821-825

ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่นิยายระบบ ก่อนที่จะรับฟังช่วยกดไลค์และกด subscribe เป็นกำลังใจด้วยนะครับ
นิยายเสียง อยู่ดีดีข้าก็เป็นเซียน
บทที่ 821ถึง 825


พลังความมืดอันมีแหล่งที่มาเกี่ยวข้องกับกระโปรงสีขาวแห่งความตาย ต้นหลิวจะไม่เกิดจิตสังหารได้อย่างไร นี่คือศัตรูตัวฉกาจที่ไม่อาจปล่อยไปได้!


“ไม่ต้องตื่นตระหนกไป นี่เป็นพลังความมืดที่สามารถควบคุมได้ ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด”


ชายวัยกลางคนที่ดูภูมิฐานเอ่ยออกมา บอกต้นหลิวว่าไม่จำเป็นต้องกังวล


ในขณะเดียวกันภายในใจของเขาก็ตกตะลึง ต้นหลิวแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียว?


พลังความมืดถูกผนึกเอาไว้ในพื้นที่พิเศษ ไม่มีทางที่จะรั่วไหลออกมาได้ การที่ต้นหลิวสามารถสัมผัสถึงมันได้ นับว่าเกินความคาดหมายของเขาเป็นอย่างยิ่ง!


“พลังความมืดที่สามารถควบคุมได้? หมายความว่าอย่างไร?”


ต้นหลิวขมวดคิ้ว


“พลังแห่งความมืดนี้ถูกผนึกเอาไว้แล้ว ไม่สามารถออกมาได้ สหายไม่จำเป็นต้องกังวลแต่อย่างใด!”


ภายในแววตาของชายวัยกลางคนผู้นี้เต็มไปด้วยความอยากรู้ระหว่างเอ่ยถามออกมา “สหายเป็นผู้ที่สามารถทะลวงขอบเขตนิรันดร์ขึ้นไปของสถานที่แห่งนี้หรือ?”


เขามั่นใจเป็นอย่างมากว่าต้นหลิวสามารถทะลวงขอบเขตนิรันดร์ขึ้นไปยังขอบเขตที่สูงกว่าได้ สิ่งนี้ทำให้เขาแทบไม่อยากจะเชื่อ ขอบเขตนิรันดร์นับเป็นเพดาน ไม่มีทางก้าวข้ามขึ้นไปได้ เกรงว่าต่อให้มีพรสวรรค์น่าตื่นตะลึงเพียงใดก็จะถูกกำจัดเอาไว้


แต่ต้นหลิวสามารถทำได้


เขาไม่อยากจะเชื่อ ในขณะเดียวกันก็อดตกตะลึงไม่ได้ นี่ไม่อาจนับเป็นเรื่องดีแต่อย่างใด...


เหนือขอบเขตนิรันดร์ขึ้นไปนั้น มีจำนวนอยู่อย่างจำกัด ไม่อาจมีมากเกินไปได้ หากมีขอบเขตใหม่เกิดขึ้นเช่นนี้ คนเก่าแก่ที่อยู่ในขอบเขตก็จะอ่อนแอลง ทุกสิ่งจะค่อย ๆ ถูกถ่ายทอดไปยังผู้ที่สามารถก้าวขึ้นไปยังขอบเขตใหม่


ด้วยเหตุนี้เอง ขอบเขตที่เหนือกว่าขอบเขตนิรันดร์จึงถูกผนึกเอาไว้ ด้วยสิ่งมีชีวิตเก่าแก่ในขอบเขตไม่ต้องการจะสูญสลายไป


ใช่แล้ว


การที่ขอบเขตนิรันดร์ถูกผนึก ปิดกั้นซึ่งความหวังจะก้าวหน้าอย่างสมบูรณ์ ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตเก่าแก่ในขอบเขตเหล่านี้ทำ ดังนั้นในช่วงกาลเวลายาวนานจนไม่อาจนับ จึงไม่มีสิ่งมีชัวิตใดสามารถทลายขอบเขตนิรันดร์ขึ้นไปได้


ยิ่งไปกว่านั้นเหนือขอบเขตนิรันดร์ขึ้นไปล้วนไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถทำความเข้าใจได้


ตอนนี้กลับมีผู้มาใหม่อย่างต้นหลิวปรากฏตัวออกมา นี่นับว่าเป็นปัญหาใหญ่ หมายความว่ามีสิ่งมีชีวิตเก่าแก่กำลังค่อย ๆ ดับสูญไป!


“มีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังความมืดหรือไม่?”


ชายวัยกลางคนที่ดูมีภูมิฐานคิดในใจ


ด้วยการรุกรากของความมืด ทำให้เกิดปัญหาขึ้นกับสิ่งมีชีวิตเก่าแก่ทั้งหลาย นำไปสู่การเสื่อมลงของผนึก ทำให้เกิดโอกาสทลายขอบเขตขึ้นมาใช่หรือไม่?


ต้นหลิวไม่ได้ตอบคำถามของชายวัยกลางคนผู้ทรงภูมิฐาน ทว่าเอ่ยถามกลับ “เหตุใดจึงต้องผนึกพลังความมืดเอาไว้? พวกเจ้าคิดจะทำสิ่งใด? พลังความมืดระดับนี้ พวกเจ้าควรขจัดมันจนสิ้น!”


พลังความมืดในสถานที่แห่งนี้ไม่ได้แข็งแกร่งเกินไปนัก หากชายผู้ทรงภูมิฐานต้องการ ย่อมสามารถกำจัดมันได้อย่างแน่นอน “เช่นนั้นแล้วพวกเขาต้องการทำสิ่งใดกับพลังความมืดนี้?”


“เพื่อต่อสู้”


ชายทรงภูมิฐานกล่าว “พลังความมืดกำลังเยื้องกรายเข้ามา นี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ในอนาคตย่อมต้องเกิดการต่อสู้กับพลังความมืด พวกข้าหลงเหลือพลังความมืดส่วนนี้เอาไว้ ก็เพื่อใช้ฝึกฝนเตรียมการรับมือกับพลังความมืดล่วงหน้า”


“ข้าเกือบจะเข้าใจแล้ว...”


ต้นหลิวหรี่ตาลง “พวกเจ้าล่อสิ่งมีชีวิตจากเทวโลกเข้ามา ก็เพื่อให้ความมืดกลืนกินพวกเขา จากนั้นก็ปล่อยให้คนของเจ้าได้ต่อสู้?”


การกระทำเช่นนี้ ย่อมสามารถช่วยเหลือการต่อสู้ในอนาคตได้อย่างแน่นอน อย่างไรเสียการซ้อมต่อสู้ล่วงหน้า ก็ย่อมสามารถทำให้พร้อมรับการต่อสู้มากยิ่งขึ้น


ทว่าวิธีเช่นนี้ไร้มนุษยธรรมอย่างถึงที่สุด สิ่งมีชีวิตในเทวโลกที่ถูกความมืดกลืนกินไปแล้ว ย่อมต้องกลายเป็นเหยื่อสังเวย ไม่อาจมีชีวิตรอดอยู่ต่อ


“เป็นเช่นนั้นจริง”


ชายทรงภูมิฐานยอมรับ ไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด ระดับต้นหลิว แม้ต้องการจะซ่อนเร้นความจริง ก็ไม่มีทางทำสำเร็จ


“การซ้อมต่อสู้เป็นเรื่องดีก็จริง ทว่าไยพวกเจ้าจึงต้องใช้สิ่งมีชีวิตเทวโลกเป็นเหยื่อสังเวยด้วย? พวกเจ้าต้องการจะซ้อมต่อสู้เช่นนี้ ก็ใช้คนของพวกเจ้าเองเสีย!”


ต้นหลิวกล่าว “ข้าต้องการให้เจ้าปล่อยสิ่งมีชีวิตเทวโลกเหล่านี้ หยุดใช้พวกเขาเป็นเครื่องมือเพื่อฝึกฝน!”


มันรู้เรื่องราวเหล่านี้แล้ว ย่อมไม่อาจเพิกเฉยได้ สิ่งมีชีวิตเทวโลกเองก็มีเลือดเนื้อชีวิตจิตใจเช่นเดียวกัน เหตุใดจึงใช้พวกเขาเป็นเครื่องสังเวย?


โหดเหี้ยมและเลือดเย็นเกินไปแล้ว!


“สหายอย่าได้ล้อเล่นเลย ข้ารู้ว่าสหายเป็นคนของที่แห่งนั้นซึ่งสามารถทลายออกจากขอบเขตนิรันดร์ได้ ทำให้บางทีอาจเต็มไปด้วยความรู้สึกต่อสถานที่แห่งนั้น”


ชายทรงภูมิฐานพูดขึ้นมา “แต่สิ่งที่ข้าอยากจะบอกกับสหายก็คือ ต่อให้สหายมีความผูกพันต่อสถานที่แห่งนั้น มันก็ถูกลิขิตว่าไม่อาจคงอยู่ต่อไปได้! ความรู้สึกเช่นนี้มีเพียงแต่จะทำร้ายตัวของสหายเอง!"


หลังจากนั้นเขาก็อธิบายให้ต้นหลิวฟัง


“เหนือขอบเขตนิรันดร์ขึ้นไป ถูกจำกัดจำนวนเอาไว้ ไม่สามารถเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมได้ ทุกครั้งที่มีผู้มาใหม่ปรากฏขึ้น คนเก่าจะค่อย ๆ ดับสูญไป...”


เขาเอ่ยต่อ “สหายกลายเป็นผู้มาใหม่ แม้ว่าจะไม่อาจแน่ใจได้ว่าสิ่งมีชีวิตเก่าแก่ใดจะดับสลาย แต่ก็ย่อมต้องมีหนึ่งชีวิตเก่าแก่สูญสิ้นไปอย่างแน่นอน!”


“ยังมีเรื่องเช่นนี้ด้วย?”


ต้นหลิวเลิกคิ้ว นี่เป็นครั้งแรกที่มันเคยได้ยินเรื่องนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่มันรับรู้อยู่เสมอว่ามีพลังบางอย่างกำลังค่อย ๆ หลั่งไหลเข้าหามันทีละน้อย จากนั้นก็ถูกมันดูดซับจนกลายเป็นพลังของตนเอง


เดิมทีมันคิดว่านี่เกิดจากการฝึกฝนของตัวมันเอง แต่เมื่อได้ฟังคำพูดของชายทรงภูมิฐานแล้ว ความจริงกลับกลายเป็นเช่นนี้!


