นี่จะปล่อยมันไปหรือ?
อสูรร้ายน้ำตานองหน้า คิดในใจว่ามันเตรียมใจตายตกแล้ว ผู้ใดจะคิดว่าเรื่องราวยังมีโอกาสพลิกผันเช่นนี้!
ขอขอบคุณปุถุชนผู้นี้!
มันมิกล้าลังเล รีบล่าถอยออกไปหมายจะหนีออกจากที่นี่
“คุณชายจะปล่อยมันไปหรือ”
เซี่ยเหยียนสกัดอสูรร้ายไว้พลางถามท่านเซียน
ท่านเซียนบอกเพียงว่าให้ลงมือเบา ๆ มิได้ระบุชัดเจนว่าให้ปล่อยอสูรร้ายตัวนี้ไป นางจึงมิกล้าปล่อยตัวอสูรร้ายตนนี้
“ปล่อยมันไปรึ ไยต้องปล่อยมันไปด้วย…ให้เจ้าลงมือเบา ๆ เพราะกลัวเจ้าอัดมันจนแหลกลาญจริง ๆ ขืนตัวแหลกลาญแล้วพวกเราจะกินเนื้อได้อย่างไร”
หลี่จิ่วเต้ากล่าว
อสูรร้ายตนนี้น่าชิงชังยิ่ง เขาไม่คิดปล่อยมันไปเหมือนกัน
ก่อนหน้านี้พวกอ้ายฉานบอกว่าให้อัดอสูรร้ายตนนี้ให้ยับ เขาก็คิดเช่นกันว่าดียิ่ง
แต่ต่อมาก็นึกถึงสัตว์อสูรที่พวกอ้ายฉานนำกลับมาให้ก่อนหน้า เนื้อนุ่มสดอร่อยเหลือแสน เขารู้สึกว่าหากอัดอสูรร้ายตนนี้จนแหลกลาญไปน่าเสียดายแย่
เพราะเหตุนี้ เขาถึงขอให้เซี่ยเหยียนเบามือ
“ได้เลย!”
เซี่ยเหยียนได้รู้ความตั้งใจของท่านเซียนแล้ว ท่านเซียนต้องการกินเนื้อ และกลัวว่านางจะอัดจนเนื้อเละ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจะเลิกโจมตีกายเนื้อของอสูรร้ายตนนี้ เปลี่ยนเป็นโจมตีวิญญาณแทน!
หลังได้ฟังคำกล่าวของหลี่จิ่วเต้า อสูรร้ายบันดาลโทสะอย่างมาก!
ไอ้บัดซบ! เมื่อครู่มันเพิ่งขอบคุณปุถุชนผู้นี้ในใจ
ขอบคุณหาพระแสงอันใด!
ที่แท้แค่กลัวว่าเนื้อของมันเละจนกินไม่ได้!
เวรเอ๊ย!
มันโกรธจนหัวใจกับปอดแทบระเบิด!
“ข้า…”
อสูรร้ายอ้าปากหมายจะด่าปุถุชนผู้นี้ แต่มันพูดคำว่า ‘ข้า’ ออกมาแค่พยางค์เดียว แสงเทวะแสงหนึ่งก็ทะลุเข้าไปทางหน้าผากของมัน และเข้ามาอยู่ในส่วนลึกของวิญญาณ
แสงเทวะนั้นห่อหุ้มวิญญาณเทวาของเซี่ยเหยียนไว้ เซี่ยเหยียนทรงพลังถึงขีดสุด วิญญาณเทวาบุกเข้าไปยังจุดที่วิญญาณของอสูรร้ายอยู่ หมายจะลบล้างวิญญาณของอสูรร้าย
“เจ้าโอหังเกินไปแล้ว!”
วิญญาณของอสูรร้ายแผดคำราม “ที่นี่เป็นอาณาเขตของข้า เจ้าจะมิได้กลับออกไปอีก!”
ในจุดที่วิญญาณของมันสถิตอยู่ วิญญาณของมันย่อมได้เปรียบ สำแดงฤทธิ์ได้มากกว่า
เซี่ยเหยียนถือเป็นผู้รุกราน วิญญาณเทวาของนางจักถูกจำกัด พลังที่มีบั่นทอนลงไปมาก
มันคิดไม่ถึงว่าเซี่ยเหยียนจะใจกล้าปานนี้ กล้าเข้ามาถึงจุดที่วิญญาณของมันสถิต!
“ว่ากระไร อาณาเขตของเจ้าแล้วอย่างไร อัดกายเนื้อของเจ้าแหลกลาญไม่ได้ ข้าจึงต้องมาอัดวิญญาณของเจ้าให้แหลกลาญ”
วิญญาณเทวาของเซี่ยเหยียนเอ่ยเสียงราบเรียบ
นางติดตามอยู่ข้างกายท่านเซียน ความสามารถเก่งกาจทุกด้าน…
นางจู่โจมอย่างดุดัน พลังวิญญาณแสนแกร่งกล้าถาโถม พริบตาก็ทำให้อสูรร้ายต้องตื่นตระหนก
บ้าเอ๊ย…แรงจำกัดเล่า!?
เวรโดยแท้!
ความสามารถบ้าบิ่นอะไรกันนี่!
ไม่เห็นว่าจะถูกจำกัดแม้แต่น้อย!
หรือว่าแต่เดิมวิญญาณเทวาของนางทรงพลังกว่านี้ ต่อให้ถูกจำกัด พลังของวิญญาณเทวาก็ยังแข็งแกร่งดุดัน
มิน่าถึงหาญกล้าบุกเข้ามาถึงที่สถิตของวิญญาณมัน!
อสูรร้ายสิ้นหวัง ไม่เห็นทางรอดแม้แต่น้อย ห่างชั้นกันเกินไป ต่อให้มันใช้พลังทั้งหมดของวิญญาณใส่ก็สู้ไม่ได้
เสียงดัง ‘ตู้ม!’ วิญญาณเทวาของเซี่ยเหยียนฟาดฝ่ามือใส่วิญญาณอสูรร้าย พลังวิญญาณอันแกร่งกล้าซัดสาด วิญญาณของอสูรร้ายแหลกลาญในบัดดลด้วยฝีมือของนาง
“รู้อย่างนี้ข้าน่าจะชิงระเบิดตัวเองก่อน!”
วิญญาณอสูรร้ายลั่นวาจาเช่นนี้ก่อนจะตายตก
มันเสียใจยิ่งที่มิได้ชิงระเบิดตัวเอง จนต้องถูกกินในภายหลัง
การตายเยี่ยงนี้ช่างอัปยศอดสู ทำให้มันระทมใจนัก
มันผู้จับมนุษย์เป็นอาหารมาโดยตลอด สุดท้ายกลับต้องโดนเผ่ามนุษย์จับไปกิน ตลกร้ายเหลือเกิน…
วิญญาณถูกอัดจนไม่เหลือชิ้นดี อสูรร้ายสิ้นลมหายใจ ร่างล้มตึงลงไป
แสงเทวะแสงหนึ่งพุ่งออกจากตัวอสูรร้าย วิญญาณเทวาของเซี่ยเหยียนกลับคืน นางยกมือเก็บศพอสูรร้ายเข้าศาสตราบรรจุของ
“นี่มัน!”
ซางเหิงตาค้าง คิดไม่ถึงว่าเซี่ยเหยียนจะดุดันปานนี้ สามารถปลิดชีพวิญญาณอสูรร้ายในจุดที่วิญญาณของมันสถิตอยู่ได้อย่างง่ายดาย
การฝึกฝนนั้นมิใช่แค่บำเพ็ญขอบเขต กายเนื้อ หทัยเต๋า และวิญญาณ ล้วนต้องบำเพ็ญ
เทียบกันแล้ว กายเนื้อ หทัยเต๋า และวิญญาณบำเพ็ญได้ยากกว่า ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ยกระดับขอบเขตพลังได้ แต่กายเนื้อ หทัยเต๋า และวิญญาณกลับตามขึ้นไปไม่ทัน
รวมถึงตัวเขาเองก็เป็นเช่นนี้ กายเนื้อ หทัยเต๋า และวิญญาณของเขาล้วนอ่อนกำลังกว่าขอบเขตพลังของเขา หาได้เสมอภาคไม่
เซี่ยเหยียนเข้าไปอยู่ในที่สถิตวิญญาณของอสูรร้ายแล้วยังลบล้างวิญญาณอสูรร้ายได้อย่างง่ายดาย บ่งบอกว่าพลังวิญญาณของเซี่ยเหยียนนั้นแข็งแกร่งมากอย่างไม่ต้องสงสัย!
นางทำได้เยี่ยงไร!?
