงขมวดคิ้วก่อนถามออก “ผู้อาวุโสสิบเจ็ด ท่านเห็นเรื่องราวทั้งหมดด้วยตาของท่านเองงั้นหรือ?”


เขายังไม่คงปักใจเชื่อ รู้สึกได้ว่าความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น


แม้ว่าตัวเขาจะไม่รู้จักเซี่ยเหยียนมากนัก


แต่เขารู้จักไป๋อวี่เฟยดี


ไป๋อวี่เฟยมีนิสัยเย่อหยิ่งเกินไป หากให้เขาแสดงความเห็น เขากลับรู้สึกว่าไป๋อวี่เฟยน่าจะเป็นฝ่ายวางทางและดูถูกเหยียดหยามเซี่ยเหยียน จนทำให้นางลงมือกับไป๋อวี่เฟยเสียมากกว่า


ถ้าหากเป็นไปตามที่ผู้อาวุโสสิบเจ็ดกล่าว ความเป็นปรปักษ์ของเซี่ยเหยียนจะต้องมีมากอย่างไม่ต้องสงสัย มากจนสามารถลงมือสังหารคนตามใจชอบได้


แต่ทว่าหากเซี่ยเหยียนมีความเป็นปรปักษ์ถึงขนาดนั้น จะปล่อยให้ไป๋อวี่เฟยมีชีวิตรอดกลับมาหรือ?


ไม่มีทางอย่างแน่นอน!


จะบอกว่าเซี่ยเหยียนไม่กล้าสังหารไป๋อวี่เฟยเนื่องจากเกรงกลัวคนจากตระกูลไป๋ จึงปล่อยให้ไป๋อวี่เฟยกลับมาอย่างมีชีวิต สิ่งที่ผู้อาวุโสสิบเจ็ดกล่าวมาล้วนไม่โป้ปด


คิดอะไรอยู่!


ถ้าหากเซี่ยเหยียนเกรงกลัวตระกูลไป๋จริง นางจะกล้าวางท่าต่อหน้าไป๋อวี่เฟยได้อย่างไร?


ยิ่งคิดเขายิ่งรู้สึกว่าไป๋อวี่เฟยไม่ใช่ฝ่ายถูก หลักจากไปพบเซี่ยเหยียนแล้ว เขาก็ดูถูกยั่วโมโหจนทำให้นางไม่พอใจ นางจึงลงมือสั่งสอนไป๋อวี่เฟย


ความคิดข้างต้นสมเหตุสมผลที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย


“ร่างอวตารของข้าอยู่ในร่างเสี่ยวเฟย ทั้งยังถูกศรหนึ่งดอกของนางยิงทำลาย เจ้าจะบอกว่าข้าไม่ได้เห็นเรื่องราวทั้งหมดด้วยตาตัวเองอย่างนั้นหรือ?”


ผู้อาวุโสสิบเจ็ดกล่าวออกมาอย่างเย็นชา จิตสังหารยิ่งแรงกล้ามากขึ้น


“แข็งแกร่งนัก!”


ลุงหมิงตกตะลึงยกใหญ่ เขาเพิ่งจะทราบว่าเซี่ยเหยียนได้ทำลายร่างอวตารของผู้อาวุโสสิบเจ็ดด้วยศรเพียงดอกเดียว


ผู้อาวุโสสิบเจ็ดเป็นถึงขั้นวิถีสูงสุด ทั้งยังทะนุถนอมไป๋อวี่เฟยเป็นอย่างมาก ร่างอวตารในร่างของไป๋อวี่เฟยย่อมไม่ธรรมดา จะต้องทรงพลังแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เกรงว่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตสูงสุดระดับทั่วไปล้วนไม่สามารถทำอะไรร่างอวตารนี้ได้


ทว่าเซี่ยเหยียนกลับสามารถทำลายร่างอวตารด้วยศรเพียงหนึ่งดอก ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก


สิ่งนี้เกินความคาดหมายของเขาไปไกลโข


ตอนที่อยู่เขาหยงหมิง เซี่ยเหยียนเคยสำแดงพลังอันน่าอัศจรรย์ของนางออกมา หนึ่งดอกตอกร่างของพ่อฉงคูซึ่งเป็นอสูรระดับกษัตริย์นักบุญเข้ากับยอดเขา


แต่ถึงอย่างไรเซี่ยเหยียนก็เป็นเพียงขอบเขตเทวาผู้หนึ่ง จะสามารถเก่งกาจได้ถึงเพียงไหนกันเชียว?


เขาคิดว่าไม่ว่านางจะทรงพลังเพียงใด พลังของนางก็ยังถูกจำกัดเอาไว้ ไม่สามารถระดมพลังออกมาเกินขั้นสูงสุดได้


ทว่าจากที่ผู้อาวุโสสิบเจ็ดกล่าวมา เห็นได้ชัดว่าเขาประเมินเซี่ยเหยียนต่ำเกินไป พลังที่หญิงสาวแสดงออกมาเหนือเสียยิ่งกว่าขั้นสูงสุด!


นี่ทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่อ


ขอบเขตเทวาผู้หนึ่งกลับสามารถระดมพลังออกมาเหนือขั้นสูงสุดได้ ช่างเป็นเรื่องเหลือเชื่อน่าอัศจรรย์ใจเกินไป


“ด้วยเหตุนี้ นางจึงกล้าว่างท่าดูถูกเหยียดหยามเสี่ยวเฟย ไม่เห็นทั้งเสี่ยวเฟยและตระกูลไป๋อยู่ในสายตา!”


ผู้อาวุโสสิบเจ็ดแย้มยิ้มเย็นชา “ข้าจะไปหานาง สั่งสอนให้นางรู้ซึ้งว่ากบในบ่อน้ำคืออะไร! นางจะได้ไม่กล้าทำตัวกำเริบเสิบสานต่อหน้าตระกูลไป๋อีก!”


“ผู้อาวุโส ท่านทำเช่นนั้นไม่ได้!”


สติของลุงหมิงกลับมาทันที เขารีบห้ามปรามผู้อาวุโสสิบเจ็ดเอาไว้ “ข้ายังไม่คิดว่าความจริงจะเป็นเช่นนั้น หากผู้อาวุโสยืนยันที่จะไปให้ได้ ก็โปรดพาข้าไปที่นั่นพร้อมกับผู้อาวุโสด้วย”


“ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น แล้วอะไรคือความจริง? จะบอกว่าสิ่งที่ข้าพูดไปล้วนไม่ใช่ความจริงหรือ?”


ผู้อาวุโสสิบเจ็ดเอ่ยด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด “เจ้าหยุดข้ามาหลายครั้งแล้ว ต้องการจะทำสิ่งใดกันแน่!? เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ก็พอแล้ว ไว้ข้ากลับมาค่อยว่ากัน!”


เขาไม่ต้องการฟังสิ่งที่ลุงหมิงพูดออกมา และก็ไม่ต้องการจะรู้เรื่องราวความจริงอะไร


เซี่ยเหยียนทำลายร่างอวตารของเขา ทั้งยังทำให้เสี่ยวเฟยตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเขาก็ไม่มีวันปล่อยไป อีกฝ่ายจะต้องชดใช้ด้วยเลือด!


กล่าวจบแล้ว เขาก็โบกมือส่งพลังออกไปตรึงลุงหมิงเอาไว้ทันที หยุดลุงหมิงเอาไว้ไม่ให้พูดหรือห้ามปรามอะไรเขาได้อีก


“นางจะต้องตาย! ข้าจะปลิดชีพนางเอง!”


เขาออกจากสถานที่แห่งนี้ไปด้วยแววตาที่เปี่ยมด้วยความดุร้ายและจิตสังหาร มุ่งหน้าตรงไปสำนักไท่หัวทางแดนบูรพา


เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้!


