เช้าตรู่
ดวงตะวันเจิดจ้า แสงสีทองสาดส่องลงมาบนพื้นดินคล้ายมีชั้นทองคำปกคลุมอยู่
“หลับสบายจัง!”
หลิงอินตื่นขึ้นพร้อมกับบิดกายอย่างเกียจคร้าน แล้วนางก็ลุกขึ้นจากที่นอน ใบหน้าขาวนวลของหญิงสาวปรากฏรอยยิ้มหวาน
เมื่อคืนนี้นางนอนหลับสบายยิ่ง เรียกได้ว่าไม่เคยรู้สึกสบายเท่านี้มาก่อน ทั้งร่างกายและจิตใจปลอดโปร่ง นอนหลับสนิทมาก
เพียงแต่เมื่อนางพินิจรอบ ๆ แล้วก็พลันตกตะลึง รอยยิ้มหวานบนใบกลายเป็นแข็งค้างในทันใด
ที่นี่...มันไม่ใช่ห้องของนาง!!!
มันเกิดอะไรขึ้น!
นางนอนที่ไหน!?
ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้อง...
นางรู้ตัวทันทีว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง จึงกระโดดลงจากเตียงทันที
แต่หลังจากนางลุกจากเตียง นาง... นางก็ต้องตกตะลึงยิ่งกว่า!
“ไม่มีทาง ชุดของข้า...!”
ดวงตากลมโตของนางเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ ชุดของนางรวมถึงชุดชั้นในของนางถูกใครบางคนเปลี่ยน!
ผู้ใดเปลี่ยนให้นาง!?
นางโมโหยิ่งนัก ในชาติที่แล้วร่างกายของนางบริสุทธิ์ผุดผ่อง ในชาตินี้ร่างกายของนางก็สมควรบริสุทธิ์ผุดผ่องด้วยเช่นกัน มาตอนนี้ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของทั้งสองชาติหายไปแล้ว!?
“ข้าจะฆ่าคนผู้นี้เสีย!!!”
นางกัดฟันกรอด ทั่วร่างเต็มไปด้วยจิตสังหาร มือผลักประตูเดินออกจากห้อง นางอยากดูว่าที่นี่คือที่ไหน!
ผู้ใดจะรู้ นางออกมาก็เจอกับท่านเซียนแล้ว
“อ้าว ตื่นแล้วหรือ เมื่อคืนเจ้าเอาแต่ทำแล้วทำเล่า...” (หลิงอินเข้าใจว่า ‘ทำแล้วทำเล่าจริง ๆ’ ขณะที่หลี่จิ่วเต้าหมายถึง ‘นางนอนพลิกตัวไปมาไม่หยุด’)
ชายหนุ่มหาวพลางบ่นเล็กน้อย
ท่านเซียน...เหตุใดท่านเซียนถึงอยู่ที่นี่!?
ที่นี่...คือที่พำนักของท่านเซียน?
เมื่อคืนยังทำแล้วทำเล่าด้วย!
นี่มันหมายความว่าอย่างไร!?
นาง...นางกลายเป็นผู้หญิงของท่านเซียนไปแล้วหรือ!?
หลับนอนบนเตียงของท่านเซียน ชุดชั้นในทั้งหมดก็ถูกเปลี่ยน แล้วยังจะ...ทำแล้วทำเล่าอีกหรือ!
ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อทันที แดงเหมือนผลทับทิม
หลี่จิ่วเต้าเห็นใบหน้าของหลิงอินแดงมาก ก็คิดว่าเมื่อคืนนี้นางดื่มมากเกินไป ตอนนี้ยังไม่สร่างเมาดี!
“เหตุใดเจ้าไม่นอนต่อเล่า? ดูเหมือนเจ้านอนหลับไม่ค่อยสนิท ก็นะ เมื่อคืนเจ้าจะนอนหลับนอนได้อย่างไร เมื่อคืนเจ้าร้องโวยวายจะทำอยู่หลายครั้ง กระดูกของข้าถูกเจ้าทำระบมไปหมดแล้ว!”
แล้วหลี่จิ่วเต้าก็กล่าวต่ออีกว่า “เจ้าไปนอนเถอะ ข้าทำอาหารสร็จแล้วจะเรียกเจ้าเอง”
กล่าวจบ เขาก็ออกจากห้องไปทำอาหาร
กระดูกของท่านเซียนถูกนางทำระบมไปหมดแล้ว!!!
นาง...เมื่อคืนนางร้อนแรงขนาดนั้นเชียว!?
ทันใดนั้นทั้งร่างของนางก็แดงระเรื่อ
ยังจะ...ฆ่าดีหรือไม่?
ก่อนหน้านี้นางโวยวายจะฆ่าคน แต่ตอนนี้พอรู้แล้วว่าคนผู้นั้นคือใคร...
“ผู้หญิงของนายท่าน...คิกคิก”
นางคล้ายกับหญิงสาวที่กำลังตกอยู่ในห้วงความรัก ซ้ำยังยิ้มโง่งมออกมาโดยไม่รู้ตัว
ฆ่าคน?
ฆ่าใคร?
ฆ่าท่านเซียน?
นางทำไม่ได้!
นางมีความสุขจนแทบทนไม่ไหวน่ะสิ!
น่าเสียดายเรื่องเมื่อคืนนางเมาจนจำอะไรไม่ได้เลย ไม่อย่างนั้นประสบการณ์กับท่านเซียนเมื่อคืน คงจะเป็นความทรงแสนหวานอย่างแน่นอน...
“นี่ ตื่นสิ เจ้าคิดอะไรอยู่!?”
แมวสีขาวตัวน้อยลั่วสุ่ยมาแล้ว พอได้ยินคำพูดของหลิงอิน นางก็โกรธทันที
ผู้หญิงของนายท่านอะไร!?
นี่กลางวันแสก ๆ ยังจะฝันกลางวันอีกหรือ!?
“เจ้าไม่เข้าใจ...”
หลิงอินหัวเราะอีกครั้ง นางกอดลั่วสุ่ย ลูบขนอันนุ่มฟูบนร่างของลั่วสุ่ยพลางกล่าวว่า “จากนี้ไปข้าจะเป็นนายหญิงของเจ้า”
ลั่วสุ่ยขนลุกขนพอง กระโดดลงจากตักหลิงอิน พร้อมกับหันมาแยกเขี้ยวใส่นางทันที “เจ้าพูดจาเพ้อเจ้ออะไร!!!”
“คิกคิก หลังจากนี้เจ้าจะรู้เอง”
หลิงอินยิ้มโง่งม ไฉนเลยจะเหลือภาพลักษณ์สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งสมัยโบราณกาลอยู่อีก?
นางกระซิบอีกว่า “พอดีเลย ต่อไปท่านแม่กับป้าหวังจะได้ไม่ต้องเร่งรัดให้แต่งงานอีก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ลั่วสุ่ยก็เข้าใจแล้ว
หลิงอินคิดว่าเมื่อคืนนี้มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับนางและท่านเซียน!
“คิดอะไรอยู่! เมื่อคืนเจ้าเมาแล้วตกลงไปในอ้อมแขนของนายท่าน นายท่านช่วยพาเจ้ากลับห้องไปนอน ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าประพฤติตัวไม่งาม อยู่บนเตียงนอนพลิกตัวไปมา เมาแล้วก่อความวุ่นวาย ทั้งเตะทั้งต่อย นอนดิ้นไปมาครึ่งค่อนคืน!”
ลั่วสุ่ยกล่าวต่อไปว่า “นายท่านกับเจ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น สะอาดบริสุทธิ์ยิ่ง อย่าได้คิดเละเทอะอีก! หลังจากเจ้าหลับไปแล้ว นายท่านก็ไปนอนห้องข้าง ๆ”
“หา!?”
หลิงอินอับอายมาก เมื่อครู่ท่านเซียนหมายถึงพลิกตัวไปมาหรอกหรือ?
“ไม่ถูกต้อง เช่นนั้น ชุดของข้าเล่า?”
หลิงอินกล่าว ชุดของนางถูกเปลี่ยนหมดแล้วรวมถึงชุดชั้นในด้วย เรื่องนี้จะไม่จริงได้อย่างไร?
“ข้าเปลี่ยนให้เจ้า!”
ลั่วสุ่ยจ้องหลิงอินอย่างขุ่นเคืองพลางกล่าวว่า “ตอนกลางดึกข้าตื่นขึ้นมาได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของเจ้า จึงลุกขึ้นมาดู เห็นเจ้าอาเจียนเลอะเทอะ ก็เลยช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งหมดให้เจ้า รวมถึงเก็บกวาดที่นี่ให้ด้วย!”
“อ๊า...”
ตอนนี้หลิงอินอับอายเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าของนางแดงก่ำ รู้สึกอยากจะมุดรอยแตกบนพื้น แล้วเอาตัวเองไปซ่อน!
ช่างขายขี้หน้านัก!
