“เซี่ยเหยียนนี่เก่งจริง ดูผู้ฝึกตนและสัตว์อสูรเหล่านั้นกลัวเข้า!”
หลี่จิ่วเต้าเห็นสถานการณ์ฝั่งเซี่ยเหยียนแล้วขำในใจไม่หยุด
ตลกเกินไปแล้ว
เพื่อไม่ต้องสู้กับเซี่ยเหยียน ทั้งหักแขน ทั้งฟาดหัว โหดเกินไปแล้ว!
การประลองยุทธ์ลับฝีมือ
การประลองฝีมือบนยอดเขาเป็นช่วงที่ดึงดูดสายตา และสร้างความบันเทิงมากที่สุด
สิ่งมีชีวิตชั้นยอดระดับโอรสธิดาสวรรค์ต่างอยู่บนยอดเขา!
ไม่ว่าจะเป็นยอดเขา หรือชั้นต่าง ๆ ที่อยู่ใต้นั้น ต่างมีการจัดเตรียมพิเศษโดยตระกูลซาง การประลองฝีมือนี้ ไม่มีผู้ใดกีดขวางผู้ใด ซ้ำคลื่นพลังก็ไม่แผ่กระทบไปด้านนอกด้วย
หากปราศจากการจัดเตรียมเช่นนี้ ปล่อยให้คลื่นพลังรั่วไหล ทั้งเขาหยงหมิงคงราบเป็นหน้ากลองไปนานแล้ว
“อมิตาภพุทธ”
บนยอดเขา ชายหนุ่มผู้หนึ่งท่องนามพระอมิตาภะพุทธเจ้า เจิดจรัสแยงตาเป็นพิเศษ
พลังธรรมะเอ่อล้นออกจากตัวเขา ด้านหลังมีนิมิตแดนฝอปรากฏ สิ่งมีชีวิตภายในต่างสวดมนต์ไม่หยุดหย่อน ภาพที่เห็นนั้นยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม!
เขาคือลูกศิษย์ของพระโพธิสัตว์หฤทัยผ่องแผ้ว ฉายาฮุ่ยคง มีความสามารถโดดเด่นในหมู่คนวัยเยาว์ของพุทธศาสนา
นิมิตแดนฝอปรากฏ ตัวเขาราวกับยืนตระหง่านองอาจไม่มีวันพ่ายแพ้
ฝ่ามือที่ฟาดลงมา ประหนึ่งทั้งผืนนภาได้ถล่มทับลงมา ฉายานักรบพระโพธิสัตว์ปรากฏ พร้อมด้วยบารมีดุดันไร้เทียมทาน!
คู่ต่อสู้ของเขาไม่ธรรมดาเช่นกัน
น่าเสียดาย ใต้ฝ่ามือระดับนี้ ต่อให้คู่ต่อสู้ของเขาสำแดงวิชาทั้งหมดที่มีก็สู้ไม่ไหว ยับยั้งไม่ได้เลย!
“ดัชนีตัดสวรรค์!”
ธิดาสวรรค์ผู้โดดเด่นแห่งลัทธิเจี๋ยเทียน เจียงหราน ก็ลงสนามร่วมประลองยุทธ์เช่นกัน
คู่ต่อสู้ของนางทรงพลังมาก สร้างความกดดันให้นางไม่น้อย จนนางต้องใช้สุดยอดวิชาก้นหีบแห่งลัทธิเจี๋ยเทียน!
สิ่งใดหรือคือดัชนีตัดสวรรค์?
คือการรวบรวมพลังทั้งหมดไว้ที่นิ้ว หากบำเพ็ญจนถึงระดับสูงสุด สามารถตัดได้แม้กระทั่งผืนฟ้า!
นิ้วที่เจียงหรานยื่นออกไปส่องแสงสว่างเจิดจ้า พลังมหาศาลหลอมรวมอยู่บนนิ้วของนาง สำแดงปรมัตถ์ของดัชนีตัดสวรรค์ออกมาได้อย่างถ่องแท้!
เสียงดัง ‘ตู้ม!’ ดัชนีตัดสวรรค์ปลดปล่อยพลัง ลำแสงดุจสายรุ้งถล่มไปหาคู่ต่อสู้ของนาง พร้อมด้วยคลื่นพลังอันน่าประหวั่นพรั่นพรึง
คู่ต่อสู้ของนางก็แสดงสุดยอดวิชาเช่นกัน ท้องนภาอันมีหมู่ดาวดารดาษปรากฏ ดารานับคณาหลอมรวมเป็นลำธาร เข้าปะทะดัชนีตัดสวรรค์ของเจียงหราน
อนิจจา เจียงหรานเหนือชั้นกว่า ดัชนีตัดสวรรค์ทลายหมู่ดาวดารดาษ ท้องนภาแหลกสลาย คู่ต่อสู้ปราชัยแก่นาง
โฮก โฮก โฮก!
ซวานหนีเลือดบริสุทธิ์ตัวหนึ่งคำราม บารมีดุดันของสัตว์อสูรฉายชัด สายเลือดของมันเป็นรองเพียงสิบอสูรร้ายเท่านั้น น่าสยดสยองเป็นอย่างมาก!
นัยน์ตาของมันแดงก่ำ รัศมีมุ่งร้ายเข้มข้นรุนแรง ผิวหนังเส้นขนชั้นนอกแดงฉาน ดูคล้ายเปลวเพลิงลุกโชติ กำยำยิ่งกว่าราชสีห์ มีเขากวางอยู่บนหัว เมฆแดงพลุ่งพล่านอยู่รอบ ๆ ราวกับมันเป็นจ้าวแห่งอัคคี!
ทะเลเพลิงโหมซัด ประหนึ่งลาวาไหลเชี่ยว ตัวมันน่ากลัวเกินไป มีความสามารถควบคุมไฟ เพียงไม่นานคู่ต่อสู้ของมันก็ต้านทานไม่ไหว พ่ายแพ้ในที่สุด
ติ๊ง~!
เจียงอวี่สือธิดาสวรรค์จากหุบเขาคงหลิงผู้ได้รับสมญานามจากคนที่ชื่นชอบในตัวนางว่า ‘นางฟ้าฉิน’ ศัตรูเรียกขานนางว่า ‘มารฉินพิฆาต’ ก็ลงสนามด้วยเช่นกัน ประลองยุทธ์ลับฝีมือกับผู้อื่น
นางดีดฉินเป็นบทเพลง สูงส่งปราศจากคาวโลกีย์ ดูคล้ายนางเซียนท่านหนึ่งจริง ๆ เนื้อตัวเปล่งประกายวาววาม รูปโฉมวิจิตรงดงามไร้ซึ่งจุดบกพร่อง บุคลิกโดดเด่นเหนือชั้น
ทว่าบทเพลงที่นางดีดนั้นกลับชวนให้ผู้ฟังวิตก
เมื่อบทเพลงเริ่มขึ้น ดนตรีแฝงไว้ซึ่งนัยแห่งการดับสูญของสรรพสิ่ง ผู้ใดได้ฟังต่างรู้สึกอัดอั้น ประหนึ่งว่าวันอวสานของโลกได้มาถึง ชวนให้หายใจไม่ออกราวกับถูกบีบคอไว้แน่น!
คู่ต่อสู้ของนางหน้าซีดเผือด ไม่มีเลือดฝาดแม้แต่น้อย เพลงฉินเยี่ยงนี้ส่งผลให้จิตใจของเขาแทบสะบั้น กดดันเหลือแสน!
ไม่นานนัก คู่ต่อสู้ของนางก็ทนไม่ไหว ออกปากยอมแพ้ ตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อ ราวกับไปวนหน้าประตูนรกมาหนึ่งรอบ!
มารฉินพิฆาต…สมญานามนี้ สมกับความสามารถของเจียงอวี่สือแล้ว!
หากศึกนี้มิใช่การประลองยุทธ์ลับฝีมือ แต่เป็นการต่อสู้เพื่อเอาชีวิต เกรงว่าคู่ต่อสู้ของนางคงเลือกระเบิดตนเองท่ามกลางเสียงดนตรีเยี่ยงนี้แล้ว…
“!!!”
หลิงอินมีสีหน้าประหลาด สะท้านใจอย่างยิ่งยวด
นางจับตาดูด้านเจียงอวี่สืออยู่ตลอด
ครานั้น ยามเจียงอวี่สือเพิ่งเริ่มบรรเลงบทเพลงนี้ นางก็รู้สึกคุ้นเคย
และความคุ้นเคยนี้รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ คล้อยตามการบรรเลงของเจียงอวี่สือ!
‘นี่คือ ‘แสวงหาวิถีแสนลำเค็ญ’ เพลงฉินบทสุดท้ายที่ข้าแต่ง มิใช่หรือ!’