เขายากจะเชื่อได้ลงจริง ๆ
เซี่ยเหยียนอายุน้อยถึงเพียงนี้ ไฉนถึงมีขอบเขตพลังสูงส่งและยังมีพลังวิญญาณแกร่งกล้าปานนั้นอีกด้วย
เวลาฝึกฝนของนางพอหรือ?
นึกถึงซางเจี๋ย ลูกรักสวรรค์ผู้โดดเด่นแห่งตระกูลซางของเขา บัดนี้ก็ยังมุ่งเน้นได้เพียงด้านเดียว ขอบเขตพลังของเขาอยู่ในระดับสูง ด้านอื่น ๆ อย่างกายเนื้อ หทัยเต๋า และวิญญาณนั้น ตามขอบเขตไม่ทันเลย…
หรือนี่มิใช่อายุที่แท้จริงของเซี่ยเหยียน แท้จริงแล้วเซี่ยเหยียนบำเพ็ญมาหลายปี เป็นยายเฒ่าอายุเกินร้อย?
ไม่หรอกกระมัง…
เขาปัดความคิดนี้ตกอย่างรวดเร็ว เซี่ยเหยียนดูมีชีวิตชีวา มิใช่สิ่งที่ยายเฒ่าผู้ฝึกฝนมานานจะมีได้
รูปโฉมหยุดยั้งไว้ในวัยสาวได้ แต่ความมีชีวิตชีวาเช่นนี้ไม่อาจรั้งไว้ได้ กาลเวลาจะลบล้างมันออกไป
เด็กแปดคนนี้ก็น่าทึ่งมากเช่นกัน อายุไม่กี่ขวบก็ก้าวสู่ขอบเขตพรตเต๋าแล้ว!
ซางเหิงทอดสายตามองพวกอ้ายฉานอีกครั้ง นึกอัศจรรย์ใจเช่นกัน
ขอบเขตพรตเต๋าด้วยอายุไม่กี่ขวบ ลูกรักสวรรค์ผู้โดดเด่นแห่งตระกูลซางยังทำไม่ได้เพียงนี้!
น่าเสียดาย เขาติดตามเฉพาะข่าวสารของกลุ่มอำนาจลับเท่านั้น ไม่เคยติดตามข่าวสารผู้อื่น มิฉะนั้น ยามนี้เขาคงไม่สับสนงุนงง ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น
อย่างน้อยเขาต้องรู้ภูมิหลังคร่าว ๆ ของเซี่ยเหยียนและเด็กเหล่านี้บ้าง
เครือข่ายข่าวกรองมุ่งเน้นการตามหากลุ่มอำนาจลับและยอดฝีมือผู้เร้นกายเป็นหลัก กระนั้นก็เก็บข้อมูลด้านอื่นอยู่บ้าง แม้มิได้เจาะลึก แต่พอมีข่าวขั้นพื้นฐานอยู่
คุณชาย!
เวลานั้น ซางเหิงก็นึกถึงสรรพนามที่เซี่ยเหยียนใช้เรียกหลี่จิ่วเต้า
ม่านตาของเขาสั่นไหว เบนสายตาไปที่หลี่จิ่วเต้า
ก่อนนี้เซี่ยเหยียนไม่เพียงเรียกหลี่จิ่วเต้าว่าคุณชาย แต่ยังปฏิบัติต่อหลี่จิ่วเต้าด้วยความเกรงอกเกรงใจอีกด้วย หากย้อนคิดดูดี ๆ แล้ว มิใช่แค่เกรงอกเกรงใจเท่านั้น หากแต่ด้วยความเคารพนบนอบ!
ขอให้ลงมือเบา ๆ เพียงประโยคเดียว เซี่ยเหยียนก็ผ่อนแรงทันที ขอให้เก็บไว้กินประโยคเดียว เซี่ยเหยียนก็บุกเข้าไปโจมตียังจุดสถิตวิญญาณของอสูรร้ายด้วยวิญญาณเทวาของตน…
คิดมาถึงนี่ ฉับพลันนั้น เขาผุดความคิดบ้าบิ่นหนึ่งขึ้น!
หลี่จิ่วเต้ามิใช่ปุถุชน แต่เป็นตัวตนแสนน่ากลัวท่านหนึ่ง!
ไม่อย่างนั้นเหตุใดเซี่ยเหยียนถึงเกรงใจปุถุชนผู้หนึ่งขนาดนั้น ถึงขั้นนอบน้อมด้วยซ้ำ!?
ที่เซี่ยเหยียนเก่งกาจทรงพลังถึงเพียงนี้ ที่เด็กทั้งแปดคนสะท้านโลกันตร์ถึงเพียงนี้ ที่รถลากวิวัฒนาการได้ ซ้ำยังมีจังหวะแห่งเต๋าสูงส่งไหลเวียน บางทีอาจเกี่ยวข้องกับการดำรงอยู่สูงส่งเกินหยั่งอย่างหลี่จิ่วเต้าก็เป็นได้!
พลันลมหายใจของเขาถี่กระชั้นขึ้น
เพราะยิ่งคิดเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองคิดถูก!
ถึงอย่างไรหากเป็นเช่นนี้ เรื่องราวทั้งหมดจะอธิบายได้อย่างสมเหตุสมผล!
สวรรค์!
ถ้าหลี่จิ่วเต้าเป็นดั่งที่เขาคิดจริง อีกฝ่ายต้องแข็งแกร่งขนาดไหนเชียว?
จังหวะแห่งเต๋าระดับมหาจักรพรรดิที่ไหลเวียนอยู่ในรถลากคันนี้ต้อยต่ำลงไปทันตา ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง…
หลี่จิ่วเต้า…ท่านเซียนหรือ!?
เขาได้พบท่านเซียนหรือนี่!?
ลมหายใจของเขายิ่งถี่กระชั้น สั่นสะเทือนไปถึงวิญญาณ
‘อย่าวู่วาม ทั้งหมดนี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์!’
เขาพร่ำบอกตัวเองในใจไม่หยุด พยายามทำให้ตัวเองสงบก่อน
บทที่ 277
ชายกระโปรงของเซี่ยเหยียนพลิ้วไหว เหาะเหินเดินอากาศกลับมายังรถลากประดุจนางเซียนท่านหนึ่ง
ท่าทีของนางราวกับมิได้ผ่านการต่อสู้มาอย่างนั้น สีหน้าผ่อนคลาย อาภรณ์สะอาดสะอ้าน ไม่เปื้อนฝุ่นดินแม้แต่น้อย
“คุณชาย!”
นางเดินมาอยู่เบื้องหน้าท่านเซียน คลี่ยิ้มอ่อนหวานน่าเอ็นดู “โชคดีที่ลุล่วงตามบัญชา กำราบได้สำเร็จไร้ที่ติ!”
“สุดยอด สุดยอด!”
หลี่จิ่วเต้ายกนิ้วโป้งให้เซี่ยเหยียน ชมจากใจจริง
เขาไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเซี่ยเหยียนจัดการอสูรร้ายตนนั้นอย่างไร เขาเห็นเพียงแสงเทวะแสงหนึ่งพุ่งเข้าไปที่หว่างคิ้วของอสูรร้าย จากนั้น อสูรร้ายก็ถูกจัดการจนตัวล้มตึง
นี่แหละความสามารถของผู้ฝึกตน ฝีมือเทียบเทียมเทพเจ้า!
“ขอบคุณคุณชายที่ชม!”
ได้รับคำชมจากท่านเซียน เซี่ยเหยียนปีติยินดีอย่างยิ่ง ไม่มีสิ่งใดเทียบได้กับคำชมของผู้อาวุโสแล้ว!
“เมี้ยว!”
ลั่วสุ่ยเห็นรอยยิ้มระรื่นของเซี่ยเหยียนแล้วก็ส่งเสียงร้องอย่างไม่ยอม
ใช่เรื่องใหญ่ที่ไหน…เอาชนะอสูรร้ายตัวจ้อยแค่นั้นน่าภูมิใจนักหรือ
หากนางเป็นผู้ลงมือ ลำพังเสียงคำรามก็ทำให้อสูรร้ายตัวจ้อยนั่นกลัวจนวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนได้แล้ว!
นางวิวัฒนาการเป็นสายเลือดพยัคฆ์ขาวบริสุทธิ์มาได้สักพักแล้ว ต่อมา สายเลือดของนางได้รับการยกระดับอีกหลายครั้ง จนบัดนี้สายเลือดของนางอยู่ในระดับน่าสยดสยองปานใด ตัวนางเองยังไม่ทราบ
ทว่านางแน่ใจว่า หากตนปลดปล่อยพลังสายเลือดออกมาอย่างเต็มกำลัง ต่อให้เป็นลูกหลานสายเลือดบริสุทธิ์ของสิบอสูรร้ายบรรพกาลก็ต้องโดนสายเลือดของนางกำราบ!
