311-315

บทที่ 311

รุ่งโรจน์...สูงสุด!


คำพูดเหล่านี้ฟังแล้วช่างระคายหูหลินอินนัก!


กระดูกจักรพรรดิแต่กำเนิดปกคลุมไปด้วยธุลีฝุ่น!?


ไร้สาระ!


กระดูกจักรพรรดิจะปกคลุมไปด้วยฝุ่นได้อย่างไร?


เป็นถึงกระดูกจักรพรรดิแต่กำเนิด!


หากมันปกคลุมไปด้วยฝุ่นจริง ๆ มันคงไม่ใช่กระดูกจักรพรรดิ นับประสาอะไรกับกระดูกจักรพรรดิแต่กำเนิด!


กระดูกจักรพรรดิไม่มีทางเปื้อนฝุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นกระดูกจักรพรรดิแต่กำเนิด!


“กระดูกจักรพรรดิแต่กำเนิดปกคลุมไปด้วยฝุ่น...นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินเรื่องนี้”


หลินอินหัวเราะเบา ๆ ทัศนคติของนางต่างจากเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด


หญิงสาวมองไปที่เจียงอวี่สือพลางว่า “หุบเขาคงหลินอยู่ที่ใดกัน? เป็นสำนักเล็ก ๆ หรือ? มีกระดูกจักรพรรดิหรือไม่? มีแต่กำเนิดหรือไม่นั้น มีหรือหุบเขาคงหลินจะไม่รู้?”


“เจ้า...หมายความอย่างไร!?”


สีหน้าของเจียงอวี่สือเปลี่ยนไปทันที นางขมวดคิ้วมุ่น


“กระดูกจักรพรรดิจะปกคลุมไปด้วยฝุ่นได้อย่างไร ยิ่งเป็นกระดูกจักรพรรดิแต่กำเนิดด้วยแล้ว! ผู้มีกระดูกจักรพรรดิถือเป็นลูกรักสวรรค์ ย่อมเกิดมาแตกต่างจากคนทั่วไป จะถูกปกคลุมด้วยฝุ่นได้อย่างไรกัน?”


หลินอินมองเจียงอวี่สือด้วยสายตากดดันพลางกล่าวว่า “ธุลีฝุ่นแบบใดกันหนอถึงปกคลุมกระดูกจักรพรรดิได้ ซ้ำยังทำให้กระดูกจักรพรรดิตื่นขึ้นมาได้อีก? หุบเขาคงหลิงมีประวัติศาสตร์มายาวนาน เก่าแก่แต่กลับไม่รู้เรื่องนี้ เป็นถึงมหาจักรพรรดิกลับดูไม่ออกเชียว พวกเจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากระดูกจักรพรรดิแต่กำเนิดอยู่ตรงหน้าพวกเจ้า?”


นางกล่าวต่อ “รบกวนเจ้าบอกความจริงกับข้าหน่อยว่า จักรพรรดิบุปผาผู้นี้มีกระดูกจักรพรรดิแต่กำเนิด หรือขุดกระดูกจักรพรรดิของผู้อื่นออกมาในภายหลังกันแน่!”


“เจ้าช่างกล้ายิ่งนัก!”


เจียงอวี่สือตวาดเสียง ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธ ความมีชีวิตชีวาก่อนหน้านี้มลายหายไปจนสิ้น


จักรพรรดิบุปผาถือเป็นบุคคลที่นางชื่นชอบยิ่ง นางยังใฝ่ฝันที่จะเป็นเช่นคนผู้นั้นอีกด้วย เมื่อได้ยินหลินอินปุถุชนธรรมดาเอ่ยวาจาดูแคลนจักรพรรดิบุปผา นางย่อมโกรธจนร่างกายสั่นเทา


หากไม่ใช่เพราะหลินอินเกี่ยวข้องกับเซี่ยเหยียนกและพวกคนจากยอดนิกายล่ะก็ นางคงตบหลินอินให้ตายตรงนี้ไปแล้ว!


“แม่นางหลินอิน เจ้าทำเกินไปแล้ว!”


ผู้อาวุโสของหุบเขาคงหลิงก็อยู่ที่นี่เช่นกัน นางมองหลินอินด้วยสายตาเย็นชา


สตรีในชุดพระราชวังผู้นี้ได้รับการดูแลอย่างดี นางดูอายุไม่มาก แต่ความจริงแล้วอายุนางมากแล้ว นางอยู่ในระดับราชันเทวา


เหนือขอบเขตเทวาจะมี ขั้นเทวะ ขั้นจ้าวเทวา ขั้นราชันเทวา ขั้นยอดเทวา


หากทะลวงผ่านขั้นยอดเทวาไปแล้วถึงจะเป็นขอบเขตนักบุญ


ในสมัยปัจจุบันนี้ การจะก้าวเข้าสู่ราชันเทวานั้นเป็นเรื่องยากยิ่ง ต้องอาศัยโชคและความเพียรพยายามอยู่ไม่น้อย จะอาศัยเพียงแค่ฝึกตนไม่รู้กาลไม่รู้เวลาย่อมไม่อาจเป็นราชันเทวาได้


“ฟ่านหยาเหยียนเป็นคนที่เกิดมาพร้อมกับกระดูกจักรพรรดิ!”


ดวงตาของหลินอินฉายแววอำมหิตพร้อมกล่าวอีกว่า “อีกอย่างบทเพลงเรียกว่า ‘ถามเซียน’ ยังดัดแปลงมาจาก ‘ถามคราวเคราะห์’ ของฟ่านหยาเหยียนด้วย!”


นางมองเจียงอวี่สือ “ฉินในมือของเจ้าก็เป็นของฟ่านหยาเหยียนเช่นกัน! บนตัวเครื่องยังมีสัญลักษณ์ของนางอยู่ วันพระจันทร์เต็มดวงจะมีรอยฟันสองรอยปรากฏ!”


“เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องไร้สาระใดกัน! ฟ่านหยาเหยียนที่ใด ข้าไม่เคยได้ยินนามนั้นมาก่อน!”


เจียงอวี่สือตะโกนเสียงดัง


“เห็นแก่หน้าสหายพรตเต๋าเซี่ยเหยียน ข้าจะไม่สนใจเจ้าอีก แต่จงระมัดระวังตัวเอาไว้ให้ดี อย่าได้มาก่อกวนกันอีก!”


สตรีในชุดพระราชวังตวาดกลับ


เป็นแค่ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ต่อหน้านางกล้าดีอย่างไรถึงทำตัวไร้มารยาทเช่นนี้ หากนางไม่กลัวเซี่ยเหยียน นางจะไม่มีวันปล่อยให้หลินอินมีชีวิตอยู่!


ถึงกระนั้น นางยังคงตกใจในวาจาของอีกฝ่าย


นางไม่ได้รู้จักฟ่านหยาเหยียน แต่หลินอินพูดถูกอยู่เรื่องหนึ่ง


นั่นคือบรรพบุรุษผู้นั้น จักรพรรดิบุปผาไม่ได้มีกระดูกจักรพรรดิแต่กำเนิด!


หากหุบเขาคงหลิงของพวกเขาไม่สามารถตรวจจับกระดูกจักรพรรดิแต่กำเนิดได้ หุบเขาคงหลิงของพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องมีอยู่อีกต่อไป


ร้อยปีก่อนจักรพรรดิบุปผาไม่มีพรสวรรค์จริง ๆ กระดูกของอีกฝ่ายก็เป็นแค่กระดูกธรรมดา ๆ ทว่าต่อมาเขากลับมีกระดูกจักรพรรดิขึ้นมาได้


นี่เป็นความลับในหุบเขาคงหลิงของพวกเขา คนส่วนใหญ่ไม่รู้ กระทั่งคนในหุบเขายังคิดว่า จักรพรรดิบุปผามีกระดูกจักรพรรดิแต่กำเนิด


เจียงอวี่สือก็ไม่รู้เช่นกัน


นางเป็นผู้อาวุโสเจ็ดแห่งหุบเขาคงหลิง ฐานะของนางสูงมาก ทำให้ได้รู้ความลับนี้โดยปริยาย


แต่หลินอินรู้ได้อย่างไร!?


หัวใจนางจมดิ่ง ความจริงของเรื่องนี้ไม่น่าเป็นตามที่หลินอินว่า ฟ่านหยาเหยียนเกิดมาพร้อมกระดูกจักรพรรดิ จักรพรรดิบุปผาขุดกระดูกจักรพรรดิแต่กำเนิดฟ่านหยาเหยียนออกไป!


“ไม่จำเป็นต้องเห็นแก่หน้าใคร! วันนี้ข้าต้องรู้ให้ได้ว่า จักรพรรดิบุปผาผู้นั้นเกิดมาพร้อมกับกระดูกจักรพรรดิจริงหรือไม่!?”


ดวงตาของหลินอินเย็นชายิ่ง กระดูกจักรพรรดิแต่กำเนิดไม่อาจถูกปกคลุมด้วยธุลีฝุ่นได้ หุบเขาคงหลิงย่อมรู้ว่า จักรพรรดิบุปผามีกระดูกจักรพรรดิแต่กำเนิดจริงหรือไม่


“เจ้ากล้าทำเช่นนี้เพราะคิดว่าตนเองมีความสัมพันธ์อันดีกับสหายพรตเต๋าเซี่ยเหยียนอย่างนั้นหรือ!?"


