346-350

บทที่ 346

“จ้าวสูงสุด? เป็นไปไม่ได้กระมัง!”


ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานขมวดคิ้ว ไม่เห็นด้วยกับความเห็นของบรรพชนเผ่าฉงฉี


จริงอยู่ที่ไม่มีวี่แววการต่อสู้ส่งออกมาจากทางนั้นสักนิด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าหลี่จิ่วเต้าแข็งแกร่งมากอย่างไม่ต้องสงสัย มีพลังเหนือชั้นกว่าผู้นำตระกูลมาก จัดการผู้นำตระกูลได้ในพริบตาเดียว


แต่หากบอกว่าหลี่จิ่วเต้าเป็นจ้าวสูงสุดคนหนึ่ง เขากลับคิดว่ามันเกินไป


จ้าวสูงสุดวัยเยาว์เยี่ยงนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?


ต่อให้มีความเป็นไปได้สูงว่าเกี่ยวข้องกับยอดนิกาย เขาก็ยังคิดว่าเป็นไปไม่ได้!


กลิ่นอายความอ่อนเยาว์เปี่ยมล้นอยู่ในตัวหลี่จิ่วเต้า เรื่องนี้จริงแท้แน่นอน หลี่จิ่วเต้ามิใช่ปีศาจเฒ่าแต่อย่างใด อายุของเขาเป็นตามรูปลักษณ์ภายนอกของเขา


หากมีจ้าวสูงสุดที่อายุน้อยเยี่ยงนี้ เช่นนั้นยอดนิกายคงน่ากลัวถึงขีดสุด พรสวรรค์ในตัวหลี่จิ่วเต้าลึกล้ำเกินหยั่ง!


นับแต่ประวัติศาสตร์เริ่มต้นยังไม่เคยมีจ้าวสูงสุดอ่อนเยาว์เช่นนี้มาก่อน!


“นอกจากนี้ ที่พวกเราไม่เคยล่วงรู้ว่าขอบเขตพลังที่แท้จริงของเขาเป็นเยี่ยงไร มิใช่เพราะเขานั้นเก่งกาจเหลือคณา เราเคยตั้งใจสืบเสาะในตัวเขาที่ไหน”


ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานกล่าวต่อ


ถึงแม้พวกเขาสะกดรอยตามมาทั้งทาง กระนั้นเพื่อป้องกันมิให้เปิดเผยตัว พวกเขาจึงมิได้ใช้ประสาทสัมผัสจ้าวสูงสุดไปจับสัมผัสสถานการณ์ของพวกหลี่จิ่วเต้า


คำพูดท่อนหลังของบรรพชนเผ่าฉงฉีจึงไม่มีน้ำหนัก


เขาคิดว่าหลี่จิ่วเต้าทรงพลังแน่นอน อยู่เหนือนักบุญ ทว่ายังไม่ถึงขั้นจ้าวสูงสุด หากพวกเขาตั้งใจสัมผัสพลังของหลี่จิ่วเต้า น่าจะสัมผัสพลังขอบเขตที่แท้จริงของหลี่จิ่วเต้าได้


“เป็นเช่นนั้นจริง!”


บรรพชนเผ่าฉงฉีทบทวนดูแล้ว คิดว่าจ้าวสูงสุดเฒ่าตระกูลหานพูดไม่ผิด มันแตกตื่นเกินไป


เมื่อครู่มันด่วนตัดสิน เมื่อเห็นว่าหลี่จิ่วเต้าปรากฏตัวโดยไม่เป็นอะไร จึงทึกทักไปตามสัญชาตญาณว่าหลี่จิ่วเต้าแข็งแกร่งมาก บวกกับในใจของมันเข้าใจว่าหลี่จิ่วเต้าเป็นปุถุชนธรรมดามาโดยตลอด ไม่ทันคิดว่าพวกเขาไม่เคยตั้งใจจับสัมผัสหลี่จิ่วเต้ามาก่อน


จ้าวสูงสุดอายุน้อยเยี่ยงนี้ มันเองก็เชื่อไม่ลง


บรรลุของเขตจ้าวสูงสุดในอายุราว ๆ ยี่สิบ ต้องสะท้านโลกันตร์ถึงเพียงใด!


“เจ้าว่าพวกเขารู้หรือไม่ว่าพวกเราอยู่ที่นี่”


บรรพชนเผ่าฉงฉีหันไปถามจ้าวสูงสุดตระกูลหาน


“ข้าไม่ทราบ แต่ข้าคิดว่าผู้นำตระกูลคงไม่โง่เขลากล่าวถึงพวกเรากระมัง!”


ดวงตาผู้อาวุโสสูงสุดทอประกาย “ทว่าไม่ว่าพวกเขารู้หรือไม่ เราก็หมดทางถอยแล้ว!”


ผู้นำตระกูลตาย ตระกูลหานเผยตัวแล้วอย่างสิ้นเชิง เขาไม่มีทางปล่อยให้พวกหลี่จิ่วเต้านำเรื่องนี้ไปรายงานยอดนิกาย


หากยอดนิกายล่วงรู้เรื่องนี้ ตระกูลหานของพวกเขาได้เจอดีแน่ ถึงครานั้น ทุกสิ่งที่พวกเขามั่นหมายย่อมปิดไม่มิด และต้องพบจุดจบอย่างน่าอนาถ!


“เรารึ? พวกเราเว้นระยะห่างกันหน่อยดีกว่า”


บรรพชนเผ่าฉงฉีกล่าว ตอนนี้มันไม่ต้องการร่วมมือกับตระกูลหานอีกต่อไปแล้ว อยากลงจากเรือลำนี้ มัรู้สึกว่าร่วมมือกับตระกูลหานไม่เข้าท่า ได้ซวยบรมแน่


“ไม่ว่าเจ้าเต็มใจหรือไม่ พวกเราก็ต้องร่วมหัวจมท้าย!”


ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานกล่าว “เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าผู้นำตระกูลมิได้บอกทุกสิ่ง แต่เดิมพวกเจ้ามีความแค้นกับเซี่ยเหยียนอยู่แล้ว หากยอดนิกายเบื้องหลังพวกเขาทราบเรื่องนี้อีก เจ้าคิดว่ายอดนิกายจะยอมปล่อยพวกเจ้าหรือ พวกเจ้าต้องถูกจับไปเป็นกองทัพแนวหน้าในสมรภูมิแน่!”


เขาเอ่ยต่อ “สิ่งที่ข้าพูดมายังดี เป็นไปได้ว่าถึงขั้นยอดนิกายไม่เห็นพวกเจ้าอยู่ในสายตา ล้างบางพวกเจ้า ไม่ให้โอกาสพวกเจ้าได้ลงสนามรบก็เป็นไปได้”


บรรพชนเผ่าฉงฉีเงียบ


สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนจุติ ยุคสมัยนี้ขาดแคลนพลังรบระดับสูงอย่างยิ่งยวด ทว่าเป็นดั่งที่จ้าวสูงสุดตระกูลหานว่า ยอดนิกายอาจไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาจริง ๆ…


บิดาของฉงคูเป็นถึงอสูรร้ายราชันศักดิ์สิทธิ์ เซี่ยเหยียนยิงศรสังหารอย่างง่ายดาย หากมิใช่ว่าบิดาฉงคูหนีได้ไว ครานั้นคงตายด้วยศรของเซี่ยเหยียนไปแล้วอย่างแน่นอน


ถึงอย่างไรนั่นก็อสูรร้ายราชันศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ พลังรบมิได้ต่ำต้อย เซี่ยเหยียนคิดจะฆ่าก็ฆ่า ยอดนิกายอาจไม่แยแสพวกมันจริง ๆ…


“เหตุไฉนข้าถึงลงเรือโจรของพวกเจ้าเสียได้!”


มันกัดฟันกรอด เจ็บใจเป็นหนักหนา


ตอนนี้มันผูกหนี้แค้นกับยอดนิกายมากขึ้นเรื่อย ๆ คิดจะล่าถอยอย่างปลอดภัยเป็นไปไม่ได้แล้ว มันเสียใจจริง ๆ เสียใจในวันนั้น มันไม่ควรตกลงรับปากผู้นำตระกูลหานเลย สุดท้ายส่งผลให้มันในตอนนี้อยู่ในจุดที่เสียการควบคุมต่อสถานการณ์มากกว่าเดิม

“นี่มิใช่เรือโจร พวกเราทั้งหมดเพียงแค่อยากรอดชีวิตเท่านั้น!”


ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าว “ต่อให้ยอดนิกายแข็งแกร่งเพียงใดก็ไม่อาจทัดเทียมสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวน พวกเราอยากมีชีวิตรอดต่อไป จำต้องเลือกอยู่ฝ่ายเดียวกับอาณาจักรเทียนหยวน”


“เฮ้อ เกิดมาในกลียุค ไม่อาจเลือกสิ่งใดได้เลย…”


บรรพชนเผ่าฉงฉีถอนหายใจเฮือกใหญ่


สิ่งแวดล้อมในอาณาจักรของพวกเขาย่ำแย่เกินไป สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนที่จุติลงมาอีกครั้งย่อมทรงพลังกว่าพวกเขามาก ต่อให้ยอดนิกายมารากฐานลึกล้ำปานใดก็ไม่อาจต่อกรกับสิ่งมีชีวิตระดับนี้จากอาณาจักรเทียนหยวนได้ไหว


ความดับสูญคือชะตากรรมสุดท้ายของสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรแห่งนี้ของพวกเขา


หากต้องการฝืนชะตากรรมนี้ พวกเขามีแต่ต้องเข้าสวามิภักดิ์ต่อสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนเท่านั้น


“โอกาสมีเพียงครั้งเดียว ทันทีที่พวกเขากลับไปถึงยอดนิกาย หรือได้ติดต่อกับยอดฝีมือจากยอดนิกาย พวกเราจักหมดสิ้นหนทาง ได้แต่ปล่อยให้ยอดนิกายเชือดเฉือด”


สายตาผู้อาวุโสสูงสุดฉายแววโหดเหี้ยม “เพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไป ครั้งนี้พวกเราต้องทุ่มสุดชีวิต!”


เขาเอ่ยต่อ “กำราบพวกเขาด้วยอุบายไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว การเผยตัวของผู้นำตระกูลทำให้พวกเขาระวังตัวขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย”


“เจ้าหมายความว่าเราสองคนต้องลงมือโดยตรงหรือ”


บรรพชนเผ่าฉงฉีกล่าว


“หนนี้สำคัญอย่างยิ่ง พวกเราไม่อาจล้มเหลวได้อีกแล้ว!”


ผู้อาวุโสสูงสุดเอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง “หนนี้พวกเราต้องโจมตีด้วยกำลังทั้งหมด สำเร็จในคราเดียว! ไปเรียกผู้อาวุโสสูงสุดตนอื่นในตระกูลหานมา เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีทางพลาดแน่!”


“รุนแรงปานนี้เชียว!”


สีหน้าบรรพชนเผ่าฉงฉีเปลี่ยนไป คิดไม่ถึงว่าหนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดแน่วแน่ถึงเพียงนี้


ผู้อาวุโสสูงสุดที่มีชีวิตมาตั้งแต่ยุคโบราณ เมื่อใดที่ตื่นจากการนิทราจักเกิดการผลาญพลังมหาศาล ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานคิดจะปลุกจ้าวสูงสุดตนอื่นในตระกูลหานมาช่วยด้วย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นราคาสูงมาก


“ไม่เหลือทางถอยแล้ว พวกเราต้องแน่ใจได้ว่าไม่ผิดพลาดอีก!”


ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลกล่าว “ข้าอยากปลุกจ้าวนภาสูงสุดสักคนมาช่วยเราด้วยซ้ำ!”


“จ้าวนภาสูงสุด? ตระกูลของเจ้ามีจ้าวนภาสูงสุดรอดชีวิตจากยุคโบราณด้วยรึ?”


บรรพชนเผ่าฉงฉีเอ่ยด้วยท่าทางคิดไม่ถึง


มันคิดว่ากำลังรบระดับที่อยู่เหนือจ้าวสูงสุดขึ้นไปล้วนตายไปสนามรบยุคโบราณแล้ว


จ้าวนภาสูงสุด คือตัวตนที่อยู่เหนือจ้าวสูงสุด


“ร่วมมือกับพวกเราเจ้าไม่เสียเปรียบหรอก!”


ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานมองบรรพชนเผ่าฉงฉีอย่างมีความหมาย ก่อนจะเอ่ยขึ้น “รากฐานตระกูลหานของเราเกินกว่าที่เจ้าจินตนาการได้แน่! ไม่เพียงแต่จ้าวนภาสูงสุด พวกเรายังมีจ้าววิถีสูงสุด ว่าที่จักรพรรดิ จักรพรรดิ และมหาจักรพรรดิตนหนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่!”


“อะไรนะ!”


บรรพชนเผ่าฉงฉีตกตะลึงอย่างแท้จริง ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าตระกูลหานน่ากลัวถึงเพียงนี้!


มีกระทั่งมหาจักรพรรดิที่ยังมีชีวิตอยู่หรือ!


ตระกูลสยดสยองปานนี้เชียว!

บทที่ 347

บรรพชนเผ่าฉงฉีคิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้ตระกูลหานยังมีมหาจักรพรรดิตัวเป็น ๆ อยู่!


มหาจักรพรรดิมิได้สิ้นชีพลงในสงครามยุคโบราณหมดแล้วหรือ?


นี่รวมถึงกึ่งจักรพรรดิ และจักรพรรดิจริง ๆ ล้วนตายตกในสงครามใหญ่ครานั้นด้วย


กระทั่งพลังรบอย่างจ้าวสูงสุดยังวายชนม์ในสงครามใหญ่ครานั้นเกือบทั้งหมด


สงครามใหญ่ครานั้นส่งผลให้กำลังรบระดับสูงในอาณาจักรของพวกเขาขาดหาย พลังของแต่ละตระกูลแต่ละเผ่าลดฮวบลง ผู้ที่เหลือรอดมาได้ส่วนใหญ่เป็นกำลังรบที่ต่ำกว่าขอบเขตสูงสุด


ตระกูลหานกลับยังรักษากำลังรบเหนือขอบเขตสูงสุดได้มากมายปานนี้ เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของเขาจริง ๆ เขาอึ้งงันไปหมด


“ไม่ต้องคลางแคลง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องจริง”


ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานเอ่ย ทว่ามิได้อธิบายไปมากกว่านี้


นี่มิใช่ประวัติอันมีเกียรติเท่าใด ที่เขาพูดเรื่องนี้ก็เพื่อให้บรรพชนเผ่าฉงฉีเบาใจลงได้บ้าง


“เข้าใจแล้ว พวกเจ้ารักษากำลังในศึกสงคราม มิได้ร่วมรบเต็มกำลัง!”


บรรพชนเผ่าฉงฉีครุ่นคิดครู่เดียวก็คิดออก


มันไฉนเลยจะคิดไม่ออก


สิ่งแวดล้อมในยุคโบราณดีกว่ายุคนี้มาก ทว่าเมื่อเทียบกับยุคสมัยที่เก่าแก่กว่านั้นแล้ว สิ่งแวดล้อมในฟ้าดินยังด้อยลงมาอีกหน่อย พลังรบระดับสูงจึงมีไม่มาก


โดยเฉพาะกำลังรบระดับจักรพรรดิหรือมหาจักรพรรดิ น้อยยิ่งกว่าน้อย


ซ้ำร้ายสิ่งมีชีวิตที่จุติมาจากอาณาจักรเทียนหยวนยังทรงพลังยิ่งยวด กำลังรบระดับสูงในอาณาจักรนี้ย่อมต้องต่อสู้อยู่แนวหน้าสุด เข้าห้ำหั่นกับสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวน


สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนแกร่งกล้าเป็นที่สุด จำนวนของกำลังรบซึ่งมีระดับเหนือกว่ามหาจักพรรดิสูงกว่าอาณาจักรแห่งนี้มาก กำลังรบระดับสูงในอาณาจักรของพวกเขามิใช่คู่ต่อสู้เลย


ด้วยเหตุนี้ ในศึกครานั้น กองกำลังระดับสูงในอาณาจักรของพวกเขาจึงตายลงเกือบทั้งหมด


ทว่าในตระกูลหานกลับมีกำลังรบระดับสูงเหลือรอดมาไม่น้อย…


เห็นได้ชัดว่ากำลังรบระดับสูงของตระกูลหานมิได้ต่อสู้เต็มกำลังในครานั้น กักเก็บความสามารถไว้


แต่มันไม่เคยได้ยินว่ามีกำลังรบระดับสูงของตระกูลหานเหลือรอดมาได้มากมายเพียงนี้


ดูท่ากำลังรบระดับสูงของตระกูลหานจะหัวใสอย่างมาก รู้ว่าทำเช่นนี้ต้องถูกประณาม จึงแกล้งตายในสงคราม ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้วยังมีชีวิตอยู่และเลือกที่จะหลบซ่อนตัวไว้


“กล่าวเช่นนี้มิได้ เขาเรียกว่ารู้จักประเมินความผันแปรของสถานการณ์”


ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานเอ่ย “ครานั้น ยอดนิกายทั้งหลายปรากฏตัว แสดงพลังแกร่งกล้าให้ได้เห็น พวกเราจึงไม่จำเป็นต้องทุ่มชีวิตปานนั้น ถึงอย่างไรก็มียอดฝีมือจากยอดนิกายทั้งหลายเข้ารับแรงต้านทานอยู่แนวหน้า”


ประเมินความผันแปรของสถานการณ์!


สุดยอด!


ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานสมเป็นผู้มากด้วยความรู้ อธิบายเรื่องราวน่ารังเกียจเยี่ยงนี้ด้วยถ้อยคำมีระดับถึงเพียงนี้ได้!


บรรพชนเผ่าฉงฉีได้ยินคำกล่าวของผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานแล้วนับถืออย่างยิ่ง อย่างที่เขาว่า นักเลงนั้นไม่น่ากลัว นักเลงมากวิชาต่างหากที่น่ากลัว!


“ตอนนี้พวกเราเองก็กำลังประเมินความผันแปรของสถานการณ์ อาณาจักรแห่งนี้ปราศจากความหวัง ด้วยเหตุนี้ พวกเราถึงต้องร่วมฝ่ายกับสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวน”


ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานกล่าว


ประเมินความผันแปรของสถานการณ์กลายเป็นคำพูดติดปากไปแล้วรึ!


บรรพชนเผ่าฉงฉีได้ฟังแล้วปากกระตุกไม่หยุด


“รีบไปเรียกคนมาเถิด!”


มันไม่อยากสนทนากับผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานอีกต่อไปแล้ว


“ไปเดี๋ยวนี้แหละ!”


ผู้อาวุโสสูงสุดเรียกร่างแปลงออกมาร่างหนึ่ง เปิดใช้แท่นค่ายกลเคลื่อนย้าย กลับไปยังตระกูลหานเพื่อเรียกผู้อาวุโสสูงสุดผู้อื่นเข้ามา


อีกด้าน พวกหลี่จิ่วเต้ากำลังเปรียบเทียบกันว่าผู้ใดล่าสัตว์ได้มากกว่า


“หลิงอินไม่เลว ถนัดทั้งบุ๋นทั้งบู๊”


หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้ม หลิงอินคือผู้ที่ล่าสัตว์มาได้มากที่สุดรองจากเขา


เขามิได้ประหลาดใจในเรื่องนี้นัก


เพราะเคยสอนหลิงอินยิงธนูจึงรู้ดีว่านางมีพรสวรรค์ด้านยิงธนูสูงส่ง ซ้ำยังสูงยิ่งกว่าเซี่ยเหยียนเสียอีก


หลิงอินล่าสัตว์มาได้คณานัปเพียงนี้อยู่ในความคาดหมายของเขา


“ห่างชั้นกันมากเพียงนี้เชียวหรือ!”


เซี่ยเหยียนเบ้ปาก ท่าทางน้อยอกน้อยใจน่ารักเป็นที่สุด


นางรู้ตัวดีว่าสู้ท่านเซียนไม่ได้ และไม่เคยคิดเทียบชั้นท่านเซียน นางเพียงต้องการเหนือกว่าหลิงอิน


นางทราบว่าหลิงอินคือจ้าวสูดสุดแห่งโบราณกาลที่กลับชาติมาเกิด มิใช่ผู้ที่นางจะสามารถทัดเทียมได้


กระนั้นลึก ๆ ในใจยังคงมีความดื้อรั้นอยู่เล็กน้อย นั่นคือต้องการเหนือกว่าหลิงอินในการล่าสัตว์ครานี้


ทว่าหารู้ไม่ จ้าวสูงสุดแห่งโบราณกาลก็คือจ้าวสูงสุดแห่งโบราณกาล หลิงอินล่าสัตว์ได้มากกว่านางถึงสิบกว่าตัว!


ความห่างชั้นเป็นที่ประจักษ์!


“เมี้ยว เมี้ยว เมี้ยว~”


ลั่วสุ่ยนอนหมอบอยู่ในรถลากอย่างอารมณ์ดี ในใจหัวเราะไม่หยุด


นางชอบเห็นเซี่ยเหยียนพ่ายแพ้เป็นที่สุด


ใครใช้ให้เซี่ยเหยียนมาหาท่านเซียนทุกวัน แย่งเวลาที่นางควรได้อยู่ตามลำพังกับท่านเซียนไป!


ถึงแม้หลิงอินจะมาบ่อยเช่นกัน ทว่าไม่ถี่เท่าเซี่ยเหยียน เพราะเซี่ยเหยียนนั้นมาบ่อยที่สุด


“ไม่เป็นไร หลังจากนี้ฝึกฝนเพิ่มอีกหน่อยก็ดีขึ้น”


หลี่จิ่วเต้าเอ่ยยิ้ม ๆ


“ไปเถิด เที่ยวจนทั่วภาคกลางแล้ว พวกเราก็ควรกลับกันได้แล้ว”


หลี่จิ่วเต้าก้าวขึ้นรถลาก เตรียมตัวกลับเมืองชิงซาน


...


ท่ามกลางทะเลสีดำน่าพิศวง


ที่แห่งนี้คือทะเลต้องห้าม


ณ ปลายทางของทะเลสีดำ มีเกาะยักษ์แห่งหนึ่งลอยอยู่


หน้าตำหนักแห่งหนึ่งบนเกาะ สิ่งมีชีวิตตนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูตำหนักอย่างนอบน้อม มันยืนคอยอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว


เวลานั้น ประตูตำหนักเปิดออก


สิ่งมีชีวิตด้านนอกรีบก้าวเข้าไป คุกเข่าทำความเคารพสิ่งมีชีวิตด้านในอย่างนบนอบ


พลังปราณของสิ่งมีชีวิตด้านในน่าประหวั่นพรั่นพรึงเป็นที่สุด ร่างกายท่อนบนเป็นมนุษย์ ร่างกายท่อนล่างเป็นงู เสี้ยวพริบตาที่ตาคู่นั้นกะพริบ คล้ายกับว่ามีสุริยันจันทราและดวงดาวดารดาษพร่างพราวหมุนรอบ น่าหวาดหวั่นเหลือคณา


มันคือจ้าวสมุทรรุ่นปัจจุบันแห่งทะเลต้องห้าม


“สืบได้ความมาอย่างไรบ้าง”


มันปริปากถาม ได้ส่งสิ่งมีชีวิตตนนี้ไปสืบเสาะเหตุการณ์ที่สมาชิกองครักษ์อุบัติกาลตายไป


ใช่แล้ว


สมาชิกองครักษ์อุบัติกาลผู้นั้นก็คือจักรพรรดิบุปผาแห่งหุบเขาคงหลิง


ทุกสิ่งที่จักรพรรดิบุปผาได้ครอบครองในภายหลัง ล้วนเป็นการประทานจากทะเลต้องห้าม และราคาที่จักรพรรดิบุปผาต้องจ่ายคือกลายเป็นหนึ่งในองครักษ์อุบัติกาล


“เรียนท่านจ้าวสมุทร จากข่าวที่ข้าน้อยได้มา ผู้ลงมือสังหารองครักษ์อุบัติกาลมีนามว่าหลิงอิน ไม่ทราบปูมหลังครอบครัว มีแนวโน้มว่ามาจากยอดนิกายเก่าแก่แห่งหนึ่ง”


สิ่งมีชีวิตบนพื้นตอบอย่างรวดเร็ว


ที่จริงมันสืบเรื่องนี้มาได้นานแล้ว ทว่าจ้าวสมุทรมิได้อยู่ในทะเลต้องห้าม เขาเพิ่งกลับมาถึงวันนี้


ปราศจากคำสั่งของจ้าวสมุทร มันมิกล้าผลีผลามกระทำการใด จึงเฝ้าอยู่หน้าตำหนักมาโดยตลอด รอคอยการกลับมาของจ้าวสมุทรแล้วออกคำสั่งด้วยตนเอง


“อยู่ต่อหน้าทะเลต้องห้ามของเรา ผู้ใดกล้ากล่าวอ้างว่าตนเก่าแก่ พวกเราอยู่มาตั้งแต่ก่อนยุคอลหม่านปรัมปราหายไปเสียอีก”


จ้าวสมุทรพึมพำเสียงเบากับตัวเองหนึ่งประโยค


คนในนยุคนี้อาจไม่ทราบ ก่อนกาลเวลาอันแสนยาวนาน เคยมียุคสมัยหนึ่งหายไปเสียดื้อ ๆ ยุคสมัยนั้นก็คือยุคอลหม่านปรัมปรา


สิ่งมีชีวิตในยุคนี้ไม่ว่าอยู่มาเนิ่นนานเพียงใด เมื่อเท้าความกลับไปก็สิ้นสุดลงก่อนถึงยุคอลหม่านปรัมปรา


ทว่าทะเลต้องห้ามของพวกเขาแตกต่างออกไป พวกมันอยู่มาก่อนยุคอลหม่านปรัมปรา อีกทั้งมิได้หายไปกลางอากาศเหมือนกับยุคอลหม่านปรัมปรา พวกมันอยู่รอดมาได้


สถานการณ์ของแดนต้องห้ามแห่งอื่นเฉกเช่นพวกมัน มิได้หายไปพร้อมกับยุคอลหม่านปรัมปรา


เพราะอย่างนั้น ยามจ้าวสมุทรได้ยินคำกล่าวถึงยอดนิกายเก่าแก่ถึงได้เอ่ยวาจาเช่นนั้น


“เจ้าได้แหวกหญ้าให้งูตื่นหรือไม่”


