331-335

บทที่ 331

“เหตุใดถึงไปอยู่อาณาจักรนั้นได้กัน!”

มัจฉาหยินหยางตัวใหญ่กระสับกระส่ายจิตใจไม่สงบ เก้าอาณาจักรตอนบนพยายามแยกตัวออกจากอาณาจักรแห่งนั้น บัดนี้กลับจะเข้าไปพัวพันกับอาณาจักรนั้นอีกครั้ง?

สมาชิกที่แข็งแกร่งหลายคนในเผ่ามัจฉาหายตัวไป และไม่ใช่แค่เผ่ามัจฉาหยินหยางเท่านั้น


มันรู้ด้วยว่าเก้าอาณาจักรตอนบนเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น สมาชิกของเผ่ามัจฉาทรงพลังหายตัวไปอย่างลึกลับ...

“ปอเอ๋อร์ปรากฏตัวในอาณาจักรนั้น มีความเป็นไปได้ว่าสมาชิกเผ่ามัจฉาอื่นที่หายไปก็อยู่ในอาณาจักรนั้นเช่นกัน..."

มันกล่าวเสียงต่ำ

“ปอเอ๋อร์ตายแล้ว ผู้ใดเป็นคนทำ? อาณาจักรแห่งนั้นกำลังเกิดหายนะขึ้นใช่หรือไม่”

ประกายแสงวาบวาบในดวงตามัจฉาคู่นั้น “ลงมือกับเก้าอาณาจักรตอนบน นี่กำลังพยายามล่อพวกเราไปที่นั่นอย่างนั้นหรือ!?”

ความสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่างมันกับปอเอ๋อร์ถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง มันรู้ดีว่าลูกชายของมันตายไปแล้ว

แน่นอนว่ามันโกรธมาก ทั้งยังรู้สึกไม่ยินยอม แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปในอาณาจักรนั้นตามใจชอบ

อาณาจักรนั้นทำให้มันหวาดกลัวเกินไป!

“อาณาจักรเทียนหยวนต้องการทำอะไร? กล้าดีอย่างไรไปโจมตีอาณาจักรนั้น! อาณาจักรเทียนหยวนไม่รู้ประวัติอาณาจักรนั้นเลยหรือ... เป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจมีคนอยู่เบื้องหลัง!?”

อาณาจักรนั้นเหนือสามัญมากนัก และมันก็ให้ความสนใจกับอาณาจักรนั้นตลอด

มันรู้ว่าอาณาจักรเทียนหยวนตอนนี้กำลังคิดจะโจมตีอาณาจักรนั้นอยู่

ซ้ำยังรู้ด้วยว่าอาณาจักรเทียนหยวนเคยบุกรุกรานไปแล้ว ทว่าต่อมาก็ต้องถอนทัพกลับ


ไม่ใช่แค่มันที่ให้ความสนใจกับอาณาจักรนั้น แต่อาณาจักรชั้นนำอื่น ๆ ก็ให้ความสนใจเช่นกัน

คราแรกที่สิ่งมีชีวิตอาณาจักรเทียนหยวนโจมตีอาณาจักรนั้น พวกเขายิ่งให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพราะอยากรู้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันของอาณาจักรนั้นเป็นอย่างไรบ้าง

น่าเสียดายที่สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรเทียนหยวนไม่แข็งแกร่งพอ ไม่นานพวกมันก็ถูกขับไล่ออกมา

ครั้งนี้สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนจะโจมตีอาณาจักรนั้นอีกครั้ง พวกเขาเลยยิ่งสนใจมากขึ้น


แต่พวกเขาไม่แน่ใจว่าอาณาจักรเทียนหยวนมีจุดประสงค์ใดถึงได้เลือกรุกรานอาณาจักรนั้น

เพียงแค่ต้องการผนวกดินแดน หรือกองกำลังเบื้องหลังของพวกมันต้องการบางสิ่งบางอย่างจากอาณาจักรนั้น?


พวกเขาไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมด้วย แต่เลือกที่จะให้ความสนใจอย่างเงียบ ๆ

ความล้ำลึกในอาณาจักรนั้นมากเกินไป เปิดเผยความลับอย่างหนึ่งก็อาจเป็นความลับสะเทือนสวรรค์ได้!


“เฮ้อ รออาณาจักรเทียนหยวนบุกเข้าไป ดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน!"

มัจฉาหยินหยางตัวใหญ่หัวเราะเย้ยหยันหลายครา ลูกชายของมันต้องไม่ตายเปล่า!

มันต้องการให้อาณาจักรเทียนหยวนลงมือก่อน จากนั้นมันค่อยวางแผนต่อ!


...


ณ แดนหยิน เหยียนโจว ภาคกลาง

หลายวันมานี้ พวกหลี่จิ่วเต้าพากันเที่ยวชมทิวทัศน์ใกล้ ๆ เขาหยงหมิงหมดแล้ว และพวกเขาก็พร้อมที่จะออกเดินทางไปยังยอดเขาท่องนภาแล้วด้วย

สัตว์อสูรทั้งเก้าตนวิ่งเข้ามาลากรถอย่างรวดเร็ว พวกมันภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ช่างโชคดีนักที่ได้ลากรถให้ท่านเซียน!

“หลายวันมานี้ ขอบคุณท่านที่ดูแลพวกข้าเป็นอย่างดี”

หลี่จิ่วเต้ากล่าวกับผู้อาวุโสเก้าตระกูลซางด้วยรอยยิ้ม

“นายท่านไม่ต้องขอบคุณขอรับ นี่เป็นเรื่องสมควรต่างหาก!”

ผู้อาวุโสเก้าตอบกลับ บนใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มเปรมปรีดิ์

ได้ดูแลท่านเซียน แล้วยังได้กินเนื้อฉงฉีตุ๋นฝีมือท่านเซียนอีก ชีวิตของเขาไม่สูญเปล่าแล้ว!

หลี่จิ่วเต้าเอ่ยลาผู้อาวุโสเก้าด้วยรอยยิ้ม แล้วเขากับเซี่ยเหยียนก็ขึ้นรถม้าจากไป

บนยอดเขาใกล้กับเขาหยงหมิง หานเยว่กับแม่เฒ่าหานยืนอยู่บนยอดเขา มองรถลากกลางอากาศ

ใบหน้าของพวกเขาปรากฏรอยยิ้ม

“พวกเขาไปแล้ว!”

แม่เฒ่าตระกูลหานติดต่อผู้นำตระกูลหาน ก่อนจะส่งข่าวให้ผู้นำตระกูลหาน

...

ณ ยอดเขาท่องนภา

“พวกเขากำลังมา”

ผู้นำตระกูลหานได้รับข่าวจากแม่เฒ่า

ด้านข้างเขา มีชายชราคนหนึ่งดูราวกับซากศพยืนอยู่ ทั่วทั้งร่างไร้พลังชีวิต เห็นได้ชัดว่ากำลังจะตาย อายุขัยของเขาเหลืออยู่ไม่มากแล้ว

“เช่นนั้นก็ดี”

ชายชราซากศพพยักหน้า เขาคือผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลหาน เป็นจ้าวสูงสุดผู้มีอายุตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน

"ครั้งนี้ห้ามให้มีอะไรผิดพลาด!”

บรรพชนเผ่าฉงฉีก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน

พวกเขาเตรียมสุดยอดค่ายกลสังหารไว้บนยอดเขาท่องนภา ซ้ำยังมีจ้าวสูงสุดสองคนอยู่ข้างกาย ไม่ว่าเซี่ยเหยียนจะแข็งแกร่งเพียงใด ครั้งนี้นางจะต้องตกหลุมพลางพวกเขา!

“ดี!”


ผู้นำตระกูลหานหัวเราะพลางกล่าว “แผนดำเนินไปอย่างราบรื่น นี่เป็นสัญญาณที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงตอนนั้นพวกเราทั้งหมดคงจัดการหายนะได้สำเร็จแล้ว!"

“ไปกันเถอะ”

ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานกล่าวกับบรรพชนเผ่าฉงฉี พวกเขาออกจากยอดเขาท่องนภามาอยู่ยอดเขาอื่น และรอพวกหลี่จิ่วเต้าขึ้นยอดเขาท่องนภาอย่างเงียบ ๆ

อีกด้านหนึ่ง สัตว์อสูรทั้งเก้าตนกำลังลากรถผ่านหมู่เมฆไปอย่างรวดเร็ว

ประมุขศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนเป็นคนนำทาง เขาแนะนำสถานที่ไปพลาง ๆ ไม่นานพวกเขาทั้งหมดก็มาถึงยอดเขาท่องนภา

ยอดเขาท่องนภาสูงใหญ่ตระหง่านเหนือหมู่เมฆา มองจากระยะไกลนับว่างดงามยิ่งนัก

สัตว์อสูรทั้งเก้าตนลากรถมาจอดที่ตีนเขาท่องนภา ไม่ได้ตรงไปยังยอดเขาท่องนภาแต่อย่างใด


นี่เป็นสิ่งที่หลี่จิ่วเต้าเอ่ยขอ


การปีนเขาถือเป็นกิจกรรมน่าหรรษาอย่างหนึ่ง สามารถเพลิดเพลินไปกับการชมทิวทัศน์ได้ แม้การตรงไปยังยอดเขาจะสะดวกและง่ายดาย แต่กลับทำให้ความน่าสนใจลดน้อยลง

ถึงอย่างไรพวกเขาก็มีเวลาว่างอยู่มาก ดังนั้นหลี่จิ่วเต้าจึงเสนอให้เดินเท้าและปีนภูเขา

“เหตุใดถึงลงตรงเชิงเขา?”

