291-295

บทที่ 291

“อมิ…ตาภพุทธ!”


พระอาจารย์เกาเซิงจากพุทธศาสนาตาเบิกกว้าง หน้าตาเปี่ยมไปด้วยความเหลือเชื่อเช่นกัน


หัวใจธรรมมะของเขาหนักแน่นดุจหินผา ปราศจากความปรวนแปรของอารมณ์ กระนั้นวินาทีที่ได้เห็นศรของเซี่ยเหยียนตรึงบิดาฉงคูไว้บนยอดเขา เขาก็ไม่อาจสงบใจได้ไหว อารมณ์พลุ่งพล่านอย่างมาก ตะลึงงันอย่างอธิบายไม่ถูก!


ศรที่ขอบเขตเทวายิงออกไป แม้แต่อสูรร้ายราชันศักดิ์สิทธิ์ผู้น่าพรั่นพรึงอย่างบิดาฉงคูยังไม่อาจต้านทาน น่ากลัวเกินไปแล้ว!


เขาจ้องคันศรในมือเซี่ยเหยียน สะท้านใจเป็นหนักหนา


นี่ต้องเป็นคันศรเช่นไรกัน?


เขาไม่เคยเห็นศัสตราน่าหวาดหวั่นเยี่ยงนี้มาก่อน!


พุทธศาสนาของเขามีการสืบสานมาไม่รู้นานเท่าใด ทั้งเก่าแก่และทรงพลัง ไม่ว่าในยุคสมัยใด พุทธศาสนาของพวกเขาก็ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก


ทว่าพุทธศาสนาดำรงอยู่มาระดับนี้ ยังไม่เคยมีศัสตราน่าประหวั่นพรั่นพรึงปานนี้ปรากฏ อาวุธอรหันต์อันทรงพลังที่สุดของพุทธศาสนา หลอมสร้างโดยพระอมิตาภะพุทธเจ้าด้วยตนเอง แข็งแกร่งกว่าอาวุธมหาจักรพรรดิทั่วไปมากนัก ทว่าก็ยังไม่อาจเทียบเทียมคันศรในมือเซี่ยเหยียนได้เลย!


จังหวะแห่งเต๋าที่ไหลเวียนอยู่บนคันศรสูงส่งเกินไป ไม่รู้ว่าเหนือกว่าจังหวะแห่งเต๋าขอบเขตมหาจักรพรรดิไปตั้งเท่าไร สูงส่งเสียจนรู้สึกสิ้นหวัง ไม่มีความหวังว่าสามารถไล่ตามทันได้เลยสักนิด!


“ต้องเป็นยอดนิกายระดับไหน ในช่วงเวลาเก่าแก่ก่อนกาล อาณาจักรแห่งนี้ต้องน่ากลัวปานใด!?”


สีหน้าพระอาจารย์เกาเซิงคร่ำเครียดเหลือแสน ทึกทักว่าคันศรวิเศษเล่มนี้เป็นของขวัญจากยอดนิกายให้เซี่ยเหยียน


“แข็งแกร่ง…ปานนี้เชียว!”


ร่างของแม่เฒ่าตระกูลหานสั่นระรัว ไม้เท้าหลีมู่แทบพยุงร่างอันสั่นเทาของนางไม่ไหว นางเองก็สะท้านเหลือแสน คิดไม่ถึงเลยว่าเซี่ยเหยียนจะมีฝีมือน่าประหวั่นพรั่นพรึงถึงเพียงนี้!


“อมิ…ต้าเต๋อฝอ ข้าพระพุทธไร้เกศา คนนี้แหยมด้วยไม่ไหว ต้องหนีไปให้ไกล!”


ต้าเต๋อหดหัว สายตาที่ทอดมองร่างของเซี่ยเหยียนเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น


เรื่องนี้มิใช่เล่น ๆ


อสูรร้ายระดับราชันศักดิ์สิทธิ์ยังต้านศรของเซี่ยเหยียนไม่ไหว เขามิบังอาจไปหาเรื่องเซี่ยเหยียน หากเซี่ยเหยียนยิงศรใส่เขาเช่นนี้ เขาคงรับไม่ไหว ได้มรณภาพ ตายลงอย่างสิ้นเชิง!


“ท่านภิกษุน้อยผู้นี้โมโหเหลือเกิน! เดิมข้าตั้งใจออกมาเฉิดฉาย เป็นที่นับถือเคารพของสิ่งมีชีวิตคณานับ กลายเป็นพระเอกของปฐพีนี้ สุดท้ายแต่ละคนที่ได้พบน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงกันทั้งนั้น!”


เขาถอนหายใจอย่างสลด ความฝันเป็นพระเอกของปฐพีนี้แตกสลาย


ก่อนนี้มีอ้ายฉาน ต่อมามีเซี่ยเหยียน…จะให้เขาเป็นพระเอกของปฐพีนี้ได้อย่างไร สองคนนี้ล้วนแข็งแกร่งกว่าเขา!


“ให้ตายสิ…น่ากลัวเกินไปแล้ว!”


หัวใจของฝู่ถูเต้น ‘โครมคราม’ รุนแรง ต่อให้เขาเป็นถึงนักบุญในยุคโบราณ ก็ไม่เคยพานพบสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน เขากลัวแทบบ้า!


นักบุญโบราณคนอื่น ๆ และนักบุญในยุคนี้ รวมถึงยอดฝีมือจากตระกูลโบราณ และสำนักโบราณอื่น ๆ ต่างประหวั่นพรั่นพรึง จิตใจว้าวุ่นเหลือแสน


นี่มันเรื่องอะไรกันนี่!


เด็กสาวขอบเขตเทวาน่ากลัวได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ???


อีกด้าน บิดาฉงคูหมดอาลัยตายอยาก ระทมใจเหลือคณา


มันผ่านสงครามใหญ่ยุคโบราณมาเช่นกัน ทว่าแม้แต่ในสงครามใหญ่ครานั้น มันยังมิเคยอยู่ในสภาพน่าเวทนาเพียงนี้ มาถึงก็โดนตรึงอยู่กับยอดเขา!


อย่าให้มันพูดเลยว่าสภาพจิตใจย่ำแย่ปานใด!


มันอยากหนีไป ไม่อยากต่อสู้อีกแล้ว


ขนาดนี้จะให้สู้ได้อย่างไร


เซี่ยเหยียนผู้มีคันศรวิเศษในมือมิใช่ผู้ที่มันจะต่อกรด้วยได้!


ด้วยขอบเขตพลังของมัน หากจะหนีมันย่อมทำได้ แม้ต้องจ่ายด้วยราคาแพงก็ตาม กระนั้นก็ยังพอหนีไปได้


ทว่า…หากมันหนีไปแล้วฉงคูบุตรชายของมันจะทำเยี่ยงไร


เซี่ยเหยียนจะยอมปล่อยบุตรชายของมันไปหรือ


มันเป็นห่วงฉงคู บุตรชายของมัน!


“นี่มัน…นี่มัน…นี่มัน!”


ฉงคูกลัวจนตัวอ่อนยวบกับพื้น สั่นระรัวไปทั้งตัว


ท่านพ่อของมันมาแล้ว เดิมมันคิดว่าบิดาสามารถกำราบได้ทั่วสารทิศ ไม่มีผู้ใดหยุดยั้ง ล้างแค้นให้น้องชายของมันได้อย่างง่ายดาย


ทว่าผลสุดท้ายกลับไม่เหมือนกับที่เขาคิดไว้สักนิด!


ตอนนี้อย่าว่าแต่ล้างแค้นแทนน้องชายของมันเลย ชีวิตของท่านพ่อยังอาจต้องจบสิ้นลงตรงนี้!


เสียงดัง ‘ฟิ้ว’ มันแหวกมิติหนีไป ไม่กล้าอยู่ที่นี่ต่อแม้แต่เสี้ยวลมหายใจเดียว


ส่วนท่านพ่อของมัน…เฮ้อ ตามแต่สวรรค์ลิขิตเถิด!


โบราณว่าไว้มิใช่หรือ ยามคราวเคราะห์มาเยือนต่างคนต่างไป ถึงอย่างไรมันอยู่ที่นี่ต่อก็เปล่าประโยชน์ ช่วยท่านพ่อไม่ได้ มิสู้ให้มันหนี!


หากไม่หนี มันเองก็คงถึงฆาตไปด้วย!


