376-380

บทที่ 376

“ประหลาดจริงเชียว!”


มังกรกระดูกเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ ใช้บารมีข่มเหงแยกออกจากกันหรือ แดนสังสารวัฏของพวกมันเคยทำเช่นนี้ที่ไหน?


แม้ว่าแดนสังสารวัฏไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวอาณาจักรเก้าแดนต้องห้าม แต่พวกมันก็ไม่ไปยุ่มย่ามกับอาณาจักรเก้าแดนต้องห้าม โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้


ดินแดนแห่งนั้นมีวี่แววปรากฏตัวในยุคสมัยนี้ พวกมันไฉนเลยจะสร้างเรื่องสร้างราว ต่างเตรียมตัวต่อสู้กับดินแดนนั้นสุดกำลัง


“ข้ามองว่าพวกเจ้าตั้งใจผนึกกำลังยึดรวบแดนสังสารวัฏของข้า เพื่อเพิ่มพูนพลังของพวกเจ้ามากกว่า!”


มังกรกระดูกยิ้มเย็น นึกถึงความเป็นไปได้นี้


ดินแดนแห่งนั้นสูงส่งเกินหยั่ง มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เก้าแดนต้องห้ามตระหนักถึงเรื่องนี้ดี ที่เฝ้าวางแผนมานานนมก็เพื่อดินแดนนั้น


ทว่าดินแดนนั้นน่าประหวั่นพรั่นพรึงและอันตรายเกินไป ไม่ว่ากองกำลังฝ่ายไหนก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าสามารถชิงชัยในดินแดนนั้นได้


ดั่งเช่นที่เขาว่า เก้าแดนต้องห้ามผนึกกำลังต่อกรกับแดนสังสารวัฏ เพื่อยึดครองแดนสังสารวัฏและเพิ่มพูนพลังของแต่ละแดน


“เจ้าอยากพูดอะไรก็ตามใจ วันนี้พวกเราย่อมต้องบุกเข้าไปในแดนสังสารวัฏให้ได้!”


“ถูกต้อง!”


ยอดฝีมือจากเก้าแดนต้องห้ามาแค่นเสียงเย็น ท่าทีแน่วแน่ หมายจะเข้ารุกรานแดนสังสารวัฏ


“เช่นนั้นก็…มาสู้กันเถิด!”


มังกรกระดูกมิได้เอ่ยสิ่งอื่นต่อ และกลับเข้าไปในแดนสังสารวัฏ


จากนั้นเสียงแตรดังขึ้น เป็นเสียงแตรที่บ่งบอกถึงการเปิดฉากสงคราม!


“ฆ่า!”


“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!”


เสียงกู่ร้องสั่งฆ่าดังสนั่นไปถึงนภา ยอดฝีมือในตำหนักต่าง ๆ แห่งแดนสังสารวัฏพากันบุกออกมา สงครามปะทุอย่างสมบูรณ์


“ไปเถิด พี่เซียว ท่านกับข้าสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่!”


ผู้ตรวจการหัวเราะร่วน เอ่ยปากเชื้อเชิญ


เก้าแดนต้องห้ามมากันยิ่งใหญ่เพียงนี้ ไฉนเลยจะจบลงด้วยดี?


เขาคิดมานานแล้วว่าศึกนี้ต้องปะทุ ไม่อาจหลีกเลี่ยง จึงเตรียมการไว้ล่วงหน้า


“ไป!”


จักรพรรดิหมากรุกหวงหลงตอบรับ สั่งให้ยอดฝีมือทุกตนในตำหนักออกไปต่อสู้ ขณะเดียวกัน เขาและผู้ตรวจการบุกออกไปพร้อมกัน


ศึกนี้น่าพรั่นพรึงเหลือแสน ดวงดารานอกแดนสังสารวัฏแทบถึงกาลอวสานไปด้วย ดวงดาวร่วงหล่นดวงแล้วดวงเล่า ภาพการณ์น่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง!


ด้านตำหนักหลักมียอดฝีมือชั้นยอดออกจู่โจม แต่ละคนล้วนมีพลังปราณน่าสยดสยอง ทุกกระบวนท่าล้วนมีพลังระดับที่พร้อมทำลายล้างใต้หล้าไหลเวียน


พวกเขาทั้งหมดคือกำลังรบระดับเทียนตี้ มีทั้งหมดหกตนด้วยกัน แข็งแกร่งเหนือจินตนาการและเข้าต่อสู้อยู่แนวหน้าสุด ห้ำหั่นกับยอดฝีมือชั้นยอดของเก้าแดนต้องห้าม


ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือศึกบันลือโลก ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีสงครามระดับนี้อุบัติมาก่อน อย่างน้อย ๆ ก็ไม่มีในจารึก!


กำลังรบระดับเทียนตี้ ไม่ว่าในยุคสมัยไหนก็ล้วนเป็นระดับที่หาได้ยากยิ่ง มีจำนวนเพียงหยิบมือเท่านั้น


“จับโจรต้องจับหัวหน้าก่อน จะฆ่าก็ฆ่าตัวใหญ่หน่อย สหายข้า ตามข้าไปสังหารเจ้าแกนนำผู้นั้น!”


จักรพรรดิหมากรุกหวงหลงตะโกน ร้องเรียกผู้ตรวจการให้ไปฆ่าแกนนำยอดฝีมือคนหนึ่งด้วยกัน


“มาแล้วสหายข้า!”


ผู้ตรวจการมิได้สงสัยแต่อย่างใด ปลิดชีพยอดฝีมือแดนต้องห้ามตนหนึ่งในฝ่ามือเดียว แล้วมาอยู่ข้างกายจักรพรรดิหมากรุกหวงหลง


นี่คือยอดฝีมือระดับตี้หวง พลังรบในตัวน่าพรั่นพรึงเป็นหนักหนา มียอดฝีมือแดนสังสารวัฏตายด้วยน้ำมือยอดฝีมือระดับตี้หวงผู้นี้ไม่น้อย


“ฆ่า!”


ผู้ตรวจการดุดันไร้ใครเทียม ไม่มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย เขาบุกอยู่ด้านหน้าสุด มือถือง้าวรบเล่มหนึ่ง เข้าสัประยุทธ์อย่างดุเดือดกับยอดฝีมือตี้หวงผู้นั้น


จักรพรรดิหมากรุกหวงหลงล่วงรู้ขอบเขตพลังของผู้ตรวจการตั้งแต่ที่เขาลงมือก่อนหน้า ผู้ตรวจการอยู่ในขั้นตี้หวง


ส่งผลให้เขาโล่งอกขึ้นมา ตี้หวงถือว่าฆ่าได้ง่าย หากผู้ตรวจการเป็นตี้จวิน คงยากขึ้นอีกมาก


‘หันหลังให้ข้าเช่นนี้ หากข้าไม่ฟันสักดาบคงละอายต่อตัวเองแย่แน่!’


จักรพรรดิหมากรุกหวงหลงจ้องมองแผ่นหลังของผู้ตรวจการ น้ำลายแทบไหลออกมาขณะคิดในใจ


“สหายข้า ข้าช่วยเอง!”


เขาตะเบ็งเสียง เรียกดาบใหญ่เล่มหนึ่งออกมา นี่คือดาบสังสารวัฏ เป็นอาวุธที่นายตำหนักมีในครอบครอง หลังเขาฆ่านายตำหนักไปแล้วก็เก็บดาบเล่มนี้ไว้


“คอยดูการเฉือนของดาบข้า!”


เขาฟาดฟันออกไปข้างหน้า ดุดันไร้ใครเทียม ดาบสังสารวัฏเปล่งประกายน่าหวาดหวั่น พิศวงและน่ากลัว


“สหาย เราสองร่วมมือ การกำราบเขามิเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ หรือ”


ผู้ตรวจการหัวเราะลั่น มั่นใจเต็มเปี่ยม


ทว่าไม่นาน รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็แข็งทื่อไป


เขาหันกลับไปมองพลางเอ่ย “สหายข้า ท่านฟันผิดคนหรือไม่”


ให้ตายสิ ดาบนี้ฟันเข้าที่หลังของเขา จนเขาเกือบขาดเป็นสองท่อน!


“ขออภัย เราสองพี่น้องมิได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันนาน บัดนี้ได้ร่วมสู้ศัตรู ข้าเต็มตื้นเกินไป จึงฟันผิดทิศ”


จักรพรรดิหมากรุกหวงหลงรีบขอโทษผู้ตรวจการ


เขาคิดในใจไปว่าผู้ตรวจการผู้นี้ฉกาจนัก ฟันดาบเข้าไปขนาดนี้แล้วหมอนี่ยังไม่ตายอีก


“ฟันโดนตัวท่าน เจ็บที่ใจข้า มาเถิด สหายข้า หากเป็นพวกพ้องกันจริงก็มาฟันข้าสักดาบ ชดใช้ความผิดเมื่อครู่ของข้า!”


