281-285

บทที่ 281

ฟึ่บ!


ผู้อาวุโสเก้ายกมือเรียกอาวุธจักรพรรดิออกมาชิ้นหนึ่ง จังหวะแห่งจักรพรรดิไหลเวียน เขาทรงพลังมากจริง ๆ ด้วยขอบเขตราชันเทวา แต่สามารถรีดเร้นบารมีจักรพรรดิออกมาได้เสี้ยวหนึ่ง


หากเป็นราชันเทวาตนอื่น ไม่มีทางรีดเร้นบารมีจักรพรรดิออกมาได้แน่


อาวุธจักรพรรดิแกร่งกล้า มิได้ใช้พลังได้ง่าย ๆ


ประกายเจิดจ้าแวววาววูบไหว ผู้อาวุโสอีกสามท่านเรียกศัสตราของพวกเขาออกมาเช่นกัน


ลมปราณจ้าวสูงสุดโถมทับ พวกเขามีศัสตราจ้าวสูงสุดกันคนละชิ้น!


จากนั้น ผู้อาวุโสเก้าถืออาวุธจักรพรรดิเหินลงมาจากด้านบน อาวุธจักรพรรดินั้นคือ หอกกระดูกสำริด ปลายหอกชี้ไปที่ซางเหิง


ผู้อาวุโสอีกสามท่านลงมือพร้อมเพรียง อาวุธจ้าวสูงสุดทั้งสามชิ้นมีปราณสูงสุดแผ่ซ่านออกมา ล้อมรอบซางเหิงเอาไว้!


บางทีอาจมีนักบุญยุคโบราณควบคุมซางเหิงไว้ พวกเขาจริงจังเข้มงวด ไม่ยอมชะล่าใจแม้แต่น้อย


ซางเหิงตกใจกลัวแทบแย่ หน้าเขียวไปหมด


เขาเป็นเพียงราชันผู้เกริกไกรผู้ต่ำต้อย ไฉนเลยจะเคยพบแนวขบวนเยี่ยงนี้มาก่อน!


“อย่า! เหล่าผู้อาวุโสอย่าวู่วาม! ไม่มีผู้ใดควบคุมตัวข้า! ข้ามีหลักฐานพิสูจน์ว่าข้าได้พบเซียนผู้หนึ่งจริง!”


เขารีบบอก


“หลักฐานหรือ”


ผู้อาวุโสเก้าเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ชี้ปลายหอกกระดูกสำริดไปที่ซางเหิง “หยิบออกมา”


ซางเหิงอยากร่ำไห้ “ผู้อาวุโสเก้าคลายพลังที่พันธนาการตัวข้าก่อน!”


เขาก็อยากหยิบให้อยู่หรอก แต่เขาขยับตัวไม่ได้ พลังของผู้อาวุโสเก้าตรึงเขาไว้อยู่กับที่อย่างแน่นหนา


ในมือมีอาวุธจักรพรรดิ ผู้อาวุโสเก้าจึงไม่มีสิ่งใดต้องกลัว เขาปลดพลังที่พันธนาการซางเหิงพร้อมกล่าว “ข้าอยากจะดูว่าเจ้ามาไม้ไหน!”


ซางเหิงเคลื่อนไหวได้แล้ว เขารีบนำผ้าห่อหนึ่งออกมาพร้อมเปิดออก “สิ่งนี้คือหลักฐาน!”


ผู้อาวุโสเก้าและผู้อาวุโสอีกสามคนที่เหลือรวมทั้งซางเจี๋ยมองตาม


ชั่วขณะนั้น สีหน้าพวกเขาย่ำแย่ถึงขีดสุด


ในห่อผ้านั้นมีสิ่งใดอยู่หรือ?


เป็นเศษของว่างนิด ๆ หน่อย ๆ!


หมายความว่าอย่างไร ปั่นหัวพวกเขาเล่นรึ!?


ผู้อาวุโสเก้าโมโหจนใบหน้าเหยเก ฟาดฝ่ามือใส่ซางเหิง


เขาไม่สนว่าซางเหิงถูกนักบุญโบราณควบคุมไว้หรือไม่ และไม่สนว่าซางเหิงสติฟั่นเฟือนถึงได้ก่อความวุ่นวายเช่นนี้หรือเปล่า ถึงอย่างไรเขาก็หัวฟัดหัวเหวี่ยงเพราะการนี้ ขอระบายความรู้สึกจุกอกก่อน!


“โอ๊ย!”


ซางเหิงเจ็บจนร้องโอดโอยหน้าตาบิดเบี้ยว โดนฝ่ามือหนึ่งฟาดจนกระเด็นล้มกระแทกพื้น


ผ้าที่เขาถือไว้ในมือก็ตกพื้นเช่นกัน


“ไอ้เด็กเหลือขอ!”


ผู้อาวุโสเก้ายังไม่หายแค้น หิ้วคอซางเหิงขึ้นมาแล้วซ้อมอีกยกใหญ่


ทว่าเขามิได้ประมาทเลินเล่อ รีดเร้นพลังอาวุธจักรพรรดิอยู่ตลอด เผื่อว่าซางเหิงโดนนักบุญยุคโบราณควบคุมจริง ๆ แล้วลงมือปองร้ายเขากะทันหัน


แน่นอนว่าเขามิได้เอาถึงชีวิต ถึงอย่างไรซางเหิงก็เป็นลูกศิษย์ในตระกูลซาง


ซางเหิงโดนอัดจนใบหน้าฟกช้ำดำเขียว อยากเอื้อนเอ่ยสิ่งใดก็เอ่ยไม่ออก!


เหตุใดข้าถึงโชคร้ายเยี่ยงนี้!


พูดความจริงแล้วยังต้องโดนอัดอีก!


เขาร้องไห้ น้ำตาหลั่งรินเป็นสาย ให้ตายสิ เขาไม่เคยเสียใจเช่นนี้มาก่อน!


“ผู้อาวุโสเก้า ไม่ต้องตีเขาแล้ว ดูเหมือนว่า…เขาจะพูดความจริง!”


ตอนนั้นเอง ผู้อาวุโสท่านหนึ่งมองจ้องเศษของหวานที่ตกอยู่บนพื้น พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าประหลาดเหลือแสน


“หืม!?”

ผู้อาวุโสเก้ารามือ ถอยกลับมา หันมองผู้อาวุโสที่ส่งเสียงอยู่ก่อนเอ่ยถาม “หมายความว่าอย่างไร?”


“ท่านดู!”


ผู้อาวุโสท่านนั้นชี้เศษของหวานบนพื้น สูดปากแล้วกล่าว “แม้เป็นเพียงเศษซากจำนวนหนึ่ง แต่หากสัมผัสดี ๆ จะรู้สึกถึงขุมปราณชีวิตแรงกล้าเปี่ยมพลังเหลือแสนที่แฝงอยู่ด้านใน!”


“อะไรนะ!”


“จริงหรือ”


ผู้อาวุโสอีกสองท่านเชื่อครึ่งมิใช่ครึ่ง ใช้ประสาทสัมผัสเทวาของพวกเขาตรวจจับ


ชั่วอึดใจต่อมา สีหน้าพวกเขาล้วนเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด เต็มไปด้วยความตะลึงงัน!


“ขุมปราณชีวิตในโอสถจักรพรรดิยังไม่แรงกล้าปานนี้เลย!”


ผู้อาวุโสเก้าสูดหายใจเข้าลึก ตะลึงงันอยู่เต็มเปี่ยม หลังแผ่ประสาทสัมผัสเทวาออกไปแล้ว เขาเองก็รู้สึกถึงขุมปราณชีวิตอันแรงกล้าที่แฝงไว้อยู่ในเศษซากของหวานเหล่านั้น!


“ข้าบอกแล้วว่าข้ามิได้โกหก!”


ซางเหิงปล่อยโฮออกมาด้วยความน้อยอกน้อยใจ เขาอุตส่าห์นำข่าวดีมาให้ แต่กลับโดนซ้อมเละ ความรู้สึกน้อยใจนี้ระทมเหลือเกิน…


“เจ้ารีบเล่ามาว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร!” ผู้อาวุโสเก้ากล่าว


ซางเหิงยิ่งคิดยิ่งน้อยใจ “ข้าไม่เล่า!”


“ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ยังไม่ขยาดกับการโดนซ้อมใช่หรือไม่!”


ผู้อาวุโสเก้าหน้าตากราดเกรี้ยว ท่าทางพร้อมอัดซางเหิงอีกครา


“อย่า ข้าเล่าแล้ว!”