หากท่านพ่อของมันรอดมาได้ คงไม่ตำหนิมันหรอกกระมัง ถึงอย่างไรตายคนเดียวดีกว่าตายทั้งหมด


“นี่ยังใช่ลูกในไส้อยู่หรือ???”


“พ่อแท้ ๆ ยังไม่สนเลยหรือ”


สิ่งมีชีวิตทั้งหมดตาโต ไม่มีผู้ใดคาดถึงว่าฉงคูจะแหวกมิติหนี


อกตัญญูเกินไปแล้ว…ทิ้งบิดาของตนไว้โดยไม่เหลียวแล หนีไปคนเดียวเนี่ยนะ!


“ไอ้&%#...!”


บิดาฉงคูซึ่งถูกตรึงอยู่บนยอดเขาสบถก่นด่า หน้าเขียวไปหมด!


ช่างเป็นอภิชาตบุตรจริง ๆ นี่มันกระไร มันอุตส่าห์คำนึงถึงฉงคู สุดท้ายฉงคูกลับหนีไปเองหรือ!


ไอ้ระยำ!


เหตุใดมันถึงมีลูกไร้สามัญสำนึกเยี่ยงนี้!


ไอ้ตัวถ่วงพ่อ!


พาบิดาของตนมาเสียท่า ตัวเองกลับหนีไปเสียอย่างนั้น!


หากรู้อย่างนี้แต่แรก เมื่อครั้งให้กำเนิดฉงคูมันน่าจะบีบคอไอ้กตัญญูนี่ให้ตาย!


“หืม!?”


ทั้งหมดเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที เซี่ยเหยียนเองก็ตั้งตัวไม่ทัน


เมื่อนางได้สติอีกครั้ง ฉงคูก็ไม่เหลือแม้เงา


นางหมดคำพูดอย่างสิ้นเชิง ยังไม่ทันเกิดสิ่งใดขึ้น ฉงคูก็ทิ้งบิดาของตนแล้วหนีไปเองหรือ???


เด็ดขาดอำมหิตใช้ได้!


ที่สำคัญคือนางมิได้ระแวงด้านฉงคู แต่พุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่บิดาฉงคู เพราะหากนางระแวดระวังในตัวฉงคูบ้าง ฉงคูย่อมไม่มีทางหนีไปได้


เสียงดัง ‘ฟิ้ว’ นางลากคันยิงศรไปหาบิดาฉงคูอีกครั้ง!


ศรอาบแสงทะลวงอากาศ รวดเร็วเหนือจินตนาการ ทิ่มตรงไปยังหน้าผากของบิดาฉงคู!


เผ่านี้ไม่มีผู้ใดดีสักตน


น้องชายฉงคูที่ได้พบก่อนหน้าก็ใช้ผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์เป็นทาส ซ้ำยังทำท่าจะเข้ามาฆ่าพวกตนแล้วเอาเนื้อไปกิน ดุร้ายอันธพาลสิ้นดี


ภายหลัง บิดาฉงคูโหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งกว่านั้นเสียอีก


ยามมันมาถึงเขาหยงหมิง จงใจปลดปล่อยคลื่นพลังปราณอันสยดสยอง ไม่เห็นชีวิตผู้ฝึกตนคนอื่นอยู่ในสายตา ไม่รู้ว่าผู้ฝึกตนและสิ่งมีชีวิตเท่าใดต้องตายด้วยคลื่นพลังปราณสยดสยองที่บิดาฉงคูจงใจปลดปล่อยออกมา


ส่วนฉงคูนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึง


ทิ้งได้แม้กระทั่งบิดาบังเกิดเกล้า ต้องใจคอโหดเหี้ยมแน่นอน!


เพราะอย่างนั้น นางถึงไม่คิดไว้ชีวิตบิดาฉงคู นางต้องการปลิดชีพบิดาฉงคู ณ ที่นี่!


เก็บเผ่านี้ไว้รังแต่จะเป็นภัย!


ต่อให้ฉงคูหนีไปก็ไร้ประโยชน์ นางไม่มีทางปล่อยฉงคู นางต้องตามล่าฉงคูอีกครั้งเพื่อจบชีวิตของมัน!


เซี่ยเหยียนยิงศรออกไปอีกครั้ง สิ่งมีชีวิตในเขาหยงหมิงทั้งหมดหายใจหอบถี่ขึ้นมา


อสูรร้ายราชันศักดิ์สิทธิ์ต้องชีวาวายอยู่ที่นี่หรือ…?

บทที่ 292

ศรอาบแสงถูกยิงออกไปในทันที แต่ทว่าบิดาของฉงคูเองก็ไม่ใช่ชนชั้นสามัญ


มันมีส่วนร่วมในมหาสงครามครั้งโบราณกาล ทั้งยังรอดมาได้ เพียงพอต่อการพิสูจน์แล้วว่าความสามารถของมันเก่งกาจไม่ธรรมดา


พึงรู้ไว้ ว่ามหาสงครามในครั้งนั้นน่ากลัวอย่างถึงที่สุด ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถอยู่รอดมาได้


“ลี้วิญญาณ!”


มันตอบสนองอย่างรวดเร็ว ใช้เคล็ดวิชาละทิ้งกายหยาบ นำวิญญาณหลบหนีออกไป


มันไม่สามารถรักษากายหยาบนี้เอาไว้ได้อย่างแน่นอน


ศรอาบแสงราวกับตะปู ตรอกตรึงกายเนื้อของมันเอาไว้อย่างสมบูรณ์โดยไม่สามารถกำจัดออกได้


พริบตาต่อมา ศรอาบแสงอีกดอกก็ปักใส่หน้าผากบิดาของฉงคู ทว่าน่าเสียดายที่วิญญาณของมันหนีไปด้วยเคล็ดวิชาแล้ว


“ถึงขีดจำกัดที่ขอบเขตข้าจะทำได้แล้ว...”


เซี่ยเหยียนถอนหายใจภายในใจ นางย่อมเห็นวิญญาณบิดาของฉงคูหลบหนีไปด้วยเคล็ดวิชา


แม้นางจะสามารถใช้คันศรราชันระเบิดพลังอันแข็งแกร่งและน่าสะพรึงกลัวออกมาได้ แต่ขอบเขตของนางยังคงต่ำกว่าบิดาของฉงคู สิ่งที่นางทำได้จึงมีเพียงเท่านี้...


นางไม่สามารถทำอะไรบิดาของฉงคูที่ใช้เคล็ดวิชาลี้วิญญาณได้


เรื่องที่เกิดขึ้นจึงจบลงโดยที่วิญญาณบิดาของฉงคูหนีไปได้


ความรู้สึกภายในใจของเหล่าคนที่เห็นเหตุการณ์ซับซ้อนยากจะบรรยายออกมาได้ ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าผลลัพธ์ในตอนสุดท้ายจะออกมาเป็นเช่นนี้!


บิดาของฉงคูสำแดงพลังกดข่มเหล่าผู้คนในยามที่มาถึง กลับต้องทิ้งกายหยาบแล้วหลบหนีไปในตอนสุดท้าย ผลสรุปเช่นนี้อยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของพวกเขา


พวกเขามองไปทางเซี่ยเหยียนด้วยความยำเกรงและหวาดกลัว เซี่ยเหยียนเป็นตัวตนที่พวกเขาไม่สามารถล่วงเกินได้อย่างไม่ต้องสงสัย!


“เซี่ยเหยียนอยู่ข้างกายท่านเซียนเป็นเวลานาน เรื่องเช่นนี้ย่อมไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด!”


ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนมองไปทางเซี่ยเหยียนแล้วรำพึงขึ้นมาในใจ


เมื่อบิดาของฉงคูต้องการจะเปิดฉากฆ่าในพระราชวัง เขาและสือเฟิงเตรียมพร้อมจะลงมือหยุดยั้ง


ท่านเซียนยังคงอยู่ในพระราชวัง พวกเขาจะปล่อยให้บิดาของฉงคูทำเช่นนั้นได้อย่างไร?


แม้พลังปราณของพ่อฉงคูจะน่าหวาดกลัวจนพระอาจารย์เกาเซิงและฝู่ถูนักบุญสมัยโบราณไม่สามารถต้านทานได้ แต่ไม่ใช่กับพวกเขาที่ผ่อนคลาย ไร้ซึ่งความกดดัน


บนร่างของพวกเขาล้วนมีของล้ำค่าที่ได้รับมาจากท่านเซียน อย่าพูดถึงบิดาของฉงคูเลย กระทั่งขอบเขตจักพรรดิยังไม่สามารถเอาชนะพวกเขาด้วยแรงกดดันได้เลย!