“สิ่งนี้ไม่อาจย้อนกลับได้ สหายอาจไม่สามารถยอมรับได้ในตอนนี้ แต่วันข้างหน้า สหายก็จะกลายเป็นเหมือนกับพวกเรา ค่อย ๆ ยอมรับเรื่องราวทั้งหมด”


ชายทรงภูมิฐานกล่าว “ข้าหวังว่าสหายจะเข้าร่วมกับพวกเรา เช่นนั้นแล้วข้ากับสหายก็จะสามารถต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันได้ ปกป้องสหายให้ปลอดภัยผ่านพ้นช่วงนี้...สหายต้องรู้ไว้ ไม่มีผู้ใดอยากตาย สิ่งมีชีวิตเก่าแก่เหล่านั้นเองก็ไม่อยากตาย ดังนั้นเขาจะต้องมาโจมตีสังหารสหายอย่างแน่นอน ขอเพียงแค่สหายตาย สิ่งมีชีวิตเก่าแก่ตนนั้นก็จะไม่มีภัยคุกคามอีกต่อไป”


หากเป็นก่อนหน้านี้ เขาคงจะไม่เอ่ยเช่นนี้กับต้นหลิว


เขาเองก็เป็นสิ่งมีชีวิตเก่าแก่ ย่อมต้องอยู่ข้างเดียวกับสิ่งมีชีวิตเก่าแก่อื่น ๆ


กล่าวตามความจริงแล้ว ยามนั้นพวกเขาเหล่าสิ่งมีชีวิตเก่าแก่ได้บรรลุข้อตกลงบางอย่างร่วมกัน หากมีผู้มาใหม่ พวกเขาจะร่วมมือกันกำจัด


ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ไม่อำนวยเช่นนั้น


ความมืดเยื้องกราย อนาคตถูกกำหนดให้ยากลำบากอย่างถึงที่สุด ต้นหลิวที่สามารถทะลวงผ่านขอบเขตนิรันดร์ได้ภายใต้ผนึกการปิดกั้น เขาเชื่อว่าศักยภาพของต้นหลิวอาจมากเสียยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตเก่าแก่คนอื่น ๆ


นอกจากนั้น เนื่องจากการมาเยือนของความมืด เหล่าสิ่งมีชีวิตเก่าแก่จึงไม่ได้รวมกันเป็นหนึ่งแต่อย่างใด ต่างฝ่ายต่างวางแผนการของตนเอง ทำให้ข้อตกลงนี้ถูกยกเลิกไปนานแล้ว


ดังนั้น เขาจึงยื่นกิ่งมะกอกให้ต้นหลิว หวังดึงต้นหลิวมาเป็นพวก


“ต่อสู้ร่วมกับเจ้า? เจ้าคิดสิ่งใดอยู่! ไม่ว่าอนาคตจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นไร ข้าก็ไม่มีวันกลายเป็นเหมือนพวกเจ้า!”


ต้นหลิวเอ่ยขึ้นมาอย่างเด็ดขาด


เพื่อจะให้ตนเองสามารถคงอยู่ได้ยืนยาว จึงปิดผนึกขอบเขตนิรันดร์ หากเป็นมันคงไม่ทำเรื่องเช่นนี้ออกมา


นอกจากนี้ การใช้สิ่งมีชีวิตอื่นเป็นเหยื่อสังเวย มันยิ่งไม่สามารถทำได้!


“สหายจะปฏิเสธข้าจริงหรือ? พวกเราไม่ต้องพูดถึงอนาคตอันห่างไกลอย่างเรื่องนิสัยใจคอของสหายจะเปลี่ยนไปหรือไม่ พวกเรามาพูดถึงอนาคตอันใกล้เสียดีกว่า”


ขายทรงภูมิฐานเอ่ย “ข้าได้กล่าวไปแล้ว การมาใหม่ของสหายทำให้สิ่งมีชีวิตเก่าแก่ต้องร่วงโรย คนผู้นั้นจะต้องไม่มีทางเต็มใจยอมรับ จะต้องพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อกำจัดสหายอย่างแน่นอน ข้าคิดว่ามีความเป็นไปได้อย่างมากที่เขาจะมาพบสหายในอีกไม่ช้า อีกทั้งยังมีโอกาสที่สิ่งมีชีวิตเก่าแก่ผู้อื่นจะร่วมมือด้วย...”


เขาเล่าว่าสิ่งมีชีวิตเก่าแก่เหล่านี้มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันไม่มากก็น้อย มีความเป็นไปได้ที่จะร่วมมือกันสูงมาก


“สหายแน่ใจหรือว่าตนเองจะสามารถต้านทานได้? กล่าวตามตรงแล้ว ภายในหมู่สิ่งมีชีวิตเก่าแก่ ข้าเองก็มีผู้ที่มีความสนิทสนมด้วย ถ้าหากเข้าร่วมกับพวกข้า ข้าย่อมสามารถปกป้องเจ้าตลอดระยะเวลาจนปลอดภัยอย่างแน่นอน!”


เขากล่าว


“จะสามารถต้านทานได้หรือ? นำคำว่า ‘หรือ’ ออกไปเสีย! ไม่มีสิ่งใดที่ไม่อาจต้านทานได้!”


สีหน้าของต้นหลิวสงบนิ่ง


มันติดตามข้างกายคุณชาย เช่นนั้นจะไม่สามารถต้านทานได้อย่างไร หากสิ่งมีชีวิตเก่าแก่เหล่านั้นเข้ามายุ่งย่ามกับมันจริง มันก็ไม่รังเกียจที่จะทำให้สิ่งมีชีวิตเก่าแก่เหล่านั้นไม่อาจกลับไปได้!


บ้ายิ่งหนัก!


ชายทรงภูมิฐานขมวดคิ้ว วาจาของต้นหลิวช่างใหญ่โตเกินไปเสียจริง ไม่ได้เห็นสิ่งมีชีวิตเก่าแก่อยู่ในสายตาเลย


“สหายเต๋าคิดว่าตนเองสามารถทลายขอบเขตภายใต้สถานการณ์ที่ถูกปิดกั้นเอาไว้ จึงหลงนึกว่าตนเองเก่งกาจไร้เทียมทานอย่างนั้นหรือ?”


เขามองต้นหลิวด้วยดวงตาเป็นประกายวาววับ “พวกข้ามาถึงขอบเขตนี้นานแล้ว ระดับย่อมดำรงอยู่เหนือเกินกว่าที่เจ้าสามารถคิดจินตนาการได้โดยสิ้นเชิง! ทุกด้านล้วนไม่อาจคาดเดาได้! หากสหายมีความคิดผยองเช่นนี้ ข้าก็ขอแนะนำให้เลิกเสียโดยไว้ที่สุด อย่าได้ส่งตัวเองไปสู่หนทางตาย!”


“นี่ไม่ใช่ความผยอง แต่เป็นความเชื่อมั่น หากเจ้าไม่เข้าใจข้า ก็อย่าได้เอ่ยเช่นนั้นออกมา!”


ต้นหลิวกล่าว


ส่วนพวกเมิ่งจีนั้นต่างอดตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยินไม่ได้ ขอบเขตเหนือนิรันดร์คือสิ่งใด? ยังมีเรื่องการแทนที่ด้วย!


ผู้มาใหม่จะแทนที่สิ่งมีชีวิตเก่าแก่!


การฝึกฝนจะสามารถส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอื่นเช่นนี้ได้หรือ?


แนวความคิดที่พวกเขาได้ฟังครั้งแรกนี้ ไกลเกินกว่าความรู้ความเข้าใจของพวกเขา!


ทว่าหลังจากพวกเขาได้ยินชายทรงภูมิฐานเอ่ยขู่ขวัญต้นหลิวแล้ว ภายในใจต่างอดขบขันขึ้นมาไม่ได้


พวกเขาทุกคนต่างมีความเชื่อมั่นในตัวคุณชาย ไม่มีทางที่คนเก่าแก่เหล่านั้นจะสามารถคุกคามต้นหลิวได้!


“เช่นนั้นก็ไม่มีสิ่งใดต้องพูดอีกแล้ว สหายคิดอยากตาย ข้าเองก็ไม่จำเป็นต้องหยุดยั้ง”


ชายทรงภูมิฐานไม่เอ่ยสิ่งใดอีก เพียงเอ่ยไล่ต้นหลิวเสียงเย็นชา “เช่นนั้นสหายก็โปรดจากที่นี่ไปเสียเถิด...”


“ข้าย่อมต้องไปจากที่นี่ ไม่คิดรั้งอยู่ต่อ ทว่าก่อนหน้านี้ข้าก็พูดไปแล้ว พวกเขาล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่สมควรกลายเป็นเหยื่อสังเวย ข้าจะพาพวกเขาไปด้วย”


ต้นกลิวกล่าว “ถ้าพวกเจ้าต้องการเตรียมพร้อมต่อสู้จริง ๆ ก็ทำกันภายในหมู่พวกเจ้าเอง อย่าได้ทำร้ายผู้บริสุทธิ์!”


“สหายคิดจะตั้งตนเป็นศัตรูกับข้าหรือ?”


สีหน้าของชายทรงภูมิฐานเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ “หากทำเช่นนั้นจริง สหายจะเป็นการตัดรอนหนทางตนเอง ใต้หล้าจะไม่มีที่ยืนสำหรับสหาย ทำให้ตายเร็วยิ่งขึ้น!”


“ปากเจ้าเอาแต่พูดเรื่องความเป็นตายของข้า...ขออภัยด้วย เจ้ายังไม่อาจตัดสินความเป็นตายของข้าได้” ต้นหลิวตอบกลับ


“ไม่รู้จักแยกแยะ!”


ชายทรงภูมิฐานตวาดเสียงเย็นชา “ให้หน้าเจ้า แต่เจ้ากลับไม่รับ ในเมื่อเจ้าไม่ยอมจากไปด้วยตนเอง เช่นนั้นข้าก็จะส่งเจ้าออกไป!”