นางตะโกนในใจ
มิน่านางถึงฟังแล้วให้ความรู้สึกคุ้นเคย นี่มันบทเพลงที่นางแต่งเองมิใช่หรือ
ทว่ามีข้อแตกต่างบางประการอยู่ บทเพลงนี้ผ่านการเรียบเรียงใหม่มาแล้ว
‘เป็นการเรียบเรียงใหม่โดยเสี่ยวหยาเอง หรือเป็นการเรียบเรียงใหม่โดยหุบเขาคงหลิง หากเสี่ยวหยาเป็นผู้เรียบเรียงใหม่เอง เสี่ยวหยาคงเหนือข้าไปแล้วในตอนท้าย!’
นางคิดในใจ รู้สึกถึงความแตกต่างของบทเพลง
‘แสวงหาวิถีแสนลำเค็ญ’ ที่เจียงอวี่สือบรรเลง ยอดเยี่ยมกว่า ‘แสวงหาวิถีแสนลำเค็ญ’ อันเป็นผลงานของนางอย่างไม่ต้องสงสัย ความรู้สึกว่าสรรพสิ่งกำลังจะดับสูญนั้นรุนแรงยิ่งกว่า แรงกดดันที่ชวนหายใจไม่ออกหนักหนายิ่งกว่า!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ‘แสวงหาวิถีแสนลำเค็ญ’ ที่เจียงอวี่สือบรรเลงเหนือกว่า ‘แสวงหาวิถีแสนลำเค็ญ’ ของนางไปแล้ว!
‘แสวงหาวิถีแสนลำเค็ญ’ เป็นเพลงฉินบทสุดท้ายที่นางแต่ง
ครานั้น อายุขัยของนางใกล้สิ้นสุด นางรู้สึกถึงความลำเค็ญของการฝึกฝนได้อย่างลึกซึ้ง จึงได้แต่งบทเพลง ‘แสวงหาวิถีแสนลำเค็ญ’ นี้
เพลงฉินบทนี้ นางเคยบรรเลงให้เสี่ยวหยาฟังแต่เพียงผู้เดียว ท้ายที่สุดก็ถ่ายทอดให้เสี่ยวหยา
เจียงอวี่สือบรรเลงบทเพลง ‘แสวงหาวิถีแสนลำเค็ญ’ นี้ได้ ยิ่งพิสูจน์ว่านางมีความเกี่ยวข้องกับเสี่ยวหยา!
เสี่ยวหยามีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะในวิถีฉินนี้ยิ่งโดดเด่นกว่าใคร แข็งแกร่งยิ่งกว่านางเสียอีก ครานั้น นางเคยกล่าวว่าความสำเร็จในอนาคตของเสี่ยวหยาอาจสูงส่งกว่านาง
หาก ‘แสวงหาวิถีแสนลำเค็ญ’ นี้เป็นผลงานเรียบเรียงของเสี่ยวหยาจริง นางยินดีเป็นอย่างมาก ท้ายที่สุดแล้วเสี่ยวหยาแข็งแกร่งกว่านางจริง ๆ ก้าวสู่เส้นทางจักรพรรดิ!
เสี่ยวหยายังก้าวเดินบนเส้นทางจักรพรรดิไปได้ไกลอีกด้วย นางสัมผัสถึงระดับจิตใจของมหาจักรพรรดิได้จากบทเพลง ‘แสวงหาวิถีแสนลำเค็ญ’ นี้
ท้ายที่สุด เสี่ยวหยาอาจสำเร็จตัวตนมหาจักรพรรดิ!
‘ไม่ว่าอย่างไร…หุบเขาคงหลิงแห่งนี้ก็มีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับเสี่ยวหยา’
หลิงอินคิดในใจ
นางตัดสินใจว่าสายหน่อยจักไปถามเจียงอวี่สือ
การประลองยุทธ์ลับฝีมือบนยอดเขานั้น แต่ละคู่ล้วนยิ่งใหญ่น่าดูชม สมกับฉายาบุตรธิดาสวรรค์ผู้โดดเด่น
ทว่าฝ่ายที่ดึงดูดสายตาที่สุดยังคงเป็นพวกอ้ายฉาน
พวกอ้ายฉานนั้นดุดันกันทั้งนั้น คู่ต่อสู้ของพวกเขาเป็นฝ่ายเสียเปรียบทันทีที่เริ่มการต่อสู้ ถูกกำราบความสามารถอย่างหนัก ไม่ใช่คู่ต่อสู้เลย!
“บัดซบ!”
“ไม่…กระมัง!”
คู่ต่อสู้แต่ละคนของพวกอ้ายฉานมีสีหน้าย่ำแย่กันทั้งหมด
เดิมพวกเขาดูแคลนพวกอ้ายฉาน นึกในใจอยู่ว่าเด็กกะโปโลไม่กี่คนจะเก่งกาจกระไร
หากไม่ใช่ว่าผู้ใหญ่ของพวกเขาสั่งให้พวกเขาลงสนามต่อสู้กับพวกอ้ายฉาน ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่มีทางประลองยุทธ์กับพวกอ้ายฉาน
แต่หลังจากพวกเขาแต่ละคนได้ประมือกับพวกอ้ายฉาน ก็งุนงงไปในบัดดล
นี่มันเรื่องอันใดกัน ดุดันเกินไปแล้ว!
เด็กกะโปโลอายุไม่กี่ขวบแปดคนนี้ มีระดับพลังอยู่ที่ขอบเขตพรตเต๋าทั้งหมด เฉกเช่นเดียวกับพวกเขา!
กระนั้นพวกอ้ายฉานมีวิชาอภินิหาร แต่ละอย่างล้วนสูงส่งเกินมนุษย์ น่าพรั่นพรึงอย่างยิ่ง!
พวกเขาตกใจแทบแย่ อย่าให้พูดเลยว่าระทมใจปานใด
พวกเขาซึ่งเรียกขานตนเองว่าเป็นอัจฉริยะ ผลสุดท้ายกลับสู้เด็กกะโปโลไม่กี่คนนี้ไม่ได้ ตกอยู่ในสภาพถูกทำร้ายฝ่ายเดียว…อย่าให้พูดเลยว่าขายหน้าเพียงใด!
หากรู้เช่นนี้แต่แรก ต่อให้พวกเขาต้องโดนผู้ใหญ่ของตนตีจนตาย ก็ไม่มีทางลงสนามมาเด็ดขาด!
มีผู้ชมอยู่ตั้งมากตั้งมาย พวกเขากลับเป็นฝ่ายถูกพวกอ้ายฉานบดขยี้ทุกรูปแบบ…
รู้สึกแย่ชะมัด!
บทที่ 307
ขายหน้า…ทรมานใจ!
พวกเขาต่อสู้เต็มกำลัง ใช้ทุกวิชาที่มี แต่แล้วยังสู้ไม่ได้ ไม่ใช่คู่มือของพวกอ้ายฉานเลย!
พวกเขาร้องไห้ ร้องด้วยความปวดร้าวเหลือคณา ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าพวกเขาจะโดนเด็กกะโปโลอย่างพวกอ้ายฉานบดขยี้ถึงเพียงนี้!
ทว่าพวกเขามิใช่ผู้ที่รู้สึกแย่ที่สุด
ผู้ที่รู้สึกแย่ที่สุดคือชายหนุ่มรูปงามผู้ออกปากเชิญอันหลานเสวี่ยร่วมประลองยุทธ์ อู่เยว่
อู่เยว่มีฝีมือน่าทึ่งยิ่งกว่า เขาเป็นอันดับต้น ๆ ของคนรุ่นราวคราวเดียวกัน จุดเพลิงเทวา สำเร็จความเป็นเทพ
เขารู้ว่าอันหลานเสวี่ยมีภูมิหลังไม่ธรรมดา จึงคิดอยากสานสัมพันธ์กับอันหลานเสวี่ย และจงใจไปเชื้อเชิญนางมาร่วมประลอง
คนหนึ่งขอบเขตเทวา คนหนึ่งขอบเขตพรตเต๋า
เขาชี้แนะอันหลานเสวี่ยได้สบาย
จึงคิดใช้วิธีลับฝีมือเพื่อชี้แนะอันหลานเสวี่ย สร้างความรู้สึกดีให้อันหลานเสวี่ยด้วยการนี้ และเริ่มสานสัมพันธ์
แน่นอนว่าเขาไม่สามารถต่อสู้กับอันหลานเสวี่ยด้วยพลังขอบเขตเทวา
หากเป็นเช่นนั้นไม่มีทางสู้กันได้เลย
เขาระงับพลังของตนให้อยู่ในขอบเขตพรตเต๋า อยู่ในระดับขั้นเดียวกับอันหลานเสวี่ย
“มาเถิด แม่นางลงมือได้เลย”
รอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขา เชื่อมั่นเหลือเกินว่าตนนั้นไม่ธรรมดา
ถึงแม้เขาระงับพลังลงจนอยู่ในขอบเขตพรตเต๋า แต่ถึงอย่างไรเขาก็จุดเพลิงเทวา ก้าวสู่ขอบเขตเทวาแล้ว เขาจึงอยู่เหนือผู้ฝึกตนและสิ่งมีชีวิตขอบเขตพรตเต๋าไปมาก
อย่าว่าแต่การต่อสู้ในขอบเขตเดียวกันเลย เขาในตอนนี้ ต่อสู้ข้ามขอบเขตได้ไม่เป็นปัญหา
“ได้”
อันหลานเสวี่ยมีสีหน้าเคร่งเครียด
นางรู้ดีว่าอู่เยว่ระงับพลัง แท้จริงแล้วมีความสามารถกล้าแกร่ง จะสบประมาทไม่ได้ นางจึงไม่ชะล่าใจแม้แต่น้อย
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ!