ลุงหมิงร้อนใจ เขารู้สึกว่าเรื่องราวครั้งนี้เซี่ยเหยียนไม่ใช่ฝ่ายผิด เขาไม่ต้องการให้นางสิ้นชีพด้วยเงื้อมมือของผู้อาวุโสสิบเจ็ด


โดยเฉพาอย่างยิ่งเมื่อเขารู้ว่าหญิงสาวสามารถสำแดงพลังแข็งแกร่งปานนั้นได้ เขายิ่งไม่ต้องการให้นางตายลงทั้งแบบนี้


พลังที่เหนือยิ่งกว่าขั้นสูงสุด นับเป็นความแข็งแกร่งที่หาพบได้ยากยิ่งในทุกวันนี้


สภาพแวดล้อมของโลกเลวร้ายเกินไป ทำให้พวกเขามีกำลังต่อสู้ระดับสูงน้อยมาก


เขาอยากจะหยุดยั้ง แต่กลับไม่สามารถทำได้


พลังของผู้อาวุโสสิบเจ็ดตรึงเขาเอาไว้แน่นจนขยับไม่ได้ กระทั่งจะพูดยังพูดไม่ได้!


ในตอนนี้ ร่างของผู้อาวุโสสิบเจ็ดหายลับจากที่แห่งนี้ไปเสียแล้ว


เขาจากไปพร้อมจิตสังหาร ครั้งนี้เกรงว่ามีเพียงการสังหารเซี่ยเหยียนเท่านั้น จึงจะสามารถบรรเทาความเกลียดชังภายในใจเขาลงได้


สำหรับเรื่องโลกใบนี้ขาดแคลนกำลังรบระดับสูง เขาไม่ได้นำมาใส่ใจแม้แต่น้อย


สิ่งที่ทรงพลังที่สุดของเซี่ยเหยียนคือคันศรในมือ ไม่ใช่ตัวนาง!


เขาสังหารนางไปก็ไม่มีปัญหาอันใด!


ขอเพียงแค่เขานำคันศรนั้นกลับมาด้วย!
บทที่ 395

ผู้อาวุโสสิบเจ็ดเดือดดาลเหลือทน จิตสังหารพลุ่งพล่าน พลังของเขาน่าพรั่นพรึงยิ่ง ก้าวสู่ขอบเขตวิถีสูงสุดไปนานแล้ว สถานศึกษาเทียนตี้ตั้งอยู่ที่จวินโจว อยู่ห่างจากเหยียนโจวมากโข


ทว่าสำหรับเขา ระยะทางแค่นี้มิใช่เรื่องใหญ่อันใด


ผู้อาวุโสสิบเจ็ดจากจวินโจวเดินทางมายังเหยียนโจวได้ในพริบตา จากนั้นก็มาถึงสำนักไท่หัวแห่งแดนบูรพาทิศในทันที


“เซี่ยเหยียนอยู่ที่ใด ไสหัวออกมารับความตายเสีย!”


เขาคำรามลั่น เสียงนั้นประหนึ่งอสนีบาตฟาดลงมา พาลให้ลูกศิษย์สำนักไท่หัวสะเทือนจนหูแทบดับ


“น่ากลัว…จริง!”


“ใครกันอีกล่ะนี่!?”


ลูกศิษย์แต่ละคนของสำนักไท่หัวตื่นตกใจแทบแย่ ร่างกายของแต่ละคนสั่นเหมือนเจ้าเข้า สะท้านไปทั้งดวงวิญญาณ


เสียงนั้นน่ากลัวเหลือเกิน!


อันที่จริง ผู้อาวุโสสิบเจ็ดสงวนพลังไว้บ้างแล้ว มิได้โถมพลังผ่านเสียงนี้มากนัก


หากเขาเปล่งพลังออกไปพร้อมกับเสียงนี้แม้แต่เสี้ยวเดียว คนทั้งสำนักไท่หัวคงได้ตายกันหมด!