สตรีในชุดพระราชวังตะโกนเสียงดังพลางกล่าวต่ออีกว่า “เจ้ากำลังสร้างปัญหาให้สหายของเจ้า! รู้ฐานะตนเองบ้างเถอะ เจ้าเป็นแค่เพื่อนมนุษย์ของสหายเต๋าเซี่ยเหยียนเท่านั้น!”


“คนเช่นข้าต้องพึ่งสายสัมพันธ์กับเซี่ยเหยียนด้วยหรือ?”


หลินอินกล่าวอย่างเคร่งขรึม


เพียงแต่ยิ่งนางสงบนิ่งมากเท่าไหร่ โทสะของนางก็ยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น!


การคาดเดาของนางอาจเป็นจริงดังคาด เสี่ยวหยาอาจถูกจักรพรรดิบุปผาผู้นี้ขุดกระดูกจักรพรรดิทั้งเป็น!


ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!


ประกายแสงหลายสายปรากฏออกมารอบตัวนาง หลิงอินปลดปล่อยพลังออกมาเต็มพิกัด เปิดเผยขอบเขตการฝึกตนของนางทั้งหมด!


“เจ้า...เจ้า...เจ้า!”


หลังจากพลังปราณของหลินอินปะทุขึ้น ร่างกายของเจียงอวี่สือก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง กระทั่งวิญญาณของนางยังสั่นเทาอย่างมิอาจควบคุมได้ นางเกือบจะถูกพลังปราณนี้บดขยี้จมผืนพสุธา!


หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายไม่ได้พุ่งเป้ามายังนาง ไม่ต้องพูดถึงว่าหากนางถูกพลังปราณนี้บดขยี้ลงกับพื้น ร่างกายของนางไม่แคล้วต้องระเบิดเป็นแน่!


ตัวนางเองนับว่าน่าทึ่งแล้ว ท่ามกลางหมู่คนรุ่นราวคราวเดียวกัน สามารถจุดเพลิงเทวา กลายเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเทวาได้


ทว่าภายใต้พลังปราณของหลินอินยามนี้ นางยังห่างชั้นอีกไกล กระทั่งตามหลังอยู่อีกมาก!


“เทวา...ขอบเขตราชันเทวา!"


สตรีในชุดพระราชวังพูดจาแทบไม่เป็นคำ จ้องมองหลินอินอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา


หลินอินซึ่งนางคิดว่าเป็นเพียงปุถุชนธรรมดากลับกลายเป็นว่าอยู่ในขอบเขตเดียวกับนาง ซ้ำยังมีพลังปราณแข็งแกร่งกว่านางอีกด้วย เช่นนี้แล้วจะให้นางเชื่อได้อย่างไร!!!


นางไม่อยากเชื่อเลย จะมีราชันเทวาอายุน้อยเพียงนี้ได้อย่างไร?


ลมปราณแห่งชีวิตของหลินอินยังอ่อนวัยจริง ๆ!


ไม่เลว


หลินอินกลับชาติมาเกิดใหม่ไม่พอ ยังเป็นผู้ที่ได้อยู่ข้างกายท่านเซียนบ่อย ๆ นางจึงทะลวงขั้นได้อย่างรวดเร็วและกลายเป็นราชันเทวาได้สำเร็จ!


“บอกความจริงมา!”


สีหน้าหลินอินยิ่งนิ่งขรึม


แต่ภายใต้สีหน้าสงบนิ่งเช่นนี้ ความโกรธเกลียดของนางยิ่งรุนแรงขึ้นเช่นกัน


นางโบกมือเบา ๆ ฉินขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้านาง มันคือฉินที่ท่านเซียนสร้างขึ้นเพื่อนาง และนางก็ตั้งชื่อให้มันว่า ฉินเฟิ่งหมิง


ทันทีหลังจากนั้น เปลวเพลิงสีแดงบนฉินก็ลุกโชนอย่างรุนแรง วิหคเพลิงโผทะยานออกมาจากฉิน แล้วอุณหภูมิทั่วทั้งตำหนักก็เพิ่มสูงขึ้นทันที เจียงอวี่สือและสตรีในชุดพระราชวังเหงื่อไหลหลั่งออกมาราวกับว่า ร่างของพวกนางกำลังถูกดวงสุริยันแผดเผา!


ขนของวิหคเพลิงมีสีสดใส แฝงประกายงดงามล้ำค่า และเพลิงสีแดงฉานก็ร้อนระอุราวกับดวงอาทิตย์!


มันคือจิตวิญญาณของฉินเฟิ่งหมิง!


“อาวุธ...อาวุธวิญญาณ!"


เมื่อสตรีในชุดพระราชวังเห็นวิหคเพลิง ก็รีบหลุบสายตาลงพื้นอย่างรวดเร็ว


นับแต่สมัยโบราณมา การดำรงอยู่ของอาวุธวิญญาณสามารถนับได้ด้วยมือข้างเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นมันย่อมเป็นสิ่งล้ำค่าหายากอย่างยิ่ง!


คาดไม่ถึงเลยว่าฉินของหลินอินจะมีจิตวิญญาณ!


“นี่มันฉินประเภทใดกัน!”


เมื่อเห็นฉินตรงหน้าหลินอิน นางก็รู้สึกหวาดกลัวจนไร้เรี่ยวแรงจะวิ่งหนี ภายในใจราวกับว่ามีคลื่นนับพันโหมกระหน่ำ ราวกับตกใจสุดจะพรรรณาออกมาได้!


บนฉินแฝงไว้ด้วยจังหวะแห่งเต๋าไหลเวียน ทำให้ราชันเทวาอย่างนางรู้สึกตัวเล็กกระจ้อยร่อย ซ้ำยังตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวยิ่ง อาวุธจักรพรรดิในหุบเขาคงหลิงของนางเทียบไม่ได้กระทั่งหนึ่งในพันของฉินนี้!


ฉินขนาดใหญ่นี้คล้ายกับคันศรของเซี่ยเหยียน ทั้งสองเป็นอาวุธวิเศษล้ำค่า!


ทว่าความรู้สึกที่ฉินนี้มอบให้นาง กลับน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าคันศรในมือเซี่ยเหยียน!


นี่...นี่ อีกฝ่ายเป็นสายลับของยอดนิกายหรือ!?


นางกลัวแล้วจริง ๆ!


หลินอินนั้นเหมือนกับเซี่ยเหยียน ทั้งคู่ต้องมาจากยอดนิกายอย่างแน่นอน!

บทที่ 312

ภายในวัง พวกเจียงอวี่สือต่างพากันหวาดกลัวจนจิตวิญญาณสั่นสะท้าน


พวกนางไม่คิดว่าหลินอินจะมีนิสัยดุดันและน่ากลัวยิ่งกว่าเซี่ยเหยียน!


เซี่ยเหยียน...อยู่ขอบเขตเทวา


แต่หลิงอินถึงกับเป็นขั้นราชันเทวาคนหนึ่ง!


คันศรของเซี่ยเหยียนให้ความรู้สึกน่ากริ่งเกรงเป็นอย่างยิ่ง ส่วนฉินของหลิงอินทำให้พวกนางหวาดกลัวเป็นอย่างมาก!


“ข้าไม่ได้อยากจะทำอะไรพวกเจ้า ข้าเพียงอยากรู้ความจริง”


หลิงอินกล่าวออกมาด้วยความสงบนิ่ง


“ความจริงอะไร? ข้าไม่รู้แล้ว...สิ่งที่ข้ากล่าวมาล้วนเป็นความจริง”


เจียงอวี่สือกล่าวออกมาภายใต้ความรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก


ปราณที่แผ่ออกมาของหลิงอินนำพาซึ่งความกดดันอย่างมากมาสู่นาง


ทว่านางเองก็ไม่รู้ว่าความจริงที่หลิงอินต้องการคือสิ่งใดกันแน่


อีกด้านหนึ่ง สตรีในชุดพระราชวังนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจาใดออกมา


นางกำลังลังเลว่าควรจะบอกความจริงกับหลิงอินดีหรือไม่


เจียงอวี่สือนั้นไม่กร้านโลก จึงไม่อาจขบคิดได้รอบด้าน ทั้งยังรู้เรื่องราวต่าง ๆ ไม่มาก


แต่นางไม่เหมือนกับเจียงอวี่สือ นางคิดได้รอบด้านกว่า ซ้ำยังค่อนข้างรู้เรื่องราวทั้งหลายมากกว่า


ยามที่หลิงอินพูดถึงฟ่านหยาเหยียน เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของอีกฝ่ายเกิดความแปรปรวนอย่างรุนแรง แสดงให้เห็นว่าตัวของหลิงอินนั้น มีความสัมพันธ์กับฟ่านหยาเหยียนในระดับไม่ธรรมดา


หากเป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่านางคงไม่อาจบอกความจริงออกไปได้


นางไม่ได้รับรู้ถึงตัวตนของหลิงอินมาก่อน ดังนั้นนางจึงไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่หลิงอินกล่าวมากนัก แค่คิดว่าการที่หลิงอินอ้างว่า ฟ่านหยาเหยียนมีกระดูกจักรพรรดิแต่กำเนิดนั้นเป็นวาจาไร้สาระ หยิบยกเรื่องราวที่ไหนก็ไม่รู้มากล่าวอ้าง


แต่ตอนนี้นางแน่ใจแล้วว่า หลิงอินก็เป็นคนที่มาจากยอดนิกายเหมือนกับเซี่ยเหยียน และฟ่านหยาเหยียนที่หลิงอินกล่าวถึงอาจมีตัวตนอยู่จริง!