ประกายเย็นเยียบพวยพุ่งออกจากตัวนาง เจิดจ้าแยงตาเป็นพิเศษ ทันทีที่เริ่มการต่อสู้ นางก็ทุ่มกำลังทั้งหมด เรียกผลึกหิมะจากฟ้า บริเวณที่ยืนถูกสะกดด้วยน้ำแข็งในพริบตา สายลมหนาวเหน็บพัดโชย ประหนึ่งอยู่ในเดือนเก้าช่วงเหมันตฤดู!
“...”
อู่เยว่ตะลึงงันไปในบัดดล
เขาไม่ทันได้ตั้งสติ พลังเยือกแข็งก็ถลาเข้ามาหาเขา เขาถูกแช่แข็งเป็นรูปปั้น รอยยิ้มเมื่อครู่ยังประดับอยู่บนใบหน้า!
นี่ไม่แข็งแกร่งเกินไปหน่อยหรือ!
เหนือความคาดหมายของเขาสุด ๆ!
เขาทะนงเกินไป ทึกทักเอาเองว่าตัวเองเหนือชั้นกว่าอันหลานเสวี่ยไปไกล จึงมิได้ป้องกันแม้แต่น้อย ผลสุดท้ายถึงถูกแช่แข็งเป็นรูปปั้นเยี่ยงนี้!
ขายหน้าชะมัด!
เขาอึดอัดแทบแย่!
เดิมยังคิดทำให้อันหลานเสวี่ยได้ประจักษ์ความฉกาจของเขา แล้วค่อยชี้แนะอันหลานเสวี่ย เพื่อให้อันหลานเสวี่ยรู้สึกดีกับเขา เช่นนี้เขาจักสร้างสัมพันธ์กับอันหลานเสวี่ยได้พอดี
ทว่าบัดนี้มาถึงเขาก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบ ถูกแช่แข็งเป็นรูปปั้น…
อันหลานเสวี่ยจะมองเขาอย่างไร!
“ทลาย!”
เขาคำรามเสียงต่ำ ปลดปล่อยพลังเต็มรูปแบบ หมายจะทลายน้ำแข็งที่เกาะกุมร่างอยู่ กู้ชื่อเสียงกลับมา
ทว่าในไม่ช้า เขาต้องตะลึงงันไปอีกครั้ง…
อันหลานเสวี่ยแข็งแกร่งจนผิดวิสัย เหนือชั้นกว่าคนในขอบเขตเดียวกันไปมาก ต่อให้เขาปลดปล่อยพลังทั้งหมดในตัว ก็ไม่อาจทลายน้ำแข็งนี้ได้
“แค่นี้…เองหรือ?”
อันหลานเสวี่ยมองอู่เยว่ด้วยความฉงน นางคิดว่าอู่เยว่เก่งกาจนักหนา ผลสุดท้ายกลับต้านไม่ได้แม้แต่การโจมตีเดียวหรือ
บัดซบ!
เมื่อเห็นสายตาที่อันหลานเสวี่ยมองมา อู่เยว่สะเทือนใจอย่างยิ่งยวด ระทมใจหนักเข้าไปใหญ่
เสียงดังตึง เสียงที่บ่งบอกถึงความแหลกลาญดังขึ้น แสงเทวะสาดส่องออกจากผิวกายของเขา ทลายสภาวะถูกแช่แข็ง
เขาหยุดยั้งการระงับพลัง ขอบเขตกลับสู่เทวาอีกครั้ง ด้วยพลังในระดับที่ถูกระงับไว้ เขาไม่สามารถทลายน้ำแข็งที่เกาะกุมอยู่ได้
“เมื่อครู่เป็นอุบัติเหตุ พวกเรามาเริ่มกันใหม่”
เขาหัวเราะเสียงแห้ง ระงับขอบเขตอีกครั้ง รักษาพลังให้อยู่ขั้นเดียวกับอันหลานเสวี่ย
“อ้อ”
อันหลานเสวี่ยเอ่ย “เช่นนั้นก็ดี ข้าลงมือต่อแล้ว”
“มาเลย!”
ผิวกายอู่เยว่ส่องแสงเจิดจรัส เขารีดเร้นพลังทั้งหมด ประกายมั่นใจปรากฏบนใบหน้าอีกครั้ง
ก่อนนี้เขาประมาท ทะนงเกินไป ถึงมิได้ตั้งท่าป้องกัน ส่งผลให้ตนเองถูกแช่แข็ง เป็นฝ่ายตั้งรับ คิดจะพลิกสถานการณ์ในตอนหลังก็ไม่ทันแล้ว ไม่สามารถทลายน้ำแข็งที่เกาะกุมได้
ทว่าบัดนี้ต่างออกไป
เขาในตอนนี้ระแวงเต็มที่ทั้งกายใจ เร่งพลังจนถึงระดับสูงสุด ต่อให้อันหลานเสวี่ยคิดแช่แข็งเขาอีกคงไม่ง่ายดายปานนั้นแล้ว!
ตราบใดที่เขาไม่ถูกแช่แข็ง เขาก็มั่นใจว่าเอาชนะอันหลานเสวี่ยได้ ถึงอย่างไรเขาก็จุดเพลิงเทวา สำเร็จเป็นเทพแล้ว!
“หอกน้ำแข็ง!”
อันหลานเสวี่ยคำรามเสียงเบา สำแดงพลังเยือกแข็งในฟ้าดินนี้ นางยืมพลังเยือกแข็งจากปฐพี!
ชั่วพริบตานั้น หิมะขนาดเท่าขนห่านโปรยปราย สายลมเหน็บหนาวเสียดแทงกระดูก อาณาเขตนี้กลายเป็นพื้นที่ฤดูเหมันต์ อันหลานเสวี่ยเหมือนกลายร่างเป็นเทพธิดาสงครามเหมันต์!
นางยื่นมือข้างหนึ่งออกไป แสงอันเยือกเย็นเปล่งประกายออกไปรอบ ๆ หอกน้ำแข็งเล่มหนึ่งก่อร่างอย่างรวดเร็ว อยู่ในกำมือของนาง!
จากนั้น นางบุกเข้าไปหาอู่เยว่ด้วยหอกน้ำแข็งในมือ
นางดุดันเหลือร้าย พริบตาเดียวก็ประชิดตัวอู่เยว่ แทงหอกใส่อู่เยว่!
“!!!”
สีหน้าอู่เยว่เปลี่ยนไปในพริบตา ซีดเซียวเหลือคณา!
พลังที่แฝงไว้ในหอกนี้สยดสยองเกินไป เขารู้สึกว่าด้วยพลังขอบเขตที่เขาระงับลงไม่อาจต้านทานได้เลย
เขาหมดหนทาง รีบกางม่านพลังแสงขึ้นมาป้องกันหอกที่แทงมาหาตน
ใช่แล้ว เขาหยุดยั้งการระงับพลังอีกครั้ง กลับสู่ความสามารถขอบเขตเทวา
“...”
อันหลานเสวี่ยมีสีหน้าไม่สบอารมณ์เท่าใด ไม่พอใจอย่างมาก อู่เยว่ผู้นี้ปั่นหัวนางเล่นหรือไร
การประลองยุทธ์ระดับขั้นเดียวกันแท้ ๆ อู่เยว่กลับคืนพลังขอบเขตเทวาอยู่เนือง ๆ แล้วจะให้สู้เพื่ออันใด
ไม่อย่างนั้นก็อย่าระงับพลัง และไม่ต้องมาชวนนางประลองยุทธ์สิ!
ที่ทำอยู่ตอนนี้หมายความว่าอย่างไร?
“อู่เยว่ เจ้ายังมียางอายอยู่หรือไม่ ยังไหวอยู่หรือไม่ หากไม่ไหวก็รีบถอยกลับมา อย่าได้ทำตัวขายขี้หน้าอยู่ตรงนั้น!”
ซางเจี๋ยมองอู่เยว่ด้วยสายตาไม่เป็นมิตร และเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจนัก
เขาคือบุตรสวรรค์ผู้มีพลังสูงสุดในตระกูลซาง พลังขอบเขตของตนก็ก้าวสู่ขอบเขตเทวาไปนานแล้ว เขาได้เห็นการต่อสู้ด้านอู่เยว่กับอันหลานเสวี่ย และไม่พอใจกับการกระทำของอู่เยว่มาก
“อู่เยว่ เจ้าสู้ได้หรือไม่ หากสู้ได้ก็ระงับพลังให้ถึงที่สุด! หากสู้ไม่ได้ก็ไสหัวกลับมาบัดเดี๋ยวนี้!”
