“ดูดีแต่กลับไร้ประประโยชน์โดยแท้ ใช้ขยะพรรค์นี้มาข่มขู่คน พวกเจ้าช่างสามารถจริง ๆ!”
ก้อนหินกล่าวอย่างเหยียดหยาม
สิ่งของอะไรพวกนี้ เปราะบางเกินไปโจมตีเพียงครั้งเดียวก็พังเสียแล้ว
ขยะ!?
อาวุธมหาจักรพรรดิเหล่านี้ถูกเรียกว่าขยะ!!!
เมื่อพวกหานอู่หยากับคนอื่นได้ยินคำพูดของก้อนหิน พวกเขาก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก!
อาวุธมหาจักรพรรดิกลายเป็นขยะตั้งแต่เมื่อใด!
อาวุธมหาจักรพรรดิเป็นอาวุธระดับสูงสุดเลยนะ!
นับตั้งแต่สมัยโบราณมามหาจักรพรรดิมีนับไม่ถ้วน แต่อาวุธมหาจักรพรรดิกลับมีไม่มากนัก มหาจักรพรรดิมากมายใช้เวลาทั้งชีวิตแต่กลับไม่สามารถครอบครองอาวุธมหาจักรพรรดิได้!
มีเพียงจักรพรรดิที่มีภูมิหลังมากพอเท่านั้นที่จะสามารถครอบครองอาวุธมหาจักรพรรดิได้!
เพราะวัสดุที่ใช้สร้างอาวุธมหาจักรพรรดิเป็นสิ่งของล้ำค่าหายากเกินไป จำเป็นต้องสะสมจากรุ่นสู่รุ่น จึงเป็นเรื่องยากสำหรับมหาจักรพรรดิที่ไม่มีภูมิหลังในการหาวัสดุมาสร้างอาวุธมหาจักรพรรดิ
แต่หากขบคิดให้ละเอียด ในสายตาของพวกเขาอาวุธมหาจักรพรรดินั้นหายากยิ่ง ทว่าในสายตา
ของต้นหลิวกับก้อนหินของพวกนี้กลับเป็นขยะ ไม่เห็นค่าอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย…
คิด ๆ ดูแล้ว หากต้นหลิวกับก้อนหินเห็นอาวุธมหาจักรพรรดิอยู่ในสายตา พวกเขาจะทำลายอาวุธมหาจักรพรรดิทั้งสามชิ้นได้อย่างไร?
เห็นได้ชัดว่าต้นหลิวกับก้อนหินดูหมิ่นอาวุธมหาจักรพรรดิ!
ยอดนิกาย!
ต้นหลิวกับก้อนหินจะต้องเป็นยอดฝีมือมาจากยอดนิกายอย่างแน่นอน!
คาดไม่ถึงยอดนิกายโบราณจะมีความสามารถถึงขนาดไม่เห็นอาวุธมหาจักรพรรดิอยู่ในสายตา
ผู้พิทักษ์แห่งเมืองปุถุชน...
ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจ สิ่งที่ต้นหลิวกับก้อนหินต้องปกป้องไม่ใช่เมืองปุถุชนแต่เป็นหลี่จิ่วเต้ากับสมาชิกคนอื่นในยอดนิกายต่างหาก!
ต้นหลิวกับก้อนหินเป็นยอดฝีมือร้ายกาจถึงเพียงนี้!
ในใจของพวกเขาแทบหลั่งน้ำตา พวกเขาตาบอดเกินไปแล้วถึงได้คิดว่า ยอดฝีมือที่แสนร้ายกาจเป็นเพียงมดปลวกตัวเล็ก ๆ ไม่มีความสำคัญ พวกเขา...สมควรได้รับจุดจบเช่นนี้จริง ๆ!
“ไปตามทางเถอะ!”
ต้นหลิวเอ่ยเสียงเบา กิ่งต้นหลิวสะบัดไปมาเบา ๆ ทำลายวิญญาณหานอู่หยากับคนอื่นในทันที สังหารหานอู่หยากับคนอื่นลง ณ ที่นี่
อย่างไรเรื่องพวกนี้ก็ล้วนแต่เป็นปัญหาเล็กน้อย ทว่าการคิดจะทำร้ายท่านเซียนนั้นถือเป็นเรื่องใหญ่!
พวกเขาจะไม่มีวันปล่อยผู้ที่คิดทำร้ายท่านเซียนไป!
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!
พลันกิ่งต้นหลิวที่ปกคลุมทั่วฟ้าก็กลับคืนดังเดิม พื้นที่ปิดกั้นหายไป และทุกอย่างก็กลับมาสู่ปกติ
มีมนุษย์เดินผ่านไปข้างนอกเป็นครั้งคราว แต่พวกเขาไม่เห็นหรือสังเกตเห็นสิ่งใด ในสายตาของปุถุชนเหล่านี้ ทุกอย่างในแห่งนี้เป็นปกติราวกับไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้น
...
ดินแดนฮวง
ณ ตระกูลหาน
“อะไรนะ ตะเกียงฉางหมิงของเจ็ดผู้อาวุโสสูงสุดดับหมดแล้ว!”
“นี่...เป็นไปได้อย่างไร!?”
ผู้อาวุโสตระกูลหานที่คอยดูตะเกียงฉางหมิงร้องตกใจ ตอนนี้ตะเกียงฉางหมิงของเจ็ดผู้อาวุโสสูงสุดดับหมดแล้ว หมายความว่าเจ็ดผู้อาวุโสสูงสุดตายตกกันหมดแล้ว!
ผู้นำตระกูลหานตายแล้ว ผู้อาวุโสสูงสุดก็ตายเช่นกัน!
เรื่องที่เกิดขึ้นมีผลกระทบมากมายเกินไป!
พวกเขารีบไปหาผู้อาวุโสใหญ่เพื่อแจ้งข่าวว่า ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งเจ็ดตายแล้ว
“ตระกูลหานของข้า...จบสิ้นแล้ว!”
หลังจากผู้อาวุโสใหญ่ได้ยินเช่นนั้น เขาก็อุทานตัวแข็งทื่อ
เขาพอจะเข้าใจต้นสายปลายเหตุเรื่องนี้ดี รู้ว่าผู้นำตระกูลหานกับผู้อาวุโสสูงสุดทั้งเจ็ดกำลังทำอะไร
ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งเจ็ดตายแล้วหมายความว่า แผนของพวกเขาล้มเหลวเรียบร้อย พวกเขาคิดว่าหลี่จิ่วเต้ากับคนอื่นอาจมีเบื้องลึกเบื้องหลังเกี่ยวข้องกับยอดนิกาย!
การตายของผู้อาวุโสสูงสุดทั้งเจ็ดคนเป็นไปได้ว่าอาจถูกยอดฝีมือจากยอดนิกายสังหาร!
พวกผู้อาวุโสสูงสุดทั้งเจ็ดคนมีอาวุธมหาจักรพรรดิทั้งหมดอยู่สองชิ้น นับรวมกับของบรรพชนเฒ่าเผ่าฉงฉีแล้ว มีจ้าวสูงสุดถึงแปดคนกับอาวุธมหาจักรพรรดิสามชิ้น!
เขารู้ว่าบรรพชนเฒ่าเผ่าฉงฉีก็มีอาวุธมหาจักรพรรดิอยู่ในมือด้วยเช่นกัน
เขาจึงไม่เชื่อว่าหลี่จิ่วเต้ากับคนอื่นจะสามารถสังหารผู้อาวุโสสูงสุดทั้งเจ็ดคนได้ ทั้งยังรู้ว่าหลี่จิ่วเต้ากับคนอื่น ๆ ต้องมีความสัมพันธ์กับยอดนิกายอย่างแน่นอน ซ้ำแล้วยอดนิกายยังคอยแอบปกป้องหลี่จิ่วเต้ากับคนอื่น ๆ อีกด้วย
แต่ไม่ว่าเรื่องราวทั้งหมดมันจะเป็นอย่างไร เขาก็รู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะต้องเกี่ยวกับยอดนิกายแน่นอน
นี่ถือเป็นเรื่องเลวร้ายมากสำหรับพวกเขา
ยิ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าแผนของพวกเขาถูกเปิดโปงไปหมดแล้ว เบื้องหลังหลี่จิ่วเต้ากับคนอื่นมียอดนิกายอยู่ยิ่งไม่อาจยุติลงด้วยดีเป็นแน่
โดยเฉพาะช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้!
สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนจะกลับมาอีกครั้ง อาณาจักรแห่งนี้จะเกิดสงครามขึ้นอีกครั้ง แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขากลับอ่อนแอมาก มีกองกำลังจำนวนไม่น้อยขาดศรัทธาเหมือนตระกูลหานของพวกเขา กระทั่งมีสิ่งมีชีวิตจำนวนมากต้องการลี้ภัยไปพึ่งพิงอาณาจักรเทียนหยวน
ตอนนี้ตระกูลหานของพวกเขาถูกเปิดโปงออกมาแล้ว ยอดนิกายอยู่เบื้องหลังหลี่จิ่วเต้ากับคนอื่นย่อมไม่ปล่อยพวกเขาไปอย่างแน่นอน อีกฝ่ายอาจใช้ตระกูลหานของพวกเขาเป็นคำเตือนถึงสิ่งมีชีวิตอื่นที่คิดอยากแปรพักตร์ไปพึ่งพิงอาณาจักรเทียนหยวน
บางทีตอนนี้ยอดนิกายอาจกำลังเดินทางมายังตระกูลหานของพวกเขา
“ต้องไปปลุกท่านบรรพชน ให้ท่านบรรพชนเป็นผู้ตัดสินใจ!”
เขาไม่กล้าลังเลเพราะรู้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ดี ตอนนี้ตระกูลหานอยู่ระหว่างความเป็นความตาย เขาไม่กล้าตัดสินใจมั่วซั่ว จำต้องปลุกบรรพชนตระกูลหานของพวกเขา มหาจักรพรรดิผู้รอดชีวิตจากยุคโบราณกาล!
หลังจากนั้นเขาก็มาถึงสถานที่หลับไหลของมหาจักรพรรดิ
เขาใช้วิธีลับปลุกมหาจักรพรรดิให้ตื่นจากการหลับใหล
ก่อนมหาจักรพรรดิจะหลับไป เขาได้ทิ้งวิธีลับเอาไว้เพื่อให้ลูกหลานสามารถใช้ปลุกเขาในกรณีฉุกเฉินได้
“เข้ามาเถิด...”
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้ยินเสียงของมหาจักรพรรดิ เขาทำสำเร็จแล้ว มหาจักรพรรดิตื่นขึ้นจากการหลับใหลแล้ว!
เขารีบเข้าไปก็พบว่ามหาจักรพรรดิดูคล้ายยังไม่ตื่นดีนัก ยังคงนอนหลับตาอยู่
มหาจักรพรรดิเอนกายอยู่บนศิลาชีวิตอันแวววับ ทั่วร่างเปี่ยมด้วยแสงเทวะ นี่คือเเท่นประทับเทวะซึ่งถือกำเนิดโดยธรรมชาติ มันสามารถรักษาพลังให้แข็งแกร่ง และประคองพลังชีวิตได้ นับเป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก
มีลำแสงสายหนึ่งพุ่งออกมาจากร่างมหาจักรพรรดิ มหาจักรพรรดิยังไม่ตื่นดีนัก แต่เพียงรู้สึกตัวมากขึ้นเท่านั้น
การตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์จะทำให้มหาจักรพรรดิสิ้นเปลื้องพลังมากเกินไป
“ปลุกข้าขึ้นมามีอันใด?”
ลำแสงนี้รวมตัวกันเป็นรูปลักษณ์มหาจักรพรรดิ ลอยอยู่กลางอากาศ และมองลงมายังผู้อาวุโสใหญ่
“ท่านบรรพชน ตระกูลหานของเรามาถึงช่วงความเป็นความตายแล้ว!”
ผู้อาวุโสใหญ่รีบเล่าทุกอย่าง
หลังจากพูดจบ เขาก็รอคำสั่งของมหาจักรพรรดิ
ทว่ามหาจักรพรรดิกลับนิ่งเงียบไม่เคลื่อนไหว
จนกระทั่งผ่านไปชั่วเวลาหนึ่งก็มีความเคลื่อนไหวจากมหาจักรพรรดิ
เสียงดังโครม เขารู้สึกถึงพลังมหาศาลโจมตีเข้ามา ร่างทั้งร่างของเขาลอยกระเด็นออกไป!
ผู้อาวุโสใหญ่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างกายเกือบระเบิด ทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผล บนบาดแผลมีเลือดไหลไม่หยุด
“มหาจักรพรรดิ?”
เขาเงยหน้าขึ้นมองท่านบรรพชนด้วยอย่างยากลำบาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความงงงวยไม่เข้าใจ
เหตุใดมหาจักรพรรดิถึงโจมตีเขา?
“เกิดเรื่องขึ้นถึงรู้จักมาหาข้ารึ!? ก่อนหน้านี้มัวแต่ทำอันใด! หากปลุกข้าก่อนหน้านี้ ข้าจะปล่อยให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร!”
มหาจักรพรรดิตำหนิเสียงเย็นชา เห็นได้ชัดว่าโกรธมาก
ในเมื่อรู้แล้วว่ายากจะแก้ไข ทั้งยังรอให้เป็นเรื่องใหญ่ก่อน พอรับมือกันไม่ไหวแล้วค่อยมาปลุกเขา?
คิดให้เขาลงมือ เรื่องทุกอย่างจะจัดการได้หรือ?
ตอนนี้ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้วยากจะแก้ไขเปลี่ยนแปลง!
บทที่ 352
หือ!?
ข้าไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างยิ่ง!
ภายในใจผู้อาวุใหญ่อึดอัดจนอยากร้องไห้ออกมาแต่ไม่มีน้ำตา
ก่อนหน้านี้ที่ผู้นำตระกูลยังไม่ตาย ทุกอย่างล้วนถูกตัดสินใจโดยผู้นำตระกูล
หลังจากผู้นำตระกูลตายไป ผู้อาวุโสสูงสุดหานอู่หยาก็กลายเป็นผู้ตัดสินใจ ส่งร่างแยกกลับมาปลุกผู้อาวุโสสูงสุดทั้งหกท่านไป
เขาเพิ่งจะได้มาตัดสินใจเองก็ตอนนี้!
ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นการตัดสินใจของผู้นำตระกูลและหานอู่หยา
หากมหาจักรพรรดิต้องการตีก็ควรไปตีผู้นำตระกูลและหานอู่หยา ไม่ใช่เขาที่ต้องถูกตีอย่างไม่เป็นธรรม!
ทว่าเขาก็ทำได้แต่เพียงกู่ร้องออกมาในใจ ไม่กล้าจะพูดถ้อยคำเหล่านี้ออกมา
แต่ตอนนี้ใช่เวลาจะมาเรียกร้องความเป็นธรรม หากเขาโต้แย้งมหาจักรพรรดิขึ้นมาล่ะก็...เขาคงจะถูกมหาจักรพรรดิตีจนตาย!
“ท่านบรรพชน ท่านคิดว่าตอนนี้พวกเราควรทำเช่นไรดี?”
เขากล่าวออกมาด้วยความระมัดระวัง
“จะทำอะไรได้อีก? บัดซบ! จะทำอะไรได้อีกนอกจากรอให้พวกยอดนิกายมาหาถึงหน้าประตูบ้าน!”
มหาจักรพรรดิขาดสติกล่าวออกมาด้วยความโกรธ
สถานการณ์ร้ายแรงเกินไป พวกเขาไม่มีหนทางแก้ไขชดเชยได้เลย
ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งเจ็ดล้วนตายตก แสดงให้เห็นว่าพวกยอดนิกายที่อยู่เบื้องหลังพวกหลี่จิ่วเต้ารู้เรื่องนี้แล้ว
แม้เขาจะเป็นมหาจักรพรรดิ แต่ตอนนี้ก็ไม่เหมือนวันวานแล้ว
จะให้ไปต่อสู้กับยอดนิกายเบื้องหลังพวกหลี่จิ่วเต้าแบบตายกันไปข้างหนึ่งงั้นหรือ?
คิดอะไรอยู่!
ยอดนิกายนั้นน่าเกรงขามและน่าหวาดกลัวมากเกินไป เกินกำลังกว่าที่มหาจักรพรรดิใกล้ตายอย่างเขาจะสามารถเอาชนะได้
การต่อสู้กับอีกฝ่าย เป็นเพียงแต่เร่งความตายของพวกเขาให้เข้ามาเร็วขึ้น
“รอให้มาหาถึงหน้าประตูบ้าน!”
