366-370

บทที่ 366

เมืองชิงซาน


หลี่จิ่วเต้าเดินไปตามถนนหนทาง มุ่งหน้าไปยังบ้านของหลิงอิน


หลายวันที่ผ่านมาเขาประพันธ์เพลงฉินบทใหม่ขึ้นมาหนึ่งบท อยากให้หลิงอินได้ลองฟัง


“ไม่อยู่บ้านหรือ”


เขามาถึงบ้านหลิงอิน แต่กลับไม่ได้พบนาง


มารดาของนางบอกเขาว่าหลิงอินออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ เห็นว่าไปที่เขาฉินนอกเมือง


“หากคุณชายไม่มีธุระอื่น ช่วยไปดูหลิงอินให้ข้าที่เขาฉินหน่อยได้หรือไม่”


มารดาของหลิงอินทอดถอนหายใจ “ข้าเห็นว่าสองสามวันมานี้นางผิดปกติอย่างมาก ไม่เหลือความร่าเริงอย่างวันวาน ดูท่าทางหม่นหมองเศร้าโศกเหลือคณา ข้าถามนางว่าเหตุเรื่องใดขึ้น นางก็ไม่ยอมบอกข้า”


นางเว้นจังหวะ ก่อนจะเอ่ยคำ “ลูกโตแล้ว เรื่องบางเรื่องไม่เต็มใจเล่าให้ผู้ใหญ่ฟังเป็นเรื่องปกติ แต่ข้าเป็นห่วงนาง กลัวว่านางจะไปเจอเรื่องราวคิดไม่ตก คุณชายสนิทกลมเกลียวกับอินเอ๋อร์ดี อายุอานามก็ไล่เลี่ยกัน ข้าคิดแล้วนางคงยอมบอกคุณชาย หากนางเจอเรื่องคิดไม่ตกจริง ๆ รบกวนคุณชายช่วยกล่อมนางแทนข้าด้วย”


ลูกโตแล้ว มีความคิดความอ่านเป็นของตนเอง หลาย ๆ เรื่องมักซ่อนเอาไว้ไม่ยอมบอกผู้ใหญ่ในบ้าน


นางผ่านมาจากกระบวนการนี้มาก่อน จึงเข้าอกเข้าใจในตัวหลิงอิน และมิได้คาดคั้นสิ่งใดจากบุตรสาวมากนัก


หากคาดคั้นเกินไป รังแต่จะได้ผลตรงข้าม ยิ่งพาให้เหตุการณ์ย่ำแย่ลงไปใหญ่


“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ ข้าไปดูให้”


หลี่จิ่วเต้าบอกลามารดาหลิงอิน ก่อนจะจากไป


ภูเขาฉินเป็นเพียงภูเขาลูกเล็ก ไม่อาจเทียบได้กับเขาชิงซานและเขาลี่ เนินขึ้นเขาก็มิได้สูงชันนัก


สภาพแวดล้อมถือว่าไม่เลว เพียงแต่เล็กไปหน่อย ผู้คนสัญจรไม่มาก


หลิงอินไปทำการใดบนเขาฉิน?


ชายหนุ่มใคร่อยากรู้ในใจเช่นกัน


ทัศนียภาพบนเขาลี่งดงามกว่าเขาฉิน หากต้องการชมทิวทัศน์ควรไปที่เขาลี่ถึงจะถูก


นอกจากนี้ หากเทียบกันแล้ว เขาฉินค่อนข้างห่างไกลร้างคน เขาคิดหาเหตุผลที่นางไปยังเขาฉินไม่ออกจริง ๆ


หลังออกจากบ้านของหญิงสาว เขาไปยืมม้าตัวหนึ่งมาจากร้านขายม้า ซึ่งเป็นม้าสีขาว ก่อนจะกระโจนขึ้นม้าขาวแล้วควบไปยังเขาฉิน


การขี่ม้าถือเป็นทักษะแขนงหนึ่งเหมือนกัน และเขาฝึกฝนจนถึงระดับสูงสุดแล้ว อย่าว่าแต่ขี้ม้าเลย ต่อให้ขี่เสือ ขี่สิงโต ก็ไม่ครณามือเขา กำราบสัตว์พาหนะได้อย่างง่ายดาย


เขามาถึงเขาฉิน


ที่นี่ห่างไกลร้างผู้คนมากจริง ๆ ตลอดทั้งทางแทบไม่ได้พบผู้ใด เดิมเขายังกังวลอยู่ว่าต้องไปหาหลิงอินจากไหน แต่เมื่อเข้ามาถึงเขาฉินแล้วก็ไม่ต้องเครียดอีกต่อไป


เพราะเขาได้ยินเสียงฉิน


เขาคุ้นเคยในเสียงฉินของหลิงอินเป็นที่สุด และเขารู้ว่านางกำลังบรรเลงฉินอยู่


ชายหนุ่มไล่ไปตามเสียงฉิน และได้พบนางตามคาด


หลิงอินกำลังบรรเลงฉินอยู่


เป็นทำนองแสนอาดูร ฟังแล้วชวนให้รู้สึกปวดร้าว เขามิได้ขัดหลิงอิน เพียงแต่กระโจนลงมาจากม้าขาว แล้วนำม้าไปผูกไว้กับต้นไม้ต้นหนึ่ง


หลังได้มาเยือนที่นี่ เขาพอรู้แล้วว่าหลิงอินทำอะไร


เบื้องหน้าของนางมีหลุมศพขนาดไม่ใหญ่มาก บนหลุมศพมีดอกไม้ปูอยู่มากมาย


หลิงอินดีดฉินบรรเลงหน้าหลุมศพ เห็นได้ชัดว่าบรรเลงให้คนในหลุมศพฟัง…


สหายหรือ?


หลี่จิ่วเต้าคิดในใจ ผู้ตายที่อยู่ในหลุมศพนี้เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นสหายของหลิงอิน


หากเป็นญาติ ก็ไม่มีทางที่มารดาหญิงสาวจะไม่ทราบ


คิดแล้วสาเหตุที่หลายวันมานี้หลิงอินแปลกไปก็คงเป็นเรื่องนี้…


หลังบรรเลงจบหนึ่งบทเพลง ชายหนุ่มก็เห็นน้ำตาหลั่งรินจากขอบตานาง ทำให้เขาลอบถอนหายใจ คนในหลุมศพคงสำคัญต่อหลิงอินมาก


มิเช่นนั้นนางคงไม่เสียใจเยี่ยงนี้


“คุณ…คุณชาย!”


หลิงอินเห็นท่านเซียนแล้วตกตะลึงนิดหน่อย คิดไม่ถึงว่าท่านเซียนจะมาที่นี่


หลี่จิ่วเต้าถอนหายใจ เดินเข้าไปอยู่ข้างกายนางพลางปลอบ “อย่าเสียใจนักเลย…”


หลิงอินตาแดง น้ำตายังคลอหน่วยอยู่ดังเดิม


นางสงสารเสี่ยวหยาเหลือเกิน เสี่ยวหยาจิตใจบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้น กลับพบจุดจบน่าเวทนาเช่นนี้ ทุกครั้งที่นางหวนรำลึกถึงต้องเจ็บปวดใจอย่างมาก


ใช่แล้ว ผู้ที่ถูกฝังอยู่ที่นี่ก็คือเสี่ยวหยา


นางกลับจากหุบเขาคงหลิงได้พักหนึ่งแล้ว และวันรุ่งขึ้นหลังจากนางกลับถึงหุบเขาคงหลิง ก็มาอยู่ที่เขาฉินเพื่อฝังกระดูกของเสี่ยวหยา


“นางน่าสงสารเหลือเกิน บุพการีตายจากไปตั้งแต่ยังเล็ก เหลือพี่ชายเพียงคนเดียวให้พึ่งพาอาศัย ที่จริงชีวิตกำลังดีขึ้นเรื่อย ๆ หารู้ไม่ สวรรค์ไม่ยอมให้มนุษย์สมปรารถนา พี่ชายของนางกลับหายตัวไปกะทันหัน…”


หลิงอินเอ่ยด้วยดวงตาแดงก่ำ “แต่แม้เป็นเช่นนั้น นางก็มิได้ยอมแพ้ ยังคงสดใสและโอบอ้อมอารี เปี่ยมความหวังต่อทุกสิ่ง”


นางยิ่งพูดตายิ่งแดง เสียงเศร้าสลดขึ้นเรื่อย ๆ “น่าเจ็บใจนัก คนดีไม่ได้ดี นางมีเมตตาช่วยเหลือผู้อื่น หารู้ไม่ คนผู้นั้นกลับเป็นคนสามานย์อย่างถ่องแท้ นางถูกฆ่าตายอย่างทารุณ ไม่ทันได้รอเห็นพี่ชายของนางกลับมา…”


น่าสงสารถึงเพียงนี้เชียวหรือ


หลี่จิ่วเต้าฟังแล้วไม่สบายใจมากเช่นกัน


“นางชื่นชอบการดีดฉิน ข้าจึงนำฉินมาบรรเลงบทเพลงให้นางฟัง นางชื่นชอบดอกไม้ ข้าจึงนำดอกไม้นานาพันธุ์มาปูให้เต็มหลุมศพของนาง ทว่า…นางไม่อาจกลับมาได้อีกแล้ว!”