เขามีหน้าตาละอาย อ้าแขนออกเพื่อให้ผู้ตรวจการฟันเขาคืน


“สหายข้าพูดอันใดกัน ข้าจะฟันท่านได้อย่างไร ท่านหาได้ตั้งใจไม่”


เดิมทีผู้ตรวจการณ์ขุ่นเคืองใจมาก แต่เห็นท่าทีเช่นนี้ของจักรพรรดิหมากรุกหวงหลง ความขุ่นเคืองพลันอันตราธานสิ้น


นี่คือสหายที่ร่วมเป็นร่วมตายมากับเขา ทั้งยังรับใช้แดนสังสารวัฏด้วยกัน เขาคิดไม่ออกว่ามีเหตุผลใดที่อีกฝ่ายต้องทำร้ายตน คิดว่าเป็นเพราะความเต็มตื้นจริง ๆ


“ระหว่างพวกพ้องไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ รีบฆ่าเจ้านี่ให้ได้แล้วค่อยว่ากัน!”


จักรพรรดิหมากรุกหวงหลงชูดาบสังสารวัฏบุกไปหายอดฝีมือจากแดนต้องห้าม


หนนี้ผู้ตรวจการระวังตัวขึ้น อยู่ให้ห่างจากจักรพรรดิหมากรุกหวงหลง บุกโจมตียอดฝีมือแดนต้องห้ามตนนั้นจากอีกด้าน


เขากลัวแล้ว กลัวจักรพรรดิหมากรุกหวงหลงเต็มตื้นจนฟันเขาอีกดาบ!


ศึกนี้เริ่มจลาจล ยอดฝีมือแดนต้องห้ามผู้นั้นความสามารถแกร่งกล้า สู้กันหนึ่งต่อสองยังไม่เสียเปรียบสักนิด


“ไอ้สารเลว ข้าจะฟันเจ้าให้ตาย!”


ท่ามกลางความจลาจล จักรพรรดิหมากรุกหวงหลงยกดาบฟันมั่วไปทั่วสารทิศ เขามิได้ใช้พลังของตัวเอง ตลอดเวลาที่ผ่านมาใช้เพียงพลังสังสารวัฏ เพื่อป้องกันมิให้เปิดเผยตัวตน


พรวด!


เลือดสาดกระเซ็น ดาบสังสารวัฏฟันโดนตัวผู้ตรวจการอีกแล้ว


“สหายข้า ช่วยฟันให้แม่นหน่อยได้หรือไม่”


ผู้ตรวจการบันดาลโทสะ ผนึกกำลังต่อสู้กับนายตำหนักมิสู้ให้เขาต่อสู้คนเดียว เขาโดนลูกหลงจากนายตำหนักอยู่บ่อยครั้ง!


“สู้กันโกลาหลเกินไป คราวหน้าจะระวัง!”


จักรพรรดิหมากรุกหวงหลงตะโกน


“สหายข้าตั้งใจหน่อย!”


ผู้ตรวจการตะโกนบอก บุกเข้ามาจากด้านหลัง


เขามีง้าวรบในมือ พลังปราณสุดสยดสยองปะทุ ง้าวรบตัดผ่านมิติ ตวัดออกไปด้านหน้า!


ทว่าเป้าหมายของง้าวรบมิใช่ยอดฝีมือแดนต้องห้ามผู้นั้น หากแต่เป็นจักรพรรดิหมากรุกหวงหลง!


เขามิได้โง่ ความสามารถมาถึงระดับอย่างพวกเขา เต็มตื้นปานใดก็ไม่มีทางฟันผิดคน


ตั้งแต่ครั้งแรกที่จักรพรรดิหมากรุกหวงหลงฟันโดนเขา เขาก็เอะใจบ้างแล้ว แต่ยังไม่อาจแน่ใจได้เต็มร้อย


และหลังจากที่เขาโดนจักรพรรดิหมากรุกหวงหลงฟันโดนอีกครา ก็แน่ใจได้อย่างสิ้นเชิง


ด้วยเหตุผลใดนั้นเขายังคิดไม่ออก แต่เขาแน่ใจได้ว่าจักรพรรดิหมากรุกหวงหลงคิดฆ่าเขา!


จักรพรรดิหมากรุกหวงหลงคอยจับตาผู้ตรวจการอยู่ตลอด


ทันทีที่ง้าวรบจู่โจมเข้ามา เขาเคลื่อนตัวหลบการโจมตีนี้อย่างรวดเร็ว


“มัวอึ้งอะไรอยู่ รีบรวมพลังฆ่าเขาเสียสิ!”


จักรพรรดิหมากรุกหวงหลงตะโกนใส่ยอดฝีมือแดนต้องห้าม “ซากสุสานอัมพรจงเจริญ!”
บทที่ 377

ซากสุสานอัมพรจงเจริญ?


ยอดฝีมือแดนต้องห้ามผู้นั้นได้ยินแล้วงุนงงไปหมด


นี่มันเรื่องอะไรกัน?


หรือว่านี่คือไส้ศึกที่ซากสุสานอัมพรของพวกเขาส่งไปในแดนสังสารวัฏ?


ลองคิดดูแล้วคงใช่จริง ๆ!


มิฉะนั้น ไยต้องฟันพวกเดียวกันอย่างบ้าคลั่งด้วย!?


เขาเองก็ดูออกว่าจักรพรรดิหมากรุกหวงหลงตั้งใจ มิใช่ไม่ตั้งใจ


ช่างน่าขัน ความสามารถระดับของพวกเขาแล้ว ไฉนเลยจะผิดพลาดในเรื่องง่าย ๆ แค่นี้


เป็นไปไม่ได้!


สุดยอดจริง ๆ!


ซากสุสานอัมพรของข้านี่สุดยอด!


แดนสังสารวัฏยังส่งคนเข้าไปได้!


และดูจากท่าทางคนผู้นี้ เหมือนว่ามีสถานะสูงส่ง คล้ายจะเป็นนายตำหนักแห่งหนึ่งในแดนสังสารวัฏ!


“มาแล้ว มาแล้ว!”


เขารีบร้อนลงมือ ระเบิดพลังโจมตีใส่ผู้ตรวจการ


จักรพรรดิหมากรุกหวงหลงร่วมมือกับยอดฝีมือซากสุสานอัมพร ผนึกกำลังสังหารผู้ตรวจการ


เขาไม่กังวลว่าการที่เขาร่วมมือกับยอดฝีมือจากซากสุสานอัมพรจะถูกผู้ใดเห็นเข้า


ที่นี่โกลาหลเกินไป การห้ำหั่นเกิดขึ้นทุกหนแห่ง ต่อให้เขาร่วมมือกับยอดฝีมือจากซากสุสานอัมพรเข่นฆ่าผู้ตรวจการ ก็ไม่มีทางถูกใครพบเห็น


“เจ้า ๆๆ! ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะทรยศแดนสังสารวัฏ! เจ้าไม่กลัวผนึกที่แดนสังสารวัฏใส่ในตัวเจ้าหรือไร!?”


ผู้ตรวจการแผดเสียงลั่น คาดคั้นเอาคำตอบกับจักรพรรดิหมากรุกหวงหลง


ภายในแดนสังสารวัฏ นอกจากสมาชิกดั้งเดิมของแดนสังสารวัฏ สมาชิกตนอื่นที่มาจากโลกภายนอก แม้กระทั่งผู้ที่ไต่ขึ้นมาถึงตำแหน่งนายตำหนักแล้ว ยังต้องถูกวางผนึกในร่างกายโดยแดนสังสารวัฏ


ด้วยเหตุนี้ จึงแทบไม่มีสมาชิกทรยศแดนสังสารวัฏ ทำให้เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจักรพรรดิหมากรุกหวงหลงจะกล้าหักหลังแดนสังสารวัฏ!


จักรพรรดิหมากรุกหวงหลงไม่พูดจา จู่โจมด้วยวิชาพิฆาตรัว ๆ จนท้ายที่สุด เขาและยอดฝีมือจากซากสุสานอัมพรก็สังหารผู้ตรวจการลงที่นี่ได้!


ผนึกในตัวเขาคลายออกนานแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องห่วงกังวลถึงผนึกอะไรนั่น


ก่อนปลิดชีพผู้ตรวจการลง เขาค้นวิญญาณของผู้ตรวจการ มิใช่เพื่อล่วงรู้สิ่งอื่น แต่เพียงต้องการล่วงรู้เรื่องราวของนายตำหนัก


เขาจำต้องรู้เรื่องราวของนายตำหนักให้มากกว่านี้ ถึงจะไม่เสี่ยงถูกเปิดโปง และสามารถใช้ฐานะนายตำหนักนี้ทำอะไรได้มากกว่านี้!


“ใช้ได้นี่สหาย ข้าคิดไม่ถึงจริง ๆ!”


ยอดฝีมือซากสุสานอัมพรมองจักรพรรดิหมากรุกหวงหลงพลางกล่าวอย่างนับถือ


สามารถแฝงตัวเข้าไปในแดนสังสารวัฏ แล้วยังเป็นถึงนายแห่งตำหนัก ฝีมือน่านับถือยิ่งนัก!


