ยอดเขาเดียวดายตั้งตระหง่าน ลมหนาวรำเพย บรรยากาศทั้งมืดหม่นและแปลกประหลาด มีอีกาดำยักษ์บินผ่านมาเป็นครั้งคราว รอบด้านรายล้อมด้วยหมอกดำ แม้จักรพรรดิหานจะเป็นถึงมหาจักรพรรดิ ก็ยังอดเกิดความขลาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้
เขาจะไม่ขลาดกลัวได้อย่างไร?
ตั้งแต่สมัยยุคก่อนหน้า กองกำลังฮวงเฉวียนก็ทำให้ผู้คนหวาดหวั่น กระทั่งมหาจักรพรรดิยังสามารถกลายเป็นเหยื่อของกองกำลังฮวงเฉวียน ของเพียงแค่หมายตา คนผู้นั้นจะต้องตายอย่างแน่นอน
คนในชุดคลุมสีดำพาเขาไปถึงด้านบนยอดเขาโดดเดี่ยวก่อนเข้าไปในสิ่งก่อสร้างโบราณขนาดใหญ่
จักรพรรดิหานกวาดตามอง ก่อนจะพบว่าที่แห่งนี้ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ยังคงเหมือนในครั้งสมัยโบราณ
ในยุคโบราณเขาเคยมายังที่แห่งนี้ แล้วจ้างวานให้กองกำลังฮวงเฉวียนช่วยสังหารคนให้เขา
เมื่อกองกำลังฮวงเฉวียนลงมือไม่เคยล้มเหลวมาก่อน งานทุกอย่างล้วนเสร็จสิ้นอย่างราบรื่น คนที่เขาต้องการให้ตายถูกกองกำลังฮวงเฉวียนสังหารได้สำเร็จ โดยไม่มีผู้ใดรู้เสียด้วยซ้ำว่าเป็นฝีมือของกองกำลังฮวงเฉวียน
ความน่าเชื่อถือ ความปลอดภัย ความลับ และการรับประกัน นับเป็นจุดเด่นของกองกำลังฮวงเฉวียน
ทว่าราคาค่อนข้างจะสูง ครั้งนั้นค่าตอบแทนที่เขาต้องจ่ายนับว่าไม่น้อย ทั้งยังมหาศาลเป็นอย่างมาก
ด้านในตำหนักโบราณว่างเปล่าไร้ผู้ใด หลังจากพาเขาเข้ามาข้างในแล้วชายในชุดคลุมสีดำก็จากไป เหลือไว้เพียงรูปปั้นสามรูปอยู่กับเขา
รูปปั้นตรงกลางมีขนาดใหญ่ที่สุด แกะสลักขึ้นมาเป็นเผ่าพันธุ์ที่ไม่รู้จัก มีเขาหนึ่งเขาตรงหน้าผาก ด้านบนนั้นเต็มไปด้วยอักขระซับซ้อนมากมาย
ร่างกายของมันใหญ่โตเป็นอย่างยิ่ง ทั้งแข็งแกร่งและเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง ผิวของมันราวกับผิวของจระเข้แข็ง ๆ และเย็นเหยียบ เห็นได้ชัดเจนว่าไม่ใช่เผ่าพันธ์ุมนุษย์อย่างแน่นอน
มันมีหางงองุ่ม ปีกกระดูกขนาดใหญ่สองข้าง เบ้าตาเว้าลึกลงไป ปากแหลมคมดั่งจะงอยปากอินทรี
รูปปั้นที่ขนาบสองข้างมีขนาดเล็กกว่ามาก แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นเผ่าใดเหมือนกัน พวกมันทั้งสองใส่เสื้อคลุมสีเทา มีลักษณะร่างกายแตกต่างกันออกไป เสมือนกับองครักษ์คอยคุ้มกันรูปปั้นตรงกลาง
“เจ้าต้องการซื้อขายสิ่งใด?”
ท่ามกลางความว่างเปล่า พลันมีเสียงดังขึ้นมา เสียงนั้นแหลมคมเป็นอย่างยิ่ง ยากจะระบุได้ว่าเป็นเสียงของบุรุษหรือสตรี
ภาษาที่ใช้ก็ดูเก่าแก่โบราณ ไม่รู้ว่าเป็นภาษาของเผ่าพันธุ์โบราณเผ่าใด
จักรพรรดิหานสงบนิ่งเป็นอย่างมาก ไม่แปลกใจกับเสียงที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาเคยมาที่นี่มาก่อน ย่อมรู้ว่าจะมีเสียงปรากฏขึ้น จึงเตรียมพร้อมมาก่อนแล้ว
“สังหารคน!”
จักรพรรดิหานกล่าวจุดประสงค์ที่มาในครั้งนี้
เขาต้องการจ้างวานให้กองกำลังฮวงเฉวียนสังหารคน
“สังหารผู้ใด?”
เสียงแหลมคมดังขึ้นมาอีกครั้ง
“หลี่จิ่วเต้า เซี่ยเหยียน หลิงอิน อันหลานเสวี่ย อ้ายฉาน...”
จักรพรรดิหานพูดไล่ออกมาทีละชื่อ
จักรพรรดิหานเถาล้มเหลว สิ้นชีพไปอย่างไร้ร่องรอย เขาตระหนักได้ขึ้นมาทันทีว่าพวกหลี่จิ่วเต้านั้นไม่ธรรมดา ไม่ใช่ผู้ที่เขาจะสามารถต่อกรได้
นั่นเป็นเหตุให้ทั้งตระกูลหานต้องรีบอพยพราวกับสุนัขจรจัดรีบวิ่งหนี
ความแข็งแกร่งของพวกหลี่จิ่วเต้าน่ากลัวเป็นอย่างมาก เบื้องหลังของพวกเขาแม้ว่าจะไม่มียอดนิกายหนุนอยู่ แต่ก็เทียบแล้วไม่ต่างอะไรไปจากยอดนิกาย
พลังของจักรพรรดิจากยุคโบราณไม่อาจเทียบได้กับพวกหลี่จิ่วเต้า
หากพวกหลี่จิ่วเต้าร้องขอความช่วยเหลือจากจักรพรรดิยุคโบราณคนอื่น ๆ พวกเขาจะต้องเห็นด้วยและเต็มใจช่วยเหลืออย่างแน่นอน
ความแข็งแกร่งของพวกหลี่จิ่วเต้านั้นน่ากลัวและทรงพลังเกินไป ไม่มีกองกำลังหรือตระกูลโบราณใดกล้าจะเผชิญหน้าโดยตรง
นอกจากนี้ ยอดนิกายจะต้องปฏิบัติอย่างดีกับพวกหลี่จิ่วเต้าแน่
ด้วยความแข็งแกร่งอันน่ากลัวและทรงพลังเช่นนี้ ยอดนิกายจะต้องหาทางผูกมิตรให้ได้แน่นอน
ทุกอย่างล้วนชี้ชัดว่าอนาคตของตระกูลหานไม่สดใสนัก ทั้งยังเต็มไปด้วยความมืดมน การที่พวกเขาหนีมาทำได้เพียงประวิงเวลา ไม่อาจยืดชีวิตให้ยาวมากขึ้นขนาดนั้น
พวกหลี่จิ่วเต้าเป็นหัวใจสำคัญ หากพวกหลี่จิ่วเต้าตายไป สถานการณ์ตึงเครียดที่ตระกูลหานเผชิญอยู่อาจจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้
แม้จะกล่าวได้ไม่เต็มปากว่าสถานการณ์ของตระกูลหานจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทว่าอย่างน้อยพวกเขาก็ยังคงมีความหวังอยู่
หากพวกหลี่จิ่วเต้ายังไม่ตาย พวกเขาคงไม่มีแม้แต่ความหวัง!
ดังนั้นเขาจึงนึกถึงกองกำลังฮวงเฉวียนขึ้นมา
ทว่าในตอนนั้นเขาเองก็ไม่รู้ว่ากองกำลังฮวงเฉวียนยังคงดำรงอยู่หรือไม่
เท่าที่ข่าวสารของตระกูลหานมี กองกำลังฮวงเฉวียนไม่ปรากฏร่องรอยใดออกมาแม้แต่น้อยในยุคปัจจุบัน
สิ่งที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงก็คือ เขาสามารถติดต่อกับกองกำลังฮวงเฉวียนด้วยวิธีลับสำเร็จภายในครั้งเดียว
จักรพรรดิหานครุ่นคิด อาจเป็นเพราะยุคปัจจุบันสภาพแวดล้อมเลวร้ายเกิดไป เกรงว่ากองกำลังฮวงเฉวียนที่ทำแต่งานขนาดใหญ่จะดูหมิ่นผลตอบแทนน้อยนิดที่ยุคปัจจุบันจ่ายราคาได้
สภาพฟ้าดินในยุคปัจจุบันเลวร้ายเกินไป กระทั่งนักบุญยังมีอยู่เพียงน้อยนิด แม้ว่ากองกำลังฮวงเฉวียนจะเปิดประตูรับงาน ก็เกรงว่าจะได้รับค่าตอบแทนต่ำจนน่าเวทนา
“รอสักครู่ พวกเราจำเป็นต้องตรวจสอบเล็กน้อย ก่อนจะยื่นข้อเสนอได้”
เสียงแหลมคมดังขึ้น
“ได้”
จักรพรรดิหานตอบกลับ แล้วรออย่างเงียบงันในห้องโถง
ทว่าภายในของเขากลับกลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก
การทำงานของกองกำลังฮวงเฉวียนนั้นยอดเยี่ยม แต่ราคาค่าตอบแทนแพงเป็นอย่างยิ่ง คลังสมบัติของตระกูลหานก็ว่างเปล่าแล้ว เขาควรจะใช้อะไรเป็นค่าตอบแทนให้กับกองกำลังฮวงเฉวียน?
