326-330

บทที่ 326

นี่มันของเหลวกระไร!


น่าตกใจถึงเพียงนี้เชียว!


หลิงอินใจสะท้าน สายตาทอดมองของเหลวสีนิลดั่งน้ำหมึกอันน่าพิศวงในโลงศพหินโดยไม่รู้ตัว


ยุคโบราณผ่านมานานนม ต่อให้ใช้โอสถมหาจักรพรรดิต่อชีวิตอีกภพชาติก็ยากจะมีชีวิตตั้งแต่ยุคโบราณมาจนถึงยุคนี้


ของเหลวสีดำชวนพิศวงนี้ช่วยให้จักรพรรดิบุปผามีชีวิตยืดยาวจากยุคโบราณมาจนถึงยุคปัจจุบันได้ ซ้ำยังคืนพลังให้จักรพรรดิบุปผาเทียบเท่ายุครุ่งเรืองที่สุด ทะเลต้องห้ามลึกล้ำเกินหยั่ง น่าหวาดหวั่นนัก!


แต่เท่านี้ยังไม่พอให้นางกลัว!


นางในตอนนี้ยังพัฒนาไม่เต็มที่เลย


นางได้อยู่ข้างกายท่านเซียนเสมอ ประโยชน์ที่ได้รับมากเกินจินตนาการ นางยังย่อยซึมผลประโยชน์เหล่านี้ได้ไม่ถึงหนึ่งในพันด้วยซ้ำ เมื่อใดที่นางย่อยซึมผลประโยชน์เหล่านี้ได้ทั้งหมด นางจักอยู่ในระดับสูงเหลือแสน!


ถึงครานั้น นางย่อมอยู่เหนือขอบเขตมหาจักรพรรดิขึ้นไปอีกหลายขั้น!


ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านางมีท่านเซียนหนุนหลัง!


ทะเลต้องห้ามน่าหวาดหวั่นเพียงใดแล้วอย่างไร?


เทียบกับเส้นทางสังสารวัฏได้หรือ?


เส้นทางสังสารวัฏยังไร้พิษสงใด ๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านเซียน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทะเลต้องห้าม


มาภาคกลางครานี้ ท่านเซียนตั้งใจพานางมาด้วย


จิตของท่านเซียนล่วงรู้ทุกอย่างตั้งแต่ก่อนกาลจวบจนยุคปัจจุบัน ที่พานางมาภาคกลางด้วย ก็เพราะต้องการให้นางแก้แค้นแทนเสี่ยวหยาด้วยตนเอง!


จักรพรรดิบุปผาคิดใช้ทะเลต้องห้ามมาขู่นางจนต้องยอมปล่อยนางไป เพ้อฝันชัด ๆ!


“ทะเลต้องห้ามชวนสยดสยอง น่ากลัวเหลือคณา กระนั้นมันไม่อาจคุ้มหัวเจ้าได้ วันนี้เจ้าต้องตายอยู่ที่นี่!”


หลิงอินตะเบ็งเสียงเย็น ดึงคันยิงศรอีกครั้งเพื่อผลาญพลังของจักรพรรดิบุปผา


“เจ้า!”


จักรพรรดิบุปผากริ้วหนัก นางยกทะเลต้องห้ามออกมาอ้างแล้ว ไฉนหลิงอินถึงยังกล้าฆ่านางอีก!


หรือหลิงอินยังไม่เชื่อว่านางมีส่วนเกี่ยวข้องกับทะเลต้องห้าม


นางไม่เชื่อว่าหลิงอินไม่กลัวทะเลต้องห้าม


น่าขัน ราชวงศ์อวี่ฮว่ารุ่งเรืองยิ่งใหญ่ ปกครองอาณาจักรยุคโบราณไว้ทั้งปวงยังยำเกรงในเก้าแดนต้องห้ามเหลือแสน มิกล้าเฉียดใกล้ หลิงอินไฉนเลยจะไม่กลัว!


ใช่แล้ว!


หลิงอินยังไม่เชื่อว่านางมีความเกี่ยวข้องกับทะเลต้องห้าม!


หลังคิดข้อนี้ตก นางรีบเอ่ยขึ้น “ข้ารู้ว่าเรื่องที่ข้ามีความเกี่ยวข้องกับทะเลต้องห้ามเป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับเจ้า ถึงอย่างไรแดนต้องห้ามเป็นสถานที่ที่เข้าไปแล้วจักไม่ได้กลับออกมาอีก ทว่าข้าได้ไปเยือนทะเลต้องห้ามมาแล้วจริง ๆ และมีข้อตกลงบางอย่างกับทะเลต้องห้าม!”


นางเล่าเรื่องราวที่ตนได้ไปเยือนทะเลต้องห้าม เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่นางพูดนั้นมิใช่ความเท็จ


บัดนี้ นางเหลือทางรอดเพียงทางเดียว นอกจากใช้ทะเลต้องห้ามข่มขวัญหลิงอินแล้ว นางไม่เหลือหนทางอื่นอีก


“ข้าสำเร็จเป็นมหาจักรพรรดิด้วยพลังจากกระดูกจักรพรรดิ ทว่าอย่างไรข้าก็ไม่อาจผสานเป็นหนึ่งกับกระดูกจักรพรรดิ หลังบรรลุเป็นมหาจักรพรรดิแล้ว ข้าไม่อาจก้าวหน้าได้อีก ไม่อาจก้าวพ้นวิถีของตน!”


จักรพรรดิบุปผากล่าว “ข้าละทิ้งกระดูกจักรพรรดิ หลอมกระดูกของตัวเองขึ้นใหม่ หมายจะหวังพึ่งตัวเองเพื่อก้าวเดินบนเส้นทางวิถีของตัวเองจริง ๆ…”


แต่นางประเมินตนเองสูงไป


กระดูกจักรพรรดิมอบพลังทั้งปวงแก่นาง ความน่าทึ่งและความสำเร็จทั้งหมดที่ผ่านมาของนางล้วนมีที่มาจากกระดูกจักรพรรดิ บรรลุขอบเขตด้วยความเร็วอันน่าอัศจรรย์ ตระหนักรู้มหาเต๋าได้ง่ายดายประดุจดื่มน้ำ สำเร็จวิชาอภินิหารทุกชนิดได้ในรอบเดียว!


ทว่าหลังนางสูญเสียกระดูกจักรพรรดิ ทั้งหมดนี้ก็หายตามไปด้วย!


นางคิดว่าตนเองเปลี่ยนแปลงจากเดิมไปนานแล้ว แต่ความจริงนั้นไม่ใช่เลย


เมื่อไร้ซึ่งกระดูกจักรพรรดิ นางสูญเสียพรสวรรค์น่าทึ่งในอดีต นางกลับสู่ช่วงเวลาที่ศักยภาพดาด ๆ ไม่มีพรสวรรค์เลยสักนิด


อย่าว่าแต่แสวงหาหนทางบรรลุเลย แม้แต่ขอบเขตมหาจักรพรรดินี้นางก็เกือบรักษาไว้ไม่ได้!


ปรมัตถ์ของขอบเขตมหาจักรพรรดินั้นซับซ้อนยากจะเข้าใจได้สำหรับนาง นางไม่อาจรู้แจ้งได้เลย!


ครานั้น เป็นช่วงเวลาที่สับสนท้อแท้ที่สุดของนาง


เดิมนางคิดว่าชะตากรรมของตนได้เปลี่ยนไปแล้ว หารู้ไม่ ทั้งหมดเป็นเพียงความว่างเปล่า!


นางอยากบรรจุกระดูกจักรพรรดิกลับมาอีกครั้ง แต่นางนั้นเจ็บใจที่ไม่อาจผสานเป็นหนึ่งกับกระดูกจักรพรรดิ ต่อให้บรรจุกระดูกจักรพรรดิกลับมาก็ทำได้เพียงรักษาขอบเขตมหาจักรพรรดิไว้เท่านั้น นางไม่อาจบรรลุไปไกลกว่านี้


ยามนั้น นางยังอ่อนเยาว์มาก ไฉนเลยจะยอมติดอยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิไปตลอด!


นางเริ่มออกเดินทางไปทั่วทุกพื้นที่ หวังว่าสามารถค้นพบสมบัติล้ำค่าในปฐพีนี้ที่ช่วยเปลี่ยนศักยภาพของนางได้


การเปลี่ยนกระดูกจักรพรรดิเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ปัญหาต้นเหตุนั้นยังอยู่ นางต้องการเปลี่ยนแปลงตนเองอย่างแท้จริง


ทว่าศักยภาพนั้นถูกกำหนดโดยสวรรค์ ไฉนเลยจะเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ๆ นางตามหาอยู่หลายร้อยปีกลับไม่ได้อะไรเลย


ยามนั้น นางร่วงจากขอบเขตมหาจักรพรรดิลงมาแล้ว


นางอยากถอดใจ อยากบรรจุกระดูกจักรพรรดิกลับมา


แต่ในตอนนั้นเอง นางได้ยินข่าวลือเรื่องหนึ่ง ว่ากันว่าในทะเลต้องห้ามมีดอกจื่อจี๋ซึ่งถือกำเนิดจากพลังปราณฟ้าดิน หลังนำไปหลอมละลายแล้วจักสามารถชำระเอ็นล้างกระดูก ฝืนกฎสวรรค์เปลี่ยนชะตาชีวิต!