ลมหายใจของเขาแผ่ออกมาอย่างเต็มที่ เขาเรียกทวนมาไว้ในมือชี้ไปทางต้นหลิว พร้อมจะลงมือ


“ตกลง เช่นนั้นให้ข้าได้ดูฝีมือของเจ้าเสีย!”


ต้นหลิวไร้ความกลัวเกรง ร่างกายเปล่งแสงเจิดจ้า เตรียมพร้อมจะต่อสู้


กระโปรงสีขาวแห่งความตายมันยังไม่กลัว เช่นนั้นมันจะกลัวชายทรงภูมิฐานผู้นี้ได้อย่างไร?


ย่อมไม่มีทาง!


ชายภูมิฐานโจมตี หอกยาวเปล่งประกายสีชาด เขาต้องการวัดพลังของต้นหลิวว่าแข็งแกร่งเพียงใด


หอกยาวเล่มนี้ไม่ธรรมดา เมื่อโจมตีออกไปแล้ว โซ่เหล็กหกเส้นรัดพันใส่ต้นหลิวอย่างรวดเร็ว


ต้นหลิวชักดาบใหญ่สีเขียวออกมาด้ามหนึ่งก่อนจะบุกสังหารไปเบื้องหน้า โซ่เหล็กทั้งหกเส้นพลันขาดสะบั้น แหลกสลายทั้งหมด ไม่อาจต้านทานดาบของมันได้


พรวด!


ทว่าเวลานั้นเอง ด้านหลังต้นหลิวมีโซ่เหล็กเส้นหนึ่งพร้อมด้วยตะขอแทงทะลุร่างของต้นหลิว เกี่ยวติดไว้อย่างแน่นหนา!


อักขระบนโซ่เหล็กผสานถักทอดูแล้วมหัศจรรย์อย่างยิ่ง มีพลังไหลเวียนอยู่บนตัวต้นหลิว แต่สุดท้ายกลับโดนข่มลงในพริบตา


“พี่หลิว!”


หนานฉงตกตะลึง ชายภูมิฐานดุดันปานนี้เชียวหรือ พี่หลิวเสียเปรียบทันทีเลยหรือ!


“นี่คือตะขอสลักร่าง ทันทีที่ถูกเกี่ยว ต่อให้มีพลังรุนแรงเพียงใดก็มิอาจปล่อยออกมาได้อีก”


ชายภูมิฐานนามข่งอวิ๋นกล่าว


“อย่างนั้นหรือ”


ต้นหลิวอยู่ในท่าทีสงบ แสงสีเขียวชวนพรั่นพรึงเปล่งปลั่งออกจากร่าง กฎระเบียบแกร่งกล้าบางอย่างปะทุ ตะขอสลักร่างระเบิดแหลกลาญในบัดดล ความสามารถของมันมีเพียงเท่านี้ที่ไหน ตะขอสลักร่างมิอาจทำอะไรมันได้


แววตาข่งอวิ๋นไหวระริก เกินคาดไปนิดหน่อย ตะขอสลักร่างล้มเหลวหรือนี่ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเช่นนี้


ทว่าเขายังมิได้สำแดงฝีมือทั้งหมด ตะขอสลักร่างเป็นเพียงหนึ่งในนั้น


เขาเรียกตะเกียงโบราณออกมาดวงหนึ่ง แสงไฟทะยานขึ้นฟ้า ลำแสงสีแดงเข้มลำหนึ่งพุ่งออกไปสังหารต้นหลิว


นี่คือตะเกียงดับวิญญาณ ใช้สังหารวิญญาณโดยเฉพาะ ลำแสงสีแดงเข้มมิอาจต้านทาน แทรกซึมเข้าไปผ่านหน้าผากของต้นหลิว


ชั่วขณะนั้น วิญญาณของต้นหลิวมีเปลวเพลิงลุกโชติช่วง หมายจะจุดไฟเผาส่วนวิญญาณนั้น ให้วิญญาณของต้นหลิวไหม้เป็นจุณ


ทว่าต้นหลิวนั้นไร้เทียมทาน พลังกล้าแกร่งปะทุออกจากส่วนวิญญาณ ลำแสงนั้นถูกไล่ต้อนออกมา ตะเกียงโบราณก็ระเบิดตามไปด้วย!


ข่งอวิ๋นสำแดงฝีมืออีกครั้ง เขาใช้มหาวิชาแขนงหนึ่ง อุกกาบาตถล่มลงจากฟากฟ้า เกิดเป็นภาพการณ์สยดสยองคล้ายวันโลกาวินาศ


ต้นหลิวเยื้องย่างออกไปหนึ่งก้าว เลือดลมพลุ่งพล่าน อุกกาบาตท่วมท้นท้องฟ้านั้นแตกสลายไปทั้งหมด ถูกกำจัดอย่างสิ้นเชิง!


“ให้ตาย! พี่หลิวก็คือพี่หลิว!”


หนานฉงอุทานเสียงหลง พี่หลิวนี่ไร้เทียมทานอย่างแท้จริง พลังที่จู่โจมเข้ามาทั้งหมดถูกต้นหลิวกำจัดไปง่ายดาย ไม่อาจแผ้วพานต้นหลิวได้เลย


“สหาย…ไปกันเถิด”


ข่งอวิ๋นถอนหายใจ หยุดการต่อสู้ไว้เพียงเท่านี้ ต้นหลิวแข็งแกร่งเกินไป หากเขาไม่ต่อสู้โดยเอาชีวิตเข้าแลก ไม่มีทางสังหารต้นหลิวได้เลย


และเขาไม่ต้องการเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อสู้กับต้นหลิว หาได้มีความจำเป็นไม่


“สหายพาคนที่นี่ไปด้วยได้ทั้งหมด”


เขากล่าวต่อ


“ได้”


ต้นหลิวก็หยุดมือเช่นกัน มิได้สู้ต่อ


ปฐพีผืนนี้พิลึกอย่างยิ่ง แม้กระทั่งตัวมันยังรู้สึกถึงภัยคุกคาม โดยเฉพาะในส่วนลึกของปฐพีผืนนี้ มันยิ่งสัมผัสได้ถึงขุมพลังอันน่าประหวั่นพรั่นพรึง


ข่งอวิ๋นมีฝีมือทรงพลังกว่านี้ซ่อนเอาไว้ ที่นี่มิได้ธรรมดาอย่างที่เห็น


ทว่ามันไม่ยอมไปจากที่นี่ง่าย ๆ


“พวกเขาทั้งสองมาที่นี่เพื่อตามหาของขวัญ เจ้าเก่งกาจปานนี้ คงไม่ขาดแคลนสิ่งของเช่นนี้กระมัง เจ้าคงไม่ปล่อยให้พวกเขากลับไปมือเปล่าใช่หรือไม่”


ต้นหลิวเอ่ย พร้อมชี้ไปที่เมิ่งจีและประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียน


ข่งอวิ๋นมีสีหน้าชอบกลพลางนึกในใจ หมายความว่าอย่างไรที่ว่าเขาเก่งกาจปานนี้คงไม่ขาดแคลนสิ่งของเช่นนี้?


เขาอยากบอกเหลือเกินว่า ต้นหลิวเก่งกาจปานนี้ยังจะขาดแคลนสิ่งของเช่นนี้อีกหรือ


แต่เขาไม่ต้องการเอาเป็นเอาตายกับต้นหลิว ท้ายสุดก็เลือกจำนน สั่งให้คนของตนยกสิ่งของจำนวนหนึ่งเข้ามา


ของเหล่านี้ล้วนไม่ธรรมดา อย่างเช่นบัวทองคำดอกหนึ่งในนั้น ใบบัวทุกใบล้วนมีลายริ้วซึ่งขึ้นตามธรรมชาติ และมีกฎระเบียบบางอย่างไหลเวียนอยู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นสุดยอดอาวุธพิฆาตชิ้นหนึ่ง ลำพังใบบัวใบเดียวก็สามารถสังหารไปทั่วหล้า


ไหนจะเพลิงแผกมวลหนึ่งที่เพียงลุกโชนเงียบ ๆ ก็สร้างความผวาให้กับผู้คนได้ เจ้านิกายไม่นึกสงสัยเลยว่าหากเพลิงแผกมวลนี้เข้าไปอยู่ในเทวโลก คงได้แผดเผาทั้งเทวโลกเป็นจุณอย่างแน่แท้!


“ใช้ได้แล้วกระมัง”


เขามีสีหน้าอึมครึม น้ำเสียงไม่สบอารมณ์สุด ๆ


แผนการรวนไปหมด ซ้ำยังต้องเสียของดีไปมากมาย เขาไฉนเลยจะพอใจได้!


“ใช้ได้แล้ว”


ต้นหลิวพยักหน้า สั่งให้พวกเมิ่งจีเก็บของเหล่านี้ไว้


“ความมืดมิดกำลังจะมาถึง การต่อกรกับความมืดมิดคือภาระหน้าที่ซึ่งไม่อาจเลี่ยง กระนั้นก็ต้องมีสามัญสำนึก! มิฉะนั้น ต่อให้ล้มล้างความมืดมิดได้แล้วอย่างไร ผู้ที่ไร้สามัญสำนึกน่ากลัวยิ่งกว่าความมืดมิดเสียอีก!”


ต้นหลิวบอกกับข่งอวิ๋น เตือนข่งอวิ๋นให้หยุดการกระทำชั่วช้าเช่นนี้ มิฉะนั้นได้เกิดเรื่องแน่ อย่างน้อย ๆ ตัวมันก็ไม่มีทางปล่อยข่งอวิ๋นไป ต้องออกตามหาข่งอวิ๋นแน่


สุดท้าย มันพาพวกเมิ่งจีไปจากที่นี่


ยอดฝีมือจากหุบเขาสุขาวดีและกองกำลังอื่น ๆ ก็พากันไปจากที่นี่


ต้นหลิวไปแล้ว พร้อมสร้างเส้นทางกลับให้ด้วย เมิ่งจี หนานฉง ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนบอกลาเจ้านิกาย ก้าวสู่เส้นทางกลับ


“พี่ชาย พี่ชายบังเกิดเกล้า ก่อนนี้ข้ามีตาหามีแววไม่ ขอท่านโปรดอย่าถือสาเอาความข้าเลย!”


