286-290

บทที่ 286
“น่ากลัวเพียงนั้นเชียวหรือ? ตัดคำว่า 'หรือ' ออก ต้องบอกว่าน่ากลัวไร้ที่เปรียบ!”


สีหน้าของหญิงชราเคร่งขรึมเป็นพิเศษ


ยิ่งรู้สึกถึงสายเลือดในร่างของแมวสีขาวตัวน้อย นางก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้น สายเลือดนี้ช่างเกรงกลัวยิ่งนัก นางรู้สึกว่าสายเลือดในร่างของแมวสีขาวตัวน้อยนั้นเข้มข้นยิ่งกว่าสายเลือดสิบอสูรร้ายเสียอีก!


“สายเลือดเช่นนี้กำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร? นี่จะต้องมียอดนิกายคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน!”


หญิงชรากล่าวต่อ


“ยอดนิกาย? บนโลกใบนี้ยังมียอดนิกายแข็งที่แกร่งกว่าพวกเราด้วยหรือ?”


หานเยว่ถามด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ


“แน่นอนว่ามี!”


หญิงชรากล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “โลกใบนี้ซับซ้อนกว่าที่เจ้าคิด! เจ้ามัวแต่ฝึกตน รู้เรื่องราวภายนอกน้อยนัก แม้ตระกูลหานของเราจะแข็งแกร่ง แต่โลกใบนี้ยังมียอดนิกายแข็งแกร่งกว่าดำรงอยู่...”


โลกนี้เต็มไปด้วยความลับอันยิ่งใหญ่มีความลับอันน่าสะพรึงกลัวอยู่มากมาย หากไล่เรียงตามหาถึงที่สุดเกรงว่าจะทำให้ผู้คนตกใจกลัวจนตายได้!


นับตั้งแต่หานเยว่ฝึกตนมา นี่นับเป็นครั้งแรกที่นางได้ออกมาและนางยังรู้จักโลกนี้น้อยเกินไป


หญิงชราเล่าความลับที่ไม่ค่อยมีคนรู้ให้หานเยว่ฟัง


“แต่ละอาณาจักรมีเจตจำนงแห่งสวรรค์และโลกเป็นของตัวเอง คอยปกป้องสรรพสิ่งที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรนั้น ๆ”


หญิงชรากล่าว “ระหว่างอาณาจักรนั้น ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรที่ต่ำที่สุดหรือไม่ มันก็เป็นเรื่องยากที่จะข้ามไปอยู่ดี และนี่คือเหตุผลว่าเหตุใดมันจึงยากที่จะข้ามได้ ก็เพราะมีเจตจำนงแห่งสวรรค์และโลกคอยขวางกั้นเอาไว้”


นักบุญยากก้าวข้ามอาณาจักรได้ ขอบเขตสูงสุดยิ่งทำเช่นนั้นไม่ได้ ทลายเจตจำนงแห่งสวรรค์และโลกเป็นเรื่องยากเกินไป


สองอย่างเหล่านี้มีสิ่งขวางกั้นเอาไว้อยู่


เจตจำนงของสวรรค์และโลกจะขวางกั้นไม่ให้สิ่งมีชีวิตภายในออกไป เจตจำนงของสวรรค์และโลกในอาณาจักรอื่นจะป้องกันไม่ให้สิ่งมีชีวิตภายนอกเข้ามา


“มีสิ่งขวางกั้นเช่นนี้อยู่ แต่สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนกลับเพิกเฉยมันได้ คิดดูแล้วกันว่าสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนทรงพลังเพียงใด!”


หญิงชรากล่าวเสียงหนักอึ้ง “ไม่รู้ว่าเหตุใดกาลเวลาผ่านไป สภาพแวดล้อมในอาณาจักรของพวกเราถึงย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ ที่แย่ไปกว่านั้น เทียบกับสมัยโบราณ ยุคของพวกเรานั้นอ่อนแอกว่ายุคก่อน ๆ หลายเท่า มหาจักรพรรดิก็มีแค่ไม่กี่คน”


นางกล่าวต่อ “ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวน เดิมทีสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรของพวกเราก็ไม่อาจต้านได้แล้ว เช่นนี้ ในภายภาคหน้าพวกเราจะต้องถูกกวาดล้างอย่างแน่นอน ความแตกต่างนั้นมีมากเกินไป!”


“คงไม่ถึงเพียงนั้นกระมัง!”


ดวงตากลมโตของหานเยว่เบิกกว้าง นางไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่แม่เฒ่ากล่าว


นางกล่าวต่ออีกว่า “หากเป็นเช่นนั้นจริง เราจะเอาชนะสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนได้อย่างไรกัน?”


“ข้าก็บอกไปแล้วอย่างไรอาณาจักรของพวกเรานั้นหาได้เรียบง่ายเช่นนั้น!”


หญิงชรากล่าวว่า “เมื่อต้องเผชิญกับการกวาดล้างสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวน แต่เดิมสิ่งมีชีวิตในโลกของเราก็ไม่มีกำลังจะต้านอยู่แล้ว และในตอนนั้นก็ปรากฏหมู่สิ่งมีชีวิตไร้นามออกมา...”


สิ่งมีชีวิตเหล่านี้แต่ละตนมีความสามารถอันน่าอัศจรรย์ใจ ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตหรือวิชาอภินิหารล้วนแต่เหนือกว่าสิ่งมีชีวิตรุ่นเดียวกัน!


“เป็นเพราะสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ทำให้พวกเราขับไล่สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนได้"


หญิงชรากล่าว “ไม่เช่นนั้นเจ้าคิดว่าพวกเราจะขับไล่สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนออกไปได้อย่างไร? อาณาจักรเทียนหยวนมาจากอาณาจักรตอนกลาง!”


สวรรค์นั้นกว้างใหญ่มีอาณาจักรมากมายดำรงอยู่


ตอนบนมีเก้าอาณาจักร เรียกว่า เก้าอาณาจักรตอนบน ผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของหมื่นอาณาจักร


รองลงมาเป็นอาณาจักรตอนกลาง มีพื้นที่ทั้งหมดสี่แสนห้าหมื่นกว่าหมู่


ส่วนที่เหลือเป็นอาณาจักรตอนล่างซึ่งมีพื้นที่มากมายนับไม่ถ้วน


เหตุใดอาณาจักรจึงถูกแบ่งแยกเช่นนี้ ก็เพราะมีเจตจำนงแห่งสวรรค์และโลกเป็นผู้กำหนด

ถูกกำหนดโดยพลังแห่งเจตจำนงแห่งสวรรค์และโลกภายในอาณาจักรของมัน


เจตจำนงแห่งสวรรค์และโลกใบนี้แข็งแกร่ง สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรนั้นก็มีกำลังมาก


กลับกัน หากเจตจำนงของสวรรค์และโลกของอาณาจักรนั้นอ่อนแอ สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรนั้นก็จะตกต่ำตามไปด้วย ขอบเขตบรรลุก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก


เจตจำนงของสวรรค์และโลกในอาณาจักรตอนกลางเหนือกว่าอาณาจักรตอนล่างหลายสิบเท่า หากเป็นสถานการณ์ปกติ อาณาจักรตอนกลางสามารถทำลายตอนล่างได้อย่างง่ายดาย


อาณาจักรเทียนหยวนเป็นหนึ่งในอาณาจักรแข็งแกร่งจากตอนกลาง


“พวกเราเป็นเพียงอาณาจักรตอนล่าง หากสิ่งมีชีวิตไร้นามเหล่านั้นไม่ปรากฏตัว พวกเราคงถูกกำจัดไปแล้ว!”


หญิงชรากล่าว


เพียงแต่พวกเขาไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตไร้นามเหล่านั้น พวกเขาปรากฏได้อย่างไร ไม่มีผู้ใดรู้

สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ไม่เคยปรากฏในยุคสมัยใด นับว่าลึกลับอย่างยิ่ง


“ในตอนนั้นปรากฏอสูรน่าเกรงขามขึ้น อ้าปากเขมือบยอดฝีมือมหาจักรพรรดิหลายสิบคนของอาณาจักรเทียนหยวนในครั้งเดียว อสูรตนนี้ดุร้ายยิ่งกว่าสิบสายเลือดสัตว์อสูรในตำนานเสียอีก!”


หญิงชราจ้องมองแมวสีขาวตัวน้อยบนยอดเขา สีหน้ายิ่งเคร่งขรึม “ข้าคิดว่าแมวสีขาวตัวน้อยตัวนี้อาจเกี่ยวข้องกับอสูรน่าเกรงขามตนนั้น!”


“เบื้องหลังพวกเขาจะต้องทำให้ผู้คนหวาดกลัวเพียงใดกัน!”


หานเยว่รู้สึกหวาดกลัว


“เหล่าสิ่งมีชีวิตไร้นามในสมัยโบราณนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นยอดนิกาย เป็นไปได้ว่าอาจมีการสืบทอดกันต่อมา

ข้าคิดว่าคนเหล่านี้อาจมาจากยอดนิกายไร้นามเหล่านั้น!”


หญิงชรากล่าวต่อ “อีกอย่างเวลามันบังเอิญเกินไป พวกเขาปรากฏตัวขึ้นก่อนเกิดก่อนเกิดหายนะได้พอดิบพอดี...”


สิ่งนี้ยิ่งทำให้นางเชื่อว่าพวกเซี่ยเหยียนมาจากยอดนิกายไร้นาม! ในอีกด้านหนึ่ง ฝู่ถูกับเหล่านักบุญท่านอื่น ๆ ตระกูลใหญ่กับสำนักใหญ่พวกเขาต่างก็นึกถึงยอดนิกายไร้นามเหล่านั้นเช่นกัน รู้สึกว่าพวกเซี่ยเหยียนน่าจะมาจากยอดนิกายน่าเกรงขามไร้นามกลุ่มนั้น


ตระกูลซางให้ความสำคัญกับพวกเซี่ยเหยียนถึงเพียงนี้ หรือว่าตระกูลซางจะรู้เรื่องนี้ล่วงหน้า!


“ฮ่า ๆ แดนบูรพาทิศของข้าช่างร้ายกายนัก!”


“นั่นคืออัจฉริยะท้าทายสวรรค์ทั้งแปดคนที่ปรากฏตัวขึ้นในแดนบูรพาทิศของเรา ข้าคิดว่าตระกูลซางให้ความสำคัญเพราะพวกเขารู้เรื่องนี้!”