สุดท้ายนางจึงตัดสินใจเข้าไปเสี่ยงที่ทะเลต้องห้าม!


เป้าหมายของนางนั้นยิ่งใหญ่ ไม่ต้องการติดอยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิ และไม่ต้องการหวังพึ่งกระดูกจักรพรรดินี้ไปตลอด!


“ข้าเข้าไปถึงทะเลต้องห้าม ได้พบสิ่งมีชีวิตในทะเลต้องห้าม ถึงได้รู้ว่าดอกจื่อจี๋ที่ว่าเป็นเพียงข่าวลือ เป็นสิ่งที่มนุษย์จินตนาการขึ้นมาเอง!”


ศักยภาพนั้นยากจะเปลี่ยนแปลง ในปฐพีนี้ไม่มีสมบัติล้ำค่าเยี่ยงนั้น มนุษย์จึงจินตนาการดอกจื่อจี๋ขึ้นมา เก้าแดนต้องห้ามลึกล้ำเกินหยั่ง น่ากลัวเหลือคณา มนุษย์จึงคิดว่าสมบัติล้ำค่าในปฐพีนี้ต้องอยู่ในแดนต้องห้าม


“แม้ว่าดอกจื่อจี๋ไม่มีอยู่จริง แต่ข้าก็ได้เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตน! ทะเลต้องห้ามมีวิชาลับบางอย่าง ช่วยให้ข้าสามารถสลับศักยภาพของผู้อื่น!”


นางลักพาตัวธิดาสวรรค์ระบือนามในยุคนั้น พาตัวกลับไปยังทะเลต้องห้าม ยืมพลังวิชาลับของทะเลต้อมห้ามจนเปลี่ยนแปลงศักยภาพของนางได้สำเร็จ!


แน่นอนว่าทะเลต้องห้ามมิได้ช่วยเหลือนางเปล่า ๆ ทะเลต้องห้ามมีข้อตกลงกับนางว่า ตราบชั่วชีวิตของนางจักต้องเชื่อฟังทะเลต้องห้าม


“นี่คือเหตุผลที่ต่อมาข้ากลายเป็นตำนานมหัศจรรย์ยิ่งกว่ายามข้าได้ครอบครองกระดูกจักรพรรดิเสียอีก!”


จักรพรรดิบุปผามองหลิงอินพลางตวาด “กระดูกจักรพรรดิธรรมชาติเนรมิตอัศจรรย์ปานใด หลังจากข้าละทิ้งกระดูกจักรพรรดินั้นแล้วกลับทรงพลังน่าทึ่งยิ่งกว่าครั้งครอบครองกระดูกจักรพรรดิเสียอีก หากมิได้รับแรงสนับสนุนจากทะเลต้องห้าม มีหรือที่ข้าสามารถทำได้ถึงขั้นนี้! คราวนี้เจ้าเชื่อได้หรือยัง!”


“เจ้าช่างน่าสะอิดสะเอียนเหลือเกิน เดิมคิดว่าความสำเร็จในตอนหลังของเจ้าเกิดจากฝีมือของเจ้าเอง หารู้ไม่ว่าทั้งหมดนี้เจ้าก็ยังขโมยจากผู้อื่นมาตามเดิม!”


หลิงอินชิงชังอย่างยิ่ง


หลังนางได้รู้ว่าจักรพรรดิบุปผาสละกระดูกจักรพรรดิไปแล้วแต่ยังมีพลังน่าทึ่งถึงเพียงนี้ก็นึกประหลาดใจ คิดว่าไม่ควรเป็นเช่นนี้


บัดนี้ทุกอย่างแจ่มชัดแล้ว


ทั้งชีวิตของจักรพรรดิบุปผาล้วนมีที่มาจากการลักขโมย ตัวนางเองหาได้มีความสามารถไม่!


“ชั่วช้าสามานย์ ยิ่งไม่อาจละเว้นโทษเจ้าได้!”


หลิงอินดึงคันยิงศรออกไปอีกครั้ง


จักรพรรดิบุปผาอารามร้อนใจ รีบเอ่ยขึ้น “โลงศพหิน ของเหลวสีดำ เหตุผลที่ต่อมาข้าเปลี่ยนไปจนน่าทึ่งและเป็นตำนานยิ่งกว่าเดิม เท่านี้ยังไม่พอให้เจ้าเชื่ออีกหรือว่าข้ามีความเกี่ยวข้องกับทะเลต้องห้าม”


“ผู้ใดบอกว่าข้าไม่เชื่อ?”


หลิงอินหัวเราะเสียงเย็น จิตสังหารพลุ่งพล่านล้นฟ้า “ข้าบอกไปแล้ว ทะเลต้องห้ามคุ้มหัวเจ้าไม่ได้!”


“เจ้ายอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อผู้ที่ตายสนิทไปแล้วช้านานเช่นนี้คุ้มแล้วหรือ!?”


จักรพรรดิบุปผาคำราม


“คุ้ม!”


สายตาหลิงอินแน่วแน่ ต่อให้เบื้องหลังของนางไม่มีท่านเซียน ต่อให้ทะเลต้องห้ามจักเอาชีวิตของนาง นางก็ไม่มีทางปล่อยจักรพรรดิบุปผาไปเด็ดขาด นางจักล้างแค้นแทนเสี่ยวหยาให้ได้!


พรวด พรวด พรวด!


เลือดสาดกระเซ็น จักรพรรดิบุปผาเริ่มต้านไม่ไหว บาดแผลเริ่มปรากฏบนตัวนาง พลังปราณก็อ่อนแรงเรื่อย ๆ


หลิงอินตาเป็นประกาย เพิ่มพลังโจมตีให้หนักข้อขึ้น หมายจะกำราบจักรพรรดิบุปผาให้ได้อย่างอดรนทนไม่ไหว แล้วให้จักรพรรดิบุปผาประสบความเจ็บปวดเฉกเช่นเดียวกับที่เสี่ยวหยาต้องเจอในครานั้น!


นางไม่มีทางยอมปล่อยจักรพรรดิบุปผาไปง่าย ๆ จักให้จักรพรรดิบุปผาต้องตายอย่างทุกข์ทรมาน!

บทที่ 327

“นี่หรือคือชีวิตที่ผ่านมาของจักรพรรดิบุปผา!?”


“ทั้งหมดล้วนเป็นของคนอื่นหรือ!”


บรรดาจ้าวสูงสุดยุคโบราณเบิกตากว้าง พวกนางมีพลังค่อนข้างสูง จึงได้ยินวาจาที่จักรพรรดิบุปผากล่าว


พวกนางไม่รู้ต้องสรรหาคำใดมาเอื้อนเอ่ย รู้สึกระคายใจอย่างยิ่ง อะไรกัน จักรพรรดิบุปผามิเคยพึ่งตนเอง ทั้งหมดล้วนลักเอาจากผู้อื่นทั้งนั้น!


“ในยุคโบราณ โอรสธิดาสวรรค์มากมายหายตัวไปอย่างลึกลับ แต่ละตระกูลอลหม่านกันแทบบ้า แต่สุดท้ายก็ไม่เจอตัวว่าเป็นฝีมือผู้ใด! บัดนี้ความจริงเปิดเผย เป็นฝีมือของนางทั้งหมด!”


“ไร้มนุษยธรรมจริง ๆ ทำร้ายใครต่อใครไปตั้งเท่าใดเพียงเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง!!!”


บรรดาจ้าวสูงสุดจากยุคโบราณสบถก่นด่า คนเราสามารถอำมหิตเห็นแก่ตัวได้ถึงปานใด จักรพรรดิบุปผาช่วยให้พวกนางได้เห็นแล้ว


“บรรพจารย์ทั้งหลาย พวกท่านพูดถึงเรื่องใดอยู่หรือ”


“เล่าให้พวกเราฟังบ้างสิ!”


สมาชิกหุบเขาคงหลิงไม่น้อยพากันปริปาก ขอบเขตพลังของพวกนางต่ำต้อยเกินไป ไม่อาจได้ยินบทสนทนาของจักรพรรดิบุปผา


“น่าชิงชังนัก!”


“นี่คือความอัปยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเราหุบเขาคงหลิง!”


บรรดาจ้าวสูงสุดจากยุคโบราณได้ยินกันถ้วนหน้าว่าจักรพรรดิบุปผาเอ่ยสิ่งใดออกมาบ้าง


“อะไรนะ!”


“ผู้ที่พวกเราเคารพนับถือเป็นคนเยี่ยงนี้หรือนี่!?”


หลังสมาชิกหุบเขาคงหลิงได้ฟังก็อึ้งกันหมด


จักรพรรดิบุปผาผู้เป็นตำนานที่พวกนางภาคภูมิที่แท้เป็นโจรหรือนี่!


คนผู้นี้สารเลวจริง ๆ!


พรวด พรวด พรวด!