เจี้ยนอู่แห่งพรรคกระบี่เจินหยวนรีบวิ่งไปหาเจ้านิกาย เอ่ยต่อเขาด้วยรอยยิ้มแป้นพะเน้าพะนอ


เขายอมรับความพ่ายแพ้ มิกล้าเป็นปรปักษ์กับเจ้านิกายอีก กล้าได้อย่างไรเล่า เจ้านิกายมีความเกี่ยวข้องกับพวกของต้นหลิวไร้เทียมทาน ต่อให้เขากล้ากว่านี้อีกหมื่นเท่าก็มิกล้าเป็นศัตรูกับเจ้านิกาย


“อย่าเอ่ยเช่นนี้สิ ข้าอ่อนแอถึงเพียงนั้น เสียท่าได้ทุกเมื่อ มิกล้าเป็นพี่ใหญ่ของท่านหรอก!”


เจ้านิกายเอ่ยด้วยความเย้ยหยันตนเอง


“ข้าผิดเอง ปากข้าไม่มีหูรูดเกินไป! พี่ใหญ่ร่างกายบึกบึนแข็งแรงปานนี้ ไฉนเลยจะอ่อนแอ เป็นเพราะพี่ใหญ่ดุดันในเรื่องนั้นเกินไป นางแพศยานั่นรับไม่ไหวถึงได้ไปเล่นชู้กับผู้อื่น มิกล้าร่วมเตียงกับพี่ใหญ่!”


เจี้ยนอู่รีบเอ่ยขึ้น


จ้าวหุบเขาไป๋เหวินแห่งหุบเขาสุขาวดีเห็นแล้วยังอดขำมิได้


ก่อนนี้เจี้ยนอู่ยังบอกว่าเจ้านิกายร่างกายอ่อนแอเกินไป ไม่สามารถทำให้ภรรยาของตนพอใจได้ บัดนี้กลับเอ่ยว่าเจ้านิกายดุดันเกินไป จนภรรยาของตนมิกล้าร่วมเตียงด้วย…


ปากเขานี่ช่างเจรจาเหลือเกิน!


...


พวกเมิ่งจีกลับมา พวกหลิงอินก็เดินทางกลับแล้วเช่นกัน


พวกเขาท่องไปตามแดนมฤตยูในแต่ละชั้นของเทวโลก จนได้พบของขวัญอันเหมาะสม คราวนี้ก็รอเข้าร่วมงานแต่งของสือเฟิงได้อย่างสบายใจแล้ว


“ฮ่า ๆ คอยดูข้ากลั่นยาลูกกลอนไห่โก่วแสนสุดยอดได้เลย!”


ต้าเต๋อหัวเราะไม่หยุด เขาได้พบสมุนไพรต่าง ๆ ที่ใช้ในการกลั่นยาลูกกลอนไห่โก่ว ซ้ำยังเป็นสมุนไพรวิเศษชั้นเลิศกันทั้งสิ้น


ด้วยยาลูกกลอนไห่โก่วที่กลั่นจากสมุนไพรวิเศษชั้นเลิศนี้ย่อมเป็นสุดยอดลูกกลอนชูกำลัง เหนือกว่ายาลูกกลอนไห่โก่วทั้งหมดที่เคยมีมา


“เจ้าเพลา ๆ หน่อย อย่ากลั่นให้ฤทธิ์แรงเกินไปนัก เอาแค่พอประมาณ ห้ามชูกำลังเกินขนาดเด็ดขาด ข้ากลัวสือเฟิงจะทนไม่ไหว”


หลิงอินเอ่ย กลัวจากใจจริงว่าสุดยอดยาลูกกลอนไห่โก่วอาจมีฤทธิ์รุนแรงจนช่วงเวลาเข้าหออันน่ายินดีของสือเฟิงจะกลายเป็นสถานที่เกิดเหตุสลดไปเสียก่อน


“พี่สาว เหตุใดถึงเป็นสือเฟิงที่ทนไม่ไหวเล่า น่ากลัวว่าเป็นฉินซินต่างหากที่ทนไม่ไหว!”


ต้าเต๋อเอ่ยกลั้วหัวเราะ


...


อีกด้าน หลี่จิ่วเต้าเข้าภูเขาไปแล้วหลายลูก อย่างที่เขาคิดจริง ๆ คุณภาพของเหมืองหินผลึกในหุบเขาลึกกว่าและสวยกว่า


เขาเก็บมามากมาย สุดท้ายถึงขึ้นขี่กิเลนไฟพร้อมกับลั่วสุ่ยเพื่อไปจากที่นี่


“น่ากลัวเกินไปแล้ว!”


“ท่านผู้นั้นเป็นใครกัน!?”


“พี่ใหญ่ทั้งหลายถูกขุดออกไปหมดแล้ว! ดูท่าโดดเด่นเกินไปก็หาใช่เรื่องดีไม่!”


เสียงพูดมากมายดังขึ้นในเทือกเขา ภูตเหมืองหินผลึกมากมายนับไม่ถ้วนพากันกล่าวด้วยความนึกโชคดี


พวกมันประสาทสัมผัสไวมาแต่กำเนิด รับรู้ได้ว่าหลี่จิ่วเต้านั้นน่าประหวั่นพรั่นพรึงเพียงใด มิใช่ผู้ที่พวกมันต่อกรด้วยได้เลย ห่างชั้นกันมากโข!




“คอยการมาถึงของวันนั้นเงียบ ๆ แล้วกัน!”


เหล่าผู้เบิกทางแห่งปรโลกเตรียมพร้อมแล้ว รอวันแต่งงานของสือเฟิงมาถึง!


“ปริภูมิเวลาอันเป็นระเบียบจักกลับคืนสู่อาณาจักรนี้อีกครั้ง!”


ฝ่ายปริภูมิเวลาก็เตรียมพร้อมแล้ว รอจู่โจมในวันแต่งงานของสือเฟิง!

ณ เมืองชิงซาน


หลี่จิ่วเต้าและลั่วสุ่ยกลับมาแล้ว ป้าหวังร้านข้าง ๆ รีบส่งบุตรชายของนางไปแจ้งมารดาหลิงอิน ส่วนตัวนางเองลากหลี่จิ่วเต้าเข้ามาสนทนาสัพเพเหระ


สนทนานั้นเป็นเพียงฉากบังหน้า แท้จริงแล้วเป้าหมายคือการจี้เรื่องแต่งงาน ป้าหวังสาธยายออกไปมากมายว่าหลิงอินนั้นดีเพียงใด ชอบคุณชายหลี่เพียงใด กล่าวว่าคุณชายหลี่จะหักอกหลิงอินเช่นนี้มิได้


“คุณชาย พวกท่านออกเดินทางท่องเที่ยวตามประสาข้าวใหม่ปลามันมาแล้ว คนทั้งเมืองรู้กันหมด ภายหน้าหลิงอินไม่สามารถแต่งงานกับผู้อื่นอีกแล้ว! คุณชายจะไม่รับผิดชอบไม่ได้!”


ป้าหวังใช้วาจารุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนหลี่จิ่วเต้าตั้งรับไม่ไหวแม้แต่น้อย


ขณะเดียวกัน เขาเองก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ออกเดินทางท่องเที่ยวตามประสาข้าวใหม่ปลามันอันใดกัน เอามาจากไหนกันล่ะนี่ ที่ออกเดินทางคราวก่อนใช่ว่ามีเพียงเขาและหลิงอินสองคนที่ไหน ไปกันตั้งหลายคน มิได้ใกล้เคียงกับออกเดินทางท่องเที่ยวตามประสาข้าวใหม่ปลามันเลยสักนิด


ลั่วสุ่ยลอบหัวเราะอยู่ด้านข้าง นี่ก็เพราะเป็นป้าหวัง นอกจากป้าหวังผู้เก่งกาจแล้ว มีผู้ใดที่คุณชายรับมือไม่ไหวอีกบ้าง


ผู้ที่ทรงพลังที่สุดในเทวโลกยังเป็นเพียงกากเดนเมื่ออยู่ต่อหน้าคุณชาย มิมีน้ำยาแต่อย่างใด!


ไม่นานนัก บุตรชายของป้าหวังก็กลับมา พร้อมเอ่ยว่ามารดาของหลิงอินมามิได้ ถูกหลิงอินรั้งไว้


“ยายเด็กนี่ พวกเราเป็นธุระให้นาง นางกลับเป็นตัวถ่วงขนาดนี้!”


ป้าหวังโมโหแทบแย่ เดิมนางคิดจะร่วม ‘ไล่ต้อน’ หลี่จิ่วเต้ากับมารดาหลิงอิน แต่กลับถูกหลิงอินทำให้ผิดแผน


หลี่จิ่วเต้าฉวยโอกาสนี้ชิ่งกลับลานบ้านของตนแล้วรีบให้ลั่วสุ่ยปิดประตู แล้วถึงกับพรูลมหายใจด้วยความโล่งอก


ชางเหยาออกจากห้องนอนอีกด้านของลาน เมื่อได้เห็นภาพนี้ก็ตกตะลึงไปในบัดดล


ผู้ใดดุดันปานนี้ ทำให้คุณชาย ‘หนีอุตลุด’ ได้


นางใคร่รู้ยิ่งนัก!




เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ใกล้ถึงวันแต่งงานของสือเฟิงแล้ว วันพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันงาน


หลี่จิ่วเต้าบอกให้ลั่วสุ่ยไปแจ้งพวกอ้ายฉานมารวมตัวกันในลานเล็กของเขาแต่เช้า แล้วไปร่วมงานแต่งของสือเฟิงด้วยกัน


ช่วงที่ผ่านมา เขาตีแหวนเพชรเสร็จแล้วหนึ่งคู่ ทั้งยังตีเครื่องประดับเพชรให้ฉินซินหนึ่งชุด และเครื่องประดับทองคำอีกหนึ่งชุด


ดูออกเลยว่าเขาใส่ใจในการแต่งงานของสือเฟิงและฉินซินมาก


ลั่วสุ่ยก็มีเหมือนกัน เป็นจี้สร้อยคอเพชร ตุ้มหูเพชร และเครื่องประดับชิ้นอื่นที่เขาตั้งใจตีขึ้นเพื่อลั่วสุ่ย หลังลั่วสุ่ยได้สวมใส่แล้วอย่าให้เอ่ยเลยว่างดงามเพียงใด เพชรนั้นส่องแสงวาววาม ยิ่งขับให้ลั่วสุ่ยเพริศพริ้งวิไล หลังชางเหยาเห็นแล้วรู้สึกอิจฉาเหลือแสน สวยเกินไปแล้ว!