อีกอย่างฟ่านหยาเหยียนผู้นี้ดูแล้วน่าจะมีกระดูกจักรพรรดิแต่กำเนิดจริง!


หากนางยอมรับว่า กระดูกจักรพรรดิของจักรพรรดิบุปผาไม่ได้มีมาแต่กำเนิด ทว่าได้รับจากการปลูกถ่ายมาภายหลัง เกรงว่าจะทำให้เกิดหายนะครั้งใหญ่ขึ้น!


เพราะนี่อาจหมายความว่าจักรพรรดิบุปผาขุดกระดูกจักรพรรดิของฟ่านหยาเหยียนมา...


หากเป็นเช่นนั้นจริง หุบเขาคงหลิงคงไม่อาจรับผลลัพธ์ที่ตามมาได้!


“แม่นางหลิงอิน โปรดสงบเถิด พวกเราได้บอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างที่รู้ให้แม่นางหลิงอินได้ฟังแล้ว สำหรับเหตุการณ์ที่ท่านเล่าออกมา พวกเราไม่รู้จริง ๆ!”


หลังจากคิดทบทวนแล้ว สตรีในชุดพระราชวังก็รีบเอ่ยขึ้นมา


นางจะยอมรับว่า จักรพรรดิบุปผาไม่ได้มีกระดูกจักรพรรดิโดยกำเนิดไม่ได้เด็ดขาด!


“จริงหรือ?”


สีหน้าของหลิงอินสงบนิ่ง ทว่านางก็ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเรื่องนี้ไป


นางวางมือทั้งสองข้างลงบนฉินเฟิ่งหมิง นิ้วดีดเครื่องสาย วิหคเพลิงบนฉินเฟิ่งหมิงทะยานบิน คลื่นพลังแผ่กระจายออกมาอย่างรวดเร็ว ตรงเข้าไปห่อหุ้มร่างของเจียงอวี่สือและสตรีในชุดพระราชวัง


เจียงอวี่สือไม่รู้ว่าตนต้องเผชิญหน้ากับอะไร


แต่สตรีในชุดพระราชวังกลับมองออกได้ในทันที!


“ทลาย!”


สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นอย่างมาก นางรีบรวบรวมพลังทั้งหมดเพื่อป้องปกจิตวิญญาณของตนเองไว้ พร้อมทั้งต้านทานพลังของฉินที่โอบล้อมนาง


เสียงฉินประกอบด้วยพลังน่าตื่นตะลึงและน่าหวาดหลัว หากนางไม่สามารถต้านทานมันเอาไว้ได้ จิตวิญญาณของนางจะถูกหลิงอินควบคุม แล้วความลับใดก็ล้วนไม่สามารถเก็บงำเอาไว้ได้อีก!


ทว่าสิ่งที่นางทำนั้นกลับไร้ประโยชน์


พลังของฉินยังคงโอบล้อมโดยที่นางไม่สามารถหยุดยั้งมันเอาไว้ได้ จิตวิญญาณของนางและเจียงอวี่สือถูกหลิงอินควบคุมเอาไว้ได้ ดวงตาของพวกนางพลันหม่นแสงในทันที


หลิงอินเป็นถึงจ้าวสูงสุดแห่งโบราณกาล ดังนั้นพลังจิตวิญญาณของนางจึงแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก และฉินเฟิ่งหมิงในมือของนางยังถูกท่านเซียนทำขึ้นมาด้วยความตั้งใจ ไม่มีทางที่สตรีในชุดพระราชวังจะสามารถสกัดกั้นเอาไว้ได้เลย


“เล่ามาเสีย”


หลิงอินมองสตรีในชุดพระราชวัง นางคาดว่าสตรีผู้นี้จะรู้เรื่องราวมากกว่าที่เคยเอ่ยเล่า


สตรีในชุดพระราชวังกล่าวออกมาด้วยดวงตาหม่นแสง “ท่านบรรพบุรุษ จักรพรรดิบุปผาไม่ได้มีกระดูกจักรพรรดิโดยกำเนิด แต่ได้รับกระดูกจักรพรรดิมาในภายหลัง”


จิตวิญญาณของนางถูกหลิงอินควบคุมเอาไว้ นางจึงเอ่ยเล่าทุกอย่างที่ล่วงรู้ออกมาอย่างไม่อาจเก็บงำเอาไว้


หุบเขาคงหลิงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการทดสอบคุณสมบัติ พวกเขาใช้ทั้งทรัพยากรและพลังจำนวนมากในการทดสอบเพื่อป้องกันข้อผิดพลาดที่จะเกิดขึ้น


ท้ายที่สุดแล้ว ผลการทดสอบนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นจะส่งผลต่อทั้งชีวิตของผู้ทดสอบ


กล่าวตามจริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังใด ต่างก็ให้ความสำคัญกับการทดสอบคุณสมบัติอย่างถึงที่สุด!


คุณสมบัติและพรสวรรค์นั้นสำคัญเป็นอย่างมากต่อการฝึกตน ไม่อาจเกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้แม้แต่น้อย!


หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้น จะเกิดผลกระทบตามมาเป็นอย่างมาก!


จักรพรรดิบุปผาเคยทดสอบคุณสมบัติในตอนเริ่มแรก คุณสมบัตินั้นอยู่ในระดับสามัญ ไม่มีสิ่งใดพิเศษ ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง


หลังจากนั้นการพัฒนาของจักรพรรดิบุปผาเองก็อยู่ในระดับทั่วไป ตรงตามผลคุณสมบัติที่ทำการทดสอบ นับได้ว่าธรรมดาไร้ซึ่งความโดดเด่นอย่างสิ้นเชิง หนึ่งร้อยปีผ่านไปก็ยังคงอยู่ในขอบเขตราชัน ห่างไกลจากขอบเขตเทวาไกลลิบ


ในยามนั้นมันยังคงเป็นยุคสมัยโบราณ ไม่ใช่ยุคสมัยปัจจุบัน


ครั้งโบราณกาล ฟ้าดินเปี่ยมด้วยพลังเหมาะแก่การฝึกฝน กฎแห่งสวรรค์และโลกเองก็สมบูรณ์พร้อม ดังนั้นการฝึกตนจึงไม่ยากเย็นเท่ากับปัจจุบัน


ผู้คนที่มีคุณสมบัติอยู่บ้าง ใช้เวลาหนึ่งร้อยปีก็สามารถจุดเพลิงเทวา กลายเป็นขอบเขตเทวาได้ไม่ยากนัก


คนอย่างจักรพรรดิบุปผาไม่สามารถบรรลุขอบเขตเทวาได้ภายในหนึ่งร้อยปี นับว่ามีคุณสมบัติสามัญเป็นอย่างยิ่ง


“ทว่าหนึ่งร้อยปีให้หลัง เมื่อจักรพรรดิบุปผากลับมาจากการออกท่องเที่ยว ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป!”


หลังจากจักรพรรดิบุปผากลับมาก็เปล่งประกายเป็นอย่างยิ่ง ระดับการฝึกตนก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่ตามทันผู้ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นที่สุดของหุบเขาคงหลิง ยังสามารถเหยียบเหล่าอัจฉริยะไว้ใต้ฝ่าเท้า ทิ้งห่างออกไปไกลลิบ!”


ในยามนั้น คนในหุบเขาคงหลิงต่างพากันตื่นตะลึงกับความเร็วการก้าวหน้าของจักรพรรดิบุปผา!


ต่อมา ปราชญ์ของหุบเขาคงหลิงได้พบว่าจักรพรรดิบุปผาถือครองกระดูกจักรพรรดิเอาไว้!


“นั่นไม่ใช่กระดูกจักรพรรดิของตัวจักรพรรดิบุปฝาอย่างแน่นอน จักรพรรดิบุปผาได้ละทิ้งกระดูกของตัวเองไปแล้วแทนที่ด้วยกระดูกจักรพรรดิ!”


ด้วยความเกื้อหนุนจากกระดูกจักรพรรดิ ระดับการฝึกตนของจักรพรรดิบุปผาก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกล่าวได้ว่าเป็นจ้าวสูงสุดในเวลาไม่ถึงหนึ่งร้อยปี!


หลังจากนั้นจักรพรรดิบุปผาก็ใช้เวลาไม่ถึงหกพันปี ในการบรรลุขั้นสูงสุดของขอบเขตมหาจักรพรรดิ!


นับช่วงเวลาทั้งหมด จักรพรรดิบุปผาใช้เวลาเพียงหกพันกว่าปีในการกลายเป็นมหาจักรพรรดิ ทำให้บรรดาผู้ฝึกตนยามนั้นต่างตกตะลึง!


หกพันกว่าปีก็กลายเป็นมหาจักรพรรดิได้ ช่วงเวลาดังกล่าวนับว่าสั้นเป็นอย่างมาก มีเพียงไม่กี่คนในประวัติศาสตร์ที่สามารถบรรลุถึงขั้นนี้ได้เร็วเช่นนี้!