อีกด้าน บาดแผลตามตัวจักรพรรดิบุปผามากขึ้นเรื่อย ๆ เลือดไหลไม่หยุด นางกลายเป็นมนุษย์เลือดไปอย่างสิ้นเชิง สภาพน่าอนาถเหลือคณา


นางคำรามกราดเกรี้ยว “ที่ข้านิทราในที่แห่งนี้เป็นคำสั่งของทะเลต้องห้าม ในอนาคต พวกมันจักเข้ามาปลุกข้า! เจ้าฆ่าข้าไป แรงกายแรงใจที่ทะเลต้องห้ามใช้ไปกับการบำเพ็ญข้าจะเสียเปล่า แผนการก็ได้รับผลกระทบ ถึงครานั้น ทะเลต้องห้ามย่อมไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ เจ้าไม่มีทางจบดีแน่!”


นางยังกระเสือกกระสนหาทางรอด หวังว่าทะเลต้องห้ามจักข่มขวัญหลิงอินได้บ้าง


อนิจจา หลิงอินไม่เคยกลัวทะเลต้องห้ามอะไรนั่นมาตั้งแต่ต้น!


หลิงอินไม่ว่ากล่าวสิ่งใด คันศรใหญ่ในมือยิงออกไปอย่างไม่หยุดหย่อน เพลงฉินที่ร่างอวตารเป็นผู้บรรเลงก็ดังต่อไปเรื่อย ๆ เงาคล้ายนางเซียนกับศรอาบแสงจู่โจมจักรพรรดิบุปผาไม่เลิกรา!


เสียงดังพรวด ท้ายที่สุดจักรพรรดิบุปผาก็ทานไม่ไหว ถูกศรยิงร่วงจากนภา ตรึงร่างไว้กับพื้น


พลังปราณของนางอ่อนแรงถึงขีดสุด พลังในกายเหลืออยู่เพียงน้อยนิด การต่อสู้ดุเดือดนี้ผลาญพลังของนางไปจนหมด


“อ๊าก อ๊าก อ๊าก!”


นางคำรามเสียงโศกา ระทมทุกข์เป็นหนักหนา


นางอยู่เหนือมหาจักรพรรดิ แต่กลับพ่ายแพ้ให้ราชันเทวาคนหนึ่ง จะให้นางรู้สึกดีได้เยี่ยงไร


นับแต่โบราณกาล นางคงเป็นคนแรกที่อนาถถึงเพียงนี้กระมัง!


“อย่าโหวกเหวก ประเดี๋ยวมีเวลาให้เจ้าใช้เสียง ไว้ค่อยครวญครางตอนนั้นแล้วกัน!”


หลิงอินเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเย็นชา


ในที่สุดนางก็กำราบจักรพรรดิบุปผาลงได้!


“ปล่อยข้าไปเถิด ขอร้อง ปล่อยข้าไปเถิด! ให้โอกาสข้าสักครา เจ้าให้ข้าทำสิ่งใดก็ยอม!”


จักรพรรดิบุปผาร่ำไห้ขอความเมตตา นางไม่อยากตายจริง ๆ


“ปล่อยเจ้าไปหรือ!?”


หลิงอินเดือดดาลจนแทบคุมไม่อยู่ “เจ้ายอมปล่อยเสี่ยวหยาหรือ? เสี่ยวหยามิได้ขอให้เจ้าอย่าฆ่านาง นางขอเพียงเจ้านำร่างของนางไปด้วย แล้วเจ้าทำสิ่งใดไป เจ้าไม่เพียงแต่ไม่พาร่างของเสี่ยวหยาไป ซ้ำร้ายยังเย็บติดศีรษะของเสี่ยวหยา กลัวว่าพี่ชายของเสี่ยวหยาจะจำนางไม่ได้!”


นางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ยิ่งคิดยิ่งแค้น สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง


“เจ้ายังมีหน้ามาขอร้องข้าให้ปล่อยเจ้าไปอีกหรือ!”


ดวงตาของนางจ้องเขม็งจักรพรรดิบุปผาด้วยความกราดเกรี้ยว เปลวเพลิงโทสะลุกโชนถึงขีดสุด


กระนั้นนางยังข่มใจตัวเองไว้ได้


นางกลัวว่าตัวเองจะปลิดชีพจักรพรรดิบุปผาไปเฉย ๆ!


หากเป็นเช่นนั้นจักรพรรดิบุปผาคงสบายเกินไป!


หลังได้ยินวาจาของหลิงอิน จักรพรรดิบุปผาสำนึกเสียใจเป็นที่สุด


นางช่างแกว่งเท้าหาเสี้ยนเก่งเหลือเกิน!


ไยต้องฉายภาพเหตุการณ์ในครานั้นขึ้นมาอีกครั้งด้วย!?


ตอนนี้สิดี…เหมือนนางยกหินทุ่มใส่เท้าตนเอง อยากตายดี ๆ ยังยาก!


“ข้าจักบรรเลงบทเพลงเพื่อส่งเจ้า!”


หลิงอินกล่าวเสียงเยียบเย็น


จากนั้น ร่างอวตารของนางนำฉินเฟิ่งหมิงมาที่นี่


ร่างอวตารของนางเริ่มดีดบรรเลง คลื่นพลังประหลาดปกคลุมจักรพรรดิบุปผา


“เจ้า…เจ้าคิดจะทำอันใด!?”


จักรพรรดิบุปผากลัวจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง นางตระหนักขึ้นมาว่านางจะตกอยู่ในสภาพน่าสังเวช!


“ให้เจ้าได้ลิ้มรสสิ่งที่เจ้าได้กระทำกับเสี่ยวหยา!”


หลิงอินยกมือเรียกมีดสั้นเล่มหนึ่งออกมา นางมองจักรพรรดิบุปผาพลางกล่าว “เพลงฉินบทนี้มีคุณสมบัติสร้างความทวีคูณ ประสาทสัมผัสด้านต่าง ๆ ของเจ้าจักเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว รวมถึงความเจ็บปวดของเจ้าด้วย!”


นางกรีดมีดสั้นผ่านร่างจักรพรรดิบุปผาเบา ๆ ผิวหนังไม่ถลอกด้วยซ้ำ ทว่าจักรพรรดิบุปผากลับรู้สึกเหมือนถูกกระบี่คมแทงเข้ากระดูก เจ็บขนาดที่จักรพรรดิบุปผารับไม่ไหว คำรามเสียงร้าวราน


“เจ้า…เจ้าฆ่าข้าเถิด!”


จักรพรรดิบุปผาตะโกนลั่น บัดนี้นางปรารถนาเพียงความตาย


มีดสั้นกรีดผ่านผิวหนังนางเบา ๆ นางเจ็บจนทนไม่ไหวปานนี้ หากต้องถูกขุดกระดูกจริง ๆ ต้องเจ็บปวดเพียงใด!?


นางมิกล้าคิด!


“คนชั่วเวรกรรมย่อมตามสนอง บาปที่เจ้าได้กระทำ ท้ายที่สุดเจ้าต้องเป็นผู้ชดใช้เอง!”


สีหน้าหลิงอินเย็นชา นางไม่เคยโกรธแค้นผู้ใดเท่านี้มาก่อน นางไม่สามารถให้อภัยจักรพรรดิบุปผาได้เลย!


นางลงมือด้วยตัวเอง มีดสั้นกรีดผ่านเลือดเนื้อของจักรพรรดิบุปผา ค่อย ๆ ขุดกระดูกของจักรพรรดิบุปผาออกมาทีละน้อย!


ระหว่างนี้ จักรพรรดิบุปผาปวดร้าวใจแทบขาด เจ็บจนทนไม่ไหว ความเจ็บปวดที่ทวีคูณนี้แม้แต่ตัวตนขอบเขตมหาจักรพรรดิอย่างนางยังต้านทานไม่ได้!


“เจ้ารู้จักเจ็บด้วยหรือ! เสี่ยวหยาเล่า? ยามเจ้าขุดกระดูกเสี่ยวหยาไยไม่คิดบ้างว่าจะพบจุดจบอย่างวันนี้!”


หลิงอินไม่เห็นใจจักรพรรดิบุปผาแม้แต่น้อย จุดจบเยี่ยงนี้สาสมแก่จักรพรรดิบุปผาแล้ว!


ทว่าท้ายที่สุดนางก็มิใช่จักรพรรดิบุปผา นางไม่เหมือนจักรพรรดิบุปผา ไม่อาจอำมหิตเช่นนาง


หลังขุดกระดูกของจักรพรรดิบุปผาออกไป นางยิงศรทะลุวิญญาณจักรพรรดิบุปผา ปลิดชีพนางลง ณ ที่นี้


นางต้องการให้จักรพรรดิบุปผาได้ลิ้มรสความเจ็บปวดของการขุดกระดูก!


จากนั้น นางทำลายกระดูกและกายเนื้อของจักรพรรดิบุปผาจนราบคาบ ไม่ให้เหลือแม้แต่น้อย!