ทว่ายามที่พวกเขากำลังจะออกโรง ก็ถูกหยุดไว้โดยเซี่ยเหยียนที่ออกมาจากข้างในพระราชวัง ใช้ศรอาบแสงยิงใส่บิดาของฉงคูเสียแล้ว


ทางฝั่งพระราชวัง


หลี่จิ่วเต้าที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็เกิดความรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา เซี่ยเหยียนนั้นนับวันยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ


สัตว์ร้ายในครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่ามันน่ากลัวและทรงพลังยิ่งกว่าสัตว์ร้ายที่พวกเขาพบระหว่างทางมา


ทว่าต่อหน้าเซี่ยเหยียนแล้ว สัตว์หน้าตนนี้ช่างห่างไกลกับการเป็นคู่ต่อกรของนาง


“ยอดเยี่ยม!”


เขาปรบมือให้เซี่ยเหยียน ยิ่งเซี่ยเหยียนแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไหร่เขาก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น


ยิ่งเซี่ยเหยียนแข็งแกร่งขึ้นเท่าใด ชีวิตของเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น


“พวกเราเอามันมากินเถอะ”


เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม ภายในใจเต็มไปด้วยความเบิกบาน สัตว์ร้ายตัวนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เนื้อของมันก็น่าจะอร่อยเป็นพิเศษ


สัตว์อสูรที่พวกอ้ายฉานล่ามาครั้งที่แล้วนั้นอร่อยเป็นอย่างมาก คิดแล้วก็อยากกินอีกครั้ง


เมื่อได้ยินคำว่ากินจากปากของท่านเซียน หลิงอิน อันหลานเสวี่ย และพวกอ้ายฉานก็มองไปตรงไปด้วยดวงตาลุกวาวพร้อมความรู้สึกเฝ้ารอ


เซี่ยเหยียนเก็บร่างของพ่อฉงคูไป แล้วทะยานกลับไปยังพระราชวัง


“คุณชายต้องการจะกินมันเมื่อไหร่หรือ?”


เซี่ยเหยียนถามออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง


“วันพรุ่งนี้ละกัน”


หลี่จิ่วเต้าตอบกลับด้วยรอยยิ้ม เฝ้ารอคอยที่จะได้ทานมัน “พรุ่งนี้พวกเรามากินเนื้อตุ๋นกันเถอะ!”


“ตกลง!”


“เยี่ยมไปเลย!”


พวกอ้ายฉานรู้สึกตื่นเต้นจนพากันกระโดดโลดเต้นไปมา


...


“ข้าต้องขอตัวกลับไปพักผ่อน...”


กล่าวจบแล้ว แม่เฒ่าตระกูลหานก็พาคนในเผ่ากลับยังพื้นที่พักอาศัยของพวกเขา


ทว่าแม่เฒ่าตระกูลหานก็ไม่ได้พักผ่อนดังคำที่นางพูด


หลังจากกลับไปยังวังที่พักของเผ่าหานแล้ว นางก็หยิบจี้หยกโบราณออกมาด้วยสีหน้าจริงจังเป็นอย่างมาก ก่อนจะเพ่งจิตเข้าไปในหยกโบราณ


นี่เป็นสมบัติที่บรรพชนเผ่าหานหลอมขึ้นมา นางสามารถใช้มันเพื่อติดต่อกับผู้นำเผ่าหานได้


ด้านในจี้หยกโบราณเป็นพื้นที่พิเศษ ผ่านไปไม่นานพื้นที่ว่างเปล่าก็ปรากฏความผันผวน ตามมาด้วยหนึ่งร่างจิตสำนึกโผล่ขึ้นมา นั่นคือจิตสำนึกของผู้นำเผ่าหาน


“ท่านผู้นำ!”


แม่เฒ่าคำนับผู้นำเผ่าหานทำความความเคารพ


“จี้หยกโบราณสามารถใช้งานได้เพียงสามครั้ง การที่เจ้าติดต่อข้ามาในครั้งนี้ หรือว่าจะมีเรื่องใหญ่อันใดเกิดขึ้น?”


ผู้นำเผ่าหานขมวดคิ้วเล็กน้อย


“ใช่แล้วท่านผู้นำ มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น!”


สีหน้าของแม่เฒ่าจริงจังขณะกล่าวออกมา “มีคนจากยอดนิกายปรากฏตัวขึ้นมา!”


“อะไรนะ!”


ผู้นำเผ่าหานตัวสั่นด้วยความตกใจในสิ่งที่แม่เฒ่ากล่าวออกมา


นางรีบรายงานเรื่องราวทั้งหมดบนเขาหยงหมิงให้ผู้นำเผ่าหานฟัง


ระหว่างที่รับฟัง ผู้นำเผ่าหานก็แสดงสีหน้าตกใจอยู่ตลอด แม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่ายอดนิกายนั้นน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ทว่าสิ่งที่ผู้อาวุโสหญิงพูดก็ยังคงทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ


สาวน้อยขอบเขตเทวาผู้หนึ่ง กลับสามารถคุกคามอสูรระดับราชันได้!


“ท่านผู้นำ พวกเรายังจะต้องดำเนินการตามแผนเดิมอยู่หรือไม่?”


แม่เฒ่าเอ่ยถามผู้นำเผ่า


ผู้นำเผ่าหานเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามแม่เฒ่า “เจ้าคิดว่าจะสามารถขัดขวางสิ่งมีชีวิตจากโลกเทียนหยวนได้หรือไม่?”


แม่เฒ่าครุ่นคิดก่อนกล่าวออกมา “แทบจะเป็นไปไม่ได้...ถึงแม้ยอดนิกายจะแข็งแกร่งน่าตื่นตะลึง แต่สภาพแวดล้อมของโลกใบนี้แย่เกินไป กระทั่งยอดนิกายเองก็อาจจะไม่สามารถขัดขวางสิ่งมีชีวิตจากโลกเทียนหยวนเอาไว้ได้”


ผู้นำเผ่าหานพยักหน้า “เจ้าคิดเหมือนกับข้า”


เขายังคงกล่าวต่อไป “พลังฟ้าดินของโลกใบนี้แย่เกินไป เป็นการยากที่จะบรรลุขอบเขตระดับสูง ยอดนิกายในยามนี้ไม่อาจเปรียบเทียบได้กับในสมัยโบราณ มีโอกาสน้อยมากที่จะมีผู้บรรลุขอบเขตมหาจักรพรรดิ”


“แต่ถึงจะมีขอบเขตมหาจักรพรรดิอยู่จริง โอกาสที่จะชนะก็มีอยู่ต่ำเกินไป”


“อาณาจักรเทียนหยวนนั้นเป็นหนึ่งในอาณาจักรระดับกลาง พลังฟ้าดินมีมากกว่าดินแดนของพวกเรานัก หลังจากผ่านระยะเวลายาวนาน เมื่อพวกมันหวนกลับมาอีกครั้ง จะต้องมีพลังเหนือยิ่งกว่าสมัยโบราณอย่างแน่นอน...”


ประกายของเขาเรืองวาบ “ในครั้งนี้พวกเราไม่อาจยืนอยู่ข้างโลกของพวกเราได้ พวกเราจำต้องยืนอยู่ฝั่งเดียวกับอาณาจักรเทียนหยวน!”


“แน่นอนว่ายอดนิกายย่อมเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่สุดของอาณาจักรเทียนหยวน หากเราสามารถล่วงรู้สถานการณ์ของยอดนิกายและบอกมันกับอาณาจักรเทียนหยวนได้ จะต้องนับเป็นผลงานใหญ่แน่!”


ในชีวิตนี้เขาไม่ต้องการจะเป็นศัตรูกับอาณาจักรเทียนหยวน เนื่องจากเขามองไม่เห็นความหวังที่จะได้รับชัยชนะ เขาจึงเตรียมการไปพึ่งพิงอาณาจักรเทียนหยวน!


“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น จึงได้ติดต่อท่านผู้นำ!”


แม่เฒ่ากล่าว “บรรพชนของเผ่าฉงฉียังคงมีชีวิตอยู่ ท่านผู้นำสามารถไปพบบรรพชนเผ่าฉงฉีเพื่อหาแนวร่วมมาจัดการกับคนจากยอดนิกายบนเขาหยงหมิง จากนั้นก็เค้นข้อมูลออกจากปากคนเหล่านี้!”