สิ่งมีชีวิตมากมายในภูเขาหยงหมิงพากันหัวเราะออกมา


พวกเขามาจากแดนบูรพาทิศย่อมจำพวกอ้ายฉานได้


ตอนนั้นนิมิตที่พวกอ้ายฉานสร้างขึ้นนั้นช่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง ไม่เพียงสร้างความตกตะลึงไปทั่วทิศแดนบูรพาทิศ แต่ทั่วทั้งเหยียนโจวทั้งหมดล้วนแต่ตกอยู่ในความตะลึงงัน


ตอนนี้พวกอ้ายฉานเปล่งประกาย ล้ำค่าสำหรับตระกูลซาง ขนาดพวกเขายังภูมิใจมากที่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตในแดนบูรพาทิศเดียวกัน


ไม่เพียงแต่สิ่งมีชีวิตจากแดนบูรพาทิศเท่านั้นที่ภาคภูมิใจมาก กระทั่งสิ่งมีชีวิตจากตระกูลประจิม ทักษิณ อุดร ภาคกลางก็เช่นกัน


สิ่งมีชีวิตจากดินแดนฮวงกับดินแดนฝอนั้นแข็งแกร่งเกินไป เดิมทีพวกเขาสิ่งมีชีวิตจากเหยียนโจว อยู่ต่อหน้าดินแดนฮวงกับดินแดนฝอไม่นับว่าเป็นอะไรได้ ในใจของพวกเขาย่อมรู้สึกอัดอั้น


การปรากฏตัวของพวกอ้ายฉานได้ขจัดความรู้สึกอัดอั้นในใจของพวกเขาออกไปจนสิ้น พวกเขารู้สึกภาคภูมิใจสุขใจยิ่ง


ดูสิ ไม่ว่าพวกเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงใด พวกเจ้าจะยังไม่ให้พื้นที่พวกเราชาวเหยียนโจวได้หรือ?


กล่าวถึงตรงนี้ พวกเราชาวเหยียนโจวช่างร้ายกาจยิ่งนัก!


พวกเขาครุ่นคิดกับตัวเอง


เพียงแต่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตในเหยียนโจวทุกตนจะภาคภูมิใจสุขใจเช่นนี้


มีสิ่งมีชีวิตมากมายหลังได้เห็นพวกอ้ายฉาย สีหน้าของแต่ละตนก็กลายเป็นน่าเกลียด ดวงตาเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ


“ฮึก! อาวุธจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ของสำนักข้า!”


“สุดยอดกำลังรบ ถึงไปก็ตายอยู่ดี!”


พวกเขานึกถึงอดีต น้ำตาของพวกเขาก็แทบไหลไม่หยุด


ช่างน่าเวทนายิ่ง


พวกเขาไม่ใช่ใครอื่น นอกจากลัทธิไท่เสวียน กลุ่มอำนาจลึกลับจากภาคกลาง หลังจากพวกเขาถูกบังคับให้

ปรากฏตัว พวกเขาก็มาที่นี่ด้วย


ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยคิดจะดึงเอาพวกอ้ายฉานมาเป็นพวกกลุ่มเดียวกัน


แต่สิ่งที่พวกเขาคาดไม่ถึง พวกอ้ายฉานไม่เห็นความหวังดี พวกเขาส่งยอดฝีมือไปกลุ่มหนึ่งก็ตายยกกลุ่ม!


แม้แต่อาวุธจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่เหลือ


ไปก็ตาย!


นี่มันเสียทั้งฮูหยินทั้งไพร่พลชัด ๆ จนถึงตอนนี้พวกเขาเศร้าใจยิ่ง นึกขึ้นมาได้แล้วน้ำตาก็ไหลไม่หยุด


นี่ถือเป็นประสบการณ์คละเคล้าเลือดน้ำตาของพวกเขา!

บทที่ 287

“บอกเรื่องของพวกเจ้ามาสิ”


กลุ่มอำนาจลับภาคกลางเหล่านี้ถึงกับร้องไห้เสียงดัง ย่อมมีคนไปมาถามพวกเขา


“แค่เรื่องเล็กน้อย!”


“ไม่เห็นหรือว่าพวกข้ากำลังเสียใจ ยังมาซ้ำเติมพวกข้าอีกหรือ!”


กลุ่มอำนาจลับภาคกลางกล่าวอย่างโกรธเคือง


พวกเขาจะยังอารมณ์ดีได้อย่างไร?


ประสบการณ์ก่อนหน้านี้ทำพวกเขาแทบกระอักเลือด ที่สำคัญพวกเขาไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนสังหารยอดฝีมือกลุ่มของพวกเขาน่ะสิ!


“แค่เรื่องเล็กน้อย ได้! หากเป็นเช่นนั้นพวกเรามาหารือเรื่องเล็กน้อยกันเถอะ บอกข้าหน่อยว่าบนร่างกายเจ้าเป็นขนแบบใดกัน...”


สีหน้าคนผู้นั้นเย็นชาผนวกกับลมปราณอันทรงพลังแผ่ซ่านออกมาจากกายของเขา


เพียงชั่วพริบตา เหล่ายอดฝีมือกลุ่มอำนาจลับจากภาคกลางถึงกับหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ เสื้อผ้าของพวกเขาเปียกโชก ร่างยอดฝีมือสั่นเทาไม่หยุด จิตวิญญาณสั่นกลัว!


ปราณของคนผู้นี้น่ากลัวเกินไปแล้ว พวกเขาทนไม่ไหว ขอบเขตของคนผู้นี้สูงกว่าพวกเขาหลายเท่า


“อ๊า พวกเราผิดไปแล้ว!"”


“ได้โปรดให้โอกาสพวกเราอีกครั้งเถอะ!”


พวกเขารีบขอโทษกับคนผู้นี้ คนผู้นี้เป็นผู้อาวุโสของตระกูลหานแห่งดินแดนฮวง แม่เฒ่าตระกูลหาน ซึ่งอยู่ด้านข้างหานเยว่


“ไม่ใช่บอกว่าเป็นเรื่องขน*[1]หรือ? บอกให้ข้าฟังสิ”


แม่เฒ่าตระกูลหานกำลังยันไม้เท้าหลีมู่ แม้ใบหน้าของนางจะไม่เแสดงออก ทว่าก็ยังน่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง ทำให้ผู้คนรู้สึกอึมครึมสุด ๆ


คำพูดของกลุ่มอำนาจลับภาคกลางดึงดูดความสนใจนาง นางยิ่งอยากรู้เกี่ยวกับพวกอ้ายฉานจากกลุ่มอำนาจลับภาคกลางให้มากขึ้น


นางไม่ใช่คนเดียวที่สนใจ พระอาจารย์เกาเซิง ผู้อาวุโสลัทธิเจี๋ยเทียน ฝู่ถูกับตระกูลใหญ่เองต่างสนใจด้วยเช่นกัน เพียงแต่ต่างลอบสังเกตจากที่ไกล


เสียงตะโกนเมื่อครู่ดังเกินไป พวกเขาเรียกพวกอ้ายฉานเช่นนั้น ยากที่พวกเขาจะไม่เป็นจุดเด่น


ท่ามกลางเสียงโห่ร้องเหล่านี้ กลุ่มอำนาจลับภาคกลางถึงกับร้องไห้อย่างขมขื่น เห็นได้ชัดว่าพวกเขากับอ้ายฉานเคยมีเบื้องลึกเบื้องหลังกันมาก่อน


อีกทั้งพวกเขาทั้งหมดต่างมาที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก


“ได้... ข้าจะบอก!”


หนึ่งในกลุ่มอำนาจลับทนแรงกดดันของปราณนั้นไม่ไหว จึงได้เอ่ยปากเล่า


“ทุกคนมีขนบนร่างกาย เจ้าให้ข้าพูดเรื่องขน ขนบนร่างของพวกเราเป็นแบบใด ข้าจะบอกให้เจ้ารู้แล้วกัน...”


ดียิ่งนัก! กลุ่มอำนาจลับกล่าวเช่นนี้... สีหน้าสิ่งมีชีวิตรอบข้างต่างเปลี่ยนไปและแปลกประหลาดยิ่งกว่าเก่า


นี่ยัง...จะไม่พูดความจริงอีก!?


เพียงแต่ยิ่งกล่าวก็ยิ่งรู้สึกสอดคล้องกันอย่างน่าประหลาดเหนือคาดหมาย!


แม้แต่พระอาจารย์เกาเซิงได้ยินก็มีสีหน้าแปรเปลี่ยนไม่อาจสงบนิ่ง มุมปากของเขากระตุกไม่หยุด


“ไม่เลว ๆ แต่งบทเพลงตอนค่ำแล้วหาเทพธิดามาขับร้อง คิดว่ามันจะกลายเป็นบทเพลงศักดิ์สิทธิ์ได้!”


ต้าเต๋อถึงกับปรบมือ รู้สึกว่าหากบทเพลงนี้ออกมาได้จะดียิ่งกว่า!


“...”


สีหน้าของแม่เฒ่าตระกูลหานอึมครึมยิ่งกว่าเก่า ดำคล้ำยิ่งกว่าถ่านดำ!


นางปล่อยให้ยอดฝีมือกลุ่มอำนาจลับเล่าเรื่องขนออกมา!?


เจ้าพวกนี้ฟังคำคนไม่เข้าใจหรือไร?


นางแค่ข่มขู่ สุดท้ายกลายเป็นกลุ่มอำนาจลับเล่า ‘เรื่องขน’ ออกมาจริง ๆ!


“หุบปาก!”


นางโกรธจัดกระแทกไม้เท้าหลีมู่ในมือลงบนพื้น ทันใดนั้นก็แผ่พลังอันทรงพลังออกมา ยอดฝีมือที่เป็นคนพูดปลิวลอยละลิ่วไปกระแทกจนกระอักเลือดได้รับบาดเจ็บสาหัส


“รนหาที่ตายนัก รีบบอกข้ามาเดี๋ยวนี้!”


นางตวาดลั่นด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างหมดความอดทน


กลุ่มอำนาจลับของภาคกลางไม่กล้าปิดบังอีก พวกเขารีบบอกความจริงทุกอย่าง


พวกเขาเล่าอย่างละเอียด ตอนเล่าพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาอย่างเสียใจ


“ช่าน่าสมเพชนัก น่าอับอายเหลือเกิน พวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ใดเป็นคนลงมือสังหารคนที่เราส่งไป…”


“อาวุธของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดกันมาในลัทธิไม่รู้ว่าต้องไปเอาหาเอาคืนจากผู้ใด!”


พวกเขาร้องไห้พลางกล่าว


กลุ่มอำนาจลับไม่รู้ว่าผู้สังหารกลุ่มใดเป็นผู้สังหารยอดฝีมือที่พวกเขาส่งไป


แต่แม่เฒ่าตระกูลหาน พระอาจารย์เกาเซิงกับเหล่าสิ่งมีชีวิตฟังแล้วกลับเข้าใจทันที


อ้ายฉานเด็กทั้งแปดคนเป็นคนของยอดนิกายไร้นาม ช่างสมกับเป็นยอดนิกายไร้นามนัก สังหารยอดฝีมือจากกลุ่มอำนาจลับจนสิ้น!