ผ่านไปไม่นาน พวกอ้ายฉานก็มาถึง พวกเขาออกเดินทางไปยังนิกายอวี้ซวี


สัตว์อสูรทั้งเก้าได้ลากรถเดินทางอีกครั้ง พวกลั่วสุ่ยนั่งอยู่ในรถลาก ส่วนหลี่จิ่วเต้ายังคงเดินทางโดยขี่กิเลนไฟตามเดิม


ระหว่างทาง พวกเขาได้พบสิ่งมีชีวิตจำนวนไม่น้อยที่เดินทางไปยังนิกายอวี้ซวีเพื่อเข้าร่วมงานแต่งของสือเฟิง หลี่จิ่วเต้านึกในใจว่าสือเฟิงนี่ใช้ได้ มีมนุษย์สัมพันธ์ในอาณาจักรนี้ดียิ่ง ถึงมีผู้ฝึกตนมากมายขนาดนี้เดินทางไปเข้าร่วม


“แค่งานแต่งงานเท่านั้น พิเศษตรงไหน ถึงได้เอิกเกริกเช่นนี้!”


ห่างออกไปไม่ไกล เด็กหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่บนอินทรีย์ทองเอ่ยกับผู้ร่วมทาง วาจาของเขาเปี่ยมไปด้วยความดูแคลนต่องานแต่งของสือเฟิง


“ฮ่า ๆ พี่หวงคงไม่เข้าใจใช่หรือไม่! น้ำเต็มขวดย่อมเงียบสงบ น้ำครึ่งขวดต่างหากที่แกว่งไหวอึกทึก! ถึงอย่างไรก็เป็นสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรเล็ก ๆ พอมีความสำเร็จขึ้นมาบ้างก็อดไม่ไหวต้องการโอ้อวด!”


อีกด้านหนึ่ง เด็กหนุ่มผมเงินผู้เหินกระบี่เอ่ยด้วยความดูแคลนเหลือแสนเช่นกัน


“ใช่แล้ว! พี่หวังวิเคราะห์ได้ตรงประเด็น! สือเฟิงที่ว่านี่คิดแล้วคงพอมีความสำเร็จในอาณาจักรเล็ก ๆ นี้ แล้วทึกทักเอาว่าตนนั้นเก่งกาจ ถึงได้จัดงานแต่งอย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริก เพื่อเติมเต็มศักดิ์ศรีอันน่าสมเพชของตนเอง”


“ให้พูดกันจริง ๆ จะเก่งสักปานใดเชียว ลงท้ายก็เป็นเพียงปลาซิวปลาสร้อยเท่านั้น!”


ผู้ที่ร่วมทางมากับพวกเขามีทั้งหมดหกคนด้วยกัน ล้วนมาจากจักรวาลโกลาหลผืนอื่น


บอกตามตรง พวกเขาไม่เห็นสิ่งมีชีวิตในจักรวาลโกลาหลผืนนี้อยู่ในสายตา มองว่าสิ่งมีชีวิตในจักรวาลโกลาหลผืนนี้เพียงแต่มีโชคหล่นทับเท่านั้น ไม่อาจเทียบกับพวกเขาได้เลย


“รอให้พวกเราไปถึงที่นั่นก่อน จักให้พวกเขาได้รู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของเรา!”


“พวกเรามิได้หาเรื่อง เพียงแต่ต้องการวัดฝีมืออย่าง ‘เป็นมิตร’ เท่านั้น ให้งานแต่งงานคึกคักยิ่งขึ้น”


พวกเขาเอ่ยยิ้ม ๆ แล้วเหินไปจากที่นี่ในเสี้ยววินาที


การเดินทางไปเข้าร่วมงานแต่งของสือเฟิงคราวนี้ พวกเขามิได้ตั้งใจไปอวยพรสือเฟิง สือเฟิงหาได้คู่ควรกับคำอวยพรจากใจจริงของพวกเขาไม่


บรรดายอดฝีมือจากจักรวาลโกลาหลต่าง ๆ จุติ แล้วยังพาคนรุ่นหลังของพวกเขามาด้วย ถึงอย่างไรอาณาจักรนี้ก็มหัศจรรย์อย่างยิ่งยวด พวกเขาก็อยากให้คนรุ่นหลังของพวกตนได้ประโยชน์จากที่นี่บ้าง


สิ่งมีชีวิตวัยเยาว์หกตนนี้มาจากจักรวาลโกลาหลผืนเดียวกัน มาเพราะผู้ใหญ่ของพวกเขาพามา


พวกเขามิได้ประสงค์ดีในการเข้าร่วมงานแต่งครานี้ ทั้งนี้มิใช่เพราะพวกเขาต้องการทำตัวโดดเด่น และมิใช่เพราะพวกเขาอยากก่อความวุ่นวายในงานแต่งของสือเฟิง


อาณาจักรนี้มีความลับใหญ่หลวงอยู่มากมาย พวกเขาต่างได้รับภารกิจจากผู้ใหญ่ของตน หมายจะวัดระดับพลังของสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรนี้ในงานแต่งของสือเฟิง ดูว่าพอจะล่วงรู้ความลับใหญ่หลวงอันใดได้บ้างหรือไม่


ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้น ยังมีสิ่งมีชีวิตรุ่นหลังจากจักรวาลโกลาหลผืนอื่นที่ได้รับภารกิจนี้ด้วย งานแต่งของสือเฟิงเป็นโอกาสอันหาได้ยาก พวกเขาไม่มีทางพลาด


“พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่หรือไม่”


อีกด้านหลี่จิ่วเต้าขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังได้ยินคำกล่าวของสิ่งมีชีวิตหกตนนั้นก็เอ่ยกับพวกลั่วสุ่ย


“ได้ยินแล้ว!”


“พวกเขาตั้งใจไปก่อเรื่อง!”


ภายในรถลาก พวกลั่วสุ่ยโมโหกันถ้วนหน้า วันมงคลของสือเฟิง คนกลุ่มนี้กลับตั้งใจไปก่อความวุ่นวาย จะมิให้พวกเขาโกรธเคืองได้อย่างไร!


“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า! ถึงครานั้น ข้าจะอัดพวกเขาให้พินาศ!”


“บังอาจก่อเรื่องในงานแต่งของพี่เฟิง ข้าจะหักขาพวกเขาเสีย!”


พวกอ้ายฉานเอ่ยเสียงแค้นเคือง


หากเจ้าพวกนี้กล้าก่อเรื่องจริง ๆ พวกเขาไม่มีทางยั้งมือ ต้องต่อสู้สุดกำลังแน่นอน!


ผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็มาถึงนิกายอวี้ซวี


ด้านนิกายอวี้ซวีมีผู้คนอยู่กันอย่างเนืองแน่น สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรต่าง ๆ แดนบรรพโกลาหล รวมถึงจักรวาลโกลาหลอื่น ๆ ต่างมาที่นี่ล่วงหน้ากันอย่างคับคั่ง จำนวนผู้เข้าร่วมย่อมไม่น้อย


อันที่จริง แต่เดิมสือเฟิงมิได้คิดจัดงานแต่งใหญ่โต เขาเรียนแจ้งคนเพียงกลุ่มหนึ่ง ทว่าช่วยไม่ได้ ข่าวเรื่องงานแต่งของเขาแพร่สะพัดออกไป จึงมีสิ่งมีชีวิตจำนวนมากที่มาโดยมิได้รับเชิญ


สือเฟิงและคนอื่น ๆ ในนิกายอวี้ซวีรู้ล่วงหน้าแล้วว่าจะมีสิ่งมีชีวิตเข้าร่วมงานแต่งอย่างคับคั่ง พวกเขาได้เตรียมการไว้แต่เนิ่น ๆ จัดแจงยอดเขาใกล้ ๆ นี้ไว้ทั้งหมด สร้างฐานตำหนักมโหฬารแห่งแล้วแห่งเล่าเพื่อใช้ในการรับรองสิ่งมีชีวิตที่มาเข้าร่วม


ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้นก็เห็นได้ชัดว่ายังไม่พอ สิ่งมีชีวิตอีกจำนวนมากมิมีที่พำนัก ถึงอย่างไร จำนวนสิ่งมีชีวิตที่เข้าร่วมนั้นก็มากมายเกินไป!


“คึกคักจริงเชียว…”


หลี่จิ่วเต้ามองสิ่งมีชีวิตผู้มาเข้าร่วมงานแต่งงานที่กระจัดกระจายอยู่เต็มทุกที่ ก็รำพันในใจว่าหากวันหน้าเขาได้จัดงานแต่งจะยิ่งใหญ่ปานนี้ มีสิ่งมีชีวิตเข้าร่วมกันมากมายเช่นนี้เหมือนกันหรือไม่


หากเป็นเช่นนั้นจริง คงเป็นงานแต่งที่ลืมไม่ลงแน่


‘ฮ่า ๆ ถึงคราวข้าแต่งงานแล้วเจ้าสาวมิใช่หลิงอิน น่ากลัวว่าป้าหวังคงต้องฉีกข้าเป็นชิ้น ๆ กระมัง’


เขาคิดในใจ ป้าหวังมุ่งมั่นให้เขาได้ครองคู่กับหลิงอินเกินไป


ทว่าตัวเขาไม่ยอมให้ปัจจัยเหล่านี้มาบงการหรอก


ภายหน้าหากเขาได้แต่งงาน เขาจะเลือกเจ้าสาวตามความต้องการในใจ ไม่มีทางถูกตัวแปรอื่นแทรกแซง


นิกายอวี้ซวีมีผู้คนอยู่แน่นขนัด พวกหลี่จิ่วเต้าเข้าไปได้ยากยิ่ง สิ่งมีชีวิตเต็มผืนฟ้าแผ่นดิน เรียกได้ว่าเป็นทะเลมนุษย์อย่างแท้จริง


ทว่ามีลูกศิษย์นิกายอวี้ซวีเฝ้าอยู่ที่นี่เพื่อรอการมาของพวกหลี่จิ่วเต้าโดยเฉพาะ


“มาแล้ว!”