ทุกอย่างเป็นเพียงจินตนาการของนางทั้งสิ้น!
มาลองคิดดูแล้ว ท่านเซียนจะทำเรื่องเช่นนี้กับคนไม่มีสติได้อย่างไร!
“อย่าคิดมาก มีข้าคอยดูแลเจ้าอยู่!”
ลั่วสุ่ยกล่าวพลางมองหลิงอิน
...
บนยอดเขา วังพำนักของเณรน้อย
“ร้ายกาจเกินไปแล้ว!”
เณรน้อยลืมตาขึ้น เขาฝึกตนเสร็จสิ้นแล้ว
ตั้งแต่กลับมา เขาก็เอาแต่บำเพ็ญ ทั้งสุราและเนื้อมีพลังมหาศาลเหนือคาด เขาได้รับประโยชน์มากมาย!
หลังเสร็จสิ้นการหลอมรวมแล้ว ร่างกายกับจิตวิญญาณของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่!
ผิวของต้าเต๋อเปล่งประกาย เจิดจ้าศักดิ์สิทธิ์เหนือสามัญ ปรากฏลวดลายอักขระเต๋าเป็นครั้งคราววิเศษเหนือสรรพสิ่ง!
ลวดลายอักขระเต๋ากายเนื้อ นี่คือขอบเขตกายเนื้อขั้นสูงมีชื่อว่า ร่างหมื่นอมตะ!
มีกายเนื้อเช่นนี้ ไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดบนโลกนี้แล้ว!
นี่เป็นขอบเขตกายเนื้อเทียบเท่าขอบเขตสูงสุด!
สูงสุดนั้นยังไม่สมบูรณ์ ผู้ฝึกตนขอบเขตสูงสุดมากมายไม่อาจครอบครองขอบเขตกายเนื้อขั้นสูงได้ มหา
จักรพรรดิจึงได้พบจุดจบ
หากอยากก้าวเข้าสู่ขอบเขตมหาจักรพรรดิ ร่างกาย จิตเต๋า จิตวิญญาณทั้งหมดต้องส่งเสริมไปด้วยกัน
ครั้งเมื่อสิ่งมีชีวิตขอบเขตสูงสุดดำรงอยู่ แต่พวกเขาไม่มีความสามารถในการครอบครองร่างหมื่นอมตะ
ร่างหมื่นอมตะเป็นกายเนื้อที่ยากจะบำเพ็ญได้ แม้แต่ในสมัยโบราณ สิ่งมีชีวิตขอบเขตสูงสุดมากมายก็มีเพียงหนึ่งหรือสองตนเท่านั้น ที่บำเพ็ญร่างหมื่นอมตะจนสำเร็จ
“จิตวิญญาณสูงสุด!”
เณรน้อยตื่นตระหนกอย่างยิ่ง
ดื่มสุราทำให้จิตวิญญาณของเขาได้รับการขัดเกลา เดิมทีจิตวิญญาณของเขาแตกต่างจากยอดฝีมือธรรมดาอยู่แล้ว แต่มาตอนนี้หลังเสร็จสิ้นการบำเพ็ญ เขาก็ได้ครอบครองจิตวิญญาณสูงสุดในคราวเดียว!
จิตวิญญาณสูงสุด! ร่างหมื่นอมตะ!
ขนาดขอบเขตสูงสุดยังไม่สามารถครอบครองสองสิ่งนี้ในคราวเดียวได้ ทว่าตอนนี้เขาที่อยู่เพียงขอบเขตพรตเต๋ากลับครอบครองมันได้แล้ว นี่จะไม่ให้เขาตื่นเต้นได้อย่างไร!?
จิตวิญญาณคือสิ่งสำคัญสำหรับการบำเพ็ญ ไม่ใช่แค่ขอบเขตการฝึกตนก้าวหน้าอย่างเดียว จิตวิญญาณก็จะต้องก้าวหน้าด้วยเช่นกัน
บำเพ็ญไม่ใช่เรื่องง่าย ขอบเขต จิตเต๋า กายเนื้อ จิตวิญญาณล้วนแต่ต้องบำเพ็ญด้วยตนเอง!
“แปลกยิ่งนัก เหตุใดที่นี่ถึงมีนักรบพระโพธิสัตว์มากมาย?”
เณรน้อยขมวดคิ้ว จิตวิญญาณสูงสุดทำให้เขาสัมผัสได้ว่า มีนักรบพระโพธิสัตว์แปดตนกำลังตรงมาที่นี่
นักรบพระโพธิสัตว์ เป็นผู้พิทักษ์พระพุทธะในพุทธศาสนา ฟังเพียงแต่คำสั่งของพระพุทธะเท่านั้น มักจะไม่ค่อยเคลื่อนไหว เหตุใดจึงได้มาที่นี่กะทันหัน?
เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นหรือไม่?
หรือมาเพราะยอดนิกาย?
เขารู้ว่าเกาเซิงรายงานเรื่องยอดนิยายให้เบื้องบนทราบแล้วแต่ไม่น่าใช่ หากมาเพราะเรื่องนอกพุทธศาสนาก็ควรให้พระอาจารย์มาสิ ไม่น่าจะต้องให้นักรบพระโพธิสัตว์มาด้วยตนเอง!
“ตรงมาหาข้าแล้ว!”
เขาได้ยินการสนทนาระหว่างนักรบพระโพธิสัตว์กับพระอาจารย์เกาเซิง นักรบพระโพธิสัตว์แปดตนกำลังมาหาเขา!
บทที่ 302
นักรบพระโพธิสัตว์มีหน้าที่ปกป้องพระพุทธะ ยามปกติจะไม่ปรากฏกายออกมา ทว่าวันนี้กลับมาถึงแปดท่าน ทำให้ต้าเต๋อรู้สึกได้ว่างเรื่องนี้ไม่ธรรมดาถึงปานนั้น
“อมิตาภพุทธ อู้เต๋อรีบออกมาเถิด มีเรื่องสำคัญพวกเราจึงมาพบ”
พระอาจารย์เกาเซิงที่อยู่ด้านนอกห้องของเณรน้อยกล่าวออกมา
‘อู้เต๋อ’ เป็นชื่อทางธรรมของเณรน้อย ทว่าเขารู้สึกว่ามันไม่ไพเราะ จึงไม่เคยเรียกตนออกมาเช่นนั้น ซ้ำยังบอกกับผู้อื่นว่านามทางธรรมของตนเองคือ ต้าเต๋อ
อะไรคืออู้เต๋อ? เขายังไม่มีธรรมหรืออย่างไร? ยังจำเป็นต้องมาประจักษ์*[1]อีก?
เขาไม่อยากถูกเรียกด้วยชื่อทางธรรมเช่นนั้นเลยจริง ๆ!
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เณรน้อยเปิดประตูออกมา ก็พบเข้ากับพระอาจารย์เกาเซิงและนักรบพระโพธิสัตว์แปดท่าน
แปดนักรบพระโพธิสัตว์มีร่างกายแข็งแรงกำยำ แต่ละคนมีพลังสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง จากพลังที่แผ่ออกมาแล้วล้วนอยู่ระดับขอบเขตเทวาขึ้นไป
“พระสังฆราชมีคำกล่าว ให้ท่านพุทธบุตรกลับไป”
นักรบพระโพธิสัตว์ผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมากับเณรน้อย
“กลับก็กลับสิ ต้องขนเหล่านักรบพระโพธิสัตว์มาขนาดนี้ กลัวว่าข้าจะวิ่งหนีไม่ยอมกลับไปหรืออย่างไร”
เณรน้อยกล่าวออกมาอย่างติดตลก ไม่คิดว่าต้องเองกำลังจะมีปัญหา
เมื่อตัวตนในฐานะพุทธบุตรผู้กลับชาติมาเกิดถูกเปิดเผยออกมา เขาก็มีสถานะสูงส่งเป็นอย่างมากในพุทธศาสนา แม้กระทั่งพระสังฆราชยังเคารพเขา
สาวกพุทธคนอื่นจำเป็นต้องปฏิบัติตามพุทธบัญญัติ แต่ตัวเขานั้นไม่ต้องทำตามเลยสักนิด จะกินเนื้อดื่มสุรา หรือแหกกฎก็ล้วนทำได้
“มีเรื่องเร่งด่วน ท่านพุทธบุตรโปรดไปกับพวกเรา”
สีหน้าของนักรบพระโพธิสัตว์ไร้ซึ่งอารมณ์ใด ไม่มีแม้แต่การขยับไหวแม้แต่น้อย
“ขอถามได้หรือไม่ ว่าเกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้น?”