จ้าวสมุทรถาม


“หามิได้”


สิ่งมีชีวิตบนพื้นตอบ “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่งท่านจ้าวสมุทร การสืบสวนทั้งหมดดำเนินการในที่ลับ”


เขาบอกเล่ารายละเอียดในสิ่งที่เกิดขึ้น


หลังจากจ้าวสมุทรออกคำสั่งแก่เขา เขามุ่งหน้าไปยังหุบเขาคงหลิงทันที ทว่าเขามิได้เอิกเกริก ควบคุมผู้อาวุโสคนหนึ่งในหุบเขาคงหลิงได้โดยไม่ทิ้งร่องรอย และได้รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากวิญญาณของผู้อาวุโสคนนั้น


“เจ้าทำได้ดีมาก”


จ้าวสมุทรพยักหน้า “ในเมื่อที่นั่นมีวิธีติดต่อสื่อสาร เจ้าจงไปสั่งให้หุบเขาคงหลิงติดต่อนาง แล้วพานางกลับมายังทะเลต้องห้าม จำไว้ อย่าได้ทำร้ายถึงนางชีวิตเด็ดขาด ข้ามีเรื่องต้องถามนาง”


หลังได้ยินคำบอกเล่าของสิ่งมีชีวิตบนพื้น มันก็สนอกสนใจในตัวหลิงอินขึ้นมา


ไม่ต้องใช้พลังก็สำแดงแสนยานุภาพของศรวิเศษและฉินวิเศษได้ บางทีสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของหลิงอินคงมิได้ธรรมดาเยี่ยงนั้น…


“ข้าน้อยรับคำสั่ง!”


สิ่งมีชีวิตบนพื้นรับคำสั่ง ก่อนจะออกเดินทางจากทะเลต้องห้าม ไปยังหุบเขาคงหลิง


“ทุกสิ่งทุกอย่างจักแสดงให้เห็นในยุคนี้หรือ?”


จ้าวสมุทรเอ่ยเสียงเบา


ช่วงเวลาที่มันไม่อยู่ในทะเลต้องห้าม แท้จริงแล้วได้ไปรวมตัวกับประมุขแห่งแดนต้องห้ามอื่น ๆ


จากการคาดการณ์ของพวกมัน เป็นไปได้ว่ายุคนี้จักเป็นยุคโกลาหลที่สุด ความลับทั้งปวงจักถูกเปิดเผยในยุคนี้!

บทที่ 348

ท่ามกลางชั้นเมฆา อสูรทั้งเก้าลากรถทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว


ร่างกายของพวกมันเปล่งประกายวาววาม พลังปราณน่าหวาดหวั่น เห็นได้ชัดว่าต่างจากตอนเพิ่งมาถึงภาคกลางอย่างมาก


มิต่างมากได้อย่างไร


ท่านเซียนดีกับพวกมันมาก เมื่อครั้งอยู่ที่เขาหยงหมิง ท่านเซียนก็แวะมาหาพวกมันบ่อย ๆ ซ้ำยังนำของกินมาให้พวกมันด้วย


พวกมันในตอนนี้นับว่าเหนือกว่าในอดีตมากแล้ว ขอบเขตแต่ละตนสูงกว่าเก่าหลายเท่า พวกมันก้าวสู่ขอบเขตก่อกำเนิดนภา เทียบเท่ากับประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์ในภาคกลางแล้ว


นอกจากนี้ นี่ยังมิใช่ขีดจำกัดของพวกมัน ภายในตัวพวกมันมีพลังสั่งสมอยู่เต็มเปี่ยม เพียงแต่ยังไม่ถูกหลอมละลายเท่านั้น


ในสถานการณ์เช่นนี้ อนาคตของพวกมันย่อมไร้ชีดจำกัด จุดประกายเพลิงเทวา กลายเป็นอสูรเทวาได้อย่างแน่นอน!


ยามนี้ภายในใจของพวกมันล้วนเอ่อล้นด้วยความรู้สึกโชคดี โชคดีที่ครานั้นพวกมันได้รับเลือกโดยเซี่ยเหยียน!


หากมิใช่ว่าเซี่ยเหยียนเลือกพวกมัน พวกมันไฉนเลยจะมีโอกาสลากรถให้ท่านเซียน และไฉนเลยจะมีโอกาสได้รับประโยชน์มหาศาลถึงเพียงนี้?


อย่าว่าแต่กลายเป็นอสูรเทวาเลย ลำพังพวกมันอยากก้าวสู่ขอบเขตก่อกำเนิดนภายังมีหวังไม่มากในชีวิตนี้


คิดแล้วยามเซี่ยเหยียนมาหาพวกมันขอให้พวกมันไปเป็นสัตว์พาหนะ พวกมันต่างเกรี้ยวกราดกันถ้วนหน้า ซ้ำยังลั่นวาจาว่ายอมตายเสียดีกว่าเป็นสัตว์พาหนะให้มนุษย์


บัดนี้หวนนึกถึงภาพในวันนั้นแล้ว พวกมันละอายใจเหลือแสน เกือบตัดอนาคตอันดีงามของตนเองทิ้งเสียแล้ว!


พวกมันเดินทางได้ไวมาก ไวกว่าขามามาก ในเวลาไม่ถึงหนึ่งวัน พวกมันก็เดินทางจากภาคกลางมาถึงแดนบูรพาทิศ กลับไปถึงเมืองชิงซาน


ท่านเซียนมีเมตตา มิต้องการรบกวนปุถุชนในเมือง พวกมันจึงลงจอดในจุดปลอดคนนอกเมือง พวกหลี่จิ่วเต้าพากันเดินลงจากรถลาก


ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนและสือเฟิงมิได้มาด้วย พวกเขาอยู่ต่อที่ภาคกลาง


“โลกภายนอกบันเทิงเพียงใดก็ดีมิสู้บ้าน”


หลี่จิ่วเต้าสะท้อนใจเหลือคณา หลังได้กลับถึงเมืองชิงซาน เขาก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด มิใช่ความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้จากที่อื่น


เขายิ้มทักทายผู้คนอันคุ้นเคยในเมือง และกลับไปยังลานเล็กของเขา


ทุกอย่างในลานเล็กยังเหมือนเก่า อย่างไรก็เป็นสถานที่ที่เขาพำนักมาหลายปี ความรู้สึกคุ้นเคยยิ่งทวีคูณ ที่นี่ไม่เพียงแต่เป็นที่พำนักของเขา แต่ยังเป็นบ้านของเขาอีกด้วย!


หลี่จิ่วเต้าเดินไปที่โอ่งเลี้ยงปลา สอดส่ายสายตาดูปลาในนั้น


เขากังวลอยู่ว่าผ่านมาตั้งหลายวันแล้ว ปลาในโอ่งจะตายหรือไม่


ทว่าความกังวลของเขาเกินจำเป็นอย่างเห็นได้ชัด


ปลาแต่ละตัวในโอ่งล้วนมีชีวิตชีวา ร่าเริงแจ่มใสกันทุกตัว สภาพดีกันสุด ๆ


บุ๋ง บุ๋ง!


เหล่าปลาในโอ่งเห็นท่านเซียนเดินมา แต่ละตัวล้วนแข่งกันกระโดดหมายจะเป็นที่ชื่นชอบของท่านเซียน


ท่านเซียนโปรดมองข้า!


ยามท่านเซียนไม่อยู่ พวกมันอยากหนี แต่หนีไม่ได้ ซ้ำไม่มีโอกาสให้แม้แต่จะคิดหนีด้วย!


ข้าจงรักภักดีต่อท่านเซียนอย่างเหลือล้น เคารพนับถือเต็มประดา ดั่งเช่นราชันผู้ปราดเปรื่องและขุนนางผู้ภักดี ท่านให้โอกาสข้าสักครั้งเถิด!


มัจฉาสัตมายาเอ่ยเสียงดังบุ๋งบุ๋ง หวังว่าหลี่จิ่วเต้าจะได้ยินวาจาของมัน ให้โอกาสมันเถิด ได้โปรดปล่อยมันออกไป


ทว่าหลี่จิ่วเต้าไม่ได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นเลย


เขามองเพียงปราดเดียวก็จากไป


“คืนนี้อยู่กินข้าวกันที่นี่ทั้งหมด”


หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้ม บอกให้หลิงอิน เซี่ยเหยียน และคนอื่น ๆ มาร่วมกินข้าวที่บ้าน


...


นอกเมืองชิงซาน ข้างแม่น้ำสายเล็ก


ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานและบรรพชนเผ่าฉงฉีตามหลังพวกหลี่จิ่วเต้ามาตลอดจนมาถึงที่นี่ เดิมพวกเขาตั้งใจจะตามเข้าไปในเมืองชิงซานด้วย


ต้นหลิวต้นหนึ่งกลับกีดขวางทางไปของพวกเขา!