ซางเหิงเห็นดังนั้นก็ไม่มีแก่จิตแก่ใจมัวน้อยใจอีกต่อไป เขาพลันเด้งตัวขึ้นจากพื้น “ข้าได้รับการแจ้งให้ไปช่วยงานที่แดนบูรพาทิศจึงเดินทางไป ระหว่างทาง…”


เขาเล่าเหตุการณ์อย่างละเอียด ไม่ขาดตกแม้แต่น้อย


แสงมงคลจุติจากสวรรค์คลี่ปกคลุมรถลากจนเกิดการวิวัฒนาการ จังหวะแห่งเต๋าสูงส่งเหลือแสนไหลเวียน อสูรร้ายสายเลือดฉงฉีขวางทางรถ โดนเซี่ยเหยียนสังหาร


เขาเองได้ขึ้นรถลากเพราะเหตุนี้ และได้พบกับท่านเซียน!


“นี่คือของหวานที่ท่านเซียนทำด้วยตนเอง ยามข้าได้กินข้าใช้มืออีกข้างรองไว้ ถึงได้มีเศษซากของหวานเหล่านี้”


ซางเหิงกล่าว


ของหวานที่ท่านเซียนทำนั้นน่าทึ่งอย่างยิ่งยวด ต่อให้เป็นเพียงเศษซากของหวานยังล้ำค่าเหลือแสน เขาเก็บไว้อย่างให้ความสำคัญ ไม่ปล่อยให้สิ้นเปลืองแม้แต่น้อย


ดีที่เขาเก็บเศษซากของหวานเหล่านี้ไว้ หากมิได้เก็บไว้ ตอนนี้คงอธิบายอย่างไรก็ไม่ขึ้น!


“มีเซียนในยุคนี้จริงหรือนี่!”


“ของหวานระดับนี้ นอกจากท่านเซียนแล้ว ผู้ใดยังจะทำได้อีก!”


ผู้อาวุโสทั้งสามท่านสิ้นข้อกังขา


ลำพังเศษซากของหวานยังมีขุมปราณชีวิตเจือปนอยู่มากเยี่ยงนี้ มีระดับเหนือโอสถจักรพรรดิ แล้วของหวานชิ้นสมบูรณ์จะน่าทึ่งขนาดไหน!?


ผู้อาวุโสเก้ามองซางเหิง เอ่ยด้วยสายตาชอบกล “เจ้าได้พบท่านเซียนจริงหรือนี่ ซ้ำยังได้กินของหวานฝีมือท่านเซียนอีก!!!”


“ใช่แล้ว”


หน้าตาซางเหิงทอประกายลำพอง เขายืดอกมากขึ้นจนตัวตรง


ผู้ใดได้พบท่านเซียน?


ซ้ำยังได้กินของหวานฝีมือท่านเซียนอีก?


เขาอย่างไรเล่า!


เขามีต้นทุนพอให้ลำพองภาคภูมิ!


ผู้อาวุโสเก้าปรี่เข้ามาอยู่เบื้องหน้าซางเหิง มือข้างหนึ่งทาบบนตัวซางเหิง


“หา ยังจะซ้อมข้าต่ออีกหรือ!”


ซางเหิงตกใจแทบแย่ ความลำพองบนใบหน้าอันตรธาน หน้าตาเขียวแล้วเขียวอีก


เขาอยากร่ำไห้นัก เพราะสีหน้าลำพองเมื่อครู่ของเขาใช่หรือไม่ที่สร้างไม่พอใจแก่ผู้อาวุโสเก้า!


หากรู้อย่างนี้แต่แรก ไยเขาต้องลำพองด้วย!


บัดนี้ต้องโดนอัดอีกแล้ว!


ทว่าผู้อาวุโสเก้ามิได้อัดซางเหิงแต่อย่างใด


“ขุมปราณชีวิตของเจ้าแรงกล้ากว่าขุมปราณชีวิตของข้าเสียอีก!”


ผู้อาวุโสเก้าเอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อ


เจ้าเด็กนี่คิดมากเกินไป เขาไม่มีความคิดต้องการซ้อมซางเหิงอีก


เขาทาบมือบนตัวซางเหิงเพียงเพื่อจับสัมผัสสถานการณ์ภายในร่างกายของอีกฝ่ายเท่านั้น


ซางเหิงบอกว่าเขาได้กินของหวานฝีมือท่านเซียน เช่นนั้นซางเหิงย่อมได้รับประโยชน์มหาศาล


ตามคาด หลังตรวจสภาพร่างกายซางเหิงก็ต้องตกตะลึง!


ขุมปราณชีวิตของซางเหิงแรงกล้ายิ่งกว่าเขาเสียอีก!


บ่งบอกว่าอายุขัยของซางเหิงยาวนานกว่าเขา!


“อะไรนะ!”


ผู้อาวุโสอีกสามท่านรวมถึงซางเจี๋ยล้วนทึ่งกันหมด


ซางเหิงเป็นเพียงราชันผู้เกริกไกรแต่กลับมีอายุขัยยาวนานกว่าผู้อาวุโสเก้าซึ่งเป็นถึงราชันเทวาอีกหรือ!?


ตอนนั้นเอง ซางเจี๋ยพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้


เขากล่าว “ข้าถึงว่าเหตุใดฉงคูมาถึงนี่แล้วขอความช่วยเหลืออยู่ตลอด บอกว่าต้องการให้ช่วยสืบหาเรื่องราวบางอย่าง ที่แท้น้องชายของฉงคูตายไปแล้วนี่เอง!”


ฉงคูคืออสูรร้ายอันเป็นสายเลือดของฉงฉี มันมาถึงเขาหยงหมิงก่อนนานแล้ว

บทที่ 282

ความจริงทั้งหมดกระจ่าง


พวกผู้อาวุโสเก้ามิกล้าเสียมารยาท รีบออกไปเตรียมการที่พำนัก


“ไอ้…!”


ภายในพระราชวังแห่งหนึ่ง เณรน้อยคนหนึ่งด่ากราดยกใหญ่ “อมิ...ต้าเต๋อฝอ ข้าผู้นี้โกรธจนจมูกผิดรูปไปหมดแล้ว พวกเจ้ามัวทำกระไรกันอยู่!”


เขาโมโหมาก


เดิมเขากำลังนอนเอนกายสบายใจอยู่ในพระราชวัง กลับมีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาขอให้เขาเปลี่ยนที่


ใช่แล้ว กลุ่มคนที่เข้ามาก็คือพวกผู้อาวุโสเก้านั่นเอง


เขาคือพุทธสาวกจริงหรือ?


ให้ตายสิ นิสัยโจรยิ่งกว่าโจรตัวจริงอีก!


อย่าให้พูดเลยว่าในใจพวกผู้อาวุโสเก้าระคายปานใด พวกเขายังไม่เคยพบพุทธสาวกเช่นนี้มาก่อน!


ทว่าเณรน้อยตรงหน้าคือพุทธสาวกอย่างแท้จริง ซ้ำยังมีสถานะสูงส่งในพุทธศาสนา ถูกขนานนามว่าเป็น ‘พุทธบุตร*[1]’!


หากมิใช่เช่นนี้ เณรน้อยย่อมไม่มีทางถูกจัดให้พำนักในพระราชวังแห่งนี้


ที่นี่คือพระราชวังที่ดีที่สุด


“โปรดอภัยด้วย พระราชวังแห่งนี้ต้องใช้ในการอื่น ขอเชิญพุทธบุตรเปลี่ยนพระราชวังด้วยเถิด”


ผู้อาวุโสเก้ากล่าว


“ไม่เปลี่ยน!”


ต้าเต๋อไม่ไว้หน้ากันสักนิด ซ้ำอย่างเอ่ยอย่างดุดัน “พวกเจ้าไม่ส่งเทียบเชิญให้ข้าผู้นี้ ข้ายังโกรธอยู่ ตอนนี้ยังคิดให้ข้าเปลี่ยนที่พำนักอีกหรือ ไม่มีทาง!”


ผู้อาวุโสเก้าขมวดคิ้ว สงสัยจากใจจริงว่าพุทธศาสนาเข้าใจสิ่งใดผิดหรือไม่


เณรน้อยตรงหน้าผู้นี้จะเป็น ‘พุทธบุตร’ ได้อย่างไร


ให้ตายสิ หลังจากมาถึงก็ขอให้พวกเขาจัดสำรับอาหารหรูหราใหญ่โต สวาปามเสียยกใหญ่ คนจากพุทธศาสนามีแบบนี้ด้วยหรือ


อีกอย่าง…พวกเขาน่ะหรือมิได้ส่งเทียบเชิญไป


พวกเขาส่งแล้ว!


เพียงแต่พระอาจารย์เกาเซิงหยุดไว้ บอกว่าไม่ต้อง


ครานั้นพวกเขายังนึกแปลกใจ เหตุใดถึงไม่ยอมให้พุทธบุตรแห่งยุคนี้เดินทางมา


หลังจากพุทธบุตรผู้นี้มาถึง พวกเขาถึงเข้าใจ


คนในพุทธศาสนากลัวว่า พุทธบุตรผู้นี้จะทำขายหน้า!


“ข้าจะไปอธิบายกับพระอาจารย์เกาเซิงของพุทธศาสนา!”


