296-300

บทที่ 296

ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนและสือเฟิงสบตากัน นึกในใจพร้อมกันว่าพวกเขาช่างโชคดีเหลือเกิน เข้ามาพบตอนท่านเซียนกำลังจะตุ๋นเนื้อพอดี คราวนี้พวกเขามีลาภปากแล้ว!


“รบกวนแม่นางเสวี่ยนำเครื่องครัวออกมาให้ข้าที”


หลี่จิ่วเต้าบอกกับอันหลานเสวี่ย


อันหลานเสวี่ยมีศาสตราบรรจุของ พกพาสิ่งใดก็สะดวก เขาจึงนำเครื่องครัวและเครื่องปรุงชนิดต่าง ๆ จากบ้านมาด้วย


ตอนมา เขายังห่วงเรื่องกินเนื้ออสูร พวกเซี่ยเหยียนกับอ้ายฉานต่างเก่งกาจกันทั้งหมด การจับอสูรเป็นเพียงเรื่องง่าย ๆ เหมือนปอกกล้วยเข้าปาก


เขาจึงคิดไปว่าเมื่อมาถึงภาคกลาง มีโอกาสเมื่อไรเขาจักตุ๋นเนื้อสูรกินอีก


“ได้เลยคุณชาย!”


อันหลานเสวี่ยหัวเราะเสียงหวาน นำเครื่องครัวที่ท่านเซียนนำมาจากบ้านออกมาทั้งหมด


ขณะหยิบเครื่องครัว นางสะท้อนใจเหลือแสน หากมิได้ท่านเซียน ไฉนเลยนางจะมีโอกาสสัมผัสเครื่องครัวสูงส่งไม่ธรรมดาเยี่ยงนี้


‘นี่หรือคือท่านเซียน!? ละเปลือกนอกอันหรูหรา กลับสู่ความเรียบง่ายดั้งเดิม…วัตถุดิบหายากยิ่งในใต้หล้านี้ กลับมิได้สลักสำคัญอะไรต่อหน้าท่านเซียน ท่านนำไปหลอมเป็นเครื่องครัวเสียอย่างนั้น…’


หลังจากผู้อาวุโสเก้าเห็นเครื่องครัวเหล่านั้นก็ยิ่งสะท้านใจ


เขาจำวัสดุเครื่องครัวเหล่านี้ได้ ล้วนแต่เป็นวัตถุดิบสะท้านโลการะดับตำนาน ใช้วัตถุดิบเหล่านี้เพียงนิดหน่อยก็สามารถสร้างอาวุธมหาจักรพรรดิสุดแกร่งกล้าขึ้นมาได้!


วัตถุดิบสะท้านโลการะดับตำนานเยี่ยงนี้ ผู้ใดมีในครอบครองย่อมต้องรักษาอย่างดีดั่งสมบัติล้ำค่า ทะนุถนอมถึงที่สุด และนำวัตถุดิบสะท้านโลกาเหล่านี้ไปหลอมเป็นศัสตราทรงพลัง


ทว่าเมื่ออยู่กับท่านเซียน…ท่านเซียนกลับไม่ยี่หระแม้แต่น้อย นำมาหลอมเป็นเครื่องครัวเสียอย่างนั้น!


หากมิใช่ว่าเขาเห็นกับตา ให้ตายเขาก็ไม่เชื่อว่าวัตถุดิบสะท้านโลการะดับตำนานเยี่ยงนี้จักถูกหลอมเป็นเครื่องครัว…


น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!


ท่านเซียนก็คือท่านเซียน มิใช่คนตัวเล็ก ๆ อย่างพวกเขาจะหยั่งถึง!


หลังจากอันหลานเสวี่ยนำเครื่องครัวออกมา หลี่จิ่วเต้าก็เริ่มชำแหละเนื้ออสูร


ฝีมือหั่นตัดของเขาสมบูรณ์แบบเกินไป อสูรตัวเท่าภูเขาแปรเปลี่ยนเป็นเนื้อชิ้นเล็กชิ้นแล้วชิ้นเล่าเมื่ออยู่ในมือเขา สะดวกต่อการตุ๋น


ผู้อาวุโสเก้าซึ่งได้เห็นกระบวนการทั้งหมด พลันหัวใจสะท้านราวกับถูกเกลียวคลื่นมหึมาซัดสาด ทึ่งจนสั่นเทิ้มไปถึงดวงวิญญาณ


น่ากลัวเกินไปแล้ว!


การใช้มีดของท่านเซียน ทุกฝีมีดล้วนมีเจตจำนงมีดแฝงอยู่ ทุกอากัปกิริยาล้วนมีจังหวะแห่งเต๋าเกินหยั่งไหลเวียนอยู่ เมื่ออยู่ต่อหน้าจังหวะแห่งเต๋าเยี่ยงนี้ สามพันวิถีก็เป็นเพียงพลังเล็กน้อยเท่านั้น!


‘ท่านเป็นเซียนจริง ๆ ด้วย!’


ผู้อาวุโสเก้าหัวใจเต็มตื้น


ก่อนนี้แม้ว่าเขาจะได้ยินเรื่องราวทุกอย่างจากซางเหิงมาแล้ว กระนั้นยังไม่เต็มตื้นเท่าเขาได้ประจักษ์ด้วยตาตนเอง!


ผู้ที่อยู่เบื้องหน้านี้ เป็นเซียนท่านหนึ่งจริง ๆ อย่างไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อย!


เซี่ยเหยียนก่อไฟที่อีกด้านหนึ่งเสร็จนานแล้ว หลังจากหลี่จิ่วเต้าชำแหละเนื้ออสูรเรียบร้อย ก็เริ่มการตุ๋น


เขามิได้ตุ๋นเนื้ออสูรทีเดียวทั้งหมด ตุ๋นไปเพียงครึ่งของครึ่งเท่านั้น


อสูรตัวนี้มีขนาดใหญ่เกินไป หากตุ๋นทั้งหมดย่อมกินไม่หมด เขาให้เซี่ยเหยียนเก็บเนื้ออสูรที่เหลือ


เขาเริ่มจากขั้นตอนผัด แล้วใส่เครื่องปรุงต่าง ๆ ลงไป ไม่นานนัก กลิ่นหอมยวนใจของเนื้อก็โชยออกมา


ผู้อาวุโสเก้าได้กลิ่นหอมแบบนี้ของเนื้อแล้วกลืนน้ำลายอย่างบ้าคลั่งโดยไม่รู้ตัว กลิ่นหอมของเนื้อนี้ดึงดูดเกินไปแล้ว!


ซางเหิงยิ่งทนกลิ่นหอมของเนื้อนี้ไม่ไหว อาภรณ์ส่วนหน้าอกเปี่ยมชุ่มด้วยน้ำลายจากปาก


กลิ่นหอมเนื้อโชยออกไปตามลม สิ่งมีชีวิตยอดฝีมือซึ่งอาศัยอยู่ในวังอื่นบนยอดเขาต่างได้กลิ่นนี้กันถ้วนหน้า


“กลิ่นเนื้อนี้ช่างหอมนัก!”


“ชวนน้ำลายสอเกินไปแล้ว!”


สิ่งมีชีวิตยอดฝีมือที่ได้กลิ่นหอมจากเนื้อนี้ต่างถูกกระตุ้นความอยากอาหาร พวกเขาเดินตามกลิ่นหอมไปจนออกจากวัง พบกว่ากลิ่นหอมนั้นมาจากวังชั้นสูง


“นี่พวกเขา…เริ่มตุ๋นกันแล้วหรือ!?”


สิ่งมีชีวิตยอดฝีมือทั้งหลายมีสีหน้าซับซ้อนชอบกล


พวกเขาต่างรู้กันดีว่าผู้ใดพำนักในวังชั้นสูง และรู้ว่าน้องชายและบิดาของฉงคูต่างเสียท่าให้กับเซี่ยเหยียน


บัดนี้มีกลิ่นหอมของเนื้อโชยออกมาจากที่นั่น


ให้ตายสิ พวกเขาคงตุ๋นเนื้อของอสูรเผ่าฉงฉีไปแล้วแน่ ๆ!


ช่าง…สุดยอดไปเลย!


เนื้อของเผ่าฉงฉีมีรสชาติอย่างไร?


พวกเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ อยากเข้าไปชิมดูสักคำยิ่ง แต่อนิจจา…พวกเขามิกล้า!


สิ่งมีชีวิตที่พำนักในตำนักบนยอดเขาล้วนมีภูมิหลังไม่ธรรมดา ต่างเป็นตระกูลโบราณ และสำนักโบราณระดับตระกูลซาง หรือลัทธิเจี๋ยเทียน


ก่อนหน้านี้ พวกเขาได้ยินว่าผู้อาวุโสเก้าแห่งตระกูลซางยอมรับว่าพวกเซี่ยเหยียนมีความเกี่ยวข้องกับยอดนิกาย พวกเขามิกล้าเข้าไปทำตัวอวดดีในพื้นที่ของพวกเซี่ยเหยียน…


“อมิต้าเต๋อฝอ ข้าพระพุทธไร้เกศา หอมเกินไปแล้วโว้ย!”