หลิงอินเอ่ยเสียงสะอื้นไห้ “นางเพิ่งอายุสิบกว่าปีเท่านั้น เดิมควรเป็นสาวน้อยวัยสะพรั่ง มีอนาคตยาวไกล ผู้ใดรู่ว่าต้องมาด่วนจากไปเยี่ยงนี้…”


“คนทำดีย่อมได้ดี ข้าเชื่อว่าสวรรค์ไม่มีทางอยุติธรรม ชาติก่อนนางต้องทนทุกข์ทรมาน ชาติหน้านี้ ข้าเชื่อว่านางต้องเปี่ยมล้นด้วยบุญวาสนา ปราศจากความกังวลตลอดชีวิต!”


หลี่จิ่วเต้าปลอบหลิงอิน


ได้ยินวาจานี้ของท่านเซียนแล้ว หัวใจของนางพลันสั่นไหว


ท่านเซียนพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร


ชาติหน้า?


หรือเสี่ยวหยายังมีโอกาสฟื้นคืนมาได้?


นางประเมินท่านเซียนต่ำไปหรือ?


ท่านเซียนมีวิธีคืนชีพเสี่ยวหยา?


คิดมาถึงนี่ หัวใจของนางเต้นพลัน ‘ตึกตัก’ โครมคราม


ถ้าเสี่ยวหยาคืนชีพได้จริงก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีมากแน่ ๆ!


“นางชอบฉินกับดอกไม้หรือ”


หลังได้ยินสิ่งที่เสี่ยวหยาได้ประสบพบเจอ หลี่จิ่วเต้านึกปวดใจมากเช่นกัน


เขากล่าว “นางชอบฉิน ข้าจะบรรเลงเพลงฉินที่ไพเราะที่สุดให้นางฟัง! นางชอบดอกไม้ บ้านข้ามีดอกไม้ที่งดงามที่สุด ข้าจะเด็ดมาวางไว้ให้หน้าหลุมศพของนาง! คนทำดีย่อมได้ดี ข้ายังเชื่อมั่นในหลักการนี้!”


พูดจบ เขาคลายเชือกที่คล้องม้าขาวแล้วกระโจนขึ้นไป กลับบ้านเด็ดดอกไม้ที่งดงามที่สุด


ท่านเซียนจะคืนชีพเสี่ยวหยาหรือ!?


หลิงอินมองแผ่นหลังที่จากไปของท่านเซียน บอกไม่ถูกว่าตื้นตันปานใด


‘นี่หรือคือความแข็งแกร่งของผู้เป็นเซียน แม้แต่คนที่ตายไปในยุคโบราณยังคืนชีพได้…!’


นางทึ่งมากจริง ๆ ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดเลยว่าเสี่ยวหยาจะฟื้นคืนจากความตายได้


ถึงอย่างไรเสี่ยวหยาได้ตายไปนานแล้ว วิญญาณของนางก็คงสลายไปแล้วนานนม ในสถานการณ์เช่นนี้ น่ากลัวว่าต่อให้เป็นท่านเซียนก็คงจนปัญญา


แต่หารู้ไม่ นางประเมินท่านเซียนต่ำไป!


ท่านเซียนคืนชีพเสี่ยวหยาได้!


‘ท่านเซียนพาข้าไปที่ภาคกลาง ไม่เพียงแต่ต้องการให้ข้าล้างแค้นแทนเสี่ยวหยา แต่ยังตั้งใจคืนชีพเสี่ยวหยาอีกด้วย!’


นางคิดในใจ ไม่รู้จริง ๆ ว่าต้องขอบคุณท่านเซียนอย่างไร


ท่านเซียนดีกับนางมากจริง ๆ!


“คนทำดีย่อมได้ดี! เสี่ยวหยา เราสองจะได้พบกันอีกครั้ง!”


หลิงอินจ้องมองหลุมศพ ปีติเหลือล้นจนน้ำตารื้น เรียกได้ว่านี่เป็นเรื่องที่สร้างความยินดีแก่นางที่สุด นางจะได้พบหน้าเสี่ยวหยาอีกครั้ง!


นางเฝ้ารอการมาของท่านเซียนอย่างมีความหวัง!
บทที่ 367

ช่างเป็นคนอาภัพ ทำดีกลับไม่ได้ดี


หลี่จิ่วเต้าปวดร้าวหัวใจ เขากลับมาถึงเมืองชิงซาน เด็ดดอกไม้ที่งดงามที่สุดในลานเก็บเอาไว้


เขาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก หมายมั่นปั้นมือบรรเลงเพลงฉินอันไพเราะที่สุด เขาพกฉินของตนไปด้วย


จากนั้น เขาขี่ม้าขาวกลับไปยังเขาฉิน


หลิงอินรออยู่นาน เมื่อเห็นท่านเซียนแบกฉินไว้บนหลัง ในมือถือดอกไม้ผลิบานสะพรั่งงดงามนานาชนิดก็ซาบซึ้งเหลือคณา


ท่านเซียนดีกับนางมากจริง ๆ!


หลี่จิ่วเต้ากระโดดลงจากม้าขาว วางดอกไม้ไว้บนหลุมศพ


“สวรรค์มองเห็นทุกการกระทำของมวลมนุษย์ คนทำดีย่อมได้ดีในที่สุด ชีวิตนี้ไม่ได้ดี ย่อมได้ดีในชีวิตหน้า!”


หลี่จิ่วเต้าเอ่ยเสียงจริงจัง


เขาเชื่อเสมอว่าคนดีได้ดี สวรรค์ไม่มีทางทำร้ายคนดี ตอนนี้บุญนั้นอาจยังไม่สนอง ทว่าสุดท้ายแล้วย่อมต้องสำแดงออกมา


จากนั้น เขาวางฉินลง นิ้วขาวผ่องเรียวยาวเริ่มต้นบรรเลง


นี่คือเพลงฉินที่เขาประพันธ์ขึ้นใหม่ เขาตั้งชื่อว่า ‘คะนึงหา’ ทำนองค่อย ๆ ดังออกมา ไพเราะเนาะหู เรียกว่าเป็นเสียงสวรรค์คงไม่เกินไปนัก


ชายหนุ่มมีสมาธิใจจดใจจ่อ จิตใจไม่วอกแวก ตั้งใจบรรเพลงบทเพลงนี้


คล้อยตามการดังขึ้นของเสียงฉิน ม่านหมอกยุ่งเหยิงหลั่งไหลออกจากขอบฟ้า มิติบิดเบี้ยว ปรากฏหลุมดำแห่งหนึ่ง


หลุมดำนั้นลึกล้ำมองไม่เห็นที่สิ้นสุด วังเวงเย็นยะเยือก ทว่าผ่านไปไม่นาน ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นภายในหลุมดำ!


เส้นทางโบราณหลอมรวมขึ้นในนั้น!


ขณะเดียวกัน ความมืดมิดภายในหลุมดำหายไปเช่นกัน ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ปรากฏในนั้น


“นี่มัน!”


หลิงอินได้เห็นภาพนี้แล้วต้องสะท้านใจเหลือคณา


ท่ามกลางหลุมดำไกลโพ้น นางสัมผัสได้ถึงกฎแห่งกาลเวลาอันเปี่ยมล้น ราวกับหลุมดำเชื่อมทะลุปริภูมิเวลา!


เส้นทางโบราณยืดขยาย ภาพเหตุการณ์ภายในหลุมดำเกิดการเปลี่ยนแปลง


“สวรรค์ เชื่อมทะลุปริภูมิเวลาได้จริงหรือนี่!”


หลิงอินสะท้านใจถึงขีดสุด ไม่รู้ต้องใช้คำใดแสดงความตะลึงในใจนาง


นางติดตามข้างกายท่านเซียนมานานแล้ว เรียกได้ว่าสิ่งที่ได้พบได้เห็นน่าทึ่งเหลือแสน ใช่ว่าตะลึงกับสิ่งอื่นได้ง่าย ๆ


ทว่าภาพตรงหน้านี้ สร้างความตะลึงให้นางมหาศาล!


หลุมดำเชื่อมทะลุปริภูมิเวลาได้จริง ๆ คล้อยตามการยืดขยายของเส้นทางโบราณ นางรู้สึกถึงพลังปราณของยุคโบราณ ได้เห็นภาพในสมัยยุคโบราณ!