“ทว่าช่วงหลัง ๆ นั้น เส้นทางของจักรพรรดิบุปผาไม่ราบรื่นดังเช่นก่อนหน้า กระดูกจักรพรรดิไม่ใช่กระดูกดั้งเดิมของจักรพรรดิบุปผา แม้ว่าจะถูกครอบครองมามากกว่าหกพันปี ก็ไม่อาจหลอมรวมกระดูกจักรพรรดิได้เป็นของตนโดยสมบูรณ์”


จักรพรรดิบุปผาต้องการจะบรรลุขอบเขตที่สูงขึ้น เหนือขึ้นไปยิ่งกว่าขอบเขตมหาจักรพรรดิ


แต่ว่ากระดูกจักรพรรดิที่เคยเกื้อหนุนกลับกลายเป็นตัวเหนี่ยวรั้งนางเอาไว้


จักรพรรดิบุปผาใช้เวลาอีกหนึ่งพันกว่าปี ทว่าก็ยังล้มเหลวในการหลอมรวมกระดูกจักรพรรดิให้กลายเป็นของตนเอง


สุดท้าย นางจึงเลือกจะยอมแพ้ แล้วถอดกระดูกจักรพรรดิออกมา ก่อนจะใช้พลังแข็งแกร่งของตนเองสร้างกระดูกขึ้นมาใหม่


จักรพรรดิบุปผาผลัดเปลี่ยนกระดูกของนางได้สำเร็จ


นางจึงทิ้งกระดูกจักรพรรดิเอาไว้ในหุบเขาคงหลิง


“กระดูกจักรพรรดินั้นทรงพลังเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นอีกปี อัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดของหุบเขาคงหลิงก็ได้รับการเปลี่ยนกระดูกจักรพรรดิไปแทนกระดูกเดิมของตนเอง พวกเขาจะใช้พลังของกระดูกจักรพรรดิเพื่อฝึกฝน ก่อนจะถอดมันออกแล้วสร้างกระดูกของตนเองขึ้นมาใหม่”


สตรีในชุดพระราชวังกล่าวออกมา “ตอนนี้กระดูกจักรพรรดิอยู่ในร่างของเจ้าหุบเขาคงหลิง!”


“เสี่ยวหยา...!”


หลิงอินไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป หยาดน้ำตาไหลรินลงมาจากดวงตาของนาง


ตามช่วงเวลาที่สตรีในชุดพระราชวังเล่ามา รวมกับความทรงจำอันแม่นยำของนาง นางมั่นใจว่าการเปลี่ยนแปลงอันน่าตื่นตะลึงของจักรพรรดิบุปผาเกิดขึ้นครึ่งปี หลังจากที่นางก้าวสู่เส้นทางสังสารวัฏ!


นั่นหมายความว่าจักรพรรดิบุปผาได้พบกับเสี่ยวหยาหลังจากที่นางจากไปครึ่งปี!


เพียงครึ่งปี!


นางเพิ่งจะจากไปไม่ทันจะครึ่งปีดี เสี่ยวหยาแม้จะเกิดมาพร้อมกับกระดูกจักรพรรดิ แต่ระยะเวลาเพียงครึ่งปีจะสามารถฝึกฝนได้ถึงขอบเขตสูงเพียงใดกันเชียว?


ยิ่งรวมกับความจริงที่ว่าจิตใจของเสี่ยวหยานั้นบริสุทธิ์เปี่ยมเมตตา ไม่มีความระมัดระวังตัวต่อผู้อื่น ทำให้เสี่ยวหยาถูกจักรพรรดิบุปผาทำร้าย ทั้งยังขุดกระดูกจักรพรรดิโดยกำเนิดของนางไป!


นาง...โกรธเป็นอย่างยิ่ง!


จิตสังหารของนางเปี่ยมล้น!

บทที่ 313

สตรีในชุดพระราชวังยังเล่าว่า หลังจากที่จักรพรรดิบุปผากลับมาแล้ว ไม่เพียงแต่จะมีกระดูกจักรพรรดิและพรสวรรค์อันน่าทึ่งเท่านั้น นางยังนำสมบัติจำนวนมากกลับมาด้วย


ฉินในมือของเจียงอวี่สือก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่นางนำกลับมาในครั้งนั้น


กระดูกจักพรรดิ บรรดาสมบัติที่นางมอบให้กับเสี่ยวหยา...ทั้งหมดถูกจักรพรรดิบุปผายึดครองไป


หยาดน้ำตาของหลิงอินไหลริน นางแทบจะมั่นใจได้แล้วว่าเสี่ยวหยาถูกจักรพรรดิบุปผาทำร้าย


หากเสี่ยวหยาไม่ได้ถูกจักรพรรดิบุปผาทำร้าย กระดูกจักรพรรดิและสมบัติต่าง ๆ จะปรากฏขึ้นบนร่างของจักรพรรดิบุปผาได้อย่างไร?


หรือจะเป็นเสี่ยวหยาที่ส่งมอบสิ่งเหล่านี้ให้กับจักรพรรดิบุปผา?


ขุดกระดูกของตนเองมอบให้กับผู้อื่น?


กำลังคิดสิ่งใดอยู่!


จะเป็นไปได้อย่างไร!


ในยามนี้หัวใจของนางเจ็บปวดอย่างมาก เป็นความเจ็บปวดที่นางไม่เคยพานพบมาก่อน


เสี่ยวหยาจิตใจดีงามถึงเพียงนั้น ไร้เดียงสาปานนั้น แม้ว่าชีวิตของนางจะไม่ราบรื่นมากนัก แต่เสี่ยวหยาเองก็ยินดีจะดูแลและช่วยเหลือนางอย่างใจดี ไร้ซึ่งความเห็นแก่ตัว


เสี่ยวหยาที่เกิดมาพร้อมกับกระดูกจักรพรรดิ หนทางแห่งการฝึนตนย่อมเต็มไปด้วยแสงสว่างสดใส แต่เสียวหยายังคงทำตัวเรียบง่าย ไม่ต้องการไปสู่จุดที่สูงขึ้น ปรารถนาเพียงให้พี่ชายของนางหวนกลับมา


เสี่ยวหยาที่มีจิตใจบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้น กลับถูกขุดเลาะกระดูกออกจากร่างกายทั้งเป็น หัวใจของนางจะไม่เจ็บปวดได้อย่างไร!?


จักรพรรดิบุปผามีจิตใจเหี้ยมโหดจนสามารถกระทำเช่นนี้กับเสี่ยวหยาผู้แสนบริสุทธิ์ได้อย่างไร!!!


“อ๊าาา!!!”


นางร้องไห้และกู่ร้องออกมาอย่างเจ็บปวด หยาดน้ำตาหยดลงกระทบพื้น


หากยามนั้นนางรู้ว่าเสี่ยวหยาจะต้องพบเจอเรื่องราวเช่นนี้ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร นางก็จะไม่ยอมปล่อยให้เสี่ยวหยาอยู่คนเดียวภายในหมู่บ้าน นางจะต้องพาเสี่ยวหยาไปฝึกตนกับสหายให้จงได้


ทว่าตอนนี้ มันสายเกินกว่าที่จะกล่าวอะไรแล้ว


ทุกอยากล้วนไม่อาจแก้ไขได้แล้ว...


“จักรพรรดิบุปผา!!”


นางปาดน้ำตาออกจากใบหน้า ประกายนัยน์ตาวาววาบ ทั่วทั้งร่างเปี่ยมด้วยจิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัว


นางจะไม่มีวันยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป!


นางจะไปหุบเขาคงหมิงเพื่อนำกระดูกจักรพรรดิของเสี่ยวหยากลับมา นางจะไปหุบเขาคงหมิงเพื่อบดขยี้ร่างของจักรพรรดิบุปผาให้กลายเป็นเถ้าธุลี!


ตามที่สตรีในชุดพระราชวังเล่า กระดูกจักรพรรดิของเสี่ยวหยาถูกสืบทอดมาเรื่อย ๆ ปัจจุบันมันถูกปลูกถ่ายเข้าไปในร่างของจ้าวหุบเขาคนปัจจุบันของหุบเขาคงหมิง


ในท้ายที่สุดแล้ว จักรพรรดิบุปผาก็ล้มเหลวในการขึ้นไปเหนือกว่าขอบเขตมหาจักรพรรดิ ร่างของนางถูกฝังเอาไว้ในหุบเขาคงหมิง


นางไม่ได้ต้องการจะเปิดฉากการฆ่าฟันขึ้นที่นี่


ทุกหนี้แค้นย่อมมีเจ้าของ


เจียงอวี่สือและสตรีชุดพระราชวังไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับเสี่ยวหยา


“เปิดค่ายกลเคลื่อนย้าย”


หลิงอินเอ่ยสั่งสตรีในชุดพระราชวัง นางต้องการจะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายตรงไปยังหุบเขาคงหมิง


สตรีชุดพระราชวังทำตามคำของหลิงอิน นางหยิบแท่นค่ายกลเคลื่อนย้ายออกมาเปิดใช้งาน


อักขระโบราณเคลื่อนตัวพร้อมกับพลังที่หลั่งไหล ตามมาด้วยค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณที่เริ่มทำงาน


นี่คือค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณอันหาได้ยากและมีค่าเป็นอย่างยิ่ง มันสามารถนำพาไปยังหุบเขาคงหลิงได้โดยตรง


ครืน!


ก่อนก้าวเข้าไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ หลิงอินก็ดีดสายฉินหนึ่งครั้ง ลบความทรงจำของเจียงอวี่สือและสตรีชุดพระราชวังออกไป


นางมีนิสัยระมัดระวังรอบคอบ ไม่ต้องการเปิดเผยออกมามากเกินไป


หลังจากที่นางเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ และเก็บฉินเฟิ่งหมิงไปแล้ว พลังที่ควบคุมจิตวิญญาณของเจียงอวี่สือกับสตรีในชุดพระราชวังก็ถูกปลดออก


ร่างของนางหายลับไปพร้อมกับค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ


“เกิด...อะไรขึ้น...?”