นางยังเก็บโลงศพหินและของเหลวสีดำประหลาดไปอีกด้วย


โลงศพหินและของเหลวสีดำประหลาดไม่ธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด นางต้องการศึกษาเมื่อมีเวลา


“หากมีคนจากทะเลต้องห้ามมา พวกเจ้านำข่าวมาแจ้งข้าได้เลย”


หลิงอินมาอยู่ข้างกายพวกจ้าวหุบเขา “พวกเจ้ามีศาสตราที่ติดต่อสื่อสารได้ทุกเมื่อใช่หรือไม่ นำมาให้ข้าสักชิ้น”


นางเห็นการกระทำสุดท้ายของจ้าวหุบเขาและสมาชิกอื่น ๆ ของหุบเขาคงหลิงทั้งหมด


ทำผิดไม่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคือไม่ยอมรับผิด ไม่ยอมปรับปรุงแก้ไข


จ้าวหุบเขาและสมาชิกอื่น ๆ ของหุบเขาคงหลิงรู้จักแก้ไขเมื่อทำผิด ไม่แม้แต่จะกลัวความตาย ข้อนี้หาได้ยากยิ่ง


และเพราะเหตุนี้ นางถึงขอศาสตราที่ใช้ติดต่อได้ทุกเมื่อจากจ้าวหุบเขา


ตามคำกล่าวอ้างของจักรพรรดิบุปผา ทะเลต้องห้ามไม่มีทางเลิกราง่าย ๆ หากพวกมันมาจริง หุบเขาคงหลิงไม่อาจสกัดได้เลย


ในเมื่อเหล่าสมาชิกของหุบเขาคงหลิงสำนึกผิดแล้ว เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพาผู้บริสุทธิ์ติดร่างแหไปด้วย นางจะรับผิดชอบเรื่องนี้ ต่อกรกับทะเลต้องห้ามด้วยตนเอง!


“มี!”


จ้าวหุบเขาเข้าใจเจตนาของหลิงอิน นางสั่งให้ผู้อาวุโสนำศาสตราที่ใช้ติดต่อได้ทุกเมื่อมาและยื่นให้หลิงอิน


หลิงอินรับศาสตรามาพลางพยักหน้า “จริงสิ นำแท่นค่ายกลมาให้ข้าเยอะ ๆ ให้ข้าสะดวกแก่การมาที่นี่ได้ทุกเมื่อ”


“ได้!”


จ้าวหุบเขาสั่งให้ผู้อาวุโสนำแท่นค่ายกลเข้ามาอีก ก่อนจะยื่นให้หลิงอิน


“ก่อกรรมทำเข็ญ ภัยย่อมย้อนมาถึงตัว ไตร่ตรองดี ๆ เรื่องของจักรพรรดิบุปผาถือว่าเป็นอุทาหรณ์เตือนใจ เดินบนวิถีที่ถูกต้อง อย่าหลงไปบนเส้นทางนอกรีต!”


หลิงอินกล่าว ก่อนจะคลี่แท่นค่ายกลออก ก้าวขึ้นไปและไปจากที่นี่


เวลานี้ฟ้าเพิ่งสาง ไม่มีผู้ใดคิดได้ว่าภายในเวลาหนึ่งคืนจะเกิดเหตุการณ์มากมายเยี่ยงนี้ และที่ยิ่งคิดไม่ถึงคือ การดำรงอยู่ซึ่งอยู่เหนือมหาจักรพรรดิตนหนึ่งต้องสิ้นชีพอย่างสมบูรณ์!

บทที่ 328

ท่ามกลางมหาสมุทรกว้างไกลมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด


ที่นี่พิศวงชวนผวาเป็นพิเศษ ผืนน้ำทะเลเป็นสีดำล้วน มีหมอกพิษปกคลุมอยู่ตลอด ขาดแคลนความมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก!


ปักษาที่บินผ่านไปบนฟ้าพิลึกน่ากลัว พวกมันมีใช่นกธรรมดา แต่ละตัวล้วนเป็นโครงกระดูกปักษา ทั้งยังมีเศษเนื้อเน่าเปื่อยติดอยู่หร็อมแหร็ม โลหิตสีดำหยดย้อย เห็นแล้วชาไปทั้งหนังศีรษะ น่าสะอิดสะเอียนที่สุด


เกลียวคลื่นทะเลซัดสาด มีปลากระโจนขึ้นจากน้ำ ซึ่งหาใช่ปลาธรรมดาอีกเช่นเคย แต่เป็นปลาที่มีเศษเนื้อเน่าเปื่อยเกาะติดก้าง


ครืน!


เสียงระเบิดดังมาจากอากาศ ชั้นบรรยากาศที่นี่โกลาหลบิดเบี้ยวเป็นพิเศษ แม้กระทั่งแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาจากฟ้ายังถูกบดบัง ไม่อาจทาบทับสถานที่แห่งนี้


ที่นี่มิใช่ดินแดนหยิน ที่นี่มิใช่ดินแดนฮวง ที่นี่มิใช่ดินแดนฝอ ไม่มีดินแดนใดสามารถประกาศสิทธิ์ว่ามหาสมุทรผืนนี้อยู่ในดินแดนของตน!


ที่นี่คือแดนต้องห้าม ห้ามมิให้สิ่งมีชีวิตทั้งปวงเข้าใกล้ ผู้ใดบังอาจบุกเข้ามา ยากจะรอดออกไปได้


ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนในยุคโบราณ ยังยำเกรงในทะเลแดนต้องห้ามนี้เป็นที่สุด ไม่กล้าเข้าใกล้แม้แต่น้อย!


ใช่แล้ว ที่นี่คือหนึ่งในเก้าแดนต้องห้าม ทะเลต้องห้าม!


จุดสิ้นสุดของน้ำทะเลสีดำมีเกาะมหึมาแห่งหนึ่งลอยอยู่ บนเกาะเต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างโบราณทุกชนิด กลิ่นอายกาลเวลาเข้มข้นเป็นพิเศษ จนไม่อาจแน่ใจได้ว่าสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้เกิดขึ้นในยุคใด


“หืม!?”


ภายในตำหนักใหญ่แห่งหนึ่ง สิ่งมีชีวิตตนหนึ่งขมวดคิ้วขณะส่งเสียงออกมา


นี่คือสิ่งมีชีวิตที่ครึ่งท่อนบนเป็นมนุษย์ ครึ่งท่อนล่างเป็นงู พลังปราณสยดสยองท่วมท้นฟ้า


“หนึ่งในองครักษ์อุบัติกาลเกิดเรื่องแล้ว…”


เขาเอ่ยเสียงเบา สีหน้าเคร่งขรึม เขาถือครองรายชื่อองครักษ์อุบัติกาล เมื่อครู่จากรายชื่อองครักษ์อุบัติการนี้ เขาสัมผัสได้ว่าพลังปราณของสมาชิกผู้หนึ่งหายไป


หมายความว่าสมาชิกผู้นั้นตายแล้ว!


องครักษ์อุบัติกาลคือ องครักษ์ที่พวกเขาเตรียมการไว้เป็นอย่างดี มีประโยชน์มหาศาล เป็นหนึ่งข้อต่อของแผนใหญ่พวกเขา


“มีคนจากแดนสังสารวัฏมาเยือนอาณาจักรนี้ จะใช่ฝีมือของคนจากแดนสังสารวัฏหรือไม่”


เขาขมวดคิ้วเป็นปมกว่าเดิม


สิ่งที่แดนสังสารวัฏหมายตานั้นไม่ต่างจากพวกเขามากนัก เขาจึงสงสัยแดนสังสารวัฏขึ้นมาในใจ


“มีวี่แววของการปรากฏในทุก ๆ เหตุการณ์ ใกล้จะอลหม่านแล้วจริง ๆ!”


เขาหัวเราะเสียงเย็น สิ่งที่พวกเขารอคอยเริ่มงอกงามขึ้นมาบ้างแล้ว อาณาจักรนี้เริ่มไม่สงบอย่างที่คิด เกิดเรื่องกับองครักษ์อุบัติกาล!


เขาส่งยอดฝีมือออกไปสืบค้น ข้อมูลที่เขามีในตอนนี้น้อยเกินไป


...


ณ เขาหยงหมิง เหยียนโจว


หลิงอินกลับมาแล้ว นางใช้พลังจากค่ายกลเคลื่อนย้าย เพียงไม่นานก็เดินทางจากหุบเขาคงหลิงกลับมาถึงเขาหยงหมิง


นางกลับไปอยู่ในห้องของตน อารมณ์ไม่ดีเท่าไรนัก


ถึงแม้นางสังหารจักรพรรดิบุปผา ล้างแค้นแทนเสี่ยวหยาได้แล้ว กระนั้นเมื่อหวนระลึกถึงชีวิตที่ผ่านมาของเสี่ยวหยา นางไม่อาจดีใจได้ไหว


ชีวิตของเสี่ยวหยาโชคร้ายเหลือเกิน…


บุพการีตายจากตั้งแต่ยังเด็ก เหลือพี่ชายเพียงคนเดียวที่พึ่งพาอาศัยกัน ต่อมา แม้แต่พี่ชายก็ยังหายตัวไป ท้ายที่สุดต้องมาเจอจักรพรรดิบุปผาที่เลวยิ่งกว่าเดรัจฉาน ถูกขุดกระดูกจักรพรรดิธรรมชาติเนรมิตไปทั้งเป็น!