เขายืนอยู่บนที่สูง เมื่อได้เห็นหลี่จิ่วเต้าก็รีบรายงานสือเฟิง


“คุณชายมาถึงแล้วหรือ”


หลังสือเฟิงได้รับรายงานก็ตื้นตันใจเป็นที่สุด รีบออกมาต้อนรับหลี่จิ่วเต้าทันทีพร้อมกับเจ้านิกายและบรรดาผู้อาวุโสแห่งนิกายอวี้ซวี


เจ้าของงานออกมาแล้ว สิ่งที่มีชีวิตที่ล้อมที่นี้ไว้รีบเบี่ยงหลบออกมาจนได้เส้นทางสายหนึ่ง พวกสือเฟิงมาถึงตัวหลี่จิ่วเต้า


“คุณชาย!”


สือเฟิงกล่าวทักทายคุณชายด้วยความนอบน้อม เจ้านิกายและบรรดาผู้อาวุโสแห่งนิกายอวี้ซวีก็ทักทายหลี่จิ่วเต้าอย่างมีมารยาทเช่นกัน


แม้พวกเขาไม่รู้ว่าหลี่จิ่วเต้าเป็นใคร สือเฟิงมิเคยเผยไต๋ให้พวกเขาทราบ กระนั้นสือเฟิงได้กล่าวไว้ว่า นี่คือผู้ที่เขานับถือที่สุด ห้ามมิให้เสียมารยาทแม้แต่น้อย


“ท่านผู้นี้เป็นใครกัน สุดยอดไปเลย!”


“จริงด้วย สือเฟิงออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง ทั้งยังเคารพเขาถึงเพียงนี้…”

สิ่งมีชีวิตที่นี่ตะลึงกันหมด พากันคาดเดาถึงตัวตนของหลี่จิ่วเต้า พวกเขาเองก็ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของหลี่จิ่วเต้าเช่นกัน ท่าทางจริงจังเช่นนี้ของสือเฟิงชวนให้พวกเขาประหลาดใจอย่างมาก


“สวัสดีคุณชาย!”


เมิ่งจีตามสือเฟิงเข้ามา ทักทายหลี่จิ่วเต้าด้วยความตื้นตัน


นึกแล้วหลังเขาไปจากลานเล็กของคุณชาย ก็มิเคยได้พบคุณชายอีก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบคุณชายอีกครั้ง


“ผู้เฒ่าเมิ่ง!”


หลี่จิ่วเต้าตาเป็นประกายจำเมิ่งจีได้ทันที เขาหัวเราะร่วน ปีติยินดีเช่นกัน


เมิ่งจีอาศัยอยู่ในลานเขามาตั้งนาน เขาไฉนเลยจะลืม ย่อมจำได้แม่นยำอยู่แล้ว!


พลางนึกไปว่าสือเฟิงนี่ใส่ใจยิ่งนัก เชิญกระทั่งเมิ่งจีมาด้วย


เมื่อครั้งสือเฟิงมาเยือนลานบ้านของเขาคราแรก เมิ่งจียังพำนักอยู่ที่นั่น เขากับเมิ่งจีรับรองสือเฟิงด้วยกัน


“จากนี้ไปคงมิได้ยุ่งเท่าใดแล้ว มาเที่ยวเล่นที่ลานเล็กข้าบ่อย ๆ สิ ข้าคิดถึงผู้เฒ่าเมิ่งมาก”


หลี่จิ่วเต้าบอกกับเมิ่งจียิ้ม ๆ


“ได้เลย!”


เมิ่งจีพยักหน้ารัว ซาบซึ้งใจเป็นที่สุด คุณชายยังไม่ลืมเขา ยังจำเขาได้!


“คุณชาย!”


จักรพรรดินีและหยวนอีก็มาด้วย พากันกล่าวทักทายคุณชาย


“สวัสดีคุณชาย!”


อาจารย์ของจักรพรรดินีก็อยู่ และทักทายหลี่จิ่วเต้าด้วยความเคารพ


นี่หรือคือคุณชายที่ชุบชีวิตนาง อย่าให้เอ่ยเลยว่านางเต็มตื้นเพียงใดที่ได้พบตัวตนสูงส่งเช่นนี้!


“พวกเราสืบเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับซีมาได้แล้ว ทว่าน่าเสียดาย พวกเรายังมิได้พบซี นางไปจากจักรวาลโกลาหลผืนนี้ ไปยังแดนนิรนาม…”

หยวนอีรายงานหลี่จิ่วเต้า


ภารกิจที่คุณชายมองหมายให้นาง นางมิเคยลืมสักครา ปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับจักรพรรดินีเรื่อยมา


หลังแดนบรรพโกลาหลเชื่อมต่อกับอาณาจักรแห่งนี้ พวกนางก็เข้าไปตรวจสอบในแดนบรรพโกลาหลทันที และพบเบาะแสของซีได้อย่างง่ายดาย


ความเลื่องชื่อของซีในแดนบรรพโกลาหลนั้นมิได้โด่งดังธรรมดา เสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงนางเต็มไปทั่วทุกหนแห่ง พวกนางไม่อยากรู้เรื่องยังยาก


จักรวาลโกลาหล?


หมายความว่าอย่างไร


ซีมิได้อยู่ในอาณาจักรนี้แล้วหรือ


ตามคาด ซีไปจากอาณาจักรนี้นานแล้ว ไม่แปลกที่เขาหานางไม่เจอ


“ไม่เป็นไร รบกวนเจ้าแล้ว!”


หลี่จิ่วเต้าเอ่ยยิ้ม ๆ “ไม่ต้องตามหาอีกแล้ว ข้าจะรอซีมาหาข้าในภายภาคหน้าเอง”


“ได้”


หยวนอีพยักหน้า พอแน่ใจแล้วว่าพลังที่คอยคุ้มครองซีนั้นมาจากคุณชาย


มิฉะนั้น เหตุใดคุณชายถึงขอให้นางล้มเลิกภารกิจ


หากมิใช่ว่าพลังของคุณชายคอยคุ้มครองซีอยู่ คุณชายคงไม่ขอให้นางยอมแพ้ คงต้องมีคำชี้แนะสำหรับนางอีกครั้ง ให้นางตามหาซีต่อไป


นางใคร่ครวญดูแล้ว ก่อนนี้อาจมีสาเหตุบางอย่างที่นางไม่ทราบทำให้คุณชายไม่พบตัวซี แต่ต่อมา คุณชายคงแก้ไขปัญหาเหล่านั้นลงได้จนได้พบตัวซี และทิ้งพลังไว้ปกป้องซี


‘รอซีมาหาหรือ อย่างที่คิดเลย…’

นางเอ่ยในใจ ซีนี่ไม่ธรรมดาจริง ๆ มีความลับใหญ่หลวงในตัว วาจาของคุณชายเป็นการบ่งบอกว่าซีกำลังทำธุระบางอย่างโดยไม่ต้องสงสัย


หลี่จิ่วเต้าปีติยินดีอย่างยิ่งที่ได้พบใบหน้าอันคุ้นเคยมากมาย ทั้งหมดล้วนมิได้พบกันมานานแล้ว


อย่างเช่นผู้เฒ่าอวิ๋นที่มอบ ‘เครื่องปรับอากาศ’ ให้เขา ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์ที่มอบ ‘ตู้เย็น’ ให้เขา ผู้เฒ่าไป๋ที่มอบ ‘แท็บเล็ต’ ให้เขา ล้วนอยู่ที่นี่


“ประเสริฐ ทุกคนถือโอกาสนี้มาอยู่กันพร้อมหน้าเสียที!”


ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ “ข้านำสุราชั้นดีมาหลายไห คืนนี้เรามาดื่มกันให้หนำใจ”


“ได้เลยคุณชาย!”


พวกผู้เฒ่าอวิ๋นตอบด้วยความเต็มตื้น พวกเขามิได้ดื่มสุรากับคุณชายมานานเท่าใดแล้วนะ นานมากจริง ๆ!


อีกด้าน สิ่งมีชีวิตจำนวนมากต่างเพ่งสายตาไปที่หลี่จิ่วเต้าด้วยความใคร่รู้


ชายหนุ่มเสมือนจันทราท่ามกลางหมู่ดารา ทุกคนต่างกล่าวทักทายหลี่จิ่วเต้าด้วยความนอบน้อม ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบุรุษผู้นี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เป็นคนใหญ่คนโตท่านหนึ่ง


“หยั่งเชิงตัวละครเล็ก ๆ ไปก็เปล่าประโยชน์ มิสู้หยั่งเชิงตัวละครโดดเด่นจึงจะมีประโยชน์กว่า!”


“คนผู้นี้ก็ดี…”


สิ่งมีชีวิตวัยเยาว์ทั้งหกสนทนากันเสียงค่อย ทอดสายตาไปที่หลี่จิ่วเต้าเช่นกัน ทั้งยังหมายหัวหลี่จิ่วเต้าอีกด้วย!


พวกเขาอยากประลองฝีมือกับหลี่จิ่วเต้าด้วยความ ‘เป็นมิตร’!


“ฮ่า ๆ วันมงคลเช่นนี้ ย่อมต้องครึกครื้นกันหน่อย!”


หนึ่งในพวกเขาก้าวเข้าไปด้วยรอยยิ้มเบาบาง ผมสีเงินทอประกายแวววาว รูปโฉมหล่อเหลา


“ทุกท่านต่างเป็นผู้ฝึกตน ปกติพำนักกันคนละทิศละทาง มีโอกาสพบหน้ากันเพียงน้อยนิด วันนี้ทุกท่านมาเพื่อแสดงความยินดีกับงานแต่งของสหายสือเฟิง นับเป็นวาสนาใหญ่หลวง”


เขาคลี่ยิ้ม เอ่ยอย่าง ‘เป็นมิตร’ “ข้าขอแนะนำให้ทุกท่านคึกคักกันหน่อย อุ่นเครื่องกันก่อนงานแต่งในวันพรุ่งนี้ มาประลองฝีมือกันหน่อยเถิด!”


มาแล้ว!