“ชู่ว อย่าพูดดังนัก”


จักรพรรดิหมากรุกหวงหลงทำท่าจุ๊ปากใส่ยอดฝีมือซากสุสานอัมพร จากนั้น เขาฉวยโอกาสที่ยอดฝีมือซากสุสานอัมพรไม่ทันระวัง ฟันดาบใส่ยอดฝีมือซากสุสานอัมพรอย่างแรง!


ยอดฝีมือซากสุสานอัมพรคิดไม่ถึงเลยว่าจักรพรรดิหมากรุกหวงหลงจะลงมือกับเขา ถึงอย่างไรเมื่อครู่เขาก็เพิ่งร่วมมือฆ่าผู้ตรวจการกับจักรพรรดิหมากรุกหวงหลงไป!


เพราะไม่ได้ระวังตัว จึงถูกจักรพรรดิหมากรุกหวงหลงฟันเข้าที่คอ ศีรษะร่วงหล่นลงมาในบัดดล!


นี่มันเรื่องบ้ากระไร!


ตกลงจักรพรรดิหมากรุกหวงหลงเป็นคนฝ่ายไหนกันแน่!?


เหตุใดถึงลงมือกับทั้งสองฝ่าย?


ความคิดนี้ปรากฏในใจของยอดฝีมือซากสุสานอัมพร ทว่าน่าเสียดายนัก จักรพรรดิหมากรุกหวงหลงลงมือฉับไว ฟันลงมาอีกหลายดาบ เขาไม่ทันได้ตอบโต้ก็ถูกจักรพรรดิหมากรุกหวงหลงสังหารลงที่นี่!


“คราวหน้าคราวหลังจำไว้ จะฆ่าผู้ใดให้ฟันที่หัว อย่าได้ฟันเข้าจุดอื่น ฟันหัวเท่านั้นที่สามารถจบชีวิตในดาบเดียว!”


จักรพรรดิหมากรุกหวงหลงคลี่ยิ้มพลางหัวเราะ หลังสังหารผู้ตรวจการไปแล้ว หินที่ถ่วงอยู่ในใจเขาก็เบาลงได้ในที่สุด


นอกจากนี้ เขายังได้ข้อมูลของนายตำหนักมามหาศาล ซึ่งช่วยเขาได้มาก ทำให้เขาหลอมรวมกับฐานะนายตำหนักได้ดียิ่งขึ้น


“ฆ่า ฆ่า ฆ่า!”


จากนั้น จักรพรรดิหมากรุกหวงหลงเข้าต่อสู้เต็มกำลังตัวชุ่มไปด้วยโลหิต บุกไปหาสิ่งมีชีวิตฝ่ายซากสุสานอัมพร


ศึกนี้ย่อมไม่มีทางจบลงง่าย ๆ ตราบใดที่การต่อสู้ระหว่างกำลังรบระดับเทียนตี้ตัดสินแพ้ชนะไม่ได้ ศึกนี้ก็ยังไม่จบ


ถึงอย่างไรนี่ก็มิใช่สงครามเหมือนของมนุษย์ จุดสำคัญที่ตัดสินผลแพ้ชนะของสงครามอยู่กับฝ่ายที่แข็งแกร่งสูงสุด


และการต่อสู้ระหว่างกำลังรบระดับเทียนตี้ คงไม่จบลงในช่วงเวลาสั้น ๆ


กำลังรบระดับนี้สยดสยองเกินไป พลังที่พวกเขาครอบครองมหันต์เหนือจินตนาการ ซ้ำยังมากด้วยวิชานานัปการ ไม่อาจตัดสินผลได้ง่าย ๆ


...


ณ เมืองชิงซาน เหยียนโจว ดินแดนหยิน


ในบ้านหลิงอิน


หลายวันผ่านไป เสี่ยวหยายอมรับได้ทุกอย่างแล้ว นางรู้ว่าตัวเองตายไปตั้งแต่ยุคโบราณ ต่อมาถูกหลี่จิ่วเต้า หรือก็คือท่านเซียนหลี่ช่วยไว้


“ที่ท่านอาจารย์ฝ่าเส้นทางสังสารวัฏสำเร็จก็เพราะท่านเซียนหรือ”


เสี่ยวหยาถามหลิงอิน


เมื่อครั้งหลิงอินบอกลานางก็เพื่อเข้าไปในเส้นทางสังสารวัฏ สู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอนาคตใหม่


“น่าจะเป็นฝีมือของท่านเซียน!”


หลิงอินกล่าว “หากมิใช่ท่านเซียน เป็นไปได้สูงว่าข้าไม่อาจฝ่าเส้นทางสังสารวัฏได้สำเร็จ เส้นทางสังสารวัฏหาได้บุกผ่านได้ง่าย ๆ มหาจักรพรรดิยังต้องจบสิ้นลงในเส้นทางสังสารวัฏไปนับไม่ถ้วน”


คราวที่ได้พบท่านเซียนคราแรก นางก็รู้สึกว่าที่นางฝ่าเส้นทางสังสารวัฏสำเร็จก็เพราะท่านเซียน บัดนี้ลองมาคิดดูแล้ว ยิ่งรู้สึกว่าเป็นเช่นนั้น


นางเป็นเพียงจ้าวสูงสุดเล็ก ๆ เป็นไปได้อย่างไรที่สามารถฝ่าเส้นทางสังสารวัฏสำเร็จได้ด้วยตัวเอง?


ความเป็นไปได้นั้นน้อยมาก เส้นทางสังสารวัฏมิได้ผ่านออกไปได้ง่าย ๆ


“จริงสิ ข้าบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือ ต่อจากนี้ไปอย่าเรียกข้าว่าท่านอาจารย์อีก เรียกข้าว่าพี่หญิงก็พอ”


หลิงอินกล่าว


นางเล่าข้อห้ามของท่านเซียนให้เสี่ยวหยาฟัง ท่านเซียนท่องโลกมนุษย์ในฐานะปุถุชน นางขอให้เสี่ยวหยาจำให้มั่นว่าห้ามฝืนข้อห้ามของท่านเซียนเด็ดขาด


“ท่านเซียนมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อเรา พวกเราจะทำให้ท่านเซียนไม่พอใจได้อย่างไร เสี่ยวหยา เจ้าต้องจำไว้ให้ดี!”


นางบอกกับเสี่ยวหยาอย่างจริงจังอีกครั้ง


“อืม เสี่ยวหยาจำได้แล้ว เสี่ยวหยาจะไม่ทำผิดเช่นนี้อีกเด็ดขาด!”


เสี่ยวหยาพยักหน้าหนักแน่น


“เจ้าจำได้ก็ดีแล้ว เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าไปเยี่ยมเยียนท่านเซียน!”


หลิงอินบอก


ท่านเซียนช่วยชีวิตเสี่ยวหยาไว้ ช่วยให้เสี่ยวหยาฟื้นคืนจากความตาย นางควรพาเสี่ยวหยาไปขอบคุณท่านเซียนทันทีถึงจะถูก


ทว่าเสี่ยวหยาที่เพิ่งคืนชีพขึ้นมาไม่อาจยอมรับทุกอย่างนี้ได้ จวบจนบัดนี้ถึงเพิ่งรับเรื่องราวทั้งหมดไหว


...


ณ จวินโจว ดินแดนหยิน


สถานศึกษาเทียนตี้


นี่คือสถานศึกษาที่เพิ่งร่วมก่อตั้งขึ้นโดยตระกูลซาง ลัทธิเจี๋ยเทียน และตระกูลจักรพรรดิโบราณ ลัทธิจักรพรรดิโบราณอื่น ๆ


เดิมทีสถานศึกษาแห่งนี้ต้องตั้งอยู่บนเหยียนโจว ดินแดนหยิน ทว่าต่อมามีสมาชิกยอดนิกายปรากฏ แสดงให้ทราบโดยทั่วกันว่าจวินโจวต่างหากคือสถานที่สำคัญ จึงตั้งสถานศึกษาไว้ที่จวินโจว


สถานที่สำคัญที่ว่า คือทางเข้าที่สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนอาจใช้


พวกเขาตั้งสถานศึกษาที่นี่ ก็เพื่อหยุดยั้งสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนให้ได้ในทันที


บัดนี้ บุตรสวรรค์และธิดาสวรรค์วัยเยาว์ทั้งอาณาจักรต่างมุ่งหน้ามายังที่นี่เพื่อเข้าร่วมการสอบคัดเลือก เตรียมตัวเข้าร่วมสถานศึกษาเทียนตี้


“เด็กเหล่านั้นไม่เลวทีเดียว เซี่ยเหยียนก็ด้วย ข้าตัดสินใจเดินทางไปเชิญพวกเขาเข้าร่วมสถานศึกษาด้วยตัวเอง”


ผู้เฒ่าผมขาวท่านหนึ่งกล่าว


เขาคือยอดฝีมือที่มาจากยอดนิกาย และบัดนี้ได้เข้าร่วมสถานศึกษาแล้ว


การต่อกรกับอาณาจักรเทียนหยวนจำต้องร่วมแรงร่วมใจทุกคนในอาณาจักร ที่เขาเข้าร่วมสถานศึกษาก็เพื่อชี้แนะบุตรสวรรค์และธิดาสวรรค์รุ่นใหม่