“เสี่ยวหยา…”


นางถอนหายใจหนักหน่วง


เสี่ยวหยามีกระดูกจักรพรรดิติดตัวมาตั้งแต่เกิด อนาคตย่อมต้องเฉิดฉายยิ่งใหญ่ ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าชะตากรรมของนางช่างลำเค็ญนัก ไม่ทันได้เปล่งประกายเจิดจ้าก็ถูกจักรพรรดิบุปผาทำร้าย ต้องจากโลกนี้ไปอย่างเจ็บปวด…


“เพราะเหตุใด!?”


นางเจ็บใจยิ่ง กำหมัดแน่นขณะคาดคั้นสวรรค์ด้วยความแค้นใจ วิถีสวรรค์ปรวนแปรเกินหยั่งเป็นที่สุด นาทีก่อนเปี่ยมไปด้วยวาสนา นาทีต่อมาก็ต้องประสบเคราะห์ร้าย


“เสี่ยวหยา ข้าจักนำเจ้าไปฝังไว้ใกล้ ๆ เมืองชิงซาน ที่นั่นคือสถานที่ที่ดีที่สุด!”


นางสงบจิตใจ เอ่ยเสียงแผ่ว


...


แสงตะวันเหลืองอร่าม พระอาทิตย์เพิ่งลอยตัวขึ้น หลี่จิ่วเต้าตื่นมาแล้วรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษ


เขาล้างหน้าล้างตาอย่างลวก ๆ ก่อนเข้ามาอยู่ในลานซึ่งมีทัศนียภาพสวยดุจภาพวาด ออกลวดลายมวยไปชุดหนึ่งเนิบ ๆ


มิใช่วิชามวยเก่งกาจอันใด หาได้มีพลังทำลายล้างไม่ นี่คือวิชามวยที่เขาคิดค้นขึ้นเอง ใช้ออกกำลังกายเป็นปกติ


“น่ากลัวเกินไปแล้ว!”


หน้าประตูลาน ผู้อาวุโสเก้าตระกูลซางยกข้าวเช้ามาให้หลี่จิ่วเต้า ทันเห็นหลี่จิ่วเต้าต่อยมวยพอดี


เขาเห็นแล้วชาไปทั้งหนังศีรษะ สะเทือนไปทั้งดวงวิญญาณ ตัวสั่นหงึกหงัก


ทุกหมัดทุกลูกเตะของท่านเซียนล้วนมีจังหวะแห่งเต๋าสูงส่งเกินจินตนาการไหลเวียน ลึกล้ำเหนือสิ่งทั้งปวง อยู่เหนือสรรพวิถีในใต้หล้า!


เขาไม่สงสัยเลยว่าหากท่านเซียนตั้งใจ หมัดเดียวของท่านเซียนอาจพังทลายอาณาจักรแห่งนี้ได้!


ภายในลาน หลี่จิ่วเต้าต่อยมวยจบไปหนึ่งชุด สบายผ่อนคลายไปทั้งตัว


ตื่นเช้าจำต้องออกกำลังกายสิดี…


เมื่อผู้อาวุโสเก้าเห็นว่าท่านเซียนต่อยมวยจบแล้ว จึงรีบยกข้าวเช้าเข้าไป


“มวยชุดนี้ของท่านเซียนยอดเยี่ยมยิ่ง!”


ผู้อาวุโสเก้ากล่าว พร้อมกับวางอาหารเช้าไว้บนโต๊ะในลาน


นี่เขาทำตัวแวร์ซาย*[1]ใส่ข้าหรือ?


หลี่จิ่วเต้านึกถึงคำศัพท์ดังในดาวเคราะห์สีฟ้า แวร์ซาย


เขาคิดในใจไปว่า มวยของข้ายอดเยี่ยมเพียงใดแล้วจะสู้ผู้ฝึกตนได้หรือ?


ผู้อาวุโสเก้าผู้นี้ดูก็รู้ว่าชำนาญในด้านแวร์ซายเป็นอย่างดี!


เขาไม่ให้โอกาสผู้อาวุโสเก้าได้ทับถมเขา รีบเอ่ยขึ้นพลางยิ้ม “ต่อยไปเรื่อย ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง อย่าได้กล่าวถึงอีกเลย”


หลังรับมื้อเช้าเสร็จ หลิงอิน เซี่ยเหยียน อันหลานเสวี่ย พวกอ้ายฉาน ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียน และพวกสือเฟิงต่างเดินทางมาที่นี่


พวกเขานัดกันไว้ว่าจะไปเดินเล่นแถบเขาหยงหมิง


“ทุกท่านอยู่กันพร้อมหน้าเยี่ยงนี้จะไปไหนหรือ จะกลับกันแล้วหรือ”


ทันทีที่พวกหลี่จิ่วเต้าลงจากเขาหยงหมิงก็ได้พบหานเยว่จากตระกูลหาน หานเยว่ถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม


หลี่จิ่วเต้าหัวเราะ “มาภาคกลางครั้งแรก อย่างไรก็ต้องออกไปเดินท่องดูบรรยากาศหน่อยมิใช่หรือ”


“อ้อ แบบนี้นี่เอง”


หานเยว่งามพิลาส กล่าวแย้มยิ้ม “ทิวทัศน์แถบเขาหยงหมิงไม่เลวทีเดียว”


นี่เป็นการพบกันโดยบังเอิญหรือ?


ไม่ใช่เลย


นางได้รับคำสั่งจากผู้นำตระกูล ให้นางจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกหลี่จิ่วเต้าอย่างใกล้ชิด นางจึงมารออยู่ใต้เขานานแล้ว


ตระกูลหานในยุคนี้มองไม่เห็นความหวังในการชนะแต่อย่างใด จึงตั้งใจเข้าเป็นพรรคพวกกับอาณาจักรเทียนหยวน และข้อมูลของยอดนิกายคือของขวัญแสดงความภักดีของพวกเขาต่ออาณาจักรเทียนหยวน


พวกเขาจะพิชิตพวกหลี่จิ่วเต้า เพื่อให้ได้ข้อมูลของยอดนิกายมามากกว่านี้!


พวกเขาได้ตกลงร่วมมือกับเผ่าฉงฉี และจะลงมือร่วมกัน


เมื่อได้ยินว่าหลี่จิ่วเต้าจักออกไปเดินเล่นรอบ ๆ ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจหานเยว่ทันที


“ข้าชอบท่องเที่ยวขุนเขาชมทัศนียภาพเป็นที่สุด หลังมาอยู่ที่ภาคกลาง ข้าไม่ได้ทำการอื่น แต่ไปไถ่ถามถึงทิวทัศน์งดงามในภาคกลางมีแหล่งใดบ้างเป็นอันดับแรก แล้วก็…ออกไปท่องเที่ยวชมธรรมชาติ”


หานเยว่ยิ้มละไม “หากทุกท่านอยากชมทิวทัศน์กันจริง ๆ ข้าขอแนะนำยอดเขาท่องนภาของภาคกลาง ทัศนียภาพที่นั่นวิจิตรราวภาพวาด ได้รับขนานนามว่าเป็นแดนวิมานในโลกมนุษย์”


“ยอดเขาท่องนภาหรือ”


หลี่จิ่วเต้าตาเป็นประกาย เมื่อได้ยินคำแนะนำของหานเยว่ เขาสนอกสนใจเป็นอย่างมาก


“อืม”


หานเยว่พยักหน้า “มาภาคกลางแล้วไม่ไปยอดเขาท่องนภาได้เยี่ยงไร ที่นั่นคือสถานที่ที่ต้องไปให้ได้!”


ปุถุชนคนหนึ่ง มัวเตร็ดเตร่ไปทั่วอยู่ได้…


หนนี้เจ้าจะเตร็ดเตร่จนชีวิตหาไม่!


หานเยว่คิดในใจ


ปุถุชนเฉกเช่นหลี่จิ่วเต้าย่อมไม่มีประโยชน์ใด ถึงคราวนั้นฆ่าได้ง่าย ๆ


ทว่าท้ายที่สุดนางต้องขอบคุณปุถุชนอย่างหลี่จิ่วเต้า


หากมิใช่ปุถุชนอย่างหลี่จิ่วเต้าที่ชอบเดินเล่นเตร็ดเตร่ ไฉนเลยนางจะมีโอกาสเช่นนี้


ปุถุชน เจ้านี่ดีจริง…


หานเยว่หัวเราะในใจด้วยความเบิกบาน



[1] ทำตัวแวร์ซาย เป็นศัพท์แสลงของจีน หมายถึง คนที่แกล้งถ่อมตัวแต่จริง ๆ อวดเนียน ๆ

บทที่ 329
“เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?”