ถัดไปด้านข้าง พระอาจารย์เกาเซิงขมวดคิ้วถามนักรบพระโพธิสัตว์
นักรบพระโพธิสัตว์มาอย่างกะทันหันเกินไป เขายังไม่ทันได้รับข่าวสารอะไรแม้แต่น้อย อีกฝ่ายก็มาถึงเสียแล้ว นี่นับเป็นเรื่องผิดปกติและแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
“พระสังฆราชไม่ได้กล่าวอะไรกับพวกเรามาก เพียงบอกให้พวกเราพาตัวท่านพุทธบุตรกลับไป”
นักรบพระโพธิสัตว์ผู้หนึ่งตอบออกมา
นี่คือเกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับพุทธบุตรงั้นหรือ?
พระสังฆราชอาจสัมผัสได้ถึงเรื่องบางอย่าง?
พระอาจารย์เกาเซิงคิดขึ้นมาในใจ
“อู้เต๋อ ในเมื่อพระสังฆราชมีคำสั่งออกมาแล้ว เจ้าก็กลับไปโดยเร็วเถิด”
เขากล่าวกับเณรน้อย ทว่าภายในใจของเขารู้สึกโล่งขึ้นมาทันที
ในที่สุดก็ไม่จำเป็นต้องอยู่กับเณรน้อยผู้นี้แล้ว!
เขาไม่ต้องกังวลเรื่องพระธรรมในใจที่จะพังทลายอีกต่อไป!
เณรน้อยไม่อยากกลับไปสักนิด เขาเพิ่งได้พานพบกับท่านเซียน ยังไม่ทันได้สานสัมพันธ์ก็ต้องจากไป เขาจะเต็มใจกลับเขาหลิงซานได้อย่างไร?
ทว่าตัวของเขาอาศัยอยู่ในเขาหลิงซานตั้งแต่เล็กภายใต้การดูแลของพระสังฆราช ดังนั้นแล้วเขาจึงเคารพพระสังฆราชเป็นอย่างมาก
อีกทั้งพระสังฆราชถึงขึ้นสั่งให้นักรบพระโพธิสัตว์มารับเขากลับไป เกรงว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นจริง ๆ
“ไปกันเถอะ”
เขาเอ่ยปากออกมา ก่อนจะจากที่นี่ไปพร้อมกับแปดนักรบพระโพธิสัตว์ มุ่งหน้ากลับไปยังเขาหลิงซานของแดนฝอ
...
วันงานชุมนุมครั้งใหญ่ได้มาถึงแล้ว เหล่าผู้ที่ได้รับเชิญล้วนต่างมาถึงเขาหยงหมิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว งานชุมนุมจึงเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
มีผู้มาชุมนุมจำนวนมากเกินไป ไม่อาจล้อมวงชุมนุมได้ จึงต้องแบ่งเขาหยงหมิงออกเป็นสิบกว่าชั้น
เผ่าซางจัดเตรียมทุกอย่างไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ งานชุมนุมใหญ่จึงถูกจัดออกมาอย่างดี บนโต๊ะที่นั่งแต่ละชั้นล้วนมีผลไม้ สุรา และอาหารชั้นเลิศหลากหลายประเภทถูกจัดวางเอาไว้
ณ ลานตรงยอดเขาหลิงซาน พวกของหลี่จิ่วเต้านั่งอยู่ด้านบน รองลงมาเป็นกลุ่มกำลังเก่าแก่และทรงพลังเช่นลัทธิเจี๋ยเทียนและเผ่าหาน
เครื่องดนตรีต่าง ๆ บรรเลงขึ้น แต่ละชั้นล้วนมีผู้ฝึกตนหญิงงดงามโบยบินร่ายรำ คลอไปกับเสียงเพลงอันไพเราะ สวยงามดึงดูสายตาเป็นอย่างยิ่ง
บนยอดเขา มีผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งนั่งเล่นฉินอยู่ตรงกลาง นางมีผิวขาวนวล ใบหน้างดงามล่มบ้านล่มเมือง
เส้นผมสีดำขลับของนางสยายลงมาราวกับม่านน้ำตก ดวงตากลมโตทั้งสองข้างเต็มไปด้วยความพิสุทธิ์ เรือนร่างอรชรในอาภรณ์สีเขียว ทำให้นางประหนึ่งดอกปทุมสีเขียวซึ่งมิแปดเปื้อนซึ่งมลทิน
เสียงฉินอันไพเราะบรรเลงออกมาจากสองมือของนาง รอบกายนางรายล้อมด้วยกลุ่มผู้ฝึกตนหญิงงามที่กำลังร่ายรำ เสมือนนางเป็นดวงดาวที่สว่างไสวที่สุดบนท้องฟ้ายามตรี เปล่งประกายพร่างพราวชวนสะดุดตา!
“ไพเราะยิ่ง!”
“สมกับชื่อนางฟ้าแห่งฉิน”
ผู้ฝึกตนจำนวนมากบนยอดเขาต่างพากันตบเข่าฉาดร้องชื่นชม ดื่มด่ำไปกับเสียงฉินอันไพเราะของหญิงสาวในชุดสีเขียว
สตรีในชุดสีเขียวไม่ใช่หญิงสาวสามัญธรรมดา แต่มาจากหุบเขาคงหลิง
นี่ก็นับเป็นอีกหนึ่งนิกายโบราณเหมือนลัทธิเจี๋ยเทียนและเผ่าหาน หุบเขาคงหลิงมาจากแดนฮวง สืบทอดผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนานจนไม่อาจสืบย้อนกลับไปได้
เต๋าสามพันวิถีต่างล้วนนำไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกัน เต๋าแห่งดนตรีเองก็ไม่ต่างกัน หุบเขาคงหลิงจึงเลือกฝึกฝนเต๋าแห่งดนตรี
สตรีในชุดเขียวมีนามว่าเจียงอวี่สือ เป็นหญิงสาวผู้มากพรสวรรค์อันดับต้น ๆ ของแดนฮวง เสียงฉินของนางไม่เพียงไพเราะ ทว่ายังมีพลังอันน่าตื่นตะลึงอยู่ภายในด้วย!
ผู้ฝึกตนที่ชื่นชมในตัวนางเรียกขานเจียงอวี่สือว่า ‘นางฟ้าแห่งฉิน’ ทว่าในทางกลับกัน ศัตรูของนางต่างพากันเรียกขานเจียงอวี่สือเป็น ‘มารฉินพิฆาต’
เมื่อใดที่นางบรรเลงเสียงฉิน ศัตรูทั้งหมดล้วนต้องศิโรราบ!
ผู้ฝึกตนหญิงที่เล่นดนตรีและร่ายรำในแต่ละชั้นล้วนมาจากหุบเขาคงหลิง
นี่คือสิ่งที่เผ่าซางได้เอ่ยเจรจากับหุบเขาคงหลิงไว้ตั้งแต่แรก สำหรับการบรรเลงเพลงร่ายรำในการเปิดงาน
‘ฉินนั้นเล่นได้ไม่เลว ทว่า...ช่างไร้ซึ่งหัวใจ’
ที่นั่งด้านบน หลี่จิ่วเต้าส่ายหัวเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้นมาภายในใจ
เจียงอวี่สือนั้นไม่เลว สามารถเล่นฉินได้ยอดเยี่ยมยิ่ง ท่วงนำนองเองก็ไพเราะชวนฟัง
ทว่า ในยามนี้เจียงอวี่สือกลับบรรเลงเพื่อแสดงความสามารถ ไม่ได้ใส่หัวใจลงไปในท่วงทำนอง
ไม่ว่าเรื่องใดบนโลกนี้ ต้องใช้ใจทำเท่านั้นจึงจะออกมาดีที่สุด หากไร้ซึ่งใจ ไม่ว่าจะดีเพียงใดก็เป็นได้เพียงแค่ความฉาบฉวย ท่วงทำนองฉินไพเราะเพียงใดก็จืดซืดไร้รสชาติ
หลิงอินที่นั่งด้านข้างเขาก็ไม่ได้คิดอะไรในตอนแรก
ทว่า ยามที่นางเห็นฉินที่เจียงอวี่สือกำลังเล่นอยู่ก็ถึงกับตกตะลึง
‘เสี่ยวหยา!’
หัวใจของนางกระหน่ำเต้นแรง ไม่อาจสงบจิตได้
ตราพระจันทร์สีน้ำเงินบนฉิน กระตุ้นให้ความทรงจำของนางหวนคืนมา
ตราพระจันทร์สีน้ำเงินเต็มดวงกลับมีรอยเว้าแหว่ง เหมือนโดนคนกัดเข้าไปหนึ่งคำ
ด้วยตราสัญลักษณ์พิเศษที่ปรากฏขึ้นบนฉิน ทำให้นางสามารถมั่นใจได้ในทันทีว่านี่คือ ฉินของเสี่ยวหยา!
