736-740

ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่นิยายระบบ ก่อนที่จะรับฟังช่วยกดไลค์และกด subscribe เป็นกำลังใจด้วยนะครับ
นิยายเสียง อยู่ดีดีข้าก็เป็นเซียน
บทที่ 736ถึง 740

ถึงอย่างไรอาณาจักรผืนนี้ก็เคยเฟื่องฟูเมื่อครั้งอดีต มิใช่อาณาจักรระดับล่างธรรมดา พื้นที่ภายในอาณาจักรกว้างขวาง


เอ่ยอย่างไม่เกินจริงเลยว่า ลำพังระยะทางระหว่างดินแดนฝอและดินแดนหยิน ผู้ฝึกตนธรรมดาเดินทางทั้งชีวิตก็ไปไม่ถึงหากไม่ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้าย


ทว่าหนานฉงนั้นไม่ธรรมดา


ขอบเขตของเขาสูงส่งจนเหนือขอบเขตโกลาหลขึ้นไป ต่อให้อยู่ในแดนบรรพโกลาหลก็ยังกล้าแกร่งไร้เทียมทาน!


ระยะทางแค่นี้เป็นแค่เรื่องกระจิริดสำหรับเขา


เขาย่างเท้าเบา ๆ ก็ไปถึงในพริบตา พระเก้าประทีปพุทธเจ้าตกใจแทบบ้า เขาเป็นบุคคลระดับใดกันนี่


นี่เป็นเพียงการก้าวเท้าธรรมดาปราศจากคลื่นพลังใด ๆ สุดท้ายกลับทะลุห้วงมิติไปได้ น่าครั่นคร้ามยิ่งกว่าเมื่อคราวเขาได้พบจ้าวแห่งเซียนนามเฟ่ยชงเสียอีก!


เมืองชิงซานอยู่เพียงเบื้องหน้า หนานฉงมิกล้าบุกเข้าไปตรง ๆ จึงพาพระเก้าประทีปพุทธเจ้าเดินเท้าไปยังเมืองชิงซาน


เป็นไปได้สูงว่าหลี่จิ่วเต้าผู้ประทับในเมืองชิงซานคือท่านผู้นั้น เขาไฉนเลยจะกล้าเหินเข้าไปตรง ๆ นั่นเป็นการรนหาที่ตาย เขาไม่มีทางโง่เง่าเช่นนั้น!


“จะใช่ท่านผู้นั้นจริงหรือไม่”


แต่หลังเขาก้าวเดินไปยังเมืองชิงซานก็ค่อย ๆ เคลือบแคลงขึ้นมา


มิใช่สาเหตุอื่นใด ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะที่นี่คือเมืองปุถุชน ปราศจากร่องรอยการฝึกตนใด ๆ จึงเหนือความคาดหมายเขาไปนิดหน่อย


บุคคลระดับนั้นพำนักในเมืองปุถุชนเช่นนี้ได้จริงหรือ


เขาคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ จึงสงสัยอย่างมาก


ถึงอย่างไร บุคคลยิ่งใหญ่ระดับนั้นคงเห็นมาแล้วทุกอย่าง เหตุไฉนถึงยังจำเป็นต้องพำนักร่วมกับปุถุชน


ทำเช่นนี้ไปหาได้มีความหมายไม่!


“คิดเช่นนั้นมิได้ หากว่ามีความนัยที่ข้าไม่เข้าใจแฝงอยู่เล่า!”


เขาคิดในใจอีกครั้งด้วยความรอบคอบ มิได้ตัดสินเรื่องใดจากเพียงด้านเดียว ต้องพิสูจน์ให้แน่ใจอีกหลาย ๆ ด้าน


“เป็นอีกวันที่ข้าคิดถึงคุณชายหลี่!”


“ถ้าคุณชายหลี่ยังอยู่คงดีไม่น้อย คุณชายหลี่ขึ้นเขาคราเดียวก็พอให้เรามีกินไปอีกหลายวัน!”


“ไม่รู้ว่าคุณชายหลี่จะกลับมาเมื่อใด!”


ระหว่างทาง นายพรานสามสี่คนเดินทางไปพลาง สนทนาไปพลาง


สัตว์ในเขาชิงซานล่าได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ หนนี้พวกเขากลับมามือเปล่าอีกแล้ว ช่วยมิได้ เขาชิงซานมิใช่ภูเขาลูกใหญ่ สัตว์ที่ล่าง่ายก็โดนพวกเขาล่าไปพอประมาณแล้ว ที่เหลืออยู่ล้วนเป็นสัตว์ป่าจับยากทั้งสิ้น


ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ พวกเขาจักนึกถึงหลี่จิ่วเต้า


หลี่จิ่วเต้าเก่งกล้าสามารถด้านล่าสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ป่าที่ล่ายากปานใด หลี่จิ่วเต้าล้วนล่ามาได้อย่างง่ายดาย และทุกครั้งที่หลี่จิ่วเต้าขึ้นเขา มักจะแบ่งเหยื่อที่ล่ามาได้ให้พวกเขาเป็นจำนวนมาก


“คุณชายหลี่?”


เมื่อหนานฉงได้ยินบทสนทนาระหว่างนายพราน ก็ถามออกไป “คุณชายหลี่ผู้นี้มีนามว่าหลี่จิ่วเต้าใช่หรือไม่”


“ใช่แล้ว!”


“ดูก็รู้ว่าสหายมาจากนอกเมืองใช่หรือไม่! คนในเมืองล้วนรู้จักคุณชายหลี่!”


นายพรานทั้งหลายเอ่ยยิ้ม ๆ


หนานฉงถือโอกาสนี้สอบถามถึงข้อมูลของหลี่จิ่วเต้า อยู่ที่นี่ เขามิกล้าใช้พลังอันใดด้วยกลัวว่าหลี่จิ่วเต้าคือท่านผู้นั้นแล้วจะสร้างความขุ่นข้องหมองใจ


มิฉะนั้น เขาไม่จำเป็นต้องถาม ตั้งจิตครั้งเดียวก็รับรู้เรื่องที่เขาอยากรู้ได้


นายพรานเหล่านี้มิได้ปิดบังอันใด เพราะไม่มีความจำเป็นต้องปิดบัง สิ่งที่พวกเขาเล่าไปเป็นที่รู้กันทั้งเมือง


“ขอบคุณทุกท่าน!”


หนานฉงบอกลาเหล่านายพรานก่อนจะชะงักฝีเท้า


ความกังขาที่เขามีต่อหลี่จิ่วเต้าพุ่งทะยานอีกครั้ง ตัวตนสูงส่งอย่างหามิได้เช่นนั้นจะดีกับปุถุชนธรรมดาเพียงนี้เลยหรือ


ซ้ำยังทำได้อย่างแนบเนียน!


ทว่าไหน ๆ เขาก็มาแล้ว อย่างไรก็ต้องเข้าไปดูเสียหน่อย


แม้ว่าหลี่จิ่วเต้าจะไม่อยู่ แต่เขาสามารถไปเยี่ยมที่พำนักของอีกฝ่ายได้ ดูว่าพอรู้อะไรจากมันได้บ้างหรือไม่


จากนั้น เขาพาพระเก้าประทีปพุทธเจ้ามุ่งหน้าต่อไปยังเมืองชิงซาน


เมื่อมาถึงริมลำธาร จู่ ๆ เขาก็ขมวดคิ้ว ลอบรำพึงว่าแย่แล้ว ก่อนจะรีบแหวกมิติหมายจะหนี!


เขานั้นไม่ธรรมดาจริง ๆ ต่อให้รู้แล้วว่าหลี่จิ่วเต้าไม่อยู่ในเมือง ก็มิได้ชะล่าใจแต่อย่างใด เมื่อครั้งเพิ่งมาถึงริมลำธารก็พลันสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่ปรากฏออกมาได้ พลังนั้นตั้งใจจะพาเขากับพระเก้าประทีปพุทธเจ้าเข้าไปในมิติแห่งหนึ่ง


พลังที่ไม่รู้ว่าเป็นศัตรูหรือพวกเดียวกันเช่นนี้เขาไฉนเลยจะยอมถูกลากเข้าไป


หากถูกลากเข้าไปจริง ๆ เขาไม่รู้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น!


“เกิด…อะไรขึ้น?”

พระเก้าประทีปพุทธเจ้าฉงนสนเท่ห์ เดินทางกันดี ๆ จู่ ๆ ไยหนานฉงถึงหนีไป?!


“ไม่สิ! เขาหนีไปเพราะความกลัว!”


พระเก้าประทีปพุทธเจ้าได้สติ ทำท่าจะแหวกมิติหนีเช่นกันโดยไม่ลังเล


แต่เขาถูกหยุดไว้ก่อนจะหนีไปได้ และโดนกักขังไว้ในมิติแห่งหนึ่ง!


“แย่แล้ว!”


สีหน้าของเขาซีดเผือด หนานฉงทรงพลังปานนั้นยังต้องตื่นตกใจ พลังแค่นี้ของเขาย่อมไม่พอให้ต่อกร!


อีกด้าน หนานฉงแหวกมิติรัวเพื่อหนีจนไกลห่างจากที่นั่นได้อย่างสิ้นเชิง


“หลี่จิ่วเต้าผู้นี้มีความพิลึกอยู่บ้างจริง ๆ!”


เขาเอ่ยเสียงจริงจัง ความคิดที่ว่าหลี่จิ่วเต้าอาจเป็นเพียงปุถุชนธรรมดาก่อนหน้านี้มลายสิ้น


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพลังที่ปรากฏออกมาก่อนหน้านี้ต้องเกี่ยวข้องกับหลี่จิ่วเต้าแน่นอน มิฉะนั้น ในเมืองปุถุชนแบบนั้นไฉนเลยจะมีพลังระดับนั้นปรากฏออกมาได้!


พลังนั้นไม่ธรรมดาอย่างยิ่งยวด แม้แต่สิ่งมีชีวิตขอบเขตโกลาหลยังใช่ว่าจะต่อกรด้วยไหว!


ต่อให้แกร่งกล้าดุจเขายังเพิ่งจับสัมผัสได้ยามพลังนั้นเข้าใกล้ นั่นก็สะท้อนให้เห็นถึงความเก่งกล้าของพลังนั้นแล้ว!


เสียงดังฟึ่บ เวลานั้นเอง จู่ ๆ ก็มีประกายสว่างวาบอยู่ในห้วงมิติ ก้านหลิวก้านหนึ่งคืบคลานออกมา


หนานฉงใจเย็นอย่างมาก มิได้รีบหนีอุตลุดแต่อย่างใด


เขารู้ที่มาของก้านหลิวก้านนี้ คงเป็นพลังมวลนั้นที่ไล่ตามมาแน่


“สหาย ไม่ต้องกังวลไป ข้ามิได้มีเจตนาร้าย!”


เขาปริปากบอก


พลังก่อนหน้านี้หมายใจจะพาเขาเข้าไปในห้วงมิติบางแห่ง เขาอยากหนีตามสัญชาตญาณ ช่วยไม่ได้ เขาไม่อยากถูกกักขังในห้วงมิติใดอีกแล้ว!


เขาถูกจองจำในซากปริภูมิเวลามานานเกินไป จนกลายเป็นฝันร้ายและปมในใจเขาไปแล้ว!

หลังมาอยู่ที่นี่เขาถึงใจเย็นลง เห็นได้ชัดว่าพลังมวลนี้เกี่ยวข้องกับหลี่จิ่วเต้า และตัวเขาก็กำลังจะไปเยี่ยมเยียนหลี่จิ่วเต้าผู้นี้มิใช่หรือไร


ก่อนนี้เขาไม่ควรหนี นี่เป็นโอกาสให้เขาได้ข้องแวะกับหลี่จิ่วเต้า


“ไม่มีเจตนาร้ายอย่างนั้นหรือ”


เสียงของต้นหลิวดังขึ้น ก่อนจะเอ่ยต่อ “เจ้าต้องการข้อมูลของคุณชายไปทำอันใด”


หนนี้ มันฟื้นพลังกลับมาเต็มที่


หากมิใช่ว่ามันทิ้งจิตสำนึกเสี้ยวหนึ่งไว้ที่นั่น หนานฉงไม่มีทางหนีไปไหนได้


และทันทีที่ฟื้นพลังกลับมาเต็มที่ มันก็เล็งพิกัดหนานฉงและไล่ตามมา


“ข้ามาครั้งนี้ ก็เพื่อมาเยี่ยมเยียนคุณชาย!”