ผู้อาวุโสเก้ามิได้ต่อล้อต่อเถียงกับต้าเต๋อ เห็นได้ชัดว่าเขากับต้าเต๋อผู้นี้คุยกันไม่รู้เรื่อง คนตรงหน้านับว่าไร้เหตุผลอย่างยิ่งยวด


เขาไปจากที่นี่เพื่อไปหาพระอาจารย์เกาเซิง บอกว่ามีผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งจะมา ขอให้พระอาจารย์เกาเซิงช่วยเกลี้ยกล่อมต้าเต๋อฝอเรื่องเปลี่ยนที่พำนัก


“ผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่หรือ?”


พระอาจารย์เกาเซิงขมวดคิ้ว นึกแปลกใจนิดหน่อย ผู้อาวุโสเช่นใดกันที่ตระกูลซางต้องยกทัพเตรียมการเอิกเกริกเยี่ยงนี้


“ขออภัย ข้าไม่อาจบอกสิ่งใดไปมากกว่านี้ได้ ขอพระอาจารย์เกาเซิงโปรดอภัยด้วย”


ผู้อาวุโสเก้ากล่าว


เขาไฉนเลยจะกล้าสุ่มสี่สุ่มห้าเล่าสิ่งใดออกไป


เขาย่อมไม่กล้า


“ก็ได้”


พระอาจารย์เกาเซิงมิได้ถามเยอะ งานชุมนุมใหญ่นี้จัดโดยตระกูลซาง ที่นี่เป็นสถานที่ที่ตระกูลซางจอง ตระกูลซางถือเป็นเจ้าภาพ


เขาจึงไปเกลี้ยกล่อมต้าเต๋อให้เปลี่ยนที่


ทว่าตอนไปเขานั้นปวดหัวยิ่ง เขาไม่อยากข้องแวะกับต้าเต๋อมากนัก


ต้าเต๋อผู้นี้…เฮ้อ ยากจะอธิบาย!


พวกผู้อาวุโสเก้ามิได้เข้าไป มีเพียงพระอาจารย์เกาเซิงเข้าไปตามลำพัง


พวกเขาได้ยินเสียงคำรามต่าง ๆ นานาของต้าเต๋อดังออกมาข้างนอก


“ไปไกล ๆ พุทธศาสนาของเราไม่มีมาดไม่มีความยิ่งใหญ่เลยหรือไร ขอให้เราเปลี่ยนที่เราก็ต้องเปลี่ยนที่หรือ”


“ข้าเป็นพุทธบุตรมิใช่หรือ ข้าคือพระสังฆราชในอนาคตมิใช่หรือ”


“ตาเฒ่าหัวโล้น เจ้าช่างไร้จรรยาบรรณสิ้นดี บังอาจลอบโจมตีข้าผู้นี้หรือ!”


หลังจากนั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียง ‘ปึงปัง’ อีกระลอก


แล้วพวกเขาก็เห็นพระอาจารย์เกาเซิงหิ้วปีกต้าเต๋อออกจากห้อง


สีหน้าของพระอาจารย์เกาเซิงคร่ำเครียดมืดครึ้ม เนื้อตัวถูกทึ้งจนยุ่งเหยิง จีวรพระก็ถูกกระชากจนยับย่น


แล้วหันมองต้าเต๋อ…เอาสิ เณรน้อยผู้นี้อำมหิตจริง เขากำลังกัดแขนพระอาจารย์เกาเซิงไว้แน่น!


แปลก…เหลือเกิน!


มีเค้าโครงของพุทธบุตรที่ไหน เห็นได้ชัดว่าเป็นจอมมารตัวน้อยเสียมากกว่า!


“อมิตาภพุทธ!”


พระอาจารย์เกาเซิงท่องนามพระผู้มีพระภาคเจ้า ต่อให้เขามีขันติสูงส่ง ก็ไม่อาจต้านทานการอาละวาดของต้าเต๋อได้ เขาโมโหแทบบ้า เกือบหันเหสู่วิถีอธรรมเลยทีเดียว!


หรือนี่คือเคราะห์กรรมของพวกเขาพุทธศาสนา?


เขาคิดในใจ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้าเต๋อถึงถูกเลือกให้เป็นพุทธบุตร


ท้ายที่สุด เขาก็หิ้วปีกต้าเต๋อไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว


น่าอายเกินไปแล้ว!


พวกผู้อาวุโสเก้าตาโตอ้าปากค้างกันหมด ทว่าไม่นานนักผู้อาวุโสเก้าก็ได้สติ รีบสั่งให้คนมาเก็บกวาดพระราชวังแห่งนี้ให้ดี


จากนั้น พวกเขาเดินทางไปอีกหลายพระราชวัง ขอให้สิ่งมีชีวิตในพระราชวังนั้น ๆ เปลี่ยนที่พำนักอย่างช่วยไม่ได้


สิ่งมีชีวิตผู้มาเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่มีมากเกินไป พระราชวังบนเขาเต็มคับคั่งไปนานแล้ว สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ยังพำนักที่นอกเขาอยู่เลย


ส่วนสิ่งมีชีวิตที่ได้พำนักในเขาต่างมีภูมิหลังไม่ธรรมดา ไม่มีผู้ใดเป็นข้อยกเว้น


โฮก!


ฉงคูคำราม บันดาลโทสะอย่างยิ่ง มันเองก็ถูกขอให้เปลี่ยนที่พำนัก


เผ่าฉงฉีของมันแข็งแกร่งอย่างมาก พระราชวังที่ตระกูลซางจัดไว้ให้เขาดีเยี่ยม


ทว่าผู้อาวุโสเก้าไม่สนเสียงคำรามกราดเกรี้ยวของฉงคูแม้แต่น้อย ยังขอให้ฉงคูเปลี่ยนที่พำนัก


น่าขัน เผ่าฉงฉีแข็งแกร่งแล้วอย่างไร เทียบกับท่านเซียนมิได้เลย!


ท่านเซียนมีคนติดตามข้างกายไม่น้อย เขาต้องจัดแจงพระราชวังที่พักให้ดีที่สุด!


“ต่อให้เป็นในยุคโบราณ นักบุญก็ถือเป็นตัวตนอันสูงส่ง ตระกูลจักรพรรดิโบราณก็ไม่อาจเหยียดหยามนักบุญได้ตามใจชอบ กำลังรบระดับนักบุญในยุคนี้มีอยู่น้อยนิด พวกเจ้ากลับปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้รึ!?”


ฝู่ถูมีสีหน้าอึมครึม ไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง เขาเองก็ถูกขอให้เปลี่ยนที่พำนัก


จะให้เขาสบอารมณ์ได้เยี่ยงไร?


เดิมเขาซ่อนตัวเป็นอย่างดี ถูกบีบบังคับให้ปรากฏตัวไม่เท่าไร บัดนี้ยังต้องเสียหน้าถูกขอให้เปลี่ยนที่พำนัก เขาโมโหจนอวัยวะภายในแทบระเบิดออกมา!


“เปลี่ยนที่พำนัก มิใช่ไม่ให้ที่พักเจ้าเสียหน่อย อย่ามาหาเรื่อง!”


ผู้อาวุโสเก้าเอ่ยอย่างไม่ไว้หน้า


เขาไม่มีความรู้สึกดี ๆ ให้กับคนเห็นแก่ตัวอย่างฝู่ถู


ทุกคนล้วนต่อสู้เพื่อความปลอดภัยของอาณาจักรนี้ คนเช่นฝู่ถูกลับหลบซ่อนตัว หลีกหนีจากการต่อสู้ สนแต่ตนเอง


หากมิใช่ว่ากำลังรบสูงส่งในยุคนี้ขาดแคลนจริง พวกเขาไฉนเลยจะยอมให้คนเห็นแก่ตัวอย่างฝู่ถูมีชีวิตอยู่ คงฆ่าไปนานแล้ว!


“เจ้า!”


ฝู่ถูเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทว่ามิกล้าแสดงความโกรธมากนัก สุดท้ายก็ยอมเปลี่ยนที่พำนัก


ตระกูลจักรพรรดิธรรมดายังไม่เท่าไร


แต่ตระกูลซางนั้นต่างออกไป พวกเขามิใช่ตระกูลจักรพรรดิธรรมดา รากฐานของพวกเขามั่นคงแกร่งกล้า มีเพียงสวรรค์ที่รู้ว่ามีพลังน่ากลัวปานใดซุกซ่อนอยู่ เขามิกล้าเอาตัวเข้าเสี่ยง


“เปลี่ยนที่พำนักหรือ… ได้”


เด็กสาวคนหนึ่งยิ้ม งดงามไร้ที่ติ มิได้มีท่าทีเกรี้ยวกราดเหมือนสิ่งมีชีวิตอื่นที่ถูกขอให้เปลี่ยนที่พำนัก นางตอบตกลงด้วยความยินดี


นางมีนามว่าหานเยว่ มาจากตระกูลหานแห่งดินแดนฮวง


เป็นตระกูลเก่าแก่เช่นเดียวกับตระกูลซาง รากฐานมั่นคงแกร่งกล้า บรรพชนของนางเคยบังเกิดมหาจักรพรรดิมาหลายตน การสืบสานยาวนานอย่างยิ่ง


“ขอบคุณมากที่เข้าใจ”


ผู้อาวุโสเก้าคลี่ยิ้ม ในที่สุดก็เจอคนมีเหตุผลแล้ว


อีกด้านหนึ่ง บนเขาหยงหมิงเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ


“พุทธบุตรแห่งพุทธศาสนาถูกขอให้เปลี่ยนที่พำนักหรือ!”