เขารวบรวมทรัพสมบัติที่เหลืออยู่ทั้งหมดของตระกูลหานเข้าไว้ด้วยกัน ยังมีกระทั่งสมบัติส่วนตัวของเขาเองด้วย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะสามารถทำให้กองกำลังฮวงเฉวียนพอใจได้หรือไม่
“ผู้ที่เจ้าต้องการจะสังหารนั้นไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ความเสี่ยงที่ประเมินออกมาได้คือสูงมาก”
เสียงแหลมคมดังขึ้นมา “กองกำลังฮวงเฉวียนไม่ได้เปิดรับคำขอในยุคปัจจุบัน เครือข่ายข่าวสารทั้งหมดล้วนอยู่ในสภาวะหลับไหล สามารถตรวจสอบข้อมูลได้เพียงผิวเผินเท่านนั้น หากต้องการตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียด จำเป็นต้องปลุกเครือข่ายข่าวสารขึ้นมา ซึ่งราคานี้เจ้าจำเป็นต้องจ่ายล่วงหน้า”
“ไม่ได้สิ...”
ใบหน้าชราของจักรพรรดิหานมืดครึ้มลงทันที
เขาในตอนนี้ก็ยากจนอยู่แล้ว ยังจะต้องมาจ่ายค่าสืบสวนข้อมูลล่วงหน้าอีก?
“นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าควรจะทำอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”
จักรพรรดิหานอดกล่าวขึ้นมาไม่ได้ “ข้ามาเพื่อจ้างวานให้พวกเจ้าสังหารคน พวกเจ้าก็ควรเสนอราคาตามงานที่ได้รับ เหตุใดจึงต้องเพิ่มค่าสืบสวนข้อมูลให้กับข้าด้วย”
ใช้เหตุผลเช่นนี้ได้อย่างไร!
เขามาเพื่อจ้างวานให้สังหารคน ไม่ได้มาเพื่อจ้างวานให้สืบข้อมูล กองกำลังฮวงเฉวียนก็ควรจะเสนอราคาตามงานที่จ้างวาน การสืบสวนเป็นส่วนที่กองกำลังฮวงเฉวียนต้องรับผิดชอบเอง!
ประเด็นหลักคือเขาในตอนนี้ยากจนเป็นอย่างมาก...
“ข้าพูดไปแล้วไม่ใช่หรือว่ายามนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว? กองกำลังฮวงเฉวียนไม่รับงานในยุคปัจจุบัน เครือข่ายข่าวสารอยู่ในสภาวะหลับใหล การจะปลุกเครือข่ายข่าวสารขึ้นมา ย่อมมีราคาที่ต้องจ่าย”
เสียงแหลมคมกล่าว
“หากเจ้าไม่ต้องการจะจ่าย เช่นนั้นก็ต้องขออภัย พวกเราไม่อาจรับการจ้างวานจากเจ้าได้ เจ้าเพียงทิ้งอาวุธศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ชิ้นหนึ่งแล้วจากไปเสีย”
เสียงแหลมคมนั้นกล่าวต่อ
อะไรนะ?
จักรพรรดิหานสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าตนเองได้ยินอะไรผิดไป จึงถามออกมาด้วยสีหน้าแปลกประหลาด “ข้ายังต้องทิ้งอาวุธศักดิ์สิทธิ์ไว้ชิ้นหนึ่งก่อนจากไป?”
“นี่คือราคาที่ข้าพาเจ้ามาถึงที่แห่งนี้”
เสียงแหลมคมตอบกลับ
“...”
จักรพรรดิหานถึงกับพูดไม่ออก
สวรรค์ กองกำลังฮวงเฉวียนจะหน้าเลือดเกินไปแล้ว!
เพียงแค่เขามาที่นี่ก็ต้องจ่ายอาวุธศักดิ์สิทธิ์หนึ่งชิ้น! กองกำลังฮวงเฉวียนช่างหน้าเลือดยิ่งนัก!
“ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน หากเป็นเมื่อก่อนย่อมไม่ต้องจ่ายเช่นนี้ ทว่ากองกำลังฮวงเฉวียนไม่รับงานในยุคปัจจุบัน เมื่อเจ้าติดต่อเข้ามาหาข้า ข้าก็ต้องตื่นจากการหลับใหลและนำทางเจ้ามายังที่แห่งนี้ แน่นอนว่าเจ้าย่อมต้องจ่ายราคาค่าตื่นจากการหลับใหลของข้า”
เสียงแหลมคมกล่าว
ยังจะสามารถไร้ยางอายได้มากกว่านี้อีกหรือ?
จักรพรรดิหานอยากจะพูดออกมาจริง ๆ ว่าข้าติดต่อพวกเจ้าไป แต่พวกเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องมาก็ได้!
ราคานี้ก็ต้องคิดกับเขาด้วย!?
เขานึกเสียใจขึ้นมาภายหลัง หากรู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรก เขาไม่ควรจะมาที่นี่เลย!
กองกำลังฮวงเฉวียนหน้าเลือดอย่างถึงที่สุด!
บทที่ 382
ดำมาก*[1]!
ดำเกินไปแล้ว!
ดำเสียจนทำให้หนังศีรษะของเขาชาหนึบไปทั้งหัว ภายในใจแทบจะทนต่อไปไม่ไหว!
จักรพรรดิหานถึงกับไร้คำจะเอ่ย กองกำลังฮวงเฉวียนเพิ่งกลับมารับคำขอ ไม่ใช่ว่าต้องกินเวลาอีกเป็นปีเพื่อดำเนินตามคำขอหรอกหรือ?
ทว่าเขาไม่สามารถรอนานขนาดนั้นได้
เขาไม่มีหนทางอื่นแล้ว ความหวังเดียวของตระกูลหานคือการทำให้กองกำลังฮวงเฉวียนตอบรับคำขอนี้
“ข้ายอมจ่ายค่าสืบข้อมูล แต่ข้าไม่สามารถรอนานขนาดนั้นได้ ข้าต้องการให้สังหารพวกมันทันที พวกเจ้ายอมรับข้อตกลงนี้หรือไม่?”
จักรพรรดิหานกล่าวออกมา
เขาไม่ต้องการรอให้กองกำลังฮวงเฉวียนเปิดเครือข่ายข้อมูลและดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียด มันเสียเวลานานมากเกินไป
“ไม่มีข้อตกลงใดที่พวกเราฮวงเฉวียนไม่ยอมรับ ตราบใดที่เจ้าสามารถจ่ายได้!”
เสียงแหลมคมตอบกลับ
“ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าก็เสนอราคามา”
จักรพรรดิหานเอ่ย
“ข้อมูลไม่แน่ชัด ประเมินแล้วความเสี่ยงสูง ราคาจึงไม่ตายตัว หลังจากเสร็จสิ้นงานแล้ว พวกเราจะเรียกคิดเงินจากแรงที่พวกเราลงไป”
เสียงแหลมคมพูดขึ้น
ราคาไม่ตายตัว?
กองกำลังฮวงเฉวียนช่างขี้เหนียวนัก ไม่ยอมเสียเปรียบเลยสักนิด!
หากไม่ใช่เพราะเขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริง ๆ จักรพรรดิหานคงหันหลังแล้วจากไป ทั้งยังจะไม่มาข้องแวะกับกองกำลังฮวงเฉวียนอีก!
“ตกลง! พวกเจ้าก็รีบลงมือเสีย!”
จักรพรรดิหานกัดฟัดพูด
“ได้”
เสียงแหลมคมกล่าว “พวกเราสามารถเริ่มลงมือได้ในตอนนี้ แต่ทว่าเจ้าต้องจ่ายค่าตอบแทนส่วนหนึ่งก่อน“
“ว่ามา ข้าจำเป็นต้องจ่ายเท่าใด”
จักรพรรดิหานพูด
“ห้าอาวุธมหาจักรพรรดิ สามโอสถมหาจักรพรรดิ”
เสียงแหลมคมตอบกลับ
“!!!”
หลังจากจักรพรรดิหานได้ยินก็แทบจะกระเด้งตัวออกจากจุดที่อยู่ทันที
ห้าอาวุธมหาจักรพรรดิ สามโอสถมหาจักรพรรดิ!
ราคานี้สูงเกินไป!
ไม่ต้องพูดถึงสภาพของตระกูลหานในปัจจุบันเลย แม้ว่าจะเป็นตระกูลหานในช่วงรุ่งโรจน์ที่สุดยังเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะจ่ายราคาเท่านี้ออกไป
ห้าอาวุธมหาจักรพรรดิยังไม่เท่าไหร่ ตระกูลหานได้ค่อย ๆ รวมรวบมันทีละชิ้นเป็นระยะเวลานาน บางชิ้นก็หลอมขึ้นมาเองจากวัตถุดิบหายาก
นับแล้วมีมากสุดเพียงสิบชิ้น
ทว่าอาวุธมหาจักรพรรดิที่สามารถเหลือรอดสืบทอดจนมาถึงปัจจุบันได้มีเพียงหกชิ้นเท่านั้น
ส่วนโอสถมหาจักรพรรดินั้น พวกเขาไม่มีแม้แต่น้อย!