หนานฉงกล่าว “ข้าอยากพบคุณชายสักครั้ง”


“เช่นนั้นก็กลับไปสนทนากันหน่อย สหายของเจ้ายังรอเจ้าอยู่ที่นั่น” ต้นหลิวบอก


“ไม่สนทนาในห้วงมิติปิดผนึกเช่นนั้นได้หรือไม่ ข้า…ไม่อยากอยู่ในห้วงมิติปิดผนึก!” หนานฉงเอ่ย


“ไม่ได้!” ต้นหลิวเอ่ยปากเบา ๆ


พลังมวลหนึ่งซัดสาดออกไปเพื่อพาตัวหนานฉงไปด้วย


“เช่นนั้นก็ช่างเถิด ไว้ข้าค่อยไปเยี่ยมเยียนคุณชายทีหลังแล้วกัน!”


หนานฉงตอบกลับ ไม่อยากอยู่ในห้วงมิติปิดผนึกแล้วจริง ๆ เขาพอกันทีกับสถานการณ์ที่ไม่อาจควบคุมอะไรได้!


เขาปะทุพลังทั้งหมดเพื่อไปจากที่นี่


ทว่าเรื่องเหนือความคาดหมายของเขาคือ เขากลับได้พบพระเก้าประทีปพุทธเจ้า!


เรื่องบ้าอะไรกัน?!


สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก นี่เขาถูกพากลับมาโดยที่ไม่รู้ตัวเลยหรือ


ฝีมือระดับนี้จะน่ากลัวเกินไปแล้ว!


ต้นหลิวอยู่ในขอบเขตใดกันแน่!


ชั่วพริบตานั้น เขาไม่เหลือข้อข้องใจใดอีก หลี่จิ่วเต้าคือท่านผู้นั้นแน่!


“มาเถิด บอกตื้นลึกหนาบางของเจ้ามา ข้ารู้สึกว่าเจ้ามิใช่คนดีอะไร”


ต้นหลิวปรากฏกายในห้วงมิติแห่งนี้


หนานฉงทรมานใจเป็นหนักหนา รู้สึกแย่สุด ๆ เขาสูญเสียอำนาจควบคุมไปอีกแล้ว ถูกกักขังไว้ในห้วงมิติพิเศษบางแห่ง


ทว่าถึงอย่างไรเขาก็มิใช่คนธรรมดา ไม่นานนักก็สงบใจลงได้


บอกตามตรง เขาอยากขอสมัครเป็นพรรคพวกของท่านผู้นั้น


กองกำลังปริภูมิเวลานี้น่ากลัวเกินไป หากเขาไร้ที่พึ่ง ช้าเร็วก็ต้องถูกกองกำลังปริภูมิเวลาจับไปอยู่ดี


เพราะอย่างนั้น เขาถึงต้องการพิสูจน์ว่าหลี่จิ่วเต้าใช่ท่านผู้นั้นหรือไม่ เขาต้องการเป็นผู้ใต้บัญชาท่านผู้นั้น เช่นนี้แล้ว เขาจักปลอดภัยขึ้นมาก


แน่นอนว่าต้องให้ท่านผู้นั้นยอมรับเขาเข้าเป็นพวกก่อน


“ได้!”


หนานฉงกล่าว “ข้าไม่มีเจตนาร้ายจริง ๆ ข้ามาเยี่ยมเยียนท่านผู้นั้นด้วยจิตใจเลื่อมใส!”


เขาเล่าภูมิหลังและประวัติความเป็นมาของตัวเองโดยไม่ปิดบัง รวมถึงวิธีที่ใช้เข้าใกล้หยวนอีและพวกจักรพรรดินี เรื่องที่เขาเคยคิดจะวางอุบายหลอกล่อหยวนอีและพวกจักรพรรดินี


พลังของต้นหลิวสูงกว่าเขามากอย่างไม่ต้องสงสัย เขารู้ดีว่าต่อให้เขาอยากปิดบังก็ปิดบังมิได้


“ไม่ใช่คนดีจริงด้วย บังอาจวางอุบายหลอกล่อหยวนอีเชียวหรือ! ไม่รู้หรือไรว่าข้าชอบยายเด็กหยวนอีผู้นั้นมาก!?” ต้นหลิวเอ่ยเสียงโมโห


‘ข้าจะรู้ได้อย่างไร! ก่อนนี้ข้าไม่รู้ว่ามีท่านอยู่ด้วยซ้ำ!’


หนานฉงเอ่ยในใจด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน


ครานั้น เขาไม่เคยรู้เลยว่าเบื้องหลังหยวนอีจะน่าประหวั่นพรั่นพรึงถึงเพียงนี้ หากเขารู้แต่แรก ให้ตายอย่างไรก็ไม่มีทางคิดหลอกล่อพวกหยวนอี!


“ข้าขออภัยต่อการกระทำของข้าในอดีต ท่านโปรดอภัยให้ข้าด้วย!” หนานฉงรีบบอกต้นหลิว


“ขอโทษคำเดียวแล้วจะพลิกประวัติหน้านี้เลยหรือ เรื่องนี้ไม่มีทางจบง่าย ๆ แน่!” ต้นหลิวหวดก้านใส่หนานฉง


มันชื่นชอบหยวนอีมาก ทุกครั้งที่หยวนอีมาจะรักษามารยาทอยู่เสมอ เป็นเด็กสาวที่ไม่เลวเลยทีเดียว


“อ๊ากกกก!”


หนานฉงร้องลั่นด้วยความปวดร้าว ต้นหลิวเก่งกาจกว่าเขามากจริง ๆ เขาพยายามต้านทานสุดกำลังแล้วก็ต้านมิไหว ถูกหวดจนร้าวรานไปถึงทรวง


สุดท้าย ต้นหลิวหยุดมือ


“เจ้ามีความเกี่ยวข้องกับต้าเต๋อ ข้าไม่สะดวกลงมือ ขอลบความทรงจำของเจ้าในครานี้ และปล่อยเจ้าไปตามยถากรรมแล้วกัน”


ต้นหลิวบอกกับพระเก้าประทีปพุทธเจ้า


มันตั้งจิตครั้งเดียวก็รับรู้ถึงเรื่องราวระหว่างพระเก้าประทีปพุทธเจ้าและต้าเต๋อ รู้สึกว่าเก็บพระเก้าประทีปพุทธเจ้าให้ต้าเต๋อจัดการดีกว่า


จากนั้น มันลบความทรงจำทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนี้ของพระเก้าประทีปพุทธเจ้า และส่งพระเก้าประทีปพุทธเจ้าออกไป


“ข้าใคร่รู้ในซากปริภูมิเวลาที่เจ้าเล่ามามาก ไปกันเถิด ไปดูที่ซากปริภูมิเวลากันหน่อย”


ต้นหลิวกล่าวต่อหนานฉง


การมาของหนานฉงทำให้มันตระหนักได้ว่ากองกำลังเบื้องหลังปริภูมิเวลาไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง มันจึงอยากไปดูว่าจะได้พบคู่มือบ้างหรือไม่


หากได้พบคู่มือ ย่อมเป็นผลดีต่อการฝึกฝนของมัน ดีกว่าการที่มันต้องฝึกฝนอยู่ในห้วงมิติตามลำพังมาก!


“ไม่หรอกกระมัง?!” หนานฉงหน้าเขียว


เขาอุตส่าห์หนีออกจากซากปริภูมิเวลาออกมาด้วยความยากเข็ญ บัดนี้ยังต้องกลับไปอีกหรือ?


สวรรค์!


หากรู้อย่างนี้แต่แรก ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คงไม่มีทางมาที่นี่!

“คือว่า…พี่ต้นหลิว ซากปริภูมิเวลาเป็นเพียงเรือนจำแห่งหนึ่ง มิมีสิ่งใดน่าดูชมเลยจริง ๆ!”


หนานฉงอยากร่ำไห้ อย่าให้เขาต้องกลับไปอีกเลย ภายในซากปริภูมิเวลา ไม่มีแม้แต่เวลาไหลผ่าน อยู่ในนั้นทรมานเสียยิ่งกว่าตาย


มิหนำซ้ำในนั้นยังเกิดพายุปริภูมิเวลาอยู่เนือง ๆ ซึ่งถึงแก่ชีวิตได้ง่าย ๆ ไม่มีที่ใดสยดสยองกว่าซากปริภูมิเวลาอีกแล้วในใจของเขา


“ไปกันเถิด”


ก้านหลิวก้านหนึ่งของต้นหลิวม้วนหนานฉงขึ้นมา และพาเขาไปจากที่นี่


“การเดินทางข้ามปริภูมิเวลาจะนำพาพวกเขามาหรือ”


ต้นหลิวถาม


“ใช่…ใช่แล้ว!”


หนานฉงรู้สึกแย่เป็นที่สุด ต้นหลิวคงมิได้คิดจะไปยังซากปริภูมิเวลาจริง ๆ กระมัง!


“ดี”


ต้นหลิวเปล่งแสง ก้านหลิวฉวัดเฉวียน สร้างเส้นทางข้ามเวลาขึ้นมาได้ในชั่วพริบตา


จากนั้น มันพาหนานฉงก้าวขึ้นไปบนเส้นทางข้ามเวลา เดินทางย้อนปริภูมิเวลา


กฎแห่งกาลเวลาเดือดพล่านอยู่รอบ ๆ พวกเขาก้าวผ่านปริภูมิเวลาแล้วปริภูมิเวลาเล่าด้วยความว่องไว จนมาถึงยุคสมัยที่ห่างไกลตั้งไม่รู้เท่าใด


“คงพอใช้ได้แล้วกระมัง…”


ต้นหลิวหยุดลง รอคอยการมาของกองกำลังปริภูมิเวลา


หนานฉงมีใบหน้าหม่นหมอง ต้นหลิวผู้นี้มากฝีมือแล้วยังใจกล้าบ้าบิ่นอีกด้วย ถึงกับกล้าท้าทายอำนาจของกองกำลังปริภูมิเวลาจริง ๆ หรือนี่!


แต่มาคิดดูแล้ว ต้นหลิวได้ติดตามอยู่ข้างกายท่านผู้นั้น จะมีความกล้าหาญขนาดนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา


“ข้ากลัวว่าตัวข้าจะถูกทิ้งไว้ในซากปริภูมิเวลาน่ะสิ!”


ต้นหลิวคงไม่เป็นอะไรมาก แต่เขานั้นไม่เหมือนกัน ใช่ว่าต้นหลิวจะมาดูดำดูดีเขา หากเขาถูกทอดทิ้งจริง ๆ คงจบไม่สวยแน่

“คือว่า…ต้นหลิว…ข้ายินดีเป็นลิ่วล้อของท่าน ทำทุกอย่างแทนท่าน ท่านอย่าทอดทิ้งข้าเลย!”


หนานฉงรีบบอกกับต้นหลิว


ต้นหลิวมิได้สนใจหนานฉง มันต้องการลิ่วล้อไปทำอะไร


ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด


“มาแล้ว”


เวลานั้น มันสัมผัสได้ว่าที่นี่เริ่มมีพลังปริภูมิเวลาอันน่ากลัวหลั่งไหลเข้ามา และยังเกิดหลุมดำขนาดใหญ่ พลังบางอย่างถูกส่งออกมาจากในนั้นหมายจะสูบเขาและหนานฉงเข้าไป


“ไปเถิด”


ต้นหลิวพาหนานฉงเข้าไปในหลุมดำ


นี่ก็เพราะมันเลือกเข้าไปเอง ไม่อย่างนั้น พลังในหลุมดำคิดจะสูบเขาเข้าไปย่อมมิใช่เรื่องง่าย


ลมหายใจต่อมา พวกเขาเข้ามาอยู่ในซากปริภูมิเวลา หลุมดำปิดสนิทในบัดดล และที่นี่ถูกปิดผนึกอย่างสมบูรณ์


ที่นี่ไร้ซึ่งการไหลเวียนของกาลเวลา ต้นหลิวมองดูดินแดนแห่งนี้แล้วรู้ได้ว่าไม่ธรรมดาจริง ๆ แต่ก็ยังไม่พอให้ดูชมสำหรับมัน ไม่อาจขัดเกลามันได้


“ข้าจะไปคุยกับจ้าวแห่งเรือนจำที่นี่หน่อย”


มันไปจากที่นี่ จับตำแหน่งจ้าวแห่งเรือนจำได้ในพริบตา จ้าวแห่งเรือนจำอยู่ในสถานที่พิเศษแห่งหนึ่งของซากปริภูมิเวลา


“หา! พี่หลิว!”


หนานฉงแทบร้องไห้ ต้นหลิวไปง่าย ๆ เช่นนี้เลยหรือ ทิ้งเขาไว้ที่นี่จริง ๆ หรือ!