“ฉงคูแห่งเผ่าฉงฉีก็ถูกขอให้เปลี่ยน!”


“ธิดาสวรรค์แห่งตระกูลหานก็ถูกขอให้เปลี่ยน!”


“คล้ายว่านักบุญยุคโบราณท่านหนึ่งก็ถูกขอให้เปลี่ยน!”




เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังไปทั่วเขาหยงหมิง เรื่องนี้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างเกินไป


ผู้ที่ถูกขอให้เปลี่ยนที่พำนัก ล้วนมีภูมิหลังน่าตะลึงกันทั้งนั้น


ทว่าคนระดับนี้กลับถูกขอให้เปลี่ยนที่พำนัก


เช่นนั้นสิ่งมีชีวิตที่กำลังจะเข้ามาพักในสถานที่เหล่านี้ต้องสยดสยองเกินหยั่งถึงเพียงใดกัน?


ไม่ต้องคิดเยอะ ถูกขอให้เปลี่ยนที่ต้องเพราะว่ามีสิ่งมีชีวิตตนอื่นจักเข้าไปพักแทนแน่นอน


มิฉะนั้นไยต้องขอให้พุทธบุตรและคนอื่น ๆ เปลี่ยนที่พำนักด้วย


ชั่วขณะนั้น พวกเขาล้วนอยากรู้อยากเห็นในสิ่งมีชีวิตที่กำลังจะเข้าพักในสถานที่เหล่านี้ขึ้นมา!



[1] พุทธบุตร (佛子) กล่าวถึงพระอริยะ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ ท่านเหล่านี้ทั้งหมดล้วนเป็นบุตรของพระพุทธเจ้า
บทที่ 283

เขาหยงหมิงโกลาหลกันหมด เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังไม่หยุดหย่อน สิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนกำลังจับตาดูว่าผู้ที่กำลังจะมานั้นเป็นคนใหญ่คนโตเช่นไร


ต้าเต๋อ ฉงคู ฝู่ถู และสิ่งมีชีวิตตนอื่นที่ถูกเปลี่ยนที่พำนักกำลังจับตาดูเช่นกัน จับตาดูว่าพวกเขาต้องหลีกทางให้ผู้ใด


เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ สิ่งมีชีวิตที่เดินทางมายังเขาหยงมิงมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน ด้านนอกภูเขาก็เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตมาเข้าร่วมงานรื่นเริง


ห่างออกไปไกล กระเรียนขาวตัวหนึ่งบินเข้ามาบนท้องฟ้าสูงระดับ ขนนกของมันขาวผุดผ่องดั่งหิมะ วาววามทุกเส้น เปล่งประกายมงคล ดูสูงส่งศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง


บนหลังของกระเรียนขาวมีหญิงอาภรณ์เขียวคนหนึ่งยืนตระหง่าน รูปโฉมสะคราญเมือง เรือนร่างสะโอดสะอง บุคลิกสูงส่งเหนือโลกีย์


แสงเทวะระยิบระยับขึ้นรอบตัวนางเป็นครั้งคราว ดวงตาคู่งามเปล่งประกายเทวาเหลือล้น นางคือเทพธิดาผู้ก้าวสู่ขอบเขตเทวาแล้ว!


“นางเซียนจากลัทธิเจี๋ยเทียนมาหรือ ใช่นางหรือไม่”


สิ่งมีชีวิตบางตนจำสตรีอาภรณ์เขียวได้ สายตาพลันเร่าร้อน


ลัทธิเจี๋ยเทียนเป็นลัทธิเก่าแก่ในดินแดนฮวง ตั้งมั่นอยู่ท่ามกลางกาลเวลาอันเนิ่นนานมิรู้วาย มีการสืบสานมาอย่างช้านาน รากฐานลึกล้ำเกินหยั่ง


ต่อให้เป็นตระกูลซาง เมื่ออยู่เบื้องหน้าลัทธิเจี๋ยเทียนก็มีราศีหมองลงไปบ้าง


สตรีอาภรณ์เขียวผู้นี้นามเจียงหราน พรสวรรค์โดดเด่นเหนือผู้ใด ชื่อเสียงกึกก้องในบรรดาคนรุ่นเยาว์จากดินแดนฮวง น้อยนักจักมีสิ่งมีชีวิตตนใดเทียบเคียงนางได้


โฮก!


ทันใดนั้น เสียงอสูรคำรามดังมาจากภายในเขาหยงหมิง จากนั้นลำแสงดุดันลำหนึ่งพวยพุ่งออกจากเขาหยงหมิง ถลาไปทางเจียงหรานอย่างรวดเร็ว


ต่อมาสถานที่ตรงนั้นมีศึกใหญ่ปะทุ มิติสั่นคลอน ฟ้าดินกู่ร้อง คลื่นพลังควันหลงแสนน่ากลัวซัดสาดออกไปหลายพันลี้ ภาพการณ์สยดสยองเหลือคณา


ด้านเขาหยงหมิงมียอดฝีมือออกโรง ดึงม่านพลังมโหฬารขึ้น ปกคลุมคุ้มกันเขาหยงหมิง กีดกันคลื่นพลังควันหลงไว้ข้างนอก


“นั่นมัน…ฉงคู!”


เผ่าของมันทนเห็นสัตว์อสูรเป็นสัตว์พาหนะให้ผู้ฝึกตนมนุษย์ไม่ได้ ทะนงตนสูงส่ง ดูหมิ่นเผ่ามนุษย์…


ศึกใหญ่ปะทุ ผู้คนได้เห็นว่าผู้ใดจู่โจมเจียงหราน ลูกหลานสายเลือดบริสุทธิ์แห่งเผ่าฉงฉี ฉงคูนั่นเอง!


ตู้ม ตู้ม ตู้ม!


เสียงระเบิดน่าหวาดหวั่นดังไม่หยุดหย่อน พลังชั่วร้ายของฉงคูท่วมท้นนภา สมเป็นทายาทเลือดบริสุทธิ์ของอสูรร้าย พลังในตัวน่าพรั่นพรึงอย่างยิ่ง


ทว่ามันหาเรื่องผิดคน เจียงหรานมิใช่ผู้ที่จะจัดการได้ง่าย ๆ


แสงเทวะท่วมท้นออกมารอบกายเจียงหราน สูงส่งเกินมนุษย์หยั่ง เมื่อเผชิญกับการจู่โจมอย่างป่าเถื่อนดุดันของฉงคู นางไม่มีท่าทีกดดันแม้แต่น้อย


นางนั้นเฉิดฉันน่าทึ่ง แม้ว่าอยู่ในการต่อสู้แสนสยองเยี่ยงนี้ กระนั้นยังคงโฉมสะคราญไร้ผู้ใดเทียบเทียม ทุกอากัปกิริยาล้วนงดงามหมดจด ชวนหลงใหลยิ่ง


นอกจากนี้ สิ่งที่ผู้คนทึ่งไปกว่านั้นคือพลังของเจียงหราน!


ศึกใหญ่นี้มิได้ดำเนินต่อไปนานนัก ฝูงชนก็เห็นฉงคูกระอักเสียงทุ้ม ร่างกายกระเทือนจนถอยหลังไปหลายก้าว จากนั้นฉงคูล่าถอยกลับมา


เห็นได้ชัดว่า ฉงคูเสียเปรียบต่อเจียงหราน มิเช่นนั้นด้วยนิสัยของฉงคู ไฉนเลยจะยอมถอยกลับมา?


ไม่มีทาง!


เจียงหรานสมเป็นธิดาสวรรค์อันดับหนึ่งแห่งดินแดนฮวง!


ฉงคูกล้าแกร่งปานใด?


ในรุ่นราวคราวเดียวกันนั้นยากจะมีสิ่งมีชีวิตตนใดกำราบได้!


แต่เจียงหรานทำได้ เจียงหรานน่าทึ่งจริง ๆ!


ฟึ่บ!


เวลานั้น เจียงหรานกระโดดลงจากกระเรียนขาว มาอยู่ที่เขาหยงหมิง


“เก่งกาจยิ่งนัก ลัทธิเจี๋ยเทียนได้ศิษย์ดี!”