จ้าววิถีสูงสุดพิโรธ ศพเกลื่อนนับล้าน


ประโยคนี้หาใช่คำล้อเล่นแต่อย่างใด เขาสังหารสิ่งมีชีวิตระดับยอดฝีมือนับล้านได้ในเสียงเดียว!


ผู้อาวุโสสิบเจ็ดระงับพลัง ไม่ได้โถมพลังใส่ในเสียงทีเดียว มิใช่เพราะมีเมตตา แต่เพราะไม่อยากเห็นสายเลือดหลั่งเป็นลำธารในสำนักไท่หัว


ในสายตาของเขา คนในสำนักไท่หัวเป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น ไฉนเลยต้องแยแสความเป็นความตายของมดปลวกด้วย


ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขามาพร้อมจิตสังหาร!


เขายิ่งไม่มีทางสนใจชีวิตของคนในสำนักไท่หัว


แต่เพราะกลัวว่าหากเขาเปล่งพลังไปกับเสียง อาจปลิดชีพเซี่ยเหยียนในทันใด!


เซี่ยเหยียนเล่นงานเสี่ยวเฟยจนอยู่ในสภาพอนาถปานนั้น หากฆ่านางง่าย ๆ จะมิสบายไปหรือ!


เขาต้องการให้เซี่ยเหยียนตายอย่างทุกข์ทรมาน!


นอกจากนี้ เขายังต้องการรู้เรื่องราวบางอย่างจากเซี่ยเหยียน จึงยิ่งไม่มีทางฆ่าเซี่ยเหยียนง่าย ๆ


คันศรวิเศษในมือเซี่ยเหยียนมิได้ปรากฏออกมาเอง เขาอยากรู้ว่าเซี่ยเหยียนได้คันศรวิเศษมาจากไหน บางทีอาจช่วยให้เขาได้รับวาสนาการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น


“เจ้าเองหรือ!”


เวลานั้น เซี่ยเหยียนเหินออกมาจากสำนักไท่หัว


เมื่อนางได้เห็นผู้อาวุโสสิบเจ็ดก็จำได้ในทันที


อย่างไรก่อนหน้านี้นางก็เพิ่งกำจัดร่างอวตารของผู้อาวุโสสิบเจ็ดไป


“เหตุใดถึงยังมาอีก?”


นางขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไป๋อวี่เฟยมิได้นำวาจาของข้าไปถ่ายทอดให้พวกเจ้าฟังหรือ”


เมื่อครั้งปล่อยไป๋อวี่เฟยไป นางเคยบอกไป๋อวี่เฟยให้กลับไปบอกคนในตระกูลไป๋ อย่าได้คิดอุตริอีก


ทว่าบัดนี้ดูแล้ว เหมือนว่าไป๋อวี่เฟยมิได้ส่งต่อคำพูดของนาง หรือตระกูลไป๋อาจไม่สนใจคำพูดของนาง ผู้อาวุโสสิบเจ็ดตรงหน้านี้มาไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด…


“วาจาอะไร!?”


ผู้อาวุโสสิบเจ็ดเอ่ยเสียงกราดเกรี้ยว “เจ้ายังมีหน้ามาพูดอยู่อีกหรือ เจ้าทำอะไรกับเสี่ยวเฟยกันแน่ หลังเขากลับไปแล้วเหมือนทำวิญญาณหลุดหายไปจากร่าง ไม่พูดไม่จาสักคำ!”


หลังกลับไปแล้วเหมือนทำวิญญาณหลุดหายไปจากร่าง?


เซี่ยเหยียนครุ่นคิด นางมิได้ทำอะไรไป๋อวี่เฟยเสียหน่อย แค่ต่อสู้กับไป๋อวี่เฟยยกหนึ่งในตอนท้าย เอาชนะไป๋อวี่เฟยด้วยวิชามวยแสนธรรมดา


“...”