เขารู้สึกแย่เป็นที่สุด วนไปเวียนมา ทำทุกวิถีทาง ท้ายที่สุดก็เป็นเพียงความว่างเปล่า ต้องกลับมาที่นี่อีกครั้ง!


“หนานฉง!”


“ใช้ได้นี่! เจ้าริอ่านกลับมาอีกหรือ!”


เสียงกราดเกรี้ยวดังขึ้นจากทุกพื้นที่ของซากปริภูมิเวลา หนานฉงรู้สึกได้ว่ามีพลังปราณสยดสยองมากมายเล็งเป้ามาที่เขา!


เขารู้ดีว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้


คราวก่อน เขาหลอกให้สิ่งมีชีวิตในซากปริภูมิเวลาร่วมมือกันจัดการพวกจักรพรรดินี ผลสุดท้าย สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ถูกเส้นทางโบราณที่พวกจักรพรรดินีอยู่สะท้อนพลังจนอยู่ในสภาพน่าเวทนา


มิหนำซ้ำ เขายังย้อนกลับมาในภายหลัง สังหารสิ่งมีชีวิตไปหลายตนโดยฉวยโอกาสที่พวกเขาบาดเจ็บสาหัส และดูดกลืนพลังของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจนสิ้นซาก


ยิ่งทำให้สิ่งมีชีวิตในซากปริภูมิเวลาเคียดแค้นเขามากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย


เรื่องนี้เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ครานั้นเขายอมเสี่ยงอันตรายปานนั้นเพื่อหนีไปจากที่นี่


อย่างไรเสีย เขาก็เป็นที่ชิงชังของธารกำนัล หากไม่หนี เลือกที่จะอยู่ในซากปริภูมิเวลาต่อ จุดจบของเขาคงมิได้ดีนัก สิ่งมีชีวิตที่เหลืออยู่ไม่มีทางยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ


“หนานฉง เจ้าคนเดนตาย! ข้าแทบแย่ก็เพราะเจ้า!”


เวลานั้นเอง เสียงที่ขุ่นเคืองยิ่งกว่าดังขึ้น จากนั้น อสูรร้ายมหึมาตัวหนึ่งพุ่งออกมา จ้องมองหนานฉงด้วยดวงตาแดงก่ำ หมายจะฉีกหนานฉงให้เป็นชิ้น ๆ!


“เจ้าเป็นใคร!”


หลังหนานฉงได้เห็นอสูรร้ายตัวนี้ก็ตกตะลึง


อสูรร้ายตัวนี้ไม่เหลือหนังเลยสักนิด ซ้ำยังมีชิ้นเนื้อหลายส่วนขาดหายไป เขามองไม่ออกจริง ๆ ว่าอสูรร้ายตัวนี้เป็นผู้ใด


“ไอ้ระยำ…ข้าคือจ้าวกิเลนดำ!”


อสูร้ายตัวนั้นคำรามเสียงโกรธเกรี้ยวแทบคลั่ง


ครานั้น เขาร่วมมือหลอกล่อสิ่งมีชีวิตตนอื่นในซากปริภูมิเวลากับหนานฉง มันกับหนานฉงฉวยโอกาสที่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นบุกโจมตีพวกจักรพรรดินีหนีไปจากที่นี่ ต่อมา หนานฉงเสี่ยงชีวิตย้อนกลับไป


มันมิได้กลับไปด้วย แต่หาที่ซ่อนเพื่อรักษาบาดแผล


หวนนึกถึงครานั้น มันยังหัวเราะเยาะหนานฉงว่าเป็นพวกตื้นเขิน มันต่างหากที่ฉลาดหลักแหลม คิดว่าหนานฉงเสียท่าเพราะความหัวใสของตนโดยแท้ กลับไปเช่นนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!


สุดท้าย มันต้องเป็นฝ่ายอึ้งในภายหลัง หนานฉงไม่เพียงแต่ยังไม่ตาย ยังหนีออกไปจากซากปริภูมิเวลาแล้วด้วย!


โทสะของสิ่งมีชีวิตที่เหลือในซากปริภูมิเวลาจึงถูกระบายใส่ตัวมันทั้งหมด!


มันไม่อาจนิยามด้วยคำว่าอนาถาได้แล้ว สถานภาพของมันเสมือนมีชีวิตอยู่ในนรกโลกันตร์ ถูกทรมานสารพัด!


“จ้าวกิเลนดำ!”


หนานฉงถึงรู้ตัวว่าเป็นพลังปราณของจ้าวกิเลนดำจริง ๆ


มุมปากของเขากระตุก นี่คือจุดจบของผู้ที่หนีไม่ทัน!


“พี่น้องเอ๋ย วันนี้เราจะสะสางความแค้น ไม่ต้องอดกลั้น! แต่มีเรื่องหนึ่งต้องเตือนไว้ก่อน ห้ามทำให้เขาถึงแก่ชีวิตเด็ดขาด เช่นนั้นคงเป็นการสบายเกินไปสำหรับเขา!”


“ใช่แล้ว จะปลิดชีพเขาไปเลยมิได้!”


“ลุย!”


สิ่งมีชีวิตในซากปริภูมิเวลาเดือดพล่านกันหมด กรูกันเข้าไปถ้วนหน้า บุกโจมตีไปหาหนานฉง


จ้าวกิเลนดำก็ปราดเข้าไปด้วย มันต้องน่าสังเวชเช่นนี้ล้วนเป็นเพราะหนานฉง แผนหลอกล่อให้สิ่งมีชีวิตตนอื่นออกโรงของหนานฉง รวมถึงเรื่องที่หนานฉงย้อนกลับไปสังหารสิ่งมีชีวิตได้อีกหลายตนเป็นผลให้สิ่งมีชีวิตที่เหลือขุ่นเคืองยิ่งขึ้น และความแค้นทั้งหมดต้องมาตกอยู่กับมัน มิฉะนั้น มันคงไม่อนาถาถึงเพียงนี้!


มันแค้นหนานฉงเข้ากระดูกดำ อยากจะกัดหนานฉงสักหลาย ๆ คำ ให้หนานฉงได้ลิ้มรสถูกกัดเสียบ้าง


“ไสหัวไป เจ้ามีสิทธิ์ลงมือที่ไหนเสียเมื่อไหร่!”


หารู้ไม่ ทันทีที่มันปรี่เข้าไปถึงก็ถูกต่อว่า มันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะลงมือด้วยซ้ำ สุดท้าย มันได้แต่ถอยกลับไปอย่างจนใจ


“พี่หลิวช่วยข้าด้วย!”


หนานฉงวิ่งไปพลาง ตะโกนไปพลาง สิ่งมีชีวิตในซากปริภูมิเวลากรูมาฆ่าเขากันหมด จะให้เขาต้านทานไหวได้อย่างไร จึงคิดอยากให้ต้นหลิวช่วยเขา


แต่ต้นหลิวมิได้ตอบรับ และมิเคยลงมือช่วยเขา


ไม่นานนักเขาก็ถูกสิ่งมีชีวิตจำนวนหนึ่งล้อมไว้ได้ จากนั้น เขาไม่ทันได้ลงมือก็ถูกกำราบเสียก่อน!


สิ่งมีชีวิตทั้งหลายเคียดแค้นเขาจนขบกรามแน่น หลังเขาถูกปราบปรามได้แล้ว ฝันร้ายของเขาก็เริ่มต้นขึ้น!


“อ๊ากกก!”


เขาคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด สิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งกัดเขา ทั้งจับเขาห้อยหัวเพื่อโบย ร่างของเขาอนาถาจนทนมองมิได้!


“ขอข้ากัดสักคำเถิด!”


จ้าวกิเลนดำได้แต่ยืนมองตาละห้อยอยู่ไกล ๆ นึกในใจว่าเมื่อใดจะถึงตามัน ต่อให้มันได้กัดเพียงคำเดียวก็ยังดี!


ขณะเดียวกัน ต้นหลิวมาถึงด้านจ้าวแห่งเรือนจำ


เมื่อครั้งต้นหลิวปรากฏกายต่อหน้าจ้าวแห่งเรือนจำ จ้าวแห่งเรือนจำก็สะดุ้งโหยง


ห้วงมิติที่มันพำนักอยู่ไม่ธรรมดา สิ่งมีชีวิตในซากปริภูมิเวลาไม่มีทางตามมาถึงที่นี่ ทว่าต้นหลิวไม่เพียงแต่มาได้ แต่ยังปรากฏกายต่อหน้ามันโดยที่มันไม่รู้ตัว จะมิให้มันสะดุ้งได้อย่างไร!


“เจ้าเป็นใคร!”


มันระแวงขึ้นมาทันที เค้นพลังทั้งหมดในกายถึงขีดสุด ทั้งยังเรียกอาวุธชิ้นหนึ่งออกมา เตรียมบุกสังหารต้นหลิวทุกเมื่อ


“ที่นี่อ่อนด้อยเกินไป ไม่น่าสนใจ ฐานทัพใหญ่ของกองกำลังเบื้องหลังเจ้าอยู่ที่ใด พาข้าไปสิ”


ต้นหลิวเอ่ยเสียงเรียบ


“เจ้าว่าอะไรนะ?!”


จ้าวแห่งเรือนจำสงสัยว่ามันได้ยินผิดไปหรือไม่ ต้นหลิวคิดจะไปยังฐานทัพใหญ่ของพวกมันเชียวหรือ


ต้องใจกล้าปานใดถึงเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาได้!


“สามหาวนัก!”


เวลานั้นเอง เสียงตวาดเยือกเย็นเสียงหนึ่งดังออกจากส่วนลึกของห้วงมิติ จากนั้น ร่างน่าพรั่นพรึงร่างหนึ่งก้าวออกจากส่วนลึกมาถึงที่นี่


มันคือราชันเย่ สถานะในกองกำลังปริภูมิเวลาไม่ถือว่าต่ำ


คราวก่อนก็เป็นมันผู้นี้ที่มาเป็นกองหนุนให้จ้าวแห่งเรือนจำ


แต่ต่อให้มันมาเองก็มิไหว ภาพร่างของหลี่จิ่วเต้าเก่งกาจไร้เทียมทาน เกินกว่าที่มันจะต้านได้ เพียงพริบตาเดียว มันก็ถูกกำราบลง


จากนั้น มันมิได้ไปไหน กลัวจะเกิดจลาจลในซากปริภูมิเวลาอีก จึงพำนักที่นี่ต่อ


“ตัวบ้าอะไร ริอ่านคิดไปฐานทัพใหญ่ของเราเชียวหรือ!”


นัยน์ตาราชันเย่เย็นเยียบ จิตมุ่งร้ายรุนแรง นับแต่เกิดเรื่องหนก่อน มันก็อารมณ์ไม่ดีมาตลอด มีโทสะอัดอั้นในใจเรื่อยมา


บัดนี้ ต้นหลิวบังอาจมาท้ากันถึงที่นี่ ยิ่งทวีความเดือดดาลของมันขึ้นไป!


นี่มันเกิดอันใดขึ้น?


ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตชนิดใดต่างก็คิดว่าจะชี้นิ้วสั่งพวกมันอย่างนั้นหรือ?!


พวกมันมิได้อ่อนแอปานนั้น!


เสียงดังฟึ่บ มันชักดาบกระดูกเล่มหนึ่งออกมาชี้ไปที่ต้นหลิว


“แต่เดิมพวกเราจะไม่เข่นฆ่า ‘นักโทษ’ ตามอำเภอใจ แต่เจ้าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเอาเสียเลย วันนี้ ข้าจะประหารเจ้าที่นี่!”


สีหน้าของมันเย็นชา ดาบกระดูกเปล่งแสงยะเยือกชวนผวา นี่มิใช่ดาบกระดูกธรรมดา ภายในแฝงไว้ด้วยพลังกล้าแกร่ง!


“ไม่ต้องโมโหเพียงนั้น”


ต้นหลิวเอ่ยเสียงเบา “โมโหขนาดนี้มิใช่เรื่องดีสำหรับพวกเจ้า”


“น่าขัน! เจ้าอวดดีเกินไปแล้ว วันนี้ เจ้าจะต้องชดใช้ให้กับความอวดดีของเจ้า!”


ราชันเย่ยิ้มเย็น ระเบิดพลังในกายออกมาเต็มที่ ชูดาบกระดูกบุกไปสังหารต้นหลิว


ต้นหลิวโผล่มาถึงที่นี่ได้เป็นการบ่งบอกแล้วว่าต้นหลิวไม่ธรรมดา มิใช่ ‘นักโทษ’ ทั่วไป มันมิได้ประมาทต้นหลิวที่อยู่ในระดับนี้ ทันทีที่ลงมือก็ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี!