โอสถมหาจักรพรรดิพบพานได้ยากเกินไป ประสิทธิภาพของมันน่าตื่นตะลึง สามารถยืดอายุของมหาจักรพรรดิผู้หนึ่งได้ บนโลกนี้หากได้รับมาเพียงหนึ่งต้นก็นับว่าดีเพียงใดแล้ว
ตลอดช่วงอายุของตระกูลหาน พวกเขาเคยเป็นเจ้าของโอสถมหาจักรพรรดิเพียงหกต้น และนั่นก็เป็นเพียงยุคก่อนสมัยโบราณกาล
หลังจากผ่านสมัยโบราณกาลมา อย่าว่าแต่หามาครอบครองเพิ่มเลย พวกเขายังไม่เคยเห็นโอสถมหาจักรพรรดิของยุคปัจจุบันเสียด้วยซ้ำ
หลังจากผ่านช่วงรุ่งโรจน์ที่สุดมา พวกเขาก็เหลือโอสถมหาจักรพรรดิที่สมบูรณ์เพียงต้นเดียว
แต่ในตอนนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงโอสถมหาจักรพรรดิหนึ่งต้น กระทั่งครึ่งต้นพวกเขายังไม่มีเลย!
กระทั่งโอสถจักรพรรดิยังมีอยู่เพียงไม่กี่ใบ...
“นี่เป็นราคาขั้นต่ำสุด หลังจากนี้อาจมีเพิ่มเติมขึ้นอยู่กับสถานการณ์”
เสียงแหลมเอ่ยบอก
“ยังจะเพิ่มอีก!?“
สีหน้าจักรพรรดิหานแปรเปลี่ยนเป็นหน้าเกลียด กองกำลังฮวงเฉวียนงกเสียจนกระทั่งกระดูกยังไม่ยอมคาย!
“ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นระดับมหาจักรพรรดิทั้งหมด คำขอก็ไม่ควรมีราคาสูงขนาดนี้!”
จักรพรรดิหานอดกล่าวออกมาไม่ได้
“ปัญหาคือความเสี่ยง ไม่รู้ข้อมูลของพวกเขาแน่ชัด ความเสี่ยงที่พวกเราจะต้องแบกรับจึงมีมาก หากเบื้องหลังพวกเขามีความแข็งแกร่งจนน่าหวาดหวั่น กองกำลังฮวงเฉวียนจำเป็นต้องแบกรับในจุดนี้”
เสียงแหลมคมกล่าว “ถ้าหากรู้ภูมิหลังของพวกเขาแจ้งชัด ค่าตอบแทนคงไม่สูงเช่นนี้”
“แต่นี่ก็ยังมากเกินไป!”
จักรพรรดิหานกล่าว “ข้าไม่สามารถจ่ายราคาสูงขนาดนี้ได้จริง ๆ”
“เช่นนั้นก็ไม่มีสิ่งใดต้องสนทนากันแล้ว ทิ้งอาวุธศักดิ์สิทธิ์เอาไว้แล้วจากไปเสีย”
เสียงแหลมคมไม่สนใจเจรจาต่อกับจักรพรรดิหาน
จักรพรรดิหานกัดฟัน ไม่เต็มใจที่จะจากไป
“ข้าไม่สามารถมอบสิ่งของเหล่านี้ให้ได้ แต่พวกหลี่จิ่วเต้าสามารถทำได้!”
เขากล่าว “พวกหลี่จิ่วเต้ามีของดีมากมายอยู่กับตัว ทั้งยังมีค่ามากกว่าราคาที่เจ้าร้องเรียก! ฆ่าพวกเขา แล้วของดีเหล่านั้นก็จะเป็นของพวกเจ้าทั้งหมด นับว่าพวกเจ้าไม่ขาดทุน!”
“ความคิดเจ้าไม่เลว เหตุใดจึงไม่กล่าวว่าให้พวกข้าไปสังหารคน แล้วค่าตอบแทนที่มอบให้พวกเราคือของดี ๆ บนตัวพวกเขา?”
เจ้าของเสียงแหลมคมถึงกับพูดไม่ออกจริง ๆ
ความคิดของจักรพรรดิหานแปลกใหม่เป็นอย่างยิ่ง เขาต้องการให้คนที่ถูกสังหารจ่ายค่าจ้างให้...
“ข้าเพียงแค่ต้องการจะอธิบายให้พวกเจ้าฟังว่าธุรกิจครั้งนี้จะไม่ขาดทุน...”
จักรพรรดิหานเอ่ยออกมาอย่างหมดหนทาง เขาไม่รู้ต้องทำสิ่งใดแล้วจริง ๆ จึงได้แต่พูดออกมาเช่นนี้โดยหวังว่ากองกำลังฮวงเฉวียนจะยอมรับ
เขาจึงกล่าวต่อไป “ข้าไม่สามารถจ่ายค่าตอบแทนที่สูงขนาดนั้นได้ มากสุดที่ข้าสามารถจ่ายได้มีอาวุธมหาจักรพรรดิสามชิ้น อาวุธจักรพรรดิหกชิ้น และสิ่งเหล่านี้...”
พูดจบเขาก็หยิบของออกมาจำนวนหนึ่งประกอบด้วยยาหลายประเภท เคล็ดวิชา และของอื่น ๆ
นี่คือสมบัติทั้งหมดของเขา และก็เป็นสมบัติทั้งหมดของตระกูลหานด้วย
ก่อนที่เขาจะมาที่นี่ เขาได้นำสมบัติทุกอย่างจากทุกคนในตระกูลหานมาด้วย
“น้อยเกินไป...”
เสียงแหลมคมกล่าว “ทว่าเจ้ายังคงมีอีกหนึ่งทางเลือก คือให้คนทั้งตระกูลหานของเจ้าทำงานให้กับกองกำลังฮวงเฉวียนเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี”
ทำงานให้หนึ่งร้อยปี!
นี่มันจะโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!
พูดว่าทำงานให้ แต่แท้จริงแล้วก็ไม่ต่างอะไรไปจากทาส!
จักรพรรดิหานกัดฟันแน่น กองกำลังฮวงเฉวียนกินเนื้อคนแล้วไม่ยอมคายกระดูก!
“ทำงานกับพวกเรา พวกเจ้าย่อมไม่เสียเปรียบ อย่างน้อยก็ไร้กังวลไปหนึ่งร้อยปี สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนกำลังใกล้เข้ามา พวกเจ้าจะรับประกันความปลอดภัยของตนเองได้หรือ? ทว่ากองกำลังฮวงเฉวียนสามารถปกป้องพวกเจ้าให้ไม่ถูกสิ่งมีชีวิตจากแดนเทียนหยวนฆ่าได้”
เสียงแหลมคมยังคงกล่าวต่อไป “ในอนาคตโลกใบนี้จะเกิดความอลหม่านขึ้นอย่างแท้จริง ความวุ่นวายจากอาณาจักรเทียนหยวนนับได้ว่าเป็นเพียงคลื่นลูกเล็ก”
ไร้กังวลไปหนึ่งร้อยปี?
ไปหลอกผีเสียเถอะ!
กองกำลังฮวงเฉวียนจะใจดีขนาดนั้นเชียวหรือ?
ฝันไปเถอะ!
จักรพรรดิหานไม่ใช่เด็ก เขารู้ชัดแจ้งว่าคำพูดเหล่านี้ไม่น่าเชื่อถือ เมื่อเขาตอบตกลง ชะตากรรมของสมาชิกตระกูลหานก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถควบคุมเองได้อีกแล้ว
ทว่าสิ่งที่เจ้าของเสียงแหลมคมพูดขึ้นมาก็ได้เตือนสติของเขา
สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนกำลังใกล้เข้ามา แม้ว่าพวกเขาจะสามารถเอาชีวิตรอดจากเงื้อมมือของพวกหลี่จิ่วเต้าได้ แต่พวกเขาจะสามารถรอดพ้นจากการฆ่าล้างของอาณาจักรเทียนหยวนได้หรือไม่?
เขาต้องการจะลี้ภัยโดยย้ายไปอยู่ฝั่งอาณาจักรเทียนหยวน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าหากต้องการจะทำก็สามารถทำได้ สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนไม่ใช่ผู้ที่พวกเขาจะต่อรองได้
นอกจากนี้สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนก็อาจไม่ได้ดีไปกว่ากองกำลังฮวงเฉวียน...
ในอนาคตโลกใบนี้จะเกิดความอลหม่านขึ้นอย่างแท้จริง ความวุ่นวายจากอาณาจักรเทียนหยวนนับได้ว่าเป็นเพียงคลื่นลูกเล็ก
สวรรค์ จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นในอนาคต!?
กองกำลังฮวงเฉวียนน่าเกรงขามขนาดไหน? ไม่กลัวกระทั่งความโกลาหลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต?
“ตกลง!”