ผู้อาวุโสตระกูลอู่โกรธจนใบหน้าบิดเบี้ยว
เขาโมโหมากจริง ๆ!
อู่เยว่ทำเช่นนี้เท่ากับปั่นหัวอีกฝ่ายเล่นเห็น ๆ!
พวกเขาอยากประจบแทบตาย อู่เยว่กลับบังอาจทำเยี่ยงนี้ เขาอยากจะถลกหนังอู่เยว่ออกมานัก!
“ข้าสู้ไหว!”
อู่เยว่ปากแข็ง หากยอมแพ้และถอยไปทั้งอย่างนี้ มิโดนหัวเราะเยาะไปทั้งชีวิตหรือ
เขาระงับพลังจากขอบเขตเทวาเชียวนะ กลับต้านการโจมตีของอันหลานเสวี่ยไม่ได้แม้แต่น้อย จากนี้ไปเขาจะเอาหน้าที่ไหนไปพบผู้คน?
ไม่ได้!
เขาไม่ยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้เด็ดขาด!
“ไหวใช่หรือไม่ เช่นนั้นเจ้ามาสู้กับข้าเสียโดยดี!”
ผู้อาวุโสตระกูลอู่แค่นเสียงเย็น ยกมือฟาดพลังใส่อู่เยว่ ระงับขอบเขตของอู่เยว่
ด้วยพลังระงับจากเขา จากนี้ไปต่อให้อู่เยว่อยากฟื้นพลังก็ทำไม่ได้
“ข้าหยุดประลองได้หรือไม่…”
เมื่อโดนผู้อาวุโสตระกูลอู่ระงับพลัง อู่เยว่เริ่มสำนึกเสียใจ จึงเอ่ยขึ้นเสียงเบา
หากเจอกับการโจมตีที่ปัดป้องไม่ได้อีก เขาไม่สามารถป้องกันด้วยการฟื้นพลังขอบเขตแล้ว ได้แต่เข้ารับเต็ม ๆ…
“ไม่ได้!”
ผู้อาวุโสตระกูลอู่ตวาด โมโหจนอวัยวะภายในแทบระเบิด อู่เยว่ขายหน้าพวกเขาตระกูลอู่เสียจริง!
“ข้าเพียงพูดไปอย่างนั้น ไม่ได้คิดหยุดประลองจริง ๆ”
อู่เยว่จนปัญญา ได้แต่กัดฟันพูดออกไป
เขาหมดทางถอย ศึกนี้จำต้องดำเนินต่อ…
บทที่ 308
“ตอนนี้สู้ได้หรือยัง?”
อันหลานเสวี่ยมองอู่เยว่ด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก
ก่อนหน้านี้อู่เยว่ต้องการประลองฝีมือกับนางให้ได้ สุดท้ายสู้ได้แค่นี้หรือ!?
นาง…ไม่สบอารมณ์มาก!
“ได้แล้ว…”
อู่เยว่ตอบด้วยน้ำเสียงไร้เรี่ยวแรง ปราศจากความกระปรี้กระเปร่าโดยสิ้นเชิง
เขาไฉนเลยจะกระปรี้กระเปร่าไหว
หนนี้เสียหน้าเสียศักดิ์ศรีเสียทุกอย่าง อย่าว่าแต่สร้างความรู้สึกดี ๆ ความสัมพันธ์ระหว่างอันหลานเสวี่ยกับเขากลับยิ่งแย่ไปอีก เป็นที่โมโหโทโสของอันหลานเสวี่ย…
“อย่างไรก็ต้องรักษาไว้สักอย่างมิใช่หรือ!”
เขาขบกรามเอ่ย ดวงตาเป็นประกาย กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เขาไม่สามารถพ่ายแพ้ไปอย่างนี้ได้!
หากพ่ายแพ้ทั้งอย่างนี้จริง เขาคงเหมือนพวกขโมยไก่ไม่ได้ เสียข้าวสารหนึ่งกำมือ ขายหน้าเป็นที่สุด!
“โล่มา!”
เขาตะเบ็งเสียง พลังวิถีแกร่งกล้าหลอมรวมอยู่ที่มือ ค่อย ๆ กลายเป็นรูปโล่ใหญ่
“ไม่เป็นไร…ค่อยเป็นค่อยไป”
อันหลานเสวี่ยมีสีหน้าเย็นชา มิได้รีบร้อนลงมือ
หนนี้นาง…โกรธจริง ๆ แล้ว!
“ดาบมา!”
หลังโล่ใหญ่ก่อรูปก่อร่าง อู่เยว่ตะเบ็งเสียงอีกครั้ง หลอมรวมดาบเล่มใหญ่ด้วยพลังวิถีแกร่งกล้า
“ต้องให้เวลาท่านกว่านี้หรือไม่”
อันหลานเสวี่ยยังไม่ลงมือ
การโจมตีสองครั้งก่อนหน้า ทำให้นางพอทราบระดับพลังของอู่เยว่แล้ว
ในสถานการณ์ขอบเขตเดียวกัน อู่เยว่มิใช่คู่ต่อสู้ของนาง
ตั้งแต่ได้ต่อสู้มาถึงตอนนี้ นางยังมิได้ใช้วิชาทรงพลังที่สุดด้วยซ้ำ…
ในภาพวาดเหมันต์ที่ท่านเซียนประทานแก่นาง มีวิถีเหมันต์สูงส่งเหลือคณาแฝงอยู่ นางตระหนักรู้สุดยอดวิชาเหมันต์ได้จากภาพนั้น นี่ต่างหากคือวิชาทรงพลังที่สุดของนางซึ่งยังมิได้สำแดง!
“เกราะ!”
อู่เยว่ไม่เกรงใจกันจริง ๆ เขาใช้พลังวิถีหลอมเป็นเสื้อเกราะอีกครั้ง
“มีอีกหรือไม่”
อันหลานเสวี่ยยังมิได้ลงมือ
“มาอีกชั้น!”
อู่เยว่ตวาด ก่อนจะหลอมเกราะบนตัวอีกครั้ง
เขาหวาดกลัวจากใจจริง กลัวว่าตัวเขาจะต้านการโจมตีจากหอกหิมะของอันหลานเสวี่ยไม่ไหว!
“ข้าให้โอกาสท่านทำเช่นนี้ต่อ”
อันหลานเสวี่ยมีสีหน้าเย็นชา นางโกรธจริง ๆ แล้ว จำต้องให้บทเรียนอู่เยว่อย่างหนัก
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ!
เอาสิ อู่เยว่ไม่เกรงใจกันเลยจริง ๆ ใช้พลังวิถีหลอมเกราะสวมใส่อีกหลายครั้ง
“ไอ้บัดซบ!”
ผู้อาวุโสตระกูลอู่เห็นดังนั้นก็โกรธจนควันออกจมูก
ขายหน้าเกินไปแล้ว!
สภาพอย่างกับเต่าหดหัว!
“ถ้าไม่ไหวก็กลับมาเถิด!”
“เพิ่งเคยเห็นเช่นนี้ครั้งแรกเลย!”
บรรดาบุตรสวรรค์บนยอดเขาเห็นแล้วนึกขันยิ่ง พากันโห่ใส่อู่เยว่ไม่หยุดปาก
อู่เยว่อีกด้านมิได้แยแสคนเหล่านี้
เขารู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของอันหลานเสวี่ยดี หากไม่ใส่เสื้อเกราะให้มากชั้นหน่อยเขารู้สึกไม่ปลอดภัย!
ถึงแม้ยามนี้บรรดาบุตรสวรรค์หัวเราะเยาะเขา แต่ไม่เป็นไร ตราบใดที่เขาชนะก็เป็นอันจบ!
หลังจากชัยชนะเป็นของเขา เสียงเย้ยหยันเหล่านี้ย่อมหายไป
หากเขายอมถอยโดยไม่สู้ นั่นต่างหากคือความอัปยศอย่างแท้จริง คือจุดด่างพร้อยที่ไม่อาจลบล้างตราบชั่วชีวิต!
คิดมาถึงนี่ อู่เยว่ก็เพิ่มเกราะให้ตัวเองอีกหลายชั้น
เขาสวมเกราะให้ตัวเองทั้งหมดยี่สิบกว่าชั้นถึงวางใจได้อย่างสิ้นเชิง
“ความประมาทของท่านในตอนนี้จะกลายเป็นความสำนึกเสียใจของท่านในอีกประเดี๋ยว!”
อู่เยว่หันมองอันหลานเสวี่ย เอ่ยด้วยท่าทางมั่นใจ “มาเถิด เราสองคนมาต่อสู้กันอย่างแท้จริงเสียที ข้าจักให้ท่านได้ประจักษ์ถึงพลังของข้า!”
“ท่านผิดแล้ว”
อันหลานเสวี่ยมองอู่เยว่ ดวงตางดงามเปล่งประกายน่าหวาดหวั่น “นี่หาใช่ความประมาท หากแต่เป็นความมั่นใจเต็มเปี่ยม!”