“ไม่รู้...”


เจี่ยงอวี่สือและสตรีในชุดพระราชวังได้สติกลับคืนมา ก่อนจะมองหน้ากันด้วยความรู้สึกว่าพวกนางเหมือนจะลืมเลือนอะไรสักอย่าง


ทว่าพวกนางกลับนึกสิ่งใดไม่ออกเลย


...


แดนฮวง


เขตเทือกเขาทางตอนใต้


หุบเขาขนาดใหญ่แห่งหนึ่งสว่างไสวในยามราตรี


หมู่ผกานับร้อยพันเปล่งแสงเบ่งบานสะพรั่ง ทำให้ตำหนักที่อยู่ภายในดูศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง


ที่แห่งนี้คือหุบเขาคงหลิง กองกำลังที่สามารถยืนหยัดผ่านกาลเวลามานับไม่ถ้วน ทั้งยังเคยให้กำเนิดมหาจักรพรรดิออกมาหลายคน


พรึ่บ!


บนลานในหุบเขาเกิดการเคลื่อนไหวขึ้น ตามมาด้วยการปรากฏของค่ายกลขนาดใหญ่บนพื้น จากนั้นร่างของหลิงอินก็เผยออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ


นางมาถึงภายในหุบเขาคงหลิงแล้ว


หลังจากที่นางโบกมือครั้งหนึ่ง ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณขนาดใหญ่บนพื้นก็หายไป กลับมาเป็นแท่นค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณตามที่นางเรียกเก็บ


นางยังต้องใช้แท่นค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณนี้ในการเดินทางกลับไปยังเขาหยงหมิง


“ผู้ใดกลับมา...ไม่ใช่ เจ้าเป็นใครกัน!”


ผู้อาวุโสของหุบเขาคงหลิงที่เฝ้าอยู่ที่นี่รับรู้ได้ถึงความผันผวนของค่ายกล จึงคิดว่ามีสมาชิกบางคนได้เดินทางจากภายนอกกลับสู่หุบเขาคงหลิง


แต่เมื่อนางเห็นหลิงอินออกมา สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป!


นี่เป็นคนแปลกหน้า ไม่ใช่สมาชิกของหุบเขาคงหลิง!


นางตื่นตัวขึ้นทันที ปราณอันแข็งแกร่งน่าหวั่นเกรงถูกปลดปล่อยออกมาก่อนจะพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ขอบเขตของนางนั้นทรงพลังไม่ธรรมดา เป็นถึงขั้นจ้าวเทวา!


“ข้ามาเพื่อตามหาจ้าวหุบเขาของพวกเจ้า”


หลิงอินกล่าวออกมาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ไปรายงานให้นางทราบ”


“รอสักครู่!”


ผู้อาวุโสมีสีหน้าจริงจัง แต่ไม่ได้ลงมือทำอะไรกับหลิงอิน เนื่องจากหลิงอินทำให้นางรู้สึกหวั่นเกรงเป็นอย่างมาก จนไม่กล้าจะลงมือทำอะไรตามใจชอบ


นางส่งร่างแยกออกไปรายงานเรื่องนี้ให้กับจ้าวหุบเขาอย่างรวดเร็ว


“ขอถาม สหายเต๋าท่านนี้คือผู้ใด มาที่หุบเขาคงหมิงของพวกเราด้วยเหตุอันใด?”


นางถามหลิงอิน


นี่คือผู้ใดกัน?


นางไม่อาจสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังในร่างหลิงอินเลย!


อีกฝ่ายทำให้นางรู้สึกประหลาดใจและหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย


นางไม่คิดว่าหลิงอินจะเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ไร้ซึ่งความผันผวนของพลัง


มนุษย์ธรรมดาจะสามารถเข้ามายังหุบเขาคงหลิงของพวกนางได้อย่างไร


ซ้ำยังเรียกร้องต้องการจะพบจ้าวหุบเขาคงหลิงด้วย?


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า หลิงอินจะต้องไม่ใช่คนธรรมดา ทั้งยังอาจจะเป็นผู้ที่น่าหวาดเกรงอีกด้วย!


“ทวงหนี้ ล้างแค้น”


หลิงอินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ


แต่น้ำเสียงสงบนิ่งนี้กลับทำให้ผู้อาวุโสตึงเครียดขึ้นมาในทันที หนังศีรษะของนางหนึบชาไปหมด!


ทวงหนี้...ล้างแค้น!!!


หลิงอินมีเบื้องหลังที่แข็งแกร่งเพียงใด ถึงกล้ามายังหุบเขาคงหลิงแล้วกล่าววาจาออกมาเช่นนี้!


ฝ่ามือของนางชื้นไปด้วยเหงื่อ ความรู้สึกที่หลินอินมอบให้นางเต็มไปด้วยความน่าหวาดกลัว


ตอนนั้นเอง แสงสีทองสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากส่วนลึกของหุบเขาคงหลิง พลังศักดิ์สิทธิ์แผ่ซ่านออกมาก่อนจะปรากฏร่างของจ้าวหุบเขาคงหลิงขึ้น


นางดูสูงส่งและสง่างาม ทุกท่วงท่าเต็มไปด้วยกลิ่นอายของผู้แข็งแกร่ง นางมีอายุมากแล้วแต่ได้รับการดูแลอย่างดี ทำให้รูปร่างหน้าตาของนางดูไม่แก่ชรา


นางเป็นถึงหนึ่งในนักบุญที่มีชีวิตอยู่ในตอนนี้!


หลิงอินค่อย ๆ หรี่ตาลง


นางสัมผัสได้ถึงลมปราณขอบเขตนักบุญจากร่างของจ้าวหุบเขา ซ้ำยังสัมผัสได้ถึงลมปราณอันเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต


จ้าวหุบเขาได้บรรลุขอบเขตนักบุญแล้ว ทั้งยังบรรลุในยุคสมัยปัจจุบัน!


ต้องกล่าวว่า หุบเขาคงหลิงนั้นไม่สามัญธรรมดาเลยจริง ๆ


สภาพฟ้าดินในปัจจุบันนี้เลวร้ายเป็นอย่างมาก ขาดแคลนซึ่งปัจจัยในการฝึกตนระดับสูงขั้นรุนแรง เป็นเรื่องยากยิ่งที่จะบรรลุขอบเขตนักบุญ ทว่าจ้าวหุบเขาคงหลิงยังสามารถบรรลุขอบเขตนักบุญได้ ทั้งยังก้าวหน้าไปไกลจนลมปราณนักบุญแข็งแกร่งอย่างมาก


หลิงอินคิดว่าด้วยกระดูกจักรพรรดิแล้ว จ้าวหุบเขาคงใช้เวลาไม่นานมากนักในการบรรลุขอบเขตนักบุญ


“สหายท่านนี้มาเยือนยังหุบเขาคงหมิงของพวกเราด้วยเหตุใด”


จ้าวหุบเขายิ้มบาง ๆ ระหว่างเดินออกมาจากแสงสีทอง นางกล่าวกับหลิงอินอย่างสุภาพ “มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือไม่”


นางจำหลิงอินขึ้นมาได้ว่าอีกฝ่ายเกี่ยวข้องกับเซี่ยเหยียนและยอดนิกาย


ก่อนหน้านี้ สตรีในชุดพระราชวังได้รายงานข่าวเกี่ยวกับพวกเซี่ยเหยียนและยอดนิกายแล้ว ทำให้นางทราบเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของพวกเซี่ยเหยียน รวมทั้งหลี่จิ่วเต้าและหลิงอินด้วย


ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเข้าใจผิดแล้ว...


จ้าวหุบเขากล่าวขึ้นมาภายในใจ


เหล่าเผ่าและนิกายโบราณต่างเชื่อว่าหลี่จิ่วเต้าและหลิงอินเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ไม่ใช่สมาชิกของยอดนิกาย


แต่เมื่อมองดูตอนนี้แล้ว อย่างไรหลิงอินก็ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา หรือหลิงอินอาจเป็นหนึ่งในสมาชิกของยอดนิกายกัน


ส่วนหลี่จิ่วเต้าคนนั้น เกรงว่าจะไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาเช่นกัน...

บทที่ 314

จ้าวหุบเขาคาดว่าหลิงอินอาจเป็นสมาชิกของยอดนิกาย


นางจึงเกิดข้อสงสัยเป็นอย่างมาก ว่าหลิงอินมาพบนางด้วยเหตุใด


“ข้าต้องการดูกระดูกในร่างกายของเจ้า”


หลิงอินมองไปทางจ้าวหุบเขาแล้วเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง


ดูกระดูก...!


ช่างเป็นงานอดิเรกอะไรที่พิเศษเช่นนี้!


มุมปากของจ้าวหุบเขากระตุก ไม่คาดคิดว่าหลิงอินจะตอบกลับมาเช่นนี้


“ที่แม่นางหลิงอินกล่าวออกมาหมายความเช่นไร?”


นางเอ่ยถามหลิงอิน ไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะทำ


“ข้าสงสัยว่ากระดูกในร่างของเจ้าคือ กระดูกของสหายข้าคนหนึ่ง!”


หลิงอินที่ยังคงจับจ้องจ้าวหุบเขากล่าวออกมา


กระดูกของสหายคนหนึ่ง!


ช่างเป็นเรื่องน่าขบขัน!