ต้าเต๋ออ้าปากกว้าง น้ำลายไหลนองเต็มพื้น เขาไม่เคยได้กลิ่นเนื้อที่หอมยวนใจปานนี้มาก่อน หนอนตะกละในกระเพาะของเขาต่างถูกล่อออกมา


“บัดซบ! ทนไม่ไหวแล้ว ข้าต้องไปดูหน่อย!”


เขาทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ วิ่งพรวดออกจากวังพำนักของตน


ตึก ตึก ตึก!


อีกด้านหนึ่ง พระอาจารย์เกาเซิงกำลังเคาะมู่อวี๋สวดมนต์อยู่


สีหน้าของเขาขึงขังน่าเกรงขาม หน้าตาน่าเลื่อมใสเหลือคณา ทว่าเมื่อกลิ่นหอมของเนื้อโชยเข้ามา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป...


เป็นกลิ่นเนื้อที่หอมมากจริง ๆ แม้กระทั่งตัวเขาเองยังแทบทนไม่ไหว หัวใจว้าวุ่นไปหมด จมูกสูดดมอย่างอดไม่ไหว สูดกลิ่นหอมเนื้อนี้อย่างบ้าคลั่ง


ความขึงขังน่าเกรงขามก่อนหน้านี้ของเขามลายหายไปจนสิ้น!


เขาอยาก…กินเนื้อ!


“อมิตาภพุทธ บาปกรรมแท้ ๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโปรดให้อภัยด้วย!”


เมื่อความคิดอยากกินเนื้อโผล่เข้ามาในหัว เขาก็ตะลึงยกใหญ่ รีบเอ่ยทันควัน


เขาต่างจากต้าเต๋อ ตัวเขานั้นปฏิบัติตามข้อห้ามศาสนาอย่างเคร่งครัด ไม่เคยฝ่าฝืน การกินเนื้อถือเป็นข้อห้ามใหญ่ของพุทธศาสนา เขากลับเกิดความคิดอยากกินเนื้อขึ้นมาเสียนี่ เป็นผลให้เขารู้สึกผิดอย่างมหันต์


“อาตมาทราบดีว่า ชะตาชีวิตเป็นไปตามกรรมที่ตนก่อ รูปลักษณ์ภายนอกแปรเปลี่ยนตามที่ใจนึก สรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนเป็นภาพมายา เมื่อใจสงบ สรรพสิ่งย่อมสงบ เมื่อใจแน่วแน่ สรรพสิ่งย่อมเที่ยงแท้…”


เขารีบท่องบทสวด เพื่อให้หัวใจธรรมของตนสงบ สลัดความคิดอยากกินเนื้อเช่นนี้ออกไป


ทว่าเขาท่องไปได้ไม่กี่ประโยค ก็สติแตกขึ้นมา


“สวดบ้าสวดบออันใด! ทนไม่ไหวแล้ว ทนไม่ไหวแล้ว!”


กลิ่นหอมจากเนื้อนี้จู่โจมตรงเข้าวิญญาณของเขา เขาระงับประสาทสัมผัสการดมไปก็เปล่าประโยชน์ หัวใจธรรมของเขาสั่นคลอนอย่างสิ้นเชิง ความคิดอยากกินเนื้อไม่อาจสลัดหลุดได้เลย!


เขาเดินตามกลิ่นหอมเนื้อจนออกจากวังอย่างอดไม่ไหว พบว่ากลิ่นหอมของเนื้อนี้มาจากวังชั้นสูง


“แย่แล้ว อาตมายังทนไม่ไหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้าต้าเต๋อ!”


สีหน้าเขาเปลี่ยนไปอย่างมากเมื่อนึกถึงต้าเต๋อ


แต่เดิมต้าเต๋อก็โปรดปรานการกินเนื้ออยู่แล้ว บัดนี้ได้กลิ่นหอมจากเนื้อเยี่ยงนี้ไฉนเลยจะทนไหว?


เป็นไปไม่ได้เลย!


เขารีบกลับไปยังวังพำนัก ผลักประตูห้องของต้าเต๋อออก เกรงว่าต้าเต๋อจะทนกลิ่นหอมนี้ไม่ไหวแล้วพุ่งไปที่นั่น


หากต้าเต๋อไปที่นั่นจริง ไม่รู้ว่าจะก่อความวุ่นวายขนาดไหน!


คนที่นั่นล้วนมีความเกี่ยวข้องกับยอดนิกาย มิหนำซ้ำคันศรวิเศษในมือเซี่ยเหยียนยังน่าประหวั่นพรั่นพรึงถึงเพียงนั้น หากต้าเต๋อสร้างเรื่องสร้างราวขึ้นมาจริง ๆ ถึงครานั้นจะจบเรื่องอย่างไร!


ต้าเต๋อมีฐานะสำคัญอย่างยิ่งยวด เขามิกล้าปล่อยให้เกิดเรื่องกับต้าเต๋อ!


แต่กลัวสิ่งใดมักได้สิ่งนั้นเสมอ ภายในห้องต้าเต๋อไม่มีใครสักคน ต้าเต๋อมิได้อยู่ในห้อง


“เวร! คราวนี้แย่แล้ว!”


หน้าของเขาเขียวไปหมด ถึงกับสบถออกมาเป็นคำหยาบ หากเกิดเรื่องกับต้าเต๋อ เขาไม่อาจรับผิดชอบได้ไหว!


จากนั้น เขารีบรุดหน้าไปยังต้นตอกลิ่นหอม!

บทที่ 297

พระอาจารย์เกาเซิงร้อนใจแทบแย่


ต้าเต๋อก่อเรื่องเก่งปานนั้น มิหนำซ้ำยังเคยมีเรื่องมีราวกับอ้ายฉานซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มนั้น หากเขาเข้าไป ไม่แน่ว่าอาจเกิดเรื่องใหญ่ได้!


เขารีบร้อนจากไป หมายจะจับตัวต้าเต๋อกลับมา


“ขอเชิญพุทธบุตรออกจากที่นี่ด้วย”


นอกวังที่หลี่จิ่วเต้าพำนัก มีผู้อาวุโสตระกูลซางเฝ้าอยู่ พวกเขาสกัดต้าเต๋อ ไม่ยอมให้เขาเข้าไป


ม่านพลังที่นี่ถูกบิดาฉงคูทำลายลง หลังจากนั้น ผู้อาวุโสเก้าจึงจัดเตรียมยอดฝีมือผู้อาวุโสมาคอยอารักขาที่นี่หลายคน ป้องกันมิให้ผู้ฝึกตนอื่น ๆ มารบกวนท่านเซียนที่นี่


ลูกตาเล็ก ๆ ของต้าเต๋อกลอกไปมา เขาหัวเราะเบา ๆ พร้อมกล่าวว่า “ข้ากับอ้ายฉานที่อยู่ด้านในเป็นสหายกัน ข้ามาเยี่ยมนาง”


“สหายหรือ?”


ผู้อาวุโสท่านหนึ่งขมวดคิ้ว ไม่แน่ใจว่าจริงหรือเท็จ


“เจ้าเข้าไปรายงานที บอกว่าข้าต้าเต๋อมาหานาง กินเนื้อไม่ดื่มสุราได้อย่างไร ข้านำสุรามาให้!”


ต้าเต๋อคลี่ยิ้มกว้าง หยิบสุราโถหนึ่งออกจากคลังมิติแล้วถือไว้ในมือ


เหล่าผู้อาวุโสเห็นเช่นนั้นแล้วเป็นต้องอึ้งกันหมด สาวกพุทธศาสนาดื่มสุราตามอำเภอใจได้ด้วยหรือ...


พวกเขาเคยได้ยินมานานแล้วว่า พุทธบุตรนามต้าเต๋อผู้นี้ต่างจากผู้อื่น บัดนี้ดูแล้วแตกต่างจริง ๆ ประหลาดคนใช้ได้!


“นี่คือสุราชั้นดี ข้าลักเอามาจากพระอากาศครรภโพธิสัตว์ ปกติข้ายังมิกล้าดื่มเท่าไร ทุกครั้งที่ดื่มก็ดื่มเพียงไม่กี่หยดเท่านั้น!”


ต้าเต๋อบอก


เพื่อให้ได้กินเนื้อ เขายอมลงทุนลากเลือด!


หนนี้เขามิได้โป้ปด สุรานี้เขาขโมยมาจากพระอากาศครรภโพธิสัตว์จริง ๆ หายากยิ่ง ตัวเขาเองยังมิกล้าดื่มเพราะความเสียดาย


ลักเอามาจากพระอากาศครรภโพธิสัตว์?


พระอากาศครรภโพธิสัตว์ดื่มสุราด้วยหรือ???