หัวใจของนางเต้นรัวเร็ว ท่านเซียนต้องน่าประหวั่นพรั่นพรึงปานใดถึงทำได้ขนาดนี้กัน ปริภูมิเวลายังเชื่อมทะลุได้ง่าย ๆ!


แข็งแกร่งเกินไปแล้ว พลิกผันโลกทัศน์ของนางจนกลับตัลปัตร ผู้เป็นเซียนสยดสยองถึงเพียงนี้เชียวหรือ?


เชื่อมทะลุปริภูมิเวลา ฝืนให้สายน้ำไหลย้อนกลับ พริบตาเดียวก็มาถึงยุคโบราณ สวรรค์ ไม่มีสิ่งใดที่ท่านเซียนทำไม่ได้จริง ๆ!


เส้นทางโบราณขยายต่อไปเรื่อย ๆ ลมหายใจของหลิงอินเริ่มถี่กระชั้น นางได้เห็นสิ่งใดหรือ?


นางได้เห็นลานเล็กแสนคุ้นเคยแห่งหนึ่ง!


ที่นั่นคือลานเล็กของเสี่ยวหยา!


เส้นทางโบราณยืดขยาย ตรงเข้าไปถึงลานเล็กของเสี่ยวหยา และทะลุผ่านเรือนไม้เข้าไปในตัวบ้าน


“จักรพรรดิบุปผา!”


หลิงอินเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน โทสะพลุกพล่านในใจคูณทวี นางได้เห็นจักรพรรดิบุปผาและได้เห็นเสี่ยวหยา!


เสี่ยวหยาตัวโชกเลือดล้มอยู่บนพื้น เพิ่งถูกจักรพรรดิบุปผาขุดกระดูกออกไป!


ทว่าเสี่ยวหยาก้าวสู่เส้นทางฝึกตน บำเพ็ญวิญญาณออกมาได้แล้ว วิญญาณของนางตั้งใจจะหนี กลับโดนจักรพรรดิบุปผารั้งไว้ จักรพรรดิบุปผาโหดเหี้ยมอำมหิต ไม่ให้โอกาสเสี่ยวหยาแม้แต่น้อย ถอนรากถอนโคน ทำลายวิญญาณเสี่ยวหยาจนสิ้นซาก


ทว่าในตอนนั้นเอง พลังประหลาดบางอย่างไหลเวียนอยู่ในเส้นทางโบราณ เศษธุลีของวิญญาณเสี่ยวหยาที่ควรถูกทำลายไปแล้วกลับค่อย ๆ ถูกดูดกลืนเข้าไปในเส้นทางโบราณ


จากนั้น วิญญาณของเสี่ยวหยาก็ประสาน กลับคืนสู่ร่างวิญญาณสมบูรณ์ ปราศจากรอยขีดข่วน!


‘นี่มันวิชาอะไรกันนี่!!!’


หลิงอินร้องตะโกนในใจ เส้นทางโบราณแทบเสยหน้าจักรพรรดิบุปผาอยู่แล้ว แต่จักรพรรดิบุปผากลับไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของเส้นทางโบราณสักนิด!


และที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ หลังจากวิญญาณของเสี่ยวหยาประสานเสร็จสิ้น เส้นทางโบราณเริ่มหดกลับคืน และพาวิญญาณของเสี่ยวหยาจากยุคโบราณมายังที่นี่!


เชื่อมทะลุปริภูมิเวลายังไม่พอ ประสานวิญญาณเสี่ยวหยาที่ถูกทำลายจนสูญสลายซ้ำยังพากลับมาจากยุคโบราณยังยุคปัจจุบันได้อีกด้วย!


สวรรค์ ฝีมือเยี่ยงนี้เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!!!


ท่านเซียนน่ากลัวยิ่งนัก!


เส้นทางโบราณเชื่อมตรงถึงหลุมศพของเสี่ยวหยา วิญญาณของเสี่ยวหยาก้าวเดินจากเส้นทางโบราณจนมาอยู่ตรงหลุมศพ ก่อนจะเข้าไปในหลุมศพ


หลิงอินเห็นดอกไม้ที่ท่านเซียนนำมาจากบ้านโบกไสวทันทีที่วิญญาณเสี่ยวหยาเข้าไปในหลุมศพ พลังมวลแล้วมวลเล่าหลั่งไหลเข้าไป


นางรีบโคจรพลังมากระจุกอยู่ที่ดวงตา หมายจะมองทะลุเข้าไปว่าเกิดสิ่งใดขึ้นในหลุมศพ


ภายในหลุมศพ วิญญาณของเสี่ยวหยาผสานเป็นหนึ่งกับกระดูก และหลังจากพลังของดอกไม้หลั่งไหลเข้าไปในหลุมศพ นางได้เห็นเลือดเนื้อค่อย ๆ งอกเงยขึ้นจากกระดูก!


ท่านเซียนทำได้แล้ว เสี่ยวหยาคืนชีพแล้วจริง ๆ!


นางตื้นตันใจจนพูดไม่ออก สายตาที่มองจ้องท่านเซียนเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้ง!


เมื่อใดที่เลือดเนื้อของเสี่ยวหยางอกเงยครบถ้วน เสี่ยวหยาจักถือกำเนิดขึ้นใหม่อีกครั้ง!


เพลงฉินเนิบนาบสะท้อนก้องไกล ค่อย ๆ ดำเนินมาถึงบทสุดท้าย หลุมดำและเส้นทางโบราณ ณ เส้นขอบฟ้าก็สลายหายไปทีละน้อย


สิ้นลำนำสุดท้าย ขอบฟ้าคืนสู่ความสงบ ราวกับไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้น


หลี่จิ่วเต้าลุกขึ้น หันมองหลุมศพพลางกล่าว “เจ้าเป็นเด็กสาวจิตใจดี ชีวิตหน้าย่อมต้องเปี่ยมล้นไปด้วยบุญวาสนาอันสูงส่ง ข้าเชื่อในข้อนี้”


“ขอบคุณคุณชาย!”


หลิงอินขอบคุณจากใจจริง


หลี่จิ่วเต้าคิดว่าหลิงอินขอบคุณเขาที่บรรเลงเพลงฉินและนำดอกไม้มาให้ จึงคลี่ยิ้มและเอ่ยขึ้น “สมควรทำอยู่แล้ว”


คำว่า ‘สมควรทำอยู่แล้ว’ ยิ่งสร้างความซึ้งใจให้หลิงอินเข้าไปใหญ่


นางมีดีกระไรท่านเซียนถึงทำเพื่อนางปานนี้!


ท่านเซียนดีกับนางเหลือเกิน!


“มีเรื่องกวนใจอย่าได้ปิดบังซุกซ่อน แม่ของเจ้าเป็นห่วงเจ้ามาก นึกว่าเจ้าพบเจอเรื่องคิดไม่ตกเสียอีก จำไว้ จากนี้ไปหมั่นพูดคุยกับแม่ของเจ้า อย่าให้แม่ของเจ้าต้องพะวักพะวงเรื่องเจ้านัก”


หลี่จิ่วเต้ากล่าว


“หา?”


เริ่มแรกหลิงอินตั้งตัวไม่ทัน ทว่าจากนั้นนางถึงได้สติ


คิดแล้วหลายวันมานี้นางมัวแต่จมปลักอยู่ในความตรอมตรมจากเรื่องเสี่ยวหยา กลับละเลยท่านแม่ของนาง จนท่านแม่ของนางคิดมาก เป็นห่วงนางในใจ


นางไม่สมควร…ทำตัวเช่นนี้เลย!


“ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว!”


หลิงอินเอ่ยด้วยสีหน้าขึงขัง


นางทะนุถนอมมารดาในชาตินี้ยิ่ง จากนี้ไป นางจะไม่ทำให้ท่านแม่ต้องพะวักพะวงเรื่องนางอีกแล้ว


...


อาณาจักรเหนืออาณาจักร ท่ามกลางดินแดนมืดมิด ปราศจากแสงแดด


ที่นี่สยดสยองขนลุกขนพองยิ่งยวด ในส่วนลึกของดินแดนแห่งนี้ มีโซ่เหล็กมหึมาหนาเท่าขุนเขาสี่เส้นตรึงยักษ์ตนหนึ่งไว้


ทีแรกยักษ์ตนนี้หลับตาสนิท ทันใดนั้น เขาก็ลืมตาขึ้น ตัวสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง โซ่เหล็กที่คอยตรึงร่างสั่นสะเทือนจนส่งเสียงดังไม่หยุด!


“เสี่ยวหยา!”


เขาปริปาก เสียงแหบแห้งเหลือแสน น้ำตารินไหลหยดลงบนพื้น กระแทกรุนแรงจนเกิดเป็นหลุมแล้วหลุมเล่าประหนึ่งอุกกาบาต


“พี่ชายทำผิดต่อเจ้า!”