ผู้อาวุโสเก้าตระกูลซางก้าวเข้ามา เอ่ยชมเจียงหรานจากใจจริง


“ท่านอาวุโสชมเกินไปแล้ว”


เจียงหรานยิ้มถ่อมตน


“ฮ่า ๆ เราสองคนมีสิทธิ์เข้าพักพระราชวังชั้นสูงใช่หรือไม่!”


เสียงหัวเราะร่วนเสียงหนึ่งดังขึ้น ผู้เฒ่าชุดเทาคนหนึ่งเดินออกจากมิติ มาอยู่ข้างกายเจียงหรานในพริบตา


เขาคือผู้อาวุโสหูแห่งลัทธิเจี๋ยเทียน เดินทางมาพร้อมกับเจียงหราน


เสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงพระราชวังชั้นสูงมีอยู่ทั่วเขาหยงหมิง เขาไม่อยากรู้ยังยาก


ในความคิดของเขา เขากับเจียงหรานคิดจะเข้าไปอยู่นั้นไม่เป็นปัญหา


ถึงอย่างไรลัทธิเจี๋ยเทียนมีรากฐานแกร่งกล้า อยู่ในระดับชั้นยอดของกลุ่มอำนาจฝึกตนในยุคนี้!


“เรื่องนั้น…ไม่ได้”


ผู้อาวุโสเก้าเอ่ยด้วยท่าทางอึดอัดนิดหน่อย


ทว่าเขาเอ่ยต่อทันที “แต่เราเตรียมสถานพำนักแห่งอื่นให้ลัทธิของท่านแล้ว”


เดิมผู้อาวุโสหูมีท่าทีตื่นเต้นอารมณ์เบิกบาน หลังได้ยินคำตอบของผู้อาวุโสเก้า สีหน้าของเขาอึมครึมในบัดดล


อะไร…กันนี่!


เขาได้ยินผิดไปหรือเปล่า


เขามีศักดิ์สูงถึงผู้อาวุโสแห่งลัทธิเจี๋ยเทียน ซ้ำเจียงหรานยังมีฝีมือโดดเด่นน่าทึ่งเยี่ยงนี้ แต่ยังเจอตอ ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปพักอีกหรือ?


“เยี่ยม!”


เขาเอ่ยอย่างเคียดแค้น ก่อนจะพาเจียงหรานจากไป


ในเมื่อไม่ให้เกียรติลัทธิเจี๋ยเทียนของเขา เขาก็ไม่จำเป็นต้องให้เกียรติตระกูลซาง


ทว่าเขาไม่ได้พาเจียงหรานจากไปอย่างสิ้นเชิง แต่ผ่าพิภพถ้ำแห่งหนึ่งบนยอดเขาใกล้ ๆ กับเขาหยงหมิง เพื่อพำนักเป็นการชั่วคราว


งานชุมนุมผู้มีพรสวรรค์สูงส่งในครานี้เป็นเพียงฉากหน้า ซึ่งมีความนัยแอบแฝงอยู่มากกว่านี้


หากมิใช่เช่นนั้น เขาคงพาเจียงหรานกลับไปนานแล้ว ไม่มีทางอยู่ต่อ


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สิ่งมีชีวิตอีกคณานับเดินทางมาถึงเขาหยงหมิง กลุ่มอำนาจซึ่งมีภูมิหลังน่าประหวั่นพรั่นพรึงอย่างลัทธิเจี๋ยเทียนก็มีมาไม่ขาดสาย


ทว่าเรื่องที่สิ่งมีชีวิตบนเขาหยงหมิงต่างต้องอึ้งคือ สิ่งมีชีวิตจากกลุ่มอำนาจเหล่านี้ล้วนเจอตอ ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพักพระราชวังชั้นสูงบนยอดเขา


“น่าตกใจเกินไปแล้ว!”


“ยังมีกลุ่มอำนาจที่มีภูมิหลังยิ่งใหญ่กว่าลัทธิเจี๋ยเทียนอีกหรือ?”


สิ่งมีชีวิตในเขาหยงมิงส่งเสียงเกรียวกราว ความตะลึงโถมทับจิตใจ


บรรดากลุ่มอำนาจโบราณทรงพลังล้วนไม่ได้ ตระกูลซางเตรียมการเพื่อผู้ยิ่งใหญ่ระดับไหนเชียว


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว


ยามนั้น รถลากที่ดูสุดแสนธรรมดาคันหนึ่งโดยมีสัตว์อสูรเก้าตัวซึ่งพลังมิได้กล้าแกร่งมากนักลากเหินเข้ามา


หากเป็นก่อนหน้า สิ่งมีชีวิตในเขาหยงหมิงไม่มีทางสังเกตเห็นรถลากคันนี้


ถึงอย่างไรรถลากคันนี้ก็ดูธรรมดาเกินไป แม้นมีสัตว์อสูรลากรถเยอะ กระนั้นระดับพลังต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ห่างจากขอบเขตพรตเต๋าอีกไกลโข!


สิ่งมีชีวิตที่มาอยู่ ณ ที่นี้ล้วนมีพลังแกร่งกล้า ภูมิหลังยิ่งใหญ่ ผู้ใดจะให้ความสนใจรถลากแสนธรรมดาเยี่ยงนี้


ทว่ายามนี้ต่างออกไป


ตอนนี้ทุกคนต่างเฝ้ารอสิ่งมีชีวิตที่มาอยู่ ณ เขาหยงหมิงยิ่ง อยากเห็นว่าคนใหญ่คนโตที่ตระกูลซางรอคอยเป็นผู้ใด


สิ่งมีชีวิตตนใดที่เดินทางมายังเขาหยงหมิงล้วนเป็นที่สนใจอย่างมาก


“สัตว์อสูรลากรถ ซ้ำยังมากถึงเก้าตน มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว!”


“ผู้ใดว่าไม่ใช่เล่า! ฉงคูทนเห็นภาพเช่นนี้ไม่ได้เลย ก่อนหน้านี้ยังเสียเปรียบต่อเจียงหรานอย่างมาก ตอนนี้มันคงอัดอั้นตันใจอย่างยิ่งยวด!”


สิ่งมีชีวิตไม่น้อยเอ่ยขึ้น


และก็จริง หลังจากเก้าอสูรผู้ลากรถปรากฏตัว นัยน์ตาฉงคูเปล่งประกายน่ากลัวออกมาทันที กลิ่นอายชั่วร้ายพวยพุ่งปกคลุมฟ้าดินผืนนี้อีกครั้ง!


โฮก!


มันคำรามกราดเกรี้ยว กระโจนขึ้นจากเขาหยงหมิง พุ่งไปทางสัตว์อสูรทั้งเก้า


“แม่เจ้า ผีหลอกหรือนี่”


“เจ้านี่ตายไปแล้วมิใช่หรือ?”


อสูรทั้งเก้าสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากเมื่อเห็นฉงคูที่กำลังพุ่งมาหาพวกมัน พวกมันคิดว่าฉงคูคือ อสูรร้ายตัวเดียวกับที่พวกมันพานพบก่อนหน้านี้เสียอีก


ฉงคูกับน้องชายเป็นอสูรร้ายสายเลือดฉงฉีทั้งคู่ จึงมีร่างกายเหมือนกัน ไม่มีความแตกต่างสักนิด


“เจ้าพวกไร้ศักดิ์ศรี ทำให้เผ่าอสูรอย่างเราต้องขายหน้า ความผิดของพวกเจ้าจักไม่ได้รับการยกเว้น พวกเจ้าสมควรตาย!”


ฉงคูตวาดเสียงเย็น จิตสังหารในตัวพลุ่งพล่าน


เป็นตามที่สิ่งมีชีวิตตนอื่นคิด มันโดนเจียงหรานตอกหน้า โทสะปะทุอยู่ในใจ จิตสังหารรุนแรงเป็นพิเศษ


หากมิใช่ว่าโดนเจียงหรานตอกหน้า ถึงแม้มันจะยังมีจิตสังหาร กระนั้นคงไม่รุนแรงปานนี้ อย่างน้อยมันก็ต้องยอมละเว้นอสูรทั้งเก้าตน


มันในตอนนี้ไม่มีทางทำเช่นนั้น คิดสังหารอสูรทั้งเก้าตนด้วย!

บทที่ 284

ฉงคูกำลังอัดอั้นตันใจ ก่อนนี้มันถูกเจียงหรานตอกหน้า จดต้องอัปยศอดสู หนนี้มันขอระบายโทสะในใจหน่อยเถิด


ทว่าทันทีที่มันพุ่งตัวออกจากเขาหยงหมิง ลำแสงเจิดจ้าลำหนึ่งพลันปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของเขา จากนั้น พลังสุดแสนน่ากลัวสายหนึ่งจู่โจมเข้ามา ตัวมันกระเด็นออกไปในชั่วพริบตา กระแทกกับพื้นอย่างแรงจนพื้นเป็นหลุมใหญ่ เศษหินดินทรายกระเด็นว่อน


“บัดซบเอ๊ย!”