สีหน้าบรรดาผู้อาวุโสประหลาดยิ่งกว่าเดิม วาจาของต้าเต๋อคือสิ่งที่พวกเขาคาดไม่ถึง


หรือว่าพุทธศาสนานั้นมือถือสาก ปากถือศีล ฉากหน้าแสร้งว่ามีศีลข้อห้ามอย่างเข้มงวด มีข้อปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แต่แท้จริงแล้วลับหลังมิได้เป็นเช่นนั้น ไม่มีข้อห้ามใด ๆ ทั้งสิ้น?


“ทุกท่านอย่าฟังที่เขาพูดเหลวไหล!”


ตอนนั้นเอง พระอาจารย์เกาเซิงมาถึง เขาได้ยินคำกล่าวของต้าเต๋อพอดี ใบหน้าชราดำคร่ำเครียดยิ่งกว่าก้นหม้อเสียอีก


จะมิให้หน้าดำได้เยี่ยงไร พุทธศาสนาแทบไม่เหลือความน่าเกรงขามเพราะต้าเต๋อแล้ว!


“อมิตาภพุทธ ทุกท่านอย่าเข้าใจผิด พระอากาศครรภโพธิสัตว์ของศาสนาเราไม่มีทางดื่มสุราแน่นอน สุรานี้เป็นของอสูรร้ายตนหนึ่งที่พระอากาศครรภโพธิสัตว์ของเรากำราบได้ พระอากาศครรภโพธิสัตว์ไม่ทันนำไปทิ้งก็โดนเขาขโมยไปเสียก่อน”


พระอาจารย์เกาเซิงอธิบายอย่างร้อนรน


“ช้าก่อน ท่านพูดเช่นนี้ไม่ถูกนะ เรียกการกระทำของพุทธสาวกอย่างเราว่าขโมยได้เยี่ยงไร ข้ากำลังสั่งสมบุญต่างหาก!”


ต้าเต๋อเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง “หากข้าไม่เก็บสุรานี้ไป มิเป็นการปล่อยให้สุราเสียเปล่าหรอกหรือ ข้าเป็นถึงพุทธบุตร ซ้ำยังเป็นต้าเต๋อผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคต สุราสร้างความสุขสมให้ข้าได้ หรือก็คือสุราสร้างความสุขสมให้พระได้ นับว่าเป็นบุญอย่างใหญ่หลวง เป็นบ่วงบุญกรรมอันยิ่งใหญ่ ในอนาคต ทั้งสุรานี้และพระอากาศครรภโพธิสัตว์ล้วนต้องได้รับประโยชน์มหาศาลจากบ่วงบุญกรรมอันยิ่งใหญ่นี้!”


พระอาจารย์เกาเซิงได้ยินวาจานั้นแล้วโมโหจนหัวใจสั่นไปหมด


ขโมยสุราก็คือขโมยสุรา มัวพล่ามเรื่องบุญเรื่องกรรมกระไร บ่วงบุญกรรมอันยิ่งใหญ่รึ มียางอายบ้างเถอะ!


“กลับไปกับอาตมาเดี๋ยวนี้!”


ใบหน้าชราของเขาดำคร่ำเครียดถึงขีดสุด เอื้อมมือไปหิ้วปีกต้าเต๋อขึ้นมา


ต้าเต๋อสลัดไม่หลุด จึงตะเบ็งเสียงดังก้องขึ้นมา “อ้ายฉาน สหายของข้า ข้ามาหาเจ้าแล้ว เจ้าออกมาหาข้าที!”


“หุบปาก!”


พระอาจารย์เกาเซิงตวาด รีบปิดปากต้าเต๋อ แล้วพาเขาไปจากที่นี่โดยไว


สร้างเรื่องเก่งนัก!


เขารู้สึกกลัวใจจริง ๆ!


...


ภายในวังของหลี่จิ่วเต้า


“บัดซบ เณรน้อยคนนั้นนี่!”


อ้ายฉานได้ยินเสียงเรียกขานนางจากข้างนอก นางฟังปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นเสียงของเณรน้อยผู้นั้น


ช่วยไม่ได้ เณรน้อยผู้นั้นพิลึกกึกกือถึงปานนั้น จนนางจำได้อย่างแม่นยำ


“เณรน้อย? เณรน้อยกระไร?”


เซี่ยเหยียนถามอ้ายฉานด้วยความแปลกใจ


เณรหรือพระภิกษุมีอยู่ในดินแดนฝอเท่านั้น อ้ายฉานไปข้องแวะกับเณรตั้งแต่เมื่อใด


“อย่าให้พูดถึงเลย เณรน้อยผู้นั้นช่าง…น่าชิงชังเหลือทน ประหลาดคนเกินไป!”


อ้ายฉานขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นางไม่เคยเจอคนเฉกเช่นเณรน้อยผู้นั้นมาก่อน!


“ฮ่า ๆ รีบเล่ารายละเอียดมาเร็ว!”


ได้ยินคำปรามาสเณรน้อยเช่นนี้ของอ้ายฉาน เซี่ยเหยียนยิ่งสนอกสนใจเข้าไปใหญ่


ภิกษุนั้นจิตใจผ่องใส อยู่ในกฎเกณฑ์เคร่งครัด จะน่าชิงชังสักแค่ไหนเชียว?


“เณรน้อยผู้นั้นน่ะหรือ ข้าจะบอกให้พวกท่านฟัง ไม่มีเค้าความเป็นพุทธสาวกแม้แต่น้อย ซ้ำยังอ้างว่าตนคือพุทธบุตรกลับชาติมาเกิด อนาคตจักตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน!”


อ้ายฉานเล่าความเป็นมาโดยละเอียด ไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว เล่าเหตุการณ์ที่นางกับเณรน้อยแย่งชิงวัวยักษ์สีดำออกมาทั้งหมด


เซี่ยเหยียน อันหลานเสวี่ย และเหล่าเด็ก ๆ ต่างมีสีหน้าประหลาดระหว่างที่ฟัง


ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดอ้ายฉานถึงให้คำปรามาสเณรน้อยผู้นั้นว่าประหลาดคน!


กินเนื้อดื่มสุรา กล่าววาจาเกี้ยวพาราสี ไหนจะอมิต้าเต๋อฝอ ข้าพระพุทธไร้เกศา ข้าต้าเต๋อเปี่ยมเมตตาที่สุด…


เณรน้อยผู้นี้พิลึกคนยิ่ง!


“พระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิดหรือ!”


อีกด้าน หลังหลิงอินได้ฟังเรื่องเล่าของอ้ายฉาน กลับมีท่าทีแตกต่างจากพวกเซี่ยเหยียนอย่างสิ้นเชิง นางกลัดกลุ้มเหลือแสน นึกถึงข่าวลือเก่าแก่ข่าวหนึ่ง


เป็นข่าวลือเก่าแก่ที่เกี่ยวกับพุทธศาสนา


ลือกันว่าพุทธศาสนาจะมีพุทธบุตรกลับชาติมาเกิด ถือกำเนิดขึ้นในยุคสมัยหนึ่ง พุทธบุตรผู้นี้จักผสานคุณงามความดีทั้งปวงของพุทธศาสนาไว้ด้วยกัน นำพาพุทธศาสนาสู่จุดสูงสุดอย่างแท้จริง!


ในหลายยุคหลายสมัยที่ผ่านมา พุทธบุตรมิเคยถือกำเนิด ยุคสมัยนี้…พุทธบุตรถือกำเนิดขึ้นแล้วหรือ?


หากเป็นความจริง สถานะของเณรน้อยผู้นี้ย่อมสูงส่งจนน่าสะพรึง เกรงว่าแม้แต่พระสังฆราชองค์ปัจจุบันก็ต้องยำเกรงเณรน้อยผู้นี้


“น่าสนใจยิ่ง เอาอย่างนี้ อ้ายฉาน เจ้าไปเรียกเขามาให้ข้าดูหน่อย”


หลี่จิ่วเต้ายิ้ม นึกสนใจในตัวเณรน้อยผู้นี้ขึ้นมา


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสถิตย์อยู่ในใจ เนื้อวัวนั้นโอชะเป็นหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่องอยู่ในใจ สุราเมรัยสร้างความสุขสม…


เณรน้อยผู้นี้มีวจีตลก กลายเป็นที่สนใจของเขา


“หา?”


อ้ายฉานมีหน้าตาตกตะลึง คิดไม่ถึงสักนิดว่าท่านเซียนจะเกิดความสนใจต่อเณรน้อยผู้นี้


“ในเมื่อคุณชายอยากพบ เช่นนั้นข้าจะไปเรียกเขามา!”


อ้ายฉานเอ่ย ก่อนจะวิ่งออกจากวัง


หรือนี่คือจุดประสงค์ที่ท่านเซียนมาที่นี่?