สุดท้ายแล้วเขาก็เอ่ยตกลง
จะเกิดความอลหม่านครั้งใหญ่ในอนาคต ตระกูลหานของพวกเขาจำเป็นต้องมีที่พึ่งพิง แม้ที่พึ่งพิงจะเลวร้ายไปบ้าง แต่ก็ยังเป็นทางออกเพียงหนึ่งเดียว
หากไร้ผู้ให้พึ่ง ตระกูลหานก็เหมือนกับพืชผลพร้อมให้คนมาเก็บเกี่ยว
“ดี”
เสียงแหลมคมเอ่ยขึ้นมา “พวกเราจะเริ่มลงมือเดี๋ยวนี้ ส่วนเจ้าไปพาคนในตระกูลของเจ้ามาที่นี่เสีย”
...
ในขณะเดียวกัน สมาชิกทุกคนในตระกูลหานต่างกำลังเฝ้ารอการกลับมาของจักรพรรดิหานอย่างใจจดใจจ่อ พวกเขารู้ว่าจักรพรรดิหานออกไปเพื่อขอความช่วยเหลือ
แต่พวกเขาไม่รู้เลย ว่าพวกเขาถูกจักรพรรดิหานขายออกไปแล้ว...
...
ณ แดนหยิน เหยียนโจว บูรพาทิศ
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งกำลังขี่อสูรที่เปล่งประกายโดดเด่นบนฟากฟ้า
“มีอะไรดีกัน...ก็แค่โชคดีมีโอกาสพบวาสนาการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย!”
เขาบ่นออกมาด้วยความไม่พอใจ “ลุงหมิงก็พูดไป คนเหล่านี้แสร้งว่ามียอดนิกายของพวกเราอยู่เบื้องหลัง ลุงหมิงไม่เพียงแต่จะไม่ถือสาเอาความ กลับยังเชิญพวกเขาเข้าร่วมสถานศึกษา...หากเป็นข้าคงจะสังหารพวกเขาทันที แล้วนำกลับมาเพียงแค่สิ่งที่เป็นโชควาสนาการเปลี่ยนแปลง”
เขาไม่ชอบพวกเซี่ยเหยียน เนื่องจากคิดว่าพวกเซี่ยเหยียนเพียงแค่โชคดีมีโอกาสได้รับวาสนาการเปลี่ยนแปลง
หากไม่ใช่เพราะลุงหมิงแล้วละก็ เขาคงจะต้องมาสอบสวนพวกเซี่ยเหยียนเกี่ยวกับความผิดในการปลอมเป็นยอดนิกาย!
ยอดนิกายนั้นเป็นตัวแทนของเกียรติยศและความยิ่งใหญ่ ไม่อนุญาตให้ผู้ใดแอบอ้าง!
ภายในใจของเขาอารมณ์เสียเป็นอย่างมาก
[1] ดำ ในที่นี้เป็นคำด่า คำแสลงต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว หมายถึง ขี้งก ขี้เหนียว ตระหนี่
บทที่ 383
“แม้ว่าจะไม่อยาก แต่ในเมื่อลุงหมิงเป็นคนพูด ข้าก็หวังว่าคนกลุ่มนี้จะรู้ความ ไม่หลงคิดว่าตนเองยอดเยี่ยมจนสร้างปัญหาให้กับข้า”
เด็กหนุ่มผมน้ำเงินขี่อสูรลงมาถึงยังสำนักไท่หัวเป็นที่แรก
เขามาตามหาเซี่ยเหยียน
อย่างไรเสียเซี่ยเหยียนก็โตกว่าพวกอ้ายฉานที่เป็นเพียงเด็กอายุไม่กี่ขวบ ที่ถึงเวลานั้นเขาจะไปพูดอะไรส่ง ๆ ก็ยังได้
อสูรลักษณะน่าเกรงขาม ทั้งร่างโอบล้อมด้วยประกายแสงสว่างไสว บินตรงมาทางสำนักไท่หัวทำให้เหล่าคนในสำนักต่างพากันตกใจ
พวกเขาไม่เคยพบเห็นอสูรที่พิเศษเช่นนี้มาก่อน
ทั้งร่างของมันมีประกายแสงลอยวน ลมปราณที่เล็ดรอดออกมาน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ความต่างชั้นที่สัมผัสได้ทำให้หัวใจของพวกเขากระหน่ำเต้นไม่หยุด จิตวิญญาณเองก็สั่นสะท้าน
พวกเขาต่างคิดในใจว่าสำนักไท่หัวเกิดเรื่องอะไรขึ้น? เหตุใดจึงมีสิ่งมีชีวิตทรงพลังเช่นนี้มาเยือน?
หรือว่าจะมาหาเรื่องสร้างความยุ่งยากอีก!
พวกเขาเกิดความรู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมาในใจ ก่อนหน้านี้ที่มีสิ่งมีชีวิตอันแข็งแกร่งมาเยือน ล้วนแล้วแต่มาเพื่อสร้างปัญหา
อสูรร่อนลงมา เด็กหนุ่มผมน้ำเงินไม่ได้ขี่มันเข้าไปในนิกายไท่หัวโดยตรง
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบใจพวกเซี่ยเหยียน แต่เขาก็ยังมีมารยาทที่พึงกระทำ เขาไม่สามารถทำให้ยอดนิกายที่อยู่เบื้องหลังตนเองอับอายขายหน้าจากการได้ชื่อว่าไร้มารยาท
“ขอเรียนถาม คุณชายท่านนี้มาที่สำนักไท่หัวด้วยเหตุใด”
เวิงอู๋โยวบรรพชนสำนักไท่หัวออกมาทันทีที่สัมผัสได้ถึงปราณอันน่าสะพรึงกลัวที่แผ่ออกมาจากอสูร เกรงว่าสาวกนิกายจะสร้างเรื่องขึ้น จึงรีบตรงมายังประตูหน้าภูเขา
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มผมน้ำเงินไม่ได้ขี่อสูรเข้าไปในสำนักไท่หัวโดยตรง เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มผมน้ำเงินจะไม่ได้มาก่อความวุ่นวาย
หากเขาต้องการมาสร้างปัญหา เด็กหนุ่มผมน้ำเงินคงจะขี่อสูรตรงเข้าไปในสำนักไท่หัว ไม่ร่อนลงหน้าประตูสำนัก
“ข้ามาพบเซี่ยเหยียน”
เด็กหนุ่มผมน้ำเงินกระโดดลงจากอสูรแล้วกล่าวออกมา “ข้ามาจากตระกูลไป๋ ช่างมันเถอะ พูดไปเจ้าก็ไม่รู้เรื่อง แค่พาข้าไปพบเซี่ยเหยียนก็พอ”
เขามีนามว่าไป๋อวี่เฟย ตระกูลไป๋ที่อยู่เบื้องหลังเขา เป็นถึงหนึ่งในยอดนิกาย
ยอดนิกายปรากฏกายขึ้นบนโลกน้อยครั้งนัก สำนักเล็ก ๆ อย่างไท่หัวอาจไม่รู้เรื่องราวอะไรมากมาย
เขาเองก็คร้านจะพูดออะไรกับเวิงอู๋โยวมากเกินจำเป็น
พูดไปเจ้าก็ไม่รู้เรื่อง?
คำพูดนี้ช่าง...หยิ่งผยองยิ่งนัก
ภายในใจของเวิงอู๋กล่าวออกมาว่าเจ้ามีสิ่งใดน่าผยองกัน? สำนักไท่หัวของข้าก็ไม่ได้อ่อนแอ!
ทว่าเขาก็ไม่ได้คิดถือสาเอาความอะไรกับไป๋อวี่เฟย เขาอายุมากกว่าอีกฝ่ายไม่รู้เท่าไหร่ ไม่มีความจำเป็นจะต้องหาเรื่องเด็กหนุ่ม
อย่างไรเสียความอวดดีก็มักเป็นสิ่งที่คนหนุ่มสาวมี...
“เป็นเช่นนี้เอง เชิญคุณชายเข้ามาเถิด เซี่ยเหยียนบังเอิญอยู่ในสำนักพอดี”
เวิงอู๋โยวพูดด้วยรอยยิ้ม
หลังจากนั้นเขาก็นำทางไป๋อวี่เฟยไปที่ห้องโถงใหญ่ สั่งให้คนนำชามาเสิร์ฟพร้อมกับบอกให้ไปตามเซี่ยเหยียน
เพียงไม่นาน เซี่ยเหยียนก็มาถึงห้องโถงใหญ่
“เจ้ากำลังตามหาข้าอยู่หรือ?”
เซี่ยเหยียนมองไปทางไป๋อวี่เฟย คิ้วของนางขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
นางไม่มีเรื่องอะไรกับไป๋อวี่เฟยผู้นี้แม้แต่น้อย ส่วนตระกูลไป๋อะไรนั่น นางเองก็ไม่มีเรื่องข้องเกี่ยวด้วย
ไป๋อวี่เฟยไม่ได้ตอบกลับไปในทันที เขายังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่แม้กระทั่งจะลุกยืน ทั้งยังหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบเบา ๆ ก่อนจะกล่าวออกมา “เจ้าก็น่าจะรู้เกี่ยวกับการจัดตั้งสถานศึกษาที่รวบรวมกองกำลังจากทุกหนแห่งในใต้หล้า ตอนนี้สถานศึกษาได้จัดตั้งขึ้นแล้ว ลุงหมิงหวังว่าเจ้าเองก็จะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสถานศึกษา”
เขามาจากยอดนิกาย ภายในใจจึงยังคงมีความผยอง ไม่ปฏิบัติตนต่อเซี่ยเหยียนในฐานะเท่าเทียมกัน
เซี่ยเหยียนที่เห็นว่าไป๋อวี่เฟยไม่แม้แต่จะยืนขึ้นก็หัวเราะออกมา
คนผู้นี้กำลังล้อเล่นกับนางอยู่หรือไร?