จ้าวหุบเขาที่ได้ยินถึงกลับพูดไม่ออก


ในร่างกายของนางคือ กระดูกจักรพรรดิที่ได้รับสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นจากจักรพรรดิบุปผา ดังนั้นแล้วจะไปเกี่ยวข้องกับสหายของหลิงอินได้อย่างไร!


“แม่นางหลิงอิน ดูเหมือนจะมีเรื่องเข้าใจผิดพลาดไปกระมัง”


นางเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม อย่างไรเสียนางก็เป็นถึงผู้นำของหุบเขาคงหลิง ท่าทางที่แสดงออกมาจึงดูใจเย็นเป็นอย่างมาก


“ไม่ใช่เรื่องผิดพลาด”


สีหน้าของหลิงอินยังคงจริงจังขณะกล่าวออกมา “กระดูกจักรพรรดิในร่างกายของเจ้าไม่ใช่สิ่งที่มีมาตั้งแต่ถือกำเนิด ทว่าสืบทอดจากจักรพรรดิบุปผาใช่หรือไม่?”


จ้าวหุบเขารู้สึกตกใจขึ้นมา หลิงอินรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?


แต่เมื่อคิดดูแล้วว่าหลิงอินมายังหุบเขาคงหลิงโดยตรงผ่านทางค่ายกลเคลื่อนย้าย นางก็สามารถคาดเดาได้ว่าหลิงอินน่าจะทราบเรื่องนี้มาจากเจียงอวี่สือ


ค่ายกลเคลื่อนย้ายก็ควรจะเป็นสิ่งที่ได้รับมาจากพวกเจียงอวี่สือ


“แม่นางหลิงอินกล่าวถูกแล้ว กระดูกจักรพรรดิในร่างกายของข้าเป็นกระดูกที่สืบทอดกันมาจากจักรพรรดิบุปผา”


นางกล่าวออกมา ในเมื่อหลิงอินดูจะรู้เรื่องราวทุกอย่างแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร


“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง...”


หลิงอินมองไปทางจ้าวหุบเขา “จ้าวหุบเขาก็โปรดแสดงกระดูกออกมา เพื่อให้ข้าได้ตรวจสอบว่าเป็นกระดูกของสหายข้าหรือไม่”


หากเป็นกระดูกจักรพรรดิของเสี่ยวหยาจริง จะต้องมีร่องรอยปราณของเสี่ยวหยาหลงเหลืออยู่


อย่างไรเสียกระดูกจักรพรรดิก็ค่อย ๆ เติบโตทีละนิดพร้อมกับร่างกายของเสี่ยวหยา ตราบใดที่กระดูกจักรพรรดิยังคงอยู่ ลมปราณของเสี่ยวหยาก็จะไม่หายไป


เเต่หากกระดูกจักรพรรดิถูกหลอมรวมเปลี่ยนเจ้าของอย่างสมบูรณ์ ปราณของเสี่ยวหยาข้างในกระดูกจักรพรรดิก็จะสลายหายไป


ทว่าเห็นได้ชัดว่ากระดูกจักรพรรดิยังไม่เคยถูกหลอมรวมอย่างสมบูรณ์ หากเป็นของเสี่ยวหยา ปราณของเสี่ยวหยาก็จะคงอยู่ด้านในนั้น


“แม่นางหลิงอินโปรดอย่างสร้างปัญหา แล้วบอกจุดประสงค์ที่แท้จริงออกมาเถิด!”


จ้าวหุบเขาจับจ้องไปทางหลิงอิน ไม่เชื่อเรื่องกระดูกของสหายที่หลิงอินกล่าวออกมา


นางจะเชื่อได้อย่างไร?


กระดูกจักรพรรดิสืบทอดกันมาตั้งแต่สมับโบราณกาล จะกลายมาเป็นกระดูกของสหายคนในยุคปัจจุบันได้อย่างไร?


นี่เป็นเพียงเรื่องไร้สาระ!


“จุดประสงค์ก็คือ ตรวจกระดูก ทวงหนี้ และล้างแค้น!”


น้ำเสียงของหลิงอินแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา


นางกำลังระงับโทสะของตนเอง


ทุกสิ่งทุกอย่างบ่งชี้ว่าเป็นจักรพรรดิบุปผาที่ทำร้ายเสี่ยวหยา ทว่าหลักฐานยังคงไม่แน่นอน


นางไม่ใช่คนบุ่มบ่าม และนางไม่คิดลงมือก่อนจะเห็นหลักฐานชัดแจ้ง


“ทว่าข้าคิดว่าจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ของเจ้าคือ การแย่งชิงกระดูกจักรพรรดิในร่างกายของข้า!”


จ้าวหุบเขากล่าวออกมา “ข้าไม่ใช่เด็กสามขวบที่จะมาหลอกหล่อได้ง่าย ๆ กระดูกของสหายเจ้าอะไรกัน เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่ออย่างนั้นหรือ?”


นางยังคงกล่าวต่อไป “เห็นแก่หน้ายอดนิกายที่อยู่เบื้องหลังเจ้า จงไปเสียเถอะ ข้าจะไม่ถือสาเอาความกับเจ้าในครั้งนี้!”


ในความคิดของนาง หลิงอินจะต้องได้รับรู้เรื่องกระดูกจักรพรรดิจากพวกเจียงอวี่สือ จากนั้นจึงตัดสินใจจะแย่งชิงกระดูกจักรพรรดิของนางไป


ช่างดีดลูกคิดรางแก้ว*[1]นัก...


หลิงอินวางแผนที่จะใช้ภูมิหลังของตนเองมากดขี่นาง บังคับให้ยอมจำนนแล้วนำกระดูกจักรพรรดิในร่างกายนางไปใช่หรือไม่?


เหอะ...


นางส่งเสียงเยาะเย้ยขึ้นมาในใจ หลิงอินคิดว่าหุบเขาคงหลิงเป็นเพียงกองกำลังเล็ก ๆ อย่างนั้นหรือ


กำลังคิดสิ่งใดอยู่กัน!


หุบเขาคงหลิงของนางสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใดก็มักจะยืนอยู่ปลายยอดด้วยความมั่นคงและทรงพลัง ก้มลงมองเหล่ากองกำลังผู้ฝึกตนที่เหลือทั้งหมด!


แม้ยอดนิกายจะแข็งแกร่ง แต่หุบเขาคงหลิงของนางเองก็ไม่ได้อ่อนแอ แม้นางจะกริ่งเกรงยอดนิกาย แต่ก็ไม่กลัวจนยอมโดนยอดนิกายปั่นหัวเล่นตามใจ


ถ้าอีกฝ่ายเป็นผู้ยืนอยู่แนวหน้าของยอดนิกายก็ว่าไปอย่าง แต่กลับสมาชิกรุ่นเยาว์เช่นหลิงอินจะนับเป็นอะไรได้? คิดว่าหุบเขาคงหลิงเป็นลูกพลับอ่อนให้เจ้าบีบเล่นตามต้องการอย่างนั้นหรือ?


ภายในใจของนางเกิดไฟโทสะขึ้นมา


“ไม่ว่าจะเป็นกระดูกของสหายข้าหรือไม่ก็ตาม หุบเขาคงหลิงของพวกเจ้าก็สามารถใช้มันได้อย่างสบายใจอย่างนั้นหรือ? ขุดกระดูกจักรพรรดิออกมาจากร่างคนทั้งเป็น พวกเจ้าไม่รู้สึกว่ามันโหดร้ายงั้นหรือ? สักนิดก็ไม่รู้สึก?”


หลิงอินมองไปทางจ้าวหุบเขา น้ำเสียงของนางจริงจังมากยิ่งขึ้น โทสะสว่างวาบขึ้นในแววตา


“ตราบใดที่พวกเจ้ายังคงมีความเป็นมนุษย์อยู่ ก็ไม่ควรจะใช้กระดูกจักรพรรดินี้อีกต่อไป ควรฝังมันและขอขมา!”


นางกล่าวออกมาโดยเน้นย้ำทุกคำพูด


ฝังกระดูกจักรพรรดิ?


จ้าวหุบเขาได้ฟังแล้วก็รู้สึกขบขันขึ้นมา หลินอินกล่าวออกมาเช่นนี้ได้อย่างไร?


กระดูกจักรพรรดิที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ คือสมบัติขั้นสูงสุด หากถูกเปลี่ยนแทนมาใส่ในร่าง เส้นทางการฝึกตนย่อมราบรื่นตลอดเส้นทาง ไร้ซึ่งปัญหาในการบรรลุขอบเขตมหาจักรพรรดิ


ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าใครก็ตามในหุบเขาคงหลิงของนางได้เปลี่ยนกระดูกจักรพรรดิเข้าไปร่างกาย สุดท้ายแล้วล้วนแต่สามารถบรรลุขอบเขตมหาจักรพรรดิได้โดยอาศัยกระดูกจักรพรรดิ!


เป็นไปได้อย่างไรที่จะฝังกระดูกอันแสนล้ำค่าเช่นนี้?


แม้ว่าสิ่งที่จักรพรรดิบุปผาทำในครั้งนั้นจะดูไร้มนุษยธรรมและโหดร้ายเกินไป ทว่าในโลกแห่งการฝึกตน...มีเมื่อใดที่ไร้ซึ่งความโหดร้ายด้วยหรือ?