ไม่เพียงแต่เขาที่เข้าร่วม หลังจากนี้จะมียอดฝีมือคนอื่น ๆ จากยอดนิกายเข้าร่วมด้วย


“อาหมิง ให้ข้าไปเถิด”


เด็กหนุ่มผมน้ำเงินคนหนึ่งหัวเราะเบา ๆ เขามาจากยอดนิกายเฉกเช่นเดียวกับผู้เฒ่าผมขาว


“สถานศึกษาเพิ่งก่อตั้งขึ้น มีเรื่องราวมากมายต้องจัดการ อาหมิงอยู่ที่สถานศึกษาดีกว่า เดี๋ยวข้าจะไปเชิญพวกเขาเข้าร่วมเอง”


เด็กหนุ่มผมน้ำเงินกล่าวต่อ


ผู้เฒ่าผมขาว หรือก็คืออาหมิง


ใคร่ครวญแล้วพบว่าเป็นตามที่เขาว่า สถานศึกษาเพิ่งก่อตั้ง มีรายละเอียดยิบย่อยหลากหลายด้านต้องจัดการ อย่างเช่นการตั้งกฎสถานศึกษา การจัดแจงบุคลากรผู้สอน


และบัดนี้เขาคือผู้รักษาการแทนอาจารย์ใหญ่


“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าไปเถิด หากพวกเขาไม่เต็มใจ เจ้าก็อย่าได้ฝืนนัก”


อาหมิงเตือนเด็กหนุ่มผมน้ำเงิน


“สถานศึกษาเทียนตี้เชียวนะ สถานศึกษาอันดับหนึ่งในใต้หล้า พวกเขาไฉนเลยจะไม่เต็มใจเข้าร่วม”


เด็กหนุ่มผมน้ำเงินหัวเราะ ก่อนจะไปจากที่นี่ มุ่งหน้าไปยังแดนบูรพาทิศ เหยียนโจว
บทที่ 378
ณ เมืองชิงซาน


ภายในลานเล็กของหลี่จิ่วเต้า


เขากำลังรำมวย ยืดเส้นยืดสาย หลิงอินพาเสี่ยวหยาเข้ามาในตอนนั้น


“คุณชายซ้อมมวยอยู่หรือ”


หลิงอินคลี่ยิ้ม สะท้อนใจว่าท่านเซียนอยู่ในระดับเกินหยั่งจริง ๆ ลำพังเพลงมวยที่ร่ายรำโดยไม่ตั้งใจยังเปี่ยมไปด้วยจังหวะแห่งเต๋าอันสูงส่ง เข้าร่องเข้ารอยอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับตัวเขาเองคือผู้ตั้งกฎ น่าทึ่งเหลือคณา


อีกด้าน เสี่ยวหยายิ่งสะท้านใจเข้าไปใหญ่


ตั้งแต่เข้ามาในร้าน นางก็สะท้านใจมิได้พัก ต่อให้หลิงอินได้บอกนางไว้ก่อนแล้วว่าท่านเซียนน่าทึ่งและเหนือจินตนาการปานใด


ทว่าเมื่อนางได้ประจักษ์ทุกอย่างด้วยตาตัวเอง ก็ยังไม่อาจสงบใจได้อยู่เนิ่นนาน ตกตะลึงอย่างยิ่งยวด


ภาพอักษร รูปปั้นหยก ทุกสิ่งทุกอย่างในลานเล็ก เพลงมวยของท่านเซียน…ทั้งหมดนี้ล้วนสูงส่งไม่ธรรมดา


“ใช่ อยู่ว่าง ๆ จึงออกกำลังกายเสียหน่อย”


หลี่จิ่วเต้าเก็บหมัด หันมาเห็นเสี่ยวหยา


เสี่ยวหยารูปร่างสะโอดสะอง หน้าตาใสซื่อ ดวงตากลมโตสุกสกาว ดูเหมือนน้องสาวข้างบ้านผู้มีจิตใจดี


“คนผู้นี้คือ?”


เขาถามหลิงอินด้วยความแปลกใจ


นี่คือคนที่ท่านเซียนคืนชีพให้อย่างไร ท่านเซียนไม่ทราบหรือ


จะเป็นไปได้อย่างไร…


หลิงอินหัวเราะในใจ นางติดตามท่านเซียนมานาน รู้ว่านี่คือวิสัยปกติของท่านเซียน ทั้งที่ท่านเซียนล่วงรู้ทุกอย่าง ตั้งแต่อดีตกาลยันปัจจุบัน กระนั้นไม่เคยพูดชี้ชัดสักครั้ง


ในเรื่องนี้ นางคิดได้แต่แรก


หญิงสาวจึงเอ่ยขึ้นว่า “นี่คือญาติทางไกลคนหนึ่งของข้า มีนามว่าเสี่ยวหยา ชื่นชอบการบรรเลงฉินมากเช่นกัน พรสวรรค์ไม่เลว ข้าจึงพานางมาพบคุณชาย”


“สวัสดีคุณชาย!”


เสี่ยวหยาสง่ามารยาทงามขณะกล่าวทักทายท่านเซียน


นางสะท้อนใจเหลือแสนเช่นกัน มีเพียงท่านเซียนเหนือจินตนาการเช่นนี้ถึงสามารถฝืนกฎพื้นฐาน คืนชีพให้นางได้


อย่างที่รู้ว่านางตายไปตั้งแต่เมื่อคราวยุคโบราณแล้ว


ห่างกันถึงสองยุคสมัยแต่ยังฟื้นคืนชีพนางกลับมาได้ ฝีมือระดับนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน นับว่าน่าตกใจยิ่ง!


นางนึกถึงพี่ชายของตน


ก่อนนี้นางเคยถามหลิงอิน ในเมื่อท่านเซียนคืนชีพนางได้ ก็คงคืนชีพพี่ชายของนางได้ใช่หรือไม่


นางอยากให้ท่านเซียนคืนชีพพี่ชายของนางด้วย


ยุคโบราณผ่านมาแล้วนานโข นางคิดว่าพี่ชายของตนเองตายไปแล้ว


ทว่าตอนนั้นหลิงอินได้ปรามนางไว้อย่างจริงจัง ห้ามมิให้เรียกร้องเช่นนี้กับท่านเซียนเด็ดขาด


ครานั้น หลิงอินกล่าวว่า ถึงแม้ท่านเซียนแข็งแกร่งไร้เทียมทาน ขอบเขตพลังลึกล้ำเกินหยั่ง ทว่าการคืนชีพผู้อื่นเป็นเรื่องฝืนกฎสวรรค์ ซ้ำร้ายยังเป็นการคืนชีพแก่ผู้ที่ตายมาแล้วนมนาน


เรื่องแบบนี้ย่อมเกี่ยวพันถึงบ่วงกรรม มีราคาสูง!


นางก้าวสู่เส้นทางฝึกตนแล้วเช่นกัน จึงรู้ว่าสิ่งที่หลิงอินว่ามานั้นไม่ผิด


สรรพสิ่งล้วนขับเคลื่อนด้วยกฎแห่งกรรมที่มองไม่เห็น ปุถุชนเป็นเช่นนี้ ผู้ฝึกตนก็เป็นเช่นนี้


นอกจากนี้ บ่วงกรรมของผู้ฝึกตนยังรุนแรงยิ่งกว่าปุถุชนเสียอีก


ในตอนนั้นเอง นางตัดใจเรื่องขอให้ท่านเซียนคืนชีพพี่ชายของนาง


ท่านเซียนคืนชีพนางได้ ถือเป็นวาสนาสูงสุดของนางแล้ว ท่านเซียนแบกรับไว้หลายอย่างเพื่อนาง นางไม่อาจเห็นแก่ตัวถึงปานนั้น ขอให้ท่านเซียนคืนชีพพี่ชายของนางอีก


หากทำเช่นนั้น นางคงนิสัยเสียแย่…


“สวัสดี”


หลี่จิ่วเต้าพยักหน้าให้เสี่ยวหยา ยิ้มบางพลางเอ่ย “มาสิ นั่งสนทนากันตรงนี้”


ลานสองแห่งทุบทะลุถึงกัน พื้นที่กว้างขึ้น หลี่จิ่วเต้าจึงสร้างศาลาเล็ก ๆ ไว้ในลาน


เขาบอกให้หลิงอินและเสี่ยวหยานั่งก่อน


ส่วนเขาไปเทชานมสองแก้วให้หลิงอินและเสี่ยวหยาที่ห้องครัว


เด็กผู้หญิง ย่อมชอบดื่มชานมมากกว่า โชคดีที่บ้านเขามีนมอยู่จำนวนหนึ่ง จึงชงชานมมาสองแก้ว


ทว่าโลกนี้แตกต่างจากดาวเคราะห์สีฟ้า คนในโลกนี้มิใคร่ดื่มนมเท่าใด ไม่มีขายด้วยซ้ำ


“ชานม…?”


ใบหน้าเสี่ยวหยาแดงระเรื่อด้วยความขวยเขิน ตั้งแต่หย่านมมา นางก็ไม่เคยดื่มนมอีกเลย…


นอกจากนี้นางประหลาดใจด้วยว่านมนั้นผสมดื่มกับชาได้ด้วยหรือ?