บนยอดเขาอีกลูก ผู้นำตระกูลหานขมวดคิ้วพร้อมกล่าว “พวกเขาคงไม่ได้รู้ว่ามีค่ายกลสังหารที่พวกเราจัดเตรียมไว้บนยอดเขาท่องนภาใช่หรือไม่?”

เพราะเห็นว่ารถลากไม่ได้ตรงไปยังยอดเขาท่องนภา แต่ลงตรงเชิงเขาแทน เขาจึงกังวลว่าค่ายกลสังหารที่ถูกจัดเตรียมไว้จะถูกค้นพบ

“กลัวอะไรกัน!”

ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานดุเสียงเบาและกล่าวว่า “ค่ายกลสังหารถูกจัดเตรียมไว้อย่างระมัดระวังโดยข้ากับสหายเต๋าของข้า ถึงขนาดใช้ทรัพยากรล้ำค่าหายากยิ่ง เช่นนี้แล้วมันจะถูกเปิดเผยอย่างง่ายดายได้อย่างไร!”

“ถูกต้อง อย่ากังวล! มันไม่ง่ายที่จะเจอเลย… หากพวกเขาหาเจอได้อย่างง่ายดาย พวกเราก็ไม่ต้องอยู่ที่นี่ แต่จากไปได้เลย เพราะนั่นไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะรับมือได้แล้ว”

บรรพชนเผ่าฉงฉีกล่าว

เขากับผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานจัดเตรียมที่นี่เป็นเวลาหลายวัน ทรัพยากรทั้งหมดที่ใช้ล้วนแต่เป็นทรัพยากรระดับสูง แล้วมันจะถูกหาเจออย่างง่ายดายได้อย่างไร

หากพวกเขาถูกค้นพบได้ง่ายดายปานนั้น ก็คงเป็นอย่างที่เขาบอกก็แค่จากไป ไม่จำเป็นต้องลงมืออะไรทั้งสิ้น


เพราะหากค้นพบค่ายกลสังหารได้ง่ายดายจริง ๆ นั่นหมายความว่าฝ่ายตรงข้ามไม่อาจจินตนาการได้แล้ว กระทั่งห่างชั้นเกินกว่าจะรับมือได้

“หาไม่เจอจริง ๆ! พวกเขาเดินเข้าไปแล้ว!”

ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานดวงตาเป็นประกาย เขาเห็นพวกหลี่จิ่วเต้าและคนอื่น ๆ ลงจากรถม้าและเดินเข้าไปในยอดเขาท่องนภาแล้ว


“ลงมือเลย?”

เขาว่าต่อ

“อย่ารีบร้อน ตอนนี้พวกเขาเพิ่งเข้ามา ยังอยู่แค่ตรงขอบค่ายกล รอให้พวกเขาเข้าไปลึกก่อนค่อยลงมือ”

ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานกล่าวอย่างใจเย็น

ในเมื่อพวกหลี่จิ่วเต้ายังหาค่ายกลไม่พบ เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนลงมือ รอให้อีกฝ่ายเข้าไปลึกอีกหน่อย พอถึงตรงกลางค่ายกลสังหารเมื่อใด ค่อยใช้พลังค่ายกลสังหารสูงสุดจัดการพวกเขา

“ในเมื่อพวกเขาเข้าค่ายกลมาแล้ว พวกเราก็วางใจเถอะ พวกเขาไม่มีทางหนีพ้นไปได้แน่!”

บรรพชนเผ่าฉงฉีกล่าวด้วยรอยยิ้ม

บทที่ 332

หนทางขึ้นยอดเขาท่องนภานั้นทั้งสูงและอันตราย ทว่าทิวทัศน์ระหว่างทางนับว่าโดดเด่น เต็มไปด้วยหินแปลก ประหลาดเรียงราย พืชพรรณสีเขียวสูงตระหง่าน สร้างบรรยากาศชวนดื่มด่ำเป็นอย่างยิ่ง


“ไม่เลว ไม่เลว”


หลี่จิ่วเต้าเอ่ยชมจากใจจริง


โชคดีที่พวกเขาไม่ได้ตรงไปบนยอดเขาทันที ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงจะอดเพลิดเพลินไปกับวิวทิวทัศน์อันงดงามแล้ว


ขณะเดียวกันบนยอดเขาอีกลูก ผู้นำตระกูลหานกำลังก่นด่าในใจไม่หยุด จะช้าเกินไปแล้ว! เดินทางไปหยุดแวะข้างทางไป เมื่อไหร่จะถึงยอดเขาเสียที!


ที่ยอดเขาคือตำแหน่งศูนย์กลางของค่ายกลสังหาร


ก่อนหน้านี้พวกเขาคาดว่าพวกหลี่จิ่วเต้าจะขึ้นไปบนยอดเขาโดยตรง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเดินเท้าขึ้นไป จึงวางค่ายกลสังหารโดยมีจุดศูนย์กลางอยู่บนยอดเขา


เวลาค่อย ๆ คล้อยผ่าน หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมงในที่สุดพวกหลี่จิ่วเต้าก็เดินทางถึงยอดเขา


“เยี่ยมมาก! ท่านผู้อาวุโสลงมือได้เลย!”


หลังจากเห็นพวกหลี่จิ่วเต้าขึ้นไปถึงบนยอดเขาแล้ว ผู้นำตระกูลหานก็กล่าวออกมากับผู้อาวุโสสูงสุดทันทีหลังจากผ่านการเฝ้ารออันน่าเบื่อหน่าย


“ลงมือ!”


ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานทวนคำ ใช้สองมือประทับตรา ต้องการจะเปิดค่ายกลสังหารบนยอดเขาท่องนภา


แต่เพียงไม่นาน สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็น...สับสนงุนงง!


ใช่แล้ว สีหน้าสับสนงุนงงง!


เขาวาดค่ายกลลงไปเสร็จสิ้นแล้ว แค่กระตุ้นค่ายกลสังหารบนยอดเขาท่องนภาก็ควรจะเริ่มทำงานขึ้น


แต่เหตุใดจึงค่ายกลสังสารจึงไม่มีการเคลื่อนไหว!?


“ผู้อาวุโส ท่านลงมือแล้วหรือยัง?”


ผู้นำตระกูลหานมองไปทางผู้อาวุโสสูงสุดด้วยความสงสัย


บรรพชนเผ่าฉงฉีเองก็มองไปทางผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหาน ภายในใจเอ่ยออกมาว่าเจ้ามัวทำอะไรอยู่เสียนาน? ไม่เห็นจะมีอะไรเกินขึ้นสักนิด!


หากมันไม่เห็นแก่หน้าผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานแล้วละก็ มันคงพูดออกมาเป็นคำแล้ว!


ผู้อาวุโสสูงสุดหน้าแดงก่ำด้วยความรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก


“ข้าอาจหลับใหลมานานเกินไป จนจำขั้นตอนประทับตราผิดไป ให้ข้าลองอีกครั้ง”


เขากล่าวออกมา


บรรพชนเผ่าฉงฉีไม่ได้เชี่ยวชาญในเรื่องค่ายกล ต่างกับเขาที่ศึกษาในด้านนี้อย่างลึกซึ้ง


ค่ายกลในครั้งนี้ เขาจึงรับหน้าที่หลักในการวางค่ายกล ส่วนบรรพชนเผ่าฉงฉีมีหน้าที่ในการสนับสนุนเขา


หลังจากการจบแล้ว เขาก็กระตุ้นค่ายกลขึ้นมาอีกครั้ง


“ท่านผู้อาวุโส?”


เมื่อเห็นผู้อาวุโสสูงสุดหยุดนิ่งไป ผู้นำตระกูลหานก็ถามออกมาด้วยความสงสัย


บนยอดเขาท่องนภายังคงไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวใด...


มุมปากบรรพชนเผ่าฉงฉีอดแอบกระตุกขึ้นมาไม่ได้


มันเอ่ยในใจว่าเสียแรงที่ใช้เวลาวางค่ายกลไปเสียตั้งครึ่งค่อนวัน!


ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานช่างไม่อาจเชื่อถือได้!


“อีกครั้ง!”


ผู้อาวุโสสูงสุดใช้สองมือประทับตรา พร้อมตะโกนออกมา “เปิด!”


ผู้นำตระกูลหานและบรรพชนเผ่าฉงฉีมองตรงไปยังยอดเขาท่องนภา


ทว่าบนยอดเขายังคงไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใด ๆ!


สีหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดกลายเป็นย่ำแย่ ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าข้อผิดพลาดอยู่ตรงไหน!


เขาทำสัญลักษณ์ขึ้นมาหลายรูปแบบ ทุกรูปแบบล้วนเป็นการเปิดค่ายกล ทว่ากลับยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวใด!


“ท่านผู้อาวุโส เป็นไปได้ไหมว่าค่ายกลที่วางเอาไว้บนยอดเขาท่องนภาจะมีข้อผิดพลาด?”


ผู้นำตระกูลหานกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงต่ำ


“น่ารำคาญ หยุดพูดไปเสีย! เจ้าเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระอยู่ข้าง ๆ ทำให้ข้ารำคาญจนทำผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า!”


ผู้อาวุโสสูงสุดตบผู้นำตระกูลหานจนกระเด็นไปอีกทาง แล้วกล่าวออกมาอย่างฉุนเฉียว


ทว่าครู่ต่อมาภายในใจของเขาก็เกิดความรู้สึกผิดขึ้นมา


หรือว่าค่ายกลบนยอดเขาท่องนภาจะมีข้อผิดพลาดอยู่จริง ๆ!


ค่ายกลนี่เป็นของเขา อีกทั้งตัวเขาเองยังมีหน้าที่หลักในการรับผิดชอบ...


เพื่อจัดเตรียมค่ายกลนี้ บรรพชนเผ่าฉงฉีไม่เพียงแต่จะต้องใช้ทั้งความพยายามและเวลาเท่านั้น ยังต้องนำวัตถุดิบหายากออกมาจำนวนมาก


หากมีข้อผิดพลาดจริง บรรพชนเผ่าฉงฉีจะไม่หมดหวังในตัวเขาเลยหรือ?


หลังจากนั้นเขาก็หวนนึกถึงตราที่ใช้เปิดการทำงานของค่ายกลอีกหลายรูปแบบ หวังจะสามารถเปิดการทำงานของค่ายกลสังหารบนยอดเขาท่องนภา


“...”


ผู้นำตระกูลหานที่โดนตบกระเด็นไปอีกทางรู้สึกอัดอั้นตันใจเป็นอย่างมาก


เป็นเขาที่พูดมากอะไรกัน?


ทุกครั้งที่เขาพูดก็พูดออกมาหลังจากที่ผู้อาวุโสสูงสุดประทับตราเสร็จแล้วไม่ใช่หรือ?


ไฉนการล้มเหลวในครั้งนี้ถึงเกี่ยวข้องกับเขา!


เช่นนั้นก็ไม่พูดแล้ว!


สักคำหนึ่งข้าก็จะไม่พูดออกมา!


ผู้นำตระกูลหานเดินกลับไปที่เดิม พร้อมกับปากที่ปิดแน่นสนิท


แต่ผู้ใดจะไปรู้ว่า ทันทีที่เขาเดินไปถึง กลับถูกผู้อาวุโสสูงสุดตบเข้าอีกครั้งจนกระเด็นกลับไปอยู่ที่เดิม


“???”


ผู้นำตระกูลหานอัดอั้นตันใจเป็นอย่างมาก เขาทำอะไรผิดอีก?


คราวนี้เขายังไม่ทันได้พูดอะไรออกมาสักคำเลยนะ!


“เจ้าจะเดินเผ่นพ่านทำไม! เสียงฝีเท้าของเจ้ารบกวนข้า!”


ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวออกมาอย่างดุดัน


คราวนี้ภายในใจเขายิ่งรู้สึกผิด...


มารดามันเถอะ ดูเหมือนว่าจะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นกับค่ายกลบนยอดเขาท่องนภาจริง ๆ


เขาใช้รูปแบบการประทับตราทั้งหมดเท่าที่คิดได้ออกมาแล้ว ทว่าบนยอดเขาท่องนภาก็ยังคงไร้การเคลื่อนไหว!


“ข้าหรือ!!!”


ผู้นำตระกูลหานกราดเกรี้ยวขึ้นมาในทันที ภายในแววตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง


อะไรอะไรก็ข้า!


มารดามันเถอะ!


เขาเพิ่งเคยจะได้ยินเป็นครั้งแรกว่าเสียงฝีเท้าสามารถรบกวนการประทับตรา!


เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการโยนความผิดให้กับเขา!


เขาโกรธจนหัวใจกับปอดร้อนขึ้นจนแทบระเบิด หากไม่ใช่เพราะสถานะและขอบเขตสูงกว่าแล้วละก็... เขาจะต้องแยกร่างของผู้อาวุโสสูงสุดออกเป็นแปดส่วน!


ตั้งแต่เขาเริ่มฝึกตนมาก็ไม่เคยต้องมาอดทนกับเรื่องไร้สาระเช่นนี้!


“ไม่ต้องกังวลไป ค่ายกลจะต้องไม่มีข้อผิดพลาดอย่างแน่นอน ให้ข้าลองอีกครั้งหนึ่ง”


หลังจากสัมผัสได้ถึงจิตสังหารในแววตาของบรรพชนเผ่าฉงฉี ผู้อาวุโสสูงสุดจึงรีบเอ่ยขึ้นมา


หลังจากนั้นเขาก็ประทับตราขึ้นมาอีกครั้ง


ทันทีที่บรรพชนเผ่าฉงฉีเห็นตราประทับของผู้อาวุโสสูงสุด สีหน้าของมันก็ดำคล้ำทันที


“เจ้าพาข้ามาที่นี่เพื่อดูเรื่องตลกหรืออย่างไร!?”


มันจ้องเขม็งไปทางผู้อาวุโสสูงสุดด้วยความเกรี้ยวกราด “เจ้ากำลังประทับตราบ้าบออะไรอยู่! นี่มันตราประทับเปิดค่ายกลที่ไหนกัน???”


แม้ว่ามันจะไม่เชี่ยวชาญในด้านค่ายกล แต่มันก็ยังคงเป็นสัตว์ร้ายผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่มานานตนหนึ่ง ย่อมต้องมีความรู้หลายอย่างติดตัวอยู่บ้าง


รูปแบบตราประทับที่ผู้อาวุโสสูงสุดทำขึ้นมาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับค่ายกลแม้แต้น้อย เป็นรูปแบบที่ทำขึ้นมาอย่างส่งเดช!


“ข้าผิดเอง...แต่ตัวข้าก็ยังไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น!”


ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวออกมาด้วยความหดหู่


เขาครุ่นคิดดูแล้วก็พบว่าตราประทับเปิดค่ายกลไม่มีปัญหาแต่อย่างใด!


แต่เหตุใดจึงไม่มีการตอบสนอง?


หลังจากวางค่ายกลแล้ว เขาจำได้ว่าเขายังตรวจสอบค่ายกลอย่างถี่ถ้วน ทุกอย่างล้วนแต่ปกติเรียบร้อยดี


ตราประทับเปิดค่ายเองก็ถูกเขาตรวจตรามาอย่างรอบคอบแล้ว


“เจ้าไม่รู้???”


บรรพชนเผ่าฉงฉีโมโหจนจมูกยู่


มันรู้สึกว่าการตอบตกลงร่วมมือกับตระกูลหานเป็นความผิดพลาด ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานเองก็ดูไม่สามารถเชื่อถือได้แม้แต่น้อย


ไม่รู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน!


ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานหลับใหลนานเกินไปจนสมองไม่ทำงานแล้วหรือ!


จะต้องเป็นเช่นนั้นแน่!


คนผู้นี้เอาแต่โยนความผิดมาที่ข้า!


ขณะเดียวกันผู้นำตระกูลหานเอ่ยขึ้นมาในใจด้วยความทุกข์ตรม ผู้อาวุโสสูงสุดไม่แยแสเขาแม้แต่น้อย ทั้งยังใช้เขาเป็นที่ระบายความผิดอีก!


‘อยากจะทำอะไรก็เชิญเถอะ ข้าจะไม่พูดอะไรให้มาความอีก! จะได้ไม่ต้องถูกโยนความผิดใส่อีกครั้ง!’


ผู้นำเผ่าหานกล่าวขึ้นมาในใจ ขณะปิดปากตนเองแน่น


ทว่าจู่ ๆ ก็เกิดเสียงตบดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง จนเขาถูกกระแทกไปอีกด้าน


“ไอ้สารเลว! ตอนที่ควรพูดกลับไม่พูดจา เจ้าเป็นผู้นำตระกูลภาษาอะไร?”


ผู้อาวุโสสูงสุดตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “จะทำอะไรต่อไปก็ว่ามาเสีย ตอนนี้เลิกมาหวังพึ่งค่ายกลสังหารได้แล้ว พวกเราจะยังคงเดินหน้าต่อหรือถอนตัว? เจ้ายังไม่ตัดสินใจอีก!”


“!!!”


ภายในใจผู้นำตระกูลโมโหอย่างถึงที่สุด


เขาไม่ควรจะมาที่นี่เลย!


พูดก็ผิด ไม่พูดก็ผิด กลายเป็นที่ระบายอารมณ์ไปเรียบร้อย!


เขาร้องไห้ออกมาอย่างไม่มีน้ำตา ตัวเขาช่างน่าเวทนาเสียจริง! ส่วนผู้อาวุโสสูงสุดก็ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว!

บทที่ 333
น่าเวทนา แต่สิ่งที่ควรจะกล่าวก็ยังคงต้องกล่าวออกมา


หากพูดออกไปแล้วเขาจะโดนตบอีกครั้งหรือไม่


ผู้นำตระกูลขมวดคิ้วขณะเอ่ยออกมา “เดิมทีข้าต้องการจะใช้ค่ายกลสังหารเพื่อเพิ่มโอกาสในการเอาชนะ แต่ตอนนี้ไม่สามารถหวังพึ่งค่ายกลสังหารได้อีกต่อไปแล้ว การตัดสินใจดำเนินการขั้นถัดไปต้องอาศัยพวกท่านทั้งสอง ว่าพวกท่านมีความมั่นใจมากเพียงใด?”


ความแข็งแกร่งของเขายังไม่ถึงขั้น ดังนั้นการต่อสู้จึงต้องให้ผู้อาวุโสสูงสุดและบรรพชนเผ่าฉงฉีเป็นกำลังหลัก จึงได้แต่อาศัยความมั่นใจของผู้อาวุโสสูงสุดและบรรพชนเผ่าฉงฉี


“เจ้าพูดบ้าอะไรกัน?”


ผู้อาวุโสสูงสุดถลึงตามองผู้นำตระกูล นี่ไม่ใช่การยอกย้อนคำถามของเขาหรอกหรือ?


เขาขุ่นเคืองจนยกมือขึ้นมาหมายจะตบอีกฝ่าย


แต่หลังจากครุ่นคิดดูแล้ว ผู้นำตระกูลก็น่าสังเวชไม่น้อย ก่อนหน้านี้ก็ต้องรองรับการกล่าวโทษของเขา


ช่างมันเถอะ


ถึงอย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นผู้นำตระกูลหานของเขา ควรจะไว้หน้าอีกฝ่ายบ้าง


ลดฝ่ามือลง ไม่คิดจะตบอีก


“สหายท่านนี้คิดเห็นเช่นไร?”


เขามองไปยังบรรพชนเผ่าฉงฉีแล้วเปิดปากถามขึ้นมา


ค่ายกลสังหารล้มเหลวไปแล้ว ตัวเขาเองก็ละอายเกินกว่าจะตัดสินใจเอง จึงคิดจะให้บรรพชนเผ่าฉงฉีเป็นผู้ตัดสินใจ


บรรพชนเผ่าฉงฉีกัดฟันด้วยความแค้นเคือง


ผู้อาวุโสตระกูลหานไม่อาจเชื่อถือได้เสียจริง ยามหลังจากวางค่ายกลสังหารแล้ว ก็ทำคุยโวเสียดิบดีว่าทักษะค่ายกลของตนเองเหนือล้ำเพียงใด ค่ายกลสังหารนี้ทรงพลังเพียงใด


สุดท้ายแล้วผลที่ออกมากลับสูญเปล่า ไม่แม้กระทั่งสามารถเปิดใช้งานค่ายกลสังหารได้ ทำให้มันสูญเสียวัตถุดิบล้ำค่าไปตั้งมากมาย


“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องก่อนหน้านี้แล้ว ไว้หลังจากจบเรื่องครั้งนี้เมื่อไหร่ พวกเจ้าจะต้องชดเชยวัตถุดิบที่ข้านำมาออกมา!”


มันกัดฟันระหว่างพูดออกมา


“ควรจะเป็นเช่นนั้น ควรจะเป็นเช่นนั้น”


ผู้อาวุโสสูงสุดรับคำ เขารู้ตัวดีว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด จึงเห็นด้วยในทันที ไม่ได้คัดค้านแม้แต่น้อย


หลังจากได้ยินผู้อาวุโสสูงสุดตอบรับ สีหน้าของบรรพชนเผ่าฉงฉีก็ผ่อนคลาย


มันกลับมาพูดเรื่องเป้าหมายอีกครั้ง


“ข้ากับเจ้าออกโรง การจัดการพวกมันถึงแม้ไม่น่าจะใช่เรื่องง่าย แต่ก็น่าจะไม่มีปัญหาอันใด”


บรรพชนเผ่าฉงฉีกล่าวออกมา “อย่างไรเสียข้ากับเจ้าก็เข้าสู่วัยโรยรา เข้าใกล้ความตายเต็มที พลังจึงสามารถใช้ได้อย่างจำกัด ไม่อาจใช้พลังดั่งช่วงที่อยู่ในจุดสูงสุดได้”


มันรับฟังอย่างตั้งใจยามพ่อของฉงคูเล่าเกี่ยวกับลูกศรของเซี่ยเหยียนที่แสนน่ากลัวและทรงพลัง จากการคาดเดาของพ่อฉงคูแล้ว เกรงว่ากระทั่งขอบเขตนักบุญเองก็สามารถถูกลูกศรกดดันเมื่อต้องเผชิญหน้า


ขอบเขตนักบุญนั้นกว้างใหญ่เป็นอย่างยิ่ง หลังจากกลายเป็นขั้นนักบุญแล้ว หลังจากนั้นยังมีขั้นกษัตริย์นักบุญ ขั้นราชันนักบุญ และขั้นยอดนักบุญ!


หลังจากผ่านขอบเขตนักบุญไปแล้ว ก็ย่างเข้าสู่ขอบเขตสูงสุด


ขอบเขตสูงสุดนั้นกว้างใหญ่ไม่ต่างไปจากกัน ประกอบด้วยห้าขั้น ได้แก่ ขั้นกึ่งสูงสุด ขั้นสูงสุด ขั้นนภาสูงสุด ขั้นบัญญัติสูงสุด และขั้นวิถีสูงสุด


พ่อของฉงคูนั้นทั้งดุร้ายและทรงพลัง ห่างชั้นจนกษัตริย์นักบุญผู้อื่นไม่อาจเทียบได้


ทว่าลูกศรของเซี่ยเหยียนกลับทำให้พ่อของฉงคูไม่อาจต่อต้านได้แม้แต่น้อย ความแตกต่างของมันประหนึ่งฟ้าและหุบเหว แสดงให้เห็นว่าพลังของศรนั้นอยู่เหนือกว่าขอบเขตนักบุญ!


บรรพชนเผ่าฉงฉีเองก็คิดเช่นนั้น


แน่นอน สำหรับตัวมันที่อยู่ขั้นตี้หวงแล้ว พลังของขั้นยอดนักบุญไม่อาจนับเป็นสิ่งใดได้


ทว่านั่นเป็นช่วงที่มันอยู่ในช่วงที่กำลังรุ่งโรจน์ที่สุด


มันมีชีวิตอยู่มานานมากแล้ว อายุขัยของมันใกล้จะหมดลง ไม่ได้อยู่ในสภาวะอย่างก่อนหน้า พลังที่สามารถใช้ได้จึงมีอยู่อย่างจำกัด


สภาพของผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานเองก็ไม่ต่างกันมากนัก


หากพวกเขาทั้งสองคนร่วมมือกัน แม้ว่าพลังที่สามารถใช้ได้จะมีอยู่อย่างจำกัด แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาในการจัดการเซี่ยเหยียน


ทว่าพวกเขาเองก็ไม่อยากจะลงมือเกินความจำเป็น


พวกเขาทั้งสองใกล้จะมาถึงขีดจำกัดแล้ว ยิ่งใช้พลังมากขึ้นก็ยิ่งเร่งความตายให้มาถึงเร็วขึ้น


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขายังไม่แน่ใจว่าลูกศรของเซี่ยเหยียนที่แสดงออกมาในครั้งนั้น เป็นขีดกำจัดสูงสุดของเซี่ยเหยียนแล้วหรือไม่


เซี่ยเหยียนยังสามารถระเบิดพลังออกมามากกว่านั้นได้หรือไม่?