พวกหลี่จิ่วเต้าต่างทอดสายตาไปที่เด็กหนุ่มผมเงินผู้นี้ พวกเขารู้ดีว่าสิ่งมีชีวิตวัยเยาว์กลุ่มนี้ไม่ประสงค์ดี คิดจะใช้ ‘การประลอง’ เพื่อก่อเรื่อง


“ข้ามองว่าท่านนี้ไม่เลว ดูก็รู้ว่าเป็นผู้มีฝีมือโดดเด่นในคนรุ่นเยาว์ เราสองคนเริ่มเป็นคู่แรก ช่วยเพิ่มบรรยากาศหน่อยดีหรือไม่”


เด็กหนุ่มผมเงินหันมองหลี่จิ่วเต้า และเอ่ยคำท้าต่อเขา


ผู้มีฝีมือโดดเด่นในคนรุ่นเยาว์?


สายตาคนผู้นี้เป็นอันใดไปถึงได้ท้าประลองเขา เขาคือปุถุชนอย่างแท้จริงนะ!


หลี่จิ่วเต้านึกตลกในใจ


พวกลั่วสุ่ยยิ่งขบขัน เด็กหนุ่มผมเงินผู้นี้มิรู้จักเจียมตัวเอาเสียเลย ริอ่านท้าสู้คุณชาย รนหาที่หรืออย่างไรกัน!


“เป็นอันใดไป สหายไม่ตอบเพราะกลัวหรือ เหอะ ๆ สหายมิต้องกลัว ข้าเอ่ยแล้วว่าพวกเราประลองกันด้วยความ ‘เป็นมิตร’ ข้าจะไม่ทำร้ายสหาย!”


เด็กหนุ่มผมเงินเห็นหลี่จิ่วเต้าไม่พูดจา จึงกล่าวท้าทาย “คงมิใช่ว่าสหายปอดแหกขึ้นมาจริง ๆ กระมัง ผู้ฝึกตนอย่างเราไยต้องกลัวการต่อสู้ด้วย! หากสายมิกล้าแม้แต่จะสู้ ข้าขอแนะนำให้สหายเลิกฝึกฝนไปเลยดีกว่า รีบถอนตัวจากเส้นทางฝึกตน ตัดบ่วงกรรมวิถีของตนเสียเถิด!”


เขาส่งเสียงเยาะเย้ย หมายจะยั่วยุให้หลี่จิ่วเต้าลงมือ เขาอยากเห็นว่าอีกฝ่ายมีความสามารถระดับไหนถึงได้มีคนเคารพนับถือมากมายปานนี้!


ยอดฝีมือในจักรวาลโกลาหลอื่น ๆ มาอยู่ที่นี่กันไม่น้อย สายตาพวกเขาจับจ้องที่นี่อยู่เช่นกัน อยากเห็นเหมือนกันว่าหลี่จิ่วเต้ามีฝีมือเช่นไร


พวกลั่วสุ่ยต่างโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง เด็กหนุ่มผมเงินพูดจาอะไร บังอาจเสียมารยาทต่อคุณชายเพียงนี้เชียว?!


พวกเขาเดือดดาล ไม่มีทางปล่อยเด็กหนุ่มผมเงินไปง่าย ๆ แน่!


“สหาย ขนาดนี้แล้วยังไม่รู้สึกรู้สาอีกหรือ ดูท่าสหายท่านนี้ปอดแหกจริง ๆ ด้วย! ขอถามสหายหน่อยว่าท่านบำเพ็ญวิถีปอดแหกหรือ”


เด็กหนุ่มผมเงินใช้วาจายั่วยุอีกครั้ง “หากสหายบำเพ็ญวิถีปอดแหกจริง โปรดอภัยให้ข้าด้วย ข้าขอโทษสหายมา ณ ที่นี้”


เขาหัวเราะร่วนด้วยท่าทางอวดดี สีหน้ายโสระบายอยู่บนใบหน้า ถ้อยคำที่เปล่งออกมาก็ไม่เกรงใจขึ้นเรื่อย ๆ


“สหายเอ๋ย เจ้านี่ใช้ไม่ได้เลย…เรียกข้าว่าสหายอยู่ได้ ไม่รู้สึกอายหน้าแดงบ้างหรือ”


หลี่จิ่วเต้าหัวเราะ “ข้าเป็นเพียงปุถุชนคนหนึ่ง เจ้าเอ่ยว่าข้าเป็นผู้มีฝีมือโดดเด่นในคนรุ่นเยาว์ อยากท้าสู้กับข้า ข้าอยากถามเจ้าคำหนึ่ง ตาของเจ้าไปไหน ฝีมือที่เจ้าฝึกฝนมาทั้งหมดไปอยู่ที่ไหน?”


เขาโต้กลับอย่างไม่เกรงใจเช่นกัน


เด็กหนุ่มผมเงินไม่ประสงค์ดีแล้วยังท้าทายเขาเช่นนี้ เขาย่อมไม่ไว้หน้าเด็กหนุ่มผมเงิน


ปุถุชนอย่างแท้จริงหรือ?!


เด็กหนุ่มผมเงินหน้าตาไม่สบอารมณ์ หลี่จิ่วเต้าเสแสร้งอะไรต่อหน้าเขา?!


ปุถุชนผู้หนึ่งจะได้รับการต้อนรับอย่างดีประหนึ่งจันทราท่ามกลางหมู่ดาราเช่นนี้หรือ


คิดอันใดอยู่!


เห็นได้ชัดว่าหลี่จิ่วเต้าจงใจพูดเช่นนี้เพื่อเย้ยหยันเขากลับ!


มิใช่แค่เด็กหนุ่มผมเงินเท่านั้นที่คิดแบบนี้ สิ่งมีชีวิตทุกตนในสถานที่นี้คิดแบบนี้กันหมด


สือเฟิงไม่ธรรมดาถึงเพียงนั้น เคยเผยกำลังรบสุดกล้าแกร่งให้เห็น ไฉนเลยจะเคารพปุถุชนผู้หนึ่งเช่นนี้


เป็นไปไม่ได้เลย!


มิมีคนใดในพวกเขาเชื่อว่าหลี่จิ่วเต้าคือปุถุชน


‘ใช้ได้นี่!’


อีกด้าน เด็กหนุ่มผมเงินหัวเราะในใจ


เขากลัวอยู่ว่าอุบายยั่วยุของเขาไม่ได้ผล หลี่จิ่วเต้าไม่ยอมต่อสู้กับเขา ทว่าบัดนี้ดูแล้ว ความกังวลของเขาหาได้จำเป็นไม่ อุบายยั่วยุของเขาได้ผล นี่อย่างไร หลี่จิ่วเต้าเย้ยหยันเขากลับแล้ว!


“เอ่ยมาตั้งมากมีประโยชน์ตรงไหน วัดฝีมือให้รู้กันไปเลยดีกว่า!”


เขาหัวเราะเสียงเย็น มองข้ามวาจาของหลี่จิ่วเต้าที่ว่าตนคือปุถุชน และออกปากท้าสู้หลี่จิ่วเต้าอีกครั้ง “เป็นชายชาตรีก็มาสู้กับข้าให้รู้ดำรู้แดงกันเสีย!”


“พอที! เจ้าเป็นลิ่วล้อของผู้ใดกัน ถึงบังอาจใช้ถ้อยคำอวดดีเช่นนี้กับคุณชาย!”


สือเฟิงตวาด อสนีบาตวูบวาบในนัยน์ตา จิตสังหารในตัวพลุ่งพล่านขณะจ้องมองเด็กหนุ่มผมเงิน “ข้าไม่สนว่าเจ้ามีภูมิหลังอย่างไร ขอโทษคุณชายเสีย มิฉะนั้น ข้าจะทำให้เจ้าต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมาน!”


คุณชายมีบุญคุณมอบชีวิตใหม่ให้เขา เขาไฉนเลยจะทนให้เด็กหนุ่มผมเงินเย้ยหยันคุณชายถึงเพียงนี้ได้ คิดอยากฆ่าทิ้งเสีย!


เขาทนให้เด็กหนุ่มผมเงินก่อเรื่องขนาดนี้ในงานแต่งของเขาได้ ทว่าทนให้ท้าทายคุณชายเช่นนี้มิได้!


“ใช่แล้ว! เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน ถึงได้ยโสโอหังเพียงนี้ ดูถูกคนนู้นคนนี้ที ไม่สำเหนียกเลยว่าตัวเจ้าอยู่ในระดับใด!”


เซี่ยเหยียนก้าวออกไปก้าวหนึ่ง นัยน์ตาทอประกายเยียบเย็น หมอนี่คิดจะก่อเรื่องที่นี่ไม่เท่าไร ริอ่านหาเรื่องคุณชาย นางเองก็อยากฆ่าเขาทิ้งเสียเช่นกัน!


“หยุดความคิดโสมมของเจ้าเสีย เจ้าหาได้คู่ควรไม่! ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเจ้า…ก็ไม่คู่ควร!”


นัยน์ตาลั่วสุ่ยเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารเช่นกัน นางรู้ว่าเด็กหนุ่มผมเงินต้องการทำอะไร จะเป็นสิ่งใดไปได้นอกจากหยั่งพลังของอาณาจักรนี้ วัดตื้นลึกหนาบางในอาณาจักรนี้


ทว่าเด็กหนุ่มผมเงินแหยมกับผู้ที่ไม่ควรแหยม คุณชายนั้นห้ามมิให้ผู้ใดเหยียดหยาม ผู้ใดบังอาจล่วงเกินคุณชายจักต้องชดใช้!


“ไยพวกท่านถึงเป็นคนเช่นนี้ ข้าเพียงแต่ต้องการประลองด้วยความ ‘เป็นมิตร’ เหตุใดพวกท่านถึงต้องปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ด้วย”


เด็กหนุ่มผมเงินหาได้มีความเกรงกลัว เขาต้องกลัวอะไร ยอดฝีมือผู้อยู่เบื้องหลังเขาก็อยู่ที่นี่ เขามีความมั่นใจอยู่มาก


นอกจากนี้ เขาตระหนักดีว่าตัวเขามีภาระหน้าที่อย่างไร การหยั่งเชิงนี้ต้องดำเนินต่อ พวกเขาจะถูกพันธนาการอยู่เช่นนี้ตลอดมิได้ พวกเขาต้องควานหาความลับและแก่นฐานของอาณาจักรนี้!