เข้าใจแล้ว!


พวกเขามองหลี่จิ่วเต้ากับหลิงอินบนยอดเขา พวกเขาคิดว่าหลี่จิ่วเต้ากับหลิงอินหาใช่ปุถุชนธรรมดา แม้พวกเขาจะไม่รู้สึกถึงร่องรอยฝึกตนบนร่างหลี่จิ่วเต้ากับหลิงอิน แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกอยู่ดีว่าทั้งสองคนนั้นไม่ใช่ปุถุชนธรรมดา เป็นไปได้ว่าอาจจะมาจากยอดนิกายไร้นาม


แต่ดูจากตอนนี้ พวกเขาเหมือนจะคิดมากไปเอง


พวกอ้ายฉานทั้งแปดคนไม่ได้เป็นคนจากยอดนิกาย แต่หลังเกิดนิมิตท้าทายสวรรค์ พวกเขาจึงถูกยอดนิกายดูแล


หลี่จิ่วเต้ากับหลิงอินน่าจะเป็นปุถุชนธรรมดา มาที่แห่งนี้ด้วยอาจเป็นเพราะพวกเขามีความสัมพันธ์อันดีกับพวกอ้ายฉานทั้งแปดคน ก่อนพวกเขาจะก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกตน...


คิดว่าปุถุชนอย่างหลี่จิ่วเต้ากับหลิงอิน น่าจะสนใจงานชุมนุมโลกแห่งการฝึกตน ดังนั้นจึงมาที่นี่กับพวกอ้ายฉาน


เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ทุกอย่างก็สมเหตุสมผลมากขึ้น


ถึงอย่างไรพวกเขาแต่ละคนมีขอบเขตสูงส่ง ซ้ำยังมีผู้ฝึกตนขอบเขตนักบุญอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล หากหลี่จิ่วเต้ากับหลิงอินเป็นผู้ฝึกตนจริง ๆ พวกเขาจะไม่มีร่องรอยฝึกตนได้อย่างไร?


เพียงแต่ว่าไม่ใช่เพราะเหตุนี้ที่ทำให้พวกเขามองหลี่จิ่วเต้ากับหลิงอินสบายใจขึ้น ถึงอย่างไรสุดท้ายแล้วสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการเดาของพวกเขา หากอยากพิสูจน์ความจริง พวกเขาจะต้องลงมือตรวจสอบอีกหลายครั้ง


“ต้องมีคนไปตรวจสอบพวกเขา พวกเจ้าแล้วกัน ไปตรวจสอบสถานการณ์ของพวกเขาทั้งหมดมาให้ข้า!”


พวกเขาออกคำสั่งให้เหล่ายอดฝีมือในกองกำลังของพวกเขาไปตรวจสอบ


ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคนรู้จักของพวกอ้ายฉานทั้งแปดคน หรือเซี่ยเหยียน รวมถึงอันหลานเสวี่ย เรื่องทุกอย่างของพวกอ้ายฉานทั้งแปดคน หรือเซี่ยเหยียน รวมถึงอันหลานเสวี่ยในแดนบูรพาทิศต้องไปตรวจสอบมาทั้งหมด


หลี่จิ่วเต้ากับหลิงอินเป็นปุถุชนและไม่เป็นที่รู้จัก แต่พวกเขารู้สึกว่าทั้งสองคนก็จำเป็นต้องถูกตรวจสอบด้วย


เมื่อพวกเขาได้ตรวจสอบความเป็นจริงทั้งหมดแล้วถึงจะได้เข้าใจทั้งหมดได้


ในอีกด้านหนึ่งฉงคูจ้องเขม็งไปที่เซี่ยเหยียน


มันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่คุ้นเคยจากเซี่ยเหยียน!


‘ศพของน้องชายข้าอยู่บนร่างนาง!’


มันกัดฟันกรอด ดวงตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยความดุร้าย


ความรู้สึกที่คุ้นเคยนี้มาจากความรู้สึกระหว่างมันกับน้องชาย นี่คือความรู้สึกระหว่างสายเลือด ไม่ผิดแน่!


น้องชายของมันตายตกไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าร่างของน้องชายของมันอยู่บนร่างของเซี่ยเหยียน ไม่เช่นนั้นมันจะรู้สึกคุ้นเคยเช่นนี้กับเซี่ยเหยียนได้อย่างไร!


‘เป็นเจ้าที่ฆ่าน้องชายข้าสินะ!’


มันโกรธแค้นคำรามอยู่ในใจ


ร่างของน้องชายมันอยู่บนร่างของเซี่ยเหยียนไม่ต้องสงสัยเลยว่าน้องชายของเขาต้องถูกเซี่ยเหยียนฆ่าเป็นแน่!


“อีกไม่นานบิดาจะมาแล้ว ถึงเวลานั้น ข้าจะให้เจ้าชดใช้ด้วยชีวิต!”


มันแค่นเสียงกล่าวในใจ ทำอะไรผลีผลามไม่ได้ต้องรอฆ่าเซี่ยเหยียนเสียก่อน


ไม่ใช่ว่ามันไม่อยากทำ แต่มันทำไม่ได้ มันจะฆ่าพวกเซี่ยเหยียนได้อย่างไร หากคนตระกูลซางยังปกป้องพวกเขาอยู่เช่นนี้?


มันอยากฆ่าก็ฆ่าไม่ได้!


ถึงมันจะลงมือฆ่า มันก็รังแต่จะทำให้ตนเองอับอาย ยากจะทำสำเร็จ


หลังจากมันรู้ว่าน้องชายของมันตายแล้ว มันก็รีบแจ้งบิดาของมัน ท่านพ่อของมันก็รีบมาที่นี่ทันที


หลังท่านพ่อมาถึงแล้ว ไม่ว่าตระกูลซางอยากจะปกป้องเซี่ยเหยียนมากเพียงใด พวกเขาก็ทำไม่ได้

พวกมันจะต้องใช้เลือดของพวกเซี่ยเหยียนมาชดใช้ชีวิตน้องชายของมัน!



[1] เรื่องขน หมายถึง เรื่องเล็ก

บทที่ 288

บนยอดเขาหยงหมิง พวกหลี่จิ่วเต้าเข้าไปในพระราชวัง


หลี่จิ่วเต้าไม่รู้ว่าการมาของพวกเขาสร้างความฮือฮาต่อสิ่งมีชีวิตบนเขาหยงหมิงมากมายเพียงนี้


“เข้าไปไม่ได้!”


เขาหยงหมิงมีสิ่งมีชีวิตเกลื่อนกลาดไปหมด ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนและสือเฟิงอุตส่าห์เบียดขึ้นมาอยู่ข้างบนได้ กลับพบว่าอีกฟากของเขามีม่านพลัง กีดขวางมิให้สิ่งมีชีวิตตนใดเข้าไปได้


พวกเขาเองก็โดนสกัด เข้าไปไม่ได้


แน่นอนว่าสำหรับพวกเขา ม่านพลังในที่แห่งนี้มิใช่ปัญหา


สือเฟิงมีภาพหยินหยางที่ท่านเซียนประทานให้ สามารถทลายม่านพลังในพื้นที่แห่งนี้ได้อย่างง่ายดายโดยมิต้องเปลืองแรง แต่ท่านเซียนอยู่ที่นี่ พวกเขามิกล้าผลีผลาม


“ไม่ต้องร้อนใจ รอไปแล้วกัน” ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกล่าว


“คุณชายมาหรือนี่ ข้าคิดไม่ถึงจริง ๆ!”


สือเฟิงเอ่ยอย่างสะท้อนใจ


ท่านเซียนเร้นกายอยู่ในเมืองชิงซานด้วยฐานะปุถุชน เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะได้พบท่านเซียนในงานชุมนุมของโลกแห่งการฝึกตนนี้


“เจ้าคิดไม่ถึง ข้าเองก็เหมือนกัน!”


ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนคิดไม่ถึงเช่นกัน และเดาจุดประสงค์ของท่านเซียนไม่ออก


“สิ่งที่ท่านเซียนทำอยู่ย่อมมีความหมายลึกซึ้ง เจ้ากับข้าต้องระวังให้มากกว่านี้ จำไว้ว่าอย่าทำให้คุณชายต้องเสียเรื่อง และอย่าฝ่าฝืนข้อห้ามของคุณชาย!”


ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกล่าวต่อสือเฟิง


“อืม ข้าเข้าใจ”


สือเฟิงพยักหน้าหนักหน่วง จากนั้นถึงเอ่ยด้วยแววตาแฝงความนัย “เห็นได้ชัดว่างานชุมนุมนี้ไม่ธรรมดา…”


สิ่งมีชีวิตระดับโอรสและธิดาสวรรค์ผู้โดดเด่นในเหยียนโจวล้วนได้รับเทียบเชิญ งานชุมนุมนี้เป็นเพียงการชุมนุมธรรมดาจริงหรือ


เขาไม่คิดอย่างนั้น…


เบื้องหลังของงานชุมนุมนี้เกรงว่ามีความลับยิ่งกว่านี้ซ่อนอยู่


...


หลี่จิ่วเต้าเดินเข้าไปในพระราชวัง พระราชวังนี้กว้างขวางใหญ่โต การตกแต่งภายในเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายโบราณ งดงามประณีตเป็นอย่างยิ่ง เดิมเขาคิดว่าที่นี่คือพระราชวังไว้พำนัก เมื่อเข้าไปแล้วเขาถึงพบว่าตัวเองคิดผิด


ที่นี่เป็นเพียงห้องโถงด้านหน้าเท่านั้น


เมื่อทะลุผ่านโถงด้านหน้าไป ยังมีลานอยู่ด้านหลัง


ภายในลานมีสายน้ำพร้อมสะพานขนาดเล็ก พืชพรรณเขียวชอุ่มมากมายแต่งแต้มอยู่ภายใน ทั้งยังมีศาลาไม้แดงหลังหนึ่ง มีโต๊ะหินเก้าอี้หินตั้งวางอยู่ด้านใน เป็นลานที่พิถีพิถันยิ่ง


ได้พักอยู่ที่นี่ต้องอภิรมย์มากแน่ ๆ หลี่จิ่วเต้าพึงพอใจสุด ๆ


ผู้อาวุโสเก้าเดินตามอยู่ด้านหลัง ในใจประหม่าเหลือล้น


ท่านนี้คือท่านเซียนหรือ!?


สูงส่งเกินหยั่งอย่างที่คิด!