แม้จะมีโอกาสน้อย แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้เช่นนี้อยู่


นี่เป็นเหตุผลให้พวกเขาเต็มใจจะสละวัตถุดิบล้ำค่าจำนวนมากเพื่อจัดวางค่ายกลสังหาร


“สิ่งที่ท่านต้องการจะสื่อคือ?” ผู้อาวุโสสูงสุดถามออกมา


บรรพชนเผ่าฉงฉีกล่าวไม่ผิด พวกเขาน่าจะไม่สามารถโค่นเซี่ยเหยียนลงได้ง่าย ๆ พวกเขาต้องจ่ายราคาสำหรับชัยชนะในครั้งนี้อย่างแน่นอน


การปลดปล่อยพลังออกมามากเกินไปจะเป็นอันตรายต่อชีวิตของพวกเขา ความตายของพวกเขาจะถูกเร่งให้มาถึงเร็วขึ้น ทำให้เขาไม่เต็มใจที่จะใช้พลังเต็มที่ ยกเว้นจะเกิดเหตุจำเป็นขึ้นจริง ๆ


“ข้าไม่แนะนำให้ต่อสู้โดยตรง”


บรรพชนเผ่าฉงฉีกล่าวระหว่างมองไปที่ร่างของหลี่จิ่วเต้า “พวกเราสามารถวางแผนใช้ประโยชน์จากปุถุชนผู้นั้นได้!”


“ผู้อาวุโสกล่าวได้ถูกต้องแล้ว!”


ดวงตาของผู้นำตระกูลหานเป็นประกาย “พวกเซี่ยเหยียนพาปุถุชนผู้นี้มาด้วย ทั้งยังฟังคำของปุถุชนจนมายังยอดเขาท่องนภา เห็นได้ชัดว่าปุถุชนผู้นี้มีความสำคัญต่อพวกเซี่ยเหยียนเป็นอย่างมาก!”


เขาหัวเราะแล้วกล่าวออกมา “พวกเราแค่จัดการกับปุถุชนผู้นี้ลง หลังจากนั้นก็ใช้มันจัดการกับพวกเซี่ยเหยียน!”


เขาฉลาดเป็นอย่างยิ่ง จนสามารถคิดแผนการออกมาได้อย่างรวดเร็ว


“ข้าพกสมุนไพรพิษชนิดหนึ่งเอาไว้ สมุนไพรนี้สามารถทำให้ผู้ฝึกตนสูญเสียพลังทั้งหมดไปในช่วงเวลาสั้น ๆ”


เขากล่าวแผนการของตนเองออกมา “หากเราสามารถควบคุมปุถุชนผู้นี้เอาไว้ได้ ก็ให้มันแอบใส่สมุนไพรพิษให้พวกเซี่ยเหยียนกิน เมื่อถึงตอนนั้นพวกเราก็จะสามารถจัดการพวกเซี่ยเหยียนได้โดยไม่ต้องลงแรงแต่อย่างใด”


เขายิ้มแล้วพูดต่อ “คาดไม่ถึงว่าปุถุชนผู้นี้จะมีประโยชน์ค่อนข้างมาก!”


เขายิ้มออกมาด้วยความภาคภูมิ แผนนี้ดียิ่งกว่าการวางค่ายกลสังหารเสียอีก


ด้วยทัศนคติที่พวกเซี่ยเหยียนมีต่อหลี่จิ่วเต้าแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่มีความระแวดระวังอยู่แม้แต่น้อย ตราบใดที่พวกเขาสามารถควบคุมหลี่จิ่วเต้าเอาไว้ได้ แผนการจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน


หากพวกเขาสามารถควบคุมเจ้าหนุ่มนั่นได้แล้ว มันก็ง่ายเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้เซี่ยเหยียนและคนอื่น ๆ กินสมุนไพรพิษเข้าไป


ยามนี้พวกเขาเพียงแต่ต้องคิดว่าจะควบคุมหลี่จิ่วเต้าได้อย่างไร!


เพียะ!


ขณะที่ผู้นำตระกูลกำลังยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ ก็เกิดเรื่องบางอย่างที่ไม่คาดคิดขึ้น


ผู้อาวุโสสูงสุดตบเขาหนึ่งฉาด จนเขากระเด็นออกไปอย่างแรง!


“!!!”


ทำไมถึงตบเขาอีกแล้ว?!


ผู้นำตระกูลอัดอั้นตันใจ หรือว่าแผนการที่เขาเสนอไปจะไม่สามารถใช้งานได้?


“บัดซบ! เหตุใดเจ้าจึงไม่คิดแผนดี ๆ แบบนี้ไว้ตั้งแต่แรก? ไม่เช่นนั้นพวกเราจะต้องมัวมาวางค่ายกลสังหารทำไม!”


ผู้อาวุโสสูงสุดจ้องเขม็งไปทางผู้นำตระกูลแล้วพูดด้วยโทสะ


เขาโกรธเป็นอย่างมาก


หากผู้นำตระกูลคิดแผนการออกได้เร็วกว่านี้ พวกเขาคงไม่ต้องเสียแรงวางค่ายกลสังหารบนยอดเขาท่องนภา อีกทั้งเขายังไม่ต้องเสียหน้ามากขนาดนี้!


“...”


ผู้นำตระกูลร้องไห้ออกมาทั้งที่ไร้น้ำตา เหตุใดเขาถึงโดนกล่าวโทษโดยไร้เหตุผลอีกแล้ว?


เขาอยากจะกล่าวออกมาเหลือเกิน ผู้ใดจะคิดว่าผู้อาวุโสสูงสุดจะไม่น่าเชื่อถือจนแม้แต่ค่ายกลสังหารที่วางเอาไว้ก็ไม่สามารถใช้งานได้ หากค่ายกลสามารถใช้งานได้ละก็ ป่านนี้พวกเขาคงได้ตัวพวกเซี่ยเหยียนไปแล้ว?


ถึงแม้เขาจะกล้ากล่าวออกมาเช่นนี้ภายในใจ แต่ก็ไม่มีความกล้าพอจะพูดออกมา


แม้เขาจะเป็นผู้นำตระกูล แต่สถานะของผู้อาวุโสสูงสุดนั้นสูงยิ่งกว่าเขาที่เป็นผู้นำตระกูลเสียอีก!


“เอาล่ะ เลิกเล่นตลกได้แล้ว ต่อไปพวกเราก็ต้องจับตาดูพวกมันให้ดี สบโอกาสเมื่อใดก็ลงมือจัดการปุถุชนผู้นั้นทันที!”


บรรพชนเผ่าฉงฉีกล่าวออกมา


พวกเขาย่อมไม่สามารถจัดการกับหลี่จิ่วเต้าต่อหน้าพวกเซี่ยเหยียนได้ จึงต้องรอจนกว่าหลี่จิ่วเต้าจะแยกตัวออกมา


หากพวกเขาจัดการหลี่จิ่วเต้าต่อหน้าคนอื่น ๆ พวกเขาคงถูกค้นพบแล้วทำให้แผนถูกทำลายลง

บทที่ 334

“ทิวทัศน์สวยงามจริง ๆ...”


เมื่อถึงบนยอดเขาท่องนภา หลิ่วจิ่วเต้าก็ทอดสายมองออกไปไกลลิบ ทิวทัศน์ที่ปรากฏช่างงดงามเกินพรรณา


ยอดเขาแห่งนี้สูงเสียดหมู่เมฆ จึงเห็นม่านหมอกแผ่ปกคลุม หลี่จิ่วเต้ารู้สึกราวกับตนเองล่องลอยไปบนท้องฟ้า เพลิดเพลินเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ย


การเดินทางมายังยอดเขาท่องนภาครั้งนี้ช่างคุ้มค่า!


ส่วนอีกด้านหนึ่ง หลิงอิน เซี่ยเหยียน แมวน้อยสีขาวลั่วสุ่ย ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียน สือเฟิง อันหลานเสวี่ย และพวกอ้ายฉานต่างอยู่เบื้องหลังของหลี่จิ่วเต้า


พวกอ้ายฉานกำลังเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพรอบด้าน หยอกล้อกันเล่นอย่างมีความสุข


แต่พวกหลิงอินไม่ได้เป็นเช่นนั้น


ภายในใจของพวกเขาสั่นไหว เต็มไปด้วยความตื่นตะลึงที่มีต่อท่านเซียน!


ท่านเซียนช่างทรงพลังเหลือเกิน!


เมื่อพวกเขาขึ้นมาถึงยอดเขาพลันสัมผัสได้ถึงความผันผวนของค่ายกลอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ขยายออกจากที่นี่ หัวใจของพวกเขาหนักอึ้งขึ้นมาทันทีหลังจากรับรู้ได้ถึงเจตนาสังหารที่อัดแน่นเต็มค่ายกล!


ที่นี่มีค่ายกลสังหารขนาดใหญ่อันแสนน่ากลัววางไว้อยู่!