เขาคำรามเสียงกราดเกรี้ยว ร่างกายดีดดิ้นรุนแรงยิ่งขึ้น โซ่เหล็กสั่นคลอนอย่างหนัก เขาคิดจะดิ้นให้หลุดจากโซ่เหล็กที่พันธนาการตัวเองอยู่นี้


ทว่าโซ่เหล็กแข็งกล้าไร้ใดเปรียบ ไม่ว่าเขาดิ้นรนอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด!


“ข้าต้องไปหาเสี่ยวหยา!”


เขาคำรามอีกครั้ง สะบัดตัวสุดฤทธิ์ เริ่มมีขนสีแดงน่าพิศวงงอกตามตัวเป็นวงกว้าง ดวงตาสองข้ามแดงก่ำขึ้นมา


พลังที่เขาปะทุออกมาได้ทวีความแกร่งกล้า!


แต่ยังไม่ไหว


โซ่เหล็กยังคงมัดตรึงเขาไว้แน่น ไม่มีร่องรอยชำรุดสักนิด
บทที่ 368

หลังจากขนสีแดงพิศวงงอกเงยเต็มตัว ราวกับยักษ์ตนนั้นสูญเสียสติไปทั้งหมด สภาพของเขาราวกับฟั่นเฟือน เสียงคำรามกราดเกรี้ยวที่ส่งออกมาไม่เหมือนเสียงมนุษย์อีกต่อไป หากแต่เหมือนเสียงสัตว์อสูรมากกว่า


“สัมปชัญญะยังไม่หายไปโดยสิ้นเชิงหรือ”


สิ่งมีชีวิตตนหนึ่งปรากฏตัวออกมาอย่างไร้สุ้มไร้เสียง


หมอกแดงพิศวงปกคลุมทั่วตัว ดูไม่ออกว่าเป็นสิ่งมีชีวิตเผ่าใด


“ไม่เป็นไร ยังมีเวลา”


มันเอ่ยเสียงเรียบ


เมื่อทอดสายตาไปที่อื่น ก็จะพบว่าในดินแดนแห่งนี้มิได้มียักษ์ถูกมัดไว้เพียงตนเดียว ลองนับดูลวก ๆ ก็มียักษ์ที่ถูกมัดตัวไว้เกือบร้อยตนแล้ว


ซ้ำยังมีสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาตัวอื่นถูกมัดไว้จำนวนคณานับเช่นกัน เกือบร้อยเท่ากัน


ไม่ว่าจะเป็นยักษ์หรือสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาตนอื่น ล้วนมีขนแดงพิศวงขึ้นอยู่เต็มตัว ดูน่าพรั่นพรึงอย่างยิ่ง!


...


ณ แดนบูรพาทิศ เหยียนโจว ดินแดนหยิน


ภายในเขาฉิน


เวลาล่วงเลยผ่านไปเรื่อย ๆ หนึ่งเดือนหลังจากนั้น หลิงอินยังคงเฝ้าอยู่ที่นี่ทุกเมื่อเชื่อวัน รอคอยการกำเนิดใหม่ของเสี่ยวหยา!


ในที่สุด วันนั้นเอง หลุมศพของเสี่ยวหยาเริ่มมีปรากฏการณ์ประหลาด ลำแสงเจิดจรัสมากมายทิ่มแทงออกจากหลุมศพ!


ตู้ม!


จากนั้นหลุมศพแหลกลาญ โลงศพซึ่งมีประกายนุ่มนวลห่อหุ้มอยู่เหินออกมา


โลงศพตั้งตรงแนวดิ่ง ประกายกระพริบวูบวาบไม่หยุด ฝาโลงเปิดออก เผยให้เห็นเด็กสาวดวงหน้าวิจิตรงดงาม ร่างระหงคนหนึ่ง


ผิวของเด็กสาวขาวนวลประดุจเด็กแรกเกิด ผมยาวดกดำสยายลงมาตามไหล่ ตาปิดสนิท


“เสี่ยวหยา!”


หลิงอินตื้นตันจนแทบร่ำไห้ ในที่สุดนางก็ได้พบเสี่ยวหยาอีกครั้ง!


ขนตาหนาเป็นแพของเสี่ยวหยากระเพื่อม เปลือกตาค่อย ๆ ลืมขึ้น


นางลืมตา นัยน์ตากระจ่างใสสกาวประหนึ่งหินอัคนี ดวงตากลมโตของนางกะพริบปริบ ๆ จ้องมองหลิงอิน พึมพำกับตัวเอง “ข้าฝันไปหรือ ต่อให้เป็นความฝันก็ยังดี ข้าได้พบท่านอาจารย์อีกแล้ว! ท่านอาจารย์ ท่านรู้หรือไม่ว่า หลังท่านจากไปเสี่ยวหยาคิดถึงท่านมากเพียงใด!”


นางเอ่ยต่อ “ท่านอาจารย์ ท่านรู้หรือไม่ว่าเสี่ยวหยาพานพบคนเช่นไรหลังจากนั้น นางโหดเหี้ยมเหลือเกิน คิดจะขุดกระดูกของข้า บอกว่ากระดูกของข้าช่วยให้นางแข็งแกร่งขึ้นได้! ขุดกระดูกนั้นเจ็บเหลือเกิน เจ็บจนเสี่ยวหยาทนไม่ไหว แต่นางไม่ยอมให้เสี่ยวหยาหมดสติ ใช้พลังประคองสติของเสี่ยวหยาไว้ตลอด ให้เสี่ยวหยาต้องทนมองนางขุดกระดูกของเสี่ยวหยาออกไปทีละน้อย…”


“เสี่ยวหยาไม่โทษนาง บางทีนางคงต้องการกระดูกของข้าจริง ๆ กระมัง แต่ข้าขอร้องนางให้นำศพของข้าไปด้วย อย่าให้พี่ชายกลับมาเห็นว่าข้าตายแล้วต้องเสียใจ”


เสี่ยวหยาเอ่ยเศร้าสร้อย “แต่นางมิได้รับปากเสี่ยวหยา…เสี่ยวหยาไม่รู้ว่าหลังจากนั้นพี่ชายกลับมาหรือไม่ เสี่ยวหยาไม่อยากให้พี่ชายกลับมา เช่นนั้นพี่ชายคงเสียใจ…”


นางมองหลิงอินขณะกล่าวต่อ “แปลกเสียจริง ตายไปแล้วยังฝันได้อีกหรือ”


หลิงอินได้ยินเรื่องราวที่เสี่ยวหยาเล่าแล้วปวดใจเหลือแสน


นางเอ่ยเสียงสะอื้นไห้ “ไม่เป็นไรแล้วเสี่ยวหยา เรื่องราวทั้งหมดผ่านพ้นไปแล้ว เจ้ามิได้ฝันไป และเจ้าก็มิได้ตาย เจ้าคืนชีพกลับมาอีกครั้ง!”


“หา?”


เสี่ยวหยาก้าวออกจากโลงศพ มองดูร่างกายของตน ดูเหมือนว่านางยังไม่ตายจริง ๆ


“ท่านอาจารย์ช่วยข้าไว้หรือ”


นางถามหลิงอิน


หลิงอินหยิบอาภรณ์ชุดหนึ่งสวมให้เสี่ยวหยา ก่อนจะกล่าวว่า “อาจารย์มิได้ช่วยเจ้า เป็นเซียนท่านหนึ่งต่างหากที่ช่วยเจ้าไว้!”


“ท่านเซียนหรือ? ทั้งหมดนี้แค่ฝันไปจริง ๆ ด้วย ไหนท่านอาจารย์บอกว่าโลกนี้ไม่มีเซียนมิใช่หรือ”


เสี่ยวหยาเอ่ยเสียงผิดหวัง “แม้แต่ในฝันเหตุการณ์ยังย้อนแย้งได้อีกหรือ หรือที่คือฝันก่อนตายของข้า”


“เด็กโง่ ในอดีตที่อาจารย์กล่าวว่าโลกนี้ไม่มีเซียนเป็นเพราะอาจารย์ยังด้อยความรู้ ประสบการณ์น้อยเกินไป! ในโลกนี้มีเซียน ซ้ำยังอยู่ข้างกายอาจารย์อีกด้วย!”


หลิงอินเล่าทุกอย่างให้เสี่ยวหยาฟัง บอกเสี่ยวหยาว่ายามนี้มิใช่ยุคโบราณแล้ว ตอนนี้ได้ผ่านไปแล้วสองยุคสมัย


“จริงหรือ?”


เสี่ยวหยาเชื่อครึ่งมิเชื่อครึ่ง เป็นเพราะคำบอกเล่าของหลิงอินเพ้อฝันเกินไป น่าเหลือเชื่อถึงขีดสุด!