คิดว่านางจะยอมอย่างนั้นหรือ?
นางดูเหมือนคนที่ยอมให้วางอำนาจบาตรใหญ่ใส่ได้หรือ?
นางนั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนกล่าวออกมา “หวังให้ข้าเข้าร่วมหรือ? คำว่าหวังนี่มากน้อยเพียงใด?”
หืม!?
ไป๋อวี่เฟยขมวดคิ้ว ไม่พอใจกับท่าทีของเซี่ยเหยียนเป็นอย่างมาก
เซี่ยเหยียนนั่งลงบนเก้าอี้แล้วเอ่ยกับเขา เห็นได้ชัดว่ากำลังวางตนเสมอเขา!
สามัญชนก็ยังคงเป็นสามัญชน ทะเยอทะยานแล้วยังชอบกำเริบเสิบสาน!
เขาชำเลืองมองเซี่ยเหยียนแล้วพูดว่า “ทุกคนย่อมมีความภาคภูมิใจ แต่จงอย่าหยิ่งผยองเกินไป มิเช่นนั้นจะต้องรับผลกรรมครั้งใหญ่!”
“ประโยคนี้มอบให้เจ้าจะเหมาะสมเสียกว่า”
เซี่ยเหยียนเอ่ยออกมาเสียงเรียบ
เป็นนางที่ทำตัวเกินเลยงั้นหรือ?
คนที่ทำตัวเกินเลยคือไป๋อวี่เฟยต่างหาก!
หากให้เกียรตินาง นางย่อมให้เกียรติกลับ ทว่าไป๋อวี่เฟยนั้นวางท่าต่อหน้านางอย่างไร้ซึ่งมารยาทโดยสิ้นเชิง นางย่อมต้องไม่ยอม
“บังอาจ!”
ไป๋อวี่เฟยตวาด “ผู้ใดมอบความกล้าให้เจ้าเอ่ยวาจาเช่นนี้? เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเป็นใคร? ข้ามาจากตระกูลไป๋ เป็นยอดนิกายที่แท้จริง!”
“คนที่บังอาจคือเจ้าต่างหาก!”
เซี่ยเหยียนไม่ยอมตกเป็นรองตอบกลับไปเสียงดัง “ผู้ใดกันที่ให้ความกล้ากับเจ้ามาพูดเช่นนี้กับข้า?”
ยอดนิกายแล้วอย่างไร?
มาวางอำนาจบาตรใหญ่ต่อหน้า นางไม่มีวันยอมหรอก!
ตอนที่อยู่เขาหยงหมิง นางได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับยอดนิกายจากผู้อาวุโสเก้าแห่งตระกูลซาง ว่ายอดนิกายนั้นสืบทอดมาจากบรรดามหาจักรพรรดิผู้ทรงพลังในยุคสมัยโบราณกาล
นางทราบด้วยว่ายอดนิกายแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ขุมกำลังล้ำลึกจนไม่อาจหยั่งถึง
ทว่าถึงเป็นเช่นนั้นนางก็ไม่ยอมอยู่ดี
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าตนเองกำลังทำสิ่งใดอยู่? ก่อนหน้านี้พวกเจ้ากระทำความผิดโดยการปลอมแปลงเป็นยอดนิกาย พวกเราก็ไม่ได้สืบสาวเอาความเจ้า ตอนนี้เจ้ายังแสดงทีท่าเช่นนี้ คิดว่าตนเองจะสามารถทำอะไรยอดนิกายได้อย่างนั้นหรือ?”
ไป๋อวี่เฟยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าตนเองกำลังทำสิ่งใดอยู่!?“
เซี่ยเหยียนกล่าวตำหนิ “ต่อหน้าผู้ที่สังหารอสูรระดับกษัตริย์นักบุญได้อย่างง่ายดาย ยังกล้าวางท่า เจ้าคิดว่าชีวิตของตัวเองดีหรือยาวเกินไปอย่างนั้นเหรอ?”
“สังหารอสูรระดับกษัตริย์นักบุญ?”
ไป๋อวี่เฟยหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น พร้อมทั้งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “นี่นับเป็นอะไรได้? ตระกูลไป๋ของข้าไม่ต้องกล่าวถึงการสังหารอสูรระดับกษัตริย์นักบุญ กระทั่งอสูรขั้นสูงสุด หรือจักรพรรดิอสูรก็สามารถสังหารได้!”
หลังจากนั้นเขาก็มองไปทางเซี่ยเหยียนแล้วพูดต่อ “ยิ่งไปกว่านั้น มันไม่ใช่พลังของเจ้าเอง แต่เป็นพลังจากคันศรช่วยเหลือ ตัวเจ้านับว่ามีสิ่งใดให้อวดดีกัน?”
ไอ้ลูกหมานี่!
หลังจากฟังจบเซี่ยเหยียนถึงกับอุทานออกมา
คนผู้นี้ช่างน่าไม่อายเป็นอย่างยิ่ง
กล่าวว่านางหยิบยืมพลังจากคันศร แล้วคนผู้นี้ล่ะ?
ไม่ใช่ว่าเขาเองก็อาศัยอำนาจของตระกูลไป๋ที่อยู่เบื้องหลังเพื่อโอ้อวดและวางท่าผยองใส่นาง?
ก่อนจะกล่าวสิ่งใดช่างไม่มองย้อนดูตัวเองเสียก่อน!
“ไม่ว่าเจ้าจะคิดเช่นไร สถาบันศึกษาอะไร ข้าก็ล้วนไม่สนใจ”
นางไม่อยากโต้เตียงอะไรมากไปกว่านี้
มีอะไรจะต้องโต้เถียงกันอีก?
คนผู้นี้เกินเยียวยาอย่างเห็นได้ชัด!
“ได้!”
ไป๋อวี่เฟยกล่าว “สถานศึกษาจะมีเจ้าหรือไม่มีก็ได้ เพราะหากไม่มีคันศร เจ้าก็ไม่นับว่ามีอะไรดี!”
เขาพูดต่อ “ส่งคันศรมา หลังจากนั้นเจ้าจะทำอะไรก็ตามใจ”
“???”
เซี่ยเหยียนถึงกับพูดไม่ออก นี่คือต้องการจะทำอะไร? ต้องการคันศรของนางงั้นหรือ?
นางเอ่ยออกมา “คันศรเป็นของข้า เหตุใดข้าต้องมอบให้เจ้าด้วย?”
“จุดประสงค์ของการตั้งสถานศึกษาไม่ใช่เพื่อใครผู้หนึ่ง แต่เพื่อสิ่งมีชีวิตทุกคนบนโลก เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมสถานศึกษา แต่จำเป็นต้องส่งมอบคันศร!”
ไป๋อวี่เฟยกล่าว “สิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนกำลังพยายามเพื่อโลกใบนี้ เจ้าเองก็สมควรจะต้องมีส่วนร่วมด้วย และนี่คือสิ่งที่เจ้าสมควรกระทำ”
บทที่ 384
หัวเราะ
เซี่ยเหยียนหัวเราะออกมาจริง ๆ
คนผู้นี้ช่างพูดเอาดีเข้าตัวเหลือเกิน
หากนางไม่ยอมส่งมอบคันศรออกไปหมายถึงนางจะทำผิดต่อทุกคนบนโลกเช่นนั้นหรือ?
ยโสนัก! แล้วยังชอบพูดอวดอ้างศีลธรรมสูงส่ง คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?
นางรู้เหตุผลในการก่อตั้งสถานศึกษา ทั้งยังรู้ว่ามีอาณาจักรเทียนหยวนจับจ้องและกำลังพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อบุกเข้ามายังโลกใบนี้
ทว่าเหตุใดนางจึงต้องส่งมอบคันศรออกไปด้วย?
นี่เป็นคันศรที่ท่านเซียนมอบให้นาง ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นคันศรที่นางเป็นผู้ตั้งชื่อเองทำให้เชื่อมชะตาเข้ากับนาง กล่าวว่ามันคือศาสตราประจำกายของนางก็ไม่ผิด
คิดว่าผู้อื่นจะสามารถใช้งานพลังของคันศรราชันได้อย่างนั้นหรือ?
เพ้อฝันอันใดอยู่!
กระทั่งมหาจักรพรรดิเองก็ไม่อาจดึงพลังของคันศรราชันออกมาใช้งานได้...
“นี่เป็นความคิดของเจ้าหรือตระกูลไป๋ที่อยู่เบื้องหลังเจ้า?”