จากการประเมินของหลิงอินแล้ว เกรงว่าแม้กระทั่งระดับสูงสุดของขอบเขตสูงสุดลงมือเต็มกำลังก็ยังไม่อาจต้านทานได้ พลังของค่ายกลสังหารขนาดใหญ่นี้ทรงพลังเป็นอย่างมาก!


พวกเขาไม่กล้าลังเล เตรียมจะใช้วิธีการทุกอย่างเพื่อทำลายค่ายกลสังหารขนาดใหญ่


ทว่ายามที่พวกเขากำลังจะลงมือ กลับพบว่าเพียงท่านเซียนเหยียบย่างลงมาอย่างแผ่วเบา พลังของค่ายกลที่เล็ดลอดออกมาจากค่ายกลสังการทั้งหมดก็ถูกระงับลงไปทันที!


ท่านเซียน...สมแล้วที่เป็นท่านเซียน!


ทรงพลังจนไม่อาจจินตนาการถึง!


กระทั่งค่ายกลสังหารขนาดใหญ่ที่สามารถกล้ำกรายได้กระทั่งขอบเขตขั้นสูงสุดที่ลงมือเต็มกำลัง ก็ไม่อาจนับเป็นสิ่งใดได้ต่อหน้าท่านเซียน!


เพียงท่านเซียนเดินเข้าไปตามปกติ พลังทั้งหมดของค่ายกลสังหารก็ถูกระงับลงไปทันที โดยที่พวกเขาไม่อาจสัมผัสได้ถึงพลังใด ๆ บนร่างกายของท่านเซียนได้ด้วยซ้ำ


นี่คือวิธีการของท่านเซียนสินะ?


ไม่มีการเคลื่อนไหวของพลังใด ๆ บนร่าง เพียงหนึ่งเท้าเหยียบย่างก็สามารถยับยั้งพลังทั้งหมดของค่ายกลสังหารขนาดใหญ่ได้!


วิธีการเช่นนี้ช่างน่าหวาดเกรงจริง ๆ!


พวกเขาทำได้แต่ถอนหายใจ ขณะที่รู้สึกตกใจจนไม่อาจกล่าวสิ่งใดออกมาได้


ผู้อื่นไม่ว่าใครก็ไม่อาจทำเช่นนี้ได้!


ไม่ว่าจะแข็งแกร่งเพียงใด อย่างไรเสียก็ต้องมีการโคจรพลัง ต่างจากท่านเซียนที่ไม่จำเป็นต้องทำ ช่างน่าทึ่งและน่าเหลือเชื่ออย่างถึงที่สุด!


“ไปเถอะ พวกเราไปเที่ยวชมที่อื่นกัน“


หลี่จิ่วเต้ายิ้มน้อย ๆ ตั้งตารอว่าจะได้ชื่มชมทิวทัศน์ในภาคกลางให้มากกว่านี้


หายากที่จะได้ออกมาสักครั้ง เขาจึงต้องการตระเวนเที่ยวให้มากเสียหน่อย


หลี่จิ่วเต้าและคนอื่น ๆ พากันเข้าไปในรถม้า ก่อนที่สัตว์อสูรทั้งเก้าตนจะดึงรถม้าให้ลอยขึ้น


พื้นที่ด้านในรถม้าใหญ่กว้างขวาง ทั้งสะดวกสบายและหรูหรา ยามนั่งก็ให้ความรู้สึกดีเป็นอย่างยิ่ง


‘ข้าสามารถนั่งรถม้านี้ตามหาซีได้ไหมนะ?’


เขาถอนหายใจออกมาขณะคิดถึงซีอีกครั้ง


หากเขามีรถม้าคันนี้ เขาก็จะสามารถออกเดินทางไปทั่วทุกมุมโลกเพื่อตามหาซีได้


‘แต่จะไปตามหาได้จากที่ไหนกัน…’


เขาถอนหายใจขึ้นมาอีกครั้ง เวลาล่วงผ่านมาหลายปีแล้ว แม้ว่าเขาจะอยากไปตามหาซีแต่ก็ไร้ซึ่งความสามารถ


‘ชีวิตนั้นแสนสั้น ข้าเป็นเพียงปุถุชนผู้หนึ่งที่มีอายุขัยจำกัด ซีคือความเจ็บปวดที่ค้างคาอยู่ในใจของข้า สุดท้ายแล้วข้าต้องการจะตามหาและพบหน้านางอีกครั้ง!’


เขาตัดสินขึ้นมาภายในใจ รอจนพวกอ้ายฉานโตและแข็งแกร่งขึ้นแล้ว เขาจะขอให้พวกอ้ายฉานพาเขาไปตามหาซี


ที่แห่งนี้คือโลกแห่งการฝึกตน เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งและทรงพลัง เขาเป็นเพียงปุถุชนผู้หนึ่ง หากเที่ยวเตร็ดเตร่ไปมาก็ไม่อาจรับประกันชีวิตตนเองจากเรื่องราวไม่คาดฝันที่สามารถเกิดขึ้นมาได้ทุกเมื่อ


ถ้ามีพวกอ้ายฉานไปด้วยจะเป็นการปลอดภัยกว่ามาก


อย่างไรเสียพวกอ้ายฉานก็แข็งแกร่งมากจนน่าตื่นตะลึงตั้งแต่อายุยังน้อย รอพวกเขาโตขึ้น จะต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมแน่


เมื่อถึงตอนนั้น เขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรมากมายอีกต่อไป


สำหรับการเอ่ยขอความช่วยเหลือจากเซี่ยเหยียนนั้น เขารู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็กน้อย


ไม่ใช่ว่าเขาอายเกินกว่าจะรบกวนเซี่ยเหยียน


หลังจากติดต่อกันมานานขนาดนี้แล้ว ความสัมพันธ์ของเขากับเซี่ยเหยียนย่อมต้องไม่มีอะไรจะกล่าว ขอเพียงแค่เขาพูดออกมา เซี่ยเหยียนจะต้องช่วยเหลืออย่างแน่นอน


เพียงแต่เขาต้องการจะตามหาซี


การขอให้เซี่ยเหยียนช่วยตามหาผู้หญิงคนอื่น แม้ว่าตัวของเซี่ยเหยียนอาจไม่คิดอะไรมาก แต่เขาก็ยังรู้สึก...ตะขิดตะขวงใจอยู่บ้าง


รอให้พวกอ้ายฉานโตแล้วมาช่วยเขาน่าจะเป็นหนทางที่ดีกว่า


เขาจะได้ไม่ต้องคิดอะไรมาก


สัตว์อสูรเก้าตนลากรถม้า ทะยานออกจากยอดเขาท่องนภาตรงยังสถานที่แห่งอื่น


...


แดนฮวง


ลึกเข้าไปในดงยอดเขาอันสลับซับซ้อน


ลมปราณน่าหวาดผวาและน่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายทุกหนแห่ง รอบด้านไร้ซึ่งคนอยู่อาศัย ที่แห่งนี้คือสถานที่อันตรายเลื่องชื่อของแดนฮวง มีสิ่งมีชีวิตเพียงน้อยนิดที่กล้าย่างกรายเข้าไป


ทว่าสถานที่อันตรายแห่งนี้กลับมีสตรีชุดขาวผู้งดงามราวกับเทพธิดาบนภาพวาดเข้ามาโดยไร้ซึ่งความกลัวเกรง


ทันใดนั้นก็พลันเกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ตามมาด้วยสมรภูมิครั้งใหญ่


เลือดสาดกระเซ็นทุกหนแห่ง สัตว์ร้ายทรงพลังตัวแล้วตัวเล่าล้มลงไป ในขณะที่สตรีในชุดขาวก้าวย่างต่อไปโดยไร้ซึ่งโลหิตเปรอะบนร่าง


ทันใดนั้น ร่างของนางพลันสั่นสะท้าน ความรู้สึกพิเศษบางอย่างปรากฏขึ้นมาในใจ


“ช่วงนี้ข้าคิดถึงเขาอีกแล้ว...”


นางถอนหายใจ รู้ดีว่าเหตุใดถึงมีความรู้สึกพิเศษปรากฏขึ้นในใจของตนเอง


ใจของนางคะนึงหาเขา ทั้งยังอยากพบหน้าอีกครั้งเป็นอย่างมาก


แต่...นางไม่อาจทำเช่นนั้นได้


นางกลัวว่าตนเองจะไม่ใจแข็งพอจะจากไปหลังจากได้พบกับเขา!


“เหตุใดจึงเอาแต่ร่ำร้องให้ข้าไปพบกับเขา? ข้าไม่อาจอยู่รวมกับเขาได้! สิ่งที่ข้าแบกรับเอาไว้มันมีมากเกินไป ข้า...ไม่อาจหยุดยั้งได้!”


หัวใจของนางเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่งจนหยาดน้ำตาไหลคลอ


บนโลกใบนี้ นางเป็นเพียงผู้สัญจรผ่านทางไป ไม่ควรทิ้งห่วงพะวงใดไว้บนโลกใบนี้


ทว่าบางสิ่งก็ไม่อาจควบคุมได้...


นางสงบสติอารมณ์ลง พยายามเลิกคิดถึงเรื่องของเขา สิ่งที่นางจำเป็นจะต้องทำยังมีอีกมาก


“ข้าตามหามาหลายที่ก็ยังไม่พบ ไปอยู่ที่ใดกัน?”


นางกล่าวออกมาอย่างแผ่วเบา “ข้าหาทั่วทั้งแดนหยินและแดนฮวงก็ยังไม่พบ หรือว่ามันจะอยู่ที่แดนฝอกัน?”


...


ณ ยอดเขาท่องนภา


หลังจากที่พวกหลี่จิ่วเต้าขึ้นรถม้าจากไปแล้ว ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานและบรรพชนเผ่าฉงฉีก็มาถึงยังยอดเขาท่องนภาทันที


ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานยังคงไม่ยินยอม เขารู้สึกมาตลอดว่าค่ายกลของเขาไม่มีข้อผิดพลาด


“ไม่มีจุดผิดพลาด”


เขาตรวจสอบอย่างละเอียด ก่อนจะพบว่าค่ายกลทั้งหมดถูกจัดวางไว้อย่างถูกต้อง ไม่มีข้อผิดพลาดแต่อย่างใด


“ปัญหาอยู่ที่การประทับตราเปิดใช้งานหรือ?”


เขาประทับตราออกมาด้วยความสงสัย


ตู้ม!


ในตอนนั้นเอง ค่ายกลสังการก็ถูกเปิดใช้งาน พลังอันทรงพลังและน่าสะพรึงกลัวระดมพุ่งเข้าใส่หมายสังหารพวกเขา


สิ่งนี้ทำให้พวกเขาตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจะสามารถเปิดใช้งานค่ายกลสังหารได้สำเร็จ


พวกเขาไม่ได้เตรียมตัวรับมือกับพลังมหาศาลที่พุ่งเข้าใส่ ร่างกายพวกเขาทุกคนจึงบาดเจ็บยับเยินทันที


“บัดซบ!”


บรรพชนเผ่าฉงฉีสบถออกมา ใบหน้ากลายเป็นสีเขียวคล้ำ จ้องเขม็งไปทางผู้อาวุโสสูงสุดด้วยโทสะ “เจ้ามันไม่อาจพึ่งพาได้แม้แต่น้อย คนจากไปหมดแล้วถึงเพิ่งมาเปิดใช้งานได้สำเร็จ?”


“ข้าเองก็ไม่คิดว่าจะเปิดใช้งานได้สำเร็จ!”


ผู้อาวุโสสูงสุดตกตะลึง การประทับตราเปิดค่ายกลเป็นรูปแบบเดียวกันกับที่เขาใช้ในตอนแรก ก่อนหน้านี้ทำไม่สำเร็จ แต่ตอนนี้ไยกลับสำเร็จแล้ว?


ภายในใจของผู้นำตระกูลเองก็เต็มไปด้วยความคับข้องใจ แต่เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาต่อหน้าอีกฝ่าย


ไม่น่าเชี่อถือเลย ไม่น่าเชื่อถือแม้แต่น้อย!


กับคนอื่นไม่สามารถเปิดใช้งานได้ แต่กับพวกของตนเอง เพียงครั้งเดียวกลับสามารถเปิดใช้งานได้สำเร็จ!

บทที่ 335

ค่ายกลสังหารโจมตีต่อเนื่อง ผู้อาวุโสสูงสุดมิกล้าลังเล รีบใช้ธงค่ายกลคุมค่ายกลสังหารไว้ ก่อนจะเก็บค่ายกลสังหารกลับมา


หลังจากเสร็จสิ้นทุกอย่าง พวกเขาก็รีบไล่ตามอีกฝ่ายไป


พวกหลี่จิ่วเต้าเที่ยวชมทัศนียภาพไปทั่วสารทิศ ส่วนพวกเขาคอยติดตามอยู่ในเงามืด คอยหาโอกาสที่หลี่จิ่วเต้าแยกจากพวกเซี่ยเหยียน


...


ดินแดนฝอ


เขาญาณทรายพิภพ


ประกายพุทธะลำหนึ่งทะยานสู่นภา เจิดจ้าแยงตา พระพุทธรูปทองคำของพระอมิตาภะพุทธเจ้ากลับมีเสียงท่องมนต์ดังขึ้น บุปผาวิถีพุทธโปรยปรายลงมาทั่วทั้งเขาญาณ


“อมิตาภพุทธ!”


“ข้าพระพุทธเปี่ยมเมตตา!”


พุทธสาวกบนเขาญาณพากันสวดมนต์ สีหน้าเลื่อมใสศรัทธาถึงขีดสุด พระพุทธรูปทองคำของพระอมิตาภะพุทธเจ้ามีปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้น นี่คือพุทธรอย เป็นการประกาศว่าพุทธศาสนาจักเข้าสู่ยุครุ่งเรือง!


จากนั้น ประกายพุทธะที่ห้อมล้อมพระพุทธรูปทองคำของพระอมิตาภะพุทธเจ้าเจิดจรัสขึ้นเรื่อย ๆ ส่องสะท้อนไปทั้งดินแดนฝอ


นอกจากนี้ เสียงท่องมนต์ที่ดังอยู่ในพระพุทธรูปทองคำของพระอมิตาภะพุทธเจ้าก็กังวานขึ้นเรื่อย ๆ จนท้ายที่สุดกึกก้องไปทั่วดินแดนฝอ


“อมิตาภพุทธ!”


“อมิตาภพุทธ!”


ดินแดนฝอสมานฉันท์พร้อมเพรียงทั้งแดน สิ่งมีชีวิตมากมายนับไม่ถ้วนคุกเข่ากับพื้น ท่องนามพระพุทธด้วยความศรัทธาอันเปี่ยมล้น


เป็นเรื่องน่ากลัวมากอย่างไม่ต้องสงสัย


สิ่งมีชีวิตทั้งดินแดนฝอต่างท่องอมิตาภพุทธกันถ้วนหน้า พุทธศาสนาช่างน่าหวาดหวั่นและลึกลับเหลือเกิน ทำให้ทุกคนเป็นเอกภาพได้ถึงเพียงนี้


ใต้หล้านี้มีระบอบวิถีใดที่ทำถึงขั้นนี้ได้บ้าง


เขาญาณ


วิหารต้าสยง


ภาพน่าเหลือเชื่อปรากฏ


พระสังฆราชองค์ปัจจุบันแห่งพุทธศาสนากลับคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าสามเณรน้อยรูปหนึ่ง!


สามเณรน้อยผู้นี้ดูอายุไม่มากนัก ราว ๆ เจ็ดแปดขวบ เขานั่งขัดสมาธิบนอาสนะ หลับตาลงทั้งสองข้าง


เณรรูปนี้ดูน่าทึ่งอย่างยิ่ง รัศมีพระพุทธทรงกลดมากมายนับไม่ถ้วนคลี่ปกคลุมอยู่ด้านหลัง แม้กระทั่งนิมิตพุทธภูมิยังสำแดงอยู่ด้านหลังของเขา!


ในนิมิตรพุทธภูมินั้น พระองค์ใหญ่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลาง เบื้องล่างมีสิ่งมีชีวิตมากมายนับไม่ถ้วนท่องพระนาม สวดมนต์อยู่รอบพระองค์ใหญ่นี้!


หากมองดูดี ๆ พระองค์ใหญ่ในพุทธภูมิหน้าเหมือนสามเณรน้อยเปี๊ยบ!


นี่คือพุทธภูมิส่วนตัวของสามเณรน้อยรูปนี้หรือนี่!


สามเณรน้อยอายุเจ็ดแปดขวบมีพุทธภูมิของตัวเองหรือ!


น่ากลัวเกินไปแล้ว!


รู้หรือไม่ จำต้องบรรลุอรหันต์เท่านั้นจึงจะมีพุทธภูมิของตนเอง สามเณรน้อยรูปนี้เป็นอรหันต์แล้วหรือ?


พระอรหันต์


คือคำเรียกขานสูงสุดในพุทธศาสนา และเป็นขอบเขตสูงสุดในพุทธศาสนาด้วย


หากเรียงลำดับตามขอบเขตการฝึกตน พระอรหันต์เทียบเท่าขอบเขตมหาจักรพรรดิ!


“อมิตาภพุทธ!”