สรุปแล้ว นางก็ยังไม่ชอบขี้หน้าเซี่ยเหยียนอยู่ดี
เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ต้น!
นอกจากนี้ ผู้ใดใช้ให้ก่อนหน้านี้เซี่ยเหยียนหลอกด่าอสูรร้ายตนนั้นเล่า!
“ยังไม่ลืมอีกหรือ”
หลี่จิ่วเต้าลูบแมวน้อยสีขาวในอ้อมอกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ทำใจให้กว้างบ้าง อย่าใจแคบนัก”
เขารู้สึกว่าแมวน้อยสีขาวตัวนี้ฉลาดยิ่ง พอเห็นว่าเขากล่าวชมเซี่ยเหยียนก็ส่งเสียงร้องอย่างไม่ยอม
ยังไม่ลืมวาจาที่เซี่ยเหยียนเอ่ยก่อนหน้าสิท่า
“เมี้ยว…”
ลั่วสุ่ยร้องอย่างน้อยใจ ท่านเซียนว่านางใจแคบ ฮือ ๆ ท่านเซียนชอบเซี่ยเหยียนมากกว่านาง…
“ขอบคุณมากสำหรับการช่วยเหลือ!”
ตอนนั้นเอง ซางเหิงสงบจิตใจลงได้ ก่อนจะเดินเข้ามาโค้งคำนับหลี่จิ่วเต้าเป็นการขอบคุณ
เขามิได้วู่วามกระทำการใดลงไป ตัดสินใจว่าขอดูลาดเลาก่อนแล้วค่อยว่ากัน
มีมารยาทจริง ๆ…
เห็นท่าทางสุภาพของซางเหิงแล้ว หลี่จิ่วเต้ายิ่งประทับใจในตัวซางเหิงขึ้นไปอีก
คนผู้นี้มีคุณธรรม ก่อนหน้าที่อสูรร้ายทำท่าจะจู่โจมเข้ามา ซางเหิงยังออกหน้าให้ ถึงแม้พลังจะอ่อนแอไปหน่อยก็ตาม…
ทว่าคุณธรรมนี้ชวนให้ประทับใจยิ่งแล้ว
เขาคลี่ยิ้มพร้อมกล่าวว่า “คุณชายเกรงใจเกินไปแล้ว ไม่ต้องขอบคุณข้า ข้ามิได้ทำอันใด อีกอย่างข้าเป็นเพียงปุถุชน ต่อให้อยากทำอะไรก็ทำไม่ได้…ฮ่า ๆ สิ่งสำคัญคือรถลากคันนี้สุดยอด เซี่ยเหยียนเองก็มีความสามารถแกร่งกล้า”
เป็นเพียงปุถุชน?
เขาเดาผิดไปหรือ
ได้ยินหลี่จิ่วเต้าเรียกขานตนเองว่าปุถุชน ซางเหิงก็คิดในใจ
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้น เขาก็มิกล้าเสียมารยาทอยู่ดี “ข้าไม่รู้ต้องเรียกท่านด้วยคำใด ได้ยินพวกนางเรียกท่านว่าคุณชายกันหมด ข้าขอบังอาจเรียกท่านว่าคุณชายด้วยได้หรือไม่”
“เกรงใจไปแล้ว”
หลี่จิ่วเต้าหัวเราะ คิดในใจว่าเป็นอีกครั้งที่เขาได้หน้าเพราะเซี่ยเหยียน มิฉะนั้นผู้ฝึกตนเบื้องหน้าผู้นี้ไฉนเลยจะรักษามารยาทต่อปุถุชนเช่นเขาถึงเพียงนี้
“ข้ามีนามว่าซางเหิง มาจากตระกูลซาง”
ซางเหิงแนะนำตัว
“สวัสดีคุณชายซาง ข้ามีนามว่าหลี่จิ่วเต้า มาจากเมืองชิงซาน”
หลี่จิ่วเต้าแนะนำตัวกลับ จากนั้นเป็นพวกเซี่ยเหยียนที่แนะนำตัวทีละคน
“ตระกูลซาง? ซางเจี๋ยเป็นคนจากตระกูลพวกท่านหรือ”
เซี่ยเหยียนนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ จึงถามซางเหิง
เทียบเชิญที่สำนักไท่หัวได้รับ ผู้ลงนามก็คือซางเจี๋ย
แซ่ซางเหมือนกัน นางอดคิดไม่ได้ว่าเกี่ยวข้องกันหรือไม่…
“ใช่แล้ว”
ซางเหิงพยักหน้าด้วยท่าทางทระนง ซางเจี๋ยเป็นลูกรักสวรรค์ผู้เก่งกาจที่สุดในตระกูลซางของพวกเขา เป็นที่หนึ่งของคนรุ่นราวคราวเดียวกัน ยากจะมีใครทัดเทียม
เกี่ยวข้องกันจริงหรือนี่
เกินคาดเซี่ยเหยียนไปหน่อย นี่นางได้พบคนตระกูลซางจริงหรือ?
ตระกูลซางเชียวนะ ตระกูลจักรพรรดิโบราณในดินแดนฮวง การสืบสานยาวนานจนไม่อาจคำนวณได้ กิตติศัพท์บารมียิ่งใหญ่ในดินแดนฮวง แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการดำรงอยู่ที่มีอำนาจสูงสุดในอาณาจักรแห่งนี้
หากเป็นแต่ก่อน อย่าว่าแต่ได้สนทนากับคนตระกูลซางเลย ลำพังอยากพบคนตระกูลซางนางก็ไม่มีสิทธิ์…
การดำรงอยู่ที่มีอำนาจสูงสุดในอาณาจักร มีสถานะสูงส่งเหลือคณา
ทว่าบัดนี้ ซางเหิงตรงหน้ากลับพูดจากับนางด้วยความเกรงอกเกรงใจ นางสะท้อนใจอย่างยิ่ง
ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะนางได้พบท่านเซียน เส้นทางชีวิตของนางถึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลง ช่วยให้นางได้มีความสำเร็จอย่างวันนี้
ขอบพระคุณท่านเซียนยิ่งนัก!
เด็กสาวลอบชำเลืองมองท่านเซียน เอ่ยในใจอย่างขึงขัง
ตระกูลซาง…ตระกูลจักรพรรดิโบราณอันยิ่งใหญ่นั่นหรือ
หลิงอินคิดในใจ ในยุคโบราณก็มีตระกูลซางอยู่เช่นกัน รากฐานมั่นคงเหลือคณา เป็นหนึ่งในตระกูลเรืองอำนาจสูงสุดของยุคโบราณ
เพียงแต่ไม่รู้ว่า ตระกูลซางนี้ใช่ตระกูลซางเดียวกับที่นางคิดหรือเปล่า…
“ข้าดูจากทิศทาง พวกท่านกำลังมุ่งตรงไปที่ภาคกลางใช่หรือไม่ ทุกท่านกำลังไปเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ที่ซางเจี๋ย ลูกรักสวรรค์ของตระกูลเราจัดขึ้นหรือ”
ซางเหิงถาม
เขารับผิดชอบเฉพาะกลุ่มอำนาจลับและยอดฝีมือผู้เร้นกายในเหยียนโจว ส่วนเรื่องอื่นมิได้อยู่ในความรับผิดชอบของเขา จึงมิได้สนใจนัก
เขาไม่รู้ว่าพวกเซี่ยเหยียนได้รับคำเชิญร่วมงานชุมนุมใหญ่หรือไม่…
ทว่าเขาลองคิดดูแล้ว เซี่ยเหยียนและเด็ก ๆ เหล่านี้ล้วนโดดเด่นน่าทึ่ง คงได้รับเทียบเชิญร่วมงานชุมนุมใหญ่เป็นแน่
“ที่แท้เป็นงานชุมนุมใหญ่ที่ตระกูลของท่านจัดหรอกหรือ”
หลี่จิ่วเต้าแปลกใจนิดหน่อย คิดไม่ถึงว่าจะได้พบหนึ่งในตระกูลผู้จัดงานชุมนุมใหญ่
เขาคลี่ยิ้มขณะเอ่ย “ถูกต้อง พวกเรากำลังจะไปเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่นี้ ทว่านี่เป็นงานชุมนุมใหญ่ของผู้ฝึกตน ไม่รู้ว่าปุถุชนไปด้วยเหมาะสมหรือไม่…”
“คุณชายอำกันเล่นแล้ว ไฉนเลยต้องแบ่งแยกปุถุชนกับผู้ฝึกคน แต่เดิมผู้ฝึกตนก็เป็นปุถุชนเช่นกัน มีจุดกำเนิดเดียวกัน ย่อมเข้าร่วมได้!”