“พวกเจ้าลับ ๆ ล่อ ๆ คิดทำสิ่งใดกันแน่!”


ต้นหลิวตวาด กิ่งหลิวร่ายรำสะบัด ขวางอยู่ด้านหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานและบรรพชนเผ่าฉงฉี


“เจ้าเป็นใคร”


ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานขมวดคิ้ว นึกแปลกใจ เหตุใดข้างเมืองปุถุชนถึงมีต้นหลิวซึ่งก้าวสู่เส้นทางฝึกตนแล้วหยั่งรากอยู่


หรือว่าต้นหลิวต้นนี้มีความเกี่ยวข้องกับพวกหลี่จิ่วเต้า


“พวกเราคือผู้พิทักษ์เมืองปุถุชนแห่งนี้ ผู้ใดที่ไม่ประสงค์ดีล้วนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเมืองปุถุชนแห่งนี้!”


ก้อนหินตะคอก


ผู้พิทักษ์เมืองปุถุชน!


อืม!


สมญานามนี้ไม่เลว


ตัวตนของท่านเซียนเปิดเผยไม่ได้ พวกมันสามารถใช้สมญานามนี้คอยพิทักษ์เมืองแห่งนี้


ก้อนหินเอ๋ยก้อนหิน เจ้านี่โคตรฉลาดเลย!


ก้อนหินลอบยินดีปรีดา เอ่ยในใจอย่างเปรมปรีดิ์


“ผู้พิทักษ์เมืองปุถุชน? คือสิ่งใดรึ?”


ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานขมวดคิ้วเป็นปมยิ่งขึ้น


“ยังไม่เข้าใจอีกหรือ สมองของเจ้าเป็นของประดับหรือไร”


ก้อนหินเอ่ยอย่างดูแคลน “ผู้พิทักษ์เมืองปุถุชน ความหมายตามชื่อ เมืองแห่งนี้มีข้ากับพี่ใหญ่หลิวคอยคุ้มกัน ไม่มีผู้ใดสามารถก่อเรื่องในเมืองปุถุชนแห่งนี้ได้!”


สมองเป็นของประดับรึ!?


หลังผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานได้ยินถ้อยคำนี้ ใบหน้าแก่ชราของเขาก็อึมครึมคล้ายฝนจะตก


มีคนกล้าเอ่ยวาจาเยี่ยงนี้กับเขาเมื่อใด!?


ทว่าเขามิได้ระเบิดอารมณ์ มิได้ลงไม้ลงมือ


จ้าวสูงสุดคนอื่น ๆ ในตระกูลหานยังมาไม่ถึง เขาไม่อยากผลีผลามลงมือที่นี่ ไม่ต้องการให้พวกเซี่ยเหยียนในเมืองรู้ตัว


เขาไม่แม้แต่จะปล่อยพลังปราณออกไปด้วยซ้ำ กักเก็บพลังปราณไว้ด้านในมาตลอด กลัวเหลือเกินว่าพวกเซี่ยเหยียนจะจับพวกเขาได้


พวกเขาสะกดรอยตามมาทั้งทาง พบว่าพวกเซี่ยเหยียนเหมือนยังไม่รู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขา ดูท่าผู้นำตระกูลมิได้เปิดเผยเรื่องของพวกเขา


ทีแรกเขาไม่รู้ว่าผู้นำตระกูลนั้นเป็นหรือตาย ทว่าบัดนี้เขาทราบถึงสภาวการณ์ของผู้นำตระกูลแล้ว


ผู้นำตระกูล…สิ้นชีพลงแล้ว!


ร่างแปลงของเขาเชื่อมกับร่างต้นของเขา


ยามร่างแปลงของเขากลับถึงดินแดนตระกูลหาน เขาก็ได้รู้ว่าผู้นำตระกูลตายไปแล้ว


ตะเกียงฉางหมิงของผู้นำตระกูลในดินแดนตระกูลดับมอด


ตะเกียงฉางหมิงเกี่ยวพันลึกซึ้งกับผู้นำตระกูล ตะเกียงดับบ่งบอกว่าผู้นำตระกูลสิ้นชีพลงแล้ว


ผู้นำตระกูลใช้ได้ แม้ต้องเผชิญกับความตายก็มิได้เปิดเผยการมีอยู่ของพวกเขา ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานรู้สึกว่าผู้นำตระกูลถือว่าสมตำแหน่ง


“เช่นนั้นพวกเรารบกวนแล้ว”


ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานเอ่ยเสียงไม่เต็มใจนัก มิได้ต่อความยาวสาวความยืดกับต้นหลิวและก้อนหิน


ไม่ยอมอดทนต่อการเล็กรังแต่จะเสียการใหญ่!


พวกเขาไมสามารถเสียการใหญ่เพียงเพราะมัวต่อล้อต่อเถียงกับต้นหลิวต้นหนึ่งและก้อนหินก้อนหนึ่งอยู่ที่นี่


จากนั้น เขากับบรรพชนเผ่าฉงฉีไปจากที่นี่


“ก้อนหินทำได้ไม่เลวนี่ ผู้พิทักษ์เมืองปุถุชน อืม ข้าชอบสมญานามนี้”


ต้นหลิวชมก้อนหิน


“แน่นอน ก้อนหินผู้นี้ปราดเปรื่องอย่างยิ่งยวด!”


ก้อนหินเอ่ยท่าทางได้ใจ


...


ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานและบรรพชนเผ่าฉงฉีมิได้ไปไกล


พวกเขามาอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง จับตาดูสถานการณ์ภายในเมืองชิงซานอย่างใกล้ชิด


“เจ้าคิดว่าต้นหลิวกับก้อนหินเกี่ยวข้องกับพวกหลี่จิ่วเต้าหรือไม่”


บรรพชนเผ่าฉงฉีถามผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหาน


เขากลัวว่าต้นหลิวกับก้อนหินเกี่ยวข้องกับพวกหลี่จิ่วเต้า แล้วเล่าเรื่องของพวกเขาให้พวกหลี่จิ่วเต้าฟัง


พวกเขาชะล่าใจเกินไปจริง ๆ มิเคยนึกถึงว่านอกเมืองจะมีต้นหลิวและก้อนหินหยั่งราก จนเปิดเผยตัวตนออกมา


“เกี่ยวข้องหรือไม่มิได้สำคัญแล้ว!”


ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานยิ้มเย็น “จ้าวสูงสุดคนอื่น ๆ ในตระกูลของข้าใกล้มาถึงเต็มที ถึงครานั้น พวกเราไม่จำเป็นต้องปิดบังสิ่งใดอีก บุกเข้าไปตรง ๆ ได้เลย!”


ร่างต้นของเขาเชื่อมต่อกับร่างแปลง


บัดนี้ ร่างแปลงของเขานำทางจ้าวสูงสุดคนอื่น ๆ ในตระกูลหานมายังแดนบูรพาทิศแล้ว อีกเพียงพริบตาเดียวก็สามารถมารวมตัวกับพวกเขาที่นี่


ดั่งเช่นที่เขาว่า


หลังรวมตัวกันเมื่อใด พวกเขาไม่จำเป็นต้องมีความกังวลใดอีก รุกรานเข้าไปซึ่งหน้าก็พอ!

บทที่ 349
ในไม่ช้า ขณะที่ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานเกือบจะล้มไปกองกับพื้น รอบตัวพวกเขาพลันปรากฏมิติบิดเบี้ยว มีร่างหลายร่างเดินออกมาจากตรงนั้น

ร่างพวกเขาล้วนแต่แก่ชรา ทั่วร่างเป็นสีขาวอมเทา บนร่างยังแฝงกลิ่นอายความตายจำนวนมาก เห็นได้ชัดว่าเหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว

“มาแล้ว”

ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานเอ่ยเรียกพวกเขา แล้วหนึ่งในนั้นก็กลายเป็นลำแสงละล่องกลับเข้าไปในร่างของเขา

นี่คืออวตารของเขา

และร่างอื่น ๆ เหล่านั้นนับเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตระกูลหาน พวกเขามีทั้งหมดหกคน!

“พวกเราเอาอาวุธมหาจักรพรรดิมาด้วยชิ้นหนึ่ง ครั้งนี้จะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน!”

สตรีจ้าวสูงสุดผู้หนึ่งกล่าวขึ้น

ผิวหนังทั่วร่างของนางแห้งกร้าน มองเห็นรอยเหี่ยวย่น ทว่าก็ยังคงมองเห็นภาพลางในวัยเยาว์ ช่วงวัยเยาว์ นางน่าจะเป็นสตรีงามนางหนึ่ง

“แปดจ้าวสูงสุดร่วมมือกัน ทั้งยังมีอาวุธมหาจักรพรรดิสามชิ้น ครั้งนี้จะต้องไม่ล้มเหลวอย่างแน่นอน!”