ฉงคูเดือดดาล โมโหอย่างยิ่ง ผู้อาวุโสเก้าแห่งตระกูลซางไม่รักษากฎเกณฑ์ ไอ้เวรตะไล บังอาจรังแกเขาทั้งที่ตนเป็นผู้อาวุโสกว่า!


ระยำ!


มันอัดอั้นตันใจอยู่ก่อนแล้ว กำลังจะระเบิดอารมณ์ ผลปรากฏว่ายังไม่ทันได้ระเบิด ก็โดนโจมตีใส่จนกระแทกกับพื้นรุนแรง อย่าให้พูดเลยว่าทรมานใจปานใด!


สะอิดสะเอียน อดสู เสียเกียรติ!


ใช่แล้ว


ลำแสงเจิดจ้าที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของมันคือแสงจากตัวผู้อาวุโสเก้า ผู้อาวุโสเก้าหน้าไม่อาย รังแกผู้ที่รุ่นหลังกว่า!


“สงบเสงี่ยมเถิด มิฉะนั้นข้าจักฆ่าเจ้าเดี๋ยวนี้!”


ผู้อาวุโสเก้าถลึงตาใส่ฉงคู ตำหนิเสียงเย็น


เขาไฉนเลยจะทนดูฉงคูลงไม้ลงมือกับท่านเซียนได้


ไม่มีทาง!


“นี่…หมายความว่าอย่างไร?”


“ดูแล้วไม่เข้าใจเลย!”


สิ่งมีชีวิตทั้งหลายมึนงงกันหมด ไม่เข้าใจว่าเหตุใดผู้อาวุโสเก้าถึงลงมือกับฉงคู


ทว่าในไม่ช้าพวกเขาก็กระจ่าง


หลังผู้อาวุโสเก้าเหวี่ยงฉงคูฟาดพื้นแล้ว ก็พาผู้อาวุโสตระกูลซางทั้งหมดเหินไปอยู่หน้ารถลากคันนั้น


จากนั้น ซางเจี๋ย ซางเหิง และโอรสสวรรค์วัยเยาว์ทั้งหลายเหินตามเข้าไป


ไฉนเลยพวกเขาจะไม่เข้าใจ


เห็นได้ชัดว่าผู้ที่อยู่ในรถลากก็คือ คนใหญ่คนโตที่พวกเขารอคอยมานาน!


รู้หรือไม่ ต่อให้เป็นธิดาสวรรค์ และยอดฝีมือจากกลุ่มอำนาจอย่างลัทธิเจี๋ยเทียนมา ตระกูลซางยังมิได้มีพิธีการเยี่ยงนี้ ไม่เคยออกไปต้อนรับอย่างพร้อมเพรียงมาก่อน


ผู้ที่อยู่ในรถลาก ย่อมไม่ธรรมดา!


สาเหตุที่ผู้อาวุโสเก้าลงไม้ลงมือกับฉงคูก็คงเป็นเช่นนี้


ชั่วขณะนั้น สิ่งมีชีวิตทั้งหมดต่างเพ่งสายตาไปยังรถลากคันนั้น


พวกเขาต่างคิดไม่ถึงว่าภายในรถลากแสนธรรมดาคันนี้ จักมีคนใหญ่คนโตที่พวกเขารอคอยมานานนั่งอยู่!


“คุณชาย แม่นางเซี่ยเหยียน พวกเราเตรียมที่พำนักไว้ให้แล้ว”


ซางเหิงเหินจากด้านหลังไปอยู่ด้านหน้าสุด


“พวกเราได้ยินเรื่องราวมาจากซางเหิงแล้ว หากไม่ได้พวกท่าน ซางเหิงย่อมไม่รอด ขอบคุณพวกท่านที่ช่วยชีวิตซางเหิง พวกเราตั้งใจมาต้อนรับพวกท่าน!”


ผู้อาวุโสเก้าเหินเข้ามาด้วย


ซางเหิงอธิบายทุกอย่างกับเขาไว้ก่อนแล้ว เขามิกล้าฝ่าฝืนข้อห้ามของท่านเซียน และรู้ว่าท่านเซียนดำรงตนในฐานะปุถุชนอยู่


แม้เขาไม่เข้าใจว่าเหตุไฉนท่านเซียนต้องดำรงตนในฐานะปุถุชนด้วย กระนั้นเขามิกล้าถามมาก ได้แต่ตามน้ำไป มิกล้าแข็งข้อแม้แต่น้อย


น่าขัน นั่นคือท่านเซียนเชียวนะ ไม่ตามน้ำไปมิเท่ากับรนหาที่ตายหรือ!


เขามิกล้าล้อเล่นกับชีวิตของตน…


“มิต้องเกรงใจ”


ภายในรถลาก หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้ม คิดในใจว่าการช่วยซางเหิงไว้ไม่เลวจริง ๆ


มิฉะนั้น เกรงว่าป่านนี้คงยังไม่มีที่พัก


ไม่เห็นหรือว่าผู้ฝึกตนและสัตว์อสูรเนืองแน่นเต็มทั้งนอกเขาในเขาไปหมด


เขาตื่นเต้นนิดหน่อย


เขายังไม่เคยเห็นผู้ฝึกตนกับสัตว์อสูรมากมายปานนี้มาก่อน และไม่เคยเข้าร่วมงานชุมนุมของโลกแห่งการฝึกตนเช่นนี้เลย


“ดูท่ารถลากที่ดูเหมือนธรรมดา แท้จริงแล้วไม่ธรรมดาเลย!”


บนยอดเขาใกล้เขาหยงหมิงแห่งหนึ่ง สีหน้าของผู้อาวุโสหูจากลัทธิเจี๋ยเทียนเคร่งเครียดอย่างมาก เขาเปิดประสาทสัมผัสเทวา ต้องการล่วงรู้สถานการณ์ภายในรถลาก


ทว่าเมื่อประสาทสัมผัสเทวาของเขาคืบคลานถึงรถลาก กลับหมดพลังลงเสียอย่างนั้น!


รถลากกีดขวางประสาทสัมผัสเทวาของเขา!


ตัวเขาทรงพลังปานใด เขาเป็นถึงผู้มีฝีมือโดดเด่นแม้ในหมู่ราชันเทวาด้วยกัน รถลากกลับกีดขวางประสาทสัมผัสเทวาของเขาได้ ไม่ต้องสงสัย รถลากคันนี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง!


“เอ๊ะ ประสาทสัมผัสเทวาของข้าถูกกีดขวางอย่างนั้นหรือ!”


อีกด้าน ฝู่ถูคิ้วขมวดมุ่น เขาเปิดประสาทสัมผัสนักบุญ ด้วยต้องการล่วงรู้สถานการณ์ภายในรถลากเช่นกัน


ทว่าประสาทสัมผัสนักบุญของเขาใช้การไม่ได้ ถูกรถลากกีดขวางไว้!


ขณะเดียวกัน ยอดฝีมืออย่างพระอาจารย์เกาเซิงจากพุทธศาสนาก็พากันเปิดประสาทสัมผัสเทวาและประสาทสัมผัสนักบุญของพวกเขาเช่นกัน หมายจะล่วงรู้สถานการณ์ภายในรถลาก


ทว่าไร้ซึ่งข้อยกเว้น พวกเขาล้มเหลวทั้งหมด ประสาทสัมผัสเทวาและประสาทสัมผัสนักบุญถูกกีดขวาง


สถานที่แห่งนี้มิได้มีฝู่ถูเป็นนักบุญคนเดียว ยังมีนักบุญอื่น ๆ อีกไม่น้อย


มีทั้งนักบุญจากยุคโบราณ และนักบุญจากยุคนี้


พวกเขาต่างถูกเชิญมา ณ ที่แห่งนี้


กระนั้นเมื่อเทียบกันแล้ว จำนวนนักบุญจากยุคโบราณมีมากกว่า จำนวนนักบุญจากยุคนี้ค่อนข้างน้อย มีอยู่คนสองคนเท่านั้น


สภาพแวดล้อมในยุคนี้ย่ำแย่เกินไป การเป็นนักบุญจึงเป็นเรื่องยากยิ่ง มีนักบุญขึ้นมาได้คนสองคนนับว่าน่าทึ่งมากแล้ว


“อมิต้าเต๋อฝอ ข้าพระพุทธไร้เกศา! ผู้ที่แย่งพระราชวังพำนักของข้ามาแล้วหรือ ท่านภิกษุน้อยผู้นี้ทนไม่ได้!”


ต้าเต๋อเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ราวกับไม่สนใจสิ่งใดแล้ว เขาต้องการเข้าไป ‘โต้วาที’ กับอีกฝ่ายเท่านั้น!


“อย่าได้ผลีผลาม!”