นางได้ยินท่านเซียนกล่าวว่านี่คือเครื่องดื่มที่ผสมนมกับชาเข้าด้วยกัน


“นมอร่อยมาก อีกทั้งมีประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นของบำรุงชั้นดี! นอกจากนี้ นมยังปรุงเป็นอาหารเลิศรสได้มากมาย อย่างเช่นขนมเนย (เค้ก) ซวนไหน่ก้อน (โยเกิร์ตก้อน) น่าเสียดาย แม่วัวบ้านตาลุงอู๋ตายไปแล้ว ไม่อย่างนั้นข้ายังทำขนมเนยให้พวกเจ้ากินได้อีกด้วย”


หลี่จิ่วเต้าพูดอย่างนึกเสียดาย


ตาลุงอู๋รู้ว่าเขาชอบดื่มนม จึงส่งนมมาให้เขาอยู่บ่อย ๆ


ทว่าเช้าวันนี้ ตอนตาลุงอู๋ส่งนมมาให้เขาได้บอกเขาว่าแม่วัวในบ้านตาย ต้องหยุดส่งนมไปพักหนึ่ง รอให้แม่วัวน้อยโตเต็มวัยแล้วถึงส่งนมมาให้เขาได้ใหม่


นี่คือความชอบส่วนตัวของท่านเซียนหรือ


เสี่ยวหยาคิดในใจอย่างอดไม่ได้


มีผู้ใหญ่ดื่มนมที่ไหนกัน เด็กอายุไม่กี่ขวบก็เลิกดื่มกันแล้ว…


“ข้าไม่อยากดื่ม…”


นางร้องไห้ในใจ รู้สึกอับอายเต็มประดา ไม่อาจทำใจดื่มชานมลงไปได้จริง ๆ


แม้ว่าดมกลิ่นแล้วหอมใช้ได้ ทว่านางยังมีปมในใจ…


ขาดแคลนนมหรือ


ความคิดในใจของหลิงอินกลับแตกต่างจากเสี่ยวหยา


นางจดจำไว้ในใจ


หลี่จิ่วเต้าหัวเราะ “ฮ่า ๆ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ลองชิมรสชาติดูเถิด ชานมเย็นแล้วคงไม่อร่อย”


หลิงอินไม่คิดมาก นางรู้ว่าฝีมือท่านเซียนล้วนแต่เยี่ยมยอด ชานมแก้วนี้ต้องอร่อยมากอย่างแน่นอน


ถึงแม้ก่อนหน้านี้นางเองก็ไม่เคยดื่ม แต่นางเชื่อในฝีมือท่านเซียน


ฝีมือท่านเซียนไม่เคยทำให้ผู้ใดผิดหวัง แต่ละอย่างล้วนน่าทึ่งเป็นที่สุด!


นางดื่มเข้าไปคำหนึ่ง ตามคาด กลิ่นหอมเข้มขนของนมบวกกับความหอมกลมกล่อมของใบชา ชานมแก้วนี้อร่อยยิ่ง!


อีกด้าน เสี่ยวหยายังต่อสู้กับตัวเองในใจ


นางข้ามปมในใจนั้นไม่ได้จริง ๆ


เฮ้อ ตายเป็นตาย ใครใช้ให้ท่านเซียนช่วยนางไว้ คืนชีพให้นางเล่า!


นางรวบรวมความกล้า จิบเข้าไปอึกหนึ่ง


ทันทีที่อึกนั้นเข้าปาก นางก็ตะลึงอึ้งไปหมด ตาโตประดุจลูกกระพรวน


นี่…นี่…นี่มันอร่อยเกินไปแล้ว!


สำหรับนาง นี่คือรสชาติอันใหม่เอี่ยม นางไม่รู้ควรอธิบายด้วยคำใด ความหอมหวานอบอวลอยู่ในปาก อร่อยจนนางรู้สึกว่านี่คือเครื่องดื่มที่อร่อยที่สุดในใต้หล้า!


สุราเซียนกลั่นก็ได้เท่านี้กระมัง!


นางคิดในใจ


เอ๊ะ นี่มิใช่สุราเซียนกลั่นหรอกหรือ


นี่คือฝีมือการปรุงของท่านเซียนนี่!


นางคิดในใจต่อ


อึก อึก!


นางดื่มรวดเดียวหลายอึก ประหนึ่งคนที่ขาดแคลนน้ำมาหลายวันในทะเลทราย ความเขินอายที่เคยมีในใจหายไปไหนก็ไม่รู้แล้ว!


“หอม…อร่อยยิ่ง!”


นางอดไม่ได้พูดออกมา รสชาติชวนระลึกยิ่ง ได้ดื่มแก้วหนึ่งแล้วยังอยากดื่มต่ออีกแก้ว


ท้ายที่สุด นางดื่มจนไม่เหลือสักหยด ซ้ำยังใช้ลิ้นเลียก้นถ้วยอีกด้วย


เลียฝาโยเกิร์ต?


หลี่จิ่วเต้าเห็นเสี่ยวหยาเลียก้นถ้วยแล้วพลันนึกถึงพฤติกรรมเลียฝาโยเกิร์ตของดาวเคราะห์สีฟ้า


เหมือนจริง!


เสน่ห์ของเครื่องดื่มแสนอร่อยเป็นแบบเดียวกันหมดสิท่า ไม่มีใครอยากปล่อยให้เสียของ


“อ๊ะ ขออภัยคุณชาย คุณชายต้องหัวเราะเยาะแล้ว ชานม…ชานมแก้วนี้อร่อยมาก!”


เสี่ยวหยาเห็นหลี่จิ่วเต้ากำลังมองนาง แก้มแดงก่ำในบัดดลประหนึ่งลูกผิงกั่วสุก


น่าอายเหลือเกิน!


นางรู้สึกขายหน้ายิ่ง อยากแทรกแผ่นดินหนีไปเสีย


ที่สำคัญคือชานมนี้อร่อยเหลือเกิน อร่อยจนนางไม่อยากปล่อยให้เสียของสักหยด อร่อยจนนางอยากดื่มต่อไปเรื่อย ๆ


อีกด้าน หลิงอินปิดปากหัวเราะเสียงเบา ท่าทางเช่นนี้ของเสี่ยวหยาตลกจริงเชียว
บทที่ 379

หลี่จิ่วเต้าเห็นท่าทางเขินอายของเสี่ยวหยาแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้


เขากล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร ที่บ้านเกิดของข้ามีหลายคนที่เลียหลังจากดื่มหมดแล้วเพื่อไม่ให้เสียของ


“คนที่บ้านเกิดของคุณชาย?”


เสี่ยวหยาตกตะลึง บ้านเกิดของท่านเซียนคือภพเซียนใช่หรือไม่?


“ใช่แล้ว เมื่อพวกเขากินโยเกิร์ตก็จะทำเช่นนี้ พูดถึงโยเกิร์ตแล้ว...ช่างน่าเสียดายที่ไม่มีนม คงจะดีไม่น้อยหากทำโยเกิร์ตได้”


ชายหนุ่มส่ายหัว เมื่อคิดถึงรสชาติของโยเกิร์ต ก็เหมือนมีรสชาติหวนกลับขึ้นมาในปาก


“พวกเขาล้วนดื่ม...นมวัวหรือ?”


เสี่ยวหยาอดถามขึ้นมาไม่ได้


คนในภพเซียนของท่านเซียนไม่รู้สึกว่าการดื่มนมเป็นเรื่องน่าอายหรอกหรือ?


มีเพียงทารกแรกเกิดเท่านั้นที่ดื่มนม!


แม้ว่ารสชาติของนมจะอร่อยมากก็ตามเถอะ!


“ดื่มสิ”


หลี่จิ่วเต้ากล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ข้าบอกไปแล้วไม่ใช่หรือ ว่านมเป็นของดี การดื่มนมนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกาย คนในบ้านเกิดของข้าดื่มมันเป็นประจำแทบทุกวันทั้งเด็กและผู้ใหญ่”


นี่...นี่...นี่!


คำตอบของหลี่จิ่วเต้าทำให้เสี่ยวหยาคาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก


นมดีขนาดนั้นเชียวหรือ?


คนในภพเซียนของท่านเซียนถึงดื่มมันประจำแทบทุกวันทั้งเด็กและผู้ใหญ่!


ดูเหมือนว่านมจะเป็นของดีจริง ๆ ดื่มเข้าไปแล้วมีประโยชน์ต่อร่างกาย!


เสี่ยวหยาตัดสินใจได้แล้ว ต่อจากนี้ไปนางจะดื่มนมทุกวัน!


ส่วนเรื่องน่าอายหรือไม่นั้น...


คนในภพเซียนของท่านเซียนยังดื่มทุกวัน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ น่าอายตรงไหนกัน!


ไม่ใช่เรื่องน่าอายสักนิด!


เป็นพวกนางที่ไม่รู้คุณประโยชน์ของนมเอง!