ในโลกแห่งการฝึกตน ส่วนใหญ่ผู้อ่อนแอก็ล้วนถูกผู้แข็งแกร่งกว่ากลืนกิน เกี่ยวข้องอะไรกับความโหดร้ายหรือไม่โหดร้ายด้วยหรือ?


มีเพียงแต่ทำทุกสิ่งให้แข็งแกร่งขึ้น!


“หยุดทำเป็นสั่งสอนเสียที! อย่าคิดว่าข้ามองไม่เห็นความคิดแอบแฝงของเจ้า! เจ้าเพียงแค่ต้องการกระดูกจักรพรรดิของข้า!”


จ้าวหุบเขากล่าวออกมาอย่างเย้ยหยัน “สิ่งที่เจ้าทำในวันนี้ เกรงว่ายอดนิกายที่อยู่เบื้องหลังเจ้าจะไม่รับรู้! ภัยพิบัติของโลกใกล้เข้ามาถึงทุกที ข้าไม่เชื่อว่ายอดนิกายที่อยู่เบื้องหลังจะยอมให้เจ้าเที่ยวก่อความวุ่นวายไปทั่ว!”


หุบเขาคงหลิงไม่ใช่กองกำลังขนาดเล็ก


แม้ว่าจะเป็นยอดนิกาย หากต้องการจะทำสิ่งใดกับพวกนางย่อมตั้งชั่งน้ำหนักอย่างดี ไตร่ตรองถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา


นางรู้สึกว่าสิ่งที่หลิงอินทำในวันนี้เป็นการเคลื่อนไหวตามใจชอบ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยอดนิกายที่อยู่เบื้องหลัง


หายนะของโลกกำลังใกล้เข้ามา การปะทะกันเองของกองกำลังใหญ่นับเป็นการสูญเสียอย่างร้ายแรง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการปะทะกันของกองกำลังโบราณระดับสูงอย่างหุบเขาคงหลิงเลย!


ยอดนิกายที่อยู่เบื้องหลังหลิงอินจะต้องไม่รู้ถึงที่สิ่งนางทำลงไปในวันนี้ หากพวกเขารู้ หลิงอินจะต้องถูกหยุดเอาไว้อย่างแน่นอน


เมื่อมีศัตรูตัวฉกาจอยู่เบื้องหน้า ทุกคนก็ควรจะมุ่งเป้าไปจัดการกับศัตรู!


“กล่าวตามตรงแล้ว หากข้าฆ่าเจ้าไปก็ไม่เกิดอะไรขึ้น!”


จ้าวหุบเขามองไปยังหลิงอินแล้วกล่าวเย้ย “หากไม่นับยอดนิกายที่อยู่เบื้องหลังเจ้า เจ้ามันก็ไม่มีอะไรเลย!”


หากหลิงอินมาที่นี่ในนามตัวแทนของยอดนิกาย นางอาจเกิดความหวั่นเกรงเป็นอย่างมาก


แต่เห็นได้ชัดว่าหลิงอินไม่ได้มาด้วยความยินยอมของยอดนิกาย ทั้งยังมาเพียงลำพัง


อย่างที่นางกล่าวออกมา หากนางฆ่าหลิงอิน ย่อมไม่เกิดเรื่องร้ายแรงอะไรตามมา


“ข้าไม่มีอะไรเลย?”


หลิงอินส่งเสียงหัวเราะออกมา นางจะไม่มีอะไรเลยได้อย่างไรกัน?


“ผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสามท่านอยู่ที่ใด?”


จ้าวหุบเขาตะโกนขึ้น พลันร่างสามร่างก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจากส่วนลึกของหุบเขาคงหลิง พวกเขาคือผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสามของหุบเขาคงหลิง!


“ส่งแขกให้ข้า ส่งแม่นางหลิงอินออกไป”


นางออกคำสั่งกับผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสาม เพราะไม่ต้องการจะยุ่งเกี่ยวกับหลิงอินอีกต่อไป



[1] ลูกคิดรางแก้ว หมายถึง คิดถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับฝ่ายเดียว

บทที่ 315

“แม่นางหลิงอินโปรดกลับไปเถิด!”


สามผู้อาวุโสเดินไปหาหลิงอิน แสดงจุดยืนอย่างชัดเจน


หากหลิงอินยังดึงดันไม่ยอมไป พวกนางจะส่งหลิงอินออกไปเอง


ไม่ถึงที่สุด จ้าวหุบเขาก็ไม่ต้องการลงมือรุนแรงจนหมดทางถอย


สามผู้อาวุโสสงวนลมปราณไว้ มิได้ปลดปล่อยลมปราณที่แท้จริงออกมา


ทว่าหลิงอินก็ยังจับสัมผัสขอบเขตพลังของสามผู้อาวุโสได้อย่างชัดเจน


นักบุญทั้งสามคน!


ลมปราณท่วมท้น ไม่มีทีท่าแก่ชราแม้แต่น้อย อีกสามคนในยุคนี้ที่ได้กลายเป็นนักบุญ!


ตามคาด!


หุบเขาคงหลิงซึ่งมีการสืบสานยาวนานจนวัดไม่ได้ ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็สามารถรักษาอำนาจตระหง่านมิรู้วายไม่ธรรมดาจริง ๆ รากฐานลึกล้ำจนน่ากลัว!


“ตรวจกระดูก ทวงหนี้ ล้างแค้น สามอย่างนี้ข้ายังมิได้ลงมือเลยสักอย่าง…”


หลิงอินไม่เคลื่อนไหวใด ๆ ดูไม่มีทีท่าจะไปไหนทั้งนั้น


แทบแน่ใจได้แล้วว่าเสี่ยวหยาถูกฆ่าโดยจักรพรรดิบุปผา เพียงแต่ขาดหลักฐานยืนยันเท่านั้น


นางไฉนเลยจะยอมไปง่าย ๆ


เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!


สามผู้อาวุโสได้บรรลุเป็นนักบุญในยุคนี้ ขอบเขตพลังของจ้าวหุบเขาเหนือชั้นกว่านั้น และทั้งหมดนี้เป็นเพียงพลังที่หุบเขาคงหลิงแสดงให้เห็นเบื้องหน้าเท่านั้น


หลิงอินรู้ดีกว่าหุบเขาคงหลิงยังมีพลังที่ลึกล้ำกว่านั้นซ่อนไว้


ทว่านางมิกลัว


ฉินเฟิ่งหมิงที่ท่านเซียนประทานให้หากได้รีดเร้นพลังจริง ๆ แล้วไม่เกี่ยวกับขอบเขตพลัง หากแต่เกี่ยวข้องกับระดับวิถี


นางเป็นถึงจ้าวสูงสุดแห่งโบราณกาลผู้กลับชาติมาเกิด แม้พลังขอบเขตนั้นจะไม่มีอยู่อีกแล้ว ทว่าความทรงจำของนางยังอยู่ ความเข้าใจที่มีต่อวิถียังอยู่


บวกกับได้รับการชี้แนะด้านวิถีแห่งฉินจากท่านเซียนในภายหลัง ซ้ำยังได้รับประโยชน์จากการได้อยู่ข้างกายท่านเซียนอีกมาก ความสำเร็จวิถีแห่งฉินของนางนับว่าสูงส่งลึกล้ำยิ่ง!


แสนยานุภาพที่นางใช้ได้จากฉินเฟิ่งหมิงยิ่งรุนแรงกว่านั้น!


สภาพแวดล้อมในปฐพีนี้ย่ำแย่ การบำเพ็ญเป็นไปอย่างลำบากลำบน การบรรลุนักบุญในยุคนี้ย่อมทรงพลังยิ่งกว่าผู้เป็นนักบุญในยุคโบราณ


เพราะความอุตสาหะที่ทุ่มเทไปมีมากกว่า


ทว่าต่อให้เป็นนักบุญผู้สำเร็จขอบเขตในยุคนี้นางก็ไม่หวั่นเกรง


จ้าวสูงสุดแห่งยุคนี้นางยังไม่กลัวเลย!


หากมิใช่ว่ามีความมั่นใจถึงเพียงนี้ ไฉนเลยนางจะกล้ามาทวงหนี้แค้นที่หุบเขาคงหลิง


“เหลวไหลทั้งเพ เพียงเพื่อปกปิดความต้องการส่วนตัวของเจ้าที่หมายตากระดูกจักรพรรดิ! หลิงอิน ข้ารักษามารยาทกับเจ้ามามากพอแล้ว เจ้าอย่าหาเหาใส่หัวจะดีกว่า!”


จ้าวหุบเขาตวาดเสียงเย็น มิได้มาในนามยอดนิกายซึ่งหนุนหลังนางอยู่แล้วยังหาญกล้าบีบคั้นกันถึงเพียงนี้ ในใจนางมีโทสะขึ้นมาแล้ว


“ผู้อาวุโสทั้งสามส่งแขก!”


นางออกคำสั่งให้ผู้อาวุโสทั้งสามส่งแขกอีกครั้ง


“เจ้าค่ะ!”


ผู้อาวุโสทั้งสามตอบรับเสียงนอบน้อม


จากนั้นพวกนางหันมองหลิงอิน ไม่สงวนลมปราณอีกต่อไป แต่ปลดปล่อยลมปราณนักบุญของพวกนางออกมาเต็มพิกัด!


ชั่วพริบตานั้น ประกายศักดิ์สิทธิ์ห้อมล้อมอยู่รอบตัวพวกนางทุกคน เจิดจ้าดั่งดวงอาทิตย์ ส่องสว่างราตรีให้สุกสกาว แม้กระทั่งดวงดาราบนนภายังหม่นหมอง!