“ใช่แล้ว! เมื่อถูกขังในซากปริภูมิเวลา เจ้าก็คือ ‘นักโทษ’ ของพวกเรา ไม่ว่าเรื่องใดล้วนต้องฟังคำสั่งจากเรา พวกเราคือนายท่านของเจ้า!”


จ้าวแห่งเรือนจำบุกไปหาต้นหลิวเช่นกัน คลื่นพลังสยดสยองกระเพื่อมอยู่ในอาวุธ มันให้ความสำคัญกับต้นหลิวมาก มิได้ประมาทเหมือนกัน


เสียงระเบิดดังติดต่อ อักขระปริภูมิเวลาอันน่ากลัวทะลักออกมาดั่งมหาสมุทร พลังเช่นนี้เหนือชั้นกว่าพลังโกลาหลมากนัก มิใช่ระดับเดียวกันเลย ห่างกันมากโข!


พวกมันต่างแสยะยิ้มเย็นชา ต้นหลิวบังอาจกำแหงใส่พวกมัน นั่นเท่ากับรนหาที่ตาย!


พวกมันมิใช่ตัวตนที่ต้นหลิวต่อกรด้วยได้!

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!


ราชันเย่และจ้าวแห่งเรือนจำบุกเข้ามา สำแดงทุกวิชาที่มี ซ้ำยังเป็นมหาวิชาพิฆาตกันทั้งสิ้น คลื่นพลังอันน่าประหวั่นพรั่นพรึงสะเทือนจนทั่วทั้งซากปริภูมิเวลาสั่นไหว!


สิ่งมีชีวิตในซากปริภูมิเวลาตื่นตกใจกันหมด แหงนหน้ามองว่าที่นั่นเกิดอันใดขึ้น เหตุใดถึงมีคลื่นพลังสยดสยองเช่นนี้ปะทุออกมา?!


พวกเขาใจสั่นเหลือคณา คลื่นพลังระดับนี้น่ากลัวเกินไป หากโถมทับมาถึงด้านพวกเขาจริง ๆ ต่อให้ไม่ตายก็คงเกือบ


“บังอาจนัก! เห็นหรือยัง นั่นคือพี่หลิวของข้า!”


หนานฉงชี้ไปยังต้นหลิวที่ปรากฏกายออกมาแล้วตะโกนขึ้น


ด้านโน้น ร่างของต้นหลิว ราชันเย่ และจ้าวแห่งเรือนจำเผยออกมา สิ่งมีชีวิตทั้งหลายได้เห็นราชันเย่และจ้าวแห่งเรือนจำกำลังผนึกกำลังจู่โจมต้นหลิว


พวกเขาพลันมิกล้าลงมือกับหนานฉง ไม่ว่าอย่างไรหนานฉงก็มากับต้นหลิวจริง ๆ พวกเขากลัวว่าหนานฉงจะมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับต้นหลิว


ถึงแม้พวกเขาไม่รู้สึกว่าต้นหลิวจะเป็นคู่มือของราชันเย่และจ้าวแห่งเรือนจำ กระนั้นก็ต้องเผื่อไว้ก่อนมิใช่หรือ


ถ้าหากต้นหลิวเอาชนะราชันเย่และจ้าวแห่งเรือนจำได้เล่า


พวกเขาเริ่มหวาดระแวง


“ทุกท่านอย่าได้เชื่อวาจาของเขา! เขาเป็นจอมหลอกลวง! นึกถึงในอดีตที่เขาเคยหลอกทุกท่านสิ!”


เวลานั้น จ้าวกิเลนดำตะโกนลั่น “พี่หลิวอะไร ใช่ที่ไหนกัน เขาอวดอ้างบารมีผู้อื่นเห็น ๆ! ที่มาด้วยกันก็เพราะถูกกองกำลังฝ่ายปริภูมิเวลาจับได้เท่านั้น”


“จ้าวกิเลนดำ เจ้าพูดเหลวไหลอันใดอยู่!”


หนานฉงเริ่มลนลานในใจ เขาอวดอ้างบารมีผู้อื่นอยู่จริง ๆ แม้จะมากับต้นหลิว แต่ก็ใช่ว่าต้นหลิวจะดูดำดูดีเขาจริง ๆ


ทว่าแม้ในใจเขาจะลนลาน แต่สีหน้าของเขามิได้แตกตื่นแต่อย่างใด


“ทุกท่านอย่าได้เชื่อวาจาของจ้าวกิเลนดำ มันเพียงต้องการให้ร้ายพวกท่านเท่านั้น เพื่อล้างแค้นพวกท่านที่ลอกหนังกินเนื้อของมัน!”


เขาตวาดเสียงเย็น


สิ่งมีชีวิตทั้งหลายมิได้มีท่าทีอันใด ที่หนานฉงว่ามาใช่ว่าไร้เหตุผล จ้าวกิเลนไฟอาจตั้งใจให้ร้ายพวกเขาจริง ๆ


“หนานฉง เจ้ามัวเสแสร้งอะไรอยู่! แน่จริงเจ้าขอให้ต้นหลิวขานรับเจ้าสักคำสิ!”


จ้าวกิเลนดำหัวเราะเสียงเย็น “ถ้าหากต้นหลิวมีความเกี่ยวข้องกับเจ้าจริง ๆ มันไม่มีทางทิ้งเจ้าไว้ที่นี่เพียงลำพัง! อย่างน้อยมันต้องเอ่ยบอกพวกเราสักคำ มิให้พวกเราสังหารเจ้า!”


‘จ้าวกิเลนดำเดนน่าตายนี่ ยามสมควรมิเคยหัวใส ดันมาหัวใสในช่วงเวลามิสมควร!’


หนานฉงด่ากราดในใจ หนนี้การอวดอ้างบารมีของมันเห็นมีคงล้มเหลวเสียแล้ว ประโยคของจ้าวกิเลนดำมีเหตุผล ตรงเข้าประเด็นทุกถ้อยคำ จนเขาคิดหาวาจาโต้แย้งมิได้ในทันที


“เกือบติดกับเจ้าอีกแล้ว!”


“ริอ่านหลอกพวกเราอีกครั้งหรือ!”


สิ่งมีชีวิตทั้งหมดพิโรธ ลงมือรุนแรงยิ่งขึ้น ทรมานมากขึ้น ใบหน้าหนานฉงเหยเกบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด


“สมน้ำหน้า! ผู้ใดใช้ให้เจ้าเอาแต่ด่าว่าข้าโง่! ข้าหาได้โง่ไม่!”


จ้าวกิเลนดำคลี่ยิ้มกว้าง


จากนั้น มันกล่าวต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย “ทุกท่านให้ข้าเข้าร่วมด้วยได้หรือไม่ ข้าเองก็เจ็บแค้นในตัวหนานฉงผู้นี้นัก อยากจะกัดเนื้อมันลงมา”


ครานี้มันให้ความช่วยเหลืออันเป็นประโยชน์ มันรู้สึกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายคงยอมให้มันเข้าร่วมแล้วกระมัง


“ไสหัวไปเลย!”


“เจ้ามีสิทธิ์ลงมือที่ไหน!”


สิ่งมีชีวิตมากมายต่อว่า มิได้เปลี่ยนแปลงท่าทีที่มีต่อจ้าวกิเลนดำ


ทีแรกจ้าวกิเลนดำเตรียมพุ่งเข้าไปแล้ว หลังถูกสิ่งมีชีวิตทั้งหลายตำหนิเช่นนี้ ก็ต้องหดร่างกลับมาเจื่อน ๆ


ขณะเดียวกัน ราชันเย่และจ้าวแห่งเรือนจำบุกไปถึงด้านต้นหลิว อาวุธในมือทั้งคู่ฟาดฟันใส่ต้นหลิว หมายจะปลิดชีพต้นหลิวลงตรงนั้น


“เหตุใดข้าพูดความจริงไปแล้วพวกเจ้าถึงไม่ฟัง”


ต้นหลิวเอ่ย “ข้าบอกไปแล้ว พวกเจ้าอ่อนแอเกินไป…”


ทันทีที่สิ้นเสียงมัน ก้านหลิวก้านหนึ่งพลันหวดใส่ราชันเย่และจ้าวแห่งเรือนจำ


พรวด! พรวด!


ราชันเย่และจ้าวแห่งเรือนจำถูกหวดกระเด็น กระอักเลือดออกมาอย่างบ้าคลั่งกันทั้งคู่ พวกมันทั้งสองต่างถูกหวดจนร่างแหลกไปครึ่งหนึ่ง!


ซี๊ด!


เสียงสูดปากดังขึ้น สิ่งมีชีวิตทั้งปวงในซากปริภูมิเวลาต่างตกตะลึงกับภาพนี้จนหัวใจแทบหยุดเต้น!


จ้าวแห่งเรือนจำนั้นไม่ต้องสาธยายให้มากความ มันคือผู้ปกครองที่นี่ มีพลังเหนือกว่าพวกเขาทุกตน


ส่วนราชันเย่นั้น ยิ่งมีพลังสยดสยองกว่าจ้าวแห่งเรือนจำมากกว่า!


ผลสุดท้าย ราชันเย่และจ้าวแห่งเรือนจำผู้แข็งแกร่งปานนี้กลับเปราะบางต้านมิได้แม้แต่การโจมตีเดียวเมื่อปะทะกับต้นหลิว จะมิให้พวกเขาตกตะลึงได้อย่างไร


พวกเขาชาวาบไปทั้งหนังศีรษะ ร่ายกายสั่นเทิ้มอย่างห้ามไม่อยู่!


ราชันเย่และจ้าวแห่งเรือนจำต่างมองต้นหลิวด้วยสายตาเหลือเชื่อ อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าต้นหลิวจะแข็งแกร่งปานนี้!


ระดับพวกเขาล้วนอยู่เหนือขอบเขตลอยชาย จ้าวแห่งเรือนจำอยู่ในขั้นที่หกของขอบเขตลอยชาย ส่วนราชันเย่นั้นอยู่ขั้นที่เก้าของขอบเขตลอยชาย กลับยังห่างชั้นกับต้นหลิวมากเพียงนี้ ต้นหลิวผู้นี้ อย่างน้อย ๆ ต้องอยู่ในขอบเขตผู้บงการ!


ขอบเขตลอยชาย คือขอบเขตที่อยู่เหนือขอบเขตโกลาหล


ส่วนขอบเขตผู้บงการนั้นคือขอบเขตที่อยู่เหนือขอบเขตลอยชาย


ต้นหลิวผู้นี้มาจากไหนกัน ไฉนถึงมีพลังระดับขอบเขตผู้บงการได้?!


ต้องรู้ว่า ในจักรวาลโกลาหลนานัปการ ต่อให้เป็นจักรวาลโกลาหลผืนใหญ่ที่สุดก็มิอาจให้กำเนิดกำลังรบระดับผู้บงการได้!


อย่างมากก็แค่ขอบเขตลอยชายเท่านั้น


คิดจะบรรลุขอบเขตผู้บงการ จะต้องได้รับพลังจากเทวโลกเสียก่อน!


ต้นหลิวมาจากเทวโลกหรือ?!


แต่หากต้นหลิวมาจากเทวโลก ต้นหลิวไฉนเลยจะกล้าลงมือกับพวกมัน


เทวโลกนั้นกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด มีอยู่ทั้งหมดเก้าชั้นด้วยกัน แต่ไม่ว่าชั้นไหนล้วนต้องเคยได้ยินชื่อเสียงองอาจของพวกมัน ไม่มีสิ่งมีชีวิตตนใดจากเทวโลกกล้ายุ่งกับพวกมันง่าย ๆ เพราะแดนกำเนิดของพวกมันคือเบื้องบนเทวโลก!


แก่นสำคัญของทั้งเก้าชั้นนี้คือเบื้องบนเทวโลก นั่นคือจุดกำเนิดพลังทั้งปวง อยู่เหนือสรรพสิ่ง!


ต้นหลิวมีภูมิหลังเช่นไรกันแน่ ถึงได้กล้าไม่เห็นหัวพวกมันเช่นนี้ ลงมือกับพวกมันตามอำเภอใจ!