เขาเป็นถึงราชันเทวา ซ้ำยังเป็นมหาราชันเทวา เหนือกว่าราชันเทวาผู้อื่นไปมาก ทว่ากลับสัมผัสร่องรอยบำเพ็ญจากตัวท่านเซียนไม่ได้เลย ไร้ซึ่งคลื่นพลังปราณใด ๆ ท่านเซียนเสมือนปุถุชนคนหนึ่งจริง ๆ


หากมิใช่ว่าซางเหิงเล่าทุกอย่างให้เขาฟังแล้ว เขาย่อมมิกล้าเชื่อว่านี่คือท่านเซียน เพียงคิดว่านี่คือปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น


“ปุถุชนอย่างข้าพำนักอยู่ที่นี่ไม่เป็นปัญหาใช่หรือไม่”


หลี่จิ่วเต้าถาม


เขาคิดว่าในเขาหยงหมิงเต็มไปด้วยผู้ฝึกตนและสัตว์อสูร ปุถุชนธรรมดาอย่างเขาพำนักอยู่ที่นี่ดูไม่ค่อยดีหรือไม่


ถึงอย่างไรที่พักนั้นก็มีจำกัด ในเขาคงมีผู้ฝึกตนและสัตว์อสูรมากมายยังไร้ที่อยู่


ประโยคนี้ของท่านเซียนหมายความว่าอย่างไร?


ท่านเซียนพำนักที่นี่ ผู้ใดกล้าบอกว่าเป็นปัญหา


เหตุใดท่านเซียนต้องเอ่ยวาจาเช่นนี้...


ผู้อาวุโสเก้าใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว ไตร่ตรองว่าเหตุใดท่านเซียนถึงพูดเช่นนี้


ถึงอย่างไรเขาก็มิใช่คนธรรมดา ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ความคิดแล่นผ่านอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดท่านเซียนถึงเอ่ยเช่นนี้


ประเด็นมิได้อยู่ที่เป็นปัญหาหรือไม่ แต่เป็นคำกล่าวของท่านเซียนที่ว่า ‘ปุถุชนอย่างข้า’!


ปุถุชนอย่างข้า…


ท่านเซียนกำลังเตือนเขาให้รู้ว่า อย่าเปิดเผยตัวตนของท่านเซียนเด็ดขาด!


เข้าใจแล้ว!


หลังตระหนักได้ เขารีบเอ่ยขึ้น “คุณชายคิดมากไปแล้ว บุญคุณช่วยชีวิตใหญ่คับฟ้า พำนักที่นี่หาใช่เรื่องใหญ่ไม่ ไม่มีเรื่องใดใหญ่หลวงไปกว่าบุญคุณช่วยชีวิต!”


หลี่จิ่วเต้าคิดแล้ว เป็นเช่นนั้นจริง


สิ่งใดเล่าจะเทียบได้กับบุญคุณช่วยชีวิต?


ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็อยู่ที่นี่ได้อย่างสบายใจ


“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นต้องรบกวนด้วย”


หลี่จิ่วเต้าเอ่ยยิ้ม ๆ


พวกเขาพำนักอยู่ที่นี่ ทุกคนต่างมีลานพระราชวังแบบนี้กันหมด


หลังจัดแจงทุกอย่างเรียบร้อย ผู้อาวุโสเก้าอยู่เป็นเพื่อนต่ออีกพักหนึ่ง


สุดท้าย เขาพาคนของตระกูลซางออกไป ทั้งยังสั่งให้คนตระกูลซางดูแลทุกคนที่นี่ให้ดี


ผู้ที่ล่วงรู้ตัวตนของท่านเซียนมีไม่มาก มีเพียงเขาและผู้อาวุโสอีกสามคน รวมถึงซางเหิงกับซางเจี๋ย ผู้อาวุโสอื่น ๆ ล้วนไม่รู้


เขาได้รับคำเตือนจากท่านเซียนแล้ว ยิ่งมิกล้าเปิดเผยตัวตนของท่านเซียน แม้แต่ผู้อาวุโสท่านอื่นก็ไม่ได้บอก บอกเพียงว่าคนที่อยู่ที่นี่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ห้ามเสียมารยาทแม้แต่น้อย


แม้ผู้อาวุโสท่านอื่นไม่เข้าใจ แต่พวกเขามิกล้าขัดคำสั่งของผู้อาวุโสเก้า ต่างพากันอารักขาอยู่ที่นี่ด้วยตนเอง มิกล้าชะล่าใจแม้แต่น้อย


“ตระกูลซางนี่สุดยอด ถึงขั้นกระชับสัมพันธ์ไมตรีกับยอดนิกายระดับนี้ได้!”


ทันทีที่ออกมา ก็พบกับแม่เฒ่าตระกูลหาน พระอาจารย์เกาเซิงจากพุทธศาสนา และยอดฝีมือตระกูลโบราณจำนวนหนึ่ง


พวกเขามารอกันที่นี่อยู่นานแล้ว รอให้ผู้อาวุโสเก้าออกมา


เพราะที่นี่มีม่านพลังอยู่ พวกเขาจึงเข้าไปไม่ได้ นอกเสียจากว่าจะฝืนทลายม่ายพลัง


“ยอดนิกายอันใด?”


ผู้อาวุโสเก้าขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจความหมาย


“สหาย ไม่จำเป็นต้องแสดงละครต่อไปแล้วกระมัง หากเบื้องหลังพวกเขาไร้ซึ่งยอดนิกายหนุนหลัง ไยสหายต้องเกรงอกเกรงใจกับพวกเขาถึงปานนี้”


ผู้อาวุโสหูแห่งลัทธิเจี๋ยเทียนเอ่ย


อย่างนี้นี่เอง…


ผู้อาวุโสเก้าถึงบางอ้อ คนเหล่านี้ต่างเข้าใจว่าท่านเซียนและคนอื่น ๆ มาจากยอดนิกายสักแห่ง


ทว่าเขาเพียงหัวเราะ มิได้ยอมรับ “ยอดนิกายที่ไหนกัน สหายทั้งหลายคิดมากเกินไปแล้ว”


ท่านเซียนอยู่ในฐานะปุถุชน!


เมื่อครู่ท่านเซียนเพิ่งเอ่ยเตือนเขา เขาไฉนเลยจะกล้ายอมรับว่ามียอดนิกาย


แม้ว่าเรื่องยอดนิกายไม่เป็นการเปิดเผยตัวตนเซียนของท่านเซียนโดยตรง แต่หากยอมรับ ฐานะปุถุชนของท่านเซียนจักไม่สมเหตุสมผล…


เขาย่อมไม่กล้าทำเช่นนั้น


“สหายปิดบังไปก็ไร้ความหมาย”


แม่เฒ่าตระกูลหานส่ายหน้า “พวกเราสืบสวนมาแล้ว เด็กทั้งแปดคนล้วนมีพรสวรรค์สะท้านฟ้า เคยเรียกปรากฏการณ์ประหลาดจากฟ้าลงมา สรรพวิถีร่วมสรรเสริญ จากนั้นพวกเขาก็เข้าร่วมสำนักฝึกตนระดับปานกลางแห่งหนึ่งที่แดนบูรพาทิศของเหยียนโจว พรรคจื่อเสีย”


นางกล่าวต่อ “ครานั้น เคยมีกลุ่มอำนาจลับจำนวนหนึ่งหมายตาเด็กกลุ่มนี้ ทว่ายอดฝีมือที่กลุ่มอำนาจลับเหล่านี้ส่งไปล้วนไม่มีโอกาสได้กลับ ตายด้วยน้ำมือยอดฝีมือนิรนาม อาวุธศักดิ์สิทธิ์ อาวุธจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ที่นำไปก็ต้องสูญสิ้นไปด้วย”


“นอกจากนี้ พรรคจื่อเสียที่ว่าไร้ซึ่งรากฐานใด ๆ ทว่าเด็กแปดคนนี้กลับพัฒนาฝีมือได้อย่างก้าวกระโดด ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปีก็บำเพ็ญจากปุถุชนคนหนึ่งจนถึงขอบเขตพรตเต๋า ซ้ำยังมีวิชาอภินิหารอันน่าทึ่งสืบสานกันทุกคน!”


“เท่านี้ก็สะท้อนแล้วว่าเด็กแปดคนนี้เกี่ยวข้องกับยอดนิกาย!”


“หากไม่เกี่ยวข้องกับยอดนิกาย เช่นนั้นเหตุใดยอดฝีมือจากกลุ่มอำนาจลับต่าง ๆ ถึงจบชีวิตลง แล้วเด็กแปดคนพัฒนาอย่างรวดเร็วปานนี้ได้อย่างไร ซ้ำยังมีวิชาอภินิหารอันน่าทึ่งสืบสานกันทุกคน”


นางมองผู้อาวุโสเก้า เอ่ยด้วยสายตาลุกวาว “หลังจากเด็กแปดคนแสดงพรสวรรค์สะท้านนภาออกมา ย่อมเป็นที่จับตามองของยอดนิกาย จนถูกยอดนิกายดึงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง และยอดฝีมือที่กลุ่มอำนาจลับส่งไปก็ถูกฆ่าโดยยอดนิกายอย่างแน่นอน”


“น่าสนใจ แล้วผู้อื่นเล่า”


ผู้อาวุโสเก้าถาม เขาอยากได้ยินความคิดทั้งหมดของยอดฝีมืออย่างพวกแม่เฒ่าตระกูลหาน


ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อาจไม่พูดสิ่งใดเลยสักคำ ต้องมีคำอธิบายบางอย่างให้พวกเขา


“คนอื่นไม่เท่าไร ปุถุชนสองคนนั้นเป็นเพียงปุถุชนธรรมดา คนหนึ่งชื่อหลี่จิ่วเต้า คนหนึ่งชื่อหลิงอิน พวกเขากับเด็กแปดคนนั้นอาศัยในเมืองปุถุชนเดียวกัน ต่อมา เด็กแปดคนได้รับเทียบเชิญ จึงตั้งใจกลับเมืองไปเยี่ยมปุถุชนนามหลี่จิ่วเต้า”


แม่เฒ่ากล่าว “หลี่จิ่วเต้าเชี่ยวชาญด้านศิลปศาสตร์ ฝีมือการรักษาก็ดีเยี่ยม ในอดีตเคยดูแลเด็กแปดคนนี้เป็นอย่างดี ทั้งยังเคยช่วยรักษาบุพการีของพวกเขา พวกเขาจึงเคารพนับถือหลี่จิ่วเต้าเป็นอย่างมาก คิดแล้วคงเป็นพวกเขาที่พาหลี่จิ่วเต้ามาที่นี่”


กลุ่มอำนาจของพวกเขาล้วนเป็นตระกูลโบราณ สำนักโบราณที่สืบสานกันมาอย่างยาวนาน และมีสมาชิกอยู่ในตาข่ายข่าวกรองเทียนตี้เช่นกัน


ก่อนหน้านี้ พวกเขาส่งคนไปสืบเสาะปูมหลังของพวกหลี่จิ่วเต้า และได้รับผลการสืบสวนอย่างรวดเร็ว


หลี่จิ่วเต้า…ปุถุชน!