ในตอนนั้นเอง นางก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นภายในร่างกายของนาง


อวัยวะทั้งหมดในร่างกายของนางเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงทำงานได้คล่องแคล่วมากยิ่งขึ้น แก่นกำเนิดชีวิตก็พุ่งขึ้นสูงด้วยความเร็วอันบ้าคลั่งเหนือจินตนาการ!


“กระดูกของข้า...”


นางตกใจจนไม่รู้จะเอ่ยออกมาอย่างไร รับรู้ได้ว่ากระดูกในร่างกายของนางก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน มีอักขระมากมายโผล่มาจากกระดูกของนาง ซึมผสานเข้าไปในเลือดเนื้อของนาง!


นางรู้สึกว่าตนเองกับกระดูกเกิดความ ‘สนิทชิดเชื้อ’ กันมากขึ้น ตอนแรกนางรู้สึกราวกับว่านี่ไม่ใช่กระดูกของนาง แต่เป็นกระดูกของผู้อื่น


ทว่าตอนนี้มันกลับกลายเป็นกระดูกของนางไปแล้วจริง ๆ!


“ของบำรุงชั้นดี มีประโยชน์ต่อร่างกาย!”


ในใจของนางนึกถึงสิ่งที่ท่านเซียนพึ่งกล่าวออกมา ก่อนจะเข้าใจความหมายทันที


ที่แท้ท่านจุดประสงค์ที่ท่านเซียนมอบชานมให้กับนางก็อยู่ตรงนี้!


แม้ว่านางจะฟื้นคืนชีพมาแล้ว ทว่าร่างกายก็ยังคงอ่อนแอ ไม่สามารถเข้ากันได้กับกระดูกของตนเอง


ท่านเซียนมอบชานมให้นางดื่ม ก็เพื่อบำรุงร่างกาย ทำให้นางสามารถหลอมรวมเข้ากับกระดูกของตนเองได้อย่างเต็มที่


“ประโยชน์ดูเหมือนจะมีมากกว่านั้น!”


นางรู้สึกว่ากระดูกในร่างกายกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง มันแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม เหมือนได้เกิดใหม่พร้อมพลังที่มากขึ้น อยู่เหนือยิ่งกว่ากระดูกก่อนหน้า!


“นี่คือวิธีของท่านเซียนหรือ? เพียงแค่ชานมหนึ่งแก้วก็สามารถทำเช่นนี้ได้!”


นางทอดถอนใจออกมา ระดับความชื่นชมที่มีต่อท่านเซียนเพิ่มขึ้นถึงระดับสูงถึงที่สุด


หลิงอินเคยกล่าวเอาไว้ว่า แม้กระดูกของน่าจะน่าอัศจรรย์เป็นถึงกระดูกจักรพรรดิแต่กำเนิด ทว่าหลังจากผ่านระยะเวลาอันยาวนาน ทั้งยังเปลี่ยนเจ้าของหลายครั้ง ทำให้สูญเสียพลังในกระดูกไปเป็นอย่างมากจนห่างไกลจากคำว่า ‘กระดูกจักรพรรดิแต่กำเนิด’


ในยามนี้ กระดูกของนางไม่เพียงแต่ฟื้นคืนความแข็งแกร่งดั้งเดิมกลับมา ทว่ายังเหนือล้ำยิ่งกว่าความแข็งแกร่งดั้งเดิมไปมาก!


ตอนนี้มันก็ยังไม่คู่ควรกับชื่อกระดูกจักรพรรดิแต่กำเนิด


ก่อนหน้านี้เพราะมันด้อยกว่าเกินไป


ทว่าตอนนี้เป็นเพราะมันแข็งแกร่งมากกว่าเกินไป!


กระดูกในร่างกายของนางยังคงอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลง ยังห่างไกลจากการเปลี่ยนแปลงจนเสร็จสมบูรณ์ หากถึงการเปลี่ยนแปลงเสร็จสมบูรณ์ กระดูกของนางจะแข็งแกร่งและน่าอัศจรรย์ยิ่งขึ้นไปกว่านี้!


หลิงอินเองก็สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของเสี่ยวหยาได้ ความสำเร็จในอนาคตของเสี่ยวหยาจะต้องสูงมากอย่างไม่ต้องสงสัย สูงเสียยิ่งกว่ากระดูกจักรพรรดิแต่กำเนิดจะทำได้!


นางเองก็กำลังได้รับการบำรุงจากชานม ตัวของนางก็เกิดการเปลี่ยนแปลงจนค่อย ๆ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ


‘นมหรือ? ข้าจะต้องหาวัวมามอบให้กับท่านเซียน!’


หลิงอินกล่าวขึ้นมาในใจ ระหว่างนึกถึงคำพูดของท่านเซียนเมื่อครู่


พวกนางอยู่กับท่านเซียนตลอดทั้งวัน สนทนากันมากมายในเรื่องเกี่ยวกับการเล่นฉิน หลี่จิ่วเต้ารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อพบว่าเสี่ยวหยามีความสามารถด้านการเล่นฉินสูงมาก ทั้งยังมีพรสวรรค์ด้านนี้เป็นพิเศษ


“พรสวรรค์อันหาพบได้ยาก...”


หลี่จิ่วเต้าอดแปลกใจไม่ได้


เสี่ยวหยามีพรสวรรค์ด้านฉินเหนือยิ่งกว่าหลินอินเสียด้วยซ้ำ นับว่าเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นดีต้นหนึ่งอย่างแน่นอน


หากหมั่นเพียรฝึกฝนและชี้แนะดี ๆ ความสำเร็จในด้านฉินของเสี่ยวหยาจะต้องถึงระดับที่ไม่อาจจินตนาการได้อย่างแน่นอน!


“คุณชายช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน!”


เสี่ยวหยาชื่นชมท่านเซียนจากก้นบึ้งหัวใจ


หลังจากได้ฟังท่านเซียนพูดเกี่ยวกับฉินแล้ว นางก็เกิดความตระหนักรู้ขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน ระดับมรรคาแห่งทำนองกู่ฉินของท่านเซียนนับได้ว่าอยู่ในจุดสูงสุดเกินกว่าที่ผู้ใดจะเอื้อมถึง!


ในเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่ชั่วโมง กลับทำให้นางสามารถพัฒนาได้มากยิ่งกว่าการที่นางฝึกฝนด้วยตัวเองเป็นร้อยหรือกระทั่งพันปีเสียด้วยซ้ำ!


“ฮ่าฮ่า ถ้าไม่ใช่เพราะข้าตั้งปณิธานไม่รับศิษย์ ข้าก็คงอยากจะรับเจ้าเป็นศิษย์จริง ๆ! พรสวรรค์ด้านฉินของเจ้ายอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก จนทำให้ข้าชื่นชมเป็นพิเศษ”


หลี่จิ่วเต้าชื่นชอบเสี่ยวหยาเป็นอย่างมาก เป็นครั้งแรกที่เขาเกิดความคิดอยากจะรับลูกศิษย์


ทว่าเขาเป็นคนเกียจคร้านและรักอิสระ หากกลายเป็นอาจารย์ขึ้นมาจริง ๆ เกรงว่าจะไม่สามารถเป็นอาจารย์ที่ดีได้


หากกลายเป็นอาจารย์แล้ว ทุกสิ่งจะแตกต่างไปจากเดิม เขาจะต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสั่งสอนขัดเกลาพรสวรรค์ของเสี่ยวหยา ไม่เช่นนั้นคงไม่คู่ควรกับตำแหน่งอาจารย์


ยอดเยี่ยมปานนั้นเชียว!


หลิงอินตกใจ นางรู้ว่าพรสวรรค์ของเสี่ยวหยานั้นสูงเป็นอย่างมาก แต่ทว่านางก็ไม่คาดคิดว่าจะมากถึงเพียงนี้ แม้กระทั่งท่านเซียนยังให้การประเมินไว้สูง!


หลังจากนั้นนางก็รู้สึกยินดีกับเสี่ยวหยา


ท่านเซียนกล่าวออกมาเช่นนี้ นั่นหมายความว่าพรสวรรค์ด้านฉินของเสี่ยวหยาจะต้องน่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก!


เสี่ยวหยาในอนาคตจะต้องประสบความสำเร็จในระดับสูงสะท้านฟ้าอย่างแน่นอน!


“จริงหรือ?”


เสี่ยวหยาตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ไม่คาดคิดมาก่อนว่าท่านเซียนจะประเมินนางสูงถึงเพียงนี้


“จริงแท้ หากเจ้าไม่เชื่อ เช่นนั้นก็ลองถามหลิงอิน ข้าไม่เคยพูดกับนางเช่นนี้มาก่อน”


หลี่จิ่วเต้าหัวเราะ


“เป็นความจริง ดูเหมือนเสี่ยวหยาจะยอดเยี่ยมกว่าข้าจริง ๆ!”