หลิงอินคิดในใจ


นางไม่เคยคิดว่าท่านเซียนมาที่นี่เพราะว่างจึงมาเที่ยวเล่น นางคิดว่าที่ท่านเซียนมาที่นี่ต้องมีความนัยมากกว่านั้นแน่นอน


บัดนี้ ท่านเซียนสนใจในตัวเณรน้อยผู้นี้อย่างเห็นได้ชัด นางคาดการณ์ว่า ท่านเซียนมาที่นี่จะเป็นเพราะต้องการพบเณรน้อยผู้นี้หรือไม่


หากเป็นเช่นนี้จริง เณรน้อยผู้นี้ฉกาจยิ่ง ย่อมไม่ธรรมดา ท่านเซียนถึงได้ให้ความสำคัญ


ทว่านางยังมิกล้าแน่ใจนัก


เณรน้อยเก่งกาจปานนั้นจริงหรือ ถึงขั้นเป็นที่ให้ความสำคัญของท่านเซียนได้เชียวหรือ?


นางคลางแคลงใจ


...


หลังจากอ้ายฉานออกจากวัง ก็สอดส่ายสายตาไปมา พบว่าเณรน้อยไม่อยู่แล้ว


นางถามกับผู้อาวุโสตระกูลซางซึ่งคอยอารักขาวัง “เมื่อครู่มีเณรน้อยคนหนึ่งมาที่นี่ใช่หรือไม่”


“อืม เข้ามาแล้ว แต่โดนพระอาจารย์เกาเซิงพากลับไปแล้ว”


ผู้อาวุโสตระกูลซางตอบ


“เข้าใจแล้ว”


อ้ายฉานถามไถ่ที่พำนักของเณรน้อยจากผู้อาวุโสตระกูลซาง แล้วจึงมุ่งหน้าไปทางนั้น


ท่านเซียนต้องการพบเณรน้อยผู้นี้ นางก็ต้องพาเณรน้อยผู้นี้ไปให้ได้!

บทที่ 298

อ้ายฉานมาถึงสถานที่พำนักของเณรน้อย


“อมิตาภพุทธ สีกามีธุระอันใดหรือ”


พระอาจารย์เกาเซิงเดินออกมา สอบถามไปยังอ้ายฉาน


เดิมทีเขามิได้พำนักที่เดียวกับต้าเต๋อ แต่ต้าเต๋อไม่น่าวางใจเอาเสียเลย เขาจึงย้ายมาพำนักที่นี่ เพื่อสะดวกต่อการควบคุมดูแลต้าเต๋อ


หารู้ไม่ว่า ต้าเต๋อก็ยังลอดสายตาเขาออกไปได้ ไปหาพวกอ้ายฉาน…


นี่นางมาตำหนิเอาความหรือ?


พระอาจารย์เกาเซิงคิดในใจ


ก่อนหน้านี้ อ้ายฉานเคยมีความบาดหมางกับต้าเต๋อ บัดนี้ต้าเต๋อยังวิ่งวุ่นไปส่งเสียงโหวกเหวกในที่พำนักของพวกเขา เกรงว่าอ้ายฉานบันดาลโทสะ มาเอาเรื่องต้าเต๋อ!


สงบเสงี่ยมบ้างไม่ได้เลยหรือ!


พระอาจารย์เกาเซิงโอดครวญในใจ ต้าเต๋อสร้างเรื่องสร้างราวเก่งเกินไปแล้ว หนี้แค้นในอดีตยังไม่ชำระ ตอนนี้สิดี อีกฝ่ายมาหาถึงที่!


“พระอาจารย์เกาเซิง ข้ามาหาต้าเต๋อ”


อ้ายฉานเอ่ยอย่างมีมารยาท


ตามคาด!


ได้ยินว่าอ้ายฉานมาหาต้าเต๋อ พระอาจารย์เกาเซิงใจกระตุก ‘วูบ’


“คือว่า…เขาไม่อยู่”


พระอาจารย์เกาเซิงอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ หน้าตาเริ่มแดงระเรื่อ


อ๊ากก! ชาติก่อนอาตมาทำเวรทำกรรมอะไรไว้ ถึงต้องมาพานพบกับต้าเต๋อ!


อมิตาภพุทธ บาปกรรมแท้ ๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโปรดอภัยให้อาตมาด้วย!


ในใจเขาแทบร่ำไห้


นับแต่เขาได้มาอยู่กับต้าเต๋อ อย่าให้พูดเลยว่าอนาถปานใด หัวใจธรรมถูกท้าทาย เกือบสติแตกหลายต่อหลายครั้ง…


บัดนี้เขายัง…พูดปดอีก!


พุทธศาสนาห้ามมิให้พูดปด เขาบำเพ็ญธรรมมานับร้อยปี เข้มงวดกับตนเองอยู่เสมอ ไม่เคยผิดศีลมาก่อน


บัดนี้เขากลับรักษาศีลไว้มิได้ เพื่อต้าเต๋อแล้ว เขาต้อง…ผิดศีล!


“ไม่อยู่หรือ?”

อ้ายฉานเห็นพระอาจารย์เกาเซิงกระอึกกระอัก ซ้ำยังหน้าแดงระเรื่อ ไฉนเลยจะไม่รู้ว่าพระอาจารย์เกาเซิงโกหก


นางเอ่ยล้อด้วยความขบขัน “ศีลข้อห้ามของพุทธศาสนามีไว้เตือนคนนอกอย่างเดียวหรอกหรือ สาวกในศาสนาไม่ต้องรักษาหรือไร”


ใบหน้าพระอาจารย์เกาเซิงแดงก่ำขึ้นไปอีก ใบหน้าชราแทบเก็บความอับอายไว้ไม่มิด


ชีวิตนี้เขาไม่เคยพูดปดมาก่อน การโกหกครั้งแรกไม่ประหม่าสิแปลก ต่อให้เขาบำเพ็ญธรรมมานับร้อยปีก็ไม่เกี่ยว การผิดต่อหลักธรรมคำสอนของศาสนาส่งผลให้เขารู้สึกผิดมหันต์


“อมิตาภพุทธ อาตมาไม่เข้าใจสิ่งที่สีกาว่ามา ต้าเต๋อไม่อยู่จริง ๆ หากสีกาไม่มีธุระแล้ว อาตมาต้องกลับไปสวดมนต์บำเพ็ญธรรมต่อ”


เขากัดฟันพูดต่อ ความรู้สึกผิดในใจทวีคูณ


ต้าเต๋อมีความสำคัญต่อพุทธศาสนาของพวกเขาอย่างยิ่งยวด เขามิกล้าปล่อยให้อ้ายฉานพาต้าเต๋อไป กลัวจะเกิดเรื่องกับต้าเต๋อ


ต่อให้ต้องผิดศีลเพราะการนี้เขาก็ไม่แยแส


เขามิกล้าสนทนากับอ้ายฉานต่อ กลัวจะผิดศีลไปมากกว่านี้ เขาจึงแสดงเจตนารมณ์ต่ออ้ายฉานว่าไม่ต้อนรับนางแล้ว


ทว่าตอนนั้นเอง เสียงของต้าเต๋อดังออกมาจากวัง


“อย่าไปฟังที่ตาโล้นเฒ่านั่นพูดเหลวไหล ข้าอยู่ในนี้!”


หลังจากวาจานี้เปล่งออกมา ใบหน้าชราของพระอาจารย์เกาเซิงเขียวไปหมด!


ไอ้$@#...!


พระอาจารย์เกาเซิงระเบิดอารมณ์ในบัดดล ด่ากราดอยู่ในใจ


ต้าเต๋อนี่…ชั่วช้าจริงเชียว!


เขายอมผิดศีลพูดปดเพื่อความปลอดภัยของต้าเต๋อ


แต่เจ้าต้าเต๋อนี่กลับไม่ยอมรับน้ำใจแม้แต่น้อย หักหลังเขาซึ่งหน้า!


ไอ้บ้านี่!


ตอนนี้เขาสำนึกเสียใจอย่างยิ่ง


ตั้งแต่หิ้วปีกต้าเต๋อกลับมาจากที่นั่น เขาก็คิดในใจว่าคงไม่มีอะไรแล้ว จึงปลดผนึกต้าเต๋อ อนุญาตให้ต้าเต๋อพูดจาเป็นปกติได้


ทว่าผู้ใดจะรู้ว่า อ้ายฉานจะมาหาถึงที่!


หากรู้อย่างนี้ตั้งแต่แรก อย่างไรเขาก็ไม่ปลดผนึกต้าเต๋อ


“ตาโล้นเฒ่า... เจ้าต่างหากที่เป็นตาโล้นเฒ่า ไปตายซะไป!”


พระอาจารย์เกาเซิงระเบิดอารมณ์ สติแตกในบัดดล เขาปรี่เข้าไปถึงในห้องของต้าเต๋อในอึดใจเดียวประหนึ่งพายุโหม


จากนั้น เสียงร้องไห้อันน่าเวทนาของต้าเต๋อก็ดังมาจากในห้อง


พระอาจารย์เกาเซิงกำลังทุบตีต้าเต๋อ!


อ้ายฉานตกตะลึงไปหมด พระอาจารย์เกาเซิงจากพุทธศาสนาเป็นเช่นนี้เหมือนกันหรือ!?


นางเดินเข้าไป


เพียะ เพียะ เพียะ!