ฟังมาถึงนี่ ผู้อาวุโสเก้ากระจ่างแจ้งขึ้นมาในบัดดล!


ท่านเซียนสมเป็นท่านเซียน!


เห็นได้ชัดว่าท่านเซียนคาดการณ์ไว้แล้วทุกอย่าง ถึงได้ตักเตือนเขาก่อนล่วงหน้า!

บทที่ 289

ก่อนหน้าที่ท่านเซียนเตือนเขา ผู้อาวุโสเก้ายังมีความฉงนนิดหน่อย


ถึงอย่างไรเมื่อครั้งต้อนรับท่านเซียน เขามิได้กล่าวถึงฐานะท่านเซียน หรือเปิดเผยตัวตนของท่านเซียน เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น ท่านเซียนยังคงเป็น ‘ท่านเซียน’


จริง ๆ แล้วท่านเซียนไม่จำเป็นต้องจงใจเตือนเขาอีกเป็นครั้งที่สอง…


เพราะอย่างนั้น ยามที่ท่านเซียนเอ่ยเตือนเขาในพระราชวัง เขาถึงงุนงงไปนิดหน่อย


ทว่าบัดนี้ได้ฟังคำอธิบายทั้งหมดของแม่เฒ่าตระกูลหานแล้ว เขาพลันถึงบางอ้อ ท่านเซียนจงใจเตือนก็เพื่อสถานการณ์อย่างตอนนี้ เพื่อมิให้เขาเผลอเปิดเผยความจริงต่อพวกแม่เฒ่าตระกูลหาน!


หยั่งรู้ก่อนกาล ท่านเซียนเก่งฉกาจจริง ๆ!


ผู้อาวุโสเก้ามิได้พูดจา ฟังแม่เฒ่าตระกูลหานกล่าวต่อ


สถานการณ์อย่างตอนนี้ เขาจำต้องอธิบายไปบ้าง ไม่สามารถอุบเงียบไม่บอกอะไร


ทว่าบัดนี้ เขาไม่รู้สึกประหม่าอีกต่อไป


ในการคาดการณ์ของแม่เฒ่าตระกูลหาน ฐานะของท่านเซียนคือ ‘ปุถุชน’ เขาย่อมไม่มีความจำเป็นต้องกังวลอีก


ตราบใดที่ฐานะ ‘ปุถุชน’ ของท่านเซียนไม่เปลี่ยน เรื่องทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา ฐานะของผู้อื่นมิได้สลักสำคัญแต่อย่างใด


“ผู้ฝึกตนหญิงสองคน คนหนึ่งชื่ออันหลานเสวี่ย คนหนึ่งชื่อเซี่ยเหยียน”


แม่เฒ่ากล่าวต่อ “อันหลานเสวี่ยมาจากพรรคจื่อเสีย ระยะนี้พลังเพิ่มพูนอย่าผิดวิสัย บัดนี้ก้าวสู่ขอบเขตพรตเต๋าแล้ว!”


“ด้วยรากฐานของพรรคจื่อเสีย อันหลานเสวี่ยไม่มีทางยกระดับพลังได้ไวขนาดนี้ เด็กแปดคนได้รับสมัครจากยอดนิกาย ทว่าเบื้องหน้ายังฝึกฝนอยู่ในพรรคจื่อเสีย อันหลานเสวี่ยก็อยู่ในพรรคจื่อเสีย คิดแล้วคงได้รับการบำเหน็จบำนาญจากยอดนิกาย และด้วยเหตุนี้ อันหลานเสวี่ยถึงพัฒนาฝีมือได้ว่องไวยิ่ง!”


แม่เฒ่ากล่าวต่อ “ผู้ฝึกตนหญิงอีกคนชื่อเซี่ยเหยียน มาจากสำนักไท่หัว พลังของนางพัฒนาได้ผิดวิสัยยิ่งกว่า บัดนี้ก้าวเข้าขอบเขตเทวาแล้ว!”


“ระดับขอบเขตเทวานี้ อย่าว่าแต่ในเหยียนโจวเลย ทั้งดินแดนหยินก็มีอยู่ไม่กี่คน ขอบเขตเทวาวัยเยาว์อย่างเซี่ยเหยียนยิ่งแทบไม่มี!”


“ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เซี่ยเหยียนเป็นเหมือนเด็กแปดคนนั้น ถูกยอดนิกายรับเข้าเป็นพรรคพวก และได้รับการอบรมบ่มเพาะอย่างดี!”


ที่นางสาธยายมาทั้งหมด ก็เพื่อได้รับการยืนยันจากผู้อาวุโสเก้า


ถึงอย่างไรเรื่องราวเหล่านี้เป็นเพียงการคาดเดาของพวกเขาเท่านั้น ไม่มีหลักฐานแต่อย่างใด


“ส่วนแมวน้อยสีขาวตัวนั้น สายเลือดในตัวมันน่าตกตะลึงยิ่ง ไม่ด้อยไปกว่าลูกหลานสิบอสูรร้ายเลย หรืออาจแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ!”


แม่เฒ่ามองผู้อาวุโสเก้าขณะเอ่ย “ในยุคโบราณ สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักเทียนหยวนจุติ บรรพชนของเรามิใช่คู่ต่อสู้ ไม่อาจต้านทานได้ไหว สุดท้ายแล้วมีสิ่งมีชีวิตจากยอดนิกายนิรนามปรากฏ ถึงเอาชนะสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนได้”


“ครานั้น มียอดอสูรร้ายจากยอดนิกายนิรนามก้าวออกมา ความแกร่งกล้าน่าสยดสยอง เอาชนะไปทั่วทุกทิศในสงครามใหญ่ สร้างคุณูปการไว้มหาศาล!”


“สายเลือดของแมวน้อยสีขาวตัวนี้คล้ายกับยอดอสูรร้ายตัวนั้นจนน่าสะพรึง มันย่อมเกี่ยวข้องกับยอดนิกาย!”


นางเอ่ยด้วยสายตาเป็นประกาย “นอกจากปุถุชนสองคนนั้นแล้ว ผู้อื่นล้วนเกี่ยวข้องกับยอดนิกาย!”


“ไม่ใช่กระมัง สิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับยอดนิกายทั้งสิ้น กลับมีปุถุชนสองคนปะปนอยู่ด้วย เจ้าแน่ใจหรือว่าปุถุชนสองคนนั้นเป็นเพียงปุถุชนธรรมดาจริง ๆ!”


ต้าเต๋ออยู่ที่นี่ด้วย เขารู้สึกว่าหลี่จิ่วเต้ากับหลิงอินสองคนมิใช่เพียงปุถุชน แม้ว่าเขาเองก็สัมผัสร่องรอยฝึกฝนจากตัวหลี่จิ่วเต้ากับหลิงอินไม่ได้เช่นกัน


“สองคนนั้นเป็นเพียงปุถุชน เรื่องนั้นไม่มีข้อกังขา”


แม่เฒ่าตระกูลหานเอ่ย “หลี่จิ่วเต้ากับหลิงอินเป็นปุถุชนที่มาจากเมืองปุถุชนเดียวกัน เมืองชิงซาน”


“หลี่จิ่วเต้ามิใช่คนของเมืองชิงซาน หากแต่เป็นคนนอกเมือง มาอยู่ในเมืองชิงซานตั้งแต่เก้าปีก่อน เขาอยากฝึกตน เคยไปเข้าร่วมการสอบคัดเลือกศิษย์ของสำนักไท่หัว ทว่าจากการทดสอบ เขาปราศจากศักยภาพการฝึกฝนใด ๆ สุดท้ายจึงอยู่ที่เมืองชิงซาน อยู่มาเก้าปีจวบจนบัดนี้”


นางเอ่ยต่อ “หลิงอินนั้นยิ่งไม่น่าสงสัย นางคือชาวเมืองชิงซานตั้งแต่กำเนิด ไม่เคยออกจากเมืองชิงซานเลย นางใช้ชีวิตอยู่ในเมืองชิงซานมาโดยตลอด ไม่เคยข้องแวะกับเรื่องการฝึกตนแม้แต่น้อย”


ต้องยอมรับว่าเครือข่ายข่าวกรองเทียนตี้นั้นเก่งกาจสามารถ นี่เพิ่งผ่านไปไม่เท่าไร ด้านพวกเขาก็ได้ข้อมูลมามากมายถึงเพียงนี้


“แมวน้อยสีขาวตัวนั้นเดิมเป็นเพียงแมวจรจัด เร่ร่อนจนมาถึงเมืองชิงซาน แล้วได้หลี่จิ่วเต้าเก็บไปเลี้ยง”


แม่เฒ่ากล่าว “ทั้งหมดเริ่มขึ้นหลังจากเด็กแปดคนนั้นแสดงพรสวรรค์สะท้านฟ้าออกมา!”


“เด็กทั้งแปดแสดงศักยภาพสะท้านโลกันตร์ กลายเป็นที่สนใจของยอดนิกาย หลังจากนั้น ยอดนิกายจึงรับเด็กทั้งแปดไว้”


“หลี่จิ่วเต้ามีสัมพันธ์ดีงามกับเด็กทั้งแปด เกรงว่าเด็กทั้งแปดคนนี้อยากให้หลี่จิ่วเต้าได้ก้าวสู่เส้นทางฝึกตนด้วย ต่อมาคนจากยอดนิกายคงไปเยือนหลี่จิ่วเต้า”


“เมื่อไปถึงที่นั่น ยอดนิกายคงสัมผัสได้ว่าแมวน้อยสีขาวมิใช่แมวธรรมดา จึงช่วยปลุกสายเลือดของแมวน้อยให้ตื่น!”


“เซี่ยเหยียนชื่นชอบศิลปศาสตร์ และหลี่จิ่วเต้าแตกฉานด้านศิลปศาสตร์พอดี นางจึงแวะเวียนไปหาหลี่จิ่วเต้าอยู่บ่อย ๆ เกรงว่าเพราะเหตุนี้ ยอดนิกายถึงเห็นว่าตัวนางมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา จึงรับนางเข้าร่วมด้วย ทั้งยังอบรมบ่มเพาะเป็นอย่างดี จนเซี่ยเหยียนมีขอบเขตสูงส่งอย่างในตอนนี้!”