หลิงอินกล่าวออกมา


“ฮ่าฮ่า เจ้าเป็นต้นกล้าที่ดี หากมีคนชี้แนะเจ้าในด้านฉิน เจ้าย่อมสามารถกลายเป็นปรมาจารย์ด้านฉินได้อย่างง่ายดาย”


หลี่จิ่วเต้ามองเสี่ยวหยา “ถ้าเจ้าไม่รังเกียจก็สามารถมาหาข้าบ่อย ๆ ได้ ข้าเองก็พอจะประสบความสำเร็จในด้านฉินอยู่บ้าง”


ประสบความสำเร็จในด้านฉินอยู่บ้าง?


หลิงอินกล่าวขึ้นมาในใจ ท่านเซียนช่างชอบล้อเล่นเสียจริง หากเสียงฉินของท่านเซียนนับว่าพอประสบความสำเร็จอยู่บ้าง เสียงฉินของพวกนางคงนับว่าไม่อาจทนฟังได้!


เสียงฉินของท่านเซียนไม่เพียงแต่พอเล่นได้ แต่นับได้ว่ายอดเยี่ยมเกินไปเสียด้วยซ้ำ!


“คุณชายถ่อมตัวเกินไปแล้ว ความสำเร็จด้านฉินของท่านนับว่าอยู่จุดสูงสุดอย่างแน่นอน เปรียบประหนึ่งดังขุนเขาสูงตระหง่านทะลุหมู่เมฆ การที่ข้าสามารถขอคำแนะนำจากท่านได้ นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งในชีวิตนี้!”


เสี่ยวหยากล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น


“เจ้าเองก็ยกยอเกินไป”


หลี่จิ่วเต้ากล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเจ้ายอมรับแล้ว จากนี้ก็สามารถมาหาข้าบ่อย ๆ ได้”


เขามองไปที่หลิงอินก่อนจะกล่าวหยอกล้อ “เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าก็อย่าลืมมาด้วยกันกับเสี่ยวหยา มิเช่นนั้นข้าเกรงว่าป้าหวังจะคิดมากอีกครั้ง”


“ไม่ลืม ไม่ลืม!”


ใบหน้าของหลิงอินเปลี่ยนเป็นสีแดง นางเข้าใจว่าท่านเซียนกำลังพูดถึงเรื่องอะไร


ป้าหวังไม่ชอบคิดมากเรื่องอื่น นอกจากเรื่องการแต่งงานระหว่างนางกับท่านเซียน


เมื่อใดก็ตามที่มีหญิงสาวมาหาท่านเซียน ป้าหวังก็จะรู้สึกเป็นกังวลไม่หยุด กลัวว่าท่านเซียนจะถูกผู้อื่นฉกฉวยไป
บทที่ 380

หลี่จิ่วเต้าสนทนากับเสี่ยวหยาและหลิงอินเสียจนมืดค่ำ


เขารั้งเสี่ยวหยาและหลินอิงไว้ให้กินข้าวที่บ้าน


หลังจากทานข้าวกันเสร็จแล้ว ก่อนที่เสี่ยวหยาและหลินอินจะจากไปเขาก็บอกให้ทั้งสองคนรอสักครู่


ชายหนุ่มเดินเข้าไปในห้อง หลังจากนั้นไม่นานก็กลับออกมาพร้อมกับฉินและกระดาษบันทึกเนื้อเพลง


“นี่คือฉินที่ข้าเคยใช้มาก่อน ชื่อของมันคือปี้เทียนชางไห่ (นภามรกตทะเลคราม) คุณภาพของมันนับว่าไม่เลว บัดนี้มอบให้เจ้าใช้งาน เมื่อเจ้ากลับบ้านไปก็สามารถใช้มันเพื่อฝึกฝนได้”


หลี่จิ่วเต้ากล่าวต่อ “ยังมีกระดาษแผ่นนี้ที่บันทึกทำนองเพลง ‘คะนึงหา’ ที่ข้าแต่งขึ้นมาใหม่ เจ้าลองนำมันกลับไปดูให้ดี มันน่าจะสามารถช่วยเหลือเจ้าได้ หากมีสิ่งใดไม่เข้าใจก็สามารถมาถามข้าได้”


พูดตามตรง เขาชื่นชอบเสี่ยวหยาเป็นอย่างมากจริง ๆ จนเกิดความรู้สึกเสียดายที่มาเจอกันช้าไป


ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่มอบฉินที่เขาเคยใช้ให้กับเสี่ยวหยา


นี่คือฉินที่เขาสร้างขึ้นมาเอง หากไม่รวมฉินที่เป็นรางวัลจากระบบแล้ว นับได้ว่ามันเป็นฉินที่เขาใช้งานบ่อยมากที่สุด


“คุณชาย นี่...นี่มันมีค่าเกินไปแล้ว!”


ร่างกายของเสี่ยวหยาสั่นด้วยความตื่นเต้น ไม่คาดคิดว่าก่อนว่าท่านเซียนจะเห็นคุณค่าของนางมากถึงเพียงนี้


ฉินที่ท่านเซียนเคยให้ ทั้งยังมีบันทึกเนื้อเพลงที่ท่านเซียนเขียนขึ้นมาเอง นับว่าเป็นสมบัติระดับสะท้านฟ้าอย่างไม่ต้องสงสัย นาง... ไม่กล้าเอื้อมมือไปรับมันมา!”


“ฉินตัวนี้ได้พบผู้รู้สำเนียง*[1]แล้ว และเจ้าก็คือคนผู้นั้น รับมันไปเถอะ หวังว่าเจ้าจะทำได้ตามที่ข้าคาดหวัง ฝึกฝนทักษะฉินอย่างแข็งขัน”


หลี่จิ่วเต้ามอบฉินและกระดาษบันทึกบทเพลงใส่ในมือเสี่ยวหยา


เทียนตี้จวินฉินซือ*[2] ความหมายของคำว่าอาจารย์หนักหนาเกินไป เขาอายุเพียงยี่สิบ รู้สึกว่าตนเองยังทนแบกรับตำแหน่งอาจารย์ไม่ไหว ไม่เช่นนันนั้นเขาคงต้องการจะรับเสี่ยวหยาเป็นศิษย์จริง ๆ


“ขอบพระคุณคุณชาย!”


เสี่ยวหยาขอบคุณท่านเซียนครั้งแล้วครั้งเล่า นางสาบานในใจว่าจะฝึกฝนฉินให้ดี และจะไม่ทำให้ความคาดหวังของท่านเซียนต้องสูญเปล่า!


หลิงอินที่ได้เห็นนั้นรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก ทว่านางไม่ได้ริษยา ทั้งยังยินดีกับเสี่ยวหยาจากใจจริง นี่เป็นดั่งคำที่ท่านเซียนเคยกล่าวเอาไว้ใช่หรือไม่ ว่าคนดีย่อมได้รับสิ่งตอบแทน?


ต้องเป็นเช่นนั้นแน่!


ทำดีย่อมได้ดี!


สุดท้ายแล้วนางกับเสี่ยวหยาก็บอกลาท่านเซียนแล้วกลับบ้าน


หลี่จิ่วเต้าเองก็มีความสุขมากเช่นกัน


เขากลับเข้าไปในลานแล้วนอนลงบนเก้าอี้โยก ตอนนี้อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ อากาศด้านนอกค่อนข้างจะหนาว


แต่ในลานของเขานั้นไม่ร้อนไม่เย็น อุณหภูมิกำลังพอดี เพราะมีลูกแก้วควบคุมอุณหภูมิอยู่


“เสี่ยวไป๋มานี่”


ชายหนุ่มโบกมือเรียกเสี่ยวไป๋ เจ้าแมวสีขาววิ่งเข้ามากระโจนขึ้นบนร่างของเขาทันที


“ช่างแสนรู้...”


หลี่จิ่วเต้าลูบขนเรียบของเสี่ยวไป๋ ไม่ต้องกล่าวเลยว่ามันสบายมากแค่ไหน


เขารู้สึกว่าเสี่ยวไป๋ไม่ใช่เพียงแค่แมวสีขาวทั่วไปธรรมดา ทว่ามีสติปัญญา บางทีมันอาจจะสามารถก้าวเดินบนเส้นทางการฝึกตน


‘ถ้าสามารถก้าวสู่เส้นทางแห่งการฝึกตนและเริ่มฝึกฝนได้ เสี่ยวไป๋จะสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ใช่หรือไม่?’


หลี่จิ่วเต้าคิดขึ้นมาในใจ


เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็เกิดความฟุ้งซ่านขึ้นมาเล็กน้อย ปีศาจ...ตั้งแต่สมัยโบราณเล่าขานกันว่าปีศาจมีความสวยงามเป็นพิเศษ ทั้งงดงามและทรงเสน่ห์เป็นอย่างมาก!


‘หากเสี่ยวไป๋สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ เกรงว่าจะต้องสวยมากอย่างแน่นอน!’


เขามองแมวสีขาวตัวน้อยในอ้อมแขนก่อนจะกล่าวขึ้นมาในใจ


เจ้าแมวมีขนสีขาวสะอาดทั่วทั้งตัว ดวงตาสุกสว่างราวอัญมณี เทียบกันในหมู่แมวแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเสี่ยวไป๋ก็นับได้ว่าเป็นหนึ่งในแมวที่สวยงามที่สุด


เขาคิดว่าหากเสี่ยวไป๋แปลงร่างเป็นมนุษย์ได้จะต้องงดงามและมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก!