“เชิญกลับไปเถิด!”


“แม่นางหลิงอินอย่าบังคับให้พวกเราต้องลงมือ!”


สีหน้าพวกนางเฉยชา บารมีนักบุญบีบคั้น


ทว่าสิ่งที่พวกนางคิดไม่ถึงคือ หลิงอินไม่มีทีท่าถูกบารมีนักบุญของพวกนางข่มแม้แต่น้อย สีหน้าหญิงสาวเป็นปกติ ราวกับไม่รู้สึกถึงแรงกดดัน


“พวกเจ้าลงมือเถิด ข้าเอง…ก็มีความโทสะล้นฟ้าอยู่เช่นกัน”


หลิงอินเอ่ยเสียงเรียบ


นางยกมือข้างหนึ่งเรียกฉินเฟิ่งหมิงออกมา ญาณฉินวิหคเพลิงพวยพุ่ง พร้อมด้วยเปลวเพลิงลุกโชนรุนแรงที่สะบัดไปมา สะกดข่มบารมีนักบุญที่ผู้อาวุโสทั้งสามปลดปล่อยออกมาไว้ทั้งหมด


มิหนำซ้ำ ญาณฉินวิหคเพลิงยังเปล่งบารมีที่รุนแรงยิ่งขึ้นโถมทับเข้าใส่ผู้อาวุโสทั้งสาม


บารมีที่โถมทับเข้ามาน่าประหวั่นพรั่นพรึงเกินจินตนาการ!


ผู้อาวุโสทั้งสามบรรลุนักบุญในยุคนี้ย่อมมีพลังแกร่งกล้า กระนั้นภายใต้แรงกดดันบารมีสยดสยองนี้ พวกนางกลับต้านทานมิได้เลย!


นั่นคือแรงกดดันบารมีที่จู่โจมตรงเข้าวิญญาณ พวกนางหมอบกับพื้นในทันที เหงื่อไหลโซมไปทั้งตัว ดวงวิญญาณอยู่ในสภาวะหวาดหวั่นพรั่นพรึง!


“ญาณศัสตรา!”


ม่านตาจ้าวหุบเขาหรี่ลง สีหน้าสะพรึงระคนเหลือเชื่อ


ญาณศัสตราคือผลผลิตในตำนาน มีเพียงศัสตราที่สะท้านโลกหล้ามากพอจึงจะก่อกำเนิดขึ้นมาได้ นับแต่ประวัติศาสตร์เริ่มต้นก็มีเพียงไม่กี่ชิ้น!


ศัสตราที่มีจิตวิญญาณถือกำเนิดจะมีศักยภาพในการเจริญเติบโต กลายเป็นเหมือนสิ่งมีชีวิตผู้ฝึกตนที่บำเพ็ญได้ ศัสตราชิ้นอื่นไม่อาจทัดเทียม!


ในยุคอนันตกาล เคยมีกระบี่ยาวเล่มหนึ่งก่อกำเนิดญาณศัสตรา ส่งผลให้มันกลายเป็นเหมือนสิ่งมีชีวิตผู้ฝึกตนที่สามารถบำเพ็ญได้ เรียกขานตนว่านักพรตกระบี่ เคยตัดนภาด้วยหนึ่งกระบี่ สังหารมหาจักรพรรดิสามตนในคราเดียว!


“นี่หรือคือรากฐานของยอดนิกาย!?”


นางจ้องมองหลิงอิน สายตาเปี่ยมด้วยความอิจฉา


จากข่าวที่พวกเจียงอวี่สือรายงานมา เซี่ยเหยียนมีสุดยอดคันศรหนึ่งในมือ แม้กระทั่งอสูรร้ายราชันศักดิ์สิทธิ์อย่างเผ่าฉงฉียังต้านทานศรนั้นไม่ไหว!


นางคิดไม่ถึงว่าหลิงอินจะน่ากลัวยิ่งกว่านั้น ครอบครองศัสตราที่มีญาณศัสตราถือกำเนิด!


“ฉิน!”


สายตาของนางเปลี่ยนไป ทอประกายละโมบ


ศัสตราชนิดอื่นไม่เท่าไร แต่ศัสตราของหลิงอินกลับเป็นฉิน!


หุบเขาคงหลิงของนางบำเพ็ญวิถีดุริยะ (เส้นทางแห่งการดนตรี) เครื่องดนตรีชนิดต่าง ๆ เหมาะกับพวกนางที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ฉินในมือหลิงอินยวนตายวนใจนางเป็นที่สุด!


โดยเฉพาะในยุคโกลาหลนี้ ภัยพิบัติใหญ่ใกล้มาถึงเต็มที นางอยากได้ฉินในมือหลิงอินเพื่อใช้ปกป้องหุบเขาคงหลิงของพวกนาง!


ฉินนี้ไม่เพียงแต่ก่อกำเนิดญาณศัสตรา ซ้ำยังมีจังหวะแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่น่าทึ่งไหลเวียนอยู่ นางไม่รู้ว่าฉินนี้อยู่ระดับขั้นใด กระนั้นนางแน่ใจได้ว่า ฉินนี้อยู่เหนืออาวุธมหาจักรพรรดิขึ้นไปมาก!


ความละโมบในใจนางยิ่งรุนแรง!


“มิน่าเจ้าถึงกล้ามาที่หุบเขาคงหลิงของข้า!”


จ้าวหุบเขามองหลิงอินขณะกล่าว “เพียงแต่ เจ้าคิดจริงหรือว่าจะจัดการหุบเขาคงหลิงของข้าได้ง่าย ๆ หากขอบเขตพลังของเจ้าสูงกว่านี้อีกหน่อย ข้าย่อมไม่มีคำอื่น เจ้าต้องการสิ่งใดย่อมได้ทั้งนั้น! ทว่าเจ้าเป็นเพียงราชันเทวา ต่อให้เจ้ามีฉินวิเศษระดับนี้ในครอบครองก็ยังอ่อนหัดอยู่!”


ยามเรียกฉินเฟิ่งหมิงออกมา หลิงอินเผยคลื่นพลังปราณของตนออกมาด้วย


จ้าวหุบเขาสัมผัสถึงขอบเขตพลังของหลินอิน ซึ่งคือขอบเขตราชันเทวา!


เซี่ยเหยียนในขอบเขตเทวาสามารถปลิดชีพอสูรร้ายราชันศักดิ์สิทธิ์ด้วยคันศรวิเศษได้ หลิงอินไม่เพียงแต่มีขอบเขตสูงกว่า ฉินในมือยังทรงพลังกว่า นางรู้สึกว่าหลิงอินอาจอยู่ในระดับที่สามารถเข่นฆ่าจ้าวสูงสุดได้!


ถึงแม้นางจะไม่เข้าใจว่า ยอดนิกายใช้วิธีการใดช่วยให้เซี่ยเหยียนกับหลิงอินทำได้ถึงขั้นนี้


ทว่าศัสตรายิ่งทรงพลังปานใด ยามรีดเร้นพลังก็ยิ่งยากลำบากเท่านั้น


ไม่ว่าคันศรวิเศษหรือฉินวิเศษ ล้วนอยู่เหนือขอบเขตของเซี่ยเหยียนและหลิงอินไปมาก ในสถานการณ์ปกติ เซี่ยเหยียนและหลิงอินไม่สมควรใช้พลังของมันได้จึงจะถูก


แต่ทั้งเซี่ยเหยียนและหลิงอินกลับรีดเร้นพลังได้อย่างง่ายดาย


หลิงอินสังหารจ้าวสูงสุดได้โดยฉินวิเศษ…


แต่นางไม่กลัว


หากเป็นที่อื่นนางคงต้องรู้สึกกลัวแล้ว ทว่าที่นี่ไม่เหมือนกัน ที่นี่คือหุบเขาคงหลิง ถิ่นของนาง!


ในกาลเวลาอันแสนยาวนาน หุบเขาคงหลิงของพวกนางไม่เคยเปลี่ยนอาณาที่ตั้ง รากฐานของพวกนางอยู่ที่นี่เสมอ


หุบเขาคงหลิงของพวกนางเคยมีพลังรบระดับมหาจักรพรรดิถือกำเนิดเเกินคณานับ และที่ตั้งของพวกนางก็มั่นคงเป็นปึกแผ่นเพราะการนี้


แม้กระทั่งในภัยพิบัติครั้งใหญ่เมื่อครั้งโบราณ สถานที่ตั้งหุบเขาคงหลิงของพวกนางก็ได้รับผลกระทบไม่มาก คงสภาพไว้ได้เป็นอย่างดี


หลิงอินคิดกำเริบเสิบสานที่นี่ ยังอ่อนหัดไปหน่อย!


“อันที่จริงเจ้าสามารถไปได้ ทว่าตอนนี้ ต่อให้เจ้ายอมไปก็ไปไม่ได้แล้ว!”


ดวงตาจ้าวหุบเขาทอประกายโหดเหี้ยม ความละโมบก่อเกิด นางตั้งใจช่วงชิงฉินวิเศษของหลิงอิน


หลิงอินมาที่นี่ตามลำพัง ยอดนิกายซึ่งอยู่เบื้องหลังไม่รับรู้


นี่คือโอกาส!


“ทั้งเจ้าและฉินของเจ้าอยู่ที่นี่เถิด…”


นางเอ่ยเสียงเย็น ก่อนจะปลดปล่อยพลังทั้งหมดในหุบเขาคงหลิง!