ผู้อาวุโสใหญ่คาดไม่ถึงว่ามหาจักรพรรดิจะตอบกลับมาเช่นนี้
เขาอดกล่าวออกมาได้ “เหตุใดพวกเราจึงไม่พาทั้งตระกูลหนีไปแล้วหาที่ซ่อนตัว”
“หนี! ความคิดไร้สมอง!”
มหาจักรพรรดิตอบกลับไปทันที “ยอดนิกายออกคำสั่งมา กองกำลังใดบนโลกจะกล้าไม่เชื่อฟังบ้าง? ไฉนเจ้าบอกข้ามาว่าจะหนีไปที่ใด? จะหนีไปที่ใดได้?”
“เอ่อ?”
สีหน้าของผู้อาวุโสใหญ่ซีดเผือด
ใช่แล้ว
ไม่มีกองกำลังใดกล้าฝ่าฝืนคำสั่งของยอดนิกาย ทั่วใต้หล้ากว้างใหญ่ ไม่มีที่สำหรับพวกเขาจริง ๆ
พวกเขาไม่สามารถหลบหนี และก็ไม่สามารถซ่อนตัวได้ด้วยเช่นกัน!
ในตอนนั้นเอง สติของมหาจักรพรรดิที่อยู่กลางอากาศก็เริ่มกลับเข้าร่าง
ครู่ต่อมา มหาจักรพรรดิก็ลืมตาขึ้นแล้วลุกจากที่นั่ง
“ท่านบรรพชน?”
ผู้อาวุโสใหญ่ถามขึ้นมาอย่างงงงวย
ในเมื่อหนีก็ไม่ได้ ซ่อนก็ไม่ได้ เหตุใดมหาจักรพรรดิจึงตื่นขึ้นมาอย่างเต็มตัว
หลังจากมหาจักรพรรดิลืมตาแล้วก็ลุกขึ้นจากแท่นประทับเทวะ แสดงให้เห็นว่ามหาจักพรรดิตื่นขึ้นมาอย่างเต็มตัวแล้ว!
“ข้ายังจะทำอะไรได้อีก? เมื่อยอดนิกายมา หากไม่อยากตายก็ต้องยอมจำนน แล้วไปเข้าร่วมสงครามเพื่อเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวน”
มหาจักพรรดิกล่าว “ตอนนี้ยังเหลือเวลา ข้าจะให้โอกาสนี้ทำในสิ่งที่อยากทำแต่ไม่ได้ทำมาก่อน หากช้ากว่านี้เกรงว่าจะไม่มีโอกาสแล้ว”
เขาสิ้นหวัง กระทั่งไร้ซึ่งความหวังใด ๆ แล้ว
ยอดนิกายนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่เขาจะต่อกรได้ เหมือนกับที่เขากล่าวไปว่าหากไม่อยากตายก็ต้องยอมจำนน
ตระกูลหานไม่ใช่ตระกูลเล็ก ๆ ความแข็งแกร่งโดยรวมก็ไม่แย่ และยังมีผู้ฝึกตนขอบเขตสูงสุดจำนวนมากรอดมาจากสงคราม ยอดนิกายไม่น่าจะเลือกสังหารล้างตระกูลหาน มีโอกาสเป็นอย่างมากที่จะเลือกส่งตระกูลหานไปเข่นฆ่ากับสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนในสงคราม
เมื่อยามนั้นมาถึง พวกเขาคงจะสูญเสียอิสระ ต้องเชื่อฟังคำสั่งของยอดนิกาย
เขาตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ จึงตัดสินใจตื่นขึ้นจากการปิดด่านอย่างเต็มตัว
จะยังคงหลับใหลรักษาพลังชีวิตต่อไปทำไมกัน!
อย่างไรเขาก็จะต้องตายในสนามรบ เช่นนั้นแล้วก็ใช้ช่วงเวลาที่ยังเป็นอิสระไปทำในสิ่งที่เขาต้องการจะทำเสียดีกว่า
หากจะตาย ก่อนตายก็ขอหาความสุขเสียหน่อย!
ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็จากสถานที่แห่งนั้นไป
...
ณ แดนหยิน เหยียนโจว แดนบูรพาทิศ
เมืองชิงซาน
หลังจากที่หลินอินอยู่บ้านท่านเซียนไม่นานก็บอกลาท่านเซียน เตรียมตัวกลับบ้านไปบอกท่านแม่ว่าตนเองสบายดี
ครั้งนี้นางออกเดินทางไปนาน เกรงว่าท่านแม่จะเป็นห่วงนาง
“เข้าใจแล้ว เย็นนี้อย่าลืมมากินข้าวเย็นนะ”
หลี่จิ่วเต้ากล่าวตอบนาง
พวกอ้ายฉานเองก็จากไป ต่างคนต่างแวะกลับบ้านไปหาผู้ใหญ่ก่อนจะต้องกลับไปฝึกที่พรรคจื่อเสีย
เมื่อตกกลางคืน หลิงอินและพวกอ้ายฉานต่างทะยอยกลับมาหาหลี่จิ่วเต้าทีละคน
บนโต๊ะขนาดใหญ่ในลานเต็มไปด้วยผู้คนร่วมทานอาหาร
ชายหนุ่มมองดูฉากนี้ด้วยความรู้สึกอบอุ่นอย่างมากภายในใจ
เขาไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้เพียงลำพัง มีผู้คนมากมายพร้อมจะเดินทางร่วมไปกับเขา
ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ ต่างจากก่อนหน้าที่มักรู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงแค่ ‘คนนอก‘ ของโลกใบนี้
มื้ออาหารเย็นผ่านไปด้วยความสุขและเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะไม่หยุด
“ฝึกฝนให้ดี คุณชายรอพึ่งพาพวกเจ้าในอนาคตอยู่”
หลี่จิ่วเต้ามองไปทางพวกอ้ายฉาน แล้วกล่าวหยอกล้อออกมา “วันข้างหน้าเมื่อเจ้ายิ่งใหญ่แล้วก็อย่าลืมคุณชายผู้นี้เสียเล่า”
“จะเป็นไปได้อย่างไร! พวกเราไม่มีทางลืมคุณชาย!”
“คุณชายไม่ต้องกังวล พวกเราจะขยันฝึกฝนอย่างแน่นอน ในอนาคตคุณชายอยากจะให้พวกเราทำเรื่องอะไร พวกเราก็จะทำ!”
พวกอ้ายฉานพูดขึ้นมาทุกคน
ในใจพวกเขา หลี่จิ่วเต้ามีความสำคัญเป็นอย่างมากเช่นเดียวกับบิดามารดา
นี่ไม่เกี่ยวกับฐานะเซียนของหลี่จิวเต้า
แม้หลี่จิ่วเต้าจะไม่ใช่เซียน พวกเขาก็จะไม่มีวันลืมหลี่จิ่วเต้า
“ตกลง ตกลง ตกลง แล้วคุณชายจะจำเอาไว้ว่าในอนาคตมีเรื่องอะไรก็จะไปหาพวกเจ้า”
หลี่จิ่วเต้ายิ้ม ก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะ “ข้าจะไปหยิบของสักครู่”
เขาเดินกลับเข้าไปในบ้าน ก่อนจะหยิบกล่องไม้ออกมาหนึ่งกล่อง แล้วเดินกลับไปวางกล่องไม้ลงบนโต๊ะในลาน
“วันนี้ข้าทำหยกพกสลักคำอวยพรคุ้มภัยเอาไว้”
ชายหนุ่มกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม “แม้ว่าข้าจะเป็นเพียงปุถุชน การอวยพรให้ผู้ฝึกตนก็ดูเหมือนจะเป็นควงขวานหน้าบ้านหลู่ปานไปบ้าง แต่สิ่งนี้ก็มาจากใจของข้า หวังและปรารถนาให้พวกเจ้าล้วนมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย!”
เขาเปิดกล่องไม้ แล้วหยิบหยกพกออกมา
ทั้งหมดล้วนเป็นหยกระดับสูงที่เขาแกะสลักอย่างระมัดระวัง มองแล้วงดงามประณีตเป็นอย่างยิ่ง
เขาเป็นเพียงปุถุชนผู้หนึ่งจะมีสิ่งใดไปมอบอำนาจคุ้มครองให้ผู้ฝึกตนกัน แต่ถึงกระนั้น เขายังคงต้องการจะส่งมอบหยกพกเหล่านี้
ดังคำที่เขากล่าว หยกพกบรรจุคความหวังและคำอวยพรจากเขา เขาปรารถนาให้พวกอ้ายฉานมีชีวิตปลอดภัย!