หานอู่หยาซึ่งเป็นผู้อาวุโสตระกูลหานพยักหน้า คราวนี้เขาเต็มไปด้วยความมั่นใจเต็มสิบ

จ้าวสูงสุดหกคนมารวมตัวกัน เขากับบรรพชนเฒ่าเผ่าฉงฉีรวมเข้าไปด้วยก็เป็นแปดคน!

เขากับบรรพชนเฒ่าเผ่าฉงฉีมีอาวุธมหาจักรพรรดิของตนเองคนละชิ้น แต่ตอนนี้พวกเขามีอาวุธมหาจักรพรรดิอีกชิ้น ทำให้อาวุธมหาจักรพรรดิมีทั้งหมดสามชิ้น!

ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาโจมตีครั้งเดียวก็ชนะแล้ว!

“ไปกันเถอะ”


เขาเอ่ยปากเสียงเบา เดินไปข้างหน้าด้วยท่าทีชื่นมื่น ราวกับอ่อนวัยลงไม่น้อย

ในที่สุดก็ไม่ต้องซ่อนตัวในความมืดมิดอีก ในที่สุดก็ไม่ต้องยับยั้งพลังปราณแล้ว!

เขา...ตื่นเต้นมาก!

ไม่นานพวกเขาก็มาถึงริมแม่น้ำน้อยอีกครั้ง

หานอู่หยากับบรรพชนเฒ่าเผ่าฉงฉีเดินนำหน้า โดยมีผู้เฒ่าทั้งหกอยู่ข้างหลัง

“ต้นหลิวกับก้อนหินน้อยไม่รู้จักที่ตาย ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้แสดงพลังทำให้พวกเจ้าคิดว่าข้ารังแกง่ายอย่างงั้นหรือ!?”

ใบหน้าของหานอู่หยาอึมครึม เขาจ้องต้นหลิวกับก้อนหินอย่างมาดร้าย “ตอนนี้เจ้ารู้แล้วว่าข้าแข็งแกร่งเพียงใด? เจ้ายังกล้าพูดเหมือนเมื่อก่อนอีกหรือไม่!”


แล้วหานอู่หยาก็ปลดปล่อยพลังปราณออกมา พลังปราณขอบเขตสูงสุดแผ่ซ่าน น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง!


เขากับบรรพชนเฒ่าเผ่าฉงฉีเคยถูกต้นหลิวกับก้อนหินขัดขวางมาก่อน ในเวลานั้น พวกเขากักเก็บพลังปราณเอาไว้ ต้นหลิวกับก้อนหินจึงไม่รู้ขอบเขตของพวกเขา อาจคิดว่าพวกเขาอ่อนแอ ถึงได้ทำตามอำเภอใจตน ไม่เกรงกลัวผู้ใดไม่เกรงใจพวกเขาแม้แต่น้อย

ตอนนี้เขาได้เปิดเผยพลังปราณสูงสุดแล้ว เขาอยากจะเห็นนักต้นหลิวกับก้อนหินยังกล้าอวดดีอีกหรือไม่!

“ผู้พิทักษ์เมืองปุถุชนอะไรกัน ตอนนี้ข้าขอสั่งให้พวกเจ้าพูดความจริง ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้ามีชีวิตอยู่ต่อ ไม่เช่นนั้น ข้าจะฆ่าพวกเจ้าที่นี่เดี๋ยวนี้!”

เขาเอ่ยเสียงเย็น

“ล้อเล่นอะไรกัน! ปล่อยเจ้าไปแล้ว เจ้ายังกล้ากลับมาสร้างปัญหาอีกหรือ!”

น้ำเสียงของต้นหลิวเย็นชายิ่ง กิ่งของมันสะบัดไปทั่วก่อนจะปิดล้อมพื้นที่ไว้ มันไม่กล้าปล่อยให้ปุถุชนในเมืองได้รับความเดือดร้อนจากคนพวกนี้ได้


หลังจากปิดพื้นที่เสร็จ มันก็วางใจ

แม้จะมีมนุษย์ธรรมดาเดินผ่านที่นี่ก็จะไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ อีกทั้งยังมองไม่เห็นสถานการณ์ในพื้นที่พิเศษแห่งนี้

“พลังแข็งแกร่ง? แกร่งอย่างไร หือ?”

เจ้าก้อนหินอดไม่ได้ที่จะพูดจาเหน็บแหนม “ไม่เห็นจะรู้สึกอันใดเลย อีกอย่างนะ เจ้าคิดว่าพาคนมามากแล้วจะแข็งแกร่งขึ้นหรือ? เอ๊ะ แต่เจ้าพากลุ่มผู้เฒ่ามาทำอะไรที่นี่? เจ้าน่าจะพาเด็กหนุ่มเด็กสาวมาสิ อ๊า ข้ารู้สึกว่าคนแก่พวกนี้อ่อนแอเกินไป เพียงลมพัดก็แทบล้มไปกองกับพื้นแล้ว บางทีอาจตายได้เลยนะ”

หานอู่หยาพูดว่าตนแข็งแกร่งยิ่ง

แต่พวกมันทั้งสองไม่รู้สึกว่าเป็นเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย

พลังปราณที่หานอู่หยาปลดปล่อยออกมาทำอะไรพวกมันไม่ได้แม้แต่น้อย นี่เรียกว่าแข็งแกร่งอย่างไร? ไร้สาระยิ่งนัก!

อีกด้านหนึ่ง หานอู่หยาฟังจบก็ขมวดคิ้ว

เขาแผ่พลังปราณสูงสุดออกมา ต้นหลิวกับก้อนหินกลับไม่กลัว ซ้ำยังกล้าปิดกั้นสถานแห่งนี้ ต้นหลิวกับก้อนหินนี้มีภูมิหลังอย่างไรกันแน่!?

ฟังคำกล่าวเหล่านั้นของก้อนหินแล้ว ดูเหมือนว่าพลังปราณสูงสุดที่เขาแผ่ออกมาจะไม่ส่งผลกระทบต้นหลิวกับก้อนหินจริง ๆ เสียด้วย นี่ต้นหลิวกับก้อนหินอยู่ขอบเขตระดับใดกัน?

เขารู้สึกว่าเขาอาจประเมินต้นหลิวกับก้อนหินต่ำไป ความแข็งแกร่งของต้นหลิวกับก้อนหินอาจทรงพลังมากกว่านี้!

คิดเช่นนี้แล้ว เขาก็เปิดสัมผัสวิญญาณสูงสุดเพื่อตรวจสอบขอบเขตต้นหลิวกับก้อนหิน

แต่แล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้วมากยิ่งขึ้น!

เจ้าสองตัวนี้ลุ่มลึกมิอาจคาดเดา!

เขาไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วนั้นต้นหลิวกับก้อนหินอยู่ระดับขอบเขตใด!

นี่แสดงให้เห็นว่าต้นหลิวกับก้อนหินนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ขอบเขตไม่ด้อยไปกว่าพวกเขา หากขอบเขตต่ำกว่าพวกเขา เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้สึกถึงขอบเขตหลิวกับก้อนหินเลย

ดูเหมือนว่าต้นหลิวกับก้อนหินจะเกี่ยวข้องกับยอดนิกายเช่นกัน

มิฉะนั้นขอบเขตของต้นหลิวกับก้อนหินไม่น่าจะสูงขนาดนี้

“ยอดนิกายก็คือยอดนิกาย ชอบทำให้คนตกใจนัก ร้ายกาจจริง ๆ!”

เขามองไปยังต้นหลิวกับก้อนหินพลางกล่าว

ต้นหลิวกับก้อนหินบนร่างมีพลังปราณแห่งชีวิตแข็งแกร่งมาก เห็นได้ชัดต้นหลิวกับก้อนหินไม่ใช่สิ่งชีวิตสมัยโบราณกาล

หากต้นหลิวกับก้อนหินเป็นสิ่งชีวิตตั้งแต่สมัยโบราณกาล ทั้งสองไม่น่าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้

ในสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายของอาณาจักรนี้ การเป็นนักบุญยังแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ต้นหลิวกับก้อนหินสามารถทะลวงขั้นจนกลายเป็นจ้าวสูงสุดได้... ยอดนิกายช่างไม่ธรรดาเสียงจริง พอที่จะทำให้ทุกคนตกใจจนแทบตายได้!

เขาไม่คิดว่าต้นหลิวกับก้อนหินจะฝึกตนกลายเป็นจ้าวสูงสุดได้ด้วยตนเอง

สภาพแวดล้อมในปัจจุบันเลวร้ายมาก เป็นไปไม่ได้จะพึ่งความสามารถตนเองทะลวงฝ่าด่านกลายเป็นจ้าวสูงสุด กระทั่งอาศัยพรสวรรค์มากเพียงใดก็เป็นไปไม่ได้

เส้นทางแห่งการฝึกตน พรสวรรค์ถือเป็นสิ่งสำคัญ

แต่แหล่งทรัพยากรฝึกตนนั้นสำคัญยิ่งกว่า

หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากทรัพยากรสำคัญมาฝึกฝน ไม่ว่าคนผู้นั้นจะมีพรสวรรค์เพียงใดก็ไม่อาจเข้าสู่ขอบเขตระดับสูงได้

นี่คือความโหดร้ายของการฝึกตน หากเจ้าฝึกตนด้วยตัวเองอย่างเดียว ไม่ว่าพรสวรรค์จะน่าทึ่งเพียงใด ความสำเร็จที่ทำได้ก็มีจำกัด

“ยอดนิกาย? จ้าวสูงสุด? เจ้าพูดบ้าอะไรกัน?”