เสียงดังฟึ่บ นางออกกระบวนเคลื่อนไหว หอกน้ำแข็งในมือเปล่งประกายเย็นเยียบเจิดจ้า พลังหิมะเยือกแข็งในปฐพีโถมทับเข้ามาอยู่ในหอกน้ำแข็งของนางอย่างบ้าคลั่ง!
นางแทงหอกนั้นออกไป แม้กระทั่งมิติยังระเบิดไม่หยุดหย่อน ภาพการณ์สยดสยองยิ่ง!
อู่เยว่ยกโล่ใหญ่ขึ้นป้องกันทันที
ทว่าทั้งหมดนี้เปล่าประโยชน์!
หอกน้ำแข็งดุดันไร้เทียมทาน ไม่มีสิ่งใดยับยั้งได้ โล่ใหญ่ที่อู่เยว่ยกขึ้นพังทลายตามเสียง มิได้ห่างชั้นกันเพียงเล็กน้อย!
ตึง ตึง ตึง!
จากนั้น เสียงพังทลายดังตามขึ้นมากมาย เกราะยี่สิบกว่าชั้นที่อู่เยว่ทึกทักเอาเองว่าหยุดยั้งหอกน้ำแข็งได้แตกออก!
ภายใต้การจู่โจมของหอกน้ำแข็ง เกราะยี่สิบกว่าชั้นบนตัวอู่เยว่เปราะบางราวกับกระดาษ ไม่อาจป้องกันสิ่งใดได้เลย!
“ไอ้…ระยำเอ๊ย!”
อู่เยว่หน้าซีดเผือด ทรมานใจเป็นหนักหนา
ซวยแล้ว…
ซวยฉิบ!
เขายอมสวมเกราะกว่ายี่สิบชั้นโดยไม่ห่วงภาพพจน์ กระนั้นท้ายที่สุดแล้วยังป้องกันไว้ไม่ได้…
ขายขี้หน้าจนศักดิ์ศรีไม่มีเหลือจริง ๆ!
ทว่าเขายังเพ้อฝันไปหน่อย…
อันหลานเสวี่ยไม่คิดจะปล่อยอู่เยว่ไปทั้งอย่างนี้ นางโกรธจริง ๆ แล้ว
หอกน้ำแข็งแทงทะลุเกราะทุกชิ้นบนตัวอู่เยว่ กระนั้นก็มิได้แทงต่อไป
อันหลานเสวี่ยโบกมือ เก็บหอกน้ำแข็งกลับ
“ข้าละอายยิ่ง สู้ท่านไม่ได้ ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ ขอบคุณแม่นาง!”
อู่เยว่กล่าว เขาคิดว่าอันหลานเสวี่ยเก็บหอกน้ำแข็งกลับหมายความว่า การต่อสู้นี้จบแล้ว
“ไม่ต้องขอบคุณ มันยังไม่จบ”
อันหลานเสวี่ยหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะคว้าแขนอู่เยว่ แล้วเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลง ปิดท้ายด้วยการจับเขาทุ่มพื้น!
“ท่าน!”
อู่เยว่โมโหมาก แต่ต้านแรงไม่ได้เลย มือข้างนั้นของอันหลานเสวี่ยพันธนาการแขนเขาอย่างแน่นหนา เขาสลัดไม่ออก!
ตึง ตึง ตึง!
พื้นบนยอดเขาผ่านกระบวนการจัดการพิเศษของตระกูลซางมาแล้ว แข็งแรงไร้เทียมทาน อู่เยว่โดนทุ่มพื้นจนดูไม่ได้ ไม่เหลือเค้าโครงเดิม กระอักเลือดไม่หยุด ฟันหน้ายังโดนกระแทกจนหักหลุดออกไป!
บรรดาบุตรสวรรค์ได้เห็นภาพนี้เป็นต้องแข่งกันตาโต ไม่มีผู้ใดคาดถึงว่าอันหลานเสวี่ยผู้งดงามหมดจดจะรุนแรงได้ปานนี้!
แต่เพียงไม่นานพวกเขาก็เข้าใจ
อู่เยว่ปั่นหัวถึงเพียงนั้น ฟื้นพลังขอบเขตระหว่างต่อสู้ตามอำเภอใจ เป็นใครก็ทนไม่ไหว ที่อันหลานเสวี่ยโกรธถึงเพียงนั้นก็มีเหตุผล
ท้ายที่สุด อันหลานเสวี่ยระบายความโมโหจนหมดแล้ว จึงโยนอู่เยว่ไปด้านหนึ่ง
“ท่านออมมือให้แล้ว”
อันหลานเสวี่ยเอ่ยยิ้ม ๆ แล้วกลับไปยังที่นั่งของตน
อู่เยว่มีสภาพน่าสังเวชเป็นที่สุด หัวถูกกระแทกจนบวมเหมือนหัวหมู ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีตรงไหนที่ไม่ฟกช้ำ กระดูกในกายยังหักเป็นจำนวนมากอีกด้วย
เขาร้องไห้ออกมา ร้องไห้อย่างน่าอนาถ ไยตนต้องไปยุ่งกับอันหลานเสวี่ยด้วย กิตติศัพท์ที่สั่งสมมาทั้งชีวิตพังครืนที่นี่!
“เก่งมาก”
หลี่จิ่วเต้ายกนิ้วโป้งให้อันหลานเสวี่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
เขาเห็นทุกอย่าง อันหลานเสวี่ยอัดอู่เยว่อย่างหนัก เขาเห็นแล้วก็รู้สึกสะใจ ซ้ำยังรู้สึกว่าได้ระบายอารมณ์อย่างมาก
ชายหนุ่มยังคิดในใจอยู่เลยว่าอู่เยว่ผู้นี้ไยต้องอวดเก่งด้วย ทีแรกนึกว่าอีกฝ่ายเก่งนักเก่งหนา ผลสุดท้ายก็ดีแต่เปลือกนอก ภายในหาได้มีความสามารถไม่
“ขอบคุณคุณชายที่ชม”
อันหลานเสวี่ยกล่าวยิ้ม ๆ ตัวนางเอกก็รู้สึกได้ระบายอารมณ์ ยามนี้จึงสาแก่ใจอย่างมาก!
...
ดินแดนฝอ
เขาญาณทรายพิภพ
นักรบพระโพธิสัตว์ทั้งแปดพาเณรน้อยกลับมาถึงเขาญาณ
“อมิตาภพุทธ นำตัวเขาไปขังไว้ที่ยอดเขาจิ่วฉง”
เสียงภิกษุดังขึ้น เงาพระปรากฏ ออกคำสั่งแก่นักรบพระโพธิสัตว์ทั้งแปด
“ยอดเขาจิ่วฉง!? เพราะเหตุใด!”
เณรน้อยตะโกนลั่น “พระสังฆราช เสี่ยวเต๋อจื่อผู้นี้ทำสิ่งใดผิดมหันต์เลยหรือ!”
เงาพระนั้นคือเงาของพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน
ทว่า เงานั้นกลับมิได้สนใจเณรน้อย ไม่นานนักก็สลายไป
เณรน้อยใจหายวาบ ตระหนักแล้วว่าเขาคงสร้างเรื่องไว้จริง ๆ
พระสังฆราชมิเคยล้อเล่นกับเขา!
ยอดเขาจิ่วฉง คือสถานที่ที่พุทธสาวกถูกนำตัวไปขังในกรณีทำผิด
เขาทำผิดสิ่งใด ไยพระสังฆราชถึงต้องจับเขาไปขังบนยอดเขาจิ่วฉง
หรือเพราะเขาชอบกินเนื้อดื่มสุรา ไม่ยอมปฏิบัติตนอยู่ในศีลในธรรม?
จะเป็นไปได้เยี่ยงไร!
พระสังฆราชเคยกล่าวต่อเขาว่า ทุกอย่างตามแต่ที่เขาต้องการ ถึงคราวตรัสรู้จักรู้แจ้งได้เอง ไม่มีการฝืนบังคับเขาไม่ว่าเรื่องใด
คง…เกิดเรื่องใหญ่แล้วจริง ๆ!
เขาไม่สบายใจอย่างมาก!
บทที่ 309
เณรน้อยไม่อยากเข้าไปในยอดเขาจิ่วฉง
แต่ตัวเขาไม่มีวิธีแล้ว
แม้ว่าวิญญาณกับกายเนื้อจะอยู่ในระดับขอบเขตสูงสุด แต่เมื่ออยู่เขาญาณทรายพิภพ เขาต้านทานอะไรไม่ได้เลย
ต้าเต๋อรู้ดีว่าเบื้องลึกเบื้องหลังของพุทธศาสนาน่าสะพรึงกลัวเพียงใด
ไม่ต้องกล่าวว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้บำเพ็ญธรรมขอบเขตสูงสุดท่านหนึ่ง เข้าเขาญาณทรายพิภพไม่ได้แปลว่าจะเรียกคลื่นลมได้ตามใจชอบ
“เฮ้อ...”