“สรรพสิ่งล้วนมีวิญญาณ ขอเพียงแค่มีคุณสมบัติก็ย่อมสามารถฝึกตนได้ กระทั่งดอกไม้ใบหญ้าเองก็เช่นกัน เสี่ยวไป๋มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด อาจสามารถก้าวเดินบนเส้นทางการฝึกตนได้จริง ๆ...”


ยิ่งหลี่จิ่วเต้าคิดมากเท่าไร ยิ่งรู้สึกว่าเสี่ยวไป๋สามารถฝึกตนได้


ก็ได้!


ไว้คราวหลังเขาจะถามเซี่ยเหยียนว่าเสี่ยวไป๋จะสามารถฝึกตนได้หรือไม่


หากสามารถฝึกตนได้ เขาก็จะขอให้เซี่ยเหยียนช่วยเสี่ยวไป๋ฝึกฝนมุ่งเข้าสู่เส้นทางการฝึกตน


เมื่อคิดถึงเสี่ยวไป๋ที่แปลงร่างเป็นมนุษย์แล้ว เขาก็อดตั้งตารอคอยไม่ได้!


“เมี้ยว เมี้ยว เมี้ยว~”


ลั่วสุ่ยนอนอยู่ในอ้อมแขนของท่านเซียน ไม่ต้องบอกก็ทราบว่ามันสบายมากแค่ไหน


สิ่งเดียวที่นางรู้สึกเสียใจ คือการที่นางไม่สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ ทำได้แต่อยู่ในร่างของแมวมาโดยตลอด...


หากไม่ได้รับคำอนุญาตจากท่านเซียน นางก็ไม่หาญกล้าแปลงร่างเป็นมนุษย์


‘เมื่อไหร่ข้าจะสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้กัน… ข้าเองก็อยากให้ท่านเซียนสอนข้าเล่นฉิน วาดรูป และล่าสัตว์…’


ลั่วสุ่ยกล่าวขึ้นมาในใจด้วยความคาดหวัง


ท้องฟ้ายามราตรีประดับด้วยหมู่ดาวระยิบระยับ แสงอ่อนนวลงดงามทอลงมาจากพระจันทร์สีเงิน


หลี่จิ่วเต้านอนอยู่บนเก้าอี้โยกพร้อมกอดแมวสีขาว ขณะชื่นชมท้องนภายามค่ำคืนอันสวยงามด้วยความสบายอกสบายใจ


...


ภายในแดนหยิน ณ อาณาจักรแห่งหนึ่ง


ที่แห่งนี้มียอดเขาอยู่โดดเดี่ยวสูงตระหง่านจนไม่เห็นยอด ไร้พืชพรรณสีเขียวบนภูเขาสักต้น มีเพียงแต่ความมืดอันไร้ขอบเขตเท่านั้น


จันทราส่องสว่างกลางนภา หากแต่แสงจันทร์กลับถูกม่านหมอกสีดำที่ปกคลุมอยู่สกัดเอาไว้จนสาดส่องลงมาไม่ถึง


บนยอดเขาเดียวดายมีวังใหญ่โตอย่างถึงที่สุดแห่งหนึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเด่น ราวกับเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรแห่งอนธการอันน่าขนลุก


ความจริงแล้ว ที่แห่งนี้ก็เป็นเมืองหลวงแห่งอนธการอย่างแท้จริง


มีแสงสว่างก็ย่อมมีความมืด โลกแห่งการฝึกตนเองก็เป็นเช่นนั้น มีกองกำลังมากมายหลบลี้อยู่ในความมืดไม่ออกมายังแสงสว่าง ส่วนใหญ่พวกเขาเหล่านี้ล้วนป่าเถื่อนโหดเหี้ยม บนมือเต็มไปด้วยเลือด ดำเนินธุรกิจที่ไม่อาจให้ผู้อื่นรู้เห็น


และที่แห่งนี้ก็คือผู้ทรงพลังที่สุดในบรรดากองกำลังมืด รู้จักกันในนามกองกำลังฮวงเฉวียน!


ไม่ว่าจะเด็กหรือคนชรา ได้พบเห็นกองกำลังฮวงเฉวียนก็เท่ากับความตาย!


พวกเขาลึกลับที่สุด และก็น่ากลัวที่สุด ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดล่วงรู้รายละเอียดเกี่ยวกับพวกเขา ไม่รู้กระทั่งพวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทใด


ผู้ที่กองกำลังมืดอื่นไม่กล้าสังหาร พวกเขาล้วนกล้าสังหาร!


กลุ่มที่กองกำลังมืดอื่นไม่กล้าทำลาย พวกเขากล้าทำลาย!


สิ่งที่กองกำลังมืดอื่นไม่กล้าทำ พวกเขาล้วนกล้าทำ!


ทันทีที่เอ่ยนามของกองกำลังฮวงเฉวียนออกมา ผู้ใดก็ตามที่ได้ยินล้วนตระหนกตื่นตกใจ หวาดกลัวไม่หยุด!


ในตอนนั้นเองที่จักรพรรดิหานมาถึง


เขาถูกคนผู้หนึ่งในชุดคลุมสีดำพามายังที่แห่งนี้


‘ขนาดตำหนักสาขายังน่ากลัวถึงเพียงนี้ ฐานทัพหลักที่แท้จริงจะน่ากลัวเพียงใด!?’


หลังจากมาถึงที่นี่ หัวใจของจักรพรรดิหานก็บังเกิดความรู้สึกมากมายไร้ที่สิ้นสุด เขาไม่ได้มาที่นี่เป็นครั้งแรก ในสมัยโบราณเขาเคยมาที่แห่งนี้เพื่อตามหากองกำลังฮวงเฉวียนมาก่อน


ยามนั้นเขาเองก็มายังตำหนักสาขาแห่งนี้อันเป็นสถานที่ที่กองกำลังฮวงเฉวียนใช้รับภารกิจ สำหรับที่กบดานแท้จริงของกองกำลังฮวงเฉวียนนั้นไร้ผู้ใดล่วงรู้


บนอาณาจักรแห่งนี้ไร้ข่าวคราวเกี่ยวกับกองกำลังฮวงเฉวียน จนเขาคิดว่ากองกำลังฮวงเฉวียนได้ล่มสลายไปแล้วในสมัยโบราณ ไม่คิดว่าเมื่อเขาลองติดต่อกับกองกำลังฮวงเฉวียนด้วยวิธีลับ กลับได้รับการตอบกลับ มีสมาชิกจากกองกำลังฮวงเฉวียนมาพบเขาแล้วพาเขามายังที่แห่งนี้


ที่นี่ไม่มีร่องรอยการต่อสู้แม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าสมรภูมิครั้งใหญ่ในสมัยโบราณจะไม่ส่งผลกระทบอันใดกับที่แห่งนี้


‘คิดอะไรอยู่กัน กองกำลังฮวงเฉวียนน่ากลัวอย่างถึงที่สุดไม่ว่าจะในยุคสมัยไหนก็ตาม กระทั่งจักรพรรดิในยุคโบราณก็ยังหวาดเกรง ขนาดข้าสามารถอยู่รอดมาจนถึงวันนี้ได้ นับประสาอะไรกับกองกำลังฮวงเฉวียน!’


จักรพรรดิหานคิดขึ้นมาในใจ รู้สึกว่าก่อนหน้านี้เขาจะคิดมากเกินไปจริง ๆ


เกรงว่าแม้กองกำลังทั้งโลกจะถูกกำจัดสิ้น กองกำลังฮวงเฉวียนก็อาจจะยังอยู่รอดต่อไปได้...



[1] ฉินตัวนี้ได้พบผู้รู้สำเนียง (琴遇知音人) มาจากเรื่องเล่า 高山流水 (ขุนเขาสูงธารน้ำไหล) เล่าว่า โป่หยาผู้ชื่อชอบในเสียงดนตรีได้เล่นบทเพลงสื่อถึงขุนเขาสูงธารน้ำไหล ไร้ผู้ใดเข้าใจความหมายที่บทเพลงเขาสื่อถึง จนได้พบเข้ากับจงจือซีที่สามารถบอกความหมายของท่วงทำนองเขาได้ โป่หยาจึงอุทานออกมาว่า ได้พบสหายที่รู้ใจเขาแล้ว


[2] เทียนตี้จวินฉินซือ (天地君亲师) ห้าความกตัญญูของคนจีนประกอบด้วย 1.เทียนคือฟ้า (天) ผู้ประทานสรรพสิ่งแก่มวลมนุษย์ 2.ตี้คือดิน (地) ให้ได้มีที่อยู่อาศัยทำสิ่งต่าง ๆ 3.จวินคือราชาหรือผู้นำ (君) จัดระเบียบปกครอง 4.ฉินคือพ่อแม่ ญาติพี่น้อง บรรพชน (亲) ที่ให้กำเนิดค่อยปกป้องดูแลจนเติบใหญ่ 5.ซือคือครูอาจารย์ (师) ผู้สั่งสอนให้ความรู้