ซางเหิงรีบบอก
ได้ยินซางเหิงพูดเช่นนี้ หลี่จิ่วเต้าสบายใจได้อย่างสิ้นเชิง
ถึงอย่างไรก็เป็นงานชุมนุมใหญ่ของผู้ฝึกตน เขากับหลิงอินเป็นปุถุชนทั้งคู่ หากผู้จัดงานชุมนุมใหญ่ไม่ให้เข้า ถึงเวลานั้นคงสร้างปัญหาให้เซี่ยเหยียนอีกมาก
“เช่นนี้ก็ดี”
หลี่จิ่วเต้าถาม “ท่านกำลังจะเดินทางกลับหรือ หากกำลังจะกลับ พวกเราร่วมทางกันดีหรือไม่ ถึงอย่างไรจุดหมายปลายทางของทุกคนก็คือที่เดียวกัน”
ซางเหิงกำลังจะบอกว่าเขามีธุระอื่นต้องไปทำ แต่ในไม่ช้าก็สบถด่าตัวเองในใจ เรื่องใดจะสำคัญเท่าเรื่องในตอนนี้?
หลี่จิ่วเต้า…อาจเป็นถึงท่านเซียน!
แน่ใจในเรื่องนี้ให้ได้จึงจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด!
“ขอบคุณ เช่นนั้นข้าขอรบกวนด้วย!”
ซางเหิงบอก
“ดี ถ้าอย่างนั้นพวกเราเดินทางกันต่อเถิด” หลี่จิ่วเต้ากล่าวยิ้ม ๆ
“ได้เลย”
เซี่ยเหยียนตอบ สั่งให้อสูรทั้งเก้ามุ่งหน้าต่อไป
อสูรทั้งเก้าลากรถบนพื้นเมฆา มุ่งหน้าไปยังภาคกลางด้วยความว่องไวทว่าไร้ความโคลงเคลง
แดนบูรพาทิศเป็นเพียงภูมิภาคหนึ่ง ภาคอื่นก็กว้างใหญ่ไพศาลมากเช่นกัน หากพวกมันต้องเหินเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนถึงภาคกลาง ต้องใช้เวลามหาศาล
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ราตรีคืบคลาน หลี่จิ่วเต้าเริ่มหิว เขาจึงบอกให้อันหลานเสวี่ยนำขนมและเครื่องดื่มที่เตรียมไว้ออกมา
การเดินทางนี้มิใช่การเดินทางระยะสั้น เขาจึงเตรียมการล่วงหน้าไว้นิดหน่อย
อันหลานเสวี่ยมีศาสตราบรรจุของ จะพกพาสิ่งใดก็สะดวก เขาจึงเตรียมขนมและเครื่องดื่มไว้จำนวนหนึ่ง ซ้ำยังนำฉินติดมาด้วย เพื่อคลายกระหายคลายเบื่อระหว่างทาง
“เจ้าค่ะคุณชาย!”
อันหลานเสวี่ยนำขนมและเครื่องดื่มออกมาวางบนโต๊ะด้วยท่วงท่าสง่างาม
บทที่ 278
ของว่างมีหลากหลายรูปแบบ แต่ละชิ้นล้วนงดงามละเอียดอ่อนดึงดูดใจ เพียงมองก็คล้ายจะกระตุ้นความอยากอาหารขึ้นมา ทำให้ต้องการลิ้มลองสักชิ้น
มีทั้งขนมอบที่ทำจากพุทรา ขนมที่ทำจากดอกไม้และข้าวบด ขนมธัญพืชที่ทำจากถั่วลิสง เมล็ดแตงโม และงาเป็นต้น...
เครื่องดื่มเป็นน้ำผลไม้ที่หลี่จิ่วเต้าทำขึ้นมาสำหรับเด็ก ๆ อย่างพวกอ้ายฉาน
ทันทีที่ของว่างและเครื่องดื่มถูกวางลงบนโต๊ะ พวกอ้ายฉานก็รีบพากันกรูเข้าไป
ฝีมือคุณชายนั้นยอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง กินเข้าไปแล้วชวนให้พวกเขาเคลิบเคลิ้ม รสชาติอบอวลอยู่ในลำคอไม่จางหาย!
หลิงอินกับเซี่ยเหยียนเองก็มาร่วมวงด้วย พวกเขาต่างกลืนน้ำลายลงคออย่างอดใจไม่ไหว
อาหารสามารถทำให้ผู้ฝึกตนไม่อาจควบคุมความอยากกินของตัวเองได้หรือ?
หากยังไม่เคยพบท่านเซียนมาก่อน แล้วมีผู้มาพูดเช่นนี้ พวกนางในอดีตคงจะตบหน้าอีกฝ่ายอย่างไร้ซึ่งความลังเล
ทว่าหลังได้พบท่านเซียน ทั้งยังได้ลิ้มลองอาหารอันโอชะที่ท่านเซียนทำขึ้นมา พวกนางก็มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า อาหารสามารถทำให้ผู้ฝึกตนไม่อาจควบคุมความอยากกินของตัวเองได้!
ยังกินอาหารอยู่?
ดูเหมือนกับปุถุชนทั่วไป...
เมื่อซางเหิงได้ยินว่าหลี่จิ่วเต้าบอกให้อันหลานเสวี่ยนำของว่างและเครื่องดื่มออกมา ภายในใจก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมา
ต่อให้เป็นผู้ที่บรรลุขอบเขตขั้นต่ำ ก็จะไม่รู้สึกหิวโหย ไม่ต้องกินบ่อยเท่าปุถุชนทั่วไป
ทว่าหลี่จิ่วเต้ายังต้องกิน...
แสดงว่าเขาคิดผิดไปจริง ๆ หลี่จิ่วเต้านั้นไม่ใช่เซียนแต่อย่างใด
ทว่าเขาก็ปล่อยวางอย่างรวดเร็ว ปัดเป่าความผิดหวังภายในใจออกไป
นับตั้งแต่สมัยโบราณมา เซียนเป็นเพียงตำนานเล่าขาน ไร้ผู้ใดสามารถบรรลุถึง เขาคิดไปได้อย่างไรว่าหลี่จิ่วเต้านั้นเป็น นี่ช่างเพ้อเจ้อเสียจริง
แต่เมื่ออันหลานเสวี่ยนำของว่างและเครื่องดื่มออกมา เขาก็พลันตัวแข็งทื่อ
นี่...นี่...นี่!
ของว่างแต่ละชิ้นประกอบด้วยปราณแห่งชีวิตอันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะสามารถคาดถึง น้ำผลไม้มีกลิ่นหอมชวนลิ้มลองประหนึ่งน้ำอมตะ หนึ่งหยดสามารถมอบประโยชน์ไม่รู้จบเกินกว่าที่จะจินตนาการถึง!
ไม่น่าแปลกใจเลยที่เซี่ยเหยียนและคนอื่น ๆ จะเข้าหาแบบไม่รู้ตัวยามที่นำของว่างออกมา!
ของว่างและเครื่องดื่มอะไรกัน นี่มันวาสนาการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ต่างหาก!
หัวใจของเขาเต้นรัวขึ้นมาในทันที
“ท่านเป็นผู้ทำขนมเหล่านี้หรือ…?”
เขาถามหลี่จิ่วเต้า
“ใช่แล้ว หากคุณชายซางไม่รังเกียจ ก็สามารถลองชิมได้” หลี่จิ่วเต้ากล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม
หลังจากได้ยินหลี่จิ่วเต้าตอบกลับมา หัวใจของซางเหิงประหนึ่งถูกคลื่นลูกใหญ่สาดซัด ในยามนี้เขาหมดซึ่งข้อสงสัยแล้ว หลิ่วจิ่วเต้า...เป็นเซียน!
ของว่างและเครื่องดื่มเหล่านี้น่าตื่นตะลึงและเหนือชั้นยิ่งกว่าโอสถจักรพรรดิ หากบอกว่าหลี่จิ่วเต้าไม่ใช่เซียน ตีเขาให้ตายอย่างไรก็ไม่เชื่อ!
เผ่าซางของเขาสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ในหมู่บรรพบุรุษมหาจักรพรรดิจำนวนมากถือกำเนิดขึ้นมา ทำให้เขาสามารถรับรู้ได้ว่าโอสถจักรพรรดิไม่อาจเปรียบเทียบได้กับของว่างและเครื่องดื่มเหล่านี้!
นอกจากเซียนแล้ว จะมีผู้ใดสามารถทำของว่างและเครื่องดื่มเช่นนี้ได้อีก?
ย่อมไม่มีอย่างแน่นอน!
คิดเช่นนี้แล้ว ภายในใจของเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด
ตั้งแต่โบราณกาล เซียนนั้นเป็นเพียงตำนานเลื่อนลอยเล่าขาน ไม่อาจสืบเสาะพบเจอ ไม่อาจแน่ใจเสียด้วยซ้ำว่าบนโลกหล้านี้มีเซียนอยู่จริงหรือไม่ มีผู้ใดสามารถกลายเป็นเซียนได้หรือไม่!