แม่เฒ่ากล่าว


ทั้งหมดนี้ไม่ใช่การคาดเดาของนางคนเดียว แต่เป็นผลสรุปจากการวิเคราะห์ร่วมกับยอดฝีมือคนอื่น


และการคาดเดานี้สมเหตุสมผล เข้าใกล้ความเป็นจริงที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย


นางมองผู้อาวุโสเก้าพลางกล่าว “ทุกคนต่างรู้ว่าในโลกนี้มีการดำรงอยู่อย่างยอดนิกาย เหตุไฉนผู้อาวุโสเก้าถึงยังต้องปิดบังพวกเราอีก สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนใกล้จะจุติลงมาอีกครา เกรงว่ายอดนิกายก็คงทราบเรื่องนี้ ถึงได้รับผู้ฝึกตนเป็นจำนวนมาก”


ใช้ได้นี่!


เก่งมาก!


หากมิใช่ว่าเขาล่วงรู้ฐานะของท่านเซียน เขาคงรู้สึกว่านี่แหละคือความจริง!


ถึงอย่างไรการคาดเดาของแม่เฒ่าก็ถูกต้องตามหลักความเป็นจริง


ในโลกนี้เคยมีการดำรงอยู่ระดับยอดนิกายจริง ซ้ำพวกเขายังเคยปรากฏตัวในยุคโบราณด้วย


ผู้อาวุโสเก้าคิดในใจ


หากเขามิได้ล่วงรู้ตัวตนของท่านเซียน เขาคงคาดเดาไปเช่นนี้เหมือนกัน


ทว่าความจริงนั้นผิดถนัด


ยอดนิกายดำรงอยู่จริง แต่เกรงว่าตอนนี้คงยังไม่มาปรากฏ


ที่แมวน้อยสีขาว เซี่ยเหยียน อันหลานเสวี่ย อ้ายฉานและเด็กคนอื่น ๆ น่าทึ่งผิดวิสัยปานนี้ ย่อมเป็นเพราะได้รับพรจากท่านเซียน


ไม่ได้ยินที่ซางเหิงบอกหรือ ของว่างที่ท่านเซียนทำมีพลังเหนือกว่าโอสถมหาจักรพรรดิเสียอีก!


แมวน้อยสีขาว เซี่ยเหยียน และคนอื่น ๆ ที่ติดตามอยู่ข้างกายท่านเซียนไฉนเลยจะธรรมดา ย่อมต้องได้รับประโยชน์มหาศาลอยู่แล้ว!


“ในเมื่อพวกท่านเดากันออก ข้าก็ไม่ขอปิดบัง”


ผู้อาวุโสเก้ากล่าว “ถูกต้อง อ้ายฉานและเด็กคนอื่น ๆ กับเซี่ยเหยียนและอันหลานเสวี่ยเกี่ยวข้องกับยอดนิกายจริง สถานการณ์ก็คลับคล้ายกับที่ทุกท่านคิด”


ฐานะ ‘ปุถุชน’ ของท่านเซียนยังไม่ถูกเปิดเผย เขาสามารถยอมรับเรื่องยอดนิกายได้


“มาจากยอดนิกายจริงหรือนี่!”


หลังได้ยินคำตอบจากผู้อาวุโสเก้า แม่เฒ่าตระกูลหาน พระอาจารย์เกาเซิงจากพุทธศาสนา ผู้อาวุโสจากลัทธิเจี๋ยเทียน รวมถึงยอดฝีมือจากตระกูลโบราณ และสำนักโบราณอื่น ๆ ล้วนสะท้านใจ


ถึงแม้พวกเขาคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว กระนั้นคาดการณ์ก็คือคาดการณ์ บัดนี้ผู้อาวุโสยืนยันความจริง พวกเขาสะเทือนใจมหาศาล


นั่นเป็นถึงยอดนิกายเชียวนะ เคยเป็นตัวแปรตัดสินผลแพ้ชนะของภัยพิบัติครั้งใหญ่ในยุคโบราณ จะมิให้พวกเขาสะเทือนใจมากได้อย่างไร


ผู้อาวุโสเก้าถอนหายใจ “ที่จริงข้าไม่พูด เพราะกลัวว่าทุกท่านจะหนักอึ้งในใจ!”


“หนักอึ้งในใจหรือ?”


“ไยพวกเราต้องรู้สึกหนักอึ้งด้วย”


ยอดฝีมืออย่างพวกแม่เฒ่าถามอย่างไม่เข้าใจ


“พวกเขามาที่นี่เพื่อฝึกฝนขัดเกลา ตั้งใจจะลับฝีมือต่อสู้กับโอรสและธิดาสวรรค์จากตระกูลต่าง ๆ


ผู้อาวุโสเก้าเอ่ย “ก่อนหน้านี้ข้าไม่พูด เพราะเกรงว่าหลังจากทุกท่านล่วงรู้ตัวตนของพวกเขาแล้วจะเกิดความยำเกรง ส่งผลให้โอรสธิดาสวรรค์ในตระกูลสำนักมิกล้าต่อสู้กับพวกเขาอย่างเต็มกำลัง…”


“เช่นนี้นี่เอง!”


“พวกเขายกระดับพลังได้รวดเร็วยิ่ง จำต้องฝึกฝนขัดเกลาให้ดีอย่างที่ว่า”


ยอดฝีมืออย่างพวกแม่เฒ่าเอ่ย


“แล้วเจ้าปิดบังไปเพื่ออันใด?”


ต้าเต๋อเบ้ปาก “ก่อนหน้านี้เจ้าเตรียมพื้นที่พระราชวังชั้นสูงทั้งหมดไว้ให้พวกเขา โยกย้ายสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่พำนักในนั้นไปที่อื่น ซ้ำยังต้อนรับพวกเขาต่อหน้าธารกำนัลถึงเพียงนั้น คนสติไม่ดียังคิดได้ว่าพวกเขามีฐานะไม่ธรรมดา!”


หลังได้ยินคำกล่าวของต้าเต๋อ ผู้อาวุโสเก้ามีเหงื่อเย็นไหลซึมออกมาตามแผ่นหลังฉับพลัน นึกกลัวขึ้นมาทีหลัง


ท่านเซียนผู้หนึ่งมาเยือน


เขาไฉนเลยจะกล้าเสียมารยาท?!


เขาย่อมมิกล้า!


เพราะอย่างนั้น เขาถึงจัดเตรียมพื้นที่พระราชวังชั้นสูงทั้งหมดไว้ให้ หลังจากนั้น ก็เข้าไปต้อนรับการมาของท่านเซียนโดยมิกล้าเสียมารยาท


ทว่า…ดูเหมือนเขาจะทำผิด!


ท่านเซียนมาในฐานะ ‘ปุถุชน’ นะ!


เขาทำเช่นนี้มิเป็นการผลักท่านเซียนสู่การเป็นที่ครหา ชี้นำผู้อื่นให้คับข้องใจในฐานะ ‘ปุถุชน’ หรอกหรือ


หากไม่มีสิ่งที่เขาทำลงไปก่อนหน้านี้ ต่อมาจะเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตเยี่ยงนี้ได้อย่างไร


ยอดฝีมืออย่างพวกแม่เฒ่าไฉนเลยจะพากันคาดเดาไปต่าง ๆ นานาว่าท่านเซียนเป็นผู้ใด


เขาผิดไปแล้ว…จริง ๆ!


เรื่องนี้ทำให้เขานึกกลัวขึ้นมาเหลือแสน สั่นสะท้านไปทั้งวิญญาณ


ที่ตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่นับว่าโชคดีหนักหนา!


‘ท่านเซียนมิได้ฆ่าข้า ซ้ำยังตั้งใจเตือนข้าอีกครั้ง คงต้องการเก็บข้าไว้ชดเชยความผิดทั้งหมด! มิฉะนั้น…ข้าคงตายไปนานแล้ว!’


ผู้อาวุโสเก้าคิดในใจด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง


ก่อนหน้านี้เขากลับยังคิดไปว่าตนเองมิได้ทำสิ่งใดผิด คิดว่าท่านเซียนไม่จำเป็นต้องเตือนเข้าเรื่อง ‘ปุถุชน’ อีกครั้ง


บัดนี้มาคิดดูแล้ว เขาช่างโง่เง่าเหลือเกิน ทำสิ่งใดไม่รู้จักพิจารณาให้รอบคอบ!


ก่อนหน้านี้มัวแต่พุ่งความสนใจไปที่ต้อนรับท่านเซียน จนมองข้ามฐานะ ‘ปุถุชน’ ของท่านเซียนไป!


“ขอบอกตามตรงว่า ข้าเองก็เพิ่งได้ทราบตัวตนของพวกเขา”


ผู้อาวุโสเก้ารีบบอก “ซางเหิงในตระกูลเราบังเอิญพบกับพวกเขาที่ข้างนอก ตระหนักได้ว่าพวกเขามีฐานะไม่ธรรมดา จึงกลับมารายงานต่อข้า ข้ามิกล้าเสียมารยาท ถึงได้จัดเตรียมพื้นที่พระราชวังชั้นสูงทั้งหมดไว้ต้อนรับพวกเขา”


“ทว่าหลังข้าได้พบปะพวกเขา ข้าถึงล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา และรู้จุดประสงค์การมาของพวกเขา ถึงตระหนักได้ว่าสิ่งที่ข้าได้ทำลงไปนั้นผิด!”


เขาเอ่ยต่อ “เรื่องนี้ข้าหวังว่าเรารู้กันเท่านี้เป็นการดีกว่า ทุกท่านอย่าบอกผู้อื่นอีก หากรู้กันทั่วจริง ถึงตอนนั้นพวกเราทั้งหมดล้วนต้องเจอดี!”


“ท่านเองก็ลำบากไม่น้อย!”


“ได้ เรื่องนี้รู้กันเพียงเรา!”


แม่เฒ่าและยอดฝีมือคนอื่น ๆ ตอบ


ไม่มีผู้ใดต้องการแหยมกับยอดนิกาย พวกเขาเองก็เช่นกัน


โดยเฉพาะในยามนี้


สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนใกล้จุติอีกครั้ง พวกเขายังต้องหวังพึ่งยอดนิกาย!


โฮก!


เวลานั้น เสียงคำรามดังสนั่นของอสูรดังขึ้น อสูรร้ายตัวมโหฬารรูปร่างคล้ายเสือ มีปีกที่หลังตัวหนึ่งพุ่งเข้ามาพร้อมด้วยจิตสังหารสะท้านฟ้า บดบังแม้กระทั่งพระอาทิตย์บนสวรรค์ จนแผ่นดินผืนนี้มืดมนเหลือคณา


“ท่านพ่อมาแล้ว! ล้างแค้นให้น้องชายได้แล้ว!”


ฉงคูหน้าตาเต็มตื้น บิดาของมันมา มันมิต้องทนอัปยศอดสูที่นี่อีกต่อไปแล้ว!


และหนี้แค้นน้องชายของมันก็ถึงคราวต้องชำระอย่างแท้จริงแล้ว!