ชื่อเต็มของเสี่ยวหยาคือฟ่านหยาเหยียน นางเป็นเด็กสาวตัวเล็ก ๆ ที่หลิงอินรู้จักในสมัยโบราณ
ยามนั้น นางเข้าก้าวเข้าสู่ช่วงบั้นปลายของชีวิตแล้ว ทำให้กลายเป็นที่จับจ้องของผู้แข็งแกร่งจากทั่วหล้า
เมื่อจ้าวสูงสุดผู้หนึ่งกำลังจะร่วงหล่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นนางที่ไร้ซึ่งกองกำลังแข็งแกร่งหนุนหลัง ผู้แข็งแกร่งจากทุกหนแห่งจะต้องจับจ้องมาทางนางอย่างแน่นอน
นางฝึกฝนมาทั้งชีวิตด้วยตัวของนางเอง ไม่ได้เข้าร่วมสังกัดใด ๆ
ครั้งโบราณกาลนางเคยเป็นถึงบุตรีแห่งสวรรค์
ช่างน่าเสียดาย ที่หนทางแห่งการฝึกตนนั้นแสนโหดร้าย จ้าวสูงสุดเป็นขั้นสุดท้ายที่นางไปถึง และนางไม่อาจบรรลุไปยังขอบเขตขั้นต่อไปได้
เวลาของนางใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว เหล่าผู้แข็งแกร่งต่างจับจองมาทางนาง ต้องการจะสังหารหมายฉกของหลอมพลังของนาง และยึดครองสมบัติ
แต่ถึงอย่างนั้น นางก็ไม่ใช่จ้าวสูงสุดธรรมดาทั่วไป หลังจากแทบจะต้องทุ่มหน้าตักแลก สุดท้ายแล้วนางก็สามารถสังหารอีกฝ่ายลงได้
ในตอนนั้นเอง ที่นางได้พบเข้ากับเสี่ยวหยา
นางที่สิ้นสติจากอาการบาดเจ็บสาหัสตกลงไปในแม่น้ำ ลอยละล่องตามสายธารไปเกยฝั่งยังหมู่บ้านเล็ก ๆ
เป็นเสี่ยวหยาที่พานางกลับบ้าน
จนกระทั่งตอนนี้นางยังไม่อาจลืมเสี่ยวหยา ไม่อาจลืมเด็กสาวผู้อ่อนโยนและใจดีที่ดูแลนางอย่างเอาใจใส่ในช่วงที่บาดเจ็บสาหัสได้
[1] ธรรมหรือธรรมะ มาจากภาษาจีน ‘เต๋อ (德)’ กับ ประจักษ์ธรรม มาจากคำว่า ‘อู้ (悟)’ เมื่อรวมกันจะกลายเป็น ‘การประจักษ์ธรรม’ ซึ่งเป็นการเล่นล้อเลียนศาสนา
บทที่ 303
เสี่ยวหยา... คนที่ใกล้ชิดกับฟ่านหยาเหยียนต่างเรียกนางเช่นนั้น
หลิงอินไม่สามารถลืมนางลงได้
ยามที่นางสิ้นสติไปตลอดหนึ่งเดือนเต็ม เสี่ยวหยาก็ช่วยดูแลนางด้วยความเอาใจใส่ เช็ดร่าง ป้อนข้าวให้กับนางทุกวัน
ถึงแม้นางจะไม่จำเป็นต้องทานอาหารก็ตาม
หลังจากที่นางได้สติกลับคืนมา ก็ประทับใจกับจิตใจอันดีงามของเสี่ยวหยา
พ่อแม่เสียของเสี่ยวหยาชีวิตตั้งแต่นางยังเด็ก ทิ้งไว้เพียงนางและพี่ชายที่หลงเหลือไว้ในครอบครัว
พี่ชายของเสี่ยวหยาแก่กว่านางสามปี ตอนที่พ่อแม่ของพวกเขาตาย เสี่ยวหยาอายุเพียงสี่ขวบ ส่วนพี่ชายก็เพิ่งเจ็ดขวบ
เด็กอายุสี่และเจ็ดขวบ จะมีชีวิตอย่างราบรื่นได้อย่างไรโดยไร้ซึ่งบิดามารดา?
พวกเขาใช้ชีวิตผ่านไปอย่างยากลำบาก หากไม่ใช้เพราะเพื่อนบ้านคอยช่วยเหลือดูแลพวกเขาเป็นครั้งคราว พวกเขาก็อาจจะอดตายไปนานแล้ว
ต่อมา เมื่อพวกเขาโตขึ้นก็สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น ทำให้มีชีวิตความเป็นอยู่ดีกว่าเดิมมาก อย่างน้อยก็สามารถหาอาหารและเสื้อผ้าด้วยตัวเองได้
ในปีหนึ่งที่เสี่ยวหยาอายุสิบเอ็ด ส่วนพี่ชายนางอายุสิบสี่ปี
ตอนนั้น พี่ชายกล่าวกับเสี่ยวหยาด้วยความตื่นเต้นว่าเขาสามารถหางานได้แล้ว หลังจากนี้พวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าตนเองจะต้องหิวโหยอีกต่อไป!
ทว่าหลังจากวันนั้นเอง พี่ชายของเสี่ยวหยาก็ไม่หวนกลับมาอีกเลย ซ้ำยังไร้ซึ่งข่าวคราวใดอีก
เสี่ยวหยาไปเทียวถามหลายครั้งหลายครา แต่ผ่านไปหนึ่งปีกลับไร้ซึ่งวี่แวว
หลังจากสูญเสียพี่ชายไป เสี่ยวหยาก็ถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพัง ทำให้ชีวิตผ่านไปอย่างยากลำบากยิ่งกว่าเดิม...
แต่ถึงแม้นางจะใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเพียงใด ทว่าเสี่ยวหยาก็ยังคงสามารถดูแลเอาใจใส่นางในฐานะคนแปลกหน้าได้อย่างยาวนาน หลังจากผ่านคืนวันของการฝึกตนมานับไม่ถ้วน นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกประทับใจเช่นนี้
สิ่งที่เสี่ยวหยาชอบทำที่สุดคือ การวาดภาพพระจันทร์เต็มดวงทุกรูปแบบ แล้วย้อมพวกมันเป็นสีต่าง ๆ แต่ไม่ว่าภาพใดก็จะวาดรอยฟันสองซี่เอาไว้อยู่เสมอ
หรือนางคิดว่าพระจันทร์เต็มดวงไม่สวยกัน?
ไม่ใช่สิ หากเป็นเช่นนั้นจริง วาดจันทร์เสี้ยวไม่ดีกว่าหรือ ทำไมต้องวาดร้อยเว้าแหว่งเหมือนฟันสองซี่ด้วย
นางรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก จึงเคยเอ่ยถามเสี่ยวหยาออกไปว่าเหตุใดถึงต้องวาดเช่นนี้
เสี่ยวหยาจึงเล่าให้นางฟังว่า เพราะเมื่อก่อนยามที่หิวโหยอย่างถึงที่สุด เสี่ยวหยากับพี่ชายจะนอนชมพระจันทร์ยามราตรีด้วยกัน หลังจากนั้นพี่ชายก็จะกล่าวว่า ‘เสี่ยวหยาไม่ต้องกลัวนะ หลังจากที่พี่ชายหาเงินได้ในอนาคต จะซื้อขนมชิ้นโตเท่าดวงจันทร์ให้เจ้ากิน!’
‘พระจันทร์ใหญ่ถึงขนาดนั้น พวกเราสองคนจะสามารถกินมันจนหมดได้หรือ?’
‘กินไม่หมดก็ดี พวกเราจะได้ไม่ต้องหิวโหยไปตลอดกาล!’
‘ดีเลย ในอนาคตพี่ชายจะต้องซื้อขนมชิ้นใหญ่เท่าพระจันทร์ให้เสี่ยวหยากิน!’
‘พี่ชายขอสัญญากับเจ้าว่าจะต้องซื้อมันมาให้เจ้าแน่นอน!’