ทว่าในตอนนี้ เซียนกลับปรากฏกายขึ้นต่อหน้าเขาจริง ๆ แล้วจะให้เขาไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร
เขาตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด!
เซียน ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเล่าขาน!
สิ่งสำคัญที่ทำให้เขาตื่นเต้นที่สุดก็คือ ท่านเซียนเอ่ยปากชวนเขารับประทานของว่างและเครื่องดื่ม!
เขากำลังจะกล่าวออกมาว่าขอบคุณท่านเซียน แต่เมื่อคำพูดขึ้นมาถึงริมฝีปาก เขาก็พลันนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ตอนที่ท่านเซียนพูดกับเขา ท่านเซียนเรียกตนเองว่าเป็นมนุษย์!
สิ่งนี้ทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมาก เหงื่อเย็นยะเยียบไหลลงจากหลังของเขา
กล่าวว่าตนเป็นมนุษย์เช่นนี้ ท่านเซียนต้องกำลังเดินท่องโลกหล้าในฐานะปุถุชน!
ไม่น่าแปลกใจเลยที่บนร่างของท่านเซียนไร้ซึ่งความผันผวนของพลัง ดูราวกับเป็นปุถุชนธรรมดาทั่วไปผู้หนึ่ง
เขาตระหนักได้ในทันที โชคดีที่เขาไม่ได้เอ่ยคำว่า ‘ท่านเซียน’ ออกมา มิเช่นนั้นคงไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่าตนเองจะตายเช่นไร!
ตลกน่า ท่านเซียนเรียกตนเองว่าเป็นมนุษย์ แต่เขากลับเรียกอีกฝ่ายว่าท่านเซียน นับว่าเป็นการตบหน้าท่านเซียนไม่ใช่หรือ จะกลับกลายเป็นว่าเขาไม่เห็นแก่หน้าท่านเซียน!
“คุณชายก็กล่าวเกินไป ขนมเหล่านี้งดงามประณีตเป็นอย่างมาก มีโอกาสได้ลิ้มรสสักครั้งในชีวิตนับว่าเป็นวาสนา!”
เขารีบเอ่ยขึ้นมา
“ฮ่า ๆ คุณชายซางก็กล่าวเกินจริงไป มาเถิด ไม่ต้องสุภาพแล้ว”
หลี่จิ่วเต้ายิ้ม ไม่ได้คิดอะไรมาก
เขาไม่คิดว่าตนเองจะยอดเยี่ยมสมกับคำยอของซางเหิง คิดเพียงว่าอีกฝ่ายคงจะเอ่ยชมเพื่อเอาอกเอาใจเซี่ยเหยียนอีกที
ใช่แล้ว ใครใช่ให้เซี่ยเหยียนเก่งกาจขนาดนั้นกัน
ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนคนใด ก็เกรงว่าล้วนแล้วแต่ต้องการจะเอาใจเซี่ยเหยียนผู้เก่งกาจ
พูดแล้วก็นึกถึงยามที่หยวนอีมายังชิงโจวในครั้งนั้น ขนาดนางยังต้องการจะเอาใจเซี่ยเหยียนเลย
“ขอบคุณ คุณชาย!”
ซางเหิงกล่าวขอบคุณท่านเซียน ก่อนจะหยิบขนมขึ้นมาหนึ่งชิ้น
เขากัดเข้าไปหนึ่งคำ ความกรอบอร่อยแพร่กระจายเต็มปาก ราวกับเขาได้เปิดประตูสู่โลกใบใหม่ ซางเหิงไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ขนมจะสามารถอร่อยได้ถึงเพียงนี้!
ปรากฏว่า...อาหารไม่ได้เอาไว้เพียงเพื่อสนองความหิว แต่ยังใช้เพื่อมอบความเพลิดเพลิน!
ยามนี้ เขาตระหนักถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นมาได้!
หลังจากกินขนมเข้าไปเพียงหนึ่งคำเล็ก ๆ กลับรับรู้ได้ว่าร่างกายคล้ายมีกระแสน้ำอุ่นไหลผ่าน หล่อเลี้ยงทุกอวัยวะในร่างกายของเขา!
เขารู้สึกได้ว่าแก่นกำเนิดชีวิตของตนเองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานก็เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าของปริมาณเดิม กล่าวได้ว่าอายุขัยของเขาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก!
ในขณะเดียวกัน เขาก็ยังรู้สึกเหมือนกับตนได้สัมผัสเข้ากับมหาเต๋า สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก!
‘สวรรค์! ไม่ใช่รู้สึกเหมือน...แต่ข้าได้สัมผัสเข้ากับมหาเต๋าจริง ๆ!’
ภายในใจของเขากู่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น เขาได้สัมผัสเขากับมหาเต๋าจริง ๆ มันทำให้เส้นทางการฝึนตนของเขาถูกกำหนดให้ราบเรียบไปจนตลอดทาง ไร้ซึ่งอุปสรรคอีกต่อไป!
นี่มันเหนือล้ำยิ่งกว่าโอสถจักรพรรดิจริง ๆ!
แม้เป็นโอสถจักรพรรดิก็ไม่สามารถทำให้สัมผัสมหาเต๋าได้!
ขนมเพียงหนึ่งชิ้น กลับมีความสามารถท้าทายสวรรค์ นี่คือ...ความเก่งกาจท่านเซียน?
“อร่อยหรือไม่?”
หลี่จิ่วเต้าถาม
ซางเหิงพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนพูดออกมาด้วยความจริงใจอย่างถึงที่สุด “อร่อย อร่อยมาก! นี่เป็นสิ่งที่อร่อยที่สุดบนโลกใบนี้อย่างแน่นอน!”
หลี่จิ่วเต้ากล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ถ้าอร่อยก็กินอีกเยอะ ๆ ข้าทำเอาไว้หลายอย่าง กินได้อย่างไม่ต้องห่วง”
ภายในใจของเขามีความสุขเป็นอย่างยิ่ง เห็นได้ว่าในครั้งนี้ซางเหิงไม่ได้เอ่ยเพื่อเยินยอ แต่ประทับใจในรสชาติของของว่างที่เขาทำจริง ๆ
“มา ๆ ทุกคนมากินกัน”
เขาพูดกับเซี่ยเหยียนและคนอื่น ๆ
พวกเซี่ยเหยียนเองต้องการที่จะกินนานแล้ว แต่ในเมื่อท่านเซียนยังไม่ได้เอ่ยปาก พวกเขาจึงไม่กล้าจะลงมือกิน
ตอนนี้ท่านเซียนได้เอ่ยปากออกมาแล้ว พวกเขาทุกคนก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หยิบของว่างที่ตนเล็งเอาไว้นานแล้วขึ้นมากิน
“อร่อย!”
“อร่อยมากเลย!”
พวกเขาทั้งชื่นชมและคุยกันว่าของว่างชิ้นไหนอร่อยกว่ากัน ปากของพวกเขาเต็มไปด้วยขนมอบแสนอร่อย
“เมี้ยว เมี้ยว เมี้ยว~”
ลั่วสุ่ยที่เห็นว่าพวกเซี่ยเหยียนกำลังกินกันอย่างเอร็ดอร่อยก็พลันหิวขึ้นมา นางกลืนน้ำลายอยู่เป็นระยะ ขณะที่หางของแมวน้อยส่ายไปมาไม่หยุด
ข้า...ข้า...ข้าเองก็อยากกินนะ!
บทที่ 279
ลั่วสุ่ยรู้สึกอยากกินเป็นอย่างมากจนไม่อาจหยุดน้ำลายที่ไหลมาตรงมุมปากได้
“เจ้าแมวน้อยจอมตะกละ ข้าไม่ลืมเจ้าหรอก ข้าเตรียมส่วนของเจ้าเอาไว้แล้ว”
หลี่จิ่วเต้าหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะให้อันหลานเสวี่ยนำกล่องขนมออกมา
นี่เป็นขนมจากเนื้อปลาที่เขาทำขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับเจ้าแมวขาวตัวน้อย
“เมี้ยว เมี้ยว เมี้ยว~”
ลั่วสุ่ยร้องออกมาอย่างมีความสุข นางถูตัวไปมาเข้ากับขาของหลี่จิ่วเต้า ก่อนจะไปกินขนมอย่างมีความสุข
“กินช้า ๆ เดี๋ยวก็สำลักหรอก”
หลี่จิ่วเต้าเดินไปลูบหัวของแมวน้อย ก่อนให้อันหลิงเสวี่ยนำซุปปลาออกมาให้เจ้าแมวดื่ม
เขายังคงไม่ลืมเลือนสภาพน่าเวทนาของแมวสีขาวตัวน้อยนี้ ยามทรุดตัวอยู่ที่ร้านของเขาได้ ทั้งยังไม่ลืมวาจาตนที่เคยกล่าวเอาไว้ว่าจะดูแลเจ้าแมวน้อยให้ดี
การอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ บางครั้งบางคราวเขาก็รู้สึกเหงาโดดเดี่ยว ทว่าเมื่อมีแมวสีขาวตัวน้อยอยู่ข้างกาย ก็ทำให้เขารู้สึกสบายอกสบายใจเป็นอย่างมาก
ไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะกล่าวว่า เจ้าแมวสีขาวตัวน้อยมีความสำคัญอย่างมากภายในใจของเขา
สัตว์อสูรเก้าตนลากรถม้าเคลื่อนผ่านหมู่เมฆและพระจันทร์ดวงโตอย่างรวดเร็ว พวกเขาเริ่มเข้าใกล้จุดหมายมากขึ้นเรื่อย ๆ
...