นางจบชีวิตในยุคโบราณ ผ่านไปแล้วสองยุคสมัยยังคืนชีพได้อีกหรือ


ท่านเซียนก็คงไม่เก่งกาจเยี่ยงนี้หรอกกระมัง!


“จริง ไปกันเถิด เรากลับบ้านกัน ระหว่างทางข้าจะเล่าทุกเรื่องให้เจ้าฟังอย่างละเอียดอีกที”


หลิงอินพาเสี่ยวหยากลับไปยังเมืองชิงซาน


...


ภาคกลาง เหยียนโจว ดินแดนหยิน


เขาหยงหมิง


“ว่ากระไร! คนกลุ่มนั้นเป็นตัวปลอม มิได้มาจากยอดนิกายหรอกหรือ!”


“บ้าชะมัด พวกเราโดนหลอกกันหมด!”


ยอดฝีมือจากลัทธิจักรพรรดิ ตระกูลจักรพรรดิอย่างลัทธิเจี๋ยเทียน ตระกูลอู่ได้รับข่าวมาว่า มีสมาชิกตัวจริงของยอดนิกายปรากฏตัวในจวินโจว และระบุชัดเจนว่าจวินโจวต่างหากคือสถานที่สำคัญ!


พวกเขาอึ้งกันหมด ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างเข้าใจว่ากลุ่มของเซี่ยเหยียนมาจากยอดนิกาย สุดท้ายแล้วสมาชิกยอดนิกายที่แท้จริงโผล่ออกมาสยบข่าวลือ พร้อมบอกว่าก่อนหน้านี้ยอดนิกายไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน ไม่มีเหตุการณ์ที่ว่าสมาชิกยอดนิกายอยู่ในโลกภายนอก


“ผู้อาวุโสเก้า ท่านว่าอย่างไร”


“ไหนท่านบอกว่าพวกเขามาจากยอดนิกายมิใช่หรือ”


พวกเขาบุกมาหาผู้อาวุโสเก้าตระกูลซางด้วยความโมโห รู้สึกเหมือนพวกตนถูกผู้อาวุโสเก้าตระกูลซางหลอก


“หา พวกเขาไม่ใช่หรอกหรือ”


ผู้อาวุโสเก้าตระกูลซางหัวเราะแห้ง “ข้าเองก็ไม่ทราบ ข้าเองเหมือนกับทุกท่าน หลังได้เห็นความน่าทึ่งของพวกเขาจึงทึกทักเอาว่าพวกเขาคือสมาชิกยอดนิกาย ส่วนรายละเอียดยิบย่อยข้ามิกล้าถาม…”


เขาได้รับข่าวมาเช่นกัน


ที่จวินโจวมีสมาชิกยอดนิกายตัวจริงปรากฏ และบรรพชนของพวกเขาเคยเข้าร่วมสงครามคราวยุคโบราณ ตัวตนไม่เป็นที่กังขา


“บัดซบ! พวกเราเดาผิดกันหมด! บางทีเบื้องหลังพวกเขาอาจมิได้มียอดนิกาย อาจมีภูมิหลังดาด ๆ บางทีแค่บังเอิญได้รับวาสนาการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น!”


“ยอดนิกายที่แท้จริงออกมาปฏิเสธข่าวลือแล้ว บางทีภูมิหลังของพวกเขาอาจไม่น่ากลัวอย่างที่พวกเราคิดจริง ๆ!”


ยอดฝีมือลัทธิเจี๋ยเทียนพากันเอ่ย


ระบอบวิถีที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงที่สุดในใต้หล้านี้เห็นจะไม่พ้นบรรดายอดนิกาย ในเมื่อสมาชิกยอดนิกายตัวจริงออกมาปฏิเสธข่าวลือว่าพวกเซี่ยเหยียนมิใช่ สะท้อนให้เห็นว่าพวกเขาคาดการณ์ผิดไปหมดอย่างไม่ต้องสงสัย


หากเบื้องหลังพวกเซี่ยเหยียนมีระบอบวิถีอันน่าสะพรึงอยู่จริง สมาชิกยอดนิกายตัวจริงคงไม่ต้องออกมาสยบข่าวลือ


ถึงอย่างไรระบอบวิถีที่น่ากลัวถึงปานนั้นก็พอให้เทียบเคียงยอดนิกายแล้ว!


และระบอบวิถีอันน่าสะพรึงนี้ไม่มีทางไม่มีข่าวคราวเล็ดลอดอกมา และไม่มีทางที่แม้กระทั่งยอดนิกายยังไม่รู้จัก


เท่านี้ก็พิสูจน์แล้วว่าเบื้องหลังพวกเซี่ยเหยียนมิได้มีระบอบวิถีน่ากลัวหนุนหลัง ส่วนความน่าทึ่งส่วนตัวนั้นก็มิใช่สิ่งประทานจากระบอบวิถีเบื้องหลัง เป็นไปได้สูงว่ากลุ่มของเซี่ยเหยียนมีโอกาสได้รับวาสนาการเปลี่ยนแปลงสะท้านโลกา!


ปูมหลังดาด ๆ หรือ?


ผู้อาวุโสเก้าตระกูลซางได้ยินดังนั้นแล้วนึกขันในใจ


ปูมหลังดาด ๆ ที่ไหนกันเล่า?


มีแต่ปูมหลังที่น่าพรั่นพรึงยิ่งขึ้น!


นั่นเป็นถึงท่านเซียนเชียวนะ!


“ไม่มีปูมหลังใดหรือ”


หานเยว่และแม่เฒ่าตระกูลหานลอบหัวเราะในใจ


นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดที่พวกนางได้ยินมา


จะมิให้พวกนางยินดีได้เยี่ยงไร


แต่เดิมตระกูลหานของพวกนางสิ้นหวังไปแล้ว รอเพียงยอดนิกายเบื้องหลังพวกเซี่ยเหยียนตามมาสะสางกับพวกนาง


ผลสุดท้ายกลับเป็นพวกนางที่คิดเยอะเกินไป


เบื้องหลังพวกเซี่ยเหยียนมิได้มีระบอบวิถีอันน่าสะพรึงแต่อย่างใด!


นั่นหมายความว่าตระกูลหานของพวกนางไม่เป็นไรแล้ว!
บทที่ 369

“ไปเร็ว!”


หานเย่วและแม่เฒ่าตระกูลหานออกจากเขาหยงหมิงด้วยความตื่นเต้นดีใจไม่หยุด ทั้งสองกลับไปยังสถานที่ตั้งตระกูลหาน


นี่เป็นข่าวดีอย่างถึงที่สุด ก่อนหน้านี้ตระกูลหานอยู่อย่างอกสั่นขวัญหายกันตลอดเวลา กังวลว่ายอดนิกายที่อยู่เบื้องหลังพวกหลี่จิ่วเต้าจะมาเยือนตระกูลหาน


ตอนนี้ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว พวกนางจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร จึงตัดสินใจนำข่าวดีกลับไปยังตระกูลหานทันที


บนร่างของพวกนางปรากฏค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังตระกูลหาน เพียงอึดใจเดียวพวกนางก็กลับมาถึงตระกูลหาน


ด้านในตระกูลหาน ทุกคนดูเซื่องซึมไร้ซึ่งชีวิตชีวา


พวกเขาต่างรู้ว่าภัยพิบัติครั้งใหญ่กำลังย่างกรายเข้ามาหาพวกเขา รู้ว่ายอดนิกายจะต้องมาตามหาพวกเขาในไม่ช้า


สมาชิกตระกูลหานเกือบทั้งหมดกลับมายังตระกูลแล้ว พวกเขาไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไร


ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงจะไม่กลัดกลุ้มขนาดนี้


เป็นเพราะสมาชิกตระกูลหานเกือบทั้งหมดล้วนกลับมาแล้ว พวกเขาจึงไม่ได้รับข่าวสารจากภายนอก ไม่รู้ว่ายอดนิกายที่แท้จริงปรากฏตัวในจวินโจว


“เหตุใดท่านจึงไร้ชีวิตชีวาเยี่ยงนี้”


แม่เฒ่าตระกูลหานแย้มยิ้มอย่างสดใสพลางเอ่ยหยอกล้อ “เช่นนี้ไม่ดีเลย ใบหน้าเกิดรอยย่นได้ง่ายดาย”


“ไปให้พ้น! ตอนนี้ใช่เวลามากังวลเรื่องรอยย่นหรือ!?”


หลังจากที่ผู้อาวุโสระดับสูงผู้หนึ่งของตระกูลหานได้ยินแม่เฒ่า ก็เกิดความโกรธจนตบแม่เฒ่าลอยกระเด็นไปชนกำแพง


จนถึงตอนนี้แล้ว แม่เฒ่ากลับยังคงกล่าวออกมาเช่นนี้ จะไร้พะวงไปถึงขั้นไหนกัน?