เซี่ยเหยียนมองไป๋อวี่เฟย
หากเป็นเพียงความคิดของไป๋อวี่เฟยคนเดียวก็ช่างมันเสียเถอะ แต่ถ้าหากเป็นความคิดของตระกูลไป๋ทั้งหมด นางก็คงต้องไปเยือนยังตระกูลไป๋แล้วพูดคุยสนทนาด้วยกันสักครา
“ไม่ต่างกัน“
ไป๋อวี่เฟยกล่าวออกมาเสียงเรียบ “ข้าบอกแล้ว ทุกคนล้วนสนใจเพียงคันศรในมือของเจ้าเท่านั้น หากปราศจากคันศรแล้ว เจ้าก็ไม่อาจนับเป็นสิ่งใดได้”
เขาลุกขึ้นยืน ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยแสงเทวะลอยวน จากลมปราณที่แผ่ออกมาแล้ว เขาเป็นถึงราชันเทวาผู้หนึ่ง!
นี่คือความน่ากลัวและน่าหวาดหวั่นของยอดนิกายอย่างนั้นหรือ?
ไป๋อวี่เฟยดูแล้วอายุเพียงแค่ประมาณยี่สิบปี แต่กลับอยู่ถึงขั้นราชันเทวา!
“ยอดนิกายคือสิ่งใด? เจ้าไม่รู้เรื่องราวแม้แต่น้อย! ยอดนิกายที่แท้จริงสืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล สายเลือดสูงส่งไร้ผู้เทียบเคียง ทุกคนล้วนเรียกขานว่าเป็นสายเลือดในตำนาน สายเลือดที่สามารถเป็นราชันได้อย่างแท้จริง อยู่เหนือสิ่งมีชีวิตอื่นทั้งปวง!”
ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งจากความภาคภูมิใจในยอดนิกาย!
ยอดนิกายรุ่งโรจน์ไร้ผู้เทียบเคียง สายเลือดอื่นล้วนไม่สามารถเปรียบเทียบได้!
นี่เป็นสายเลือดที่อยู่เหนือระดับขึ้นไปอย่างแท้จริง เกรงว่ากระทั่งสายเลือดของสิบสัตว์ร้ายก็ยังไม่อาจเอาชนะได้ เต็มที่ก็เทียบเท่ากันหรืออ่อนแอกว่าเล็กน้อย
“กลายเป็นขั้นเทวะตั้งแต่อายุยังน้อย เทียบกับสิ่งมีชีวิตทั่วไปแล้วนับว่าแข็งแกร่งก็จริง แต่หากเทียบกับพวกเราแล้วเจ้าก็ยังคงห่างไกล เป็นได้ก็แค่เพียงแสงสว่างริบหรี่!”
ไป๋อวี่เฟยมองเซี่ยเหยียนด้วยความผยองอย่างถึงที่สุด “จะบอกเจ้าไว้ก็ได้ ภายในตระกูลข้านับได้ว่าเป็นเพียงระดับสามัญ ยอดอัจฉริยะที่แท้จริงได้ทะลวงผ่านขอบเขตเทวะกลายเป็นกึ่งนักบุญไปแล้ว! มีกระทั่งผู้หนึ่งที่สามารถบรรลุขอบเขตนักบุญอย่างแท้จริงจนกลายเป็นขั้นนักบุญแล้ว!”
ยอดเยี่ยมขนาดนั้นเชียวหรือ?
เซี่ยเหยียนเลิกคิ้วขั้นน้อย ๆ ด้วยความประหลาดใจ
สภาพแวดล้อมในปัจจุบันนั้นเลวร้ายเป็นอย่างมาก ผู้ฝึกตนจำนวนมากใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่สามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตนักบุญแล้วกลายเป็นนักบุญได้ แต่ภายในยอดนิกายกลับมีรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งสามารถบรรลุขอบเขตกลายเป็นนักบุญได้...
ยอดนิกายข่างน่าตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง!
นางเกิดความสงสัยขึ้นมาในใจ ถึงที่มาและรากเหง้าของยอดนิกาย
“ตอนนี้เจ้าก็รู้แล้วใช่หรือไม่ ว่าเจ้าไม่ได้เก่งกาจอะไรมากมาย? วางมาดลงเสีย จากนั้นก็มาขอขมา ข้ายังสามารถให้โอกาสเจ้าได้เข้าร่วมสถานศึกษาได้อีกครั้งหนึ่ง”
ไป๋อวี่เฟยเหยียดตามองต่ำใส่เซี่ยเหยียน แล้วกล่าวออกมาด้วยความผยอง
จริงที่ยอดนิกายน่าตื่นตะลึงชวนครั่นคร้าม
ทว่านางไม่ขอประจบประแจงอยู่ดี
เซี่ยเหยียนเอ่ยออกมาอย่างสงบนิ่ง “เหตุใดข้าต้องให้เจ้ามอบโอกาสให้? เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใครกัน?”
นางกล่าวต่อ “เจ้ามาที่สำนักไท่หัวของข้า โอ้อวดยอดนิกายของเจ้า ดูหมิ่นเหยียดยามข้า ผยองวางอำนาจบาตรใหญ่ เจ้าต่างหากที่มีคุณสมบัติอะไรมาทำเช่นนี้? แม้ผู้แข็งแกร่งของตระกูลเจ้ามาเอง ก็ยังไม่กล้ากระทำตนเช่นนี้!”
หญิงสาวหัวเราะออกมา “ทั้งยังบอกให้ข้าขอขมา เจ้าเอาสิ่งใดมาให้ข้าขมากัน?”
“รนหาที่ตาย! หรือคิดว่าตนเองมีโอกาสได้รับวาสนาจากการเปลี่ยนเปลงเล็กน้อยก็หาญกล้าทำทุกสิ่ง? ยอดนิกายใช่สิ่งที่เจ้าสามารถท้าทายตามต้องการได้หรือ?“
ไป๋อวี่เฟยตะคอกออกมาเสียงเย็นชา “ตอนนี้เจ้าหมดโอกาสเข้าร่วมสถานศึกษาแล้ว มอบคันศร จากนั้นก็บอกทุกสิ่งเกี่ยวกับตอนที่เจ้าได้รับคันศรมา หากได้รับโอกาสวาสนาการเปลี่ยนแปลงอะไรมาอีกก็มอบออกมาด้วย เช่นนั้นข้าจึงจะปล่อยเจ้าไปไม่ให้ถูกลงโทษ! ไม่เช่นนั้นเจ้าจะต้องชดใช้ความผิดที่ปลอมเป็นยอดนิกาย!”
คันศรล้ำค่าเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ ๆ เซี่ยเหยียนจะได้รับมันมา
เขาสงสัยว่าเซี่ยเหยียนจะประสบโชคลาภครั้งใหญ่ มีความเป็นได้มากว่าโชคลาภนั้นจะมาจากโบราณสถานที่น่าตื่นตะลึงสักแห่ง และบนตัวของนางก็ยังมีโอกาสที่จะมีสมบัติชิ้นอื่นอยู่
“เจ้าช่างหาญกล้าเสียจริง...ต่อหน้าข้ายังกล้าวางอำนาจอวดดี ไม่กลัวว่าจะถูกข้ายิงศรใส่หรือ?”
เซี่ยเหยียนมองไปทางไป๋อวี่เฟย ในคำพูดเริ่มมีร่องรอยความไม่พอใจ
เป็นแค่ราชันเทวา นางไม่จำเป็นต้องรวบรวมพลังของคันศรเสียด้วยซ้ำ แค่รั้งสายแล้วยิงออกไปก็เพียงพอแล้วที่จะสังหารไป๋อวี่เฟย
“เหตุใดข้าต้องกลัวเจ้าด้วย?”
ไป๋อวี่เฟยหัวเราะเย้ยออกมาหนึ่งคำ “เจ้าคิดหลงตัวเองเกินไป ความล้ำลึกของยอดนิกายนั้นมากเกินกว่าที่เจ้าจะสามารถจินตนาการถึง!”
เขามองเซี่ยเหยียนด้วยสีหน้าไม่แยแส “อย่าแม้แต่จะคิดเชียว บนร่างของข้ามีร่างอวตารของท่านปู่อยู่ นี่เป็นถึงร่างอวตารของขั้นวิถีสูงสุด หากเจ้ากล้าแตะต้องข้า ไม่เพียงแต่เจ้าที่จะต้องตาย กระทั่งสำนักไท่หัวเองก็ไม่อาจหนีพ้นต้องชดใช้ด้วยราคาสูงลิ่ว!”
ท่านปู่ของเขาไม่ธรรมดาสามัญ เป็นถึงหนึ่งในสิบเจ็ดผู้อาวุโสตระกูลไป๋ บรรลุขั้นวิถีสูงสุดแล้ว อยู่ห่างจากขอบเขตจักรพรรดิไม่ไกล
ขั้นวิถีสูงสุด นี่คือขั้นสูงสุดของขอบเขตสูงสุด แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด เพียงโบกมือก็สามารถปกคลุมท้องฟ้าบดบังตะวัน เพียงเหยียบย่ำก็สามารถบดขยี้ดวงดารา
อีกทั้งท่านปู่ยังรักเอ็นดูเขาเป็นอย่างมาก จนแยกร่างอวตารทิ้งไว้ภายในตัวของเขาเพื่อคุ้มครองให้ปลอดภัย
ไม่เช่นนั้นเขาจะกล้ามาวางท่าใหญ่โตเช่นนี้ต่อหน้าเซี่ยเหยียนได้อย่างไร?