ก้อนหินฟังแล้วก็งุนงง มันไม่เข้าใจแม้แต่น้อย

“มาถึงขั้นนี้แล้ว อย่ามาเสแสร้งต่อหน้าข้า!”

หานอู่หยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พวกเจ้าคิดว่าพวกเราแก่ชรา สภาพร่างกายไม่ได้อยู่ระดับดีที่สุดแล้วจะจัดการพวกเราอย่างนั้นหรือ? ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ว่าพวกเจ้าคิดง่ายเกินไปแล้ว!”

ถึงทั้งสองจะกลายเป็นจ้าวสูงสุด อยู่ในช่วงสภาพร่างกายดี และแข็งแกร่งได้เปรียบกว่าพวกเขาทั้งหมดจริง ๆ

แต่ถึงกระนั้น พวกเขาทั้งแปดก็เป็นจ้าวสูงสุดเช่นกัน อีกทั้งวันนี้ยังพกอาวุธระดับมหาจักรพรรดิมาด้วยสามชิ้น!

เพื่ออนาคตของตระกูลหาน พวกเขาไม่ได้วางแผนว่าจะมีชีวิตอยู่ยาวไกล แต่พวกเขาวางแผนเท่าที่ทำได้!

ถึงอย่างไรพวกเขาก็มีเวลาเหลืออยู่ไม่มาก ดังนั้นเหตุใดจะไม่สร้างอนาคตสดใสไว้ให้รุ่นลูกรุ่นหลานก่อนตายเล่า!

สถานการณ์เป็นเช่นนี้ พวกเขาถูกกำหนดว่าให้ต้องสู้กับต้นหลิวและก้อนหิน!

“ถึงพวกเราจะแก่ แต่อย่าได้ประมาทกันนักเลย!”

นัยน์ตาของเขาวาวโรจน์พลางกล่าวว่า “หลังจากจัดการพวกเจ้าแล้ว เราจะไปจัดการพวกหลี่จิ่วเต้าและคนอื่น ๆ ต่อ ประเดี๋ยวจะสงเคราะห์ให้พวกเจ้าทั้งหมดไปอยู่ด้วยกัน!”

“ดียิ่ง! ครั้งนี้พวกเรามาทุ่มสุดชีวิตกันเถิด!”

บรรพชนเฒ่าเผ่าฉงฉีว่า

แม้คุณสมบัติของฉงคูไม่นับว่าเป็นอะไร แต่พวกมันก็ถือเป็นสายเลือดของเผ่าฉงฉี

หากไม่ต้องการให้สายเลือดของเผ่าฉงสิ้นสุด มันก็ต้องทุ่มเทสุดชีวิตเช่นกัน!

บทที่ 350
พลังปราณหานอู่หยากับบรรพชนเฒ่าเผ่าฉงฉีระเบิดออกมาทั้งหมด ผู้อาวุโสสูงสุดอีกหกคนของตระกูลหานก็ระเบิดพลังปราณทั้งหมดออกมาด้วยเช่นกัน

อีกทั้งพวกเขายังหยิบอาวุธมหาจักรพรรดิสามชิ้นออกมาด้วย

พวกเขาเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร แล้วคลื่นพลังผันผวนอันน่าสะพรึงกลัวก็หอบม้วนสรรพสิ่งไปทั่วอากาศราวกับว่าสงครามกำลังจะปะทุขึ้น!

“สงเคราะห์ไปอยู่ด้วยกัน!? ผู้ใดให้ความกล้าพวกเจ้า!”

ต้นหลิวตวาดเสียงลั่น คนตรงหน้าพวกนี้ไม่รู้จักรักชีวิตแม้แต่น้อย กับท่านเซียนยังกล้าเอ่ยวาจาสามหาว!

“วันนี้พวกเจ้าอย่าได้คิดออกจากที่แห่งนี้เลย!”

ก้อนหินขยับหมายจะสังหาร

ถึงกับคิดจะสังหารท่านเซียนไปด้วยกัน งั้นวันนี้ก็กำจัดพวกมันทั้งหมดแล้วกัน!

“รนหาที่ตายนัก! ตายเสีย!”

หานอู่หยาตะโกนเสียงเย็น เขาทะยานตัวขึ้นจากจุดนั้นแล้วพุ่งเข้าหาต้นหลิวกับก้อนหิน

ในมือถือกระจกวิเศษ ทั่วร่างเต็มไปด้วยแสงวาบวับ นี่คือกระจกเก้าอัสนีสวรรค์ เป็นอาวุธมหาจักรพรรดิที่เขานำมาด้วย

ครืน! โครม! เปรี้ยง!


เสียงฟ้าคำรนดังขึ้นต่อเนื่อง หานอู่หยายืนตระหง่านอยู่กลางท้องฟ้า ใช้พลังทั้งหมดกระตุ้นกระจกเก้าอัสนีสวรรค์ อัสนีสายแล้วสายเล่าพุ่งออกมาจากกระจก แต่ละสายแฝงพลังอันน่าสะพรึงประหนึ่งฉากวันสิ้นโลกก็มิปาน!

“สังหาร!”

บรรพชนเผ่าฉงฉีปลดปล่อยพลังชั่วร้าย มันถึงกับเรียกกระดูกวิเศษออกมา แสงจักรพรรดิสาดส่องเรืองรอง นี่คือกระดูกมหาจักรพรรดิหรือก็คืออาวุธมหาจักรพรรดิที่มันนำมาด้วย!

กระดูกนี้ไม่ใช่ของสามัญ แต่เป็นกระดูกบรรพชนเฒ่าโบราณเผ่าฉงฉีของพวกมันที่มีอานุภาพน่าสะพรึงกลัวมาก!

มันกระตุ้นกระดูกมหาจักรพรรดิ ก่อนจะกระแทกเข้าใส่ต้นหลิวกับก้อนหิน กระดูกมีพลังมหาศาลเหนือจินตนาการ เกรงว่าแม้แต่จ้าวสูงสุดก็มิอาจทนได้ โดนเข้าไปต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่นอน!


เมื่อเทียบกับหานอู่หยาและบรรพชนเฒ่าของเผ่าฉงฉี อีกด้านหนึ่ง ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งหกของตระกูลหานนั้นน่าสะพรึงกว่าอย่างมิต้องสงสัย!

หานอู่หยากับบรรพชนเฒ่าของเผ่าฉงฉีเปิดใช้งานอาวุธมหาจักรพรรดิแยกกัน แต่พวกเขาทั้งหกคนร่วมกันใช้อาวุธมหาจักรพรรดิ!

ทั้งหกคนรวมพลังทั้งหมดใช้อาวุธมหาจักรพรรดิ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพลังของอาวุธมหาจักรพรรดิที่พวกเขากำลังใช้อยู่นั้นเหนือกว่าอาวุธมหาจักรพรรดิของหานอู่หยากับบรรพชนเผ่าฉงฉี!

นี่คือระฆังใบใหญ่ พวกเขาผลักมันด้วยแรงทั้งหมด เมื่อเสียงระฆังใบใหญ่ดังขึ้น คลื่นแสงสีทองขนาดใหญ่ก็แผ่ขยายไปอย่างรวดเร็ว ครอบคลุมต้นหลิวและก้อนหินราวกับระลอกคลื่น!

ในคลื่นแสงสีทองนี้มีพลังอันน่าสะพรึงกลัวอยู่ อย่าว่าแต่จ้าวสูงสุด ต่อให้เป็นจ้าวนภาสูงสุดก็ไม่สามารถทนได้อย่างแน่นอน!

พวกเขาทั้งหกผลักอาวุธมหาจักรพรรดิด้วยกำลังทั้งหมด พลังทั้งหกรวมกันเพียงพอที่จะดึงผอิทธิฤทธิ์ของอาวุธมหาจักรพรรดิออกมาได้!


เพียงแต่ตอนนี้มีบางอย่างที่พวกเขาไม่คาดคิดเกิดขึ้น

เสียงฟ้าคำรนกับอัสนีฟาดออกมาจากกระจกเก้าอัสนีสวรรค์พุ่งลงมายังต้นหลิว ทว่า...ใบหลิวสักใบกลับไม่มีร่วง!


อัสนีฟาดลงมาบนก้อนหินราวกับลมกรดก็มิปาน ทว่าไม่ทิ้งไว้แม้แต่รอยแผล แม้แต่พื้นผิวก็ไม่มีรอย!