กระดูกในร่างของแม่เฒ่าคล้ายถูกกระแทกแตกเป็นชิ้น ๆ


นางอัดอั้นตันใจเป็นอย่างมาก ถ้าหากนางรู้ล่วงหน้าว่าจะเป็นเช่นนี้ นางคงไม่เอ่ยหยอกล้ออะไร บอกกล่าวข่าวดีออกไปเลย


ตอนนี้ทุกอย่าเป็นไปด้วยดี นางนับว่าโดนตบหน้าไปเปล่า ๆ!


“ผู้อาวุโส ท่านอย่าได้เข้าใจข้าผิดไป ข้ากลับมาในครั้งนี้ได้นำข่าวดีอย่างยิ่งกลับมาด้วย!”


นางไม่กล้าลีลา รีบกล่าวออกมาอย่างรวดเร็วว่าพวกเซี่ยเหยี่ยไม่ได้มาจากยอดนิกาย


“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?


ดวงตาผู้อาวุโสสูงสุงเบิกกว้างขึ้นทันที สรุปแล้วเป็นพวกเขาที่กลัวกันไปเองอย่างนั้นหรือ?


ทว่าหลังจากนั้นเขาก็ยิ้มกว้างออกมาทันที รอยย่นเต็มใบหน้าชรายืดออกพร้อมรอยยิ้ม “ดี ดียิ่ง!”


ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร แต่ในที่สุดวิกฤตของตระกูลหานก็ได้รับการแก้ไขแล้ว


ถึงว่าผ่านเวลามานานหลายวันแล้ว ยอดนิกายเบื้องหลังพวกเซี่ยเหยียนก็ยังไม่มาหาพวกเขา ที่แท้เบื้องหลังของพวกเซี่ยเหยียนไม่มียอดนิกายอะไรอยู่ตั้งแต่แรก!


นี่นับได้ว่าเป็นข่าวดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย


ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่ต้องเผชิญหน้ากับการคุมคามจากยอดนิกาย พวกเขายังไม่จำเป็นต้องกังวลว่าแผนการลี้ภัยไปอยู่ฝั่งอาณาจักรเทียนหยวนของตระกูลหานจะถูกเปิดเผย


อย่างไรเสียแผนการลี้ภัยไปอยู่ฝั่งอาณาจักรเทียนหยวนของพวกเขาก็มีเพียงแค่พวกเซี่ยเหยียนที่ล่วงรู้ เมื่อพวกเซี่ยเหยียนไม่มียอดนิกายอยู่เบื้องหลัง เรื่องราวทั้งหมดก็จะง่ายดายขึ้นมาก


แม้ว่าพวกเซี่ยเหยียนจะออกมาพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาก็สามารถปฏิเสธได้อย่างสิ้นเชิง และจะไม่เกิดเรื่องอะไรตามมา


“ไป ไป ไปข่าวดีให้กับท่านบรรพชน!”


ผู้อาวุโสสูงสุดตื่นเต้นเป็นอย่างมาก รีบพาแม่เฒ่ายังสถานที่ที่บรรพชนอยู่


พวกเขาไปถึงที่แห่งนั้นอย่างรวดเร็ว


“ท่านบรรพชน!”


ผู้อาวุโสสูงสุดเอ่ยเรียกจากด้านนอกอย่างแผ่วเบา


ท่านบรรพชนเป็นถึงมหาจักรพรรดิผู้มีชีวิตอยู่ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน


“มีเรื่องอันใด?”


เสียงของจักรพรรดิหานที่ดังมาจากข้างในมีความรำคาญอยู่


ตอนนี้จักรพรรดิหานยังคงมีอารมณ์โกรธ ภายในใจยังคงอารมณ์เสียอยู่ไม่น้อย


เขาจะไม่อารมณ์เสียได้อย่างไร!


นับตั้งแต่เขาออกจากตระกูลหาน ทุกอย่างล้วนเป็นไปได้ด้วยดี มันคงจะดีมากอย่างถึงที่สุด หากในตอนท้ายการเดินทางไปยังแดนฝอราบรื่น ทุกอย่างจะสมบูรณ์แบบ


แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นเช่นไร!?


หลังจากไปถึงพระพุทธศาสนาเเล้ว เขากลับได้รับความอัดอั้น ถูกเด็กน้อยอายุเพียงไม่กี่ขวบทุบตีจนต้องวิ่งหนี!


ความรู้สึกเพลินเพลินใจก่อนหน้านี้ทั้งหมดล้วนปลิวหายไปแล้ว!


เขาอึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังคงไม่บรรเทาลง!


“ท่านบรรพชน พวกเรามีข่าวดีจะมารายงาน!”


ด้านนอกประตู ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น


“ข่าวดี? ตอนนี้ยังจะมีข่าวดีออะไรอีก?”


จักรพรรดิหานกล่าวออกมาอย่างอารมณ์เสีย


ทว่าเขาก็ยังคงต้องการจะฟัง จึงปล่อยให้ผู้อาวุโสสูงสุดเข้ามา


ผู้อาวุโสสูงสุดพาแม่เฒ่าเข้าไปด้านใน


“ท่านบรรพชน ตระกูลหานของพวกเราไม่จำเป็นต้องวิตกหวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว!”


หลังจากเข้ามา แม่เฒ่าก็ไม่กล้าทำผิดพลาดดั่งเช่นครั้งก่อน นางรีบกล่าวเรื่องราวทั้งหมดออกมาทันทีด้วยความรวดเร็วและตรงประเด็น


“พวกเซี่ยเหยียนไม่มียอดนิกายสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง!”


นางกล่าวออกมาโดยไม่เว้นช่วง


“ท่านบรรพชน นี่นับเป็นข่าวดีอย่างถึงที่สุด พวกเราจะไม่ต้องวิตกหวาดกลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว!”


ผู้เฒ่าสูงสุดพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม


ทว่าเขาก็ต้องหุบยิ้มลง


เพราะว่าเขาเห็นสีหน้าผิดปกติของจักรพรรดิหาน...


ใบหน้าของจักรพรรดิหานทะมึนจนน่ากลัว แววตาราวกับจะกินคนเข้าไป เช่นนั้นแล้วจะให้เขาตื่นเต้นยินดีต่อได้อย่างไร?


นี่มันเรื่องอะไรกัน?


ข่าวนี้ก็เป็นข่าวดีไม่ใช่หรือ?


ภายในใจของผู้อาวุโสสูงสุดงงงวย


แต่เขาก็ตระหนักได้ว่า บางทีข่าวนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องดีจริง ๆ!


เพียงพริบตาเดียวจักรพรรดิหานก็มาถึงด้านหน้าของเขา ทั้งยังทุบตีผู้อาวุโสสูงสุดอย่างแรงจนร่างกายบิดเบี้ยง กระอักเลือดจำนวนมากออกมาจากปาก


ตอนนี้เขารู้ได้ในทันทีว่านี่ไม่ใช่ข่าวดีแต่อย่างใด ไม่เช่นนั้นจักรพรรดิหานจะเข้ามาทุบตีเขาเช่นนี้ได้อย่างไร?


“นี่ไม่ใช่ข่าวดีหรือ?”


ในใจของเขาร่ำร้องว่าไม่อยุติธรรมเสียเลย


นี่เป็นข่าวดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย เหตุใดจึงกลายเป็นข่าวร้ายสำหรับจักรพรรดิหาน?


ตุบ ตุบ ตุบ!


จักรพรรดิหานลงมืออย่างโหดร้าย ทุบตีผู้อาวุโสสูงสุดอย่างบ้าคลั่งจนลงไปกองกับพื้น บนใบหน้าของชายชราเต็มไปด้วยเลือด


แม่เฒ่าที่ดูอยู่ด้านข้างถึงกับตกตะลึง


ถึงท่านบรรพชนจะตื่นเต้นแต่ก็ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้!


นี่..นี่ต้องการจะตีจนผู้อาวุโสสูงสุดตายเลยหรือ!


แต่แท้จริงแล้วจักรพรรดิหานไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดของตนเองเพื่อทุบตีผู้อาวุโสสูงสุด ไม่เช่นนั้นผู้อาวโสสูงสุดคงจะตายไปนานแล้ว


เขาทุบตีผู้อาวุโสสูงสุดอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะโยนผู้อาวุโสสูงสุดออกไปอีกทางเมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสสูงสุดใกล้ตายเต็มทีแล้ว


“ไร้ประโยชน์ ใช้การไม่ได้ ไร้ค่า! พวกเจ้าทั้งหมดไร้ค่าอะไรเช่นนี้!”