หลี่จิ่วเต้ามองผู้เฒ่าเฮ่อกับสือเฟิง พวกเขาสองคนมาจากภาคกลาง

“ใช่ขอรับ ทิวทัศน์ของยอดเขาท่องนภาไม่ควรพลาดจริง ๆ นายท่าน ยอดเขาท่องนภาเป็นสถานที่งดงามแห่งหนึ่งเชียว”

ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกล่าว

“เอาสิ เช่นนั้นพวกเราอยู่เที่ยวชมยอดเขาท่องนภาสักหลายวันก็ดี”

หลี่จิ่วเต้ามองหานเยว่และกล่าวว่า “ขอบคุณแม่นางที่แนะนำ”

“ไม่ต้องขอบคุณ เป็นเรื่องธรรมดา”

หานเยว่แย้มยิ้มแต่ในใจกล่าวว่า ข้าควรจะขอบคุณเจ้ามากกว่า

จากนั้นนางก็กล่าวลาจากไป กลับเขาหยงหมิงของตระกูลหาน

“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือไม่”

แม่เฒ่าตระกูลหานถามหานเยว่

“อืม มีเจ้าค่ะ!”

หานเยว่เล่าทุกอย่างให้แม่เฒ่าฟัง

หลังจากได้ยิน แม่เฒ่าก็หัวเราะออกมาพลางกล่าวว่า “เยว่เอ๋อร์ เจ้าทำดีมาก!”

เมื่ออยู่บริเวณใกล้เขาหยงหมิง พวกเขาลงมือไม่ได้

ถึงอย่างไร ยอดฝีมือของแต่ละตระกูลโบราณกับสำนักชื่อดังล้วนแต่อยู่ในเขาหยงหมิง หากลงมือใกล้เขาหยงหมิงมันเสี่ยงเกินไป

หานเยว่แนะนำให้พวกหลี่จิ่วเต้าไปเที่ยวที่ยอดเขาท่องนภา นี่ถือเป็นโอกาสดีของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

พวกเขาสามารถเตรียมการในยอดเขาท่องนภาเอาไว้ล่วงหน้า ถึงเวลานั้น พวกเขาจะมั่นใจมากขึ้น!

"ข้าทำไม่ได้ดีขนาดนั้นหรอก หลี่จิ่วเต้าผู้นั้นต่างหากที่ยอดเยี่ยม รับไม้ต่อไปจัดการ”

หานเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม นางไม่คิดว่ามันจะราบรื่นถึงเพียงนี้ นี่เพราะหลี่จิ่วเต้าช่วยเอาไว้มาก

“ฮ่าฮ่า ถึงเวลานั้นก็เก็บศพหลี่จิ่วเต้าเอาไว้ให้ครบสมบูรณ์แล้วกัน ถือว่าเขาช่วยทำเรื่องดี ๆ!”

แม่เฒ่าหัวเราะเสียงดังพลางกล่าวว่า “ข้าจะนำเรื่องนี้รายงานท่านประมุข!”

ผู้อาวุโสของตระกูลหานกับผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลหาน รวมถึงบรรพชนของตระกูลฉงฉีที่ใกล้มาถึงเขาหยงหมิงแล้ว จึงต้องเตรียมพร้อมลงมือตามแผนการ

นางพลันออกจากเขาหยงหมิงและตามหาผู้อาวุโสตระกูลอื่น

...

แดนฝอ

ยอดเขาจิ่วฉง

ที่แห่งนี้คือสถานที่กักขังพุทธสาวกที่กระทำความผิด

ต้าเต๋อนั่งอยู่บนสิงโตแปดหัว ทั่วตัวมีสีขนเปล่งประกาย ในมือถือไหสุรา ทั้งร่างของเขาเจือไปด้วยกลิ่นสุรารสเข้ม

เขายกไหสุราขึ้นจิบอีกครั้ง ใบหน้าเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองพลางกล่าวว่า “นี่ เจ้าสิงโตแปดหัวตัวประหลาด เจ้าคิดว่าเหตุใดพระสังฆราชถึงขังข้าไว้ในนี้?”

"..."

สิงโตแปดหัวพูดไม่ออกแต่ในใจกล่าวว่า เจ้าถามข้า แล้วข้าจะไปถามใครกัน!

ช้าก่อนนะ สิงโตแปดหัวตัวประหลาดคืออันใดกัน!!!

บัดซบ!

เจ้าน่ะสิประหลาด!

บิดาของมันอยู่ในตระกูลเก่าแก่อย่างสิงโตทองเก้าหัว สายเลือดสูงส่งมาก ครั้งหนึ่งบรรพชนเคยเป็นพาหนะของพระเถระองค์ใหญ่ผู้สูงศักดิ์มิใช่หรือ?

ตัวมันมีแปดหัว นั่นเป็นเพราะถูกเจ้าตัดหนึ่งหัวไปทำน้ำแกงมิใช่หรือ!!!

ยิ่งเณรน้อยคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดจึงกระดกสุราเข้าไปอีกอึกหนึ่ง

“สุราของพระอากาศครรภมหาโพธิสัตว์ไม่เลว ข้าเมาแล้ว...เมื่อใดพระสังฆราชจะปล่อยข้าไปเสียที”

เณรน้อยนอนเมาอยู่บนสิงโตแปดหัวพลางเอ่ยเสียงเบา

“คงอีกไม่นานแล้ว พระสังฆราชไม่ได้โกรธเจ้า ครั้งนี้ข้าเดาว่าคงลงโทษเจ้าเล็กน้อย”

สิงโตแปดหัวกล่าว

ฐานะของพุทธบุตรกลับชาติมาเกิดนั้นสูงส่งเกินไป พระสังฆราชย่อมไม่ทำอะไรกับเณรน้อยอย่างแน่นอน

หากมันไม่รู้เรื่องนี้ มันคงกัดเณรน้อยตายไปแล้ว มันจะปล่อยให้เณรน้อยตัดหัวมันไปทำน้ำแกงดื่มได้อย่างไร!

มันก้าวเข้าสู่ขอบเขตเทวาแล้ว เณรน้อยห่างชั้น ยากจะเป็นคู่ต่อกรของมัน

“เป็นเช่นนั้นหรือ?”

เณรน้อยเมามายไม่ได้สติ “เอาไว้ตอนเย็น... น้ำแกงอร่อยดี ถ้าเช่นนั้น...รอข้ากินหมดค่อยปล่อยข้าออกไปก็ได้”

“!!!”

สิงโตแปดหัวสบถสาปส่งในใจ มันอดนึกถึงหัวสิงโตของมันอย่างเสียมิได้!!!

มารดามันเถอะ! อยากถูกถีบสักคราหรือไม่!

พระสังฆราช ท่านรีบปล่อยตัวหายนะน้อยนี้ไปเสียที ท่านไม่ลงโทษตัวหายนะน้อย แต่ขังเขาไว้ที่นี่นับเป็นการลงโทษข้าโดยแท้!

หากช้ากว่านี้เกรงว่าจะไม่เหลือหัวแล้ว!

มันภาวนาในใจถึงพระพระสังฆราชให้รีบปล่อยเณรน้อยออกไปเร็ว ๆ

“เฮ้อ...”

เณรน้อยถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขารู้ว่าครั้งนี้ไม่ง่ายอย่างนั้นแน่นอน

ดูจากท่าทีของพระพระสังฆราชที่มีต่อเขา...

หากไม่ใช่เรื่องใหญ่ พระสังฆราชคงไม่ปฏิบัติกับเขาเช่นนี้

“ช่างเถอะ อย่ากังวลไป ทำทุกวันให้มีความสุขก็พอ!”

เณรน้อยปรือตาก่อนจะหลับไป

...

ณ เหยียนโจว แดนบูรพาทิศ เมืองชิงซาน

ภายในลานบ้านของหลี่จิ่วเต้า

จ๋อม จ๋อม!

ในโอ่งน้ำ มีมัจฉากลุ่มหนึ่งจับกลุ่มคุยกันบางอย่าง

แม้จะไม่ได้พูดออกมาแต่พวกมันสื่อสารกันเป็นภาษามัจฉา

"ท่านเซียนไม่อยู่บ้าน นี่เป็นโอกาสดีที่พวกเราจะหนี!”

“ใช่ หลังจากท่านเซียนกลับมา พวกเราจะหนีไปไหนไม่ได้อีกเลย!”

มัจฉาฝูงหนึ่งสุมหัวคุยกัน

พวกมันกำลังปรึกษากันว่าจะหนีออกไปจากที่นี่!

ให้ตายเถิด หากพวกมันไม่หนีไป ไม่แคล้วว่าพวกมันทั้งหมดจะต้องเป็นอาหารของแมวขาวตัวน้อย ถูกแมวขาวตัวน้อยนั่นจับกินในภายหลัง

“พี่น้องกำลังคุยอะไรกัน”

มัจฉาสัตมายาแหวกว่ายส่ายหางไปมา

"ไปซะ ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”

"ที่จริงมันก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า”

มัจฉากลุ่มหนึ่งบอกมัจฉาสัตมายา

มัจฉาสัตมายาตอบกลับทันที “ให้ตาย เราต่างก็เป็นมัจฉาในโอ่งเดียวกัน จะไม่เกี่ยวกับข้าได้อย่างไร!”

มันถูกกีดกันหรือ?

นี่ทำให้มันโกรธเป็นอย่างมาก!

"อย่าสร้างปัญหา มันไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าเลย!”

“ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่ตาย โชคดีได้รับความสามารถท้าทายสวรรค์มา!”

ฝูงมัจฉากล่าวอย่างริษยา

มัจฉาสัตมายาโชคดีมาก อีกฝ่ายเป็นมัจฉาชุดแรกที่ถูกจับมาแต่ยังมีชีวิตอยู่ดีกินดี!

ทว่าพวกมันไม่โชคดีเหมือนมัจฉาสัตมายา จึงจำต้องหนีจากที่นี่ มิฉะนั้น พวกมันทั้งหมดจะเข้าไปอยู่ในท้องแมวขาวตัวน้อยแทน!


“ข้าจะโชคดีตลอดเวลาได้อย่างไร! ครั้งที่แล้วท่านเซียนบอกอยากกินข้า!”

เผ่ามัจฉาสัตมายาว่ายเข้ามา พลันเข้าใจเรื่องที่มัจฉาพวกนี้กำลังคุยกัน

มัจฉาเหล่านี้กำลังถกกันเพื่อหนี!

"มันไม่เหมาะกับข้าจริง ๆ เจ้าทำกันเถอะ...”

แล้วเผ่ามัจฉาสัตมายาก็ว่ายจากไป

ท่านเซียนทรงพลังเพียงใด หากไม่ได้รับอนุญาตจากท่านเซียน หากอยากหนีนั่นย่อมเป็นการรนหาที่ตายอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นจงเก็บชีวิตไว้ในโอ่งเถอะ

อย่างน้อยก็ยังคงมีความหวังริบหรี่!

แม้ว่าความหวังนี้จะริบหรี่สุด ๆ ก็ตาม...

มัจฉาตัวอื่น ๆ ยังคงวางแผนต่อ ในที่สุดพวกมันก็หารือกันตัดสินใจจะช่วยส่งมัจฉาตัวหนึ่งออกไปก่อน

พลันก็เริ่มเคลื่อนไหว กลุ่มมัจฉารวมตัวกันและช่วยส่งหนึ่งในนั้นออกไป

ครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง พวกมันพยายามหลายครั้งก็ยังไม่สำเร็จ

แต่ถึงกระนั้นพวกมันไม่คิดยอมแพ้ ในที่สุด พวกมันก็ร่วมช่วยด้วยกัน ส่งมัจฉาตัวหนึ่งออกไปได้สำเร็จ!

“ฮ่าฮ่า!”

“สำเร็จแล้ว!”

มัจฉาในโอ่งตื่นเต้นดีใจ

“ข้า... ข้าสามารถใช้พลังของข้าได้จริง ๆ!”

มัจฉานอกโอ่งมัจฉายิ่งตื่นเต้นอย่างมาก ทั้งตัวของมันเปล่งประกาย พลังในร่างกายเคลื่อนไหวไหลลื่น ฟื้นพละกำลังกลับมา!

“เข้าใจแล้ว! เหยื่อตกมัจฉาระงับพลังของพวกเราหายไปแล้ว สิ่งที่ระงับพลังของพวกเราที่แท้เป็นโอ่งน้ำ!”

มันตะโกนเสียงดังว่าเข้าใจทุกอย่างแล้ว

จ๋อม! จ๋อม!

มัจฉาตัวอื่นในโอ่งไม่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้ พวกมันจึงได้แต่ส่งเสียงร้องตะโกน

พวกมันอยากให้มัจฉาข้างนอกเอาพวกมันออกไปด้วย!

บทที่ 330

ด้านนอกโอ่งน้ำ แสงศักดิ์สิทธิ์ส่องประกายวูบวาบ ลมปราณอันทรงพลังพวยพุ่งออกมาจากร่างมัจฉานอกโอ่งน้ำ มันค่อย ๆ ฟื้นคืนพละกำลัง!


บนตัวของมันมีเกล็ดสองสี หนึ่งดำหนึ่งขาวเวียนตวัดเกี่ยวพันกันแฝงด้วยจังหวะแห่งเต๋าวิเศษบางอย่าง สายเลือดนับว่าน่าทึ่งเป็นอย่างมาก


มันมาจากอาณาจักรจื่อเวย หนึ่งในเก้าอาณาจักรตอนบน เผ่าของมันมีชื่อเรียกว่า เผ่ามัจฉาหยินหยาง


ต้องบอกว่าเก้าอาณาจักรตอนบนนั้นวิเศษอย่างแท้จริง อายุของมันไม่มาก มันยังเป็นปลาอายุน้อย แต่การฝึกตนของมันได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเทวาแล้ว!

แม้จะเกือบสัมผัสขอบเขตนักบุญ และตอนนี้มันถือว่าเข้าสู่ขอบเขตกึ่งนักบุญแล้ว!

เช่นนี้แล้วจะให้มันใช้ชีวิตที่แคบ ๆ แบบนั้นไปตลอดชีวิตได้อย่างไร?

“ฟื้นคืนแล้ว ฟื้นคืนแล้ว!”

มัจฉาหยินหยางยิ้มกว้าง รู้สึกเปรมปรีดิ์ยิ่งที่ได้รับพลังกลับคืนอีกครั้ง มันดีใจมาก!

จ๋อม จ๋อม!

มัจฉาตัวอื่นในกระโดดไปมา พยายามจะให้มัจฉาหยินหยางพามันออกไปด้วย

มัจฉาหยินหยางฟื้นคืนพลังแล้ว ดังนั้นสำหรับเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องเล็กน้อย สามารถทำได้อย่างง่ายดาย

เพียงแต่มัจฉาหยินหยางไม่ได้ช่วยเหลือ ไม่ได้นำมัจฉาตัวอื่นออกจากโอ่ง

หัวใจของมัจฉาตัวอื่นในโอ่งจมดิ่งทันที มัจฉาหยินหยางต้องการทำสิ่งใดกันแน่? จะไม่ยอมช่วยเหลือพวกมันหรือ?

"พี่น้องข้าขอโทษ พวกท่านเองก็คงคิดแบบข้าเหมือนกัน หากพวกเราไปกันหมดเช่นนี้ ท่านเซียนคงไม่ยอมปล่อยไปเป็นแน่ ถึงตอนนั้นพวกเราคงต้องตายกันหมด”


มัจฉาหยินหยางกล่าวว่า “พี่น้องได้โปรดเข้าใจ อย่ากระโดดไปมา ให้ทางรอดแก่ข้าเถอะ!”

มันฉลาดมาก

หากมัจฉาตัวเดียวหนีไปได้ ท่านเซียนอาจไม่สนใจ แต่หากมัจฉาทั้งหมดในโอ่งหนีไป นี่ถือเป็นเรื่องร้ายแรงแล้ว

แม้ว่าพวกมันจะสามารถหลบหนีกลับไปยังเก้าอาณาจักรตอนบนได้ แต่พวกมันก็ถูกกำหนดให้ต้องตาย

จ๋อม จ๋อม!

มัจฉาทุกตัวในโอ่งน้ำโกรธมันอย่างยิ่ง มัจฉาหยินหยางตัวนี้วิเคราะห์เข้าใจทะลุปรุโปร่ง พอออกไปได้ก็ผิดคำ พลิกดำเป็นขาว

พวกมันกระโดดไปมาอยากจะรีบออกไปสะสางบัญชีกับมัจฉาหยินหยางตัวนั้น

มัจฉาหยินหยางพุ่งตรงเข้ามา หางมัจฉาแซมเกล็ดประกายระยิบระยับวาดลง ก่อนจะตบมัจฉาเหล่านี้กลับเข้าไปในโอ่งน้ำ

"พี่น้องอย่าคิดว่าข้าเห็นแก่ตัว คิดดูให้ดีว่าข้าพูดถูกหรือไม่?”

มัจฉาหยินหยางกล่าวว่า “หากพวกเราหนีกันหมด ท่านเซียนไม่ไล่ล่าก็แปลกแล้ว! พวกเจ้าอย่าแม้แต่จะคิดหนี มัจฉาที่จะถูกส่งออกมาครั้งต่อไปก็จะต้องมีความคิดเช่นเดียวกับข้า สุดท้ายหนีออกไปด้วยกันมีแต่ต้องเผชิญกับทางตัน ไม่มีผู้ใดรอด!”

มันพูดอย่างจงใจ เป้าหมายคือทำให้มัจฉาเหล่านี้แตกแยกไม่ร่วมมือกันอีก

หากส่งมัจฉาตัวอื่นออกมาอีก จนไป ๆ มา ๆ พากันออกมาจนหมด ถึงครานั้นก็คงหมดหนทางรอดแล้ว

มัจฉาในโอ่งน้ำนิ่งเงียบ

มัจฉาหยินหยางกล่าวถูกต้อง หากพวกมันหนีไปหมดจะไม่มีตัวไหนรอดสักตัว!