เณรน้อยถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่ได้กล่าวหรือต่อต้านใด ๆ เพียงเดินตามนักรบพระโพธิสัตว์ไปยังยอดเขาจิ่วฉงเท่านั้น
นี่เพราะเขาเชื่อในคำของพระสังฆราชมากเกิน กระทั่งไม่เคยคิดว่าเมื่อเขากลับมามันจะเกิดเรื่องขึ้น
หากเขาคิดได้เร็วกว่านี้สักหน่อย เขาจะไม่ตามกลับมาที่หลิงซาน
...
ณ เหยียนโจว เขาหยงหมิง
หลี่จิ่วเต้าชมดูการแข่งขันนานาอย่างสบายอกสบายใจยิ่ง
ครั้งนี้เขาเดินทางมาภาคกลางนั้นช่างคุ้มค่าจริง ๆ การแข่งขันเหล่านี้น่าชมนัก ทำให้เขาเข้าใจระดับขอบเขตความทรงพลังของผู้ฝึกตนมากขึ้น
เวลาผ่านไปจบจนการแข่งขันทุกอย่างสิ้นสุดลง
ผู้ฝึกตนต่างพากันแยกย้ายออกจากภูเขาหยงหมิง
ผู้อาวุโสเก้าของตระกูลซางประกาศว่า ทั้งสามแดนจะช่วยกันสร้างสถานศึกษา เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ พวกเขาจำต้องกลับเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับสอบคัดเลือกเข้าสถานศึกษาที่กำลังจะมาถึง
ถึงกระนั้น ยอดฝีมือตระกูลเก่าแก่กับสำนักโบราณไม่ได้จากไปในทันที
ตอนนี้ภูเขาหยงหมิงกลายเป็นฐานของพวกเขาแล้ว พวกเขาจะหารือเรื่องตั้งสถานศึกษาที่นี่ต่อ
บรรดานักบุญโบราณที่ถูกเชิญมาที่นี่ ตอนนี้กลายมาเป็นนักบุญอาวุโสแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้จากไปเช่นกัน
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากจากไป แต่... พวกเขาทำไม่ได้!
ตอนนี้ตัวพวกเขาทั้งหมดถูกผูกมัดไว้อย่างแน่นหนา ในสถานศึกษาที่สร้างขึ้นมาใหม่ พวกเขามีหน้าที่ต้องดูแลให้คำปรึกษา และอบรมสั่งสอนนักเรียน
พวกหลี่จิ่วเต้าเองก็ยังไม่ได้จากไป
ออกมาทั้งทีไม่ง่ายนัก หลี่จิ่วเต้ายังไม่อยากกลับไปเร็ว
เพราะได้ยินมาว่าทิวทัศน์ใกล้กับเขาหยงหมิงงดงามยิ่ง เขาจึงตั้งใจว่าจะไปชมชมทิวทัศน์รอบเขาหยงหมิงเสียหน่อย
จากนั้นค่อยไปชมสถานที่ชื่อดังในภาคกลางต่อ
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกับสือเฟิงมาจากภาคกลาง พวกเขาทั้งสองคนเล่าเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวในภาคกลางมากมาย เขาจึงอยากไปชมสักครั้ง
ถึงอย่างไรก็สะดวกมีประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกับสือเฟิงเป็นคนนำทาง
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง พวกหลี่จิ่วเต้ากลับไปที่วังของตนเอง
ทว่าหลิงอินไม่ได้กลับไปด้วย
นอกวังที่พวกเขาอาศัยอยู่มีผู้อาวุโสตระกูลซางคอยปกป้องคุ้มครอง
หลิงอินสอบถามผู้อาวุโสเรื่องที่พักของเจียงอวี่สือ นางรู้ว่าเจียงอวี่สือไม่ได้จากไป เพราะนางเห็นเจียงอวี่สือกลับมาที่วังบนยอดเขา
เพียงแต่นางไม่รู้ว่ามันคือวังไหน
เจียงอวี่สือกับยอดฝีมือจากหุบเขาคงหลิงมาถึงนานแล้ว แรกเริ่มพวกเขาอาศัยอยู่ในวังชั้นยอดแต่ภายหลังก็ถูกย้ายไปวังอื่น
บนยอดเขากว้างขวางยิ่ง มีวังตั้งเรียงราย หลิงอินเดินผ่านวังแล้ววังเล่าจนมาถึงวังที่เจียงอวี่สือพำนักอยู่
“ขออภัยที่มารบกวน”
หลิงอินเห็นเจียงอวี่สือแล้วก็กล่าวอย่างสุภาพ
“แม่นางมีเรื่องอันใดหรือ? ”
เจียงอวี่สือถามหลิงอิน
การประชุมครั้งใหญ่นี้ เซี่ยเหยียนและพวกอ้ายฉานไม่จำเป็นต้องซ่อนฐานะตัวตนว่ามาจากยอดนิกายอีกต่อไป เพราะผู้อาวุโสหุบเขาคงหลิงบอกนางว่าเซี่ยเหยียนกับพวกอ้ายฉานมาจากยอดนิกาย!
หลังนางรู้ นางก็เข้าใจทุกอย่าง
ไม่แปลกใจเลยเหตุใดเซี่ยเหยียน พวกอ้ายฉาน จะมีพรสวรรค์ชวนให้คนอัศจรรย์ใจ ที่แท้เป็นเพราะมาจากยอดนิกายนั้นเอง!
“วันนี้เพลงฉินที่ท่านบรรเลงไพเราะจริง ๆ ทำให้ผู้อื่นตกตะลึงแทบแย่”
หลิงอินกล่าวชม “ยามนี้เอาแต่นึกถึงเพลงที่ท่านเล่น จึงอยากแลกเปลี่ยนความรู้เพลงฉินกับท่าน ข้าอยากรู้ชื่อเพลงฉินนี้มาก ท่านจะพอบอกข้าได้หรือไม่?”
จุดประสงค์ที่อีกฝ่ายมาหานางก็เพื่อสิ่งนี้สินะ...
เจียงอวี่สือครุ่นคิดในใจ นางคิดว่าหลิงอินต้องการบางอย่างจากนาง
เพียงแต่ปุถุชนเช่นหลิงอินจะมาหานางเพื่อสิ่งใดกัน...
เซี่ยเหยียนกับพวกอ้ายฉานมีฐานะไม่ธรรมดา ต่างมาจากยอดนิกาย ทว่าหลี่จิ่วเต้ากับหลิงอินนั้นไม่ได้มีฐานะอะไรเลย พวกเขาเป็นเพียงปุถุชนธรรมดาสองคน แต่มีความสัมพันธ์กับเซี่ยเหยียนและพวกอ้ายฉานที่ถูกยอดนิกายเลือกอีกที...
“บทเพลงฉินนี้เรียกว่า ‘ถามเซียน’ บรรพบุรุษผู้หนึ่งในหุบเขาของข้าเป็นคนแต่ง”
เจียงอวี่สือกล่าวพร้อมแย้มยิ้มจาง ๆ
นางกล่าวต่อ และสีหน้าของนางก็เปี่ยมไปด้วยความชื่นชม “บรรพบุรุษผู้นี้ช่างน่าอัศจรรย์ไร้ผู้ใดเปรียบ พรสวรรค์ของบรรพบุรุษเดิมทีอยู่ในระดับปานกลาง หลังจากฝึกฝนในหุบเขามาเกือบร้อยปี สุดท้ายก็จุดเพลิงเทวา กลายเป็นเทวาได้สำเร็จ”
“ทุกคนในหุบเขาต่างคิดว่าบรรพบุรุษผู้นี้จะอยู่ขอบเขตนี้ไปตลอดชีวิต”
“ทว่าผู้ใดจะล่วงรู้ บรรพบุรุษท่านเป็นคนมุมานะ ร้องเพียงครั้งเดียว ก็ทำคนตกตะลึงงัน*[1]! “
“ความสามารถของบรรพบุรุษร้อยปีก่อนนั้นแสนจะธรรมดา แต่ในอีกร้อยปีถัดมา บรรพบุรุษสร้างปาฏิหาริย์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นที่จับจ้องของนานาสิ่งมีชีวิต และเป็นความภาคภูมิแห่งสวรรค์ในช่วงเวลานั้น!”
เจียงอวี่สือมองหลิงอินพลางกล่าวว่า “เจ้าฝึกตนไม่ได้ย่อมไม่รู้ บรรพบุรุษของเราใช้เวลาไม่ถึงร้อยปีทะลวงจากขอบเขตราชันไปขอบเขตสูงสุด นับแต่สมัยโบราณมาจวบจนถึงตอนนี้ เรียกได้ว่าน่าทึ่งเป็นอย่างยิ่ง!”
ร้อยปีทะลวงจากขอบเขตราชันไปขอบเขตสูงสุด!
ภายในใจของหลิงอินสะท้านเหลือแสน ต้องมีพรสวรรค์เช่นใดถึงสามารถทำเช่นนี้ได้?
นางคิดว่าพรสวรรค์ของตนยอดเยี่ยมแล้ว แต่ก็ยังต้องใช้เวลาถึงสองพันสามร้อยปีกว่าจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตสูงสุดได้!