เขาตะโกนสบถด่าด้วยความโกรธ การทุบตีผู้อาวุโสสูงสุดอย่างบ้าคลั่งไม่ได้ทำให้ความโกรธในใจหายไป เขายังคงโกรธเป็นอย่างมาก


หลังจากนั้นเขาก็จ้องมองไปทางแม่เฒ่า


“เอ๊ะ?”


เมื่อแม่เฒ่าเห็นว่าท่านบรรพชนจ้องมองมาที่นาง ใบหน้าชราก็แปรเปลี่ยนเป็นซีดขาว ขาทั้งสองขาของนางสั่นด้วยความตื่นตกใจ


ทว่าก่อนที่นางจะทันได้พูดอะไรออกมา ก็พลันรู้สึกไร้เรี่ยวแรง สูญเสียการควบคุมร่างกายตนเอง!


ท่านบรรพชนมาปรากฏขึ้นตรงหน้านาง ทำให้นางต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกันกับผู้อาวุโสสูงสุด ถูกท่านบรรพชนทุบตีไม่ยั้ง!


ฟันทั้งหมดของนางร่วงออก ร่างกายบาดเจ็บอย่างรุนแรง น่าสังเวชอย่างถึงที่สุด!


“พวกเจ้าใช้การได้บ้างหรือไม่? ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่อง!”


บรรพชนตวาดด่า ยิ่งคิดยิ่งโกรธจนทุบตีแม่เฒ่าไม่หยุด


นี่มันอะไรกัน!


แม่เฒ่าร่ำไห้ เหตุใดท่านบรรพชนจึงแสดงความตื่นเต้นไม่เหมือนผู้อื่น?


ท่านบรรพชนตื่นเต้นแล้วชอบทุบตีคน!!!


หากนางรู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรก ไม่ว่าอย่างไรนางก็คงไม่ยอมมาที่นี่พร้อมกับผู้อาวุโสสูงสุด!


นางคิดว่านางเป็นผู้นำข่าวดีกลับมา ท่านบรรพชนก็ควรให้รางวัลแก่นาง...


ผู้ใดจะคิดว่านางกลับถูกท่านบรรพชนทุบตี!
บทที่ 370

จักรพรรดิหานทุบตีแม่เฒ่าอย่างรุนแรงจนใบหน้าของนางบวมช้ำราวสุกร


แน่นอนว่าเขาก็ยังคงยั้งมือไม่ถึงขั้นสังหาร เมื่อแม่เฒ่าจวนเจียนสิ้นลม เขาก็เหวี่ยงนางออกไปอีกด้าน


เมื่อผู้อาวุโสสูงสุดและแม่เฒ่าสบตากัน ก็ต่างเห็นแววตาอึดอัดคับข้องใจในดวงตาของอีกฝ่าย


อึดอัดคับข้องใจ...พวกเขาอึดอัดคับข้องใจเป็นอย่างมาก!


พวกเขาไม่ทันได้ทำอะไร อีกทั้งยังนำความดีมาด้วย ทว่าสุดท้ายกลับถูกทุบตีอย่างบ้างครั้ง พวกเขาจะไม่รู้สึกอึดอัดคับข้องใจได้อย่างไร


“ตระกูลหานมีแต่ตัวไร้ประโยชน์ใช้การไม่ได้เหมือนพวกเจ้า ไม่แปลกที่จะต้องจบเห่!”


จักรพรรดิหานถลึงตามองผู้อาวุโสสูงสุดและแม่เฒ่าพร้อมกัดฟันพูด


เหตุใดเขาถึงโกรธขนาดนี้หรือ?


ก็เพราะไอ้บัดซบนี่บอกกับเขาว่าพวกเซี่ยเหยียนมาจากยอดนิกาย ตระกูลหานของพวกเขาจบสิ้นลงแล้ว ไม่มีกระทั่งความหวังใด แต่ผลสุดท้ายกลับกลายเป็นว่าพวกเขาล้วนคิดมากไปเอง พวกเซี่ยเหยียนไม่ได้มาจากยอดนิกายหรือมีภูมิหลังอะไร!!!


ถ้าบอกก่อนที่เขาจะออกไปคงจะไม่มีเรื่องอะไร


แต่ประเด็นคือเขาออกไปเรียบร้อยแล้ว!


เขาไม่เพียงแค่ออกไป แต่ยังทำเรื่องราวทุกอย่างตามใจอย่าง โดยไม่ได้สนใจหน้าตาตนเองหรือตระกูลหานแม้แต่น้อย


อย่างไรเสียเขากับตระกูลหานก็จบสิ้นแล้ว เขายังต้องมากังวลสิ่งใดอีก!


เขาไปที่ตระกูลอู่เพื่อดื่มชาจักรพรรดิ ไปที่เผ่าวิหคทองเพื่อจับวิหคทองมาดื่มโลหิต ยิ่งกว่านั้นยังไปวังพร่างพรายเพื่ออาบน้ำในบ่อน้ำนำโชค...


ทั้งหมดล้วนจะต้องนำความอับอายและความเกลียดชังมหาศาลมาสู่ตัวเขาและตระกูลหาน!


อีกทั้งเรื่องที่สำคัญสุดคือ เดิมทีเขาคิดว่าตัวเองจบสิ้นแล้วไม่มีโอกาสพลิกฟื้นอะไรอีก จึงสำแดงพลังทั้งหมดออกมาอย่างเต็มที่ไม่คำนึงถึงราคาที่ต้องจ่าย


เดิมทีเขาก็เหลืออายุขับอีกไม่มาก เวลาชีวิตนั้นมีอยู่จำกัด ดังนั้นการสำแดงพลังออกมาบ่อย ๆ โดยไม่คำนึงสิ่งใดจะต้องทำให้สภาพเขาย่ำแย่ลงอย่างไม่ต้องสงสัย ตอนนี้ตัวเขานั้นได้เข้าใกล้ความตายไปอีกก้าวหนึ่ง!


แต่ผลลัพธ์ที่ได้...!?


บัดซบ!


ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องคิดไปเอง!


ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับทั้งเขาและตระกูลหาน!


เขาโกรธจนราวกับหัวใจ ตับ และปอดจะระเบิดออกมา เพราะพวกผู้อาวุโสสูงสุดไม่อาจเชื่อถือได้ เขาจึงต้องอับอายขายหน้า และชักนำความเกลียดชังครั้งใหญ่เข้าสู่ตระกูลหาน ทั้งยังนำพาตนเองเข้าใกล้ความตายไปอีกก้าว!


ความขมขื่นนี้เกิดจะทนได้!


ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!


ในตอนนั้นเอง เสียงระเบิดอันน่ากลัวก็ดังมาจากภายนอกครั้งแล้วครั้งเล่า มียอดฝีมือตระกูลหานรีบวิ่งโซซัดโซเซมาอย่างรวดเร็ว


“ผู้อาวุโส ท่านบรรพชน ท่าไม่ดีแล้ว ตระกูลอู่ เผ่าวิหคทอง วังพร่างพรายและกลุ่มกองกำลังอื่น ๆ ล้วนนำอาวุธมหาจักรพรรดิมาเพื่อสังหารพวกเราตระกูลหาน!”


ยอดฝีมือตระกูลหานผู้นี้เต็มไปด้วยเลือดทั่วทั้งกาย


“ไม่ทราบว่าพวกเขาทำด้วยเหตุผลใด พวกเขาไม่แม้กระทั่งพูดจา ลงมือทันทีที่มาถึง ตอนนี้พวกเขากำลังจะบุกเข้ามาภายในพื้นที่ของตระกูลหานแล้ว!”


เขากล่าวต่อ


“เอ๊ะ?”


สีหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดและแม่เฒ่าตกตะลึงหลังจากได้ยินสิ่งนี้


เกิดอะไรขึ้น?


หรือจะเป็นไปได้ไหมว่าแผนการตระกูลหานที่ต้องการจะลี้ภัยไปอยู่ฝั่งอาณาจักรเทียนหยวนถูกเปิดเผย?


ทว่าแม้พวกเขาจะถูกเปิงโปงแผนการ ตระกูลอู่และกองกำลังอื่น ๆ ก็ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้!


มาถึงก็เริ่มลงมือโดยไม่พูดไม่จาถามไถ่สิ่งใด!


นี่มันเผด็จการเกินไปแล้ว!


อีกด้านหนึ่ง สีหน้าของจักรพรรดิหานมืดครึ้มจนแทบจะคั้นออกมาเป็นน้ำหมึกได้


เพียงแค่นึกถึง เจ้าพวกนั้นก็มาเสียแล้ว!


แม้คนในตระกูลหานจะไม่รู้ว่าเหตุใดตระกูลอู่และกองกำลังอื่น ๆ จึงมาที่นี่ แต่เขารู้ดีอยู่แก่ใจ รู้ดีจนไม่อาจรู้มากไปกว่านี้


เห็นได้อย่างชัดเจนว่าตระกูลอู่และกองกำลังอื่น ๆ มาเพื่อชำระบัญชีกับเขา!