พระอาจารย์เกาเซิงตีได้รุนแรงยิ่ง เขาหิ้วปีกต้าเต๋อ ฝ่ามือฟาดก้นของต้าเต๋อไม่หยุด ตีจนต้าเต๋อหน้าตาเหยเก ร่ำไห้ขี้มูกโป่ง


“ไอ้โล้นเฒ่า! ข้าเป็นถึงพุทธบุตรกลับชาติมาเกิด! เจ้าบังอาจทุบตีข้าเยี่ยงนี้!”


“ข้ากลับถึงอารามเมื่อใด จักขอให้พระสังฆราชลงโทษเจ้า ข้าจะ…ข้าจะตบหน้าเจ้าหนึ่งพันฉาด!”


ต้าเต๋อตะโกนไม่หยุด


“เจ้าอยากตะโกนนักใช่ไหม!”


หนนี้พระอาจารย์เกาเซิงสติแตกแล้วจริง ๆ เขาตีไม่หยุด สุดท้ายตีจนก้นของต้าเต๋อบวมปูดแล้วถึงยอมหยุด ก่อนจะเหวี่ยงต้าเต๋อไปอีกด้าน


คราวนี้ต้าเต๋อมิกล้าโหวกเหวกโวยวายอีก


ทว่าเขาไฉนเลยจะยอมแพ้แค่นี้?


เขาไม่ยอมหรอก!


“ตาโล้นเฒ่า รอก่อนเถิด วันนี้เจ้ากล้าตีก้นข้า วันหน้าข้าจักตีก้นเจ้าให้บานบ้าง!”


เขาพูดในใจอย่างเคียดแค้น


ไอ้บ้าเอ๊ย ตั้งแต่ข้าต้าเต๋อผู้นี้เกิดมายังไม่เคยถูกทำร้ายขนาดนี้มาก่อน!


“ในเมื่ออยู่ ก็ไปกับข้า”


อ้ายฉานกล่าว


“ได้ ไม่มีปัญหา รีบไปกันเลย!”


ต้าเต๋อรีบลุกขึ้น เดินกะโผลกกะเผลกไปหาอ้ายฉาน


พระอาจารย์เกาเซิงก้าวออกมาขวางหน้าต้าเต๋อ ไม่ยอมให้เขาผ่านไป


เขามองอ้ายฉานขณะเอ่ย “อมิตาภพุทธ แม้ว่าต้าเต๋อจะมีนิสัยน่าชิงชัง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นสาวกของพุทธศาสนา สีกาโปรดไว้หน้าพุทธศาสนาสักครา อย่าถือสาหาความกับต้าเต๋อเลย”


เขาโกรธส่วนโกรธ กระนั้นมิกล้าปล่อยให้อ้ายฉานพาตัวต้าเต๋อไป


หากถูกพาตัวไปจริงแล้วเกิดเรื่อง เขาย่อมรับผิดชอบไม่ไหว


นี่คิดว่านางมาล้างแค้นหรือ?


ถึงแม้นางจะแค้นต้าเต๋อจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทว่านางมาครั้งนี้มิได้มาล้างแค้นต้าเต๋อจริง ๆ


นางเอ่ยขึ้น “พระอาจารย์เกาเซิงโปรดวางใจ ข้ามิได้มีเจตนาร้าย เขาไม่เป็นอะไรแน่”


“ไม่เป็นอะไรหรือ”


พระอาจารย์เกาเซิงยังไม่อาจวางใจ ไม่ยอมปล่อยต้าเต๋อไป


อ้ายฉานคลี่ยิ้ม “หากข้ามีเจตนาร้ายจริง ไยต้องทำเช่นนี้ด้วย พาเขาไปได้หรือไม่ท้ายที่สุดต่างกันด้วยหรือ ข้าขอให้พี่หญิงเซี่ยเหยียนมานี่สักครา พระอาจารย์เกาเซิงหยุดพี่หญิงเซี่ยเหยียนได้หรือ”


พระอาจารย์เกาเซิงมิได้พูดจา


ท้ายที่สุด เขาถอนหายใจพร้อมเอ่ย “ก็ได้”


อ้ายฉานพูดถูก หากนางมีเจตนาร้ายจริง อ้ายฉานขอให้เซี่ยเหยียนออกโรง เขาก็ไม่อาจต้านทานได้จริง ๆ


“ให้อาตมาไปด้วยได้หรือไม่”


เขาถาม อยากตามพวกเขาไปด้วย


อ้ายฉานส่ายหัว “เรื่องนี้เกรงว่าคงไม่ได้”


ท่านเซียนเอ่ยเพียงต้องการพบต้าเต๋อ มิได้บอกว่าต้องการพบผู้อื่น นางมิกล้าสุ่มสี่สุ่มห้าพาพระอาจารย์เกาเซิงไปด้วย


“ไปเถิด ไปเถิด!”


ต้าเต๋อเร่งเร้า ไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแม้แต่น้อย


เขาไม่สนว่าอ้ายฉานมาหาเขาเพื่อการใด อย่างไรเขาก็ไม่เต็มใจอยู่ที่นี่ต่อ


อ้ายฉานพาต้าเต๋อออกจากที่นี่


ทว่าเมื่อเดินทางจนใกล้ถึงวังที่พักของท่านเซียนแล้ว นางหยุดชะงัก ลากต้าเต๋อเข้าไปในวังแห่งหนึ่ง


ที่นี่คือวังที่นางพำนัก ด้านนอกมีผู้อาวุโสยอดฝีมือจากตระกูลซางคอยเฝ้ายาม


“เจ้าคงมิได้หมายตาเรือนร่างอันหล่อเหลาของข้า อยากขืนใจข้ากระมัง!”


ต้าเต๋อทำทีเอามือทาบอก ท่าทางตื่นตระหนก ดวงหน้าเล็ก ๆ ซีดเผือด ถอยกรูดไปอยู่ในมุม


อ้ายฉานหน้าบอกบุญไม่รับ


เณรน้อยผู้นี้ไฉนถึงต่ำช้าเยี่ยงนี้!?


“พวกเรายังเด็กกันขนาดนี้ เอาเป็นว่า…รอให้พวกเราทั้งคู่โตกันก่อนแล้วค่อยว่ากันดีหรือไม่ วางใจเถิด ข้ารักษาสัจจะ ครั้งแรกของข้าจักเก็บไว้ให้เจ้า!”


ต้าเต๋อเอ่ยด้วยท่าทีน่าสงสารประดุจภรรยาแสนเชื่อง


เสียงดังเพียะ อ้ายฉานทนไม่ไหวอีกต่อไป ตบหัวโล้น ๆ ของต้าเต๋อไปเต็มฝ่ามือ


ในหัวของเณรน้อยผู้นี้บรรจุสิ่งใดไว้บ้าง!?


“เฮ้อ ในเมื่อข้าไม่อาจขัดขืน ข้าคงได้แต่ยอมรับอย่างผู้ถูกกระทำ…มาเถิด ข้าไม่ขัดขืนแล้ว เจ้าต้องการปู้ยี่ปู้ยำข้าเพียงใดก็เชิญได้เลย!”


ต้าเต๋อคลายสองแขนที่กอดอกไว้ พร้อมเอ่ยเสียงดัง

บทที่ 299

“ปู้ยี่ปู้ยำบ้านเจ้าน่ะสิ!”


อ้ายฉานไร้คำพูดจะเอื้อนเอ่ย เณรน้อยผู้นี้จะต่ำช้าเกิดไปแล้ว!


หากไม่ใช่ว่าท่านเซียนอยากเจอเณรน้อยรูปนี้ นางก็ไม่อยากจะอยู่กับเขาแม้แต่ลมหายใจเดียว!


“เจ้า...หมายความว่าอย่างไร ไม่ใช่ว่าเห็นข้าหล่อเหลาหรอกหรือ? แล้วเจ้าลากข้าเข้ามาในวังนี้ทำไม!”


“รักษาหน้าเจ้าไว้บ้างเถอะ!”


อ้ายฉานไม่อยากยุ่งกับเณรน้อยผู้นี้มากเท่าใดนัก นางเพียงกล่าวว่า “คุณชายอยากเจอเจ้า ข้าพาเจ้ามาพบคุณชายต่างหาก”


เณรน้อยขมวดคิ้วพลางถาม “คุณชาย...คุณชายอะไร?”


“ฐานะของคุณชาย ข้าคงบอกเจ้ามากกว่านี้ไม่ได้ หลังพบคุณชายเจ้าจะเข้าใจทุกอย่างเอง”


อ้ายฉานมองเณรน้อย แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “สิ่งที่ข้าอยากจะเตือนเจ้าก็คือ คุณชายกำลังท่องโลกมนุษย์ในฐานะปุถุชน จงอย่าละเมิดข้อห้ามนี้เด็ดขาด ที่สำคัญต่อหน้าคุณชายอย่าได้ไม่เจียมตน ไม่เช่นนั้นต่อให้เจ้ามีหลายชีวิตก็ไม่พอให้ชดใช้!”


นางลากเณรน้อยเข้าไปในวังที่นางพำนักอยู่ เพื่อบอกเรื่องนี้กับเณรน้อย กลัวว่าเณรน้อยจะทำคุณชายโมโห ส่วนเรื่องความเป็นหรือความตายของเณรน้อย นางไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด


ที่นางใส่ใจคือคุณชาย!