นี่คือความปรารถนาของเขา ไม่เกี่ยวกับพลังหรือความสามารถใด ๆ แม้ว่าพวกอ้ายฉานจะกลายเป็นเซียน เขาก็ยังคงจะมอบมันให้แทนความหมายว่าพวกอ้ายฉานมีความสำคัญต่อเขาอยางมาก
หลี่จิ่วเต้ามอบหยกให้พวกอ้ายฉานห้อยเป็นจี้หยก
“เซี่ยเหยียน ศิษย์สายตรงของประมุขสำนักไท่หัว อย่ารังเกียจมันเลยนะ”
เขากล่าวหยอกล้อ รู้ดีว่าเซี่ยเหยียนไม่มีทางรังเกียจ จึงมอบหยกพกให้นางด้วย
ภายในใจของเขา เซี่ยเหยียนเองก็มีความสำคัญไม่ต่างกัน
“ของหลิงอินก็มี แต่เจ้ากลับไปแล้วอย่าพูดถึงเชียวล่ะ ถ้าหากแม่เจ้ารู้ คงยึดเอามันเป็นของแทนคำหมั้นหมายจากข้า จากนั้นก็จะลากข้าไปแต่งงานกับเจ้า!”
หลี่จิ่วเต้าหยอกล้อ ก่อนหยิบหยกพกออกมาส่งให้หลิงอิน
ในใจของเขา หลิงอินก็สำคัญเข่นกัน
บทที่ 353
“มานี่สิเจ้าแมวน้อยจอมตะกละ มีส่วนของเจ้าด้วยนะ”
หลี่จิ่วเต้ากวักมือให้แมวขาวตัวน้อย ส่วนแมวขาวตัวน้อยก็กระโดดเข้าหาเขาทันทีอย่างมีความสุข
เขาลูบขนเรียบลื่นของแมวขาวตัวน้อยระหว่างเอ่ยขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม “ข้าก็ทำหยกพกมาให้เจ้าด้วย”
มันคือหยกพกขนาดเล็กที่มีคำอวยพรเขียนเอาไว้อยู่เหมือนกัน
แมวสีขาวตัวน้อยเป็นผู้ที่อยู่กับเขามากที่สุด ย่อมมีความสำคัญมากในใจเขา
เขาห้อยหยกพกอันเล็กไว้บนคอของแมวสีขาวตัวน้อย
“เมี้ยว เมี้ยว เมี้ยว~”
ลั่วสุ่ยร้องออกมาอย่างมีความสุข นางรู้ว่าท่านเซียนจะไม่มีวันลืมนาง
อีกด้านหนึ่ง อันหลานเสวี่ยกำลังมองด้วยความอิจฉา
นางรู้ดีว่านี่คือเครื่องรางคุ้มภัยอย่างแท้จริง เพียงสวมใส่ชีวิตก็จะปลอดภัย!
มีของนางหรือไม่นะ?
นางอดคาดหวังขึ้นมาในใจไม่ได้
คิดอะไรอยู่!
นางกล้าคิดเช่นนั้นได้อย่างไร!
หญิงสาวรำพึงขึ้นมาในใจ
หยกคุ้มภัยที่ท่านเซียนมอบให้ ไม่ใช่มอบเนื่องในโอกาสหรือวาสนาอะไร แต่เป็นน้ำใจ แสดงให้เห็นว่าพวกหลิงอินมีความสำคัญในหัวใจของท่านเซียน
ท่านเซียนปรารถนาให้พวกหลินอินมีชีวิตรอดปลอดภัย!
นางเองก็ต้องการจี้หยกคุ้มภัยเช่นกัน แต่นางก็ตระหนักตัวเองดีว่า นางไม่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอะไรกับท่านเซียน ไม่สามารถเทียบได้กับพวกหลินอิน
ดังนั้น...
จึงไม่มีหยกคุ้มภัยสำหรับนาง
กล่องไม้ว่างเปล่าถูกท่านเซียนปิดลงไปแล้ว
แม้นางจะรู้ตัวดีว่าไม่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับท่านเซียน หยกคุ้มภัยย่อมไม่มีส่วนของนาง ทว่าเมื่อถึงเวลาที่ได้รับรู้ว่าไม่มีจริง ๆ นางก็ยังอดรู้สึกผิดหวังขึ้นมาไม่ได้
เมื่อไหร่นางจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับท่านเซียนเหมือนพวกหลินอินบ้าง!
นางคิดขึ้นมาในใจอย่างเงียบ ๆ
นางคิดว่าทุกอย่างจบลงแล้ว ทว่ากลับมีสิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจ นั่นก็คือท่านเซียนหยิบกล่องไม้อีกหนึ่งกล่องมาวางไว้เบื้องหน้านาง
นาง...นางเองก็ได้รับของด้วยหรือ?
“นี่คือพู่กันที่ข้าทำขึ้นมาเอง แม่นางเสวี่ยชอบวาดภาพใช่หรือไม่? ข้าหวังว่าแม่นางเสวี่ยจะสามารถวาดภาพที่ดีขึ้นได้ด้วยพู่กันนี้”
หลี่จิ่วเต้ายิ้มบางระหว่างเปิดกล่องไม้ ด้านในกล่องไม้เป็นพู่กันด้ามหนึ่ง ด้ามจับของมันทำจากไม้จันทน์ฝังด้วยไพลินหนึ่งเม็ด ขนแปรงเรียบลื่น นับเป็นแปรงชั้นดีที่หาได้ยาก
พวกอ้ายฉานยังจำเป็นต้องพึ่งพาอันหลายเสวี่ยในการฝึกฝน ดังนั้นเขาย่อมไม่อาจละเลยอันหลานเสวี่ย
ยามที่ทำหยกพก จึงคิดจะมอบพู่กันให้อันหลายเสวี่ยด้วย
สำหรับหยกคุ้มภัย เขาไม่คิดจะมอบให้นาง
หยกคุ้มภัยแทนความสำคัญในใจของเขา ดังนั้นเขาจะไม่มอบให้ผู้ใดง่าย ๆ
“ขอบคุณ คุณชาย!”
อันหลานเสวี่ยหยิบพู่กันขึ้นมา ความผิดหวังในใจพลันสลายไป
แม้นางจะไม่ได้รับหยกคุ้มภัย แต่นางก็ได้รับพู่กัน แสดงให้เห็นว่าท่านเซียนยังคิดถึงนางบ้าง ไม่ได้ไม่สนใจการมีอยู่ของนาง
“ไม่ต้องขอบคุณ ขอเพียงเจ้าชอบ”
หลี่จิ่วเต้ากล่าวพร้อมรอยยิ้ม “พวกอ้ายฉานยังจำเป็นต้องให้เจ้าช่วยดูแล”
หลังทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว พวกเขาก็บอกลาหลี่จิ่วเต้า
อันหลานเสวี่ยพาพวกอ้ายฉานกลับไปพรรคจื่อเสีย เซี่ยเหยียนกลับไปสำนักไท่หัว ส่วนหลิงอินกลับไปที่บ้านของนางเอง
หลังจากกลับถึงบ้านแล้ว หลิงอินก็เอนตัวลงนอนบนเตียง
นางนึกถึงเสี่ยวหยาขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
เสี่ยวหยาที่บริสุทธิ์จิตใจดีถึงขนาดนั้น กลับพบจุดจบอันน่าสังเวชถึงเพียงนั้น ยิ่งนางคิดมากเท่าไรก็ยิ่งปวดใจ
สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรม คนดีกลับไม่ได้รับสิ่งดี ๆ
จุดจบของเสี่ยวหยาไม่ควรเป็นเช่นนั้น...
“ข้าจะหาสถานที่ดี ๆ สำหรับฝังเจ้า ให้เจ้าได้พักผ่อนอย่างสงบ”
นางรำพึงกับตัวเอง
หญิงสาววางแผนจะไปหาสถานที่ดี ๆ ใกล้เมืองชิงซานเพื่อฝังเสี่ยวหยา
มีท่านเซียนอยู่ เมืองชิงซานย่อมเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนตัวนางเองก็จะอยู่ข้างท่านเซียนไปตลอด ดังนั้นการฝังเสี่ยวหยาไว้ใกล้เมืองชิงซานย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด นางสามารถไปช่วยกวาดหลุดศพเสี่ยวหยาได้เป็นครั้งคราว
ทันใดนั้น นางพลันรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวในศาสตราบรรจุของ
มันคือป้ายคำสั่ง ป้ายคำสั่งที่นางมอบให้กับจ้าวหุบเขาคงหลิง เพื่อให้สามารถติดต่อนางได้ตลอดเวลา
ป้ายคำสั่งเรืองแสง ก่อนจะมีเสียงดังออกมา
“ไม่! เจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้!”
หลิงอินขมวดคิ้ว เด้งตัวขึ้นจากเตียงทันที นางจำเสียงของจ้าวหุบเขาได้ ดูเหมือนว่าสถานการณ์ทางนั้นจะเลวร้ายเป็นอย่างมาก!
เสียงของจ้าวหุบเขานั้นสั่นเครือ เห็นได้ชัดว่าพบกับภัยคุกคามบางอย่าง
“ป้ายนี้สามารถติดต่อนางได้ใช่หรือไม่?”
มีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากแผ่นป้าย เป็นเสียงเย็นชาที่ไม่อาจแยกได้ว่าเป็นของบุรุษหรือสตรี
“ไม่! นั่นเป็นเพียงแผ่นป้ายธรรมดา ไม่สามารติดต่อผู้ใดได้!”
เสียงของจ้าวหุบเขาดังขึ้นมาอีกครั้ง
“แผ่นป้ายธรรมดาอย่างนั้นหรือ? เจ้าช่างดื้อดึงเสียจริง...”
เสียงเย็นยะเยือกดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องอีกหลายครั้ง ก่อนจะมีเสียงล้มลงกับพื้นดังมาจากแผ่นป้าย
“อย่าฆ่าผู้ใดอีกเลย ถึงท่านจะฆ่าคนไปมันก็ยังเป็นเพียงแผ่นป้ายธรรมดา!”
จ้าวหุบเขาร้องออกมา
“การเอ่ยยอมรับมันยากขนาดนั้นเชียวหรือ? ข้ารู้ทุกอย่างตั้งนานแล้ว เพียงอยากได้ยินคำยืนยันจากเจ้า”
เสียงเย็นชาดังขึ้น
“ถ้าเจ้าไม่เอ่ยยอมรับ ข้าก็จะฆ่าจนกระทั่งหุบเขาคงหลิงไม่เหลือแม้แต่คนเดียว...”
น้ำเสียงนั้นเย็นชาและไร้ความปรานี
“หยุดมือเสีย!”
หลิงอินส่งเสียงตะโกนผ่านแผ่นป้าย “เจ้าต้องการจะพบข้าใช่หรือไม่! หยุดรอซะ ข้าจะไปที่นั่น!”
นางเข้าใจเกือบทั้งหมดแล้วว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
คนจากทะเลต้องห้ามมาแล้ว!
จักรพรรดิบุปผาไม่ได้โกหก นางมีส่วนเกี่ยวข้องกับทะเลต้องห้ามจริง เห็นได้จากที่ตอนนี้คนจากทะเลต้องห้ามไปเยือนถึงหุบเขาคงหลิงแล้ว
เกรงว่าผู้มาเยือนจะแข็งแกร่งอย่างมาก แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าจักรพรรดิบุปผา ผู้นำหุบเขาคงหลิงจึงต้องการป้องปกนางไม่ให้ไปเผชิญหน้า
หลิงอิงกระจ่างแจ้งในเรื่องนี้ ทว่านางก็ยังคงใช้แท่นค่ายกลเคลื่อนย้ายเดินทางไปทันที
เรื่องของใครก็เรื่องของมัน นางไม่ต้องการให้ผู้บริสุทธิ์มารับเคราะห์
โดยเฉพาะจ้าวหุบเขาที่ยังต้องการจะปกป้องนาง แม้ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตอันหน้าสะพรึงกลัวถึงเพียงนั้น ทำให้นางต้องการจะไปหุบเขาคงหลิงมากยิ่งขึ้น
ค่ายกลทำงาน ก่อนที่ร่างของนางจะหายไปจากห้อง
เมื่อร่างของนางปรากฏขึ้นอีกที นางก็มาถึงภายในหุบเขาคงหลิงแล้ว
นี่คือค่ายกลเคลื่อนย้ายที่นางขอหุบเขาคงหลิง เพื่อที่นางจะได้มายังหุบเขาคงหลิงได้ทุกเมื่อหลังจากผ่านเรื่องราวครั้งก่อนขึ้น
หลังจากนางมาถึง ใบหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็บเยียบทันที
สถานการณ์ร้ายแรงเสียยิ่งกว่าที่นางคิดเอาไว้!
แม้ไม่ถึงขั้นภูเขาซากศพทะเลโลหิต แต่ก็ไม่ห่างไกลนัก รอบกายนางเต็มไปด้วยศพและเลือดทั่วทุกพื้นที่
“เหตุใดไม่รีบติดต่อข้าตั้งแต่แรก!?”
ก่อนจะจากไป นางได้บอกจ้าวหุบเขาว่าหากเกิดเรื่องให้ติดต่อนางเป็นอย่างแรก
ทว่าเห็นได้ชัดเจ้าหุบเขาไม่ได้ทำตาม คนจากทะเลต้องห้ามมาถึงและเปิดฉากสังหารนานแล้ว เลือดบางส่วนแห้งกรังและแข็งตัว
นางไม่ต้องการให้ผู้บริสุทธิ์เข้ามาพัวพัน แต่พวกเขาก็ยังต้องรับเคราะห์ ผู้คนที่นี่ตายเพราะนาง!
“เป็นความผิดของข้าเอง...”
นางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นางรู้ว่าจ้าวหุบเขามีเจตนาดีไม่อยากให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนาง
“เลือดต้องล้างด้วยเลือด!”
จิตสังหารของนางล้นทะลัก นางรีบออกจากบริเวณนี้ตรงไปหาจ้าวหุบเขา
ที่ตรงนั้นมีปราณอันน่าสยดสยองพุ่งออกมา ทำให้นางรับรู้ได้ทันทีว่าจ้าวหุบเขาและคนจากทะเลต้องห้ามอยู่ตรงนั้น
บทที่ 354
หลิงอินมุ่งไปพร้อมกับจิตสังหาร ผู้มาจากทะเลต้องห้ามโหดเหี้ยมเลือดเย็นเกินไป มองชีวิตคนเป็นสิ่งไร้ค่า ไม่เห็นอยู่ในสายตาอย่างสมบูรณ์
ฟังจากเสียงในแผ่นป้ายก่อนหน้านี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าผู้ที่มาจากทะเลต้องห้ามรู้อยู่แล้วว่ามีแผ่นป้ายที่สามารถติดต่อนางได้ แต่ผู้ที่มาจากทะเลต้องห้ามยังคงเปิดฉากสังหารหมู่ที่แห่งนี้ เพื่อให้จ้าวหุบเขาเอ่ยยอมรับออกมาด้วยตนเอง
นี่แสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของทะเลต้องห้าม!
หุบเขาคงหลิงสืบทอดกันมาอย่างช้านาน ไม่ว่ายุคสมัยไหนก็ล้วนเจริญรุ่งเรืองเปี่ยมอำนาจยืนอยู่บนตำแหน่งสูงส่ง มีขอบเขตระดับมหาจักรพรรดิกำเนิดขึ้นมาไม่ขาดสาย
ทว่าหุบเขาคงหลิงที่ทรงพลังถึงขนาดเพียงนี้ กลับไม่นับเป็นสิ่งใดได้ต่อหน้าทะเลต้องห้าม คนจากทะเลต้องห้ามเข้ามาทำตามใจเหยียดหยามหุบเขาคงหลิงอย่างถึงที่สุด
เมื่อหลิงอินมาถึง นางก็พบกับสิ่งมีชีวิตจากทะเลต้องห้ามในทันที
มันไม่ใช่มนุษย์ ลำตัวเป็นเสือดาว หางเป็นแมงป่อง บนหลังมีเดือยกระดูกหนาแน่นน่าขนลุก ปราณที่แผ่ออกมาอย่างรุนแรงทั้งมืดมนและชวนสยอง ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกแปลกประหลาด
นั่นเป็นสิ่งมีชีวิตเผ่าใดกันแน่?
หลิงอินขมวดคิ้ว นางไม่รู้จักที่มาของสิ่งมีชีวิตจากทะเลต้องห้าม ไม่รู้กระทั่งว่าเป็นสิ่งมีชีวิตเผ่าใดกันแน่
“ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเหตุใดพวกเจ้าถึงต้องปกป้องคนนอกแม้แลกด้วยชีวิต”
สิ่งมีชีวิตจากทะเลต้องห้ามเองเห็นหลิงอินเดินเข้ามา มันเอ่ยถามจ้าวหุบเขาด้วยความสนใจ
“เจ้าจะไปเข้าใจได้อย่างไร? เจ้าเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานโหดเหี้ยมเลือดเย็นเท่านั้น!”
จ้าวหุบเขากัดฟันเอ่ยออกมา
หยาดเลือดหลั่งรินดั่งสายธาร คนของหุบเขาคงหลิงจำนวนมากสิ้นชีพลงไปอย่างน้อยก็เกินครึ่งด้วยน้ำมือของสิ่งมีชีวิตจากทะเลต้องห้าม
ตอนแรกนางต้องการจะติดต่อหลิงอิน แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น
เพราะนางรู้ดีว่าต่อให้แจ้งหลิงอินไป หลิงอินก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้ อีกทั้งตอนจบสุดท้ายอีกฝ่ายอาจต้องสิ้นชีพลงไปด้วย
และถึงหลิงอินจะสามารถสังหารสิ่งมีชีวิตจากทะเลต้องห้ามได้ แต่เบื้องหลังของมันยังมีทะเลต้องห้ามอยู่!
นางจะสามารถจัดการกับทะเลต้องห้ามทั้งหมดได้หรือ?
เก้าแดนต้องห้าม ดำรงอยู่มาช้านาน ทั้งลึกลับและน่าหวาดกลัว
แม้ว่าราชวงศ์อวี่ฮว่าจะเคยรวมโลกทั้งใบให้เป็นหนึ่งเดียว แต่ก็ยังคงกริ่นเกรงและไม่กล้าเข้าใกล้พื้นที่ของเก้าแดนต้องห้าม เช่นนั้นแล้วหลิงอินจะสามารถจัดการกับทั้งทะเลต้องห้ามได้อย่างไร
ภูมิหลังของหลิงอินไม่ธรรมดา อาจเป็นผู้อาวุโสโบราณจากยอดนิกาย
แต่มันจะมีประโยชน์อันใด?
ยอดนิกายนั้นทรงพลังอย่างน่าตกตะลึง แต่เมื่อเทียบกับเก้าแดนต้องห้ามแล้ว นางกลับคิดว่ามันยังคงห่างไกลกัน
หากจัดการเก้าแดนต้องห้ามได้จริง ๆ เก้าแดนต้องห้ามก็คงไม่มีทางอยู่ยงมาโดยตลอด ทั้งยังลึบลับเป็นอย่างยิ่ง
นางต้องการให้ทุกอย่างจบลงที่หุบเขาคงหลิง ไม่ต้องการให้ลุกลามไปมากกว่านี้
ยิ่งไม่ต้องการให้หลิงอินและยอดนิกายที่อยู่เบื้องหลังของนางต้องเผชิญหน้ากับทะเลต้องห้าม
สุดท้ายแล้ว นี่เป็นความผิดที่หุบเขาคงหลิงได้ก่อขึ้น
นางต้องการจะชดเชยความผิดพลาดนี้!
สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนกำลังจะจุติลงมา ทั้งโลกกำลังจะต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามครั้งใหญ่
หากหุบเขาคงหลิงหายไปก็ไม่ได้ส่งผลกระทบใด
ทว่าหลิงอินกับยอดนิกายที่อยู่เบื้องหลังนางไม่สามารถให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นได้
หลิงอินและยอดนิกายที่อยู่เบื้องหลังเป็นกำลังหลักในการต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวน จึงไม่อาจให้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาได้!
หากมีเรื่องเกิดขึ้น พวกเขาจะต่อกรกับสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนได้ลำบากยิ่งกว่าเดิม
แต่นางกลับไม่คาดคิดว่าสิ่งมีชีวิตจากแดนต้องห้ามได้ล่วงรู้ทุกอย่างตั้งแรกแล้ว!
นางต้องการจะแอบทำลายของวิเศษที่ติดต่อกับหลิงอินได้ แต่กลับถูกสิ่งมีชีวิตจากทะเลต้องห้ามขัดขวางและแย่งชิงไป
“ท่านไม่ควรมาที่นี่!”
จ้าวหุบเขามองไปทางหลิงอินก่อนจะตะโกนออกมา “ความผิดอย่างไรก็คือว่าผิด นี่คือผลที่พวกเราสมควรได้รับ แม้ตายก็ไม่เสียดาย! แต่ท่านไม่เหมือนกัน! ท่านมีความสำคัญอยากมากในการต่อกรกับอาณาจักรเทียนหยวน!”
“อาณาจักรเทียนหยวน?”
หลิงอินขมวดคิ้ว นางไม่รู้ว่าอาณาจักรเทียนหยวนคือสิ่งใด
ครั้งล่าสุดที่นางมาหุบเขาคงหลิง จุดประสงค์หลักของนางคือจักรพรรดิบุปผา ส่วนเรื่องอื่น ๆ นางกลับไม่ค่อยล่วงรู้มากนัก
ไม่ต้องพูดถึงอาณาจักรเทียนหยวนเลย กระทั่งยอดนิกายที่พูดถึงกัน นางเองก็ยังไม่รู้เรื่องราวอะไรมากนัก
“ท่านไม่รู้จักอาณาจักรเทียนหยวนอย่างนั้นหรือ?“
จ้าวหุบเขาตกตะลึง “ยอดนิกายที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้ท่านรู้หรือ? เจตจำนงฟ้าดินได้ส่งสัญญาณเตือนออกมา สิ่งมีชีวิตจากแดนเทียนหยวนกำลังพยายามหาทางบุกเข้ามายังโลกของเรา หายนะที่แทบกวาดล้างโลกครั้งสมัยโบราณกาลก็เกิดจากสิ่งมีชีวิตจากแดนเทียนหยวนที่กำลังจะกลับมาในไม่ช้า!”
หายนะที่แทบกวาดล้างโลกครั้งสมัยโบราณกาล?
หลินอินขมวดคิ้ว นางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา นางก็อยู่ในเมืองชิงซาน จำนวนผู้ฝึกตนที่นางติดต่อด้วยก็มีอยู่น้อยนิดจนนางไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในสมัยโบราณกาล
“ใช่แล้ว ที่ยอดนิกายเบื้องหลังท่านไม่ได้บอกท่าน ก็น่าจะเป็นเพราะกลัวท่านตื่นตระหนกเกินไป ศึกในครั้งนี้ยากยิ่งนัก โอกาสในการชนะของพวกเราน้อยนิดเป็นอย่างยิ่ง!”
จ้าวหุบเขาตะโกนออกมา “ในวันข้างหน้า ยอดนิกายที่อยู่เบื้องหลังท่านคงจะบอกพวกท่านทุกอย่าง ท่านรีบไปเถิด ในอนาคตท่านจะมีความสำคัญต่อโลกใบนี้มาก!”
นางยังคงเชื่อว่าหลิงอินมาจากยอดนิกาย
กระทั่งถึงตอนนี้นางก็ยังคงคิดว่าหลิงอินมาจากยอดนิกาย
เพราะนอกจากยอดนิกายแล้ว นางก็ไม่สามารถนึกเหตุผลอื่นว่า เหตุใดหลิงอินถึงได้ทรงพลังอย่างน่าหวาดหวั่นเพียงนี้
“ไม่ เจ้าคิดผิดแล้ว”
หลิงอินส่ายหัวเบา ๆ
ทุกสิ่งทุกอย่าง จ้าวหุบเขาล้วนคิดผิด
จ้าวหุบเขาคิดว่านางมาจากยอดนิกาย ซึ่งไม่ถูกสักนิด
จ้าวหุบเขาคิดว่านางไม่สามารถจัดการกับทะเลต้องห้าม นี่เองก็ผิด
จ้าวหุบเขาคิดว่าการเอาชนะอาณาจักรเทียนหยวนแทบจะเป็นไปไม่ได้ นี่เองก็ผิดเช่นกัน
นางไม่ได้มาจากยอดนิกายอะไรนั่น
อีกทั้งนางยังสามารถจัดการกับทะเลต้องห้ามได้!
ส่วนสงครามอันยากลำบาก?
ไม่สามารถต่อกรกับโลกเทียนหยวนได้?
ท่านเซียนอยู่บนโลกใบนี้ แล้วอาณาจักเทียนหยวนจะนับเป็นสิ่งใดได้?
พวกมันจะสามารถทำสิ่งใดได้?
ไม่ต้องพูดถึงท่านเซียนลงมือด้วยตัวเอง เพียงคนรอบกายท่านเซียน ก็ไม่ใช่ผู้ที่อาณาจักเทียนหยวนจะสามารถต่อกรได้แล้ว!
เมื่อคิดเช่นนั้นแล้ว ความคิดอีกมากมายก็ปรากฏตามขึ้นมาในใจนาง
ท่านเซียนสั่งสอนผู้คนไปไม่น้อย เป็นไปได้หรือไม่ว่าต้องการจะให้คนเหล่านี้ต่อกรกับสิ่งมีชีวิตจากแดนเทียนหยวน?
ความคิดเช่นนี้มีโอกาสเป็นไปได้มาก
ท่านเซียนเป็นผู้เมตตา ขนาดภัยร้ายที่เกิดขึ้นกับปุถุชนยังไม่อาจทนมองได้ แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะปล่อยให้สิ่งมีชีวิตจากแดนเทียนหยวนสังหารผู้คนบนโลกใบนี้ได้ตามอำเภอใจ!
นอกจากนี้ นางยังจำหยกคุ้มภัยที่ท่านเซียนมอบให้ในวันนี้ได้
การมอบหยกคุ้มภัยให้ หรือว่าท่านเซียนจะล่วงรู้เหตุการณ์บางอย่างล่วงหน้า? ท่านเซียนจึงได้มอบหยกคุ้มภัยให้เพราะเกรงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกนาง
คนอื่นนางไม่รู้ แต่สำหรับตัวนางกลับตระหนักขึ้นได้
ท่านเซียนมอบหยกคุ้มภัยให้นาง ไม่ใช่เพียงเพื่อปกป้องนาง แต่เพื่อให้นางสามารถต่อกรกับทะเลต้องห้ามได้ใช่หรือไม่?
ทะเลต้องห้ามทั้งน่าหวาดกลัวและลึกลับ อยู่ยงตลอดกาล ไม่มีวันตายหรือล่มสลาย
แม้นางจะมีฉินเฟิ่งหมิงและคันศรอยู่ในมือ แต่ก็เป็นเรื่องลำบากในการต่อกรกับทั้งทะเลต้องห้าม
ท่านเซียนได้มอบหยกคุ้มภัยให้นาง เห็นได้ขัดว่าเพื่อให้นางปลอดภัยไม่ต้องห่วงพะวง!
‘ท่านเซียน!’
ความอบอุ่นแล่นขึ้นมาในใจนางจนสะท้าน
ท่านเซียนพานางไปภาคกลาง เพื่อให้จัดการเรื่องราวของเสี่ยวหยา ซ้ำยังมอบหยกคุ้มภัยให้ปกป้องนาง ทำให้นางจะได้ไม่ต้องกลัวการคุกคามจากทะเลต้องห้าม
ท่านเซียนเป็นห่วงนางมาก!
บทที่ 355
“คิดผิดหรือ?”
จ้าวหุบเขาคิดไม่ถึงว่าหลิงอินจะให้คำตอบเช่นนี้
ผิดตรงไหนกัน?
หรือว่าหลิงอินไม่ได้มาจากยอดนิกาย?
ทว่าหลิงอินไม่เอ่ยวาจาและไม่อธิบายให้มากความ
แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธสถานะสมาชิกยอดนิกายเช่นกัน
การปฏิเสธสถานะสมาชิกยอดนิกายรังแต่จะเพิ่มความยุ่งยากขึ้นไปอีก พาให้ผู้อื่นคาดเดาถึงฐานะของนางไปต่าง ๆ นานา แล้วถ้าโยงไปถึงท่านเซียนคงไม่ดีแน่
มีฐานะสมาชิกยอดนิกายบังหน้าก็ดีเหมือนกัน
นางมิได้พูดจา แต่สิ่งมีชีวิตจากทะเลต้องห้ามตนนั้นพูดขึ้นแทน
“เจ้าคิดผิด”
สิ่งมีชีวิตจากทะเลต้องห้ามหัวเราะ หันมองจ้าวหุบเขาพลางเอ่ย “สายน้ำของอาณาจักรเทียนหยวนลึกล้ำกว่าที่พวกเจ้าคิดมากนัก! พวกเจ้าคิดว่ามันเป็นเพียงอาณาจักรระดับกลาง แท้จริงแล้วสิ่งที่หนุนหลังมันอยู่ชวนสยดสยองเป็นที่สุด!”
ความเข้าใจที่คนนอกมีต่ออาณาจักรเทียนหยวนนั้นผิวเผิน ทว่าทะเลต้องห้ามไม่เหมือนกัน พวกมันรู้จักอาณาจักรเทียนหยวนในเชิงลึกกว่า
จุดประสงค์ของอาณาจักรเทียนหยวนมิได้ธรรมดาแค่นั้น
แต่ดูเหมือนมันไม่อยากพูดสิ่งใดไปมากกว่านี้
พูดจบ มันก็หันไปมองหลิงอิน “ตามข้าไปเถิด จ้าวสมุทรเชิญเจ้าไปที่ทะเลต้องห้าม”
“เชิญข้าไป ข้าก็ต้องไปหรือ?”
หลิงอินมองสิ่งมีชีวิตจากทะเลต้องห้ามพลางเอ่ย “ข้าอยากเชิญเขามาเหมือนกัน เจ้าไปเชิญเขามาที่นี่ดีหรือไม่”
“ข้ามีความเกรงใจ ไม่อยากลงมือกับเจ้า หวังว่าเจ้าจะมองสถานการณ์ตรงหน้าให้ออก อย่าหาเรื่องใส่ตัวเลย”
สิ่งมีชีวิตจากทะเลต้องห้ามกล่าว
“ขออภัย ข้าไม่มีความเกรงใจต่อเจ้า!”
หลิงอินชูมือ คันศรใหญ่คันหนึ่งพลันปรากฏบนมือนางทันที นางค้อมตัวดึงคัน ยิงศรไปยังสิ่งมีชีวิตจากทะเลต้องห้ามทันที!
สิ่งมีชีวิตจากทะเลต้องห้ามตนนี้ปลิดชีพผู้คนในที่แห่งนี้ไปมาก หุบเขาคงหลิงมีโลหิตหลั่งไหลเป็นลำธาร นางไม่มีทางปล่อยสิ่งมีชีวิตจากทะเลต้องห้ามตนนี้ไว้แน่!
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!
นางยิงศรรัว แต่ละศรล้วนน่าประหวั่นพรั่นพรึง แฝงไว้ด้วยพลังอันน่าหวาดหวั่น วาดผ่านรัตติกาล ห้ำหั่นตรงไปข้างหน้า!
“ต้องลงมือให้ได้เลยหรือ”
สิ่งมีชีวิตจากทะเลต้องห้ามมีสีหน้าราบเรียบ กระทั่งไม่เกรงกลัวศรทั้งหลายที่ยิงมาหามัน
หมอกทมิฬชวนพิศวงเหลือคณาไหลเวียนอยู่รอบกายของมัน จำแลงออกมาเป็นฝ่ามือใหญ่มากมาย คว้าศรทั้งหมดที่ยิงเข้ามากำไว้ในมือ
ปัง! ปัง! ปัง!
จากนั้นมือใหญ่ของมันก็ออกแรง ศรทุกดอกระเบิดแหลกลาญในพริบตา กลายเป็นเศษสะเก็ดแสง เมื่อมือดำแบออกมา เศษเหล่านั้นก็กระจายลงพื้น
พลังของมันกล้าแกร่งมาก เหนือกว่าจักรพรรดิบุปผาอย่างเห็นได้ชัด มิฉะนั้นมันคงไม่กล้าอาละวาดตามอำเภอใจที่หุบเขาคงหลิงเป็นแน่ ถึงอย่างไรจักรพรรดิบุปผาก็ยังสิ้นชีพในมือหลิงอินมาแล้ว
หญิงสาวขมวดคิ้ว ทะเลต้องห้ามนี่ช่างพรั่นพรึงยิ่งนัก
พลังรบระดับนี้ แม้กระทั่งในยุคโบราณยังมีอยู่น้อยมาก การที่ทะเลต้องห้ามมีกำลังรบระดับนี้ในยุคนี้นับเป็นเรื่องน่าตกใจเหลือแสน!
“ไปได้แล้ว!”
สิ่งมีชีวิตจากทะเลต้องห้ามมิได้พูดสิ่งใดไปมากกว่านี้ มือใหญ่สีดำข้างหนึ่งคว้าไปทางหลิงอินอย่างรวดเร็ว
“คิดมากไปแล้ว!”
หลิงอินหัวเราะเสียงเย็น นางดึงคันศรอีกครั้ง ศรอาบแสงดอกใหญ่พลันปรากฏ ยิงมือใหญ่สีดำข้างนั้นระเบิดดังตู้ม!
“หืม!?”
ดวงตาของสิ่งมีชีวิตจากทะเลต้องห้ามหรี่ลง พลังจากศรนี้ของหลิงอินเกินความคาดหมายของมันยิ่ง
ศรนี้ทรงพลังและน่ากลัวกว่าพลังของศรเมื่อครู่ขึ้นไปอีก
เพียงแต่นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน พลังที่หลิงอินปลดปล่อยออกมาได้แข็งแกร่งขึ้นแล้วหรือ?
หนก่อนที่มันมาสืบเสาะก็ได้รับทราบทุกอย่างแล้ว
ครานั้น มันแทรกซึมเข้ามาในหุบเขาคงหลิงโดยตรง จับตัวผู้อาวุโสคนหนึ่งของหุบเขาคงหลิงไว้โดยมิให้ผู้ใดรู้ตัว แล้วค้นวิญญาณของผู้อาวุโสหุบเขาคงหลิงผู้นั้น จึงรับทราบเรื่องราวทุกอย่าง
ยามหลิงอินสังหารจักรพรรดิบุปผามิได้หวังพึ่งพลังเพียงอย่างเดียว พลังของนางไม่สามารถบดขยี้จักรพรรดินีได้ นางค่อย ๆ ผลาญพลังของจักรพรรดิบุปผาไปเรื่อย ๆ จวบจนพลังของจักรพรรดิบุปผาสลายจนสิ้นถึงปลิดชีพจักรพรรดิบุปผาได้
ทว่าพลังจากศรนี้ที่หลิงอินยิงออกมา เหนือกว่ายามนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่ต้องมีข้อกังขาใดอีก ช่วงหลายวันที่ผ่านมา หลิงอินต้องได้รับการยกระดับพลังมหาศาลเป็นแน่!
หากนางสามารถปล่อยพลังได้ระดับนี้ในครานั้น นางย่อมไม่จำเป็นต้องใช้วิธีผลาญพลังของจักรพรรดิบุปผาก็สามารถปลิดชีพจักรพรรดิบุปผาได้สบาย
มันไม่อยากจะเชื่อ!
เวลาไม่กี่วันกลับก้าวหน้าได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ใช่แล้ว!
เวลาแค่ไม่กี่วันสามารถก้าวหน้าได้ถึงเพียงนี้แหละ!
ไม่กี่วันก่อน หลิงอินยังอยู่ในขอบเขตราชันเทวา ทว่าบัดนี้ หลิงอินบรรลุเป็นนักบุญแล้ว!
มิใช่กึ่งนักบุญ หากแต่เป็นนักบุญอย่างแท้จริง!
หลายวันมานี้นางใช้ชีวิตอยู่กับท่านเซียนมาตลอด ท่องเที่ยวชมทิวทัศน์ไปทั่วภาคกลาง ยามท่านเซียนได้เห็นทัศนียภาพอันงดงามก็ประพันธ์บทกวีออกมามากมาย
ในบทกวีเหล่านั้นมีปรมัตถ์แห่งมหาเต๋าอันน่าทึ่งแฝงอยู่ หลังนางได้ฟังแล้วขบคิดอย่างถี่ถ้วน ก็ได้รับผลประโยชน์มหาศาล ความเข้าใจที่มีต่อมหาเต๋านั้นทวีคูณไปอีกหลายขั้น!
ขอบเขตพลังของนางบรรลุรวดจากขั้นราชันเทวาจนถึงขั้นยอดเทวา แล้วก้าวสู่ขอบเขตกึ่งนักบุญ จนท้ายที่สุดพ้นจากกึ่งนักบุญกลายเป็นนักบุญอย่างแท้จริง!
การยกระดับของขอบเขตนั้นเป็นเรื่องรอง
เรื่องสำคัญที่สุดคือความเข้าใจที่นางมีต่อมหาเต๋านั้นยกระดับขึ้นมหาศาล!
พูดอย่างไม่เกินจริง ด้วยระดับความเข้าใจในมหาเต๋าที่นางมีในตอนนี้ เทียบเคียงกับระดับมหาจักรพรรดิได้อย่างแน่นอน!
และจากนี้ไป ความเร็วในการไต่ระดับของนางจะยิ่งไวขึ้นอีก!
นางได้กินอาหารสูงส่งมากมายจากท่านเซียน ในกายมีพลังสั่งสมอยู่เต็มเปี่ยม ก่อนนี้ขอบเขตของนางต่ำเกินไป พลังที่ดูดซับได้จึงมีจำกัด ซ้ำยังเชื่องช้ามากอีกด้วย
ทว่าคล้อยตามขอบเขตที่เพิ่มพูนของนาง พลังที่นางดูดซับได้ก็มากขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งยังไวขึ้นด้วย!
ผนวกกับความเข้าใจที่มีต่อมหาเต๋าอยู่ในขั้นมหาจักรพรรดิ หลังจากนี้ นางสามารถยกระดับตนเองจนถึงขอบเขตมหาจักรพรรดิได้อย่างไร้อุปสรรค!
แล้วยังใช้เวลาไม่นานอีกด้วย!
พลังของกายเนื้อ หัวใจเต๋า และวิญญาณของนางล้วนนำโด่งไปไกล ไม่ถึงขั้นทัดเทียมมหาจักรพรรดิ แต่ก็ห่างไม่มากนัก
การบรรลุมหาจักรพรรดิมิใช่เรื่องยากสำหรับนางอีกต่อไปแล้ว!
ความเข้าใจในมหาเต๋าก้าวสู่ขั้นมหาจักรพรรดิ ช่วยให้นางได้ประโยชน์มหาศาล วิถีแห่งฉินและวิถีแห่งธนูของนางล้วนก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก!
มิหนำซ้ำมันยังทำให้นางสำแดงฤทธิ์ของฉินเฟิ่งหมิงและคันศรวิเศษได้ทรงพลังขึ้นอีกด้วย!
กล่าวโดยไม่เกินจริง นางในตอนนี้ปลิดชีพจักรพรรดิบุปผาในครานั้นได้สบาย!
“ข้าบรรเลงเพลงฉินให้เจ้าฟังแล้วกัน”
ร่างของหลิงอินเอนไหว นางปล่อยอวตารร่างหนึ่งพุ่งออกไป และเรียกฉินเฟิ่งหมิงในเวลาเดียวกัน
ร่างอวตารของนางดีดฉินบรรเลง พลานุภาพของท่วงทำนองแห่งฉินสำแดงออกมา ยังคงเป็นบทเพลง ‘เซียนโบยบินในห้วงนภา’!
เงาคล้ายนางเซียนเงาหนึ่งหลอมรวมขึ้นจากเพลงฉิน ก่อนจะตวัดกระบี่ยาวสีเขียวพุ่งเข้าไปหาสิ่งมีชีวิตจากทะเลต้องห้าม
ร่างต้นของหลิงอินค้อมตัวดึงคัน ยิงศรขนปีกออกไปศรแล้วศรเล่า จู่โจมสิ่งมีชีวิตจากทะเลต้องห้ามควบคู่กับเงาคล้ายนางเซียน!
ตอนนี้สิ่งมีชีวิตจากทะเลต้องห้ามไม่อาจรักษาความสุขุมได้อีกต่อไป
มันคิดไม่ถึงว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ สถานการณ์เริ่มดำเนินไปในทางที่มันเสียเปรียบ
พลังของฉินวิเศษและคันศรวิเศษปะทุออกมาเต็มกำลัง พุ่งขนาบกันเข้าไป สะกดข่มอย่างยิ่งยวด!
“เจ้าคิดกระไรอยู่! ไม่ว่าเจ้าน่าทึ่งปานใด เจ้าก็ไม่อาจต่อกรกับทะเลต้องห้ามได้!”
มันคำรามกราดเกี้ยว พลังปราณน่าพรั่นพรึงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะปะทุพลังออกมาเหมือนกัน และปล่อยพลังกับวิชาทั้งหมดที่มันมีออกมา!
ไม่ว่าอย่างไร มันก็ต้องนำตัวหลิงอินกลับไปยังทะเลต้องห้ามให้จงได้!