“ลงมือบุกเข้ามาในตระกูลหานของพวกเราอย่างไม่บอกเหตุผล จะมากเกินไปแล้ว!”


ผู้อาวุโสสูงสุดอดเอ่ยออกมาอย่างคับแค้นใจไม่ได้ ก่อนจะหันไปขอร้องกับจักรพรรดิหาน “ท่านบรรพชนโปรดลงมือ แสดงให้พวกเขาเห็นเถิด ว่าตระกูลหานของเราไม่ใช่ลูกพลับนิ่ม นึกอย่างจะจับจะบีบเช่นไรก็ได้!”


หากท่านบรรพชนออกโรง จะต้องสามารถหยุดยั่งตระกูลอู่และกองกำลังอื่น ๆ ได้อย่างแน่นอน


เมื่อถึงตอนนั้น พวกเขาก็จะสามารถเปิดโอกาสพูดคุยกับตระกูลอู่และกองกำลังอื่น ๆ


ตราบใดที่พวกเขาสามารถพูดคุยได้ทุกอย่างก็จะดีขึ้น แต่เกรงว่าตระกูลอู่และกองกำลังอื่น ๆ จะไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้พูด


น่าเสียดาย ที่เขาไม่ได้รู้รายละเอียดของเรื่องราวครั้งนี้...


“ออกโรง? ออกโรงบ้าอะไร!”


จักรพรรดิหานตบผู้อาวุโสสูงสุดจนกระเด็นไปอีกทาน “รีบไปเอาของออกมาจากคลัง! จำเอาไว้ว่าต้องเป็นสมบัติล้ำค่าด้วย!”


“เอ๊ะ?”


ผู้อาวุโสสูงสุดถึงกับบื้อใบ้ ในใจกล่าวว่าบรรพชนผู้นี้ช่างชอบใช้ความรุนแรงในครอบครัว*[1] ทุบตีพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง แต่เมื่อมีศัตรูภายนอกมากลับตาขาว!


มีคนมาหาเรื่องถึงหน้าประตูบ้าน แต่ยังไม่ทันจะถามหาสาเหตุอะไรกลับส่งคนไปเอาสมบัติล้ำค่าออกมา?


ตระกูลหานของพวกเขาไม่ได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น!


ต่อให้ภายในกองกำลังอื่นจะมีขอบเขตสูงสุดแล้วอย่างไร?


ตระกูลหานของพวกเขาก็มีขอบเขตสูงสุด มีกระทั่งเหนือยิ่งกว่าขอบเขตสูงสุด!


“ไปเร็ว!”


จักรพรรดิหานจ้องเขม็งไปทางผู้อาวุโสสูงสุด ก่อนจะออกจากที่นี่ตรงไปยังประตูด้านหน้าภูเขา


ภายในใจของเขารู้สึกผิดเป็นอย่างมาก เป็นเพราะเขายั่วยุกองกำลังอื่นมากเกินไป...


ตอนนี้แตกต่างไปจากเดิมแล้ว ก่อนหน้านี้เขาดั่งคนไม่มีอะไรจะเสีย ไม่ต้องรักษาท่าทางอันใด ทว่าตอนนี้กลับต่างออกไป


หากตระกูลหลายต้องการจะอยู่รอดและเดินหน้าต่อไปได้ ย่อมต้องไม่สามารถเป็นศัตรูต่อกองกำลังมากมายขนาดนี้


เมื่อใดควรยอมแพ้ก็จงยอมแพ้!


เขามาถึงประตูด้านหน้าภูเขาอย่างรวดเร็ว


โกรธแค้นกันเพียงนี้เชียวหรือ? ไม่ว่ามองไปทางใดก็เต็มไปด้วยฝูงชนหนาแน่นจากทุกเผ่าทุกกองกำลัง!


เมื่อเห็นภาพดังกล่าว หัวใจของจักรพรรดิหานก็ยิ่งรู้สึกว่างเปล่ามากยิ่งขึ้น


“จักรพรรดิหาน! พวกข้าฆ่าได้แต่หยามไม่ได้ การกระทำของเจ้าทำให้ตระกูลของข้าไม่อาจทนรับได้! แม้ว่าเจ้าจะเป็นถึงมหาจักรพรรดิ เจ้าก็ไม่อาจทำเช่นนี้ได้!”


“พวกเราเองก็มีความรุ่งโรจน์มาตั้งแต่ครั้งอดีต จะยอมให้เจ้ามาหยามเช่นนี้ได้อย่างไร!!!”


ตระกูลอู่ วังพร่างพราย และกองกำลังทรงอำนาจอื่น ๆ ต่างตะโกนออกมาด้วยความโกรธ


สิ่งที่จักรพรรดิหานทำกับตระกูลและกองกำลังของพวกเขานั้นมาเกินกว่าที่พวกเขาจะสามารถยอมรับได้


อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นถึงตระกูลและกองกำลังโบราณที่สืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนาน เคยให้กำเนิดมหาจักรพรรดิมากมายนับไม่ถ้วน พวกเขาต่างมีศักดิ์ศรีความรุ่งโรจน์ที่ต้องการจะปกป้องรักษาไว้!


แม้ลำพังพวกเขาจะไม่สามารถทำอะไรจักรพรรดหานได้ แต่เมื่อพวกเขาจับมือรมกองกำลังจำนวนมากเข้าด้วยกัน แม้กระทั่งจักรพรรดิหานเองก็ไม่สามารถต่อกรได้!


จักรพรรดิหานไม่ได้อยู่ในสภาวะสูงสุด เห็นได้ชัดว่ากำลังเข้าสู่ช่วงบั้นปลาย พลังที่สามารถใช้งานได้มีอยู่อย่างจำกัด หากพวกเขาทั้งหมดต่อสู้ร่วมกัน ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส!


อีกทั้งในครั้งนี้พวกเขายังสืบสาวเรื่องราวทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว พวกเขาสามารถต่อกรกับจักรพรรดิหานได้อย่างแน่นอน!


“ทุกท่านอย่าพึ่งใจร้อน! ก่อนหน้านี้เป็นข้าที่ผิดเอง ข้ามาที่นี่เพื่อขอขมาทุกท่าน หวังว่าทุกท่านจะสามารถให้อภัยได้!”


จักรพรรดิหานรีบเอ่ยขอโทษออกมาด้วยท่าทางนอบน้อมเป็นอย่างมาก


“เอ๊ะ?”


“นี่...หมายความว่าอย่างไร?”


กลุ่มกองกำลังต่าง ๆ รู้สึกสับสนไม่เข้าใจอยู่บ้าง


สถานการณ์เช่นนี้ดูเหมือนจะไม่ถูกต้อง...


ก่อนหน้านี้จักรพรรดิหานดูไร้ความยี่หระ แสดงท่าทางผยองใช้อำนาจบาตรใหญ่ถึงเพียงนั้น เหตุใดตอนนี้จึงเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว?


นี่คือหวาดกลัวพวกเขาอย่างนั้นหรือ?


“เฮ้อ ข้าจะกล่าวความจริงให้ทุกท่าน หลังจากใกล้หมดอายุขัยเต็มที สภาวะต่าง ๆ ก็เริ่มเสื่อมถอย ก่อนหน้านี้ข้าจึงถูกมารภายในจิตใจครอบงำอย่างไม่อาจต้านทานได้ ข้าจึงไปที่ดินแดนของพวกท่านเพื่อกระทำสิ่งต่าง ๆ ตามใจอยาก ต้องขออภัยพวกท่านจริง ๆ!”


จักรพรรดิหานกล่าวออกมาด้วยความนอบน้อมและจริงใจ


หลังจากนั้นเขาก็พูดต่อ “ข้าเต็มใจที่จะชดเชยทุกท่านอย่างสุดความสามารถ ทุกท่านต้องการสิ่งใดก็กล่าวมาเถิด ตราบใดที่ข้าสามารถทำได้ ข้าก็จะตอบรับอย่างแน่นอน!”


การกระทำของจักรพรรดิหานทำให้กองกำลังต่าง ๆ พากันคาดไม่ถึง


แต่เดิมพวกเขาคิดว่าต้องสู้กันก่อนจึงค่อยพูดจากันได้ คาดไม่ถึงว่าจักรพรรดิหานจะยอมแพ้ตั้งแต่แรก!



[1] ความรุนแรงในครอบครัว (窝里横) เป็นศัพท์ในอินเตอร์เน็ตของจีน หมายถึง คนที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว ใช้ความรุนแรงกับครอบครัว แต่ทำตัวดีต่อหน้าบุคคลภายนอก