นางกล่าวต่อ “เผ่าฉงฉีได้สร้างความบาดหมางกับคนจากยอดนิกายไปแล้ว พวกเขาไม่ควรจะปฏิเสธความร่วมมือกับพวกเรา”

บทที่ 293

ความวุ่นวายบนเขาหยงหมิงยังคงไม่สงบ ผู้ฝึกตนจำนวนมากยังไม่สามารถหลุดพ้นจากอาการสั่นสะท้านได้


“อมิตาภพุทธ”


สีหน้าของพระอาจารย์เกาเซิงนั้นจริงจังเป็นอย่างมาก เขาลากต้าเต๋อกลับไปยังวังที่พัก


กล่าวตักเตือนต้าเต๋ออย่างจริงจัง หากครั้งนี้เรื่องลุกลามขึ้นมาเกรงว่าแม้แต่พุทธศาสนาก็ไม่อาจปกป้องต้าเต๋อได้


“ท่านภิกษุน้อยผู้นี้ไม่ได้โง่นะ!”


ต้าเต๋อแตะจมูกของตน เป็นครั้งแรกที่เขาตอบรับอย่างว่านอนสอนง่าย


เขาไหนเลยจะกล้าก่อความวุ่นวายขึ้นอีก...


เซี่ยเหยียนผู้นั้นน่ากลัวเกินไป!


“ข้าจำเป็นต้องรายงานเรื่องนี้!”


พระอาจารย์เกาเซิงหยิบยันต์พุทธะโบราณออกมา ก่อนจะใส่ข่าวลงไปในยันต์


หลังจากนั้นเขาก็พึมพำบางอย่างภายในปาก ยันต์ก็พลันเปล่งแสงพุทธะออกมา ก่อนจะเผาไหม้ตนเองกลายเป็นเถ้าถ่านสลายหายไป


...


ดินแดนฝอ


ณ เขาหลิงซาน*[1]


ขุนเขากว้างใหญ่ราวไร้ที่สิ้นสุด หมู่เมฆาลอยอ้อยอิ่งบนยอดเขา นกมงคลบินผ่านเป็นครั้งคราว ประหนึ่งดินแดนสุขาวดีบนโลกา


วัดโบราณขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นบนเขาทอประกายแสงแห่งพุทธะลาง ๆ กล่าวได้ว่าต้นกำเนิดของศาสนาพุทธคือเขาหลิงซานแห่งนี้


คืนวันล่วงผ่าน แม้ขุนเขาและธารน้ำจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร เขาหลิงซานก็ยังคงไม่แปรเปลี่ยนไปตามกาล


บนยอดเขาหลิงซานมีพระพุทธรูปทองคำองค์หนึ่งตั้งตระหง่านทะลุเข้าไปในหมู่เมฆ ท่าทางของพระพุทธรูปที่นั่งขัดสมาธิบนแท่นปทุมนั้นสง่างามน่าเลื่อมใส ประหนึ่งดวงประทีปส่องไสวทั่วแดนฝอ


เช่นเดียวกับเขาหลิงซาน พระพุทธรูปทองคำองค์นี้ผ่านกาลเวลามายาวนานก็ยังคงตั้งตระหง่าน นี่คือพระพุทธรูปทองคำของพระอมิตาภพุทธเจ้า


“อมิตาภพุทธ มีคนจากยอดนิกายปรากฏตัวขึ้นหรือ?”


ในอุโบสถที่ใหญ่สุดบนเขาหลิงซาน ภิกษุชราที่ดูใจดีมีเมตตาผู้หนึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่บนอาสนะ ทันใดนั้นเองเขาก็พลันสัมผัสได้ถึงบางอย่าง จึงสิ้นสุดการเข้าฌาน แล้วลืมตาขึ้นมา


ยันต์พุทธะโบราณแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของเขาพร้อมข่าวสารจำนวนมากที่ถูกบรรจุเอาไว้ นี่คือยันต์ที่ถูกพระอาจารย์เกาเซิงส่งมาจากภูเขาหยงหมิง


“เหยียนโจวหรือ?”


เขาพูดกับตัวเองเสียงเบา รู้สึกว่ายอดนิกายที่ปรากฏขึ้นในเหยียนโจวไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นด้วยเหตุผลบางประการ


...


ภายในเขาหยงหมิง กลุ่มอำนาจต่าง ๆ ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณก็พากันทำการติดต่อกลับไปยังสังกัดตนเองเหมือนกับที่พระอาจารย์เกาเซิงทำ


พวกเขารายงานเรื่องของกลุ่มพวกเซี่ยเหยียนไปยังสังกัดของตน


นี่สะท้อนให้เห็นถึงขุมกำลังที่สืบทอดกันมา


โลกกว้างใหญ่ไพศาล แต่ละดินแดนห่างไกลจากกันเป็นอย่างมาก การรับส่งข้อมูลระหว่างสองสถานที่ย่อมไม่ใช่เรื่องสามัญทั่วไป


มีเพียงเผ่าหรือกลุ่มที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณเท่านั้นที่สามารถรับส่งข้อมูลเช่นนี้ได้ แสดงให้เห็นถึงขุมกำลังที่สืบทอดกันมาและเบื้องหลังที่ล้ำลึกจนไม่อาจจินตนาการได้


นอกจากพวกเขาแล้ว กลุ่มอำนาจอื่นก็ไม่อาจทำเช่นนี้ได้


ใช้เวลาเพียงไม่นาน สังกัดของพวกเขาก็ได้รับข้อมูลว่ามียอดนิกายปรากฏตัวขึ้นในเหยียนโจวของแดนหยิน


“ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่? ยอดนิกายปรากฏตัวขึ้นในเหยียนโจว อาจเป็นเพราะสถานที่แห่งนั้นมีความสำคัญบางอย่าง!”


“ไม่ว่าอย่างไร ที่เหยียนโจวก็ต้องมีอะไรไม่ธรรมดาแน่ กำหนดให้เหยียนโจวกลายเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดเสีย!”


กองกำลังทั้งหมดต่างออกคำสั่งให้สมาชิกสังกัดตนในแดนหยินมุ่งหน้าไปยังเหยียนโจว


โลกได้ส่งสัญญาณเตือนถึงภัยพิบัติที่กำลังจะมาถึงแล้ว เขตแดนอาณาจักรเริ่มจะคลาย สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนอาจมาเยือนยังโลกของพวกเขาอีกครั้ง


แต่ละเขตแดนอาณาจักรล้วนมีเจตจำนงฟ้าดินค่อยปกป้อง สกัดกั้นไม่ให้สิ่งมีชีวิตภายนอกโลกใบนี้เข้ามา


เจตจำนงฟ้าดินได้ส่งสัญญาณเตือน ว่ามีสิ่งมีชีวิตภายนอกต้องการทำลายเขตแดนอาณาจักรป้องกัน หมายจะล่วงล้ำเข้ามายังดินแดนแห่งนี้ เหล่าผู้แข็งแกร่งต่างสัมผัสได้ถึงสัญญาณแจ้งเตือนจากเจตจำนงฟ้าดิน


พวกเขาประกาศออกไปว่า ดินแดนหยินมีโชคลาภฟ้าประทานปรากฏขึ้น ทำให้สิ่งมีชีวิตจากทั่วทุกมุมโลกมารวมตัวกัน ทว่าความจริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้น


ตามสัญญาณเตือนจากเจตจำนงฟ้าดินที่พวกเขาสัมผัสได้ ดินแดนหยินคือสถานที่แห่งแรกที่สิ่งมีชีวิตจากภายนอกจะมาเยือน จึงถูกกำหนดให้กลายเป็นสมรภูมิรบ!


ดินแดนหยินจะกลายเป็นปากทางเข้าของสิ่งมีชีวิตจากภายนอก!


ดังนั้นการที่พวกเขาหลากหลายชาติพันธุ์มารวมตัวกัน ก็เพื่อต้องการเตรียมตัวล่วงหน้าสำหรับการต่อต้านสิ่งมีชีวิตตจากภายนอก


พวกเขาโกหกว่า ดินแดนหยินมีโชคลาภฟ้าประทาน เนื่องด้วยต้องการจะป้องกันไม่ให้ผู้คนในดินแดนแห่งนี้ตื่นตระหนกจนเกินไป


ศัตรูยังมาไม่ถึง แต่ภายในของพวกเขากลับวุ่นวาย เช่นนั้นแล้วจะเอาสิ่งใดไปสู้...