ดวงตาของหลิงอินถึงกับร้อนผ่าวยามได้ยินเช่นนั้น นางเอ่ยสัญญาว่าจะช่วยเสี่ยวหยาตามหาพี่ชายกลับมา
ทว่า...นางกลับทำไม่สำเร็จ
นางใช้พลังทั้งหมดที่สามารถรวบรวมมาได้เพื่อตามหา ทว่าพี่ชายของเสี่ยวหยาราวกับหายไปจากโลกนี้อย่างไร้ร่องรอย
นางใช้พลังมหาศาลในการพยากรณ์
ตามสถานการณ์ปกติแล้ว ตัวนางในฐานะจ้าวสูงสุด การพยากรณ์ตามหามนุษย์ผู้หนึ่งควรเป็นเรื่องง่ายอย่างยิ่ง สามารถพบตัวอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว
แต่นางกลับทำไม่สำเร็จ
มีพลังบางอย่างขัดขวางการทำนาย นางไม่รู้ว่ามันคืออะไร ดูเหมือนว่าพี่ชายของเสี่ยวหยาจะไปพัวพันกับเหตุต้นผลกรรมอันยิ่งใหญ่บางอย่างทำให้ไม่อาจพยากรณ์ถึงได้
เหตุต้นผลกรรมครั้งใหญ่จะดีหรือร้าย นางเองก็ไม่อาจรับรู้
ไม่รู้แม้กระทั่งพี่ชายของเสี่ยวหยายังคงมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว
เหตุต้นผลกรรมขนาดใหญ่นั้นทำให้ทุกสิ่งเกี่ยวกับตัวพี่ชายเสี่ยวหยานั้นมืดบอด นางจึงไม่อาจพยากรณ์ได้ด้วยเหตุต้นผลกรรมของอีกฝ่าย
นางเอ่ยเล่าทุกอย่างข้างต้นให้เสี่ยวหยาได้รับรู้
ในตอนนั้น นางก็ได้ค้นพบว่าเสี่ยวหยานั้นมีคุณสมบัติในการเป็นผู้ฝึกตน อีกทั้งคุณสมบัตินั้นยังยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก
นางจึงสอนวิธีฝึกตนให้กับเสี่ยวหยา
จนในท้ายที่สุดแล้ว อายุขัยของนางกำลังจะสิ้นสุดลง ในเมื่อนางแทบจะไม่มีเวลาหลงเหลืออยู่แล้วจึงคิดจะไปลองแสวงโชคในเส้นทางสังสารวัฏ
นางบอกให้เสี่ยวหยาออกไปจากหมู่บ้าน ไปฝึกตนที่สำนักของสหายนาง
แต่เสี่ยวหยาไม่ยอมจากไป
เสี่ยวหยากล่าวว่า “หากข้าไป พี่ชายกลับมาแล้วหาข้าไม่เจอจะทำเช่นไร? ข้าอยากอยู่ต่อที่นี่ รอคอยพี่ชายกลับมา หากพี่ชายกลับมาแล้วจะได้เจอข้าอย่างแน่นอน!”
หลิงอินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเห็นด้วย โลกของผู้ฝึกตนนั้นไม่ได้มีดีอะไรขนาดนั้น กฎส่วนใหญ่ล้วนวัดกันจากความแข็งแกร่ง ให้เสี่ยวหยาอยู่ฝึกตนในหมู่บ้านไปก็คงจะดีกว่า
นางทิ้งทรัพย์สมบัติที่สะสมมาทั้งชีวิตให้กับเสี่ยวหยา หลังจากนั้นก็ก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งสังสารวัฏ
‘เสี่ยวหยา…’
เมื่อนึกถึงเรื่องเหล่านี้ หลิงอินก็ถอนหายใจออกมาด้วยความหนักอึ้งภายในใจ
นางต้องการจะพบเสี่ยวหยาอีกสักครั้ง
ทว่ายุคสมัยโบราณกาลนั้นห่างไกลจากยุคปัจจุบันมากเกินไป กระทั่งขอบเขตมหาจักรพรรดิก็ยังไม่อาจมีชีวิตยืนยาวได้ขนาดนั้น
เสี่ยวหยาคงจะตายไปนานแล้ว...
‘เหตุใดฉินของเสี่ยวหยาถึงมาปรากฏอยู่ในมือของศิษย์หุบเขาคงหลิง?’
นางมองไปยังฉินของสตรีชุดเขียวที่นั่งอยู่ตรงกลางลาน พลางกล่าวขึ้นมาภายในใจ ‘หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวหยา?’
ฉินที่สตรีขุดเขียวบรรเลงอยู่มีตราพระจันทร์สีน้ำเงินอยู่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ฉินนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับเสี่ยวหยาอย่างแน่นอน
ความทรงจำเกี่ยวกับเสี่ยวหยาเด่นชัดขึ้นมา ในยามนี้นางต้องการจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวหยา
‘เดี๋ยวก่อน...เหตุใดข้าจึงเห็นฉินนั่นที่นี่!’
นางกล่าวขึ้นมาในใจ แล้วหันไปมองท่านเซียนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
นางตระหนักได้อย่างชัดเจน ว่าเป็นท่านเซียนที่เชิญนางมาร่วมงานชุมนุมครั้งใหญ่นี้ ยามนั้นนางคิดว่าท่านเซียนจะไม่เอ่ยเชิญนางมางานชุมนุมใหญ่อย่างไร้เหตุผล สิ่งที่ท่านเซียนต้องการจะทำย่อมต้องมีความหมายลึกซึ้ง
...ในตอนนี้ นางได้เห็นฉินของเสี่ยวหยา
‘ท่านเซียน…’
ภายในใจของนางสั่นไหวอย่างรุนแรง ยามเข้าใจถึงเรื่องราวต่าง ๆ
เรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบันท่านเซียนย่อมรู้แจ้ง นั่นเป็นเหตุให้พานางมายังที่แห่งนี้ เพื่อให้นางได้เห็นฉินของเสี่ยวหยา ให้นางได้รับรู้ว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับเสี่ยวหยา
นี่ทำให้นางรู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง
ภายในใจของนางมีไม่กี่คนที่นางใส่ใจ เสี่ยวหยาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น นางต้องการจะทราบว่าเสี่ยวหยาที่เฝ้ารอคอยพี่ชาย จะได้กลับมาอยู่กับพี่ชายอีกครั้งหรือไม่
หลังจากเพลงและการร่ายรำจบแล้ว เจียงอวี่สือก็กลับที่นั่งแล้วว่างฉินลงด้วยท่าทางสง่างาม
ผู้ฝึกตนหญิงของหุบเขาคงหลิงพากันถอนตัวออกไปทีละคน
“ก่อนอื่น ต้องขอขอบคุณสหายจากหุบเขาคงหลิงที่นำบทเพลงและการร่ายรำอันยอดเยี่ยมมาให้พวกเราได้ชม”
ผู้อาวุโสเก้าแห่งเผ่าซางยกแก้วขึ้น แล้วกล่าวกับเจียงอวี่สือ
ทุกคนจากทุกชั้นในภูเขาหยงหมิงยกถ้วยขึ้นแสดงความขอบคุณต่อผู้ฝึกตนของหุบเขาคงหลิง
“นอกจากนี้ข้ายังต้องการจะกล่าวขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติพวกเราเผ่าซางในการมาร่วมชุมนุมครั้งนี้”
ผู้อาวุโสเก้ารินอีกจอกกล่าวขอบคุณผู้ฝึกตนจากทุกชั้น
หลังจากดื่มไปสองจอกแล้ว เขาก็เริ่มคุยเรื่องธุระ
ธุระของงานชุมนุมครั้งใหญ่ย่อมไม่ใช่เรื่องเรียบง่าย
“ฟ้าดินกำลังเสื่อมโทรม ทำให้การฝึกตนกลายเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง พวกเราล้วนประจักษ์ในเรื่องนี้ด้วยสายตาของตนเองดี พวกเราควรจะล้มล้างประเพณีดั้งเดิม หันมาจับมือพากันมุ่งสู่อนาคตและการพัฒนาที่มากยิ่งขึ้น!”
ผู้อาวุโสเก้ากล่าวออกมา “เหล่ากองกำลังโบราณในแดนหยิน แดนฮวง แดนฝอ ได้ร่วมมือกันเพื่อจัดตั้งสถานศึกษาขึ้นมา เพื่อแบ่งปันทรัพยากรในการบ่มเพาะคนรุ่นใหม่ขึ้นมาอย่างเต็มกำลัง!”
“อะไรนะ!”
“สามแดนร่วมมือกันสร้างสถานศึกษา!!!”
หลังจากผู้อาวุโสเก้ากล่าวจบแล้ว ก็บังเกิดความวุ่นวายขึ้นมาบนเขาหยงหมิง พวกเขาไม่คาดคิดว่าหัวข้อในการชุมนุมใครใหญ่จะเป็นสิ่งนี้!
กองกำลังโบราณในสามดินแดนรวมมือกันเพื่อสร้างสถานศึกษา สวรรค์! สถานศึกษาที่กล่าวถึงจะมีความแข็งแกร่งมากเพียงใด!?
นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น!
บทที่ 304
ทั่วทั้งเขาหยงหมิงตกอยู่ในความโกลาหล ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าผู้อาวุโสเก้าจะเอ่ยข่าวสะท้านฟ้าออกมาเช่นนี้
เผ่าซาง ลัทธิเจี๋ยเทียน เผ่าหาน และพุทธศาสนาล้วนเป็นกองกำลังที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ยาวนานเสียจนไม่อาจสืบสาวได้!
ในยุคของพวกเขาแล้ว กองกำลังเหล่านี้ล้วนยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก!
ทุกวันนี้ภูมิหลังของพวกเขาล้ำลึกจนไม่อาจหยั่งรู้ได้ แต่ตอนนี้เหล่ากองกำลังที่ทรงพลังจากยุคโบราณกาลตกลงจะร่วมมือกันสร้างสถานศึกษา นับว่าเป็นเรื่องน่าตื่นตะลึงอย่างยิ่ง!