เหยียนโจว ภาคกลาง
วิหคเพลิงสีแดงตัวใหญ่บินผ่านภูเขาและพงไพรอย่างรวดเร็ว ด้านบนของมันมีร่างของเณรน้อยศีรษะมันเงาวับผู้หนึ่งนั่งอยู่ด้วย
“อมิ...ต้าเต๋อฝอ เนื้อส่วนน่องของเจ้ารสชาติดีจริง ๆ!”
ปากของเณรน้อยแทะเนื้อย่างชิ้นหนึ่งจนมันเยิ้ม ก่อนกล่าวขึ้นมาลอย ๆ
หลังจากนกยักษ์สีแดงที่เขานั่งอยู่ได้ยินสิ่งนี้ มันจากกำลังบินอยู่ดี ๆ ก็แทบร่วงลงจากท้องฟ้า
“เจ้าทำอะไรกัน! คิดจะฆ่าพระโพธิสัตว์น้อยอย่างงั้นหรือ!”
เณรน้อยยกมือขึ้นตีหัวเจ้านกยักษ์อย่างแรง
คิดจะฆ่าเจ้า?
ถ้าสามารถทำได้…ตอนนี้ข้าคงจะฆ่าเจ้าหายนะตัวน้อยนี่ไปแล้ว!
นกยักษ์สีแดงคิดอย่างเกรี้ยวกราดขึ้นมาภายในใจ
ส่วนภายนอกนั้นมันทำได้เพียงทรงตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว แล้วบินต่อไปด้านหน้าอย่างมั่นคงอีกครั้ง
เณรน้อยนี่เป็นพุทธสาวกจริงหรือ?
บังคับให้มันเป็นสัตว์พาหนะไม่พอ เมื่อขึ้นมานั่งก็เฉือนเนื้อชิ้นใหญ่ออกจากน่องของมันมาย่างกิน ซ้ำยังกล่าวว่าอร่อย และยังต้องการจะหั่นมากินอีก!
“มีงานชุมนุมใหญ่กลับไม่แจ้งให้ข้าทราบ นี่ไม่เห็นหัวภิกษุน้อยผู้นี้หรือ? ไม่รู้หรือว่าข้าชอบกินและดื่มมากที่สุด? ในงานจะต้องมีสุราและอาหารรสเลิศเตรียมเอาไว้ไม่น้อย! ไอ้คนที่จัดงานชุมนุมขึ้นมาจะต้องได้รับบทเรียนดี ๆ เสียหน่อยแล้ว”
เณรน้อยพึมพำ “ข้าต้าเต๋อฝอผู้เปี่ยมเมตตาอย่างถึงที่สุด ข้าพระโพธิสัตว์ผู้ไร้ซึ่งเกศา เหตุใดภิกษุอาวุโสจึงไม่บอกข้า? นี่ไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องการให้ข้าไปหรอกหรือ? อมิ...ต้าเต๋อฝอ ข้าไม่สนใจภิกษุผู้อาวุโสหรอก งานชุมนุมที่มีชีวิตเช่นนี้จะขาดภิกษุน้อยผู้นี้ไปได้อย่างไร!”
เขานึกถึงสถานที่จัดงานชุมนุมใหญ่แล้วก็อดใจรอไม่ไหว จึงเร่งให้เจ้านกยักษ์บินไปอย่างรวดเร็ว
ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ต้องให้เขาเร่งอะไร เจ้านกยักษ์ก็บินอย่างรวดเร็วสุดชีวิต
มันอยากจะส่งเณรน้อยให้ไปถึงเร็วกว่านี้เสียด้วยซ้ำ เพื่อเก็บรักษาไม่ให้เนื้อของมันถูกเณรน้อยเฉือนไปอีก!
...
ณ สถานที่แห่งหนึ่งในภาคกลาง
ตู้ม ตู้ม ตู้ม!
บังเกิดเสียงระเบิดขนาดใหญ่ขึ้นสะเทือนลั่นฟ้าดิน สัตว์ร้ายขนาดใหญ่ที่แลดูคล้ายเสือที่มีปีกสองข้างอยู่บนหลังคำรามออกมา หางของมันกวาดทลายภูเขาลูกแล้วลูกเล่า
นัยน์ตาสีแดงเพลิงของมันท่วมท้นไปด้วยจิตสังหาร บรรดาสิ่งมีชีวิตในป่าทั่วรัศมีหลายพันลี้ต่างพากันสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
“ผู้ใดสังหารน้องชายของข้า!?”
มันกำลังบินไปยังจุดชุมนุมใหญ่ แต่ทันใดนั้นกลับรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาที่หัวใจ ความเชื่อมโยงระหว่างสายเลือดกับน้องชายของมันขาดสะบั้นลง!
นี่หมายความว่าน้องชายของมันตายตกไปแล้ว!
เผ่าฉงฉีของมันสืบทอดกันมาอย่างช้านาน แต่ไหนแต่ไรก็เป็นฝ่ายสังหารสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่เสมอ จะกลายมาเป็นผู้ถูกสังหารได้อย่างไร?
มันโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก ถึงกับสาบานว่าจะตามล่าผู้ที่ฆ่าน้องชายของมันให้ได้!
ถูกต้องแล้ว มันเองก็สืบสายเลือดมาจากเผ่าฉงฉี สัตว์ร้ายที่เซี่ยเหยียนสังหารไปก็เป็นน้องชายของมันเอง
ยิ่งสายเลือดแข็งแกร่ง ก็ยิ่งยากต่อการมีบุตร
พวกมันถือกำเนิดขึ้นมาถึงสองตน นับเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าก่อนที่พวกเขาจะได้เติบโตอย่างเต็มที่ หนึ่งในพวกเขากลับมอดม้วยไปเสียแล้ว!
“ไปงานชุมนุม!”
ดวงตาของมันแดงก่ำ หลังจากที่ได้รับรู้ถึงความตายของน้องชาย มันก็ไม่ต้องการจะไปเข้าร่วมงานชุมนุมแต่อย่างใด
ทว่ามันก็เปลี่ยนใจแทบจะในทันที
ยามนี้มันไม่รู้สึกใดเลย นอกจากน้องชายของมันได้ตายลงแล้ว หากมันสืบหาด้วยตัวเองคงยากที่จะพบกับความจริง
มีสิ่งมีชีวิตมากมายจากหลากหลายแห่งในการชุมนุม ดังนั้นมันจึงต้องการไปยังงานชุมนุมครั้งใหญ่เพื่อขอความช่วยเหลือในการตามหาผู้ที่สังหารน้องชายของมัน!
...
หยานโจว ทางตะวันออก
ในภูเขาลึกแห่งหนึ่ง
“ฝู่ถู นักบุญยุคโบราณเข้าร่วมสงครามครั้งใหญ่สมัยโบราณกาล ก่อนจะถูกสังหารลง ร่างกายและวิญญาณถูกทำลาย มอดม้วยในสมรภูมิ”
ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ยืนอยู่บนยอดเขากล่าวออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา “ออกมาเสีย พวกเรารู้ว่าท่านยังไม่ตาย แต่ซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ครั้งสมัยโบราณท่านเพียงแกล้งตายเพื่อหลีกเลี่ยงสงคราม“
คนผู้นี้เองก็เป็นคนจากเผ่าซาง เขามาเยือนยังที่แห่งนี้ตั้งแต่รุ่งสาง ก็เพื่อตามหาฝู่ถู
ตามข้อมูลที่ได้รับจากเครือข่ายข่าวสาร ฝู่ถูเร้นกายซ่อนตัวอยู่ที่แห่งนี้
ทว่าไม่ทราบถึงตำแหน่งที่แน่ชัด
ภายในป่าบนภูเขา ยังมีสมาชิกของเผ่าซางจำนวนมากกำลังไล่ค้นหา พวกเขาเหล่านี้ล้วนมาช่วยเหลือหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจส่งคำเชิญของตนเอง
ซางเหิงเองก็ทำภารกิจส่งคำเชิญของตนเสร็จสิ้น ทั้งยังได้รับแจ้งให้มาช่วยค้นหา ณ ที่แห่งนี้
ทว่าซางเหิงกลับไปพบพวกหลี่จิ่วเต้าระหว่างทางเข้า ทำให้ไม่ได้มาที่นี่
“ยังหาไม่เจอ!”