พระอาจารย์เกาเซิงวางมือข้างหนึ่งบนตัวต้าเต๋ออย่างรวดเร็ว สะกดต้าเต๋อเอาไว้ กลัวว่าอีกฝ่ายจะก่อความผิดใหญ่หลวง


ตระกูลซางยอมล่วงเกินต่อกลุ่มอำนาจแกร่งกล้าต่าง ๆ เพื่อคนในรถลาก สะท้อนให้เห็นว่าคนในรถลากคันนี้ไม่ธรรมดาอย่างไม่ต้องสงสัย จะผลีผลามไม่ได้เด็ดขาด!


“คุณชายเชิญตามพวกเรามา”


ผู้อาวุโสเก้านำทางอยู่ด้านหน้า อสูรทั้งเก้าลากรถตามอยู่ด้านหลัง จนมาถึงยอดเขาหยงหมิง


พวกเขากางม่านพลังไว้รอบ ๆ อยู่ก่อนแล้ว คนนอกเข้ามาไม่ได้เด็ดขาด


ผู้อาวุโสเก้ามิกล้าปล่อยให้ผู้ใดเข้ามารบกวนท่านเซียน ม่านพลังที่กางไว้ทรงพลังอย่างยิ่ง อีกทั้งยังส่งยอดฝีมือมากมายในตระกูลมาอารักขาอยู่ในเงา


รถลากลงจอดบนยอดเขา พวกหลี่จิ่วเต้าเดินลงจากรถ


“เชิญด้านใน ที่นี่คือที่พำนักที่พวกเราเตรียมให้พวกท่าน”


ผู้อาวุโสเก้าเอ่ยยิ้ม ๆ ขณะเดินนำทางอยู่ด้านหน้า


ยอดฝีมือทุกคนบนเขาหยงหมิงต่างพุ่งความสนใจไปที่รถลาก ทว่าเมื่อพวกหลี่จิ่วเต้าลงจากรถลากแล้ว พวกเขาชะงักกันไปหมด


นี่มันไม่เหมือนกับที่พวกเขาคิดไว้!


ในหมู่คนที่ลงมาไม่มีคนใหญ่คนโตเกินหยั่งใด ๆ!


ปุถุชนสองคน เด็กแปดคน ผู้ฝึกตนหญิงสามคน…


“นี่มันอะไรกัน!”


“เรื่องเป็นมาอย่างไร!?”


พวกเขาสับสนกันหมด ในบรรดาผู้ที่ลงจากรถลาก ขอบเขตที่สูงที่สุดก็เป็นเพียงขอบเขตเทวาเท่านั้น มิได้เป็นอย่างที่พวกเขาคิดไว้สักนิด!


“อมิต้าเต๋อฝอ เจ้านี่เอง!”


ต้าเต๋อเห็นอ้ายฉานแล้วเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันขึ้นมาในบัดดล หวนนึกถึงศึกชิงวัวยักษ์สีดำในครานั้น!


ท่ามกลางฝูงชน ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนและสือเฟิงก็อยู่ พวกเขาก็ได้รับเทียบเชิญงานชุมนุม และเดินทางมาอยู่ที่เขาหยงหมิง


พวกเขาสบตากัน ก่อนจะหัวเราะเสียงดังออกมาทั้งคู่


พวกเขาเห็นท่านเซียน!


ยามนี้พวกเขาเข้าใจทุกอย่างแล้ว เข้าใจว่าเหตุใดตระกูลซางถึงเอิกเกริกเยี่ยงนี้


ท่านเซียนมาทั้งที ตระกูลซางย่อมต้องกระตือรือร้นต้อนรับ


“ไปเถิด ไปหาคุณชาย!”


“ไป!”


พวกเขาสองคนเดินทางขึ้นยอดเขาอย่างรวดเร็ว

บทที่ 285

คนลงมาจากรถลาก แม้ขอบเขตของพวกเขาจะไม่สูงนัก ขอบเขตสูงที่สุดอยู่แค่ขอบเขตเทวาเท่านั้น


แต่เหล่ายอดฝีมือเขาหยงหมิงไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลน


จะกล้าดูแคลนได้อย่างไร?


ตระกูลซางถึงกับเหาะเหินออกมาจากตำหนักเพื่อต้อนรับคนเหล่านี้ คนพวกนี้จะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร?


ไม่จำเป็นต้องให้มากความก็รู้คนพวกนี้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดา!


ขอบเขตไม่สูงหากไม่ใช่แข็งแกร่งอย่างที่พวกเขาคาดเดาเอาไว้ เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว


คนจากรถลากเหล่านี้ จะต้องมีภูมิหลังอันทรงพลังซ่อนอยู่!


ตระกูลซางถึงกับให้หน้าเบื้องหลังคนเหล่านี้!


“น่าจะเป็นเช่นนี้...”


ผู้อาวุโสหูของลัทธิเจี๋ยเทียนหรี่ตาพลางกล่าว “ เด็กทั้งแปดคนอายุเพียงไม่กี่ขวบ แต่พวกเขาทั้งหมดก้าวเข้าสู่ขอบเขตพรตเต๋าแล้ว หากเบื้องหลังไม่มียอดนิกายโบราณคอยสนับสนุน จะสามารถทำเช่นนี้ได้อย่างไร?”


“ใช่แล้ว!”


ด้านข้างเจียงหรานพยักหน้าเล็กน้อยเห็นด้วยพลางกล่าว “นี่เป็นต้องเป็นยอดยนิกายโบราณอย่างแน่นอน มิฉะนั้นไม่ว่าพรสวรรค์จะน่าทึ่งเพียงใด เด็กทั้งแปดคนก็คงจะไม่สามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตพรตเต๋าได้ตั้งแต่อายุยังน้อย!”


นางกล่าวต่อไปว่า “เส้นทางการฝึกตน แม้พรสวรรค์จะเป็นสิ่งสำคัญ แต่แหล่งทรัพยากรสนับสนุนก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน ทั้งสองอย่างนี้ส่งเสริมเกื้อกูลทำให้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว”


เรื่องนี้นางเข้าใจอย่างลึกซึ้ง


พรสวรรค์ของนางนั้นน่าทึ่งไร้ผู้เทียบเคียง แต่ยังคงต้องพึ่งพาลัทธิเจี๋ยเทียนสั่งสอนเช่นกันจึงประสบความสำเร็จ


หากตัวนางเพียงคนเดียว ปราศจากการดูแลสั่งสอนอย่างเอาใจใส่จากลัทธิเจี๋ยเทียนนางคงไม่ประสบความสำเร็จมากมายถึงเพียงนี้อย่างแน่นอน!


“ต้าเต๋อ เจ้ารู้จักคนเหล่านี้หรือไม่?”


พระอาจารย์เกาเซิงได้ยินดังนั้นจึงหันไปหาต้าเต๋อพลางถามต้าเต๋อ


เมื่อครู่ต้าเต๋อกล่าวว่า 'เจ้านี่เอง!' เห็นได้ชัดว่าต้าเต๋อกับคนเหล่านี้เคยเจอกันมาก่อน


“ไม่รู้จัก แต่ข้าเคยประมือกับแม่นางด้านใน”


ต้าเต๋อยิ้ม นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพ่ายแพ้ให้กับคนรุ่นเดียวกัน เขาจึงจำมันได้แม่น จวบจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ลืม


“เจ้าเล่าเรื่องนี้ให้ข้า...”


ดวงตาของพระอาจารย์เกาเซิงเปล่งประกาย


“เล่าไร้สาระอะไรกัน! เณรน้อยเช่นข้าไม่บอกหรอก!”


ต้าเต๋อทำหน้ามุ่ย เขาไม่อยากกล่าวถึงเรื่องน่าอับอายเช่นนี้


พระอาจารย์เกาเซิงทำหน้าดุ จนเกิดเป็นรอยย่นตรงหน้าผาก เขาบำเพ็ญมาหลายปี จิตพุทธะแน่วแน่ไร้เทียมทานแต่เมื่ออยู่กับต้าเต๋อ จิตพุทธะของเขาคล้ายกำลังถูกท้าทายซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกือบแตกกระเจิง!


“เล่ามา!”


แม้จิตพุทธะของเขาจะแตกกระเจิง เขาก็ต้องรู้เรื่องนี้ให้ได้


นี่เป็นการเดิมพันครั้งใหญ่


“พระอาจารย์ถามสิ่งใดกัน เณรน้อยบอกแล้วไม่เล่าก็คือไม่เล่า!”


ต้าเต๋อกล่าวตัดบท


แต่แล้วดวงตาเล็ก ๆ ของเขากลอกไปมาอย่างรวดเร็วพลางหัวเราะส่งเสียงฮี่ๆ กล่าวว่า “เรื่องนี้สามารถเจรจากันได้ เพียงช่วยข้าทำเรื่องหนึ่งเป็นอันว่าตกลง”


“เรื่องอะไรหรือ?” พระอาจารย์เกาเซิงถาม


“ฮี่ฮี่ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แค่ช่วยข้าจับหมีตัวใหญ่ออกมาจากตำหนักพระเวทโพธิสัตว์*[1] ข้าคิดอยากกินอุ้งเท้าของหมีตัวใหญ่มานานแล้ว ตัวหนึ่งนึ่ง อีกตัวหนึ่งตุ๋นน้ำแดง”


ต้าเต๋อเอียงศีรษะซึ่งไร้เส้นผม กลมเกลี้ยงจนส่องประกายแวววับและกล่าวว่า “ใช่แล้ว หากเป็นไปได้ จับปลาจากสระบัวตำหนักพระเวทโพธิสัตว์ให้ข้าด้วยก็ดี ให้ข้าเอากลับมาต้มน้ำแกงปลาดื่ม”


“...”