ต่อไปหากพวกเขาร่วมมือกันเพื่อส่งมัจฉาตัวอื่นออกไป มัจฉาตัวนั้นก็อาจจะมีความคิดแบบเดียวกับมัจฉาหยินหยาง

สุดท้ายตอนนี้พวกมันต่างมีความคิดนี้อยู่ในใจ หากมีตัวไหนสักตัวถูกส่งออกไป มันจะต้องไม่สนใจมัจฉาตัวอื่นอย่างแน่นอน

ในอีกด้านหนึ่ง มัจฉาสัตมายาที่อยู่ที่นี่มานานแล้วไม่ตื่นตระหนกหรือวิตกกังวลแม้แต่น้อย

หนีออกจากโอ่งน้ำน้ำได้สำเร็จแล้วอย่างไร?

พี่น้องเอ๋ย มันจะง่ายดายปานนั้นได้อย่างไร!

ในฐานะมัจฉาที่อาศัยอยู่ที่นี่มานานที่สุด มันรู้ว่าสถานที่แห่งนี้น่ากลัวปานใด!

ตอนท่านเซียนอยู่ ที่แห่งนี้ย่อมเป็นสิริมงคลเหมือนดั่งแดนสุขาวดี

แต่หากท่านเซียนไม่ได้อยู่ ที่แห่งนี้นับว่าน่ากลัวอันตรายยิ่งกว่าที่อื่นอีก!

มัจฉาหยินหยางคิดว่าออกจากโอ่งน้ำแล้วจะไม่เป็นไร แต่มันไม่รู้เลยว่าหายนะกำลังใกล้เข้ามาแล้ว!

ในอีกด้านหนึ่ง มัจฉาหยินหยางกำลังสะบัดร่างมัจฉาพร้อมจะออกจากที่นี่

“หากไปเช่นนี้เลย คงน่าเสียดายเกินไป!”

ไม่ทันไรมันก็หยุดเคลื่อนไหว

ทุกสิ่งในที่แห่งนี้วิเศษเหนือสามัญ สิ่งของล้วนแต่อยู่เหนือขอบเขตการรับรู้ของมัน มันละโมบนึกอยากนำของบางส่วนไปจากที่นี่ด้วย

“อย่าเอาของมั่ว ๆ แค่หยิบเอาของไม่เป็นที่สนใจก็พอ!”

ดวงตามัจฉาคู่นั้นเปล่งประกายราวกับตัดสินใจได้ในที่สุด

“!!!”

มัจฉาสัตมายาในโอ่งน้ำกล่าวในใจ น้องชายผู้นี้ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก!

ยังกล้าคิดฉกฉวยสิ่งของของท่านเซียนด้วย?

ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม!

สุดยอดจริง ๆ!

มัจฉาหยินหยางฉลาดมาก มันไม่กล้าขโมยของชิ้นใหญ่ แต่จะขโมยสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ ในลานบ้านแทน

“ข้าเอาดินไปด้วยนิดหน่อยคงไม่เป็นไรกระมัง...”

มันจ้องดินที่ใช้ปลูกต้นไม้พืชพันธุ์ต่าง ๆ

ในดินแฝงไปด้วยพลังเหนือจินตนาการ มันเอาดินกลับไปหนึ่งถึงสองกำก็สามารถเก็บเกี่ยวประโยชน์ไม่รู้จบได้แล้ว!

หลังจากนั้น มันก็เริ่มเคลื่อนไหวเตรียมขโมยดินโดยเร็ว

ฟิ้ว!

ทว่าตอนนั้นเอง แสงเย็นส่องวาบเข้ามา มัจฉาหยินหยางถูกผ่าครึ่งโดยไม่ทันได้ต่อต้านแม้แต่น้อย

“เจ้ากล้าหาญมาก! แม้แต่สิ่งของท่านเซียนยังกล้าปรารถนา!?”

น้ำเสียงหยาบกระด้างดังขึ้น แสงอันเยียบเย็นยังคงเคลื่อนไหวต่อ เลือดกระเซ็นไปทั่วสารทิศ มัจฉาหยินหยางทั้งตัวถูกสับเป็นชิ้น ๆ...

และสิ่งที่ประกายแสงอันแสงเยียบเย็นกำลังห่อหุ้มคือ มีดทำครัวที่หลี่จิ่วเต้าใช้หั่นผักทำอาหาร!

เห็นได้ชัดว่ามีญาณมีดอยู่ในมีดทำครัว และตอนนี้ก็ยังมีน้ำเสียงอันเกรี้ยวกราดดังมาจากมีดทำครัว!


"!!!”

มัจฉาในโอ่งพากันตกใจแทบสิ้นสติ!

มัจฉาหยินหยางช่างน่าสังเวชยิ่งนัก!

เพียงไม่กี่ลมหายใจ มัจฉาหยินหยางทั้งตัวก็ถูกสับเป็นเนื้อละเอียดแล้ว...

"ไม่กล้าแล้ว ไม่กล้าแล้ว!”

มัจฉาใจกล้าทั้งหมดต่างถูกขู่ขวัญ ไม่กล้าสร้างความวุ่นวายอีกต่อไป

ขอบเขตมัจฉาหยินหยางไม่ต่ำเลย เป็นถึงกึ่งนักบุญแล้ว แต่ช่องว่างระหว่างมันกับมีดทำครัวกลับห่างชั้นกัน เหนือจินตนาการไปไกลโข!

มันถูกมีดทำครัวสับจนตาย ก่อนจะได้ตอบโต้เสียด้วยซ้ำ!

"รนหาที่ตายเสียจริง!”

มีดทำครัวตะคอกเสียงเย็นชา คลื่นพลังพัดผ่านระลอกใหญ่ ก่อนร่างมัจฉาหยินหยางทุกส่วนจะหายไปอย่างสมบูรณ์

จากนั้นมันก็บินกลับเข้าไปในครัว

เดิมทีมันไม่ใช่ญาณมีด แต่หลังจากหลี่จิ่วเต้าใช้มันบ่อย ๆ มันก็ให้กำเนิดญาณมีดขึ้นมา

ในโอ่งน้ำ มัจฉาสัตมายาไม่แปลกใจกับเรื่องนี้เลย

เพราะอันที่จริงในลานบ้านของท่านเซียนยังมีสิ่งน่ากลัวอยู่อีกมากมาย...

...


ณ แผ่นดินอันกว้างใหญ่


อาณาจักรแห่งหนึ่งของฝั่งอาณาจักรตอนบน ในอาณาจักรนี้ล้วนแต่มีทรัพยากรฝึกตนคุณภาพสูงมากมายทุกหนทุกแห่ง ดอกไม้ใบหญ้าทุกดอกล้วนแล้วแต่เหนือสามัญ กระทั่งมีจิตวิญญาณเป็นของตน

ใต้ท้องทะเลลึกอันไร้ขอบเขต มีพระราชวังโบราณอันวิจิตรงดงามตั้งเรียงกันเป็นทิวแถว ซ้ำยังเปล่งรัศมีศักดิ์สิทธิ์นานานับไม่ถ้วน

“ข้าสัมผัส...ได้ถึงคลื่นพลังปราณของปอเอ๋อร์!”

มัจฉาหยินหยางตัวใหญ่พูดขึ้นมา

อาศัยความสัมพันธ์ทางสายเลือด มันสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังปราณบุตรชายมัน ทำให้รู้ได้ว่าบุตรชายของมันอยู่ที่ไหน


ปอเอ๋อร์ที่กำลังพูดถึงคือ บุตรชายของมัน

และปอเอ๋อร์ก็คือมัจฉาหยินหยางที่ถูกมีดทำครัวฆ่าเมื่อครู่นี้

ไม่ผิด

ที่แห่งนี้คือ อาณาจักรจื่อเวย หนึ่งในอาณาจักรเก้าตอนบน

มัจฉาหยินหยางตัวใหญ่ตัวนี้เป็นบิดาของมัจฉาหยินหยางตัวนั้นนั่นเอง ผู้นำเผ่าหยินหยาง!

"ไปอยู่ที่อาณาจักรนั้นได้อย่างไร!”

เสียงของมันเข้มเป็นพิเศษ มันกลัวอาณาจักรที่ลูกชายของมันอยู่เป็นอย่างยิ่ง

“ที่แห่งนั้นเคยเป็นสถานอารยธรรมแห่งการฝึกตนที่ยอดเยี่ยมที่สุด ซ้ำยังเป็นสถานที่ที่น่าสะพรึงกลัว สยบทุกสรรพชีวิต...”

มันกล่าวเสียงต่ำ อาณาจักรนั้นไม่ธรรมดา อาจเรียกได้ว่า น่ากลัวเป็นที่สุด เร้นลับและลึกล้ำจนทำให้ผู้คนตกใจกลัวจนตายได้!

"ตอนนี้อาณาจักรแห่งนั้นถือเป็นอาณาจักรตอนล่าง แต่ผู้ใดจะล่วงรู้ว่า เก้าอาณาจักรตอนบนแม้อยู่เหนือผู้อื่น แท้จริงแล้วพวกเราแยกออกมาจากอาณาจักรแห่งนั้น...”

มันยังคงเอ่ยความลับนี้ต่อไป และนี่ก็นับว่าเพียงพอที่จะทำให้ผู้คนหวาดกลัวจนตายได้

เก้าอาณาจักรตอนบนเดิมทีแล้วมาจากอาณาจักรเดียวกัน!

ความจริงนี้ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!