กาลเวลาที่ล่วงผ่านมานาน เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาเป็นครั้งแรก ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้า!
แต่นอนว่า พวกเขาย่อมไม่รู้ถึงรายละเอียดภายใน
หากพวกเขาได้รับรู้ข้อมูลโดยละเอียดแล้ว พวกเขาคงจะไม่ตื่นตกใจมากเท่านี้
เพราะนอกจากวิธีนี้ก็ไร้ซึ่งหนทางอื่นแล้วจริง ๆ
สิ่งมีชีวิตจากแดนเทียนหยวนกำลังใกล้เข้ามา ทั้งโลกจะต้องรวมพลังเข้าด้วยกัน หากพวกเขายังคงอยู่แบบกระจัดกระจายเช่นเคย เกร่งว่าการเผชิญหน้าในครั้งนี้จะไร้ซึ่งความหวัง
ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนี้ พวกเขาคงไม่มารวมตัวกันเช่นนี้
อย่างไรเสียก็ไม่มีใครเต็มใจจะเอามรดกและทรัพยากรที่ได้รับสืบทอดออกมามอบให้กับผู้อื่น
ในการก่อตั้งสถานศึกษานั้น การปลูกฝังผู้ฝึกตนอย่างจริงจังนั้นเป็นเพียงหนึ่งในเหตุผล
อีกเหตุผลหนึ่งคือ การที่พวกเขาต้องการจะให้ทั้งโลกยอมรับข้อมูลของสิ่งมีชีวิตจากแดนเทียนหยวนที่ใกล้เข้ามาผ่านทางสถานศึกษา
การประกาศเรื่องนี้ออกมาอย่างกะทันหันจะทำให้เกิดความตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เป็นผลเสียต่อพวกเขาอย่างร้ายแรง
ยังดีที่พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงการแจ้งเตือนของเจตจำนงฟ้าดินในครั้งแรก ทำให้ยังพอมีเวลาที่จะตระเตรียมการ
หลังจากผู้อาวุโสเก้าประกาศเรื่องสถานศึกษาแล้ว ก็กล่าวออกมาต่อว่าจะเริ่มดำเนินการสร้าง และพิจารณาเกณฑ์ในการสอบคัดเลือก ขอให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม
สถานที่ตั้งของสถานศึกษานั้นยังไม่ถูกกำหนด
ผู้อาวุโสเก้ากล่าวว่า ยามนี้อัจฉริยะจากทั่วทุกมุมโลกมารวมตัวกันในที่เดียว นับเป็นโอกาสอันหายากที่ทุกคนจะสามารมาประกลองและเรียนรู้จากกันและกัน เพื่อหาและปรับปรุงข้อบกพร่องของตนเอง
หลังจากนั้นเองแต่ละชั้นก็เริ่มมีการเคลื่อนไหว มีผู้คนนับไม่ถ้วนออกมาประลองฝีมือกัน
ลานบนยอดเขาเองก็เริ่มมีการประลองขึ้นมาเช่นกัน
ผู้ฝึกตนที่อยู่บนยอดเขาล้วนแต่มีความแข็งแกร่งไม่ธรรมดา แต่ละคนล้วนมาจากกองกำลังโบราณ
พรสวรรค์ของรุ่นเยาว์ในแต่ละกองกำลังนั้นน่าทึ่งเป็นอย่างมา ความสามารถของพวกเขาทิ้งห่างจากคนรุ่นเดียวกันไกลลิบ ทั้งยังมีชื่อเสียงเลื่องลือ
พวกเขาเหล่านั้นต่างสนใจการประลองในครั้งนี้มาก
พวกเขาพากันทยอยลงไปในสนาม จากนั้นจึงเริ่มประลองกันเอง
พวกอ้ายฉานเองก็กำลังคันไม้คันมือ สนใจการประลองในครั้งนี้เป็นอย่างมาก
ก่อนหน้านี้พวกเขาฝึกฝนอยู่แต่ในพรรคจื่อเสีย แทบจะไม่มีโอกาสได้ต่อสู้ ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นผู้ฝึกตนทุกชาติพันธุ์มารวมตัวกันก็เกิดความอยากจะวัดฝีมือตนเองขึ้นมา
“ไปเถอะ แสดงให้พวกเขาได้รู้ ว่าคนจากเมืองชิงซานของพวกเรายอดเยี่ยมมากแค่ไหน”
หลี่จิ่วเต้าที่เห็นพวกอ้ายฉานต้องการจะร่วมประลอง จึงกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ดีเลย!”
“คุณชายคอยดูนะ!”
พวกอ้ายฉานตอบรับ จากนั้นก็พากันลงสนามประลองไปทีละคน
“พวกเรามาแล้ว ใครอยากจะมาประลองกับพวกเราบ้าง?”
“มาเลย ๆ สู้กับพวกเรา ไม่มีอะไรต้องอายทั้งนั้น!”
พวกเขากล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม ทว่ามันกลับทำให้ดูผิดแปลกอย่างยิ่งบนยอดเขาแห่งนี้
ผิดแปลกอย่างไรน่ะหรือ...
ผิดแปลกตรงที่มีเด็กอายุไม่กี่ขวบลงมาในสนามประลอง ยืนอยู่ท่ามกลางเหล่าผู้ฝึกตนที่อายุมากกว่าพวกเขามาก
ผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์บนยอดเขาล้วนแต่ไร้คำจะกล่าว ภายในใจเอ่ยออกมาว่าใครจะอยากประมือกับเด็กน้อยเช่นพวกเจ้ากัน
พวกเขาจะไม่ถูกกล่าวหาว่ารังแกเด็กหรอกหรือ?
พวกเขาไม่ได้ต้องการจะถูกประณามให้อับอายเช่นนั้น
เมื่อผู้อาวุโสเก้าแห่งเผ่าซางเห็นดังนั้น เขาจึงกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าประเมินคู่ต่อสู้ของพวกเจ้าต่ำเกินไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม”
แม้ว่าพวกอ้ายฉานจะยังเด็กนัก แต่พวกเขาทุกคนก็ล้วนบรรลุขอบเขตพรตเต๋า ไม่ใช่ระดับที่ไม่ว่าใครก็สามารถเปรียบเทียบได้
รุ่นเยาว์ในลานประลองประเมินพวกอ้ายฉานต่ำเกินไป นับเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่จริง ๆ..
เด็กพวกนี้มองอย่างไรก็เพียงไม่กี่ปี...
ต่อให้ฝึกตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ก็จะแข็งแกร่งสักแค่ไหนกันเชียว?
รุ่นเยาว์ในสนามประลองไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคำพูดของผู้อาวุโสเก้าเผ่าซาง
พวกเขาต่างก็ไม่เคลื่อนไหว ไม่ต้องการเข้าประลอง
พวกเขาไม่ทำแม้กระทั่งใช้ประสาทสัมผัสญาณในการตรวจสอบขอบเขตของพวกอ้ายฉาน
เพราะพวกเขาต่างคิดว่ามันไม่จำเป็น เด็กน้อยอายุเพียงไม่กี่ปีจะสามารถฝึกตนได้ถึงขั้นไหนเชียว?
เหล่าผู้อาวุโสของพวกเขาไม่ได้บอกพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องยอดนิกาย ทั้งยังไม่บอกพวกเขาให้ทราบถึงระดับขอบเขตของพวกอ้ายฉาน
นั่นทำให้เหล่ารุ่นเยาว์ต่างก็ไม่เคลื่อนไหว จนทำให้บรรดาผู้อาวุโสเริ่มอยู่ไม่สุข
รุ่นเยาว์เหล่านี้ไม่รู้เรื่องราวของยอดนิกาย ทว่าเหล่าผู้อาวุโสต่างเข้าใจไปว่า พวกอ้ายฉานเป็นคนจากยอดนิกาย มาเยือนยังที่แห่งนี้เพื่อฝึกฝนตนเอง
หากพวกเขาทำให้พวกอ้ายฉานขุ่นเคืองใจแล้วละก็…พวกเขาไม่อาจจะแบกรับผลที่ตามมาได้!
พวกเขาจึงเริ่มขานชื่อขึ้นมา ให้รุ่นเยาว์ในกองกำลังของตนเองที่อยู่ขอบเขตเดียวกันกับพวกอ้ายฉานออกไป
“อ๊ะ เหตุใดต้องเป็นข้าที่ลงสนามเล่า?”
“ไม่มีทาง!”
รุ่นเยาว์ที่ถูกขานชื่อต่างทำสีหน้าทุกข์ตรม เหตุใดจึงต้องเป็นพวกเขาเล่า!?
ช่างโชคร้ายเหลือเกิน!
รังแกเด็กอายุเพียงไม่กี่ขวบ...หากเรื่องนี้ถูกเล่าขานออกไป คงกลายเป็นรอยด่างในชีวิตพวกเขา!