คงมิใช่ว่าเพราะเหตุนี้กระมัง


เซี่ยเหยียนหมดคำพูด หากเป็นเพราะเหตุนี้จริง จิตใจของไป๋อวี่เฟยช่างเปราะบางยิ่งนัก


แพ้การต่อสู้ยกเดียว หทัยเต๋าก็แตกสลายเสียแล้วหรือ


นี่ก็เพราะไป๋อวี่เฟยไม่อยู่ที่นี่ หากไป๋อวี่เฟยอยู่ที่นี่ และล่วงรู้ความในใจของนาง คงต้องเอ่ยสักคำว่า พี่สาว มันใช่เรื่องแค่แพ้การต่อสู้หรือ?


เจ้าใช้วิชามวยธรรมดาเอาชนะสุดยอดวิชาระดับตี้จวินของตระกูลข้า ผู้ใดจะรับเรื่องสะเทือนใจเยี่ยงนี้ไหว!?


กระเทือนจิตใจเกินไปแล้ว!


“ในเมื่อไป๋อวี่เฟยมิได้บอกพวกเจ้า เช่นนั้นข้าขอพูดให้เจ้าฟังอีกครั้ง”


เซี่ยเหยียนมองผู้อาวุโสสิบเจ็ด “สิ่งที่ยอดนิกายแบกรับอยู่คือเกียรติยศมหาศาล และคือความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ หวังว่าพวกเจ้าจะให้เกียรติตนเอง อย่าสร้างมลทินแก่ยอดนิกาย!”


ในยุคโบราณ สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนจุติ รบราฆ่าฟันคนในอาณาจักรนี้อย่างดุเดือด ยอดนิกายทั้งหลายก้าวออกมาต่อสู้ห้ำหั่น จนสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนล่าถอย


นี่คือความดีความชอบใหญ่หลวง เป็นคุณูปการต่อสิ่งมีชีวิตทั้งปวงในอาณาจักรแห่งนี้


และเพราะเหตุนี้ นางถึงยอมปล่อยไป๋อวี่เฟยไป ยอมไว้ชีวิตเขา


“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร เด็กผู้หญิงฟันไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ริอ่านสั่งสอนข้ารึ!”


ความโมโหบนใบหน้าผู้อาวุโสสิบเจ็ดยิ่งฉายชัด เขาเป็นตัวตนระดับไหน ไฉนเลยจะต้องให้เซี่ยเหยียนมาสั่งสอน?


“ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง คิดว่ามีคันศรวิเศษในมือแล้วจะไร้เทียมทานในใต้หล้ารึ”


เขาเอ่ยเสียงเย็น ฝ่ามือข้างหนึ่งพุ่งไปหาเซี่ยเหยียน


“เจ้าต่างหากที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง คิดว่าตัวเองเป็นจ้าววิถีสูงสุดแล้วจะบดขยี้ข้าได้ตามใจชอบรึ!?”


เซี่ยเหยียนตวาดเสียงเย็น ยกมือเรียกคันศรราชันออกมา ก่อนจะค้อมตัวดึงสาย ยิงศรเล่มหนึ่งใส่ผู้อาวุโสสิบเจ็ด!


ศรปีกอาบแสงพาดผ่านนภา ประดุจสายฟ้ากระหน่ำ ดังครืนครานไม่หยุด!


“เจ้าคิดอะไรอยู่!? ร่างจริงของข้ามาถึงนี่ เจ้ายังกล้าลงมือกับข้าอีกหรือ!?”

ผู้อาวุโสสิบเจ็ดแค่นเสียงเย็น เขาเป็นถึงจ้าววิถีสูงสุด ใช่เด็กเมื่อวานซืนที่ไม่ทันแตะขอบเขตนักบุญอย่างเซี่ยเหยียนจะต่อกรด้วยได้ที่ไหน


ต่อให้เซี่ยเหยียนมีคันศรวิเศษในมือก็ไม่ได้!