บรรพชนเฒ่าเผ่าฉงฉีหลอมรวมพลังกับกระดูกมหาจักรพรรดิกระแทกจนต้นหลิวสะบัดไปด้านข้างเล็กน้อย

ผู้อาวุโสสูงสุดอีกหกคนเร่งพลังระฆังแสดงอานุภาพสูงสุด คลื่นแสงสีทองอร่ามที่กำลังกระเพื่อมของระฆังดูราวกับไม่ใช่พลังสังหารแม้แต่น้อย มันกระเพื่อมผ่านต้นหลิวและก้อนหินราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“นี่...นี่...!”

“เรื่องบ้าอะไรกัน!”

ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปทันที มันเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นยิ่ง!

ขอบเขตของต้นหลิวกับก้อนหินนั้นเหนือชั้นเกินคาดกว่าที่พวกเขาจินตนาการนัก!

“ข้าควรคิดได้ตั้งนานแล้ว ไม่น่าไปร่วมมือกับคนที่ไว้ใจไม่ได้อย่างเจ้า หากยังร่วมมือกับเจ้าต่อไป ข้าต้องสูญเสียครั้งใหญ่เป็นแน่!”

สีหน้าบรรพชนเฒ่าของเผ่าฉงฉีกลายเป็นสีดำคล้ำ มือชี้จมูกของหานอู่หยาพลางสาปแช่ง

จบแล้ว!

ครั้งนี้มันจบเห่แล้วจริง ๆ!


ดีนัก! พวกเขาใช้พลังโจมตีสูงที่สุดเท่าที่เคยทำมาแล้ว กลับยังทำอะไรต้นหลิวไม่ได้แม้แต่ใบเดียว ผิวหนังของต้นหลิวกับก้อนหินก็ไม่ระคาย พวกเขาจะไม่จบเห่ได้อย่างไร?

นี่ห่างชั้นเกินความสามารถที่พวกเขาจะรับมือได้!

“ให้ตายเถอะ มีอะไรก็โทษข้าทุกอย่าง เรื่องนี้เจ้าจะมาโทษข้าได้อย่างไร!”

จิตใจหานอู่หยายุ่งเหยิงไปหมดแล้ว เขาอดทนกับบรรพชนเฒ่าของเผ่าฉงฉีมาตลอดทาง และตอนนี้เขาก็ระเบิดอารมณ์ออกมาโดยไม่คิดปิดบังอีกต่อไป

เขาคิดเช่นนี้นี่เอง!

ดีนี่!

ก่อนหน้านี้ตำหนิกันก็แล้วไปเถอะ แต่ตอนนี้ยังมาโทษเขาอีก!

บรรพชนเฒ่าเผ่าฉงฉีนั้นไม่ได้ความเลยจริง ๆ!

ตอนนี้เขาอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา!

ต้นหลิวกับก้อนหินแข็งแกร่งเกินไป ก่อนหน้านี้เขายังกล่าวว่าต้นหลิวกับก้อนหินเป็นจ้าวสูงสุด...


มิน่าเล่า ก้อนหินถึงไม่ยอมรับ ไม่ยอมรับว่าปัจจุบันเป็นจ้าวสูงสุด


ปัจจุบันทั้งสองไม่ใช่จ้าวสูงสุด แต่อย่างน้อยอาจอยู่ในระดับกึ่งจักรพรรดิ!

แม้แต่ขั้นสูงของขอบเขตสูงสุดอย่างขั้นวิถีสูงสุดก็เป็นไปไม่ได้ว่าจะไม่เป็นไรอะไรเลย!

“อย่างพวกเจ้านี่เรียกว่าแข็งแกร่งหรือ? ละอายบ้างหรือไม่? กล้าพูดเช่นนั้นออกมาได้อย่างไร?”

ต้นหลิวกล่าวอย่างดูแคลน

หลังจากนั้นกิ่งของต้นหลิวก็สะบัดอย่างรวดเร็ว เร็วจนแทบตอบสนองไม่ทัน มันสะบัดตรงไปที่กระจกเก้าอัสนีสวรรค์

เพล้ง!

เสียงกระจกแตกพร้อมกับกระจกเก้าอัสนีสวรรค์โดนกิ่งต้นหลิวสะบัดทำลายอย่างสมบูรณ์ แตกละเอียดกลายเป็นเล็กชิ้นน้อย!

“ตีระฆัง? พวกเจ้ารู้วิธีตีระฆังหรือไม่? มาเถิดให้บิดาหินผู้นี้บอกวิธีตีระฆังให้พวกเจ้าว่าควรตีอย่างไร!”

เสียงดังฟิ้ว ก้อนหินขยับ หินทั้งก้อนหายไปทันที

เมื่อมันปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันก็มาถึงระฆังแล้ว

ตู้ม!

ก้อนหินพุ่งเข้าใส่โดยตรง ทันใดนั้นเสียงระฆังก็ดังขึ้น คลื่นแสงสีทองกวาดตรงมายังหานอู่หยา บรรพชนเฒ่าของเผ่าฉงฉี และผู้อาวุโสสูงสุดทั้งหกของตระกูลหาน พวกเขาถูกแสงสีทองทำให้ล้มลงไปกองกับพื้น เลือดกระเซ็นไปทั่วทุกสารทิศ ซ้ำยังร่างระเบิดเป็นชิ้นเนื้อ!

วิญญาณของพวกเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน ร่างวิญญาณของพวกเขาแตกเป็นเสี่ยง ๆ แทบจะถูกสังหารตายในทันที เหลือเพียงเสี้ยวหนึ่งของวิญญาณที่เหลืออยู่

ทันทีหลังจากนั้นระฆังก็ระเบิดออก แม้แต่อาวุธมหาจักรพรรดิก็ไม่สามารถต้านทานแรงระเบิดจากก้อนหินได้ มันถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง!

“กระดูกชั้นต่ำควรกลับคืนสู่ขี้เถ้า ขี้เถ้ากลับคืนสู่ธุลี!”

ต้นหลิวฟาดออกไปอีกครั้ง กิ่งต้นหลิวสะบัดไปยังกระดูกมหาจักรพรรดิ

ทันทีกิ่งต้นหลิวกระทบกับกระดูกมหาจักรพรรดิ กระดูกมหาจักรพรรดิพลันระเบิดแตกทั้งหมด กลายเป็นผงกระดูกกระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้น

“แม่ ข้าอยาก...กลับบ้าน!!!”

“ข้า...ไม่คิดว่าจะมีการโจมตีเช่นนี้อยู่!!!”

วิญญาณที่เหลืออยู่ของผู้อาวุโสสูงสุดทั้งหกคนของตระกูลหานร้องเสียงดังลั่น

พวกเขาหวาดกลัวเป็นอย่างมาก เศษเสี้ยววิญญาณของพวกเขาสั่นเทาจนแทบสิ้นชีวี

โจมตีครั้งเดียว!

แค่โจมตีครั้งเดียว!

ก็ทำลายอาวุธมหาจักรพรรดิทั้งหมดจนสิ้น!

สวรรค์! แท้จริงแล้วขอบเขตต้นหลิวกับก้อนหินสูงเพียงใด!?

แม้แต่มหาจักรพรรดิยังทำเช่นนี้ไม่ได้!

ขอบเขตต้นหลิวกับก้อนหินต้องอยู่เหนือมหาจักรพรรดิอย่างแน่นอน!

“ตั้งแต่ข้าตกลงร่วมมือกับตระกูลหานของเจ้า ข้าก็โชคร้ายไม่หยุด ข้าจะไม่โทษใครนอกจากตนเอง! ข้ามันโง่เขลานักที่ไปร่วมมือกับตระกูลหานของพวกเจ้า!!!”

บรรพชนเผ่าฉงฉีสาปแช่งไม่รู้จบ

ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงปัจจุบันหาได้มีอะไรราบรื่น เห็นได้ชัดว่าตระกูลหานเป็นดาวไม้กวาด*[1] เขาไม่น่าตกลงร่วมมือด้วยเลยจริง ๆ!


“อย่าโทษข้า มันเป็นความผิดของผู้นำตระกูล ทุกอย่างเป็นเขาจัดการ!”

หานอู่หยาสาปแช่งผู้นำตระกูลและผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานสิบแปดชั่วโคตร

หากผู้นำตระกูลหานไม่อยากจัดการเซี่ยเหยียนและคนอื่น ๆ พวกเขาจะมาอยู่ในสถานการณ์น่าสมเพชเช่นนี้ได้อย่างไร?

เพียงแต่หลังจากเขาด่าเสร็จกลับต้องตกใจ

สาปแช่งผู้นำตระกูลและผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานชั่วโคตรก็เหมือนกับสาปแช่งตนเองมิใช่หรือ!



[1] ดาวไม้กวาด (扫把星) หมายถึง ตัวซวย