ชั่วขณะนั้น พวกมันว้าวุ่นใจเป็นที่สุด


“นำทางไป ข้าอยากไปดูฐานทัพใหญ่ของพวกเจ้าเสียหน่อย!” ต้นหลิวเอ่ย


ราชันเย่และจ้าวแห่งเรือนจำไฉนเลยจะกล้าคัดค้าน นอกจากนี้ พวกมันอยากพาต้นหลิวไปอยู่แล้ว หากเป็นเช่นนั้น พวกมันก็มีโอกาสรอดเช่นกัน


ต่อให้ต้นหลิวแข็งแกร่งเพียงใดก็มีขีดจำกัด ไม่มีทางสู้กับกองกำลังเบื้องหลังพวกมันได้!


จากนั้น พวกมันเตรียมนำทางอยู่ด้านหน้า เพื่อพาต้นหลิวเข้าไปในเทวโลก!


“พี่หลิว พาข้าไปด้วย!”


หนานฉงเห็นต้นหลิวจะไป จึงรีบตะโกนบอกต้นหลิว


“เอาเถิด เห็นแก่ที่เจ้าพาข้ามาที่นี่ นับว่ามีความดีความชอบ มาสิ”


ต้นหลิวบอกให้หนานฉงมาหามัน


“ขอบคุณพี่หลิว!”


หนานฉงรีบกล่าวขอบคุณ หัวใจที่ขึ้นมาจุกอยู่ตรงคอหอยในที่สุดก็กลับมาอยู่ที่เดิมได้แล้ว


“ไม่จริงกระมัง!”


จ้าวกิเลนดำอึ้งงัน เจ้าหนานฉงนี่เกี่ยวข้องกับต้นหลิวจริงหรือ!


“พี่ฉง พาน้องไปด้วยเถิด ให้น้องตามไปด้วย!”


มันเอ่ยบอกหนานฉงเสียงร่ำไห้


“พาไปกับผีสิ!”


หนานฉงตอกกลับจ้าวกิเลนดำเสียงเคียดแค้น “ดูท่าทางที่เจ้าซ้ำเติมข้าเมื่อครู่เสียก่อน ยังมีหน้าขอให้ข้าพาเจ้าไปด้วยอีกหรือ หากว่าก่อนหน้านี้เจ้ามิได้ซ้ำเติมข้า บางทีข้าอาจยินดีพาเจ้าไปด้วย ตอนนี้หรือ…ไม่มีทาง!”


พูดจบ เขาก็เหินไปอยู่ข้างกายต้นหลิว


จากนั้น พวกต้นหลิวไปจากที่นี่ มุ่งหน้าไปยังเทวโลก


“อ๊าก!”


จ้าวกิเลนดำได้ยินวาจาของหนานฉงแล้วแทบเสียสติ


มันสำนึกเสียใจเป็นที่สุด ถ้าก่อนหน้านี้มันเงียบไว้คงดี ไยต้องอวดฉลาดเปิดโปงหนานฉงด้วย!


บัดนี้สิดี มันได้ตัดหนทางของตัวเอง!


มิหนำซ้ำ สายตาที่สิ่งมีชีวิตรอบ ๆ พากันมองมาที่มันไม่ดีอย่างมาก!


“เกือบถูกเจ้าหลอกเอาเสียแล้ว!”


“สมควรตายนัก!”


สิ่งมีชีวิตทั้งหลายบันดาลโทสะ เมื่อครู่จ้าวกิเลนดำเอ่ยว่าหนานฉงไม่มีความเกี่ยวข้องกับต้นหลิว พวกเขาเชื่อกันหมด ดีที่ต้นหลิวมิได้ถือสาพวกเขา มิฉะนั้น ด้วยพลังของต้นหลิว พวกเขาคงต้องตายกันหมด!


พวกเขายิ่งคิดยิ่งโมโห สุดท้ายจึงกรูกันเข้าไปหาจ้าวกิเลนดำ รุมซ้อมกิเลนดำจนยับเยิน!


“จบเห่แล้ว!”


จ้าวกิเลนดำร้องไห้จนน้ำตาเหือดแห้ง มันโชคร้ายเหลือเกิน ดันฉลาดผิดจังหวะเสียได้!


ราชันเย่และจ้าวแห่งเรือนจำนำทางอยู่ด้านหน้า เปิดเส้นทางลึกลับสุดขีดเส้นทางหนึ่งออก


เทวโลกนั้นไม่ธรรมดา มิอาจเข้าไปได้ง่าย ๆ หากไม่มีเส้นทางเชื่อม แทบไม่มีทางไปถึงเทวโลกได้เลย


หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง พวกเขามาถึงเทวโลก


ที่นี่คือชั้นล่างสุดของเทวโลกเก้าชั้น ชั้นที่หนึ่ง


“รู้สึกคุ้นเคยอยู่นิดหน่อย…”


หลังต้นหลิวมาที่นี่ก็รู้สึกคุ้นเคย คล้ายว่ามันเคยพบเจอพลังปราณของที่นี่มาก่อน


‘ดินแดนนั้นเอง!’


ไม่นานนัก มันก็นึกออก


นึกถึงดินแดนที่มันเกือบจมดิ่งออกมาไม่ได้!


พลังปราณของที่นี่คล้ายคลึงกับดินแดนนั้นอยู่บ้าง ต่างกันตรงพลังปราณของที่นั่นเข้มข้นกว่า และพลังที่ไหลเวียนอยู่ในฟ้าดินก็บริสุทธิ์กว่า


‘มีความเกี่ยวข้องกันอย่างนั้นหรือ’


ต้นหลิวคิดในใจ


อีกด้าน หนานฉงใจเต้นตึกตัก พลังปราณและคลื่นพลังที่ไหลเวียนที่นี่เกินกว่าขอบเขตความเข้าใจของเขาไปมาก ที่นี่คือที่ไหน?!


‘คงมิใช่เทวโลกกระมัง!’


เขาคิดในใจอย่างอดมิได้ นึกถึงข่าวลือเทวโลกที่เคยได้ยินมาก่อน


ลือกันว่า จักรวาลโกลาหลถือกำเนิดขึ้นในเทวโลก เป็นแดนกำเนิดสูงสุดอย่างหามิได้


‘ข้ามาอยู่ที่เทวโลกแล้วหรือนี่! ไม่รู้ว่าต้นหลิวคุ้มครองข้าได้หรือไม่!’


เขาคิดอย่างอกสั่นขวัญแขวน


เทวโลกนั้นสูงส่งเกินหยั่งเกินไป เขากลัวจากใจจริงว่าพี่หลิวอาจต้องเสียท่าที่นี่ หากเป็นเช่นนั้นจริง จุดจบของเขาก็คงมิได้ดีไปกว่ากันเท่าใด!


เขาตั้งความหวังอยู่ล้นหัวใจว่าพี่หลิวนั้นทรงพลังแกร่งกล้า!


เวลานั้น ร่างมากมายจุติลงมาที่นี่ คลื่นพลังปราณที่คลี่แผ่ออกจากตัวพวกเขาต่างเหนือกว่าราชันเย่


เส้นทางนี้เชื่อมต่อกับฐานทัพของกองกำลังปริภูมิเวลาในชั้นนี้ ร่างทั้งหมดนี้คือยอดฝีมือในฐานทัพของชั้นนี้ คอยพิทักษที่นี่


“ราชันเย่ นี่มันเรื่องอันใดกัน?!”


ร่างของแม่เฒ่าผู้หนึ่งเอ่ยถามราชันเย่ ตัวนางผอมติดกระดูก ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความชรา ในมือมีไม้เท้าหัวมังกรไม้หนึ่ง


“มันเดินทางย้อนปริภูมิเวลา ถูกกักขังไว้ในซากปริภูมิเวลา ทว่าพวกเรามิใช่คู่ต่อสู้ของมัน ถูกมันขู่เข็ญให้พาพวกเขามาที่นี่!”


ราชันเย่รีบเล่าทุกอย่างให้ฟังโดยไม่ปิดบัง


“นักโทษที่หนีออกจากซากปริภูมิเวลาอย่างนั้นหรือ!”


แม่เฒ่าหันมองต้นหลิว “เจ้ามาที่นี่เพื่ออะไร คิดจะท้าทายอำนาจของพวกเราอย่างนั้นหรือ”


“ข้าเพียงแต่ต้องการหาสถานที่ที่สามารถเคี่ยวกรำตนเองได้เท่านั้น…”


ต้นหลิวกล่าว “ดูเหมือนที่นี่ก็ไม่ตรงตามความต้องการของข้า ที่นี่คือฐานทัพใหญ่ของพวกเจ้าหรือ หรือว่าพวกเจ้าเป็นเพียงกองกำลังย่อยเท่านั้น”


ที่นี่ไม่เป็นอันตรายต่อมันสักนิด


เห็นได้ชัดว่าที่นี่ก็ไม่ตรงตามเงื่อนไขของมัน


“โอหังนัก!”


แม่เฒ่าหัวเราะ “ยังมิเคยมีสิ่งมีชีวิตตนใดจองหองได้ถึงเพียงนี้!”


ริอ่านท้ากันถึงที่เลยหรือ!


ไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาก่อน!

ที่นี่มีฐานตำหนักตั้งอยู่เรียงราย สถานที่ไม่น้อยมีอักขระแปลกประหลาดสลักอยู่ หากได้พินิจดี ๆ จะเห็นว่าล้วนมีความเกี่ยวข้องกับปริภูมิเวลา อักขระทุกตัวต่างมีอำนาจควบคุมปริภูมิเวลา เป็นการแปลงรูปของพลังปริภูมิเวลา เผยให้เห็นในลักษณะอักขระ


ขณะเดียวกัน ยังมีรูปปั้นอสูรศิลามากมายพิทักษ์อยู่รอบ ๆ ฐานตำหนัก บนหน้าผากของอสูรศิลาทุกตัวต่างมีอักขระแปลกประหลาดสลักอยู่ แต่ละตัวตั้งกันคนละมุม หากเชื่อมโยงกันแล้วดูคล้ายค่ายกลบางอย่าง


เสียงดังตู้ม แม่เฒ่าลงมือทันที ชี้ต้นหลิวด้วยไม้เท้าหัวมังกร ประกายเจิดจ้าพวยพุ่ง มังกรยักษ์สีทองตัวหนึ่งพุ่งไปสังหารต้นหลิว


เป็นนักโทษแล้วยังกล้ามาท้าทายอำนาจที่นี่อีกหรือ ต้นหลิวผู้นี้เก็บไว้มิได้แล้ว!


มังกรยักษ์สีทองคำราม เสียงกู่ร้องมังกรดังกึกก้องอยู่ในฟ้าดิน เกล็ดมังกรส่องประกายวาววาม มันพ่นอสนีบาตสีทองออกมา ระเบิดแตกตัวในฉับพลัน


หนานฉงตัวสั่นระริก วิญญาณสั่นสะท้าน เขาทนคลื่นพลังปราณที่แผ่ซ่านออกจากตัวมังกรยักษ์สีทองมิได้ ใกล้เสียสติเต็มที!


ร่างกายของเขาเริ่มมีรอยร้าว โลหิตหลั่งรินออกมา เมื่ออยู่เบื้องหน้ามังกรยักษ์สีทอง ตัวเขาอ่อนแอจนไม่ควรค่าแก่การพูดถึง


เวลานั้นเอง เสียงดังฟึ่บ ก้านหลิวก้านหนึ่งหวดเข้าไป มังกรยักษ์สีทองผู้ดุดันน่ากลัวตัวแหลกลาญไปในบัดดล กลายเป็นเศษธุลีระยิบระยับ!


นอกจากนี้ มีแสงนวลเนียนทาบทับลงบนตัวหนานฉง รอยร้าวบนตัวหนานฉงหายไปหมดเกลี้ยง แรงกดดันที่เคยสัมผัสก็อันตรธานไปเสียสิ้น


ตู้ม!


ร่างทั้งหลายด้านหลังแม่เฒ่าบุกเข้าไป พวกเขาสำแดงวิชาแห่งปริภูมิเวลา หมายจะเปลี่ยนต้นหลิวให้อยู่ในวัยละอ่อน!


ทว่าต่อมา พวกเขาก็ต้องอึ้งงัน


วิชาปริภูมิเวลาที่พวกเขาผนึกกำลังใช้ออกไป เมื่อกระแทกบนตัวต้นหลิวแล้วกลับไม่ส่งผลอันใด!


ต้นหลิวไร้รอยขีดข่วน มิได้ถูกเปลี่ยนให้อยู่ในวัยละอ่อน


พรวด! พรวด! พรวด!


ก้านหลิวก้านหนึ่งหวดใส่ร่างทั้งหลายอย่างรวดเร็ว ร่างเหล่านั้นหมายใจอยากหยุดยั้งเวลา ทว่ากลับทำมิได้!