แต่แน่นอนว่า พวกเขาไม่อาจบอกความจริงเมื่อยามสงครามครั้งใหญ่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว


การบอกความจริงในยามนั้นคงจะสายเกินไปแล้ว


พวกเขาเริ่มเตรียมการเอาไว้แล้ว ประคับประคองต่อไปอีกสักนิด ค่อยดำเนินตามแผนการที่ตระเตรียมความพร้อมให้กับสิ่งมีชีวิตทั้งโลก


แต่ดินแดนหยินนั้นกว้างใหญ่เกินไป พวกเขาไม่รู้ว่าปากทางเข้านั้นอยู่ที่ใด ทว่าวันนี้กลับมีคนจากยอดนิกายปรากฏตัวขึ้นในเหยียนโจว ทำให้พวกเขาต่างพากันคาดเดาว่าบางทีทางเข้าอาจอยู่ในเหยียนโจว


ยอดนิกายนั้นแข็งแกร่งกว่าพวกเขาเป็นอย่างมาก บางทียอดนิกายอาจล่วงรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ในคำเตือนจากเจตจำนงฟ้าดินมากกว่าพวกเขา


ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เหยียนโจวกลายเป็นสถานที่ที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก กองกำลังใหญ่จากแดนฮวงและแดนฝอต่างพากันมุ่งหน้าไปยังเหยียนโจว


“เหตุใดจึงไปที่เหยียนโจว?”


“หรือเหยียนโจวจะมีโชควาสนาการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่?”


คนจำนวนมากจากแดนฮวงและแดนฝอพากันมุ่งหน้าไปยังเหยียนโจว ทำให้ผู้คนในแดนหยินที่ล่วงรู้ต่างพากันรู้สึกประหลาดใจ พากันแห่ตามไปยังเหยียนโจวทีละคน


...


ณ แดนฮวง


“ข้าต้องการจะล้างแค้น!”


ฉงคูกลับจากแดนหยินถึงแดนฮวงอย่างรวดเร็วด้วยความช่วยเหลือจากค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ


มันรู้สึกเจ็บใจเกินทนขณะต้องหนีกลับมาอย่างหัวซุกหัวซุนราวกับสุนัขจรจัด มันไม่อาจยอมรับได้ จึงเอ่ยสาบานว่าจะชำระแค้นในครั้งนี้ให้ได้!


บรรพชนของเผ่ามันยังมีชีวิตอยู่ มันต้องการให้บรรพชนออกหน้า!


มันบิดอากาศเป็นช่องว่างตรงกลับไปยังถิ่นฐานของเผ่า


“ท่านบรรพชน ท่านรีบออกมาเถิด เผ่าของพวกเราใกล้จะถูกทำลายแล้ว!”


มันตะโกนขณะตรงเข้าไปยังสถานที่จำศีลของบรรพชน


บรรพชนของเผ่ามันนอนนิ่งราวกับกลายเป็นก้อนหินไปอย่างสมบูรณ์แล้ว อายุขัยของบรรพชนใกล้จะหมดลง ดังนั้นในวันปกติจึงจำศีลเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้พลังงาน


ยิ่งสายเลือดทรงพลังเพียงใดก็ยิ่งให้กำเนิดเชื้อสายยากเท่านั้น


สายเลือดของเผ่ามันทรงพลังเป็นอย่างมาก จึงทำให้มีเชื้อสายถือกำเนิดขึ้นมาน้อยเป็นอย่างยิ่ง ยามนี้ในเผ่ามีเพียงตัวมัน น้องชาย พ่อของมัน และก็ท่านบรรพชน


ฉงคูรีบวิ่งเข้ามาร้องห่มร้องไห้เบื้องหน้าของรูปปั้นหินสัตว์ร้าย


“ท่านบรรพชน น้องชายของข้า ท่านพ่อของข้า ทั้งสองคนล้วนตายตกไปหมดแล้ว ได้โปรดตื่นขึ้นมาล้างแค้นให้พวกเขาเถิด!”


มันร้องไห้จนน้ำมูกไหลออกมาอย่างน่าสังเวชชวนให้คนมองเศร้าใจตาม


ตู้ม!


ในตอนนั้นเอง ผิวที่เป็นหินบนรูปปั้นก็แตกออก เผยให้เห็นร่างของสัตว์ร้ายที่ยังคงมีเลือดเนื้อ!


เห็นได้อย่างชัดเจนว่านี่ไม่ใช่รูปปั้นอะไรทั้งนั้น แต่เป็นสัตว์ร้ายที่ไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานานจนถูกฝุ่นทับถมจนก่อตัวเป็นชั้นหินหนา ทำให้ดูเหมือนกับรูปปั้นสัตว์ร้าย


ชั้นหินที่ทับถมหนาจนเกือบสองจั้ง สัตว์ร้ายตนนี้ไม่ได้เคลื่อนไหวมานานเท่าไหร่กันจึงเกิดเป็นชั้นหินหนาได้ขนาดนี้?


น่าตื่นตะลึงเกินไปแล้ว!


ชั้นหินร่วงกราว เผยให้เห็นสัตว์ร้ายที่มีเลือดเนื้ออยู่ภายใน สัตว์ร้ายเปิดปากพูดพร้อมประกายแสงน่ากริ่งเกรง ขณะเดียวกันก็มีลมปราณอันน่าหวาดหวั่นชวนผวา!


“เจ้าพูดว่าอย่างไร!?”


ม่านตาเรียวตั้งตรงของสัตว์ร้ายเต็มไปด้วยโทสะที่กำลังพวยพุ่ง


มันเป็นบรรพบุรุษของเผ่าและเผ่าของมันก็มีสมาชิกเพียงแค่สี่คนเท่านั้น


ยามนี้เมื่อมันได้ยินว่าสมาชิกในเผ่าสองคนตายไปแล้ว จิตสังหารก็พลันเกิดขึ้นมาในใจทันที!


สังหารสมาชิกในเผ่าของมันไปสองคน ไม่ได้หมายความว่าต้องการจะทำลายเผ่าของมันหรอกหรือ!?


มันไม่อาจทนได้!


[1] เขาหลิงซาน (灵山) ของศาสนาพุทธโดยทั่วไปแล้วหมายถึง เขาคิชฌกูฏหรือเขาอีแร้ง (灵鹫山) ในอินเดีย อดีตเคยเป็นสถานที่ประทับของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นแหล่งกำเนิดเหตุการณ์สำคัญทางพระพุทธศาสนา

บทที่ 294


ทั้งเผ่ามีอยู่สี่ตน สิ้นชีพไปแล้วสอง สิ่งนี้ทำให้บรรพชนระเบิดโทสะออกมา ปราณอันบ้าคลั่งทะยานขึ้นฟ้า เหล่าสัตว์ต่าง ๆ ในรัศมีหลายพันลี้ต่างพากันตกใจหนีตะเลิดไปทุกทิศทุกทาง



“ท่านบรรพชน พวกเขารังแกกันมากเกินไป ท่านไม่รู้หรอก พวกมันจะฆ่าน้องชายข้าก็ฆ่าไปเถอะ แต่พวกมันยังเอาศพน้องชายไปแล้วบอกว่าจะกินเขา!”



ฉงคูร้องไห้ด้วยความเศร้าอกเศร้าใจจนน้ำตานองหน้า ขณะปากก็ยังคงพร่ำต่อไป “หลังจากที่ท่านพ่อมาแล้วก็ยังไม่อาจต่อกรได้ ในหมู่พวกมันมีผู้ฝึกตนหญิงผู้หนึ่งที่ถือครองคันศรล้ำค่า ยิงเพียงศรเดียวก็ตอกท่านพ่อลงไปบนยอดเขา!”



ยิ่งพูดมันก็ยิ่งร้องห่มร้องไห้มากกว่าเดิม “เพื่อปกป้องข้า ท่านพ่อยืนอยู่เบื้องหน้าข้าด้วยความหนักแน่น ใช้ชีวิตช่วยเปิดโอกาสให้ข้าหนีออกมา!”