นางไม่อยากให้คุณชายโมโห เพราะเขาปฏิบัติต่อนางอย่างดี


“กำลังท่องโลกมนุษย์ในฐานะปุถุชน...”


เณรน้อยนึกถึงหลี่จิ่วเต้าทันที


พวกอ้ายฉานมีปุถุชนสองคน คนหนึ่งคือหลี่จิ่วเต้า ส่วนอีกคนคือหลิงอิน


หลิงอินเป็นผู้หญิงย่อมไม่มีทางเป็นคุณชาย คุณชายผู้นี้ย่อมเป็นหลี่จิ่วเต้าอย่างไม่ต้องสงสัย


หากเป็นเช่นนี้...ที่พวกเขาคาดเดาก่อนหน้านี้ ล้วนผิดทั้งหมดน่ะสิ!


หลี่จิ่วเต้าอาจเป็นหนึ่งในสมาชิกของยอดนิกาย ไม่ใช่ปุถุชนธรรมดาอย่างที่พวกเขาคาดเดาเอาไว้


‘หวนคืนสู่เป็นความจริง คือแก่นแท้ของการฝึกตนหวนคืนชาติกำเนิดดังเดิมใช่หรือไม่? พระพุทธเจ้าก็ทรงจุติเป็นปุถุชน เดินทางผ่านท่ามกลางธุลีแดงเป็นเวลานาน…’


เขารำพึงอยู่ในใจ นึกถึงพระพุทธเจ้าของศาสนาพุทธของพวกเขา พระอมิตาภพุทธเจ้า


ในคัมภีร์สำนักพระพุทธศาสนาของพวกเขา พระพุทธเจ้าเคยจุติเป็นปุถุชนก่อนจะบรรลุพุทธะ


ดูเหมือนว่าหลี่จิ่วเต้าก็เป็นเช่นนี้เดียวกัน...


“เข้าใจหรือไม่!”


เมื่อเห็นว่าเณรน้อยเงียบไป อ้ายฉานจึงถามเสียงดัง


“เข้าใจแล้ว! วางใจเถอะ ข้าไม่ล้อเล่นกับชีวิตตัวเองหรอก!”


เณรน้อยหัวเราะ


เขาไม่ได้โง่สักหน่อย ในทางกลับกันเขาฉลาดมาก!


ถึงเรื่องไร้สาระในอดีตจะเป็นความจริง แต่เขาก็พอรู้จักประเมินสถานการณ์ หากมีเรื่องเกิดขึ้นเขาก็ไม่ใช่คนทำตัวไร้สาระ


“เข้าใจแล้ว” หลังจากได้ยินคำพูดยืนยันแล้ว อ้ายฉานก็พาเณรน้อยออกจากวังของตน และมาที่วังของท่านเซียน


“หอมจัง!”


เมื่อมาถึงลานวังของหลี่จิ่วเต้า เณรน้อยสูดลมหายใจเข้าอยู่หลายครั้ง เพราะได้กลิ่นของเนื้อหอมกว่าเดิม


หลี่จิ่วเต้าเห็นท่าทีของเณรน้อย ในใจก็คิดว่าเณรน้อยรูปนี้เป็นอย่างที่อ้ายฉานว่าไว้จริง ๆ ไม่ใช่สมณะศาสนาพุทธหัวโบราณที่เคร่งครัดปฏิบัติตามกฎระเบียบ


หากเป็นบรรดาสมณะศาสนาพุทธโบราณเคร่งครัดตามปฏิบัติกฎระเบียบ จะมาดมกลิ่นเนื้อเช่นนี้ได้อย่างไร? เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!


บรรดาสมณะศาสนาพุทธโบราณเคร่งครัดปฏิบัติตามกฎระเบียบ ต้องทนดมกลิ่นเนื้อเช่นนี้ไม่ได้เป็นแน่ อาจถึงขั้นนั่งเทศน์ให้ฟังอีกด้วย


ขณะเดียวกันนั้น พวกเซี่ยเหยียนก็มองเณรน้อยด้วยสายตาแปลก ๆ


เณรน้อยรูปนี้ต่างจากเณรที่พวกเขาเคยรู้จัก


เมื่อเห็นว่ามีคนกำลังมองมาที่ตน เณรน้อยก็ยิ้มเจ้าเล่ห์พลางกล่าวว่า “สวัสดีขอรับคุณชาย สวัสดีทุกท่านด้วย!”


เขากล่าวทักทายหลี่จิ่วเต้า พวกเซี่ยเหยียน ตามด้วยเด็กคนอื่นตามลำดับอย่างสุภาพ


เซียเหยียนแย้มยิ้ม เริ่มคิดว่าเณรน้อยรูปนี้ไม่ได้น่าชังอย่างที่อ้ายฉานว่าไว้


“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าชอบกินเนื้อกับดื่มสุราหรือ?”


หลี่จิ่วเต้าถามเณรน้อย


เณรน้อยยิ้มอย่างไร้เดียงสาพลางกล่าว “พระพุทธเจ้าตรัสว่า การฝึกตนคือการฝึกจิต ควรทำปฏิบัติด้วยใจ หากบังคับฝืนจิตใจตนเองก็นับได้ว่าการฝึกนั้นไร้ความหมาย กินเนื้อดื่มสุราเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ โยนมันทิ้งไป ถือว่าฝืนสันดานของมนุษย์จริง ๆ”


เขากล่าวได้อย่างชาญฉลาด ก่อนเขาจะเข้าใจนิสัยใจคอของหลี่จิ่วเต้า เขาก็แสดงท่าทางเรียบง่าย รู้จักทะนงตนเจียมเนื้อเจียมตัวไว้ก่อน


อ้ายฉานเห็นท่าทีเช่นนั้นแล้วในใจกลับรู้สึกดูแคลน


เณรน้อยรูปนี้ช่างเสแสร้งเก่งนัก!


ตอนอยู่ต่อหน้านางไม่ได้มีท่าทางเช่นนี้เสียหน่อย!


“ฮ่า ๆ กล่าวได้ดี แม้ว่าข้าจะเป็นเพียงปุถุชน ไม่เคยฝึกตนมาก่อน แต่ข้าก็ถูกใจคำพูดของเจ้าเช่นกัน”


หลี่จิ่วเต้าแย้มยิ้ม นิสัยใจคอเณรน้อยรูปนี้น่าจะเข้ากับเขาได้


เป็นเพียงปุถุชน?


อย่างที่อ้ายฉานบอกเลย


เณรน้อยครุ่นคิดกับตัวเอง


“ไม่ใช่สิ่งข้ากล่าว แต่เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้ากล่าวเอาไว้ พระพุทธเจ้าถือเป็นผู้รู้แจ้ง ดังนั้นพระองค์ย่อมไม่น่าผิดพลาดได้ น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ในสำนักพุทธตีความหมายของพระพุทธเจ้าผิด ผูกมัดตนเองมากเกินไป”


เณรน้อยกล่าวอย่างถ่อมตน


เขาส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “หากข้าเป็นผู้นำของพุทธศาสนาในอนาคต ข้าจะช่วยให้สมณะพุทธหลุดพ้นจากพันธนาการเหล่านี้อย่างแน่นอน การปฏิบัติธรรมอันบริสุทธิ์นั้นดีที่สุด การผูกมัดมากเกินไปรังแต่จะกลายเป็นเครื่องพันธนาการตนเอง”


เด็กน้อยเช่นนี้ถึงกับมีความสามารถเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง


หลี่จิ่วเต้ารู้สึกชื่นชมจากใจจริง ผู้อยู่ในวิถีการฝึกนั้นแตกต่างจากคนทั่วไปจริง ๆ พวกเขามีความคิดเป็นผู้ใหญ่มากกว่าคนในวัยเดียวกัน


“เจ้ามีคุณสมบัติและมีศักยภาพ ข้าคิดว่าเจ้าสามารถเป็นผู้นำของพุทธศาสนาได้แน่นอน ลองคิดดูสิหากในอนาคตเจ้าเป็นผู้นำของพุทธศาสนา ศาสนาพุทธคงจะน่าสนใจขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว”


หลี่จิ่วเต้าหัวเราะ


“ขอบคุณสำหรับคำอวยพร คุณชาย”


เณรน้อยตอบกลับ


“ฮ่า ๆ เนื้อตุ๋นใกล้จะเสร็จแล้ว มากินเนื้อกับดื่มสุรากันเถอะ”


หลี่จิ่วเต้าเชิญเณรน้อยนั่ง พวกเขาจัดโต๊ะและเก้าอี้ในลานวังแล้ว


เณรน้อยนั่งลงอย่างสุภาพ ขณะที่เซี่ยเหยียนกับอันหลานเสวี่ยตักเนื้อออกจากหม้อใส่จานนำมาให้ที่โต๊ะ


หลี่จิ่วเต้าเทสุราหนึ่งจอกให้เณรน้อยพลางกล่าวว่า “ลองชิมดู นี่คือสุราที่ข้าหมักเอง”


จากนั้นเขาก็กล่าวต่อ “จริงด้วย ค่อย ๆ ดื่มเล่า สุราของข้าเป็นสุราฤทธิ์แรง”


ฤทธิ์แรง?