บทที่ 290

เสียงอสูรคำรามดังก้องอยู่ในปฐพี จิตสังหารสะท้านนภาโถมทับไปทั้งเขาหยงหมิง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดภายในเขาล้วนรู้สึกเหมือนมีภูเขาถล่มทับจิตใจ อัดอั้นตันใจจนหายใจไม่ออก!


บิดาของฉงคูมา!


ทั้งที่มันยังอยู่ไกลพ้น ไม่ทันได้เข้าใกล้ด้วยซ้ำ สิ่งมีชีวิตในเขาก็เริ่มต้านไม่ไหว น่าประหวั่นพรั่นพรึงยิ่ง!


บนชั้นเมฆ นัยน์ตาของมันเย็นยะเยือก รัศมีดุดันสะกดหัวใจ ทุกย่างก้าวของมันล้วนสยดสยองถึงขีดสุด ฟ้าดินสั่นคลอนตามขณะที่มันเยื้องย่าง!


พรวด พรวด พรวด!


บุปผาโลหิตสาดกระจายอยู่ภายในหยงหมิงดอกแล้วดอกเล่า ร่างและวิญญาณของผู้ฝึกตนพลังอ่อนหัดล้วนระเบิดออกขณะบิดาฉงคูก้าวเดิน ชีวาวายลงตรงนั้น!


นี่คืออสูรร้ายราชันศักดิ์สิทธิ์!


ราชันศักดิ์สิทธิ์พิโรธ สิ่งมีชีวิตต้องล้มตายเป็นล้าน โลหิตไหลรินออกไปพันหมื่นลี้ วาจานี้มิได้เป็นเพียงการกล่าวส่งเดช แต่น่ากลัวถึงปานนั้นจริง ๆ!


ตึง ตึง ตึง!


ภายในเขาหยงหมิง สิ่งมีชีวิตตนแล้วตนเล่าต้านทานรัศมีดุดันนั้นไม่ไหวจนล้มหมอบกับพื้น ผิวหนังชั้นนอกแหลกเหลวอย่างรวดเร็ว เลือดสาดกระเซ็น


รัศมีดุดันเยี่ยงนี้น่าสะพรึงเกินไป สิ่งมีชีวิตในเขาล้มระเนระนาดไปถึงเก้าในสิบ!


ติ๊งติ๊ง!


ด้านนักบุญโบราณอย่างพวกฝู่ถูแม้นมิได้ล้มหมอบกับพื้น กระนั้นแรงกดดันที่แบกรับก็มหาศาลยิ่ง ร่างของพวกเขาต่างถูกกดจนงอ หน้าตาซีดเซียว เม็ดเหงื่อไหลย้อยลงจากหน้าผากไปที่พื้นไม่หยุด ราวกับฝนตกอย่างไรอย่างนั้น!


รัศมีดุดันของอสูรร้ายราชันศักดิ์สิทธิ์ตนหนึ่ง ต่อให้พวกเขาเป็นถึงนักบุญยุคโบราณก็ต้านไม่ไหว ความห่างชั้นที่มีมิใช่เล็กน้อย พวกเขาเอ่ยวาจาไม่ออกสักคำ!


ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ!


ผู้อาวุโสเก้าตระกูลซาง พระอาจารย์เกาเซิงจากพุทธศาสนา ผู้อาวุโสหูแห่งลัทธิเจี๋ยเทียน แม่เฒ่าตระกูลหาน และยอดฝีมือจากตระกูลโบราณ กับสำนักโบราณอื่น ๆ ต่างเรียกศัสตราออกมาในทันที ทั้งยังผสานพลังตัวเองไว้กับศัสตรา ถึงปัดป้องรัศมีดุดันนี้ได้


ศัสตราส่องแสงมงคล แต่ละชิ้นล้วนมีระดับสูงส่ง มิใช่อาวุธขั้นสูงสุดก็เป็นอาวุธขั้นนภาสูงสุด หากมิใช่ว่าศัสตราเหล่านี้ระดับสูงพอ พวกเขาไม่มีทางปัดป้องรัศมีดุดันที่แผ่ซ่านออกจากตัวบิดาฉงคูได้!


สายเลือดของเผ่าฉงฉีน่าทึ่งยิ่ง พลังรบของบิดาฉงคูเหนือกว่าราชันศักดิ์สิทธิ์คนอื่น ๆ ไปมาก!


“ท่านพ่อ ในที่สุดท่านก็มา! ท่านไม่รู้ว่าพวกเขารังแกลูกปานใด!”


ฉงคูเหินขึ้นไปบนท้องฟ้า มาอยู่ข้างกายบิดาของเขา พร้อมชี้ไปทางผู้อาวุโสเก้าตระกูลซางและกล่าวคำ “ท่านพ่อ เขาใช้ความเป็นอาวุโสรังแกผู้น้อย รังแกลูก!”


“จริงหรือ”


หลังจากบิดาฉงคู อสูรร้ายราชันศักดิ์สิทธิ์ตนนี้ได้ยินคำกล่าวของฉงคู นัยน์ตาของมันก็เบิกกว้างเป็นแนวตั้ง


“ใช้ความเป็นอาวุโสรังแกผู้น้อย เจ้าแก่ปูนนี้แล้ว อายุประสบการณ์ที่ผ่านมาของเจ้าไปอยู่กับสุนัขตัวไหนหรือ!”


เสียงของมันเย็นชา ลมปราณชั่วร้ายเอ่อล้นท่วมฟ้า อ้าปากปล่อยอสนีบาตผ่าไปที่ผู้อาวุโสเก้าตระกูลซาง


อสนีบาตนี้น่ากลัวเหลือแสน อาวุธขั้นนภาสูงสุดที่ผู้อาวุโสเก้าตระกูลซางค้ำจุนอยู่ก็มิอาจต้านได้ ถูกฟาดจนกระแทกพื้นในพริบตา ประกายดับสนิท


เสียงดังพรวด ผู้อาวุโสเก้าตระกูลซางถูกถล่มจนกระเด็น อ้าปากกระอักเลือดออกมาคำโต ก่อนจะกระแทกลงพื้นอย่างแรง หน้าอกด้านขวาของเขาถูกยิงทะลุเป็นรูใหญ่ บาดเจ็บสาหัส!


เมื่อต้องเผชิญกับราชันศักดิ์สิทธิ์ ซ้ำยังเป็นราชันศักดิ์สิทธิ์กำลังรบแกร่งกล้าน่าพรั่นพรึงอย่างบิดาฉงคู ผู้อาวุโสเก้าห่างชั้นเกินไป ต่อให้ค้ำจุนอาวุธขั้นนภาสูงสุดไว้ได้ก็ต้านไม่ไหว!


อาวุธขั้นนภาสูงสุดถือเป็นระดับสูงส่ง ผู้อาวุโสเก้าเป็นเพียงราชันเทวา อานุภาพที่ใช้ได้จึงมีจำกัดอย่างมาก คิดจะหยุดยั้งการโจมตีของบิดาฉงคูนั้นออกจะไม่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง และไม่มีทางทำได้


เขานำอาวุธจักรพรรดิชิ้นหนึ่งมาจากตระกูลซาง


ทว่าเขามิได้ใช้อาวุธจักรพรรดิชิ้นนั้น


เพราะเขารู้ดีว่าขอบเขตพลังของเขายังต่ำต้อย รีดเร้นได้เพียงเสี้ยวหนึ่งของพลานุภาพที่อาวุธจักรพรรดิมี และพลานุภาพเสี้ยวหนึ่งของอาวุธจักรพรรดินี้ไม่เพียงพอให้ต่อกรกับอสูรร้ายราชันศักดิ์สิทธิ์อย่างบิดาฉงคู


“เห็นแก่ตระกูลซาง หนนี้ข้าจักไว้ชีวิตเจ้า หากยังมีอีก ข้าจักฆ่าทิ้งไม่มีเมตตา!”


บิดาฉงคูเอ่ยเสียงเย็น มิได้ลงมือปลิดชีพผู้อาวุโสเก้า หากมันคิดฆ่าผู้อาวุโสเก้า การโจมตีของมันเมื่อครู่สามารถคร่าชีวิตผู้อาวุโสเก้าได้อย่างแน่นอน


ตระกูลซางมิใช่กองกำลังเล็ก ๆ มันไม่สามารถเข่นฆ่าตามใจชอบ ต้องยำเกรงกันบ้าง


“ท่านพ่อ ฆาตกรที่ฆ่าน้องชายอยู่ที่พระราชวังบนยอดเขา!”


ฉงคูชี้พระราชวังบนยอดเขา เอ่ยด้วยสายตาเคียดแค้น


มันไม่รู้บทสนทนาเมื่อครู่ของพวกยอดฝีมืออย่างแม่เฒ่าตระกูลหาน และมันก็ไม่มีสิทธิ์ได้เข้าร่วม


“ใจกล้าหรือไม่เห็นเผ่าเราอยู่ในสายตากันแน่!?”


บิดาฉงคูสายตาเย็นยะเยือกเสียดแทงกระดูก


คร่าชีวิตลูกหลานของมันแล้วยังบังอาจเข้าร่วมงานชุมนุมนี้อย่างโจ่งแจ้ง โทสะลุกโชนอยู่ในใจของมัน ไม่เคยโมโหเท่านี้มาก่อน


“เลือดต้องล้างด้วยเลือด!”


มันมุ่งหน้าไปยังพระราชวังบนยอดเขา


“อมิตาภพุทธ เหตุใดราชันศักดิ์สิทธิ์ถึงกราดเกรี้ยวเพียงนี้”


พระอาจารย์เกาเซิงจากพุทธศาสนาสวดภาวนาคำหนึ่ง ต้านแรงกดดันมหาศาลขณะก้าวเข้าไป หยุดยั้งบิดาฉงคู


“ราชันศักดิ์สิทธิ์ ท่านทำเกินไปแล้ว!”


ผู้อาวุโสหูแห่งลัทธิเจี๋ยเทียนสีหน้าอึมครึม ก้าวออกไปหยุดบิดาฉงคูเช่นกัน


“ท่าน…ไม่สามารถก้าวต่อไปได้แล้ว!”


แม่เฒ่าตระกูลหานเดินค้ำไม้เท้าหลีมู่ออกมาด้วย


ตระกูลโบราณ และสำนักโบราณอื่น ๆ พากันก้าวเข้ามา ขวางทางบิดาฉงคูอย่างพร้อมเพรียง


สถานะของพวกเซี่ยเหยียนได้รับการยืนยันแล้ว ล้วนมาจากยอดนิกาย พวกเขาไฉนเลยจะยอมทนมองบิดาฉงคูลงไม้ลงมือกับพวกเซี่ยเหยียน


เป็นไปไม่ได้!