นี่มันกำลังพูดจาปลิ้นปล้อนอย่างไร้ยางอาย ยามนั้นตอนที่มันเห็นพ่อของตนถูกยิงธนูปักไปบนภูเขา ก็รีบหนีไปทันทีอย่างไม่รีรอ ไม่มีมีฉากน่าสลดใจดังที่มันเล่ามาแม้แต่น้อย...



“ท่านบรรพชน ท่านไม่ได้อยู่ที่นั่นในตอนนั้น ท่านพ่อช่างน่าเวทนา บนร่างกายถูกปกคลุมด้วยศร ผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นถึงกับกล่าวออกมาว่าจะไม่ปล่อยเผ่าของเราไป จะกินเผ่าเราทั้งหมด!”



ฉงคูเติมเชื้อไฟ หวังเชิญบรรพชนออกจากภูเขาไปล้างแค้น



“เกรงว่าในตอนนี้ท่านพ่อคงสิ้นชีพไปแล้ว อาจจะถูกตุ๋นเหมือนกับน้อยชายข้าไปแล้ว...”



มันร้องไห้ไปพูดไป



ยังมีหน้าจะมาพูดอีก!



ในตอนนั้นเอง ก็มีแสงวิญญาณหนึ่งดวงบินมาถึงและได้ยินเข้ากับคำพูดของฉงคูพอดี



ด้านในแสงวิญญาณนั้นห่อหุ้มวิญญาณของอสูรร้ายตนหนึ่งเอาไว้ ซึ่งก็คือพ่อของฉงคูนั้นเอง



อย่างไรเสียมันก็เป็นถึงอสูรราชันตนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นเพียงดวงวิญญาณ ก็ไม่อาจดูหมิ่นได้ มันมุ่งหน้าตรงกลับมาจากเหยียนโจวด้วยตนเองตลอดทาง ยังมาถึงไม่ช้าไปกว่าฉงคูที่ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้าย



หลังจากได้ยินสิ่งที่ฉงคูกล่าวออกมา โทสะของมันก็ระเบิดออกมาทันที ทั้งร่างวิญญาณของมันสั่นสะท้านอย่างรุนแรง



ในยามนี้กลับพูดเสียดิบดี



แต่ในสถานการณ์จริง ๆ เป็นเช่นไร?



เสียเปล่าเหลือเกิน!



มันอยากให้บุตรชายตนเองหนีไปก็จริง ทว่ามันก็ไม่คาดหวังว่าฉงคูจะหนีออกมาโดยไม่สนใจมันผู้เป็นพ่อ!



และตอนนี้ยังมาทำเป็นพูดกับท่านบรรพชนสียดิบดี!



“ไอ้สารเลวนี่ ขุดหลุมฝังพ่อตนเองไม่พอ ยังจะมาขุดหลุมฝังท่านบรรพชนอีก!?”



มันโกรธจนตะปบเล็บออกมา แม้ตอนนี้มันจะอยู่ในร่างวิญญาณ แต่ก็ยังคงแข็งแกร่ง ฉงคูถูกแรงกระแทกล้มลงเลือดสาดกระเซ็น กระดูกหักไปหลายท่อนในทันที!



ไอ้เจ้าฉงคูนี่ช่างเหลืออดเสียจริง!



ขุดหลุมใส่มันไปแล้ว ตอนนี้ยังจะมาอยากขุดหลุมเตรียมให้ท่านบรรพชนตกลงไปอีก!



เดรัจฉาน!



หากล่วงรู้ว่าฉงคูจะขุดหลุมฝังมันเช่นนี้ ยามนั้นมันคงไม่ให้ฉงคูได้ถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่แรก!



ยิ่งสายเลือดแข็งแกร่งเท่าไรก็ยิ่งยากแก่การให้กำเนิดเชื้อสาย



เพื่อให้กำเนิดลูกแฝดอย่างฉงคูขึ้นมา มารดาของฉงคูถึงกับต้องแลกด้วยชีวิตตนเอง



ผู้ใดจะคาดคิดว่าฉงคู่จะเติบโตมาได้ไม่รู้คุณเช่นนี้!



กระทั่งพ่อตัวเองยังมิไยดี!



“อ๊ะ! ท่านพ่อ ท่านยังไม่ตายหรือ?”



ฉงคูมองพ่อของตนด้วยความคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะสามารถรอดชีวิตมาได้



ภายในใจของมันรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก เมื่อครู่มันเพิ่งจะกล่าวไปว่าท่านพ่อของมันน่าเวทนาเพียงใด ทั้งยังพูดอีกวาท่านพ่ออาจถูกตุ๋นกินไปแล้ว...



มันยังไม่ทันจะพูดจบดี ท่านพ่อก็กลับมาแล้ว!



“ไสหัวไป! เจ้าอยากให้ข้าตายงั้นหรือ!”



พ่อของฉงคูเต็มไปด้วยโทสะ เริ่มลงมือทุบตีฉงคูอีกครั้ง จนคนเป็นลูกส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนออกมาอย่างต่อเนื่อง



สุดท้ายแล้วมันก็โยนร่างของฉงคูออกไป ทำเพียงทุบตีจนปางตาย ไม่ได้ลงมืออย่างเด็ดขาด



อย่างไรเสียตอนนี้ฉงคูก็กลายมาเป็นทายาทเพียงคนเดียวของมันแล้ว หากฆ่าฉงคูไปจริง ๆ เกรงว่าพวกมันคงจะถึงคราวสูญพันธุ์



“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”



บรรพชนแลดูจะสับสนอยู่บ้าง



“ท่านบรรพชน ช่างน่าอายนัก ข้าถึงกับให้กับเนิดบุตรชายไม่รู้คุณเช่นนี้!”



พ่อของฉงคูกล่าวขึ้นมาด้วยความคับแค้นใจ ก่อนบอกเล่าทุกเรื่องราวให้บรรพชนฟัง



“ท่านบรรพชนอย่าไปฟังเรื่องไร้สาระที่มันพูด คันศรล้ำค่าของผู้ฝึกตนหญิงผู้นั้นน่ากลัวจริง ๆ ท่านบรรพบุรุษอย่าไปที่นั่นเลย!”



พ่อของฉงคูกล่าวออกมา



หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ใบหน้าชราของบรรพชนก็ดำคล้ำยิ่งกว่าก้นกระทะ



มันจับจ้องไปทางฉงคูด้วยดวงตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ไอ้สารเลวตัวนี้ยังต้องการจะขุดหลุมฝังบรรพชนต่อจากพ่อของมัน?



“ตีเบาเกินไปแล้ว ให้ข้าตีมันอีกครั้ง!”



มันกล่าวออกมาด้วยความโมโห



“เอ๊ะ ยังจะตีอยู่อีกหรือ?”



ใบหน้าของฉงคูเขียวคล้ำ



“ตีไปแล้วก็ยังไม่สาสม!”



พ่อของฉงคูดึงมันมาทุบตีอีกครั้งอย่างรุนแรง



ทว่าในขณะนั้นเอง ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา



“ท่านผู้อาวุโสอยู่หรือไม่? ข้าน้อยหานจวิน ผู้นำเผ่าหาน มาขอพบท่านผู้อาวุโส”



พ่อของฉงคูขมวดคิ้วก่อนจะหันไปสบสายตากับท่านบรรพชน เหตุใดผู้นำตระกูลหานจึงมาที่นี่กัน?



หรือว่าหลังจากได้เห็นพวกมันประสบเคราะห์ร้าย จึงหวังฉกฉวยโอกาสทำลายเผ่าของมัน แล้วยึดครองทรัพย์สมบัติของพวกมัน?



ไม่ก็อาจจะได้รับคำสั่งจากผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นให้ตามล่ามันและฉงคู?



“ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ เขามาทำสิ่งใดกัน? อาจจะไม่ใช่เรื่องดีอะไร พวกเราควรจะไม่ให้เขาเข้ามาหรือเปล่า”



พ่อของฉงคูกล่าวขึ้นมา เขารู้สึกว่าผู้นำเผ่าหานเดินทางมาในครั้งนี้ไม่ได้มีเจตนาดีแต่อย่างใด



“อย่าตื่นตระหนกไป”



บรรพชนกล่าวออกมา “ในอาณาเขตของพวกเรา เขาไม่อาจลงมือทำสิ่งใดได้”



เผ่าของพวกมันสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน อาณาเขตถูกวางการป้องกันไว้อย่างหนาแน่น แม้หานจวินจะมีเจตนาไม่ดีจริง มันก็ไม่เกรงกลัว



“ให้เขาเข้ามาเถอะ จะได้ดูว่าเขาต้องการจะทำสิ่งใด”



บรรพชนกล่าวแล้วหันไปมองฉงคู สั่งให้มันไปพาหานจวินเข้ามา



ร่างของฉงคูเต็มไปด้วยบาดแผล มันเจ็บปวดมากเสียจนไม่อยากขยับกาย แต่มันก็ไม่กล้าปฏิเสธคำสั่งของบรรพชน จึงทำได้แต่เชื่อฟังลุกขึ้นไปหาหานจวิน



ในไม่ช้า หานจวินก็ถูกพาเข้ามา



หานจวินที่เห็นวิญญาณของพ่อฉงคูก็เข้าใจขึ้นมาทันที



เมื่อครู่เขาพึ่งรำพึงภายในใจว่าเหตุใดสภาพของฉงคูถึงดูน่าเวทนาเหมือนถูกทุบตีมาอย่างหนัก แต่เมื่อเห็นวิญญาณของพ่อฉงคูแล้ว เขาจะยังไม่เข้าใจเรื่องราวอีกได้อย่างไร



ผู้อาวุโสหญิงได้บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนเขาหยงหมิงให้เขาฟังแล้ว



สมควร!



นี่ยังนับว่าเบาไปเสียด้วยซ้ำ



หากเป็นบุตรชายของเขาทำเช่นนี้กับตนเอง เขาคงจะลอกหนังบุตรชายออกทั้งหมดโดยไม่พูดไม่จาแล้ว!



“คำนับผู้อาวุโส”



หานจวินคำนับทักทายบรรพชนเผ่าฉงฉีอย่างมีมารยาท



นี่คือตัวตนระดับขั้นสูงสุดที่ดำรงอยู่มาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ทั้งน่าหวาดเกรงและทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง



“ไม่ต้องมาแสร้งทำตัวมีมารยาท เจ้ามาที่นี่ทำไม?”



บรรพชนจับจ้องไปทางหานจวิน



“ข้ามาเชิญท่านผู้อาวุโสออกโรง ร่วมมือกันจัดการกับเซี่ยเหยียน ผู้ฝึกตนหญิงผู้นั้นด้วยกัน”



หานจวินพูดเข้าประเด็น เอ่ยจุดประสงค์การเดินทางมาครั้งนี้ในทันที



“ในใจของเจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่กัน!?”



พ่อของฉงคูถามออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้ารู้ชื่อของผู้ฝึกตนหญิงคนนั้น และยังดูเหมือนว่าเจ้าเองก็รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับข้าที่เหยียนโจว! เช่นนั้นแล้ว เจ้ายังอยากให้ท่านบรรพชนของเผ่าข้าออกโรง เจ้าแน่ใจหรือว่าจะสามารถจัดการกับผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นได้อย่างแน่นอน?”



มันนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวออกมาต่อ “ข้าคิดว่าเจ้าเพียงแค่ต้องการจะหลอกล่อท่านบรรพชนออกไปมอบให้กับผู้ฝึกตนหญิงคนนั้น เพื่อหวังประจบประแจงนาง


!”



คันศรล้ำค่าในมือของเซี่ยเหยียนนั้นน่ากลัวเกินไป แม้ว่าท่านบรรพชนจะเป็นขั้นสูงสุด แต่ก็ไม่อาจรับรองความปลอดภัย ทั้งยังอาจเพลี่ยงพล้ำได้อย่างง่ายดาย



เวลาของท่านบรรพชนเผ่ามันใกล้จะหมดลงแล้ว ความแข็งแกร่งย่อมไม่อาจเทียบกับช่วงรุ่งโรจน์ได้


บทที่ 295


“ราชันศักดิ์สิทธิ์คิดมากไปแล้ว!”



หานจวินส่ายหน้า “เจตจำนงฟ้าดินส่งสัญญาณเตือน ตระกูลของท่านก็คงรับรู้สัญญาณเตือนจากเจตจำนงฟ้าดินได้เช่นกัน พลังป้องกันในอาณาจักรของเรากำลังถูกโจมตี มีแนวโน้มว่าสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนจักบุกเข้ามาอีกครั้ง”



เขาอธิบายจุดประสงค์การมาของตน แสดงชัดเจนว่าเขามาขอความร่วมมือด้วยความจริงใจ



“ผู้ฝึกตนหญิงวัยเยาว์เซี่ยเหยียนผู้นั้น รวมถึงเด็ก ๆ ทั้งแปด บัดนี้ยืนยันแล้วว่าพวกเขามาจากยอดนิกาย”



หานจวินกล่าว “นี่คือสาเหตุที่เซี่ยเหยียนผู้นั้นน่าประหวั่นพรั่นพรึงถึงเพียงนั้น”



“ยอดนิกาย!”



บรรพชนเฒ่านัยน์ตาสั่นไหว “ในเมื่อเจ้ารู้แล้วว่าพวกเขามาจากยอดนิกาย ไยยังกล้ามาขอร่วมมือกับข้า!? เจ้ามีจุดประสงค์ใด ยอดนิกายเป็นสิ่งที่เจ้ากับข้าแตะต้องได้หรือ!?”



สงครามใหญ่ในยุคโบราณครานั้น มันเองได้ประสบด้วยตัวเอง และได้ประจักษ์ถึงความองอาจไร้เทียมทานของยอดฝีมือจากยอดนิกาย คนเหล่านั้นล้วนเป็นตัวตนที่อยู่ไกลเกินเอื้อม มันทำได้แค่มอง!



หวนนึกถึงเผ่าของมันซึ่งมีสายเลือดน่าทึ่ง เป็นรองเพียงสิบอสูรร้ายผู้มีกิตติศัพท์เลื่องลือ ไร้เทียมทานในใต้หล้า



ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้ายอดนิกาย สายเลือดของเผ่ามันมิได้ยิ่งใหญ่อันใดเลย



อสูรร้ายจากยอดนิกายล้วนมีสายเลือดแกร่งกล้ากว่าเผ่าของมันมาก อสูรร้ายเหล่านั้นล้วนไม่ทราบชื่อ เมื่อครั้งมันได้พบ ก็ตื่นตะลึงอยู่เต็มหัวใจ ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าอาณาจักรแห่งนี้มีอสูรร้ายที่สายเลือดน่ากลัวอยู่มากมายปานนี้!



บัดนี้ หานจวินกลับขอให้มันไปต่อกรกับสมาชิกจากยอดนิกาย คนผู้นี้คิดทำสิ่งใดอยู่?



มันคงสติฟั่นเฟือนแล้วถึงได้ทำตัวเป็นปรปักษ์กับยอดนิกาย ทำเช่นนั้นเท่ากับรนหาที่ตายชัด ๆ!



“จุดประสงค์ใดหรือ…ข้าเพียงต้องการมีชีวิตต่อ เพียงต้องให้ตระกูลหานสืบทอดต่อไป”



หานจวินกล่าว “ผู้อาวุโสกับราชันศักดิ์สิทธิ์ต่างเคยร่วมสงครามใหญ่ในยุคโบราณ ย่อมรู้ดีว่าสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนทรงพลังเพียงใด บรรพชนทั้งหลายในยุคโบราณแข็งแกร่งกว่ายุคเราไม่รู้กี่เท่าในทุก ๆ ด้าน แล้วผลสุดท้ายเล่า? มหาจักรพรรดิมากมายต้องสิ้นชีพลง ระดับจ้าวสูงสุด ระดับนักบุญไม่เหลือแม้แต่ศพ สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรตายกันเป็นเบือ เลือดหลั่งไปทั่วทุกซอกมุมของอาณาจักรแห่งนี้…”



เขากล่าวต่อ ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ผู้อาวุโส ท่านคิดว่ายุคเรามีหวังเท่าใดในการกีดขวางมิให้สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนรุกรานหรือ”



บรรพชนเฒ่าเงียบ



ร่างวิญญาณวูบไหวของบิดาฉงคูก็นิ่งงัน ปิดปากไม่พูดจา



สิ่งแวดล้อมในยุคนี้เลวร้ายมากจริง ๆ พลังโดยรวมห่างชั้นจากยุคโบราณไกลโข มิใช่น้อย ๆ เรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว!



ยากจะสำเร็จเป็นมหาจักรพรรดิ ทว่ายุคโบราณนั้นมีมหาจักรพรรดิอยู่หลายท่าน



แล้วยุคนี้เล่า



ยุคนี้…ไม่มีมหาจักรพรรดิสักคนเดียว!