กระต่ายร้อนใจก็ยังกัดคนได้*[1]
หากไม่มีสิ่งรับประกันชีวิตตนเองได้ เขาคงไม่กล้าทำตัวเช่นนี้ต่อหน้าเซี่ยเหยียน
อย่างไรเสียคันศรในมือของเซี่ยเหยียนก็ทรงพลังมาก สามารถสังหารอสูรขั้นกษัตริย์นักบุญได้อย่างง่ายดาย ราชันเทวะอย่างเขายังคงห่างไกลจากการเป็นคู่ต่อสู้
“ร่างอวตารของขั้นวิถีสูงสุด? ร้ายกาจปานนั้น...”
เซี่ยเหยียนกล่าว “ถ้าเช่นนั้นข้าคงได้แต่ยอมประนีประนอม มอบคันศรราชันให้ แต่ทว่าเจ้าจะสามารถถือมันได้หรือไม่?”
นางเรียกคันศรราชันออกมา ก่อนยื่นมันออกไปให้ไป๋อวี่เฟย
คันศรราชันเปล่งประกายงดงามเป็นอย่างยิ่ง บนคันศรมีเต๋าสูงสุดไร้ที่เปรียบไหลเวียน สามารถยับยั้งกฎแห่งสวรรค์และโลกที่อยู่ต่ำกว่าได้ ช่างน่าตื่นตะลึงอย่างถึงที่สุด!
เมื่อไป๋อวี่เฟยเห็นคันศรราชันแล้ว ดวงตาก็ถึงกับลุกเป็นไฟ
คันศรนี้ไม่ธรรมดาเลย กระทั่งภายในยอดนิกาย ก็ยังไม่มีสมบัติล้ำค่าที่ไหลเวียนสามารถยับยั้งกฎแห่งสวรรค์และโลกที่อยู่ต่ำกว่าได้เช่นนี้
“เสียของ เสียของเกินไปแล้ว คันศรล้ำค่าเช่นนี้กลับตกอยู่ในมือของเจ้า นับเป็นการดูหมิ่นทำให้ศันธนูด่างพร้อย! เจ้าจะคู่ควรกับคันศรล้ำค่าเช่นนี้ได้อย่างไร? สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถครอบครองได้!”
เขาอดกล่าวออกมาไม่ได้ ภายในใจเต็มไปด้วยความผยองเย่อหยิ่ง ไม่ชอบใจเซี่ยเหยียนอย่างถึงที่สุด คิดว่านางทำให้คันศรล้ำค่าเช่นนี้แปดเปื้อน
หลังจากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไป เตรียมจะหยิบคันศรราชันมาถือไว้ในมือ
“นับว่าเจ้ายังรู้ความ ยอมมอบคันศรให้ด้วยตัวเอง เจ้าจงอย่างปิดบังแล้วส่งมอบสมบัติล้ำค่าชิ้นอื่นบนตัวของเจ้าออกมาด้วย”
เขากล่าวออกมาก่อนที่มือจะเอื้อมไปถึงคันศรราชัน เนื่องจากคิดว่าเซี่ยเหยียนเกิดความรู้สึกเกรงกลัวขึ้นมาแล้ว
หลังจากได้เห็นคันศรด้วยตาตัวเอง เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าเซี่ยเหยียนยังคงมีสมบัติอย่างอื่นอีก
ภายในใจของเขาตั้งหน้าตั้งตารอเป็นอย่างมาก!
[1] กระต่ายร้อนใจก็ยังกัดคนได้ หมายถึง กระต่ายที่เป็นสัตว์อ่อนแอยามร้อนใจหรือกดดันขึ้นมาก็สามารถกัดคนได้ เปรียบเปรียบกับคนที่อ่อนแอหรืออ่อนโยน เมื่อทนไม่ได้ก็สามารถขัดขืนหรือสู้กลับอย่างสิ้นหวังได้
บทที่ 385
ใบหน้าไป๋อวี่เฟยประดับด้วยรอยยิ้มสดใส คิดจริงว่าเซี่ยเหยียนหวาดกลัว ถึงได้ยอมมอบคันศรวิเศษให้ด้วยตัวเอง
เขาประกาศชัดเจนว่ามีร่างอวตารวิถีสูงสุดในตัว เซี่ยเหยียนไฉนเลยจะไม่กลัว
ร่างอวตารวิถีสูงสุดเลยนะ!
ซ้ำยังเป็นร่างอวตารที่ท่านปู่ของเขาตั้งใจหล่อหลอมให้ ความทรงพลังนั้นแม้กระทั่งจ้าวสูงสุดยังต้านไม่ไหว มิใช่คู่ต่อสู้
คันศรวิเศษในมือเซี่ยเหยียนแกร่งกล้าก็จริง พลังที่รีดเร้นออกมาได้ก็อยู่ในระดับสุดยอด แต่แกร่งปานใด สุดยอดปานใด แล้วต้านทานพลังของร่างอวตารวิถีสูงสุดได้หรือ?
คิดอะไรอยู่!
เป็นไปไม่ได้เลย!
ทว่าขณะที่ฝ่ามือของเขายื่นออกไปใกล้จะถึงคันศรวิเศษเรื่อย ๆ สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไป!
ใบหน้าของเขาซีดเผือด ไม่รู้ว่าแรงกดดันมหาศาลแค่ไหน มือข้างที่เข้าใกล้แทบระเบิดแหลกลาญ จนเขาต้องรีบชักมือกลับ!
คันศรวิเศษค่อย ๆ บินเข้ามา เขาไม่กล้าแม้แต่จะนิ่งอยู่ที่เดิม รีบเหินจากออกมาอยู่ข้างนอก
“เจ้า!”
เขาทะยานมาอยู่กลางอากาศ หน้าตาบิดเบี้ยว ขณะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เซี่ยเหยียนแกล้งปั่นหัวเขา!
ชายหนุ่มคิดผิดไปตั้งแต่ต้น เซี่ยเหยียนมิได้กลัว และไม่คิดมอบคันศรวิเศษให้แม้แต่น้อย!
แรงกดดันบนคันศรวิเศษไม่ลด มิใช่พลังที่เขาควบคุมได้ เขาไม่อาจแม้แต่จะสัมผัสด้วยซ้ำ แตะโดนเป็นต้องตาย!
อาภรณ์เซี่ยเหยียนพลิ้วไสว นางเหินออกมานอกโถงใหญ่ ค้างอยู่กลางอากาศเช่นกัน สบตากับไป๋อวี่เฟยตรง ๆ
หญิงสาวเอ่ยเสียงเบา “ข้ามอบคันศรราชันให้แล้ว แต่เจ้ารับไม่ไหว เช่นนี้จะโทษข้ามิได้”
“เจ้ากำลังเล่นกับไฟ รนหาที่ตาย!”
นัยน์ตาไป๋อวี่เฟยเย็นยะเยือก โทสะพลุ่งพล่านไปทั่วร่าง
หากเซี่ยเหยียนเต็มใจมอบคันศรวิเศษให้จริง ย่อมต้องปลดแรงดันบนคันศรวิเศษ ทว่านางมิได้ทำเช่นนั้น เป็นอันบ่งบอกได้ว่าอีกฝ่ายไม่คิดมอบคันศรวิเศษให้เขาอย่างไม่ต้องสงสัย!
“วาจานี้ควรพูดให้ตัวเจ้าฟังมากกว่า!”
เซี่ยเหยียนแค่นเสียงกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าคิดว่ามีร่างอวตารวิถีสูงสุดแล้วจะมองเจ้าอย่างผู้เหนือกว่า จนข้าต้องสยบ ยอมมอบคันศรราชันให้หรือ!? คิดผิดแล้ว ทั้งยังผิดมหันต์ยิ่ง! อย่าว่าแต่ร่างอวตารวิถีสูงสุดเลย ต่อให้จ้าววิถีสูงสุดมาด้วยตนเอง ก็ไม่อาจมองอย่างผู้เหนือกว่า กระทั่งไม่อาจสยบข้าได้!”
นางยื่นฝ่ามือออกไปข้างหนึ่ง คันศรราชันบินเข้ามาอยู่ในมือนางทันที
“บังอาจทำกิริยาเช่นนี้ต่อหน้าข้า เจ้ากำลังเล่นกับไฟ รนหาที่แล้ว!”
มืออีกข้างของนางวางบนสายศร คลื่นพลังน่าสยดสยองซัดสาดออกมาในบัดดล ไป๋อวี่เฟยสีหน้าซีดเซียว สั่นสะท้านไปทั้งวิญญาณ ร่างกายสั่นระริกอย่างกับเจ้าเข้า
คลื่นพลังนี้น่ากลัวเกินไป เกินกว่าที่เขาจะรับได้ไหว เขามิกล้าลังเล เรียกร่างอวตารท่านปู่ออกมาทันที!
ควันเขียวพุ่งออกจากตัวชายหนุ่ม ก่อนจะหลอมร่างอย่างรวดเร็ว กลายเป็นร่างมนุษย์ร่างหนึ่ง
“ผู้ใดบังอาจแตะต้องหลานชายของข้า!?”