สงครามใหญ่ในวันหน้า พวกเขายังต้องหวังพึ่งยอดนิกายซึ่งอยู่เบื้องหลังพวกเซี่ยเหยียน!


“นี่…หมายความว่าอย่างไร!?”


บิดาฉงคูสอดส่ายสายตาผ่านบรรดายอดฝีมือ ผู้ที่พำนักในอยู่ในพระราชวังนั้นเป็นใครกันแน่ เหตุใดยอดฝีมือเหล่านี้ถึงต้องหยุดยั้งมันเช่นนี้


มันหงุดหงิดใจ ไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง จะให้มันละทิ้งโอกาสแก้แค้นให้ลูกชายของมันไปหรือ


ตระกูลโบราณ สำนักโบราณมากมายปานนี้ต่างออกมาสกัดเขา แต่ละกองกำลังมิได้ด้อยไปกว่าเผ่าพันธุ์ของมัน ในสถานการณ์เช่นนี้ มันยังสามารถแก้แค้นให้บุตรชายของมันที่ตายไปอยู่หรือ


“ไม่มีความหมายอื่นใด…”


ผู้อาวุโสหูแห่งลัทธิเจี๋ยเทียนมองบิดาฉงคูพลางกล่าว “ไม่ว่าด้วยสาเหตุใด เจ้าห้ามไปยุ่มย่ามกับผู้ที่พำนักอยู่ภายใน!”


“คนในนั้นฆ่าบุตรชายข้า เจ้ากลับบอกข้าว่าห้ามเข้าไปยุ่มย่ามรึ!”


บิดาฉงคูบันดาลโทสะ เผ่าของมันตกต่ำถึงขั้นนี้แล้วหรือ!?


บุตรชายแท้ ๆ ของมันสิ้นชีพ มันกลับไม่สามารถแก้แค้น!?


เหล่ายอดฝีมืออย่างผู้อาวุโสหูแห่งลัทธิเจี๋ยเทียนต่างสะท้านใจ พวกเซี่ยเหยียนสังหารน้องชายของฉงคูไปหรือ


มิน่า บิดาของฉงคูถึงบุกมาที่นี่ด้วยจิตสังหารเอ่อล้นท่วมฟ้า!


“ไม่ว่าข้างในนั้นจะเป็นใคร วันนี้ข้าจักแก้แค้นให้บุตรชายที่ตายไปของข้า!”


บิดาฉงคูคำรามกราดเกรี้ยว


ตระกูลโบราณ สำนักโบราณซึ่งอยู่เบื้องหลังยอดฝีมือเหล่านี้ ล้วนไม่ด้อยไปกว่าเผ่าพันธุ์ของเขา


หากต้องเป็นปรปักษ์กับยอดฝีมือเหล่านี้จริง ๆ สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมากับเผ่าของมันย่อมเลวร้ายเกินกว่าจะจินตนาการออก


ทว่าหากมันไปทั้งอย่างนี้โดยไม่สามารถล้างแค้นให้บุตรชายได้ ชีวิตนี้มันก็ไม่อาจให้อภัยตนเอง และจักดูถูกตนเองไปตลอดกาล!


ขายหน้าเผ่าเขาเกินไปแล้ว!


“อมิตาภพุทธ พวกเรามิใคร่จะทราบต้นสายปลายเหตุและเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทว่าขอราชันศักดิ์สิทธิ์โปรดใจเย็นก่อน คนในนั้นไม่อาจแตะต้องได้จริง ๆ”


พระอาจารย์เกาเซิงกล่าว


“มิใคร่จะทราบรึ มีตรงไหนที่เจ้าไม่ทราบ!”


ต้าเต๋อตะโกน ราวกับกลัวว่าจะไม่เกิดเรื่องวุ่นวาย เขากล่าวต่อ “พวกเขาต้องรู้สึกว่าเนื้อบุตรชายเจ้าอร่อยแน่ ๆ ถึงได้ลงมือฆ่า ข้าจะบอกเจ้าให้ พวกเขานั้นโปรดปรานการกินเนื้อที่สุด ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งแย่งวัวยักษ์สีดำไปจากข้าด้วย!”


“หุบปาก!”


พระอาจารย์เกาเซิงตวาดเสียงเดือดดาล ถลึงตาใส่ต้าเต๋อ เจ้าเด็กนี่ช่างเป็น…ตัวหายนะจริง ๆ!


บิดาฉงคูโกรธเกรี้ยวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ต้าเต๋อเอ่ยเช่นนี้ มิเป็นการราดน้ำมันลงกองเพลิงหรอกหรือ!


ตามคาด หลังจากต้าเต๋อกล่าววาจาเยี่ยงนั้น บิดาฉงคูเดือดดาลยิ่งขึ้น!


“ไสหัวไปเสีย!”


มันส่งเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด พลังอันน่าประหวั่นพรั่นพรึงซัดสาดออกมาดั่งเกลียวคลื่น ยอดฝีมืออย่างพวกพระอาจารย์เกาเซิงล้วนกระเด็นออกไปเพราะแรงกระเทือนนี้!


อาวุธขั้นสูงสุด อาวุธขั้นนภาสูงสุด ล้วนใช้การไม่ได้ มันเป็นถึงราชันศักดิ์สิทธิ์ ความสามารถอยู่เหนือสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในที่นี้!


บังอาจกินบุตรชายของมันรึ!


จะให้มันทนได้เยี่ยงไร!


จิตสังหารของมันพลุ่งพล่าน พลันร่างทั้งร่างก็บุกตรงเข้าไปยังพระราชวังนั่น


ผู้อาวุโสเก้ากางม่านพลังไว้หน้าพระราชวัง ทว่าม่านพลังนี้ไม่มีประโยชน์อันใด เมื่ออยู่ต่อหน้าบิดาฉงคู ลำพังคลื่นพลังปราณที่บิดาฉงคูปลดปล่อยออกมาก็เพียงพอต่อการทำลายม่านพลังแล้ว


ฟิ้ว!


ตอนนั้นเอง ศรอาบแสงเล่มหนึ่งพุ่งเข้ามา ประกายเจิดจ้าอาบไล้อยู่ทั่วศร เจิดจรัสแยงตา ไม่อาจเบิกเนตรมองตรง ๆ ได้


ศรอาบแสงจู่โจมเข้ามา บิดาฉงคูสีหน้าเปลี่ยนไปในบัดดล มันสัมผัสได้ถึงพลังสุดสยองจากศรอาบแสง แม้แต่ตัวมันเองยังอกสั่นขวัญแขวน!


ซ้ำยังรู้สึกได้ว่า ศรอาบแสงเล่มนี้เล็งมาที่มัน มันไม่เหลือทางหนี จำต้องใช้ไม้แข็งเข้าต้านทาน!


โฮก!


บิดาฉงคูแหงนหน้าคำราม ปลดปล่อยพลังราชันศักดิ์สิทธิ์ออกมาเต็มกำลัง อ้าปากพ่นแสงโลหิต ส่องประกายฟ้าดินจนกลายเป็นสีแดงฉาน ราวกับนรกบนดินก็ไม่ปาน!


นี่คือการโจมตีรุนแรงที่สุดของมัน พลังทั้งหมดถูกหลอมเข้าไปผสานกับแสงโลหิต แสงโลหิตเยี่ยงนี้เพียงพอให้ปลิดชีพราชันศักดิ์สิทธิ์ตนอื่นได้ในพริบตา


ทว่าเมื่อแสงโลหิตปะทะกับศรอาบแสงที่ทิ่มแทงเข้ามา แสงโลหิตพลันทลายลงในบัดดล และความเร็วของศรอาบแสงก็ไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย ยังคงพวยพุ่งไปหาบิดาฉงคูด้วยพลังอันน่าประหวั่นพรั่นพรึง!


“อะไรกัน!”


หน้าตาบิดาฉงคูเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ


การโจมตีอันรุนแรงที่สุดของมัน สามารถปลิดชีพราชันศักดิ์สิทธิ์ตนอื่นได้ง่ายดาย กลับเปราะบางเหลือแสนเมื่ออยู่ต่อหน้าศรอาบแสงเล่มนั้น…


จะให้มันทำใจเชื่อลงได้อย่างไร!?


เสียงดังพรวด ศรอาบแสงแทงเข้าร่างของบิดาฉงคู เลือดสาดกระเซ็นในบัดดล บิดาฉงคูถูกตรึงเข้ากับยอดเขา


เซี่ยเหยียนปรากฏตัว มือถือคันศรราชัน แสงเทวะส่องประกาย ประดุจเทพยดาแห่งศึกสงคราม ดุดันองอาจ!


“นี่มัน…!”


“สวรรค์!”


สิ่งมีชีวิตทุกคนในเขาหยงหมิงต่างมีอาการหนังศีรษะชา พากันมองเซี่ยเหยียนด้วยสายตาเหลือเชื่อ


นี่คืออสูรร้ายราชันศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ มีพลังเหนือราชันศักดิ์สิทธิ์ธรรมดาไปมาก สุดท้ายกลับต้านเพียงศรเดียวของเซี่ยเหยียนไม่ได้ จะให้พวกเขาเชื่อได้อย่างไร!


น่าตกใจเกินไปแล้ว!


“นี่หรือคือฝีมือของยอดนิกาย!?”


ผู้อาวุโสหูแห่งลัทธิเจี๋ยเทียนตาโตอ้าปากค้าง เอ่ยในใจอย่างอกสั่นขวัญผวา


คันศรในมือเซี่ยเหยียนสยดสยองยิ่งกว่าอาวุธมหาจักรพรรดิเสียอีก ทว่าเซี่ยเหยียนกลับรีดเร้นอานุภาพได้ยิ่งใหญ่ปานนั้น ผิดจากโลกทัศน์ของเขาไปมาก!


ยอดคันศรที่น่ากลัวยิ่งกว่าอาวุธมหาจักรพรรดิ อย่าว่าแต่ขอบเขตเทวาเลย ต่อให้เป็นเขาหรือนักบุญก็ไม่อาจรีดเร้นได้ไหว!


เซี่ยเหยียนทำได้เยี่ยงไร!?


เขาคิดไม่ตก!


ยอดนิกายน่าพรั่นพรึงเกินไปแล้ว ถึงขั้นทำให้กำลังรบขอบเขตเทวาอย่างเซี่ยเหยียนรีดเร้นยอดคันศรระดับนี้ได้!


ชั่วพริบตานั้น ความเคารพยำเกรงที่เขามีต่อยอดนิกายยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก!


เขาไม่คิดว่าเซี่ยเหยียนทำได้ด้วยตนเอง เขาคิดว่านี่คือพลังที่ยอดนิกายซึ่งอยู่เบื้องหลังเซี่ยเหยียนประทานให้นาง!