ทว่าสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปในไม่ช้า


ภาพที่เคยคุ้นปรากฏอีกครั้ง หลังจากฝ่ามือปะทะกับศรอาบแสง ฝ่ามือของเขาก็ถูกแทงทะลุในพริบตา เลือดสาดกระเซ็น!


ร่างอวตารของผู้อาวุโสสิบเจ็ดก็เป็นเช่นนี้ ถูกแทงทะลุในศรเดียว แม้กระทั่งร่างอวตารยังถูกทำลายราบคาบ!


“นี่มันเป็นไปได้อย่างไร!?”


หน้าตาเขาเปี่ยมไปด้วยความเหลือเชื่อ ไม่อาจทำใจเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นได้ลง


ราชันเทวาตนหนึ่งเท่านั้น เหตุไฉนถึงรีดเค้นพลังได้กล้าแกร่งจนน่ากลัวถึงเพียงนี้


เรื่องนี้เกินความรู้ที่เขามี


ยิ่งศาสตราวุธทรงพลังเท่าใด ยามรีดเค้นยิ่งเปลืองพลังเท่านั้น เซี่ยเหยียนเพิ่งจะอยู่ขอบเขตราชันเทวา ต่อให้ผลาญพลังในตัวจนเกลี้ยงก็ไม่อาจรีดเค้นพลังระดับนี้ออกมาได้!


มิหนำซ้ำเซี่ยเหยียนยังดูสบายเหลือแสน ไม่กดดันแม้แต่น้อย!


ทว่าเขาไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เขาได้รับบาดเจ็บ โดยศรที่เซี่ยเหยียนยิงออกมา!


ทว่ายังดีที่เขาแข็งแกร่งกว่าร่างอวตาร แม้บาดเจ็บ แต่ก็ไม่สาหัสนัก ศรนี้ของเซี่ยเหยียนจึงยังไม่เพียงพอที่จะฆ่าเขาได้


‘นี่คงเป็นขีดจำกัดของข้าแล้วกระมัง…’


เซี่ยเหยียนคิดในใจ


การรีดพลังของคันศรราชันไม่เกี่ยวกับพลังในตัว แต่เกี่ยวกับวิถีธนู ยิ่งนางมีความสำเร็จด้านวิถีธนูสูงปานใด แสนยานุภาพที่สำแดงได้นั้นก็ยิ่งแข็งแกร่ง


ท้ายที่สุดแล้วนางยังด้อยพลังกว่าหลิงอินมาก


เมื่อครั้งหลิงอินอยู่ในขอบเขตราชันเทวา สามารถใช้คันศรยิงสิ่งมีชีวิตที่มีกำลังรบระดับมหาจักรพรรดิได้แล้ว


ส่วนนางยังห่างชั้นอยู่มาก อย่าว่าแต่กำลังรบระดับมหาจักรพรรดิเลย ลำพังจ้าววิถีสูงสุดนางในตอนนี้ก็ยากจะสังหารลงได้


ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!


พลังของทองไม้น้ำไฟดินซัดสาด ผู้อาวุโสสิบเจ็ดใช้มหาวิชาปัญจธาตุ


ไป๋อวี่เฟยเคยใช้มหาวิชาปัญจธาตุนี้เช่นกัน ทว่าเทียบกับผู้อาวุโสสิบเจ็ดแล้ว ต่างกันราวฟ้ากับดิน!


คล้อยตามการสำแดงฤทธิ์ของมหาวิชาปัญจธาตุ พลังของผู้อาวุโสสิบเจ็ดเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ อย่าให้พูดเลยว่าน่าประหวั่นพรั่นพรึงปานใด!


“วันนี้เจ้าไม่มีทางรอด!”


นัยน์ตาของเขาเย็นยะเยือก จิตสังหารท่วมท้นนภา วันนี้เขาจะปลิดชีพเซี่ยเหยียนให้จงได้!