แม้จะหยุดยั้งเวลาไว้แล้ว แต่ก้านหลิวก้านนั้นไม่ได้รับผลกระทบ ยังคงหวดกระแทกตัวพวกเขาดังเดิม!


ร่างของพวกเขาแหลกลาญในทันที กลายเป็นหมอกเลือด เศษเนื้อสาดกระจายเกลื่อนพื้น!


ดวงตาแม่เฒ่าหรี่ลง คิดไม่ถึงว่าต้นหลิวจะแข็งแกร่งปานนี้!


ร่างทั้งหลายนี้ต่างฝึกฝนจนอยู่ในจุดสมบูรณ์สูงสุดของขอบเขตลอยชายขั้นเก้า ยามผนึกกำลัง สามารถประมือกับผู้บงการได้ด้วยซ้ำ!


ผลสุดท้าย ยามอยู่ต่อหน้าต้นหลิวกลับเปราะบางสิ้นดี ร่างแหลกลาญด้วยการหวดจากต้นหลิวอย่างง่ายดาย เกินความคาดหมายของนางไปไกลมาก!


มิน่า ต้นหลิวถึงฝ่าออกจากซากปริภูมิเวลาได้!


“ฆ่า!”


ร่างชราภาพของนางเปล่งแสงจรัสนับล้าน สำแดงวิชาลับปริภูมิเวลาบางอย่างออกมา ตราประทับปริภูมิเวลาปรากฏ หมายจะสะกดต้นหลิว!


พลังระดับนี้เหนือกว่าพลังที่ร่างทั้งหลายผนึกกำลังกันก่อนหน้านี้มาก แม่เฒ่าเป็นผู้ดูแลที่นี่ ระดับพลังของนางอยู่ในขอบเขตผู้บงการแล้ว!


ขณะเดียวกัน อักขระบนฐานตำหนักเหล่านั้นก็เปล่งประกายเจิดจ้า ร่วงหล่นลงจากฐานตำหนัก บุกสังหารไปหาต้นหลิว!


อักขระเหล่านี้มีความพิเศษเป็นอย่างยิ่ง แฝงไว้ด้วยเต๋าสูงส่ง มาจากเบื้องบนเทวโลก แดนกำเนิดของพวกเขา!


โฮกกก!


รูปปั้นอสูรศิลาก็ ‘มีชีวิต’ ขึ้นมา พวกมันส่งเสียงคำราม สร้างค่ายกลขึ้นมาได้จริง ๆ ค่ายกลนี้เป็นค่ายกลพิฆาต เป็นด่านปราการสุดท้ายของพวกเขา


“เปล่าประโยชน์!”


ต้นหลิวตวาดเสียงเบา ก้านหลิวฉวัดเฉวียน ลบล้างพลังอาคมทั้งหมดในพริบตา แม่เฒ่ากระเด็นออกไป อักขระฐานตำหนักถูกสะกด ค่ายกลพิฆาตที่เกิดจากอสูรศิลาระเบิดแตกตัว!


แม่เฒ่าคิดไม่ถึงเลยว่าจะกลายเป็นเช่นนี้ เหตุใดต้นหลิวถึงทรงพลังได้ถึงเพียงนี้ มันมาจากที่ใดกันแน่?!


ขอบเขตผู้บงการมีด้วยกันทั้งหมดเก้าขั้นเช่นกัน ต้นหลิวอยู่ขั้นใดในขอบเขตผู้บงการกัน?!


พลังที่ต้นหลิวเผยให้เห็นเป็นพลังที่อยู่เหนือพวกเขาโดยสิ้นเชิง นางสงสัยว่าต้นหลิวอาจบำเพ็ญตนจนอยู่ในขั้นเก้าของขอบเขตผู้บงการแล้ว หรืออาจบรรลุเหนือขอบเขตผู้บงการไปแล้วก็ได้!


เรื่องนี้ไม่ได้สร้างความเหลือเชื่อให้นาง!


ต้นหลิวผู้แกร่งกล้าเช่นนี้ ไม่มีทางถูกส่งตัวมายังซากปริภูมิเวลาโดยไม่เต็มใจ ซากปริภูมิเวลาเป็นเรือนจำที่ก่อร่างสร้างขึ้นสำหรับจักรวาลโกลาหลนานัปการอันอยู่ใต้เบื้องบนเทวโลก พลังเช่นนี้ไม่มีทางส่งผลต่อต้นหลิว


ต้นหลิวตามพลังนั้นเข้าไปในซากปริภูมิเวลา แล้วตามซากปริภูมิเวลามาที่นี่ ต้นหลิวต้องการสิ่งใด


นางรู้สึกว่าบางทีต้นหลิวอาจมิใช่สิ่งมีชีวิตจากเทวโลก


หากต้นหลิวเป็นสิ่งมีชีวิตจากเทวโลก มีหรือต้องทำเรื่องให้ยุ่งยาก ต้นหลิวตรงเข้ามาที่เทวโลกได้เลย ไม่จำเป็นต้องหลากหลายขั้นต้อนขนาดต้องเข้าไปยังซากปริภูมิเวลาก่อน!


เทวโลกนั้นเข้ายาก กระนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้นั้นเป็นใคร


พลังแกร่งกล้าเยี่ยงต้นหลิว หากคิดจะเข้ามาที่เทวโลกมิได้ยากเย็นนัก


และนี่ก็เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อสำหรับนาง!


ต้นหลิวซึ่งมาจากด้านนอกเทวโลก ฝึกฝนอย่างไรให้อยู่ในขอบเขตนี้ได้?!


เรื่องนี้พลิกโลกทัศน์ของนางอย่างสิ้นเชิง เป็นเรื่องที่นางคาดไม่ถึงเลย!


“ที่นี่คือที่ไหน”


ต้นหลิวเข้ามาประชิดตัวแม่เฒ่าพลางถาม


มันอยากรู้ว่าเหตุใดที่นี่ถึงคล้ายกับสถานที่นั่นถึงเพียงนี้!


อย่างที่คิด!


หลังได้ยินคำถามของต้นหลิว แม่เฒ่าหมดข้อสงสัย ต้นหลิวมาจากนอกเทวโลกจริง ๆ!


นางก็ว่าอยู่ หากต้นหลิวเป็นสิ่งมีชีวิตจากเทวโลกจริง ไฉนเลยจะกล้าท้าทายอำนาจพวกเขาเช่นนี้!


“ที่นี่คือเทวโลกชั้นที่หนึ่ง!”


แม่เฒ่าตอบ ทั้งไม่กล้าปิดบังและไม่อยากปิดบัง


นางอธิบายสถานการณ์ในเทวโลกให้ฟังโดยละเอียด ซ้ำยังย้ำถึงความเก่งกาจของกองกำลังปริภูมิเวลาอย่างพวกเขาเพื่อข่มขวัญต้นหลิว ให้ต้นหลิวรู้สึกยำเกรง มิกล้าทำตามอำเภอใจ


“มิน่า…”

ต้นหลิวถึงบางอ้อ


มิน่าที่นี่ถึงคล้ายคลึงกับสถานที่นั้นอย่างยิ่ง ที่แท้ทั้งสองที่ล้วนอยู่ในเทวโลก!


เทวโลกมีอยู่ทั้งหมดเก้าชั้น แต่ละชั้นล้วนกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด ใหญ่เสียยิ่งกว่าจักรวาลโกลาหลซึ่งมโหฬารที่สุด และยังมีสิ่งมีชีวิตจากเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ อาศัยอยู่มากมายนับไม่ถ้วน


จากชั้นหนึ่งถึงชั้นเก้า ชั้นที่หนึ่งคือชั้นที่อ่อนแอที่สุด ชั้นที่เก้าแข็งแกร่งที่สุด แต่ละชั้นที่สูงขึ้นจะมีพลังแกร่งกล้าขึ้น เบื้องบนเทวโลกนั้นทรงพลังที่สุด ที่นั่นคือแก่นสำคัญ ทุกสิ่งทุกอย่างในเก้าชั้นนี้ต่างมาจากเบื้องบนเทวโลก


ดินแดนนั้นอยู่บนชั้นที่เก้า เข้าใกล้เบื้องบนเทวโลกมากยิ่งขึ้น สิ่งมีชีวิตในนั้นต่างไม่ธรรมดา เก่งกล้าสามารถอย่างยิ่งยวด!


‘ข้าก็ว่าเหตุใดที่นั่นถึงน่าประหวั่นพรั่นพรึงเพียงนี้!’


ต้นหลิวคิดในใจ


ที่นั่นน่ากลัวเกินไป ด้วยขอบเขตพลังของมันในตอนนี้ยังไปมิได้ เดิมมันอยากรอให้พลังยกระดับขึ้นแล้วค่อยไป เพื่อเป็นการเคี่ยวกรำให้ก้าวหน้าขึ้น


ทว่าบัดนี้ดูแล้ว มันไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นอีก


มันคิดว่าที่แห่งนั้นเป็นเพียงดินแดนหนึ่ง ความจริงกลับมิใช่เช่นนั้น ใต้ดินแดนนั้นยังมีอีกแปดชั้น มันสามารถฝึกฝนไปทีละชั้น แล้วค่อยเข้าไปยังชั้นที่เก้า!


เช่นนี้ การเคี่ยวกรำและความก้าวหน้าที่ได้จากการต่อสู้ย่อมไวกว่าการบำเพ็ญตามลำพังของมันมากนัก มันเชื่อว่า อีกไม่นานมันก็สามารถไปยังดินแดนนั้น กวาดล้างศัตรูทั้งหมด!


จากนั้น มันทิ้งหนานฉงไว้ที่ชั้นนี้ โดยส่งไปยังสถานที่อื่นในชั้น


“สำหรับเจ้า นี่คงเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง ถึงอย่างไรเทวโลกก็ไม่ธรรมดา เจ้าอยู่ที่นี่ จะฝึกฝนได้ดีขึ้นมาก”


ต้นหลิวบอกกับหนานฉง “ทว่าที่นี่ก็อันตรายกว่ามากเช่นกัน หากสุดท้ายแล้วเจ้ารอดมาได้ ข้าจะพาเจ้าไปด้วย”


“ขอบคุณพี่หลิว!”


หนานฉงกล่าวขอบคุณต้นหลิวอย่างจริงจัง


หากมิใช่ต้นหลิว ก่อนหน้านี้เขาคงต้องตายอยู่ในซากปริภูมิเวลาแล้ว


และที่ต้นหลิวว่ามาก็ไม่ผิด เขาได้อยู่ที่ชั้นนี้ต่อ ถือเป็นวาสนาใหญ่หลวงอย่างแท้จริง ต้องรู้ว่า มีสิ่งมีชีวิตที่กระโดดออกจากจักรวาลโกลาหลมากมายอยากเข้ามาในเทวโลก แต่เข้ามาไม่ได้!


แน่นอนว่าภยันตรายก็มากกว่าด้วย


ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือเทวโลก แม้จะเป็นชั้นที่หนึ่ง กระนั้นสิ่งมีชีวิตในนี้ที่แข็งแกร่งกว่าเขาก็มีอยู่นับไม่ถ้วน หากเขาไม่ระวังตัวให้มาก อาจจบชีวิตลงได้ทุกเมื่อ


สุดท้าย ต้นหลิวไปจากชั้นนี้


มันผ่านไปชั้นแล้วชั้นเล่า แล้วหยุดตรงชั้นที่หก


เพราะรู้สึกถึงแรงกดดันและภยันตรายได้จากชั้นที่หก มันสามารถฝึกฝนเคี่ยวกรำในสถานที่นี้ได้


...


ภายในแดนบรรพโกลาหล


กาลเวลาผ่านเลยไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ผลัดเปลี่ยนไปแล้วหลายเดือน


ความเร็วในการก้าวหน้าของซีทำให้จ้าวดินแดนต่าง ๆ อาทิจ้าวแห่งตงชิวตกตะลึงอย่างแท้จริง!


ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือน ซีถึงกับฝึกฝนจนอยู่ในขอบเขตเซียนขั้นสมบูรณ์ แล้วเหนือขั้นขึ้นไปจากขอบเขตเซียน มาอยู่ในขอบเขตบรรพจารย์เซียน!


เป็นเรื่องน่าตกใจอย่างไม่ต้องสงสัย!


ต้องรู้ว่า ขอบเขตบรรพจารย์เซียนเป็นระดับพิเศษ มิใช่ระดับตามเกณฑ์ทั่วไป ใช่ว่าใคร ๆ ต่างบรรลุมายังขอบเขตนี้ได้ สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่หลังบรรลุขั้นจักรพรรดิเซียนแล้วจะไปถึงขอบเขตโกลาหลโดยตรง


มีเพียงปัจเจกบุคคลผู้มีความสามารถสะท้านโลกาเท่านั้น จึงจะก้าวสู่ขอบเขตบรรพจารย์เซียนที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์!