อย่างน้อยก็ไม่มีที่เปิดเผย!



เผ่าของมันไม่ดี ตระกูลโบราณ และสำนักโบราณอื่น ๆ ก็ไม่มี…



อย่าว่าแต่มหาจักรพรรดิเลย ลำพังจักรพรรดิยังไม่มี…



สมรภูมิอยู่ในอาณาจักรของพวกเขา มิได้อยู่ในอาณาจักรเทียนหยวน สิ่งแวดล้อมในอาณาจักรเทียนหยวนไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด



สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรเทียนหยวนย่อมมีพัฒนาการดีกว่าอาณาจักรของพวกเขา



ในสถานการณ์เยี่ยงนี้ อาณาจักรของพวกเขาต้านทานสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนได้ที่ไหน



โอกาสที่ต้านทานได้น้อยยิ่งกว่าน้อย แทบทำไม่ได้เลย



แม้ยอดนิกายนั้นทรงพลัง น่าสยดสยอง กระนั้นก็เสียหายอย่างใหญ่หลวงจากสงครามใหญ่ยุคโบราณเช่นกัน



และบัดนี้ สิ่งแวดล้อมของอาณาจักรนี้ย่ำแย่ปานนี้



พลังที่ยอดนิกายครอบครองในตอนนี้ก็คงห่างชั้นจากในยุคโบราณมาก



หวังพึ่งยอดนิกายในการต่อกรกับสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวน…ออกจะเพ้อฝันไปหน่อย



หานจวินรู้ว่าราชันศักดิ์สิทธิ์และบรรพชนเฒ่าแห่งเผาฉงฉีเข้าใจความนัยที่เขาจะสื่อ



จากนั้น เขากล่าวต่อ “เพราะอย่างนั้น ข้าถึงได้มาขอร่วมมือกับผู้อาวุโส เข้ากำราบสมาชิกยอดนิกายซึ่งอยู่บนเขาหยงหมิง เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลของยอดนิกายที่มากกว่านี้ สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนมาเมื่อใด เราจักใช้ข้อมูลเหล่านี้แสดงความภักดี”



บรรพชนและบิดาฉงคูไม่พูดจา เรื่องนี้ไม่ใช่เล็ก ๆ หากไม่ทันระวังอาจก่อความผิดใหญ่หลวงที่ไม่สามารถแก้ไขได้



“ไตร่ตรองให้ดีเถิด นี่คือโอกาสชั้นดี ด้านหนึ่ง ช่วยล้างแค้นให้เผ่าฉงฉีได้ ด้านหนึ่ง ได้มีโอกาสรอดในอนาคต”



หานจวินเอ่ย “หากพลาดโอกาสนี้ไป ชะตากรรมของพวกเราในอนาคตจักปรวนแปรมิรู้เป็นอย่างไร ส่วนเผ่าฉงฉีคงอนาถยิ่งกว่านั้นกระมัง ถึงอย่างไรก็บาดหมางกับยอดนิกายเสียขนาดนี้…”



“ได้!”



สุดท้ายบรรพชนเฒ่าก็ทำการตัดสินใจ ยอมตอบตกลง



ตอนนี้จำต้องพนันกันหน่อย มิฉะนั้น วันหน้ารังแต่จะมีชะตาต้องถูกเชือด ไม่ถูกสมาชิกยอดนิกายเชือด ก็ถูกสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนเชือด!



มันไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น เผ่าฉงฉีไม่ควรมีจุดจบน่าสังเวชเยี่ยงนั้น มันต้องออกไปสู้ สู้เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของเผ่าฉงฉี



นอกจากนี้ ชาวเผ่าฉงฉีไม่ควรต้องตายเปล่า!



ต่อให้อีกฝ่ายมาจากยอดนิกายก็ไม่ได้ ต้องชดใช้ให้เรื่องนี้!



มันต้องล้างแค้นให้ชาวเผ่าฉงฉีที่ตายไป!



“ดี!”



หานจวินเอ่ย “ตระกูลเรามีผู้อาวุโสสูงสุดท่านหนึ่งจักลงมือร่วมกับผู้อาวุโส! ผู้อาวุโสสูงสุดท่านนี้ของเผ่าเราอยู่ในระดับจ้าวสูงสุดเช่นกัน นอกจากนี้เขาจักนำอาวุธมหาจักรพรรดิของเผ่าเราไปด้วยสองชิ้น เมื่อมีอาวุธมหาจักรพรรดินำหนุน คันศรวิเศษในมือเซี่ยเหยียนทรงพลังปานใดก็เปล่าประโยชน์ ย่อมต้องถูกพวกเรากำราบในที่สุด!”



“ข้าเองก็จะนำอาวุธมหาจักรพรรดิของเผ่าเราไปด้วย”



บรรพชนเฒ่าเอ่ย ให้ความสำคัญกับเซี่ยเหยียนเป็นพิเศษ มิกล้าประมาทแม้แต่น้อย



หานจวินหัวเราะร่วน “ฮ่า ๆ เช่นนี้ยิ่งไม่มีทางพลาด!”



หลังจากตกลงทุกอย่างเรียบร้อย เขาไปจากที่ตรงนี้ เพื่อกลับไปเตรียมการ



...



ณ เขาหยงหมิง เหยียนโจว



ยังไม่ถึงวันงานชุมนุมใหญ่ ยังมีสิ่งมีชีวิตบางตนที่ได้รับเชิญมาไม่ถึง



บนยอดเขา ในวังของหลี่จิ่วเต้า



เซี่ยเหยียน หลิงอิน อันหลานเสวี่ย และพวกอ้ายฉานอยู่กันหมด



ซางเหิงกับผู้อาวุโสเก้าก็อยู่ที่นี่เช่นกัน พวกเขามาตามคำเชิญของหลี่จิ่วเต้า



ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนและสือเฟิงก็อยู่ที่นี่



พวกเขามาเยือนท่านเซียนที่นี่หลังจากเรื่องราวเริ่มสงบแล้ว



“วันนี้พวกเรากินเนื้อตุ๋นกัน”



หลี่จิ่วเต้าเอ่ยด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม



ระหว่างทางมา เขาไม่ได้กินข้าวดี ๆ สักมื้อ ได้กินแต่ขนมของว่าง



หลังมาถึงเขาหยงหมิง แม้ว่าตระกูลซางเตรียมอาหารรสเลิศไว้ให้เขาอย่างอุดมสมบูรณ์ กระนั้นเมื่อได้กินแล้ว…รสชาติธรรมดายิ่งนัก



ในเรื่องของกิน เขาประณีตมากและเป็นพวกเลือกกินมากเช่นกัน



ได้รับการดูแลจากตระกูลซางให้พวกเขาได้อยู่ในวังชั้นเยี่ยมเยี่ยงนี้ หลี่จิ่วเต้าอยากตอบแทน จึงให้เซี่ยเยียนไปเชิญซางเหิงและผู้อาวุโสเก้ามากินเนื้อด้วยกัน



เซี่ยเหยียนนำศพน้องชายฉงคูออกมา



พวกเขามีกันไม่มาก เจ้าตัวนี้พอให้พวกเขากินกันอิ่มแล้ว



จะกิน…จริงหรือ!?



ซางเหิงและผู้อาวุโสเก้าลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่



นี่คืออสูรร้ายเผ่าฉงคูเชียวนะ สายเลือดเป็นรองเพียงสิบอสูรร้ายผู้ไร้เทียมทาน



บัดนี้กลับต้องถูกตุ๋น…



หากเรื่องนี้แพร่ออกไป น่ากลัวว่าทำอย่างไรคนอื่นก็คงไม่เชื่อ!



“โชคหล่นทับแท้ ๆ!”



ผู้อาวุโสเก้าพูดในใจอย่างตื่นเต้น



อสูรร้ายซึ่งมีสายเลือดกล้าแกร่งเยี่ยงนี้ เลือดเนื้อของมันย่อมต้องมีพลังอันน่าทึ่งแฝงอยู่ หากได้กินจักได้รับประโยชน์มหาศาลอย่างแน่นอน เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดโอสถเลือดเนื้อ!



โดยเฉพาะยังปรุงโดยเซียนท่านหนึ่ง อย่าให้พูดเลยว่าใจเขาคาดหวังไปขนาดไหน!