ร่างนั้นแก่ชรามากแล้ว ผมขาวเคราขาว เสียงนั้นเจือไว้ด้วยบารมียิ่งใหญ่ ประหนึ่งเสียงอสนีบาต น่าตื่นตกใจยิ่งนัก!
เขาคุ้มกันไป๋อวี่เฟยไว้ ปัดป้องคลื่นพลังที่ซัดสาดเข้ามา
“นี่หรือคือร่างอวตารวิถีสูงสุด”
เซี่ยเหยียนปริปากเบา ๆ ทว่าสีหน้าหาได้แปรเปลี่ยน ยังคงราบเรียบตามเดิม
“ท่านปู่! นางผู้นี้ไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี! ลุงหมิงเป็นผู้รักษาการแทนดูแลสถานศึกษาเทียนตี้ ข้าจึงมาที่นี่แทนลุงหมิง เชื้อเชิญนางเข้าร่วมสถานศึกษาด้วยความจริงใจ นางกลับวางมาดใส่ข้า ดูถูกเหยียดหยามข้า ซ้ำยังคิดใช้พลังจากคันศรวิเศษฆ่าข้า!”
ไป๋อวี่เฟยรีบบอก
เซี่ยเหยียนรู้สึกกระตุกไปทั้งหน้าผาก คิ้วขมวดเป็นปม
คนผู้นี้หน้าด้านกว่านี้ได้อีกไหม?
เห็นได้ชัดว่าเขาจงใจกลับผิดเป็นชอบ จงใจใส่ร้ายนาง!
ผู้ใดวางมาดกันแน่?
ตั้งแต่ไป๋อวี่เฟยมาถึงสำนักไท่หัวก็วางมาดใส่นางมาโดยตลอด ถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยล้วนแฝงไว้ซึ่งความยโสโอหัง ไม่เห็นนางอยู่ในสายตา ดูแคลนและสบประมาทนาง
บัดนี้กลับบอกว่านางดูถูกเหยียดหยามเขาอย่างนั้นหรือ?
เขากลับกลายเป็นผู้ถูกกระทำรึ?
เหอะ ๆ…
คนผู้นี้หน้าไม่อายสิ้นดี!
“จื้อหมิงใจดีเกินไป คนเยี่ยงนี้ไยต้องรับเข้าสถานศึกษาด้วย ต่อให้ได้ลงสนามรบในวันหน้าก็เป็นตัวถ่วงอยู่ดี!”
ร่างอวตารของปู่ไป๋อวี่เฟยกล่าว
จื้อหมิงคือชื่อของลุงหมิงที่ไป๋อวี่เฟยเรียก หรือก็คือผู้รักษาการแทนอาจารย์ใหญ่สถานศึกษาเทียนตี้ในปัจจุบัน
จากนั้นร่างอวตารก็หันมองเซี่ยเหยียน “คันศรนี้ดี แต่คนใช้หาได้คู่ควรไม่ นิสัยใจคอเช่นเจ้ายากจะสำเร็จการใหญ่ ไม่คู่ควรจะถือครองคันศรนี้!”
เขาเห็นคันศรในมือเซี่ยเหยียน แม้แต่ตัวเขาเองยังสะท้านใจอย่างยิ่ง
คันศรเล่มนี้สูงส่งเกินไป มีจังหวะแห่งเต๋าไหลเวียนอยู่ ตัวเขาเองยังรู้สึกต่ำต้อย ถอนใจกับตัวเองว่าไม่อาจทัดเทียม
คันศรวิเศษเยี่ยงนี้มาจากไหนกัน
เขาใคร่รู้อย่างมาก ในกาลเวลาอันแสนยาวนาน คล้ายว่าไม่เคยมีคันศรวิเศษเช่นนี้ปรากฏมาก่อน!
ได้ยินวาจาที่ร่างอวตารของปู่ไป๋อวี่เฟยกล่าวแล้ว ในที่สุดเซี่ยเหยียนก็เข้าใจว่าเหตุใดไป๋อวี่เฟยถึงยโสโอหัง เย่อหยิ่งปานนี้
ปู่ของไป๋อวี่เฟยใช้ถ้อยคำเหมือนเขาเปี๊ยบ!
เห็นได้ชัดว่าไป๋อวี่เฟยสืบทอดนิสัยเช่นนี้มาจากปู่ของเขา!
“มอบคันศรวิเศษออกมา ตามเสี่ยวเฟยกลับไปรับโทษ เจ้ายังมีทางรอด ขืนยังบังอาจแข็งข้อ คิดวางแผนอื่น ข้าจักปลิดชีพเจ้าลงเดี๋ยวนี้!”
ปู่ของไป๋อวี่เฟยกล่าว “บารมีของยอดนิกายไม่ยอมให้ผู้ใดจาบจ้วง เจ้ายังบังอาจคิดฆ่าเสี่ยวเฟย นับถือโทษสถานหนัก หวังว่าเจ้าจะไม่รนหาที่ตาย!”
“...”
อันธพาลยิ่ง!
คิ้วเซี่ยเหยียนกระตุก ปู่ของไป๋อวี่เฟยฟังคำกล่าวจากไป๋อวี่เฟยเพียงอย่างเดียวก็กำหนดโทษนางแล้วหรือ
“บารมียอดนิกายของเจ้าไม่อาจจาบจ้วง แล้วบารมีของข้าสามารถจาบจ้วงได้ตามอำเภอใจงั้นหรือ”
เซี่ยเหยียนตวาดเสียงเย็น “ซ้ำยัง…โทษสถานหนัก!? เจ้ามีสิทธิ์อันใดตัดสินโทษข้า!”
“สามหาว!”
ร่างอวตารปู่ของไป๋อวี่เฟยแผดเสียง “เจ้าตั้งใจรนหาที่ตายจริงหรือ!?”
“ที่ตายงั้นรึ? เจ้าเป็นคนกำหนดให้ข้าหรือ?”
เซี่ยเหยียนหัวเราะ ทว่าเสียงหัวเราะนั้นเยียบเย็นเหลือคณา “เจ้าบอกให้ตายก็ตาย น่าขันยิ่ง!”
นางค้อมตัวดึงศรจนตึง พลังอันน่าประหวั่นพรั่นพรึงหลอมรวม ศรอาบแสงเล่มหนึ่งก่อรูปก่อร่างขึ้นอย่างรวดเร็ว ปรากฏอยู่บนสายศร!
“อย่าว่าแต่ร่างอวตารร่างหนึ่งของเจ้าเลย ต่อให้ตัวเจ้ามาถึงที่นี่ด้วยตนเอง เจ้าก็ไม่อาจตัดสินโทษข้า และเจ้าไม่อาจตัดสินชะตาของข้า!”
เซี่ยเหยียนตวาดเสียงเย็น คลายมือข้างที่ดึงสาย เสียงดังฟิ้ว ศรอาบแสงผละออกจากคันศร พร้อมด้วยประกายเจิดจ้าไร้ที่เปรียบ ทะลุมิติ พุ่งไปยังร่างอวตารของปู่ไป๋อวี่เฟย
น่าขัน
น่าขันยิ่ง
นางมีหยกคุ้มกายที่ท่านเซียนประทาน ผู้ใดสามารถตัดสินชะตาของนางได้?
จ้าววิถีสูงสุดคนหนึ่งหรือ
คิดอะไรอยู่!
มหาจักรพรรดิมายังไม่แน่ว่าจะตัดสินชะตาของนางได้!
“รนหาที่ตาย เช่นนั้นขอฆ่าเจ้าตายอยู่ที่นี่!”
ร่างอวตารปู่ของไป๋อวี่เฟยตะโกน ประกายเจิดจ้าสยดสยองพวยพุ่งอยู่รอบตัว พลังปราณแสนน่ากลัวมวลแล้วมวลเล่าโถมทับออกมา จนฟ้าดินยังเปลี่ยนสี
จ้าววิถีสูงสุด
ถือเป็นมหาขอบเขตสูงส่ง จากคำเรียกขอบเขตขั้นนี้ก็ดูออกว่าเป็นระดับพลังที่แข็งแกร่งน่าพรั่นพรึงปานใด ยอดฝีมือที่มหาเต๋ายังให้การยอมรับ ให้ความนับถือ
เขายื่นมือใหญ่ข้างหนึ่งออกมา ขยายขนาดในพริบตา บดบังฟ้าดิน พลังยิ่งใหญ่ท่วมท้นนภาคืบคลาน หมายจะทำลายศรอาบแสงที่พุ่งเข้ามาด้วยฝ่ามือเดียว!
และพลังที่แฝงอยู่ในฝ่ามือของเขานั้น อย่าให้พูดเลยว่าน่าหวาดหวั่นเพียงใด ไป๋อวี่เฟยคิดว่าแม้แต่จ้าวสูงสุดยังไม่อาจต้านทานพลังจากร่างอวตารของท่านปู่เขาได้ อันที่จริง ไป๋อวี่เฟยคิดผิด
นี่คือร่างอวตารที่ท่านปู่ของเขาตั้งใจหลอมเพื่อเขา ทุ่มเทพลังใจเข้าไปมหาศาล หาใช่ร่างอวตารดาษดื่นทั่วไป
อย่าว่าแต่จ้าวสูงสุดเลย แม้แต่จ้าวนภาสูงสุดซึ่งอยู่เหนือจ้าวสูงสุดยังไม่อาจต้านทาน