และระยะห่างระหว่างสองขอบเขตนี้ก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว!


ผู้ที่ก้าวสู่ขอบเขตโกลาหลจากขอบเขตบรรพจารย์เซียน ไม่ว่าพลังด้านใดต่างเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตผู้ก้าวสู่ขอบเขตโกลาหลจากขอบเขตจักรพรรดิเซียนอย่างสิ้นเชิง ซ้ำยังเป็นความเหนือกว่าชนิดบดขยี้!


ในหลายเดือนที่ผ่านมา ซีบรรลุสู่ขอบเขตบรรพจารย์เซียนตั้งแต่ขั้นเซียนสมบูรณ์ ความเร็วระดับนี้แม้แต่ในแดนบรรพโกลาหลก็ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!


แต่ลองคิดดูแล้ว ซีมีพรสวรรค์เกรียงไกร ไม่ว่าวิชาอาคมเช่นไร นางอ่านเพียงรอบเดียวก็รู้แจ้งได้อย่างถ่องแท้ ซ้ำยังเจอจุดด่างพร้อยในนั้น จนจ้าวแห่งแดนต่าง ๆ อย่างจ้าวแห่งตงชิวเริ่มเฉยชาลง


ความเร็วในการบรรลุระดับนี้จึงจะคู่ควรกับพรสวรรค์เกรียงไกรของซี!


“ขอบคุณการชี้แนะสอนสั่งจากอาวุโสทุกท่าน! ข้าอยากออกไปจัดการธุระนอกแดนบรรพกาลเสียหน่อย!”


ซีบอกกับจ้าวแห่งตงชิว และจ้าวแห่งดินแดนอื่น ๆ


“อย่าได้เอ่ยว่าชี้แนะสอนสั่งเลย! พวกเราช่วยได้ไม่มากจริง ๆ!”


“ใช่แล้ว!”


จ้าวแห่งตงชิว และจ้าวแห่งดินแดนอื่น ๆ เอ่ยเสียงเจื่อน ๆ ชี้แนะสอนสั่งอันใดกัน ซีชี้แนะสอนสั่งพวกเขาสิไม่ว่า


“เจ้ามีธุระอันใดที่ข้างนอกหรือ”


จ้าวแห่งก่วงหลิงเอ่ย “ให้พวกเราไปช่วยดีหรือไม่”


นางกังวลว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดกับซีที่ข้างนอกนั่น ทว่าหลังนางพูดจบ ก็ตระหนักได้ว่าความวิตกของนางนั้นหาได้จำเป็นไม่


จะเกิดเรื่องกับซีได้อย่างไรกัน?


ต่อให้เกิดเรื่องกับนาง ก็ไม่มีทางเกิดเรื่องกับซี!


เบื้องหลังของซีมีท่านผู้นั้นคอยคุ้มครองอยู่นะ!


แม้กระทั่งต้นบรรพจารย์ผู้มาจากแดนกำเนิดพิศวงลางร้ายอย่างแท้จริงยังทำร้ายซีมิได้ แล้วผู้ใดจะแผ้วพานซีได้เล่า!


“แก้แค้น!”


ดวงตาของซีลุกวาว ยามเอ่ยถึงธุระที่นางจะออกไปจัดการข้างนอก


นางต้องการกลับภพเซียน ล้างแค้นให้กับตระกูลของนาง!


นางรอวันนี้มาไม่รู้ตั้งนานเท่าไหร่!


นางลืมบิดามารดาที่ตายอยู่เบื้องหน้านางไม่ลง และลืมคนในตระกูลที่ถูกตระกูลเซียวเข่นฆ่าอย่างอำมหิตไม่ลง เพราะอย่างนั้น หลังนางบรรลุขอบเขตบรรพจารย์เซียน ก็จบการฝึกฝนทันที และตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังภพเซียน!


“ได้!”


“พวกเราจะส่งเจ้าออกไปเอง!”


จ้าวแห่งตงชิว และจ้าวแห่งดินแดนอื่น ๆ มิได้ถามอันใดมาก พวกเขารับรู้ถึงความแค้นเคืองจากตัวซี ซีคงแบกรับหนี้แค้นใหญ่หลวงบางอย่างไว้แน่!


แดนบรรพโกลาหลอยู่ในสภาวะปิดสนิท พวกเขาร่วมมือกันเปิดเส้นทางเส้นหนึ่งให้ซี ทั้งยังบอกซีว่า ยามซีกลับมา ให้ซีติดต่อพวกเขาล่วงหน้า แล้วพวกเขาจะเปิดเส้นทางนี้ขึ้นอีกครั้ง


ในแดนบรรพโกลาหลนี้ มีเส้นทางนี้อยู่เพียงเส้นทางเดียว เป็นเส้นทางที่ถูกสร้างขึ้นโดยบรรพจารย์จากดินแดนต่าง ๆ มีเพียงจ้าวแห่งดินแดนอย่างพวกเขาร่วมมือกันประทับมือลงไปที่แท่น จึงจะเปิดใช้เส้นทางนี้ได้


“ขอบคุณ!”


ซีกล่าวขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะก้าวสู่เส้นทางนั้น ออกจากแดนบรรพโกลาหล

ขอบเขตบรรพจารย์เซียน!


หลังซีก้าวออกจากแดนบรรพโกลาหล ก็สะท้านใจเหลือแสน รู้สึกเหมือนฝันไปอย่างนั้น!


นี่เพิ่งจะผ่านไปนานเท่าใด!


นางก็บรรลุถึงขอบเขตบรรพจารย์เซียนแล้ว!


หากเป็นเมื่อก่อน อย่าว่าแต่บรรลุขอบเขตบรรพจารย์เซียนเลย ต่อให้เป็นขั้นจักรพรรดิเซียนนางก็ไม่กล้าแม้แต่จะคิด ขอบเขตเช่นนั้นห่างไกลจากนางเกินไป แทบไม่มีทางเป็นจริงได้เลย!


ทว่าบัดนี้ นางก้าวสู่ขอบเขตบรรพจารย์เซียนได้แล้วจริง ๆ กลายเป็นบรรพจารย์เซียนตนหนึ่ง!


“ท่านผู้นั้นเป็นใครกันแน่ เก่งกล้าเกินไปแล้ว!”


นางคิดอย่างอดมิได้ รู้ดีว่าทุกอย่างที่นางมีในตอนนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับท่านผู้นั้น!


หลังจากได้ท่านผู้นั้นช่วย ร่างกายของนางถึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไป นางอ่านคัมภีร์ปราดเดียวก็สำเร็จวิชา ความเร็วในการดูดกลืนหลอมรวมพลังก็ไวขึ้นตั้งไม่รู้เท่าใด!


“ถ้าหากวันหน้ามีโอกาสได้พบ ข้าจะขอบคุณต่อหน้าให้ได้!”


นางเอ่ยเสียงจริงจัง ตั้งเรื่องนี้เป็นเป้าหมาย บุญคุณนี้ใหญ่หลวงนัก นางจะต้องหาท่านผู้นั้นให้พบ แล้วกล่าวคำขอบคุณต่อหน้า!


ภพเซียนนั้นหายาก นั่นเป็นวาจาสำหรับสิ่งมีชีวิตทั่วไปเท่านั้น สำหรับซีในยามนี้ นางตั้งจิตเพียงครั้งเดียวก็พบตำแหน่งของภพเซียน


นี่ก็เพราะขอบเขตพลังของซีในตอนนี้สูงส่งพอ หากมิเช่นนั้น ต่อให้นางมาจากภพเซียนก็ยากจะหาตำแหน่งภพเซียนเจอ


ด้านนอกภพเซียนมีพลังแกร่งกล้าปกคลุม ยากจะจับพิกัด


พลังที่ปกคลุมอยู่ด้านนอกภพเซียนซัดสาดรุนแรง พลังเช่นนี้แม้แต่จักรพรรดิเซียนยังต้านมิได้ หากเดินเข้าไปจำต้องตกอยู่ใต้อาณัติมัน หรืออาจถึงขั้นสิ้นชีพด้วยซ้ำ


พลังที่ปะทุออกมาจากที่นี่ผันผวนตามระดับพลังของผู้ที่ก้าวเข้ามา มิได้คงอยู่จีรังไม่เปลี่ยนแปลง นั่นก็เพื่อให้รักษาพลังได้นานขึ้น


มีเพียงเช่นนี้ จึงจะคงไว้ได้นาน


หากปะทุเต็มกำลังอยู่ตลอดเวลา ย่อมเป็นการผลาญพลังจนเสื่อมถอยลงไปมากแน่ ๆ!


ใกล้จะได้กลับไปอยู่ในภพเซียนแล้ว ซีเต็มตื้นนิดหน่อย ยืนค้างข้างนอกอยู่นานมิได้เคลื่อนไหวอันใด


ช่วยมิได้ นางเฝ้าฝันอยากกลับไปแก้แค้นที่ภพเซียนทุกคืนวัน บัดนี้กำลังจะเป็นจริงแล้ว ความฝันเป็นจริงแบบนี้ จะมิให้นางเต็มตื้นได้อย่างไร


นางเต็มตื้นสุด ๆ!


สุดท้ายนางสงบจิตใจ ก้าวเข้าไปในภพเซียน


นางทรงพลังยิ่งนัก ไม่เพียงแต่บรรลุขอบเขตบรรพจารย์เซียน แต่นางยังมิใช่บรรพจารย์เซียนธรรมดา พลังในกายล้วนเป็นพลังโกลาหล เทียบกับบรรพจารย์เซียนตนอื่นแล้วแข็งแกร่งกว่ามาก


หญิงสาวก้าวเข้าไปได้ง่ายดายราวกับเดินบนพื้นราบ ปราศจากแรงขัดขวางจู่โจม ราวกับมันมิได้อยู่ที่นี่ เดินผ่านไปได้สบาย จนเข้ามาถึงภพเซียน


ความจริงก็เป็นเช่นนั้น


พลังที่ปกคลุมอยู่ด้านนอกภพเซียนตรวจจับการมีอยู่ของซีมิได้ นี่แหละ คือความแข็งแกร่งของนาง!


หลังเข้ามาในภพเซียน ซีมิได้รีรอ ตรงดิ่งไปยังดินแดนตระกูลเซียว!


ภายในดินแดนตระกูลเซียวมีเสียงทำนองบรรเลงครึกครื้น นางได้ยินเสียงหัวเราะต่อกระซิกมากมาย เป็นผลให้สีหน้าของนางเย็นชาลงเรื่อย ๆ


“เจ้าเป็นใคร”


สมาชิกสองคนเหินออกจากตระกูลเซียว สอบถามซี


“ข้ามาทวงหนี้!”


ซีเอ่ยเสียงเย็น


“บังอาจนัก!”


“เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองพูดอะไรอยู่?!”


สมาชิกสองคนจากตระกูลเซียนต่อว่า เรียกอาวุธเซียนออกมาทันทีพร้อมเล็งไปที่ซี


ตระกูลเซียวของพวกเขาเป็นถึงมหาตระกูลแห่งภพเซียน ซีกลับเอ่ยว่ามาทวงหนี้กับตระกูลเซียวของพวกเขา ช่างน่าขันยิ่งนัก!


ซีมิได้เอ่ยคำใดอีก นางตรงดิ่งเข้าไปในดินแดนตระกูลเซียว


“รนหาที่ตาย!”


“ฆ่า!”


สมาชิกทั้งสองจากตระกูลเซียวชูอาวุธเซียนบุกไปหาซี พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้ซีเข้าไปถึงตระกูลเซียว


ทว่าแม้กระทั่งพวกเขาเองยังไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นก็กระเด็นออกไป อาวุธเซียนในมือแหลกละเอียด!


“เรื่องอะไร…กัน!”


“เจ้า!”


สมาชิกทั้งสองแห่งตระกูลเซียวหน้าตาผวากันหมด คิดไม่ถึงเลยว่าซีจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!


ขอบเขตอะไรกัน!


พวกเขาตกตะลึงกันทั้งคู่!


“ศัตรูจู่โจม!”


พวกเขาตั้งสติได้ มิกล้าลังเลอีกแม้แต่น้อย รีบส่งเสียงตะโกนเตือนสมาชิกในตระกูล


ซีมิได้ปลิดชีพสมาชิกตระกูลเซียวสองคนนี้


หนี้ของผู้ใด สะสางกับผู้นั้น


นางมิใช่คนกระหายเลือด ที่มาแก้แค้นคราวนี้ และมิเคยคิดฆ่าล้างสมาชิกตระกูลเซียวทั้งหมด นางเพียงต้องการฆ่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ของตระกูลนางเท่านั้น


“ผู้ใดหาญกล้าเช่นนี้ ริอ่านบุกรุกดินแดนตระกูลเซียวของเรา!”


“อยากตายหรืออย่างไร?!”


ร่างมากมายเหินเข้ามาที่นี่ จุติลงเบื้องหน้าของซี พวกเขาคือยอดฝีมือในตระกูลเซียว หลังได้ยินสุ้มเสียงก็มาถึงที่นี่ในทันใด


“วันนี้มีแขกทรงเกียรติมารวมตัวในตระกูลเซียวของเรา เจ้าบังอาจเข้ามาก่อความวุ่นวาย! ไม่ว่าเจ้ามีเหตุผลใด ก็ไม่มีทางรอดกลับไปได้!”


“ใช่แล้ว!”


พวกเขาบุกไปสังหารซีทันที


ตึง! ตึง! ตึง!


เหตุการณ์ซ้ำรอย ยอดฝีมือทุกผู้ที่บุกมาหาซีต่างกระเด็นออกไปโดยไม่มีข้อยกเว้น หมอบราบกับพื้น


“นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?!”


พวกเขาตกตะลึง สายตาเปี่ยมไปด้วยความเหลือเชื่อ


ในฐานะยอดฝีมือจากตระกูลเซียว ขอบเขตพลังของพวกเขาสูงส่งอย่างแน่นอน อย่างแย่ที่สุดยังเป็นขั้นราชันแห่งเซียน ซ้ำยังมียอดเซียนอยู่ด้วยสองสามตน!


สุดท้าย พวกเขากลับกระเด็นกระดอนโดยไม่รู้เลยว่าเกิดอันใดขึ้น จะให้พวกเขาเชื่อลงได้อย่างไร


ซีดูเยาว์วัยปานนั้น ไยจึงแกร่งกล้าน่าครั่นคร้ามได้เช่นนี้!


ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!


เวลานั้น อีกหลายร่างจุติลงมาอยู่ที่นี่


บรรดาผู้อาวุโสตระกูลเซียว รวมถึงผู้นำตระกูลเซียวต่างมาอยู่ที่นี่กันถ้วนหน้า


นอกจากนี้ ยังมีร่างของคนนอกตระกูลอีกหลายร่างที่มาอยู่ที่นี่ด้วย


พวกเขาคงเป็นแขกทรงเกียรติที่ยอดฝีมือตระกูลเซียวกล่าวถึงก่อนหน้านี้กระมัง


“เจ้าคือ…ซี!”


ยามผู้นำตระกูลเซียวเห็นซี ก็จำได้ในปราดเดียว เขาตกตะลึง คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นนางที่มา!


เขาพะวงถึงเรื่องซีอยู่ตลอด กล่องสี่เหลี่ยมในตัวซีไม่ธรรมดา หากได้มาละก็ ตระกูลของพวกเขาจะต้องพัฒนาขึ้นถึงแก่น และก้าวสู่ขอบเขตสูงกว่านี้ได้ง่ายดาย!


“เจ้าคือผู้นำตระกูลหรือ?”


ซีทอดมองผู้นำตระกูลเซียว


ภายนอกนางดูสงบ มิได้มีอารมณ์ขึ้นมาแต่อย่างใด ทว่าภายในใจนางนั้นท่วมท้นไปด้วยจิตสังหาร


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทุกเรื่องราวที่ตระกูลของนางประสบต่างเกี่ยวข้องกับผู้นำตระกูลเซียว!


“คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ข้าส่งคนตั้งมากมายออกไปตามหาเจ้า เจ้ากลับเป็นฝ่ายเข้าหาด้วยตัวเอง!”


ผู้นำตระกูลเซียวหัวเราะร่วน


สวรรค์กำลังช่วยตระกูลเซียวของพวกเขาอยู่อย่างนั้นหรือ


บัดนี้ สถานการณ์ในภพเซียนย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ พวกเขาวางแผนกำจัดล้างบางไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ก็เป็นเพียงการยืดเวลาออกไปเท่านั้น ลงท้ายพวกเขาก็ต้องคิดแผนอื่นไว้ด้วย


บัดนี้ซีกลับมาหาถึงที่ จะมิให้เขายินดีได้อย่างไร


เขายินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่ง!


มีกล่องสีเหลี่ยมของซีคอยเกื้อหนุน พวกเขาย่อมออกจากภพเซียน เสาะหาหนทางก้าวหน้าจากข้างนอกนั่นได้แน่ ไม่ต้องอยู่รอวันตายในภพเซียนอีกแล้ว!


ใช่แล้ว ตระกูลของเขา รวมถึงอีกแปดมหาตระกูลต่างหมายตากล่องสี่เหลี่ยม ต้องการใช้พลังจากกล่องสี่เหลี่ยมในการออกจากภพเซียน!


ภพเซียนอยู่ในสภาวะปิดสนิท แม้กระทั่งมหาตระกูลอย่างพวกเขายังไม่อาจออกไปได้ง่าย ๆ พลังที่ปกคลุมอยู่นอกภพเซียนนั้นน่ากลัวเกินไป


ครานั้น เมื่อครั้งพวกเขาเพิ่งก่อตั้งภพเซียนใหม่ ๆ เพื่อป้องกันมิให้ความพิศวงลางร้ายรุกราน และเพื่อมิให้สสารนิรันดร์รั่วไหล พวกเขาผลาญวัตถุดิบวิเศษ ทรัพยากรล้ำค่าไปมหาศาล จนปิดผนึกภพเซียนได้สมบูรณ์


ความคิดในครานั้นของพวกเขาคือ ต้องการอยู่ในภพเซียนตลอดกาล ไม่ออกไปไหนอีก


แต่ในภายหลัง พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าสสารนิรันดร์จะเปลี่ยนแปลงไป มิได้มีความเป็นนิรันดร์อย่างแท้จริงอีก ความเปลี่ยนแปลงนี้สร้างความแตกตื่นให้พวกเขา


อยู่เป็นนิรันดร์มิได้ พวกเขาก็ต้องแก่ตาย หลังพบเห็นความเปลี่ยนแปลงของสสารนิรันดร์ พวกเขาก็คิดหาวิธีทลายสภาวะปิดสนิทของภพเซียน


ทว่าผลสุดท้าย พวกเขาก็ต้องพบกับความล้มเหลว ไม่อาจทลายผนึกนี้ได้!


พลังผนึกแกร่งกล้าเกินไป ครานั้นพวกเขาไม่คิดจะออกไปไหนอีก นี่ถือเป็นกรงขังที่พวกเขาสร้างให้ตนเอง หากภพเซียนนั้นเข้าออกไปตามใจนึก ย่อมต้องสร้างปัญหามากกว่านี้แน่


ผลสุดท้าย กลับเป็นผลร้ายมาถึงตัวพวกเขา


ตระกูลที่ซีอยู่มิได้เตะตาอันใดในภพเซียน ตระกูลเซียวจึงมิเคยให้ความสนใจนัก


และที่ตระกูลเซียวสนใจในตระกูลของซี ล้วนเป็นเพราะพลังที่รั่วไหลออกจากกล่องสี่เหลี่ยม!


ครานั้น มีพลังรั่วไหลออกจากกล่องสี่เหลี่ยม แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ กระนั้นมหาตระกูลอย่างพวกเขาก็ยังจับสัมผัสได้


ยามนั้น แม้แต่จักรพรรดิเซียนอาวุโสที่อยู่ในภาวะนิทราของตระกูลพวกเขายังตื่นตัว พลังนั้นแข็งแกร่งเกินไป เหนือกว่าขอบเขตเซียนไปมาก ตระกูลต่าง ๆ ของพวกเขาต่างเคลื่อนไหวเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังนี้


ทว่าน่าเสียดาย พวกเขาไม่ได้อะไรกลับมาเลย กล่องสี่เหลี่ยมนั้นไม่อาจถูกทำนาย หลังพลังที่รั่วไหลออกมาหายไป ก็ไม่เหลือร่องรอยอันใดอีก ไม่รู้ต้องสืบหาจากตรงไหน


แต่เหล่ามหาตระกูลมิเคยถอดใจ สืบเสาะอยู่ตลอด


ตระกูลเซียวก็เช่นกัน


ผ่านไปแล้วเนิ่นนาน ตระกูลเซียวสืบไล่ไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็เจอก่อนผู้ใด และเล็งตระกูลของซีไว้


ทว่าพวกเขาเองก็มิอาจแน่ใจ เพียงแต่คาดเดาว่ามีความเกี่ยวข้อง


ในกาลเวลาอันแสนยาวนานที่ผ่านมา พวกเขาคาดเดาเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง และเพราะการคาดเดานี้ พวกเขาฆ่าล้างตระกูลไปก็ไม่น้อย


ต่อมา ผู้นำตระกูลเซียวส่งยอดฝีมือจำนวนหนึ่งบุกเข้าไป ดูว่ามีความเกี่ยวข้องหรือไม่


ผลสุดท้ายเป็นที่คิดไม่ถึงของพวกเขา มีความเกี่ยวข้องจริง ๆ!


พวกเขาได้รู้ว่าพลังนั้นมาจากกล่องสี่เหลี่ยมใบหนึ่ง!


หลังผู้นำตระกูลเซียวทราบข่าวนี้ ก็รุดหน้าไปในบัดดล น่าเสียดาย ยังช้าไปหนึ่งก้าว ซีนำกล่องสี่เหลี่ยมหนีไปจากภพเซียนแล้ว!


เรื่องนี้กลายเป็นความเจ็บปวดตลอดกาลในใจของเขา!


หากว่าครานั้นมิได้ปล่อยให้ซีนำกล่องสี่เหลี่ยมหนีไป ตระกูลเซียวของพวกเขาในตอนนี้คงมิใช่สิ่งที่ในอดีตจะเทียบเทียมได้ ไม่จำเป็นต้องถูกกักขังในภพเซียนนี้อีก!


ไม่เป็นไร นี่อย่างไร ซีนำกล่องสี่เหลี่ยมกลับมาแล้วมิใช่หรือ!


ผู้นำตระกูลเซียวยิ้มร่าด้วยใบหน้าเบิกบาน


“ซี? กล่องสี่เหลี่ยม?”


ข้างกายผู้นำตระกูลเซียว ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งตาเป็นประกาย


เขาคือผู้นำตระกูลเฟ่ย ทราบเรื่องซีกับกล่องสี่เหลี่ยมเช่นกัน


หลังตระกูลเซียวล้างบางตระกูลของซี มหาตระกูลอื่น ๆ อย่างพวกเขาก็จับพิรุธได้ และสืบจนรู้เรื่องราวมาบ้าง


ต่อมา พวกเขาได้ส่งยอดฝีมือในตระกูลออกไปตามหาเบาะแสของซี


“ใช่แล้ว! ซีผู้นี้แหละ!”


ผู้นำตระกูลเซียวพยักหน้า “พี่เฟ่ย ในเมื่อเราสองตระกูลเป็นพันธมิตรกันแล้ว ข้าก็จะไม่ปิดบังพี่เฟ่ย ซีผู้นี้คือคนที่นำกล่องสี่เหลี่ยมไป!”


“เยี่ยม!”


ผู้นำตระกูลเฟ่ยยิ้มกว้างเช่นกัน


“ฮ่า ๆ ต้องยอมรับว่า ข้านี่ตาแหลมยิ่งนักที่เลือกเป็นพันธมิตรกับตระกูลเซียว นี่อย่างไร พลอยได้ดีไปด้วย!”


เขายิ้มอย่างมีความสุข


กองกำลังทั้งหลายต่างจับมือเป็นพันธมิตรกัน และเขาเลือกตระกูลเซียว บัดนี้ดูแล้ว การตัดสินใจนี้ของเขาช่างเกรียงไกรยิ่งนัก!


หากได้กล่องสี่เหลี่ยมมาไว้ในครอบครอง พวกเขาย่อมต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้!


“ตาแหลมหรือ? ข้าว่าเจ้าตาบอดมากกว่า…”


เวลานั้น ซีเอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบ

ฟังจบแล้วถ้าใครอยากสนับสนุนช่องโดเนท ให้ช่องของเราเดินหน้าต่อได้เร็วขึ้น หรืออยากขอนิยาย
ช่องทางสนับสนุนช่องอยู่ใต้ลิงค์คลิปชั่นนะครับ