ฟังคำพูดของต้าเต๋อจบ สีหน้าพระอาจารย์เกาเซิงก็มืดครึ้ม จิตพุทธะที่เพิ่งจะสงบเริ่มสั่นคลอนอีกครั้ง



เขาถึงกับก่นด่าอยู่ในใจ!


สถานะของพระเวทโพธิสัตว์นั้นสูงส่งยิ่ง เขาเป็นหนึ่งในผู้นำของเก้าพุทธศาสนาในโลก ขอบเขตบำเพ็ญเพียรของเขาไปถึงระดับที่ไม่รู้จักแล้ว


อีกอย่าง หมีตัวใหญ่ที่อยู่ใต้ตำหนักได้ทะลวงผ่านขอบเขตนักบุญไปแล้ว มันเป็นถึงราชันนักบุญสัตว์อสูร!


ในสระบัวของพระเวทโพธิสัตว์ ปลาเหล่าหาใช่ปลาธรรมดาไม่ แต่ละตัวเป็นปลาเทวา ถึงกับมีปลาระดับนักบุญอาศัยอยู่!


ต้าเต๋อไม่ถือศีลก็แล้วไปเถอะ แต่ถึงขนาดอยากกินอุ้งเท้าของหมีตัวใหญ่ขั้นราชันนักบุญด้วยแล้ว ยังอยากจะซดน้ำแกงจากปลาเทวาในสระบัวด้วยอีก...


เจ้าเด็กนี่... ยิ่งคิดจิตพุทธะของเขายิ่งสั่นคลอนแทบแตกสลายอย่างรวดเร็ว!


“วางใจเถอะ เณรน้อยอย่างข้าเป็นคนรักษาสัจจะมาก ถึงเวลาจะให้ท่านกินอุ้งเท้าของหมี ดื่มน้ำแกงปลาด้วยกัน ”


ต้าเต๋อไม่ได้สังเกตสีหน้าของพระอาจารย์เกาเซิงที่ดำคล้ำเสียจนไม่อาจคล้ำไปกว่านี้แล้ว เขายังคงกล่าวต่อไป


ตอนนี้เอง พระอาจารย์เกาเซิงรู้สึกทนไม่ไหว จิตพุทธะพังทลายในที่สุด ปาก จมูกและหูโมโหจนควันแทบออก!


“ข้าจะให้เจ้ากิน ข้าจะให้เจ้าดื่ม!”


เขากล่าวกับต้าเต๋อพลางลงมือทุบอย่างดุร้ายทันที ทุบตีจนต้าเต๋อแหกปากร้องไห้ลั่น


พระอาจารย์เกาเซิงทุบตีคนด้วยความโมโห???


สิ่งมีชีวิตรอบข้างเห็นฉากนี้แล้ว บนใบหน้าก็ปรากฏสีหน้าแปลกประหลาดขึ้นมา


สิ่งมีชีวิตของศาสนาพุทธจะต้องละเว้นความโกรธ ความไม่พอใจ ยิ่งระดับการบ่มเพาะของสิ่งมีชีวิตในศาสนาพุทธสูงส่งเท่าใด จิตพุทธะก็ยิ่งมั่นคงมากขึ้นเท่านั้น พวกเขาไม่ใช่คนโมโหง่าย


ทว่าตอนนี้พระอาจารย์เกาเซิงควันแทบออกปาก จมูก หู ซ้ำยังโมโหลงมือทุบตีอย่างรุนแรง


พระผู้นี้ช่างเจ้าอารมณ์เหลือเกิน!


อีกอย่าง เรื่องนี้ช่างแปลกยิ่งนัก!


สุดท้ายถูกพระอาจารย์เกาเซิงทุบตี ต้าเต๋อก็ข่มอารมณ์ขุ่นข้องใจเล่าทุกอย่างออกมา


“หนึ่งลมหายใจแยกร่างนับพัน?”


สีหน้าพระอาจารย์เกาเซิงพลันเคร่งขรึมพลางกล่าวว่า “เป็นไปได้ว่าเบื้องหลังของพวกเขามียอดนิกายเหนือจินตนาการอยู่!”


ตอนแรกเขายังรู้สึกอีกว่าพวกเซี่ยเหยียนได้รับการสนับสนุนจากตัวตนเหนือจินตนาการด้วย พอตอนนี้ได้ที่ต้าเต๋อเล่า เขาก็ยิ่งแน่ใจมากขึ้น


หนึ่งลมหายใจแยกร่างนับพัน ใช้พลังเจ็ดส่วนของร่างหลักได้ด้วย!


เคล็ดวิชาเช่นนี้ช่างน่ากลัวจริง ๆ เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย!


ในพุทธศาสนาของพวกเขา เรื่องจำนวนของการแยกร่างถือเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ต้องพูดถึงว่าแยกร่างแล้วยังต้องควบคุมพลัง เทียบกับพวกอ้ายฉานแล้ว ช่างห่างชั้นกันยิ่งนัก!


มิแปลกใจเลยว่า เคล็ดวิชาแยกร่างของอ้ายฉานนั้นจะต้องเป็นวิชาขั้นสูงอย่างแน่นอน ซ้ำแล้วอาจจะเหนือยิ่งกว่าเคล็ดวิชามหาจักรพรรดิเสียอีก!


“เหยียนโจวของแดนหยินเดิมทีก็ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ที่แห่งนี้เคยกำเนิดยอดนิกายมหาเต๋ามาก่อน ว่ากันว่าสืบทอดกันผ่านทางสายเลือด ยกตัวอย่างเช่นราชวงศ์อวี่ฮว่าที่เคยปกครองโลกทั้งใบ ได้รับความเคารพจากทุกเผ่าพันธุ์...”


พระอาจารย์เกาเซิงกระซิบและดวงตาของเขาก็ค่อย ๆ แสดงความลุ่มลึกยิ่งขึ้น


ราชวงศ์อวี่ฮว่าอยู่จุดสูงสุด แม้แต่พุทธศาสนาของพวกเขายังต้องเคารพ...


ตอนนี้คาดว่ายอดนิกายมหาเต๋าอันน่าหวาดเกรง เฉกเช่นราชวงศ์อวี่ฮว่าจะปรากฏบนโลกนี้อีกครั้ง?


“แมวน้อยสีขาวตัวนั้นก็ไม่ธรรมดาเลย...”


ในอีกด้านหนึ่ง หานเยว่จากตระกูลหานหรี่ดวงตากลมโตของนาง จดจ้องมองแมวสีขาวตัวน้อย ถัดจากร่างของหลี่จิ่วเต้า พลางกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเป็นพิเศษ


“เยว่เอ๋อร์ ความรู้สึกของเจ้าช่างเฉียบแหลมยิ่งนัก!”


ถัดจากหานเยว่ เป็นหญิงชรารูปร่างหลังค่อม ยันไม้เท้าหลีมู่และกล่าวด้วยน้ำเสียงลุ้มลึก “แมวสีขาวตัวน้อยตัวนี้ไม่เพียงแต่ไม่ธรรมเท่านั้น เป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่ธรรมดาที่สุดแล้ว! สายเลือดในร่างกายของมันทำให้ข้ารู้สึกหวาดกลัวอย่างไร้สิ้นสุด!”


จากนั้นนางก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่คาดไม่ถึงว่า “สายเลือดเช่นนี้ช่างน่ากลัวนัก ขนาดที่ว่าสายเลือดของอสูรร้ายอย่างฉงฉีก็ไม่สมควรพูดถึงต่อหน้าสายเลือดแมวน้อยสีขาว แมวน้อยสีขาวตัวนี้สืบสายโลหิตของอสูรร้ายบรรพกาลทั้งสิบมาใช่หรือไม่?”


“อสูรร้ายบรรพกาลทั้งสิบ!”


หานเยว่ตกตะลึง อดไม่ได้ที่เอ่ยออกมาว่า “น่ากลัวเพียงนั้นเชียวหรือ?”


อสูรร้ายทั้งสิบอยู่ยงคงกระพันบนโลกใบนี้ เป็นผู้อ้างตนว่ารับใช้ท่านเซียน!


สายเลือดของแมวขาวตัวเล็กน่ากลัวถึงเพียงนี้เชียว?



[1] พระเวทโพธิสัตว์ เป็นเทพธรรมบาลผู้คุ้มครองธรรมในพุทธศาสนา โดยมากนิยมนับถือในศาสนาพุทธแบบจีน