บรรพบุรุษหุบเขาคงหลิงใช้เวลาเพียงสองร้อยปีทะลวงสู่ขอบเขตสูงสุด เรียกได้ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!
เจียงอวี่สือกล่าวว่า เป็นบรรพบุรุษของนาง...
อีกฝ่ายน่าจะถือกำเนิดหลังนางก้าวเข้าสู่เส้นทางสังสารวัฏได้
ไม่เช่นนั้นอัจฉริยะท้าทายสวรรค์เช่นนี้ นางจะไม่รู้จักได้อย่างไร?
แต่ในความทรงจำของนางไม่มีคนผู้นี้อยู่เลย
ช้าก่อน...
บทเพลงฉินนี้แต่งโดยบรรพบุรุษ แล้วเสี่ยวหยาเล่า?
มีเพียงนางกับเสี่ยวหยาเท่านั้นที่รู้เกี่ยวกับบทเพลงฉินนี้ หลังนางก้าวเข้าสู่เส้นทางสังสารวัฏ บทเพลงฉินนี้ก็น่าจะเป็นของเสี่ยวหยาอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เหตุใดบรรพบุรุษผู้นี้ถึงบอกว่าเขาแต่งเอง?
แม้บรรพบุรุษผู้นี้จะดัดแปลงดนตรีฉินช่วงหลัง แต่เขาก็ไม่สามารถพูดได้ว่า คนเองเป็นคนแต่งมันขึ้นมาเอง!
ปกติแล้ว คนเราควรต้องให้เกียรติผู้แต่งไม่ใช่หรือ?
บางทีบรรพบุรุษนี้อาจไม่สนใจคนแต่งต้นฉบับเลยก็เป็นได้ อีกฝ่ายเพียงต้องการดัดแปลงเพื่อแอบอ้างว่าตนเป็นแต่ง!
จู่ ๆ นางก็มีความรู้สึกไม่ดีว่า สถานการณ์ของเสี่ยวหยานั้นอาจจะไม่ดีอย่างที่นางคาดไว้...
“เพลงฉินของเจ้าไพเราะมาก!”
หลิงอินถามเจียงอวี่สือว่า “ให้ข้าดูอีกครั้งได้หรือไม่?”
“แน่นอน”
เจียงอวี่สือกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “ฉินนี้ บรรพบุรุษใช้เวลาสร้างนานมาก!”
ว่ากล่าวกันตามตรง ฉินตัวนี้ไม่ใช่ฉินคุณภาพสูงเป็นเพียงเครื่องดนตรีขั้นศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น
เพียงแต่ในหุบเขาคงหลิงถือว่ามันเป็นของสำคัญและมีความหมายพิเศษ
เพราะนี่คือฉินที่บรรพบุรุษผู้นั้นเป็นคนใช้ ศิษย์ในหุบเขาคงหลิง เฉพาะผู้มีความสามารถโดดเด่นเท่านั้นจึงจะสามารถใช้มันได้!
ฉินตัวนี้เป็นสัญลักษณ์ สัญลักษณ์ที่แสดงถึงฐานะ!
การที่นางได้รับฉินนี้มาแสดงให้เห็นว่า นางได้รับการยอมรับจากหุบเขาคงหลิง
ดังนั้นนางย่อมภูมิใจมากและพกฉินนี้ไปกับนางทุกที่
[1] ร้องเพียงครั้งเดียว ทำคนตะลึงงัน (不鸣则已一鸣惊人) หมายถึง คนเก่งที่มีความสามารถอยู่เต็มตัว แต่ปกติธรรมดาอาจไม่มีใครรู้เพราะไม่ได้เผยตัวแสดงออก แต่ถ้าได้แสดงความสามารถมาเมื่อใด ก็จะทำให้คนรอบข้างตะลึงถึงความเก่ง หรือความสามารถอันนั้นเป็นอย่างมาก
บทที่ 310
เจียงอวี่สือนำฉินออกมาให้หลิงอินดู
นี่เป็นฉินโบราณมีกลิ่นอายร่องรอยกาลเวลา แต่ได้รับการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี จึงมีรูปร่างประณีตงดงามยิ่ง
สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ...
หลังจากได้ยินคำพูดของเจียงอวี่สือ หัวใจของหลิงอินคล้ายจะทิ้งดิ่งลง รู้สึกไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง!
ตอนนางอยู่บนยอดเขา นางเห็นว่าฉินตัวนี้ดูคุ้นเคย แต่นางจำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน
เป็นเพราะความคุ้นเคยเช่นนี้เอง นางจึงเอ่ยปากขอดูฉิน
มาตอนนี้ได้เห็นฉินนี้อีกครั้ง ความทรงจำเกี่ยวกับฉินนี้ก็แล่นเข้ามาในสมองของนาง นางจำมันได้แล้ว!
นี่ไม่ใช่ฉินนางเคยดีดหรอกหรือ!?
นางชอบเล่นฉิน อีกทั้งยังชอบฉินหลากหลายประเภท
นอกจากอาวุธประจำกายอย่าง ‘ฉินเทียนอิน (เสียงสวรรค์)’ นางยังมีฉินอีกหลายตัว
ฉินเหล่านี้บางตัวนางได้รับมา บางตัวนางก็ลงมือสร้างมันตัวเอง
นางสร้างฉินด้วยตัวเองไม่น้อย
ตอนนางแยกทางกับเสี่ยวหยา นางได้มอบฉินทั้งหมดให้กับเสี่ยวหยาไปด้วย
การกลับชาติมาเกิดนับเป็นเรื่องยาก ในสมัยโบราณไม่มีใครประสบความสำเร็จ นางเองก็ไม่มีความมั่นใจมากนัก ด้วยเหตุนี้ จะนำฉินเหล่านี้ไปทิ้งบนถนนก็ออกจะไร้ค่า
ดังนั้นตอนนางจากไป นางจึงมอบของสะสมทั้งหมดให้กับเสี่ยวหยา
ตอนนี้กาลเวลาผ่านมายาวนานนัก นางทิ้งฉินเอาไว้ไม่น้อย ดังนั้นเมื่อนางเห็นฉินนี้ครั้งแรก นางจึงรู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย แต่จำมันไม่ได้
มาตอนนี้ได้เห็นมันใกล้ ๆ นางจึงจำมันได้ทันที ฉินตัวนี้นางเป็นคนสร้าง ภายในยังแฝงไว้ซึ่งลมปราณเมื่อครั้งอดีตอยู่อีกด้วย!
เรื่องทั้งหมด...มันเกิดอะไรขึ้น!?
‘ถามคราวเคราะห์’ ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น ‘ถามเซียน’ ฉินที่นางทำขึ้นเองก็กลายเป็นฉินของบรรพบุรุษของ เจียงอวี่สือ...
ผู้ใดคือบรรพบุรุษตามที่เจียงอวี่สือกล่าวถึงกัน? แล้วคนผู้นั้นมีความสัมพันธ์อย่างไรกับเสี่ยวหยา?
นางไม่คิดว่าในภายหลังเสี่ยวหยาเข้าร่วมหุบเขาคงหลิง กลายเป็นบรรพบุรุษตามที่เจียงอวี่สือว่าไว้หรอก
เพราะมันเป็นไปไม่ได้!
ประเด็นสำคัญกว่านั้นคือเจียงอวี่สือบอกว่า บรรพบุรุษผู้นี้เมื่อร้อยปีก่อนไม่ได้มีความสามารถ มีพรสวรรค์ปานกลาง เกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ
ตรงนี้พิสูจน์ได้ว่า เสี่ยวหยาไม่ใช่บรรพบุรุษตามที่เจียงอวี่สือกล่าวไว้อย่างแน่นอน
เพราะพรสวรรค์ของเสี่ยวหยานั้นไม่สามัญเลยสักนิด...
ตอนนางตรวจสอบคุณสมบัติของเสี่ยวหยา แม้แต่นางยังต้องตกใจ เสี่ยวหยาเกิดมาพร้อมกับกระดูกจักรพรรดิ มีพรสวรรค์เป็นมหาจักรพรรดิ หากไม่มีเรื่องเหนือคาดหมายย่อมกลายเป็นมหาจักรพรรดิอย่างแน่นอน!
และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้นางรู้สึกแย่อย่างยิ่ง!
เส้นทางการฝึกตน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพรสวรรค์?
จะบำเพ็ญได้อย่างไรกันหากไม่มีพรสวรรค์ นับประสาอะไรกับบำเพ็ญร้อยปี ต่อให้บำเพ็ญเป็นพันปี หมื่นปี ความสำเร็จก็เหมือนเดิม ไม่สามารถก้าวสู่เส้นทางแข็งแกร่งได้!
บรรพบุรุษตามที่เจียงอวี่สือว่า ไว้นั้นร้อยปีก่อนมีคุณสมบัติธรรมดา แต่อีกร้อยปีต่อมาทะลวงฝ่าด่านหนึ่งก้าวสะเทือนถึงสวรรค์*[1] นี่แสดงให้เห็นว่า บรรพบุรุษผู้นี้ต้องได้ประสบโชคบางอย่างอย่างไม่ต้องสงสัย!