ในใจเณรน้อยไม่ได้คิดเช่นนั้น


อย่าเห็นว่าเขาอายุน้อย แต่เขาดื่มมามาก ถึงกับเรียกตนเองว่าเป็นไหสุราใบน้อย!


มีผู้ฝึกตนนักบุญโบราณไม่น้อยในเขาหยงหมิงที่รักการดื่มสุรา เขาเคยดื่มกับผู้ฝึกตนนักบุญอยู่หลายคน ตอนนั้นผู้ฝึกตนหลายคนดื่มจนฟุบโต๊ะ


ในขณะที่เขายังไม่เมา เพราะวิญญาณของเขาแตกต่างจากคนทั่วไป ผู้ฝึกตนนักบุญโบราณตื่นขึ้นมาถึงกับตกใจ เพราะคาดไม่ถึงว่าวิญญาณของเขาจะน่าทึ่งถึงเพียงนี้


เพียงแต่ถึงเขาจะไม่เห็นด้วย ทว่าเขาก็ไม่กล้าทะนงตนเกินไป


อีกอย่างเขายังไม่แน่ใจเกี่ยวกับตัวตนของหลี่จิ่วเต้าด้วย


ซ้ำแล้วที่แห่งนี้ยังมีเซี่ยเหยียนอยู่ด้วย เขาไม่กล้าไม่เจียมตนแน่นอน!


ต้าเต๋อจิบสุราหนึ่งอึกเพื่อแสดงความเคารพต่อหลี่จิ่วเต้า


แต่หลังจากสุราเข้าปาก ร่างกายของเขาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ เขาเมาแล้วจริง ๆ!


ต้าเต๋อถึงกับตกใจจนชะงักไป


นี่มันสุราอะไรกัน!?


ออกฤทธิ์น่ากลัวถึงเพียงนี้ได้อย่างไร!


แม้ว่าเขาจะเมาเล็กน้อย แต่เขาดื่มไปได้นิดเดียว แค่สองหรือสามหยดเท่านั้นเองนะ!


ถ้าคุณชายไม่เตือนเขา เขาคงดื่มสุราจอกนี้ในอึกเดียว แล้วหลังจากนั้นเขาจะต้องเมาทันที ฟุบลงกับโต๊ะอย่างแน่นอน!


อีกสิ่งที่ทำให้เขาเหลือเชื่อยิ่งกว่าคือ เพียงสุราสองหรือสามหยดเท่านั้นกลับมีพลังมหาศาลเหนือจินตนาการ!


นี่... นี่เป็นสุราเซียนหรือ!?


ภายในใจของเณรน้อยตกตะลึงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน!

บทที่ 300

นี่มันบ้าไปแล้ว!


เณรน้อยตกตะลึงสุดจะพรรณนา


เขาเป็นสมณะพุทธกลับชาติมาเกิด อยู่ในพุทธศาสนาแล้วจะได้ปรนนิบัติดูแลเป็นอย่างดี


ตอนเขาก้าวเข้าสู่เส้นทางฝึกตนครั้งแรก ในพิธีบรรพชาเขาได้รับโอสถจักรพรรดิ พวกเขาชาวพุทธศาสนามีใบไม้ที่เป็นโอสถจักรพรรดิสืบทอดกันมาไม่กี่ใบ


ถึงแม้ใบไม้ที่ได้รับจากจากพิธีบรรพชาจะมีขนาดเล็กเท่าเมล็ดงา แต่ถึงอย่างไรใบไม้นี้ก็เป็นโอสถจักรพรรดิ ซึ่งมีคลื่นจังหวะจักรพรรดิไหลเวียนอยู่


ในครานั้นเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้มากมาย ทะลวงฝ่าด่านได้อย่างรวดเร็วจวบจนถึงทุกวันนี้เขายังไม่ลืมความรู้สึกนั้นเลย


แต่เทียบกับสุราที่เขากำลังดื่มอยู่ ใบไม้ของโอสจักรพรรดินั้นด้อยกว่าอย่างสิ้นเชิงไม่อาจเทียบเคียงได้!


พลังมหาศาลอันหนาแน่นในสุราเหนือกว่าใบไม้โอสถจักรพรรดิหลายเท่า มากมายมหาศาลนัก!


สุราเซียน!


ความคิดแรกของเขาคือ สุราเซียน!


เมื่อครู่หลี่จิ่วเต้าบอกว่าเขาทำสุราเอง...


เซียน!



เณรน้อยสูดลมหายใจเข้าลึก หัวใจของเขาเต้นระส่ำ นอกจากเซียนแล้ว ผู้ใดจะหมักสุราเซียนออกมาได้อีก!?


แท้จริงแล้วเป็นเซียน!


ก่อนหน้านี้เขาคาดเดาไว้หลายอย่าง คิดว่าหลี่จิ่วเต้าอาจเป็นจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ท่านหนึ่ง หรือแม้แต่อาจเป็นผู้ฝึกตนสุดทรงพลังขั้นสูงสุด


ทว่าผู้ใดจะล่วงรู้...เขาประเมินทุกอย่างต่ำเกินไป นี่เป็นท่านเซียน!


‘ทุกคนคาดเดาผิดทั้งสิ้น ผู้อาวุโสเก้าของตระกูลซางหลอกพวกเขา!’


เขากล่าวในใจ


ทุกคนต่างเดาว่าเซี่ยเหยียนกับพวกอ้ายฉานอาจจะเกี่ยวข้องกับยอดนิกาย อีกทั้งเรื่องนี้ผู้อาวุโสเก้าของตระกูลซางเป็นผู้ยืนยันเอง


แต่ตอนนี้เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว


บนโลกใบนี้มียอดนิกายดำรงอยู่จริง ทว่าเซี่ยเหยียนกับพวกอ้ายฉานไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย


กลับกันเบื้องหลังเซี่ยเหยียนและพวกอ้ายฉานนั้นทรงพลังยิ่งกว่า เพราะเบื้องหลังพวกเขาเป็นถึงท่านเซียน!


“สุรารสชาติใช้ได้หรือไม่?”


หลี่จิ่วเต้าดื่มสุราไปจอกหนึ่ง ก็หันมายิ้มกว้างพลางถามเณรน้อย


“กลมกล่อมมากขอรับ ดีมาก!”


เณรน้อยกล่าวคำชมจากใจจริง


เขาขโมยไหสุราจากพระอากาศครรภโพธิสัตว์ เดิมทีคิดว่านั่นเป็นสุราที่ดีที่สุดในใต้หล้า แต่หลังจากดื่มสุราที่ท่านเซียนทำด้วยตนเอง สุรานั้นไม่นับว่าอะไรเลย!


สุราหมักโดยท่านเซียนนี่สิ ถึงเป็นสุราที่ดีที่สุดในใต้หล้า!


“มากินเนื้อกัน!”


หลี่จิ่วเต้ากล่าวอย่างสบายไม่ถือตัว


เขาเคยกินเข้าไปหนึ่งคำรสชาติดียิ่ง คุณภาพเนื้อของสัตว์อสูรดีอย่างไม่น่าเชื่อ!


สุดยอดเลย!


เณรน้อยตั้งใจรอกินเนื้ออยู่นาน พอได้ยินคำของท่านเซียนก็ตักเนื้อชิ้นคำโตเข้าปากทันที


เพียงกัดเนื้อเข้าไปหนึ่งคำ กลิ่นหอมก็คละคลุ้งอยู่ในปาก ความอร่อยแทรกซึมไปทั่วอณูของร่างกาย อร่อยจนเขาแทบเหาะขึ้นฟ้า!


นี่มัน...อร่อยเป็นบ้า!


เขาเคยโอ้อวดว่า ตนเองได้ลิ้มลองอาหารอันโอชะนับไม่ถ้วนทั่วทั้งภูเขาและทะเล ลิ้มรสอันโอชะมาทุกอย่างแล้ว


แต่เทียบกับเนื้อสัตว์ที่ท่านเซียนทำ อาหารที่เขากินก่อนหน้า รสชาติจะไปเทียบเคียงได้อย่างไร?


“ช่างร้ายกาจยิ่งนัก ท่านเซียนก็คือท่านเซียน!”


หลังจากกลืนเนื้อเข้าไปในท้อง ภายในใจเณรน้อยก็ตื่นตระหนก


ฝีมือของท่านเซียนช่างเหนือจินตนาการยิ่งนัก แม้แต่เนื้อตุ๋นยังแฝงพลังเอาไว้มากมาย!

เขารู้สึกว่าความแข็งแกร่งทางกายภาพของตนนั้นเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว!