“ไม่มีร่องรอยแม้แต่น้อย!”
สมาชิกของเผ่าซางที่ค้นหาอยู่ในป่าทะยานมาอยู่ด้านข้างของชายหนุ่ม
ชายหนุ่มพยักหน้า แต่ไม่ได้ถอนตัว
ตำแหน่งที่เครือข่ายข่าวกรองพบคือที่แห่งนี้ และก็ไม่มีทางผิดพลาด
การที่พวกเขาหาไม่พบก็แสดงว่าฝีมือการซ่อนกายของฝู่ถูนั้นแยบยลเป็นอย่างยิ่ง
“ฝู่ถู ท่านก็รู้ว่าพวกเรามาที่นี่ทำไม อีกทั้งท่านเองก็ตระหนักได้ถึงตัวตนของพวกเราได้ การที่พวกเราสามารถหาที่แห่งนี้พบ ก็หมายความว่าพวกเรารู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับท่าน!”
ชายหนุ่มยังคงตะโกนออกมา เสียงของเขาดังก้องไปทั่วทั้งภูเขา “ท่านจะซ่อนตัวหรือหนีไปก็ไร้ประโยชน์ อย่างไรเสียในการต่อสู้ครั้งนี้ท่านเองก็ต้องเข้าร่วม!”
แต่ก็ยังคงไม่ได้รับการตอบสนองใด ป่าไม้บนภูเขาสงบเงียบเป็นอย่างมาก
“ยังไม่คิดออกมาอีก?”
ชายหนุ่มเชื่อว่าฝู่ถูอยู่ที่นี่และได้ยินเสียงของเขา “ท่านควรจะเข้าใจสถานะของเผ่าซาง หลังจากสงครามครั้งนั้น พวกเรายังคงมีบรรพบุรุษที่ปิดผนึกตนเอาไว้ รอสงครามครั้งต่อไป!”
เขายังคงตะโกนต่อ “ท่านต้องการให้พวกเราเปลี่ยนผู้มาสนทนาหรือไม่? ถ้าต้องการเช่นนั้นจริง พวกเราก็จะไม่สุภาพกับท่านอีก ทั้งยังจะส่งท่านไปยังสมรภูมิเป็นคนแรก!”
ในตอนนั้นเอง ในป่าไม้บนภูเขาก็เกิดการเคลื่อนไหว
“เฮ้อ สุดท้ายก็หนีไม่พ้นสินะ!”
เสียงถอนหายใจดังขึ้น พร้อมกับร่างชายชราผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ “ข้าจะไปกับพวกเจ้า”
ชายหนุ่มคาดการณ์เอาไว้ไม่ผิด
ฝู่ถูอยู่ที่นี่จริง ๆ ทั้งยังได้ยินเสียงของเขา
ส่วนชายชราที่โผล่ขึ้นมากลางอากาศก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากนักบุญยุคโบราณ ฝู่ถู
บทที่ 280
ฟึ่บ!
ผู้อาวุโสเก้ายกมือเรียกอาวุธจักรพรรดิออกมาชิ้นหนึ่ง จังหวะแห่งจักรพรรดิไหลเวียน เขาทรงพลังมากจริง ๆ ด้วยขอบเขตราชันเทวา แต่สามารถรีดเร้นบารมีจักรพรรดิออกมาได้เสี้ยวหนึ่ง
หากเป็นราชันเทวาตนอื่น ไม่มีทางรีดเร้นบารมีจักรพรรดิออกมาได้แน่
อาวุธจักรพรรดิแกร่งกล้า มิได้ใช้พลังได้ง่าย ๆ
ประกายเจิดจ้าแวววาววูบไหว ผู้อาวุโสอีกสามท่านเรียกศัสตราของพวกเขาออกมาเช่นกัน
ลมปราณจ้าวสูงสุดโถมทับ พวกเขามีศัสตราจ้าวสูงสุดกันคนละชิ้น!
จากนั้น ผู้อาวุโสเก้าถืออาวุธจักรพรรดิเหินลงมาจากด้านบน อาวุธจักรพรรดินั้นคือ หอกกระดูกสำริด ปลายหอกชี้ไปที่ซางเหิง
ผู้อาวุโสอีกสามท่านลงมือพร้อมเพรียง อาวุธจ้าวสูงสุดทั้งสามชิ้นมีปราณสูงสุดแผ่ซ่านออกมา ล้อมรอบซางเหิงเอาไว้!
บางทีอาจมีนักบุญยุคโบราณควบคุมซางเหิงไว้ พวกเขาจริงจังเข้มงวด ไม่ยอมชะล่าใจแม้แต่น้อย
ซางเหิงตกใจกลัวแทบแย่ หน้าเขียวไปหมด
เขาเป็นเพียงราชันผู้เกริกไกรผู้ต่ำต้อย ไฉนเลยจะเคยพบแนวขบวนเยี่ยงนี้มาก่อน!
“อย่า! เหล่าผู้อาวุโสอย่าวู่วาม! ไม่มีผู้ใดควบคุมตัวข้า! ข้ามีหลักฐานพิสูจน์ว่าข้าได้พบเซียนผู้หนึ่งจริง!”
เขารีบบอก
“หลักฐานหรือ”
ผู้อาวุโสเก้าเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ชี้ปลายหอกกระดูกสำริดไปที่ซางเหิง “หยิบออกมา”
ซางเหิงอยากร่ำไห้ “ผู้อาวุโสเก้าคลายพลังที่พันธนาการตัวข้าก่อน!”
เขาก็อยากหยิบให้อยู่หรอก แต่เขาขยับตัวไม่ได้ พลังของผู้อาวุโสเก้าตรึงเขาไว้อยู่กับที่อย่างแน่นหนา
ในมือมีอาวุธจักรพรรดิ ผู้อาวุโสเก้าจึงไม่มีสิ่งใดต้องกลัว เขาปลดพลังที่พันธนาการซางเหิงพร้อมกล่าว “ข้าอยากจะดูว่าเจ้ามาไม้ไหน!”
ซางเหิงเคลื่อนไหวได้แล้ว เขารีบนำผ้าห่อหนึ่งออกมาพร้อมเปิดออก “สิ่งนี้คือหลักฐาน!”
ผู้อาวุโสเก้าและผู้อาวุโสอีกสามคนที่เหลือรวมทั้งซางเจี๋ยมองตาม
ชั่วขณะนั้น สีหน้าพวกเขาย่ำแย่ถึงขีดสุด
ในห่อผ้านั้นมีสิ่งใดอยู่หรือ?
เป็นเศษของว่างนิด ๆ หน่อย ๆ!
หมายความว่าอย่างไร ปั่นหัวพวกเขาเล่นรึ!?
ผู้อาวุโสเก้าโมโหจนใบหน้าเหยเก ฟาดฝ่ามือใส่ซางเหิง
เขาไม่สนว่าซางเหิงถูกนักบุญโบราณควบคุมไว้หรือไม่ และไม่สนว่าซางเหิงสติฟั่นเฟือนถึงได้ก่อความวุ่นวายเช่นนี้หรือเปล่า ถึงอย่างไรเขาก็หัวฟัดหัวเหวี่ยงเพราะการนี้ ขอระบายความรู้สึกจุกอกก่อน!
“โอ๊ย!”
ซางเหิงเจ็บจนร้องโอดโอยหน้าตาบิดเบี้ยว โดนฝ่ามือหนึ่งฟาดจนกระเด็นล้มกระแทกพื้น
ผ้าที่เขาถือไว้ในมือก็ตกพื้นเช่นกัน
“ไอ้เด็กเหลือขอ!”
ผู้อาวุโสเก้ายังไม่หายแค้น หิ้วคอซางเหิงขึ้นมาแล้วซ้อมอีกยกใหญ่
ทว่าเขามิได้ประมาทเลินเล่อ รีดเร้นพลังอาวุธจักรพรรดิอยู่ตลอด เผื่อว่าซางเหิงโดนนักบุญยุคโบราณควบคุมจริง ๆ แล้วลงมือปองร้ายเขากะทันหัน
แน่นอนว่าเขามิได้เอาถึงชีวิต ถึงอย่างไรซางเหิงก็เป็นลูกศิษย์ในตระกูลซาง
ซางเหิงโดนอัดจนใบหน้าฟกช้ำดำเขียว อยากเอื้อนเอ่ยสิ่งใดก็เอ่ยไม่ออก!