ภารกิจนี้จำเป็นมาก เรียกได้ว่าจำเป็นที่สุดสำหรับพวกเขา อาณาจักรนี้มีสถานที่วิเศษอยู่นับคณา ทว่าพวกเขามิกล้าบุ่มบ่ามกระทำการใด ถูกพันธนาการไว้จนเกิดผลกระทบไม่น้อย


“เอาเถิด เขาอยากประลองฝีมือมิใช่หรือ เช่นนั้นก็ประลองฝีมือกับเขาเสีย ข้าไม่ขอลงมือ พวกเจ้าลุยได้เลย”


หลี่จิ่วเต้าโบกมือพร้อมบอกกับพวกลั่วสุ่ย


วันแต่งงานของสือเฟิงไม่ควรมีเลือดตกยางออก ในเมื่อคนกลุ่มนี้ต้องการหาเรื่อง เพียงขับไล่ไปก็พอ


“ได้! ข้าจะลุยเอง!”


สือเฟิงพยักหน้า เอ่ยขึ้นเป็นคนแรกว่าต้องการออกโรงสั่งสอนเด็กหนุ่มผมเงินด้วยตนเอง


“ท่านคือเจ้าบ่าวในวันพรุ่งนี้ ยังมีเรื่องสำคัญให้ทำอีกมากมาย ให้ข้าออกโรงเถิด!”


“ข้าลุยเอง! จะอัดเขามีแค่มือก็พอแล้วมิใช่หรือ”


“มีแค่มือก็พอแล้วจริง ๆ นั่นแหละ!”


พวกลั่วสุ่ยพากันส่งเสียงว่าอยากออกโรง พฤติกรรมท้าทายคุณชายของเด็กหนุ่มผมเงินสร้างความเดือดดาลให้พวกเขาอย่างรุนแรง พวกเขาต่างอดกลั้นโทสะอยู่ในใจ อยากจะสั่งสอนเด็กหนุ่มผมเงินผู้นี้ให้หนัก


มีมือก็พอหรือ?!


เหตุใดคนเหล่านี้ถึงโอหังปานนี้


ใบหน้าเด็กหนุ่มผมเงินเยียบเย็น ไม่สบอารมณ์สุด ๆ

ที่เขาไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่านั้นคือ แม้แต่เด็ก ๆ อย่างพวกต้าเต๋อและอ้ายฉานก็ส่งเสียงตะโกนเช่นนี้ ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา!


เรื่องนี้เขาทนมิได้จริง ๆ!


เขาอยากลงมือสังหารพวกต้าเต๋อให้หมดยิ่งนัก ทว่าเขาทำมิได้ ตื้นลึกหนาบางของอาณาจักรนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัด


“อยากประลองฝีมือกันหมดเลยหรือ ง่ายนิดเดียว พวกเรามาประลองกันเถิด!”


“เช่นนี้จะยิ่งครึกครื้นขึ้น!”


สิ่งมีชีวิตวัยเยาว์อีกห้าตนก้าวเข้ามา เข้าร่วมขบวนผู้ท้าประลอง


“ให้พวกอ้ายฉานลงมือแล้วกัน พวกเขายังเด็ก ให้โอกาสพวกเขาได้ลับฝีมือบ้าง”


หลี่จิ่วเต้าเลือกให้พวกอ้ายฉานออกโรงต่อสู้


“ได้เลย!”


“ขอบคุณคุณชาย!”


พวกอ้ายฉานตื่นเต้นดีใจกันเหลือคณา แต่ละคนล้วนตาเป็นประกาย เห็นพวกเขาอายุยังน้อยอย่างนี้ ทว่าพวกเขาได้รับคำอวยพรจากคุณชาย ฝึกฝนได้รวดเร็วกันทุกคน บัดนี้ได้ก้าวสู่ขอบเขตลอยชายกันแล้วถ้วนหน้า!


พวกเขามีอายุราว ๆ สิบขวบปีเท่านั้น กระนั้นกลับอยู่เหนือขอบเขตลอยชายกันแล้วทั้งสิ้น หากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป คงได้อึ้งจนกรามหลุดกันถ้วนหน้า!


นับแต่ประวัติศาสตร์เริ่มขึ้น ต่อให้ในจักรวาลโกลาหลชั้นสุดยอดก็มิเคยมีสิ่งมีชีวิตขอบเขตลอยชายอายุสิบขวบปี สะท้านโลกันตร์เกินไปแล้ว!


“พวกเจ้าคนใดต้องการเข้าร่วมการประลองอีกหรือไม่ มาอีกสองสามคนเถิด!”


“ใช่ ๆ มาอีกสองสามคนเถิด”


พวกอ้ายฉานตะโกน หากมีเพียงหกคนนี้ ไม่พอให้พวกเขาแบ่งสรรกันด้วยซ้ำ!


“พอดีเลย ข้าเองก็อยากยืดเส้นยืดสายหน่อย!”


“ข้าเอง!”


สิ่งมีชีวิตวัยเยาว์อีกหลายตนออกโรงเข้าร่วมการประลอง พวกเขาก็อยากวัดฝีมือของอาณาจักรนี้เช่นกัน


พวกอ้ายฉานขอให้กลุ่มสิ่งมีชีวิตวัยเยาว์เหล่านี้เลือกออกมาสามคนแล้วเริ่มการประลอง เก้าต่อเก้า สู้กันแบบตัวต่อตัว!


ต้าเต๋อหัวใส ชิงบุกออกไปก่อน เข้าต่อสู้กับเด็กหนุ่มผมเงิน พวกอ้ายฉานได้แต่สู้กับสิ่งมีชีวิตวัยเยาว์ตนอื่น


“อย่าร้องไห้หาแม่ยามโดนตีแล้วกัน!”


เด็กหนุ่มผมเงินส่งเสียงเยาะเย้ย เด็กอายุราว ๆ สิบขวบปีจะแข็งแกร่งได้สักเพียงใด


เขาไม่นึกอยากต่อสู้เลยสักนิด


ทว่าอย่างไรก็ต้องสู้ ถึงอย่างไร หากตีพวกเด็ก ๆ อย่างอ้ายฉานให้เจ็บจนร้องไห้ พวกหลี่จิ่วเต้าคงอดทนไม่ให้ออกโรงมิไหวอีกต่อไป


แต่ลมหายใจต่อมา เขาก็ต้องอึ้งงัน


เขาหวดกำปั้นโดยมิได้รีดเร้นพลังมากเท่าใด ในสายตาของเขา จัดการเด็กฟันไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างต้าเต๋อไม่จำเป็นต้องใช้พลังแกร่งกล้ามากนัก


แต่แล้วความเป็นจริงกลับกลายเป็นเขาประเมินต้าเต๋อต่ำไป!


ยามมือเล็ก ๆ ของต้าเต๋อปะทะกับกำปั้นของเขา เขาได้ยินเสียงกระดูกหักในเสี้ยวลมหายใจ แขนขวาทั้งแขนของเขาถูกหักจนห้อยต่องแต่ง!


เรื่องที่เขาตื่นตระหนกยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อเขาถ่ายทอดพลังเข้าไปเพื่อต่อแขนขวาที่หัก กลับพบว่าไม่อาจต่อได้เลย มีกฎระเบียบบางอย่างว่ายเวียนอยู่รอบ ๆ แขนขวา คอยกีดขวางพลังที่เขาถ่ายเข้าไป!


“เรื่องบ้าอะไรกัน!”


เขาอุทานเสียงหลงออกมาอย่างอดมิได้ เจ้าโล้นน้อยนี่อยู่ในขอบเขตใดกัน ดุดันเกินไปแล้ว!


แน่นอนว่าตัวเขายังมิได้ก้าวสู่ขอบเขตลอยชาย เพิ่งจะอยู่ที่ขอบเขตโกลาหลขั้นสอง พลังระดับนี้ประหนึ่งหมูในอวยสำหรับต้าเต๋อ จับได้ไม่พลาดแน่!


“มีพลังเท่านี้แล้วยังกล้าสุ่มสี่สุ่มห้าท้าทายผู้อื่นไปทั่วหรือ อ่อนแอเกินไปแล้ว!”


ต้าเต๋อเตะเด็กหนุ่มผมเงินกระเด็น กระดูกของเด็กหนุ่มผมเงินหักไปทั้งร่าง ปากกระอักโลหิตสีแดงฉานออกมา


เขาย่อมไม่ยอมปล่อยเด็กหนุ่มผมเงินไปง่าย ๆ รีบทะยานตัวเข้าไปลากคอเด็กหนุ่มผมเงินขึ้นมาอัดอย่างรุนแรง บังอาจหยามเหยียดคุณชาย เด็กหนุ่มผมเงินอย่าหวังว่าจะรอดไปง่าย ๆ!


อีกด้าน พวกอ้ายฉานก็ดุดันเหลือแสนเช่นกัน บรรดาสิ่งมีชีวิตวัยเยาว์ที่ต่อสู้กับพวกเขาต่างถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียวโดยไม่มีข้อยกเว้น อเนจอนาถกันทั้งสิ้น!


เสียงฮือฮาพลันดังขึ้นในที่นี้ มีสิ่งมีชีวิตอีกมากมายที่ตกตะลึง ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าพวกต้าเต๋อจะแข็งแกร่งปานนี้!


ยอดฝีมือจากจักรวาลโกลาหลอื่น ๆ ก็หรี่ตาลงเช่นกัน เรื่องนี้เหนือความคาดหมายของพวกเขาไปมาก


นี่มันเรื่องอะไร อาณาจักรนี้สยดสยองถึงเพียงนี้เชียวหรือ เด็กไม่กี่ขวบปียังไร้เทียมทานเช่นนี้?!


“ผู้ฝึกตนอย่างเรามิได้วัดกันที่อายุ หากแต่วัดกันที่ขอบเขตพลัง สหายตัวน้อยผู้นี้กล้าแกร่งยิ่งนัก ข้าขอสู้กับสหายตัวน้อยสักตั้ง!”


ยอดฝีมือวัยกลางคนออกโรง ต้องการประลองเพื่อวัดฝีมือ


ความสามารถที่พวกต้าเต๋อสำแดงออกมายังไม่พอจะข่มขวัญพวกเขาได้ พวกเขาอยากรู้ว่าอาณาจักรนี้มีตื้นลึกหนาบางเพียงใด!

ฟังจบแล้วถ้าใครอยากสนับสนุนช่องโดเนท ให้ช่องของเราเดินหน้าต่อได้เร็วขึ้น หรืออยากขอนิยาย
ช่องทางสนับสนุนช่องอยู่ใต้ลิงค์คลิปชั่นนะครับ