เดิมทีเพียงแค่หลอมรวมกับใบไม้โอสถจักรพรรดิ กายเนื้อของเขาก็แข็งแกร่งเหนือผู้ฝึกตนคนอื่นแล้ว แม้แต่ทายาทสัตว์อสูรตระกูลใหญ่ก็ยังไม่อาจเทียบเขาได้


ทว่าแม้กายเนื้อของเณรน้อยจะแข็งแกร่งอยู่แล้ว แต่หลังจากกลืนเนื้อลงไปเขายังได้ประโยชน์มากมายจากมัน กายเนื้อของเขากำลังพัฒนา!


เนื้อตุ๋นชิ้นนี้ร้ายกาจยิ่งกว่าโอสถจักรพรรดิเสียอีก!


ผู้อาวุโสเก้าที่นั่งด้านข้างก็กินเนื้อกับดื่มสุราเช่นกัน


เขาคร่ำครวญอยู่ในใจ


ตื้นตันจนแทบร้องไห้อยู่รอมร่อ!


อันที่จริงเขาก็อายุมากแล้ว แม้ยังไม่สิ้นอายุขัย แต่ก็นับว่าจะเข้าวัยชราในไม่ช้า


ทว่าหลังจากดื่มสุรากับกินเนื้อเข้าไป เขาพลันรู้สึกว่าแหล่งพลังชีวิตในร่างกายกำลังทวีคูณมหาศาล แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าตอนเขาอยู่ในวัยกลางคน!


อีกทั้งอายุขัยของเขายังเพิ่มขึ้นมากด้วย!


‘ควันเขียวผุดจากหลุมฝังศพบรรพบุรุษ*[1] ควันเขียวผุดจากหลุมฝังศพบรรพบุรุษ!’


เขาร้องครวญอยู่ในใจ


ครั้งนี้นับเป็นโชคดีของเขาแล้ว!


ผู้อาวุโสเก้าสาบานอยู่ในใจอย่างหนักแน่นว่า จะปรนนิบัติดูแลท่านเซียนเป็นอย่างดี และจะไม่ปล่อยให้ท่านเซียนรู้สึกไม่พอใจเด็ดขาด!


“จิบคู่กับจอกนี้ช่างยอดเยี่ยมนัก”


หลี่จิ่วเต้าหัวเราะ กินดื่มจนพอใจ


ผู้อาวุโสเก้ากับซางเหิงยืนแทบไม่ไหว พวกเขาลุกขึ้นคารวะท่านเซียน ก่อนจะออกไป


ทั้งสองดื่มสุราคนละจอกเล็ก ๆ ก็เมามากแล้วจึงไม่กล้ารั้งอยู่ที่นี่ต่อ เมาแล้วก็กลัวว่าตนจะพูดจาผิดหู ฝ่าฝืนข้อห้ามของท่านเซียน


คล้อยหลังจากนั้นอันหลานเสวี่ย พวกอ้ายฉานก็ลุกขึ้นคารวะท่านเซียน


พวกเขาเองก็ดื่มไม่ไหว กินไม่ลงแล้วเช่นกัน


ทว่าเณรน้อยช่างร้ายกาจจริง ๆ ไม่เพียงเป็นพุทธบุตรกลับชาติมาเกิด เขายังสามารถดื่มสุราต่อได้ถึงห้าจอก และกินเนื้อต่อได้ถึงหกชิ้น


เพียงแต่หลังจากนั้นเขาก็ไม่ไหวแล้ว ดื่มสุราอีกจอกกับกินอีกเนื้อชิ้นหนึ่ง ก็ลุกขึ้นคารวะบอกลาท่านเซียน


“ไว้มีเวลาค่อยมาสังสรรค์กันใหม่ ข้าชอบเจ้ามาก"


หลี่จิ่วเต้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม


ตัวเขาเองยังไม่ได้เมาอะไรมาก แม้จะดื่มมากกว่าผู้อื่นแต่เขาเมาเพียงเล็กน้อย สติยังคงแจ่มแจ้งดี


“มา พวกเราดื่มต่อกันเถิด”


หลี่จิ่วเต้ายกจอกขึ้นด้วยรอยยิ้ม แล้วดื่มกับประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียน สือเฟิง หลิงอินและเซี่ยเหยียนต่อ


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกับคนอื่นดื่มสุราที่ท่านเซียนหมักเอง พวกเขาดื่มมาหลายครั้งแล้วจึงแข็งแกร่งกว่าเณรน้อย และสามารถดื่มได้อีก


แต่พวกเขาก็ยังห่างชั้นกับท่านเซียนมาก


ไม่นานหลังจากนั้น ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนสือเฟิงและเซี่ยเหยียนก็คารวะท่านเซียนขี้เมา ก่อนจะออกจากที่นี่ไป


เดิมทีประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกับสือเฟิงไม่ได้พักอยู่บนยอดเขา


แต่หลังจากผู้อาวุโสเก้ารู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประมุขศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียน สือเฟิงกับท่านเซียน เขาจึงขอให้ผู้อาวุโสท่านอื่น จัดหาที่พักอื่นบนยอดเขาให้ประมุขศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกับสือเฟิง


หลังจากทั้งสองออกมา ผู้อาวุโสของตระกูลซางก็เข้าไปเชิญพวกเขา พาประมุขศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกับสือเฟิงไปวังที่พวกเขาเตรียมไว้


สุดท้ายแล้วก็เหลือเพียงหลิงอินเท่านั้นที่ยังอยู่ด้านใน


“ฮ่า ๆ ไม่มีใครดื่มไหวเลยสินะ สุดท้ายก็เหลือแค่สองคน”


หลี่จิ่วเต้าแย้มยิ้มพลางกล่าวกับหลิงอิน


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาดื่มกับหลิงอิน แม้หลิงอินจะอ่อนแอ แต่กลับสามารถดื่มได้มากกว่าคนอื่น ดื่มไปดื่มมาสุดท้ายก็เหลือเพียงพวกเขาสองคน


“คุณชายชอบดื่ม ข้าก็เต็มใจดื่มกับคุณชาย”


ดวงหน้างดงามของหลิงอินแดงก่ำ ทำให้นางดูเย้ายวนกว่าปกติ


ในฐานะจ้าวสูงสุดแห่งโบราณกาล นางนำหน้าผู้อื่นก้าวใหญ่ พอต่อมาได้เริ่มฝึกตน ขอบเขตบำเพ็ญของนางยิ่งก้าวหน้ามากขึ้น


ตอนนี้นางยังสามารถดื่มได้อีก!


“วันนี้ข้ามีความสุขยิ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ามาภาคกลาง มาดื่มกันต่อเถอะ ดื่มให้สาแก่ใจไปเลย ไม่เมาไม่กลับ!”


หลี่จิ่วเต้าหัวเราะ แล้วเริ่มดื่มกับหลิงอินต่อ


เขามีความสุขจริง ๆ ตั้งแต่อาศัยอยู่ในเมืองชิงซาน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกมาข้างนอก


“ดี!”


ทั้งสองคนยังคงดื่มต่อไป


สุดท้ายก็ดื่มจนหลี่จิ่วเต้าเมา


เขากล่าวว่า “วันนี้ดื่มสนุกมาก พอแค่นี้แล้วกัน สีท้องนภาตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว”


“ได้!”


หลิงอินยืนขึ้นอย่างโซเซ เห็นได้ชัดว่าเมาแล้ว สติของนางพร่ามัวเล็กน้อย


นางยกขาขึ้นกำลังก้าวออกไป แต่ทว่ากลับก้าวพลาดเซล้มไปทางหลี่จิ่วเต้า


“!!!”


แมวน้อยสีขาวลั่วสุ่ยเห็นฉากนี้ ก็คำรามเสียงดังในใจพลางรีบวิ่งไปทันที ‘รีบออกมาจากตัวท่านเซียนเดี๋ยวนี้นะ!’


ไม่ใช่ว่านางแสร้งเมาแล้วคิดทำเรื่องไม่ดีกับท่านเซียนหรอกนะ!?


ยามหยกเนื้ออ่อนอยู่ในอ้อมแขน ได้สูดกลิ่นหอมบริสุทธิ์บนร่างของหลิงอิน ดวงตาของหลี่จิ่วเต้าก็คล้ายจะพร่ามัวไป


ช่างหอมยิ่งนัก…



[1] 祖坟冒青烟 เป็นคำเปรียบเปรย หมายความว่า ‘ควันเขียวผุดจากหลุมฝังศพบรรพบุรุษ’ มีที่มาจากผู้นับถือลัทธิเต๋ามีความเชื่อว่าคนตายแล้วจะกลายเป็นเซียน ร่างกายจะสลายเป็นเหมือนควันจาง ๆ ดังนั้นการที่มีควันลอยออกมาจากหลุมศพบรรพบุรุษจึงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี เพราะบรรพบุรุษกลายเป็นเซียนและจะ คุ้มครองลูกหลาน รวมถึงบันดาลโชคลาภ เลยถูกนำมาเปรียบเปรยว่า เกิดเรื่องที่น่ายินดีมาก แต่ก็สามารถนำมาใช้ในการเสียดสีหรือด่าทอได้