นอกจากนี้ จำเป็นต้องให้ขอบเขตขั้นระดับพวกเขาออกโรงไปจัดการกับพวกเด็ก ๆ อย่างอ้ายฉานด้วยหรือ?
พวกเขาไม่เต็มใจที่จะทำสักนิด
แต่พวกเขาเองก็ไม่กล้าจะขัดคำของผู้อาวุโส จึงได้แต่ทยอยลงไปยังสนามประลองเพื่อสู้กับพวกอ้ายฉานทีละคน
ขณะที่อีกฝั่งหนึ่ง มีเด็กหนุ่มรูปงามก้าวออกมาด้วยความคล่องแคล่วฉับไว
บนใบหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์ของเขาประดับด้วยรอยยิ้มงดงาม เขาเดินไปหยุดอยู่ด้านหน้าอันหลานเสวี่ย ก่อนกล่าวออกมาด้วยเสียงสบาย ๆ “ไม่ทราบว่า แม่นางท่านนี้จะให้เกียรติประมือกับข้าได้หรือไม่?”
เขาเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับยอดนิกายเลย
เนื่องจากเหล่ากองกำลังโบราณได้ตกลงกับผู้อาวุโสเก้าแห่งเผ่าซางว่า จะไม่เอ่ยบอกเรื่องนี้กับเหล่าผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ บนภูเขานี้
“ข้า? ไว้คราวหน้าเถิด...”
อันหลานเสวี่ยไม่มีความคิดอยากจะต่อสู้อยู่แม้แต่น้อย
นางมีนิสัยชอบเก็บเนื้อเก็บตัว จึงไม่ค่อยจะชื่นชอบการประลองท่ามกลางสายตาจับจ้องเช่นนี้
“นี่เป็นเพียงแค่การฝึกซ้อมเท่านั้น จะแพ้ชนะล้วนไม่สำคัญ ขอบเขตของข้าสูงกว่าแม่นาง ทั้งยังมีประสบการณ์อยู่บ้าง เป้าหมายของข้าจึงไม่ใช่แลกเปลี่ยนความรู้ แต่เพื่อให้ได้รับประสบการณ์”
เด็กหนุ่มรูปงามแย้มยิ้ม ยังคงเอ่ยต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้ “แม่นางประลองกับข้าสักครั้งครา ย่อมได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์บางอย่างกลับไป”
แม้เขาจะไม่รู้เกี่ยวกับยอดนิกาย
แต่เขาก็ตระหนักได้ว่าตัวตนของเซี่ยเหยียน พวกเด็ก ๆ อย่างอ้ายฉาน และอันหลานเสวี่ยย่อมต้องไม่ธรรมดา
ไม่เช่นนั้น เผ่าซางจะใส่ใจพวกเขามากเพียงนี้ได้อย่างไร!
ดังนั้นเขาจึงเกิดความคิดที่จะใช้โอกาสในการประลองกับอันหลานเสวี่ย เพื่อสานสัมพันธ์กับนาง
สำหรับสาเหตุที่เขาไม่เลือกเซี่ยเหยียนหรือพวกอ้ายฉาน ก็เป็นเหตุผลที่เรียบง่ายอย่างยิ่ง
พวกอ้ายฉานไม่จำเป็นต้องพูดถึง พวกเขายังเด็กเกินไป
ส่วนเซี่ยเหยียนนั้น เขาไม่มีความกล้าจะไปประลองด้วย!
จะบ้าหรืออย่างไร เซี่ยเหยียนเคยถึงขึ้นยิงศรตอกพ่อของฉงคูลงกับภูเขาต่อหน้าคนมากมาย เขาจะเอาความกล้าที่ไหนไปคิดปะมือกับเซี่ยเหยียน?
นอกจากเขาจะคิดว่าชีวิตของตนเองยืนยาวเกินไป...
บทที่ 305
“ไม่เป็นไรดีกว่า…”
อันหลานเสวี่ยปฏิเสธยิ้ม ๆ ยังไม่อยากประมือด้วยเท่าใด
จังหวะเทวาปรากฏตามตัวเด็กหนุ่มรูปงาม ขอบเขตพลังสูงกว่านางจริง ซ้ำยังมิได้สูงกว่าเพียงนิดหน่อย เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ก้าวสู่ขอบเขตเทวาแล้ว
นางเพิ่งอยู่ขอบเขตพรตเต๋าเท่านั้น
แต่หากจะบอกว่าการประลองยุทธ์ลับฝีมือเป็นประโยชน์ต่อนางนั้น…
ออกจะเกินจริงไปหน่อย
นางเคยดื่มชาเย็นของท่านเซียน ชิดเชื้อกับพลังเยือกแข็งในใต้หล้านี้เป็นพิเศษ สามารถหยิบยืมพลังเยือกแข็งมาใช้เป็นการส่วนตัวได้
นอกจากนี้ ท่านเซียนยังประทานภาพวาดเหมันต์ไว้ให้นางภาพหนึ่ง แฝงไว้ซึ่งวิถีเหมันต์สูงส่ง มิใช่สิ่งที่ผู้อื่นทัดเทียมได้แน่
เด็กหนุ่มรูปงามผู้นี้เพียงแต่มีขอบเขตพลังสูงกว่านางเท่านั้น ส่วนด้านอื่น…ไม่แน่ว่าจะแข็งแกร่งกว่านาง
ลับฝีมือชี้แนะนับว่าเกินไปหน่อย
ได้ยินอันหลานเสวี่ยปฏิเสธเขาอีกครั้ง เด็กหนุ่มรูปงามไม่สบอารมณ์อย่างมาก
จะให้เขาอารมณ์ดีได้เยี่ยงไร?
เขาอู่เยว่ เป็นบุตรสวรรค์ผู้โดดเด่นในหมู่คนรุ่นเยาว์ตระกูลอู่ จุดประกายเพลิงเทวาได้ในวัยเพียงสิบเก้าปี ก้าวขึ้นมาเป็นเทพ รัศมีสูงส่งแห่งเกียรติยศห้อมล้อมอยู่รอบตัว
สตรีที่ตามจีบเขาต่อแถวกันจากดินแดนฮวงจนถึงดินแดนหยิน!
เขาผู้มีพลังขอบเขตเทวาลดตัวออกปากเชื้อเชิญ ซ้ำยังกล่าววาจาชัดเจนว่าต้องการชี้แนะอันหลานเสวี่ย เพื่อประโยชน์ของอันหลานเสวี่ยเอง เอาใจอันหลานเสวี่ยถึงเพียงนี้
อันหลานเสวี่ยเพิ่งบรรลุขอบเขตพรตเต๋า เหนือขึ้นไปยังมีอีกตั้งแปดขั้น ขอบเขตราชันอีกสี่ขั้น ถึงจะบรรลุเป็นเทพได้
เขาผู้มีพลังขอบเขตเทวาชี้แนะอันหลานเสวี่ยถือว่าเหลือเฟือแล้ว
ทว่านางกลับปฏิเสธเขาลูกเดียว ไม่ไว้หน้าเขาสักนิด เขาอารมณ์ดีได้สิแปลก!
หากมิใช่คำนึงว่าอันหลานเสวี่ยมีภูมิหลังไม่ธรรมดา เขาไฉนเลยจะยอมกล้ำกลืนฝืนทน?
คงฟาดฝ่ามือตบอันหลานเสวี่ยกระเด็นไปนานแล้ว
แม้ว่าอันหลานเสวี่ยพอมีเค้างดงามอยู่บ้าง ทว่าหญิงงามนั้นมีอยู่ถมเถ ระดับขอบเขตพรตเต๋าอย่างนางไม่มีค่าพอจะสวมรองเท้าให้เขาด้วยซ้ำ!
‘เสแสร้งอยู่ได้ ไว้ข้าปราบพยศเจ้าได้เมื่อใด จนเจ้ากลายมาเป็นผู้หญิงของข้าแล้ว ข้าจัก ‘สั่งสอน’ เจ้าอย่างดีเชียว!’
เขาพูดในใจอย่างเคียดแค้น
ทว่าสีหน้าของเขามิได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด รอยยิ้มยังคงสดใสอบอุ่น
“อุตส่าห์ได้มาพบกันที่นี่ ทุกคนต่างลับฝีมือประลองยุทธ์กันด้วยความครึกครื้น แม่นางไปร่วมสนุกหน่อยเถิด มิใช่ศึกชี้ชะตาเสียหน่อย”
เขาเอ่ยยิ้ม ๆ
อันหลานเสวี่ยยังไม่รู้สึกสนใจ
นางอ้าปากหมายจะปฏิเสธอีกครา ทว่าท่านเซียนกลับส่งเสียงมา
หลี่จิ่วเต้ายิ้มแย้มพลางกล่าว “สนุกครึกครื้นบ้างเป็นเรื่องดี อีกอย่าง คุณชายท่านนี้บอกแล้วมิใช่หรือ เจ้าอาจได้รับประโยชน์จากการประลองนี้ ฮ่า ๆ เช่นนี้เจ้าไปลับฝีมือกับเขาหน่อยไม่ดีหรือ ถึงอย่างไรก็มีแต่ได้ ไม่มีเสีย”
เขาก็อยากเข้าไปลับฝีมือบ้าง อนิจจา เขาไร้พลัง สู้กับใครไม่ได้
“ทราบแล้ว”
อันหลานเสวี่ยไม่แย้งใด ๆ ผงกหัวให้ท่านเซียน ก่อนจะเดินลงจากแท่น หมายจะประลองฝีมือกับอู่เยว่
อีกด้าน เซี่ยเหยียนไม่ยอมอยู่สงบแม้แต่น้อย
นางเดินลงจากแท่นมานานแล้ว
เห็นนางเป็นสตรีเพศ แต่ความกระหายการต่อสู้ของนางมิได้น้อยไปกว่าบุรุษเพศเลย นางชื่นชอบการต่อสู้มาก!