เหตุใดข้าถึงโชคร้ายเยี่ยงนี้!
พูดความจริงแล้วยังต้องโดนอัดอีก!
เขาร้องไห้ น้ำตาหลั่งรินเป็นสาย ให้ตายสิ เขาไม่เคยเสียใจเช่นนี้มาก่อน!
“ผู้อาวุโสเก้า ไม่ต้องตีเขาแล้ว ดูเหมือนว่า…เขาจะพูดความจริง!”
ตอนนั้นเอง ผู้อาวุโสท่านหนึ่งมองจ้องเศษของหวานที่ตกอยู่บนพื้น พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าประหลาดเหลือแสน
“หืม!?”
ผู้อาวุโสเก้ารามือ ถอยกลับมา หันมองผู้อาวุโสที่ส่งเสียงอยู่ก่อนเอ่ยถาม “หมายความว่าอย่างไร?”
“ท่านดู!”
ผู้อาวุโสท่านนั้นชี้เศษของหวานบนพื้น สูดปากแล้วกล่าว “แม้เป็นเพียงเศษซากจำนวนหนึ่ง แต่หากสัมผัสดี ๆ จะรู้สึกถึงขุมปราณชีวิตแรงกล้าเปี่ยมพลังเหลือแสนที่แฝงอยู่ด้านใน!”
“อะไรนะ!”
“จริงหรือ”
ผู้อาวุโสอีกสองท่านเชื่อครึ่งมิใช่ครึ่ง ใช้ประสาทสัมผัสเทวาของพวกเขาตรวจจับ
ชั่วอึดใจต่อมา สีหน้าพวกเขาล้วนเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด เต็มไปด้วยความตะลึงงัน!
“ขุมปราณชีวิตในโอสถจักรพรรดิยังไม่แรงกล้าปานนี้เลย!”
ผู้อาวุโสเก้าสูดหายใจเข้าลึก ตะลึงงันอยู่เต็มเปี่ยม หลังแผ่ประสาทสัมผัสเทวาออกไปแล้ว เขาเองก็รู้สึกถึงขุมปราณชีวิตอันแรงกล้าที่แฝงไว้อยู่ในเศษซากของหวานเหล่านั้น!
“ข้าบอกแล้วว่าข้ามิได้โกหก!”
ซางเหิงปล่อยโฮออกมาด้วยความน้อยอกน้อยใจ เขาอุตส่าห์นำข่าวดีมาให้ แต่กลับโดนซ้อมเละ ความรู้สึกน้อยใจนี้ระทมเหลือเกิน…
“เจ้ารีบเล่ามาว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร!” ผู้อาวุโสเก้ากล่าว
ซางเหิงยิ่งคิดยิ่งน้อยใจ “ข้าไม่เล่า!”
“ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ยังไม่ขยาดกับการโดนซ้อมใช่หรือไม่!”
ผู้อาวุโสเก้าหน้าตากราดเกรี้ยว ท่าทางพร้อมอัดซางเหิงอีกครา
“อย่า ข้าเล่าแล้ว!”
ซางเหิงเห็นดังนั้นก็ไม่มีแก่จิตแก่ใจมัวน้อยใจอีกต่อไป เขาพลันเด้งตัวขึ้นจากพื้น “ข้าได้รับการแจ้งให้ไปช่วยงานที่แดนบูรพาทิศจึงเดินทางไป ระหว่างทาง…”
เขาเล่าเหตุการณ์อย่างละเอียด ไม่ขาดตกแม้แต่น้อย
แสงมงคลจุติจากสวรรค์คลี่ปกคลุมรถลากจนเกิดการวิวัฒนาการ จังหวะแห่งเต๋าสูงส่งเหลือแสนไหลเวียน อสูรร้ายสายเลือดฉงฉีขวางทางรถ โดนเซี่ยเหยียนสังหาร
เขาเองได้ขึ้นรถลากเพราะเหตุนี้ และได้พบกับท่านเซียน!
“นี่คือของหวานที่ท่านเซียนทำด้วยตนเอง ยามข้าได้กินข้าใช้มืออีกข้างรองไว้ ถึงได้มีเศษซากของหวานเหล่านี้”
ซางเหิงกล่าว
ของหวานที่ท่านเซียนทำนั้นน่าทึ่งอย่างยิ่งยวด ต่อให้เป็นเพียงเศษซากของหวานยังล้ำค่าเหลือแสน เขาเก็บไว้อย่างให้ความสำคัญ ไม่ปล่อยให้สิ้นเปลืองแม้แต่น้อย
ดีที่เขาเก็บเศษซากของหวานเหล่านี้ไว้ หากมิได้เก็บไว้ ตอนนี้คงอธิบายอย่างไรก็ไม่ขึ้น!
“มีเซียนในยุคนี้จริงหรือนี่!”
“ของหวานระดับนี้ นอกจากท่านเซียนแล้ว ผู้ใดยังจะทำได้อีก!”
ผู้อาวุโสทั้งสามท่านสิ้นข้อกังขา
ลำพังเศษซากของหวานยังมีขุมปราณชีวิตเจือปนอยู่มากเยี่ยงนี้ มีระดับเหนือโอสถจักรพรรดิ แล้วของหวานชิ้นสมบูรณ์จะน่าทึ่งขนาดไหน!?
ผู้อาวุโสเก้ามองซางเหิง เอ่ยด้วยสายตาชอบกล “เจ้าได้พบท่านเซียนจริงหรือนี่ ซ้ำยังได้กินของหวานฝีมือท่านเซียนอีก!!!”
“ใช่แล้ว”
หน้าตาซางเหิงทอประกายลำพอง เขายืดอกมากขึ้นจนตัวตรง
ผู้ใดได้พบท่านเซียน?
ซ้ำยังได้กินของหวานฝีมือท่านเซียนอีก?
เขาอย่างไรเล่า!
เขามีต้นทุนพอให้ลำพองภาคภูมิ!
ผู้อาวุโสเก้าปรี่เข้ามาอยู่เบื้องหน้าซางเหิง มือข้างหนึ่งทาบบนตัวซางเหิง
“หา ยังจะซ้อมข้าต่ออีกหรือ!”
ซางเหิงตกใจแทบแย่ ความลำพองบนใบหน้าอันตรธาน หน้าตาเขียวแล้วเขียวอีก
เขาอยากร่ำไห้นัก เพราะสีหน้าลำพองเมื่อครู่ของเขาใช่หรือไม่ที่สร้างไม่พอใจแก่ผู้อาวุโสเก้า!
หากรู้อย่างนี้แต่แรก ไยเขาต้องลำพองด้วย!
บัดนี้ต้องโดนอัดอีกแล้ว!
ทว่าผู้อาวุโสเก้ามิได้อัดซางเหิงแต่อย่างใด
“ขุมปราณชีวิตของเจ้าแรงกล้ากว่าขุมปราณชีวิตของข้าเสียอีก!”
ผู้อาวุโสเก้าเอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อ
เจ้าเด็กนี่คิดมากเกินไป เขาไม่มีความคิดต้องการซ้อมซางเหิงอีก
เขาทาบมือบนตัวซางเหิงเพียงเพื่อจับสัมผัสสถานการณ์ภายในร่างกายของอีกฝ่ายเท่านั้น
ซางเหิงบอกว่าเขาได้กินของหวานฝีมือท่านเซียน เช่นนั้นซางเหิงย่อมได้รับประโยชน์มหาศาล
ตามคาด หลังตรวจสภาพร่างกายซางเหิงก็ต้องตกตะลึง!
ขุมปราณชีวิตของซางเหิงแรงกล้ายิ่งกว่าเขาเสียอีก!
บ่งบอกว่าอายุขัยของซางเหิงยาวนานกว่าเขา!
“อะไรนะ!”
ผู้อาวุโสอีกสามท่านรวมถึงซางเจี๋ยล้วนทึ่งกันหมด
ซางเหิงเป็นเพียงราชันผู้เกริกไกรแต่กลับมีอายุขัยยาวนานกว่าผู้อาวุโสเก้าซึ่งเป็นถึงราชันเทวาอีกหรือ!?
ตอนนั้นเอง ซางเจี๋ยพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
เขากล่าว “ข้าถึงว่าเหตุใดฉงคูมาถึงนี่แล้วขอความช่วยเหลืออยู่ตลอด บอกว่าต้องการให้ช่วยสืบหาเรื่องราวบางอย่าง ที่แท้น้องชายของฉงคูตายไปแล้วนี่เอง!”
ฉงคูคืออสูรร้ายอันเป็นสายเลือดของฉงฉี มันมาถึงเขาหยงหมิงก่อนนานแล้ว