มิฉะนั้น บรรพบุรุษผู้นี้ย่อมไม่พลิกผันเปลี่ยนแปลงเช่นนี้!
บรรพบุรุษผู้นี้เดิมทีไม่ใช่คนมีพรสวรรค์แต่กำเนิด เพียงเพราะเมื่อร้อยปีก่อนหน้านั้นไม่ปรากฏ แต่ร้อยปีต่อมากลับทะลวงฝ่าด่าน นางไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ!
เพราะมันเป็นไปไม่ได้!
หุบเขาคงหลิงไม่ใช่สำนักเล็ก ๆ แต่ก็มีมรดกสืบทอดต่อกันมายาวนานมาก ในอดีตเคยอยู่ในจุดสูงสุดมาก่อน มหาจักรพรรดิในหุบเขาต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน
นี่คือตระกูลโบราณเก่าแก่ น่าเกรงขามอย่างแท้จริง
หากบรรพบุรุษผู้นั้นมีความสามารถที่ท้าทายสวรรค์อย่างแท้จริง ในหุบเขาคงหลิงมีหรือจะตรวจจับอะไรไม่ได้เลย
ทุกอย่างย่อมแสดงออกมาแล้วคุณสมบัติของบรรพบุรุษผู้นั้นไม่ดีพอ ต่อมาก็ได้ประสบกับโชคครั้งใหญ่จึงเกิดการพลิกผันเปลี่ยนแปลงสะเทือนฟ้าดินขึ้น เปลี่ยนฐานะครั้งใหญ่ ทำเอาผู้ตื่นตกใจ!
ใช้เวลาไม่ถึงร้อยปีทะลวงสู่ขอบเขตสูงสุด...
บรรพบุรุษผู้นี้ต้องประสบกับโอกาสเช่นไร ถึงสามารถบรรลุได้ขนาดนี้!?
ได้รับโอสถจักรพรรดิอย่างนั้นหรือ?
เหอะ...โอสถจักรพรรดิในสมัยนี้ไฉนเลยจะสุดยอดปานนั้น?
แม้แต่หุบเขาคงหลิงก็ไม่มีโอสถจักรพรรดิเม็ดสมบูรณ์!
เพราะเหตุนี้มันจึงทำให้นางรู้สึกแย่ขึ้นมาก!
พรสวรรค์ของเสี่ยวหยานั้นน่าทึ่งมาก นางเกิดมาพร้อมกระดูกจักรพรรดิ บรรพบุรุษของหุบเขาคงหลิงร้อยปีก่อนไม่ได้พรสวรรค์สะท้านฟ้าแต่เริ่ม ทว่าร้อยปีต่อมากลับร้องเพียงครั้งเดียว ทำคนตะลึงงัน ซ้ำยังได้รับบทเพลงฉินที่นางส่งต่อให้เสี่ยวหยา...
นางอดคิดไม่ได้ว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น!
บรรพบุรุษผู้นี้ได้รับกระดูกจักรพรรดิแต่กำเนิดของเสี่ยวหยา นั่นจึงเป็นเป็นเหตุผลที่ว่า เหตุใดอีกฝ่ายจึงเกิดการพลิกผันสะท้านฟ้าสะเทือนดินเช่นนี้ขึ้น!
เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว ในใจของนางพลันเต็มไปด้วยจิตสังหาร
หากทุกอย่างเป็นไปตามที่นางคิด บรรพบุรุษผู้นี้...จะยกโทษให้ไม่ได้เด็ดขาด!
หากเสี่ยวหยาตาย กระดูกจักรพรรดิแต่กำเนิดก็จะสูญเสียคุณสมบัติท้าทายสวรรค์ กลายเป็นกระดูกธรรมดา หากบรรพบุรุษผู้นี้ได้กระดูกจักรพรรดิแต่กำเนิดของเสี่ยวหยามาจริง ๆ ก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว...
นั่นก็คือตอนที่เสี่ยวหยายังมีชีวิตอยู่ บรรพบุรุษผู้นี้ขุดกระดูกจักรพรรดิแต่กำเนิดในร่างกายของเสี่ยวหยา แล้วหลอมรวมเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างเป็นกระดูกของอีกฝ่ายเอง!
‘หวังว่าจะไม่ใช่อย่างที่ข้าคิด ไม่เช่นนั้น...ข้าก็ไม่รู้ว่าข้าจะทำอะไรลงไปบ้าง!’
เสี่ยวหยาจิตใจบริสุทธิ์มีเมตตาเช่นนี้ หากบรรพบุรุษผู้นี้นำกระดูกของนางออกจากร่างกายจริง ๆ นางคง... พลิกคว่ำหุบเขาคงหลิงให้พินาศจนสิ้น!!!
“ฟ่านหยาเหยียน แม่นางเคยได้ยินชื่อนี้หรือไม่” หลิงอินถามเจียงอวี่สือ
ถึงอย่างไรเรื่องพวกนี้เป็นเพียงการคาดเดาของนาง ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ได้ และนางไม่ต้องการให้การคาดเดาของนางเป็นจริง...
“ฟ่านหยาเหยียน..."
เจียงอวี่สือขมวดคิ้วเรียวเล็กน้อย พลางครุ่นคิด “ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชื่อนี้เลย”
“ความทรงจำสักนิดก็ไม่มีเลยหรือ? ข้าเคยอ่านบันทึกของฟ่านหยาเหยียนในคัมภีร์โบราณ นางเป็นหญิงงามที่เกิดในสมัยโบราณ ถือได้ว่าเป็นลูกรักสวรรค์ เพราะนางเกิดมาพร้อมกับกระดูกจักรพรรดิ ซ้ำยังมีพรสวรรค์ด้านดนตรีชวนให้ผู้คนตกใจ!” หลิงอินกล่าว
เจียงอวี่สือยิ้มบางพลางกล่าวว่า “ข้าอ่านบันทึกคัมภีร์โบราณมาไม่น้อย...เพียงแต่ฟ่านหยาเหยียนที่เจ้าพูดถึง ไม่มีอยู่ในความทรงจำข้าแม้แต่น้อย”
นางกล่าวต่อ “สิ่งที่เจ้าได้อ่านมาอาจไม่ใช่บันทึกเป็นทางการ หากมีลูกรักสวรรค์เช่นนี้ถือกำเนิดมาพร้อมกับกระดูกจักรพรรดิ ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ข้าจะไม่รู้เรื่องนี้ ลูกรักสวรรค์กำเนิดมาพร้อมกับกระดูกของจักรพรรดิเช่นนี้ ย่อมเป็นที่เลื่องลือในรุ่นหลังอย่างแน่นอน”
หลังจากนั้น บนใบหน้านางก็มีสีหน้าภาคภูมิใจอีกครั้ง
“ผู้ที่เกิดมาพร้อมกับกระดูกจักรพรรดิในสมัยโบราณนั้นหาได้ยากมาก และในประวัติศาสตร์ก็ปรากฏขึ้นไม่กี่คน ในหุบเขาคงหลิงของเรามีคนถือกำเนิดมาพร้อมกับกระดูกจักรพรรดิด้วยเช่นเดียวกัน!”
นางกล่าวว่า “บุคคลผู้นี้ที่เกิดมาพร้อมกระดูกจักรพรรดิคือ บรรพบุรุษที่ข้าเล่าให้เจ้าฟังอย่างไรเล่า”
ตึก ๆ!
หัวใจของหลิงอินเต้นแรง
บรรพบุรุษผู้นั้น มีกระดูกจักรพรรดิแต่กำเนิด!!!
“บรรพบุรุษเกิดมาพร้อมกับกระดูกจักรพรรดิ แต่น่าเสียดายร้อยปีก่อน กระดูกจักรพรรดิถูกปกคลุมไปด้วยธุลีฝุ่น จนกระทั่งร้อยปีต่อมา กระดูกจักรพรรดิของบรรพบุรุษก็สามารถเปล่งประกายฉายความสามารถออกมา จากนั้นเพียงหนึ่งก้าวสะเทือนถึงสวรรค์*[1] พิสูจน์ตนเป็นมหาจักรพรรดิ ได้รับสมญานามว่าจักรพรรดิบุปผา!”
เจียงอวี่สือกล่าวต่ออีกว่า“เจ้าคงจะไม่เข้าใจว่า กระดูกจักรพรรดิแต่กำเนิดนั้นน่าอัศจรรย์เพียงใด เช่นนั้นเจ้าต้องรู้ก่อนว่า มีจักรพรรดิใดที่ใช้เวลาเพียงสามพันปีก็กลายเป็นมหาจักรพรรดิได้บ้าง? นับแต่สมัยโบราณมามีไม่มากนัก แต่ข้าสามารถนับพวกเขาได้ด้วยมือข้างเดียว และจักรพรรดิบุปผา บรรพบุรุษผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น!”
“นี่คือความรุ่งโรจน์สูงสุดของหุบเขาคงหลิงของข้า!”
[1] หนึ่งก้าวสะเทือนถึงสวรรค์ หมายถึง มีชื่อเสียงเลื่องลือ