“ดูเจ้าห้อมล้อมด้วยแสงเทวะ เห็นได้ชัดว่ามีพลังแกร่งกล้า มาเถิด เรามาประลองฝีมือเพื่อสมานมิตรกันเถิด!”
เซี่ยเหยียนเข้าไปหาบุตรสวรรค์ผู้หนึ่ง และท้ารบคนผู้นั้น
“หา?”
บุตรสวรรค์ผู้นั้นหน้าเขียวไปหมด
ในใจอยากร่ำไห้ อยากบอกเหลือเกินว่า พี่สาว เลิกล้อเล่นกันทีได้หรือไม่ แขนขาเรียวเล็กเช่นข้า ไฉนเลยจะทนมือทนเท้าพี่สาวได้ไหว?
แข็งแกร่งระดับอสูรราชันศักดิ์สิทธิ์อย่างบิดาฉงคูยังไม่อาจยับยั้งศรของเซี่ยเหยียน เขาไม่อยากต่อสู้กับเซี่ยเหยียนผู้นี้!
“ท่านพี่หลู เราสองคนไม่ได้พบกันเสียนาน ศึกคราวก่อนยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ วันนี้เรามาสานต่อการต่อสู้คราวก่อนให้จบเถิด!”
เขามองบุตรสวรรค์อีกคน พร้อมเดินเข้าไปหา
“???”
บุตรสวรรค์ผู้ถูกเรียกว่าท่านพี่หลูงุนงงไปหมด
พี่ชาย ท่านเรียกผู้ใดหรือ ข้าไม่เคยพบหน้าท่านเสียหน่อย!
แล้วการต่อสู้เมื่อคราวก่อนมาจากไหน!?
อีกอย่าง ข้าหาได้แซ่หลูไม่!
ท่านมาหาผิดคนแล้ว!
“ตั้งแต่ได้สู้กับท่านเมื่อคราวก่อน ข้าได้เพียรพยายามฝึกฝน บัดนี้ฝีมือพัฒนาอย่างก้าวกระโดด! มาเถิด หนนี้ข้าจักชนะท่านให้ได้!”
บุตรสวรรค์ที่เซี่ยเหยียนเข้าไปหาไม่พูดพร่ำทำเพลง ฟาดฝ่ามือไปหาบุตรสวรรค์ที่เขาเรียกด้วยสกุลหลู บีบบังคับเปิดฉากการต่อสู้!
“ชนะกับผี!”
บุตรสวรรค์ผู้ถูกเรียกด้วยสกุลหลูไม่ปอดแหกแม้แต่น้อย ทั้งคู่เริ่มประชันฝีมือกัน
“มาหาผิดคนหรือ ไม่เป็นไร เปลี่ยนเป็นคนอื่นก็ได้”
เซี่ยเหยียนมาอยู่เบื้องหน้าบุตรสวรรค์อีกคนหนึ่ง
หารู้ไม่ นางยังไม่ทันปริปาก บุตรสวรรค์ผู้นั้นก็ตะโกนลงไปข้างล่าง “ว่ากระไร ศิษย์น้องสวี่ตามหาข้าหรือ ได้ ๆ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”
จากนั้น บุตรสวรรค์ผู้นั้นก็พุ่งลงไปชั้นล่างด้วยความเร็วปานสายฟ้า
“เวลาไม่เหมาะเจาะเอาเสียเลย”
เซี่ยเหยียนจนใจ กระนั้นมิได้คิดอะไรมาก นางมาอยู่ตรงหน้าสัตว์อสูรดุดันตัวมโหฬารตนหนึ่ง
กร๊อบ!
เสียงกระดูกหักดังขึ้น สัตว์อสูรตัวนี้ใช้กรงเล็บตะปบแขนอีกข้างของมันหัก
“ขออภัย ข้าคันแขนข้างนี้ คิดอยู่ว่าตีเบา ๆ แก้คันเสียหน่อย หารู้ไม่ เผลอออกแรงมากไป ทีเดียวเล่นเอากระดูกหัก คงไม่อาจลงไปประลองยุทธ์กับท่านได้แล้ว”
สัตว์อสูรตัวนั้นกล่าวต่อเซี่ยเหยียน
“...”
เซี่ยเหยียนหน้าบอกบุญไม่รับ หาข้ออ้างก็ช่วยแนบเนียนหน่อยได้หรือไม่
นี่มัน…หลอกเด็กอยู่หรือไร!
นางเข้าใจแล้ว สิ่งมีชีวิตระดับโอรสธิดาสวรรค์ในที่นี้กลัวนางกันทั้งสิ้น มิกล้าต่อสู้กับนาง
คิดแล้วก็คงจริง สัตว์อสูรระดับราชันศักดิ์สิทธิ์อย่างบิดาฉงคูยังปราชัยแก่นาง ผู้ใดเลยจะกล้าลับฝีมือกับนาง?
เอาเถิด…ไม่สู้ก็ไม่สู้ มิใช่เรื่องใหญ่อันใด
นางหมดอารมณ์ประลองยุทธ์ลับฝีมือ จึงเดินขึ้นแท่นที่นั่ง
ระหว่างทาง นางชะงัก เอื้อมมือไปบนโต๊ะตัวหนึ่ง
ตึง!
เสียงหัวกระแทกดังสนั่น บุตรสวรรค์วัยเยาว์คนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะหยิบจานฝนหมึกสี่เหลี่ยมออกมา ก่อนจะใช้หัวโหม่งทันที
ให้ตายสิ เขาโขกเสียเต็มแรง หน้าผากถลอกปอกเปิด เลือดเนื้อเละเป็นก้อนเดียวกัน
“บ้าเอ๊ย น่าหงุดหงิดจริง! เหตุใดโรคปวดหัวถึงไม่หายเสียที!? ต้องกระแทกสักทีสองทีถึงดีขึ้น!”
เขาจับจานฝนหมึกสี่เหลี่ยมกระแทกหัวตึงตึงอีกสองที
หากต้องเข้าไปประลองยุทธ์กับเซี่ยเหยียน แล้วเซี่ยเหยียนยั้งแรงไม่ทันยิงเขาตายในศรเดียวจะทำเยี่ยงไร
เขายอมกระแทกหัวตัวเองยังดีกว่าไปเสี่ยงต่อสู้กับเซี่ยเหยียน
“ข้าเพียงอยากกินองุ่นเท่านั้น…”
เซี่ยเหยียนกระซิบ มือที่เอื้อมเข้าไปเด็ดองุ่นลูกหนึ่งจากจานผลไม้บนโต๊ะ
นางหมดคำพูดเหลือแสน นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน นางน่ากลัวถึงเพียงนั้นเลยหรือ?
อืม คิดแล้วน่ากลัวถึงเพียงนั้นจริงด้วย!
“หา!?”
บุตรสวรรค์วัยเยาว์ผู้กระแทกหัวตนเองตะลึงงัน
‘บัดซบ!’
เขาก่นด่าในใจ ทรมานเป็นหนักหนา
เขาอยากบอกเหลือเกินว่า พี่สาว อยากกินองุ่นก็ส่งเสียงบอกหน่อยมิได้หรือ กลั่นแกล้งกันเช่นนี้ไม่ได้กระมัง!
ให้ตายสิ ที่เขากระแทกไปกระแทกเต็มแรงทั้งนั้น กะโหลกแทบแตก ตอนนี้ยังตาพร่าอยู่เลย!!!
เขาร้องไห้ ร้องออกมาจริง ๆ น้ำตาไหลพราก ไม่เคยอดสูเยี่ยงนี้มาก่อน!
“เฮ้อ นี่หรือคือรสชาติของความไร้เทียมทาน ระทม ระทมเหลือเกิน…”
เซี่ยเหยียนกินองุ่นเข้าไปในคำเดียว มือไพล่หลัง สั่นศีรษะถอนใจ ไม่อยากประลองยุทธ์อีกแล้ว
ไม่มีผู้ใดกล้าประลองกับนางเลย