เวลานั้น สามเณรน้อยท่องพระนาม ลืมตา ระงับประกายพุทธะทั้งหมด นิมิตพุทธภูมิด้านหลังเขาก็หายตามไปด้วย


“นำตัวกลับมาแล้วหรือ”


สามเณรน้อยมองพระสังฆราช เอ่ยถามเสียงเบา


“นำตัวกลับมาแล้ว”


พระสังฆราชตอบ


“พาเขามาที่นี่เถิด”


สามเณรน้อยกล่าว


“น้อมรับพระพุทธโองการ!”


พระสังฆราชยืนขึ้น ทั้งยังเอ่ยว่าน้อมรับพระพุทธโองการอีกด้วย สามเณรน้อยตรงหน้าเป็นพระอรหันต์แล้วจริงหรือ


เขาออกจากวิหารต้าสยง มาถึงยอดเขาจิ่วฉงซึ่งใช้ในการคุมขังพุทธสาวกผู้มีความผิด


“อู้เต๋อ มากับอาตมา”


เขามาถึงที่อยู่ของเณรน้อยต้าเต๋อ หมายจะพาตัวเขาไป


“พระสังฆราชมารับข้าแล้วหรือ”


ต้าเต๋อดีใจมาก คลี่ยิ้มกว้างออกมา


เขาตบบ่าสุวรรณสิงห์เก้าหัวข้างกายพลางเอ่ย “ไปก่อนนะ ไม่ต้องคิดถึงข้า”


ข้าคิดถึงเจ้ากับผีน่ะสิ!


เจ้ารีบไปเสียทีเถิด!


สุวรรณสิงห์เก้าหัวก่นด่าในใจ


เดิมมันคือราชสีห์เก้าหัว บัดนี้เหลือเพียงสามหัว หกหัวนั้นโดนต้าเต๋อตัดไปตุ๋นแกงกิน!


บัดนี้พระสังฆราชมา หมายจะพาตัวต้าเต๋อไป


มันซาบซึ้งในพระคุณเป็นอย่างยิ่ง หากพระสังฆราชมาช้ากว่านี้อีกสองสามวัน มันคงไม่เหลือแม้แต่หัวเดียว!


“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องคิดถึงข้าแน่ วางใจเถิด วันหน้าข้าจักมาเยี่ยมเจ้าที่นี่อีก เจ้าจงรักษาสุขภาพให้ดี งอกหกหัวนั้นกลับมาใหม่อีกครั้ง!”


ต้าเต๋อยิ้มละไม


เกิดเสียงดัง ‘พรวด’ สุวรรณสิงห์เก้าหัวล้มคะมำกับพื้น


พิลึกฉิบ!


เณรน้อยเยี่ยงนี้ไฉนเป็นพุทธบุตรกลับมาชาติมาเกิดได้!!!


นี่มันจอมมารกลับชาติมาเกิดชัด ๆ!


มันอยากร่ำไห้นัก เณรน้อยยังหมายตาหัวของมันอยู่อีกหรือนี่!


“เฮ้อ…”


พระสังฆราชถอนหายใจ เณรน้อยต้องหายไปแล้วหรือ?


เขานึกสงสาร


ภายนอกเณรน้อยเหมือนไม่รักษาศีล ก่อเรื่องอยู่บ่อยครั้ง แต่เขารู้ดีว่าจิตใจเณรน้อยนั้นมีเมตตา ไม่เคยทำเรื่องชั่วช้าอันใด


เขาหันมองสุวรรณสิงห์ “สิงโตเก้าหัว เจ้ายังไม่ตระหนักอีกหรือ แท้จริงแล้วอู้เต๋อช่วยเจ้าอยู่ เจ้าเกิดมามีเก้าศีรษะ สายเลือดน่าประหวั่นพรั่นพรึงยิ่ง ทว่าเจ้าไม่อาจรักษาความตั้งใจเดิมไว้ได้ ศีรษะทั้งเก้าหล่อหลอมขึ้นมาเป็นดวงจิตทั้งเก้า มีเพียงดวงจิตเดียวที่ใฝ่ธรรม อีกแปดดวงจิตล้วนมุ่งร้าย เจ้าควบคุมจิตมุ่งร้ายของตนมิได้ ถึงได้กระทำความผิดใหญ่หลวง จนถูกพามาขังไว้ในยอดเขาจิ่วฉง”


เขาท่องพระนาม “อมิตาภพุทธ เจ้าไม่รู้สึกตัวหรือว่าจิตมุ่งร้ายของเจ้าลดน้อยไป แท้จริงแล้วอู้เต๋อช่วยขจัดจิตมุ่งร้ายในตัวเจ้า!”


สุวรรณสิงห์ผงะ คิดไม่ถึงว่าความจริงจะเป็นเยี่ยงนี้


ก่อนนี้มันคิดเพียงว่าต้าเต๋อตะกละ ไม่เคยคิดว่าต้าเต๋อช่วยขจัดจิตมุ่งร้ายให้เขา


“พระสังฆราชเอ่ยเช่นนี้ข้าเขินแย่!”


เณรน้อยหัวเราะ มีท่าทางเอียงอายขึ้นมา


เขาเกิดมาเฉลียวฉลาด เปี่ยมธรรมะจนน่าทึ่ง ดูออกแต่แรกว่าจิตมุ่งร้ายของสุวรรณสิงห์ข่มทับจิตใฝ่ธรรม ที่เขาตัดหัวสิงโตตุ๋นแกง ความจริงก็เป็นตามที่พระสังฆราชว่า เป็นการทำเพื่อตัดจิตมุ่งร้ายให้สุวรรณสิงห์


“ไปเถิด”


พระสังฆราชเอ่ยปาก พาตัวเณรน้อยไป


เณรน้อยเป็นร่างแปลงมาจากจิตมุ่งร้ายจริงหรือ?


เขาคับข้องใจ


หากพูดถึงความร้าย เณรน้อยร้ายเพียงภายนอกเท่านั้น…


“พระสังฆราช พวกเรากำลังไปไหนกันหรือ เหตุใดท่านถึงจับข้าขังไว้ในยอดเขาจิ่วฉง!”


ระหว่างทาง เณรน้อยถามพระสังฆราช


อนิจจา พระสังฆราชมิได้ตอบเขา


พวกเขาเดินทางมาจนถึงวิหารต้าสยง พระสังฆราชพาตัวเณรน้อยเข้าไป


“เจ้าเป็นใคร ไยจึงหน้าเหมือนข้าเยี่ยงนี้”


ต้าเต๋อเห็นสามเณรน้อย ความตกตะลึงทอประกายอยู่บนใบหน้า


สามเณรน้อยหน้าเหมือนเขาอย่างกับแกะ แทบจะเป็นเขาอีกคนได้แล้ว


“เจ้ากับข้าเดิมเป็นหนึ่งเดียว ย่อมเหมือนกันมาก”


สามเณรน้อยนั่งอยู่บนอาสนะ สีหน้าเคร่งขรึมน่าเกรงขาม ขัดกับความเป็นเด็กไม่กี่ขวบของเขาอย่างเห็นได้ชัด เขาดูมีวุฒิภาวะอย่างยิ่งยวด คล้ายว่าผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก


“เดิมเป็นหนึ่งเดียว? หมายความว่าอย่างไร”


ต้าเต๋อชะงัก คิดไม่ถึงว่าสามเณรน้อยจะใช้ถ้อยคำเช่นนี้


สามเณรน้อยคลี่ยิ้ม “ประเดี๋ยวเจ้าจักได้รู้ทุกสิ่ง”


จากนั้น เขาก็หันมองพระสังฆราช “ออกไปเถิด ห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามาในวิหารต้าสยงก่อนได้รับคำสั่งจากข้า”


“น้อมรับพระพุทธโองการ!”


พระสังฆราชตอบเสียงนอบน้อม ก่อนจะถอยออกไปจากวิหารต้าสยง ทั้งยังปิดประตูวิหารต้าสยงอีกด้วย


นอกประตูวิหาร เขาจิตใจว้าวุ่นเป็นอย่างมาก เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขาบำเพ็ญธรรมะมาหลายปี หัวใจธรรมแน่วแน่ดุจหินผามานาน


หากเรียงตามลำดับการฝึกตน เขาบรรลุนักบุญแล้ว ซ้ำยังเป็นนักบุญในยุคนี้ น่าทึ่งเหลือแสน!


“อมิตาภพุทธ ข้ามองผิดไปหรือ”


เขาท่องพระนาม และสวดมนต์เงียบ ๆ


ทว่าบทสวดไม่อาจช่วยให้จิตใจของเขาสงบลง


เขาเห็นอู้เต๋อมาตั้งแต่ยังเล็ก ก่อนหน้านี้เขามองผิดไปจริง ๆ หรือ?


อู้เต๋อเป็นร่างแปลงจากจิตมุ่งร้ายจริงหรือ?


จิตใจของเขาว้าวุ